
Yearning (1964)
: Mikio Naruse ♥♥♥♥
เมื่อครั้นยังเป็นเด็ก Kōji (รับบทโดย Yūzō Kayama) ตกหลุมรักพี่สะใภ้ Reiko (รับบทโดย Hideko Takamine) หลายปีให้หลังจากพี่ชายตายไป จึงตัดสินใจสารภาพรักต้องห้าม (Taboo) มันไม่เหมาะสมจริงๆนะหรือ?
ชื่อหนังภาษาญี่ปุ่น 乱れる อ่านว่า Midareru แปลตรงตัว Confused, Disturbed คนละเรื่องกับชื่อภาษาอังกฤษ Yearning แต่มันมีความสอดคล้องเข้ากันอยู่ ขึ้นอยู่กับมุมมองตัวละคร
- ในมุมมองพี่สะใภ้ Reiko จู่ๆน้องชายสามีเข้ามาสารภาพรัก เธอจึงเกิดความสับสน (Confused) ว้าวุ่นวายใจ (Disturbed) พยายามปฏิเสธผลักไส เพราะมันคือรักต้องห้าม ยินยอมรับไม่ได้
- ส่วนน้องชายสามี Kōji ตั้งแต่เด็กแอบชื่นชอบพี่สะใภ้ มีความโหยหา (Yearning) อยากได้เธอมาครอบครอง พอโตขึ้นจึงชอบทำตัวหัวขบถ เรียกร้องความสนใจ เมื่อมิอาจอดรนทนไหวก็สารภาพรัก MILF เรื่องแบบนี้มันผิดตรงไหนกัน?
ไม่ใช่ว่าผกก. Naruse แอบตกหลุมรักสาวแรกรุ่น หรือมีใครมาสารภาพรัก, ในมุมของชายสูงวัย สิ่งที่เขาโหยหาก็คือความทรงจำวันวาน(ยังหวานอยู่) แต่มันเป็นไปไม่ได้ที่จะย้อนเวลากลับหาอดีต จึงหลงเหลือเพียงความขื่นขม ระทมทุกข์ทรมาน ไม่สามารถเริ่มต้นความสัมพันธ์ครั้งใหม่ … มันก็ใจความเดิมๆ ‘สไตล์ Naruse’ ตั้งแต่ยุคหลังสงครามโลก (Post-War)
ผมมีความขมขื่นระหว่างการรับชมหนังเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย ประเด็นรักต้องห้ามก็เรื่องหนึ่ง ปัญหาใหญ่คือการแสดงของ Yūzō Kayama ดูแข็งๆทื่อๆ อึดๆอัดๆ ไม่เป็นธรรมชาติเอาเสียเลย ตรงกันข้ามกับ Hideko Takamine -หนึ่งในบทบาทการแสดงยอดเยี่ยมที่สุด!- มีความละเมียด ละเอียดอ่อนไหว ทุกอากัปกิริยา ภาษากาย ล้วนเคลือบแฝงความรู้สึกซ่อนเร้นไว้ … มันอาจเป็นความตั้งใจให้สองตัวละครมีความแตกต่างตรงกันข้าม แต่ฝีไม้ลายมือด้านการแสดงห่างชั้นเกินไป
Mikio Naruse, 成瀬 巳喜男 (1905-69) ผู้กำกับภาพยนตร์ สัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Tokyo ในตระกูลซามูไร Naruse Clan แต่ครอบครัวมีฐานะยากจน แถมบิดาพลันด่วนเสียชีวิต จึงจำต้องต่อสู้ดิ้นรนกับพี่ชายและพี่สาว ตอนอายุ 17 สมัครเข้าทำงานสตูดิโอ Shōchiku ไต่เต้าจากลูกจ้าง เป็นผู้ช่วยผู้กำกับ Yoshinobu Ikeda ก่อนก้าวขึ้นมาเป็นผู้กำกับหนัง(เงียบ)สั้นเรื่องแรก Mr. and Mrs. Swordplay (1930), ผลงานช่วงนี้ส่วนใหญ่เป็นแนว Comedy Drama ตัวละครหลักคือผู้หญิง ต้องต่อสู้ดิ้นรนในสภาพแวดล้อมทุกข์ยากลำบาก … น่าเสียดายที่ผลงานยุคหนังเงียบของ Naruse หลงเหลือมาถึงปัจจุบันแค่ไม่กี่เรื่องเท่านั้น
โดยปกติแล้วผู้ช่วยผู้กำกับในสังกัด Shōchiku เพียงสามสี่ปีก็มักได้เลื่อนขั้นขึ้น แต่ทว่า Naruse กลับต้องอดทนอดกลั้น ฝึกงานนานถึงสิบปีถึงมีโอกาสกำกับหนังเรื่องแรก (Yasujirō Ozu และ Hiroshi Shimizu เข้าทำงานทีหลัง แต่ได้เลื่อนขึ้นเป็นผู้กำกับก่อน Naruse) นั่นทำให้เขาตระหนักว่า Shōchiku ไม่ค่อยเห็นหัวตนเองสักเท่าไหร่ ไม่เคยมีห้องทำงานส่วนตัว ยื่นโปรเจคอะไรไปก็ไม่เคยได้รับการอนุมัติ เลยยื่นใบลาออกช่วงปลายปี ค.ศ. 1934 เพื่อย้ายไปอยู่ P.C.L. Studios (Photo Chemical Laboratories ก่อนกลายเป็นสตูดิโอ Toho) สรรค์สร้างภาพยนตร์ Wife! Be Like a Rose! (1935) ถือเป็นครั้งแรก(ในยุคก่อน Post-War)ได้รับคำชื่นชมอย่างล้นหลาม
แต่หลังจาก Wife! Be Like a Rose! (1935) ผลงานถัดๆมาของผกก. Naruse ล้วนถูกมองว่าเป็น ‘lesser film’ แนวตลาด คุณภาพปานกลาง ขายได้บ้าง เจ๊งเสียส่วนใหญ่ เสียงตอบรับไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ จนสตูดิโอ Toho เริ่มสูญเสียความไว้เนื้อเชื่อใจ กระทั่งหลังสงครามโลกครั้งที่สอง (Post-War) สรรค์สร้าง Repast (1951) ประสบความสำเร็จทั้งรายรับ และกวาดรางวัลในญี่ปุ่นมากมายนับไม่ถ้วน, ผลงานเด่นอื่นๆ อาทิ Lightning (1952), Sound of the Mountain (1954), Late Chrysanthemums (1954), Floating Clouds (1955), Flowing (1956) ฯ
สำหรับ 乱れる, Midareru สร้างขึ้นจากบทดั้งเดิมของ Zenzō Matsuyama, 松山 善三 (1925-2016) ผู้กำกับ/นักเขียนบทภาพยนตร์ (Black River, The Human Condition, Happiness of Us Alone) สามีของนักแสดง Hideko Takamine (แต่งงานกันเมื่อ ค.ศ. 1955) ก่อนหน้านี้เพิ่งถูกดัดแปลงสร้างภาพยนตร์โทรทัศน์ (TV-Drama) ตั้งชื่อしぐれ, Shigure ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ CBC วันที่ 26 กรกฎาคม ค.ศ. 1963
น่าเสียดายที่ผมหารายละเอียดเกี่ยวกับหนังไม่ได้มากนัก แต่ประเด็นต้องห้าม ยุคสมัยนั้นยังมีความละเอียดอ่อนไหว เลยคาดเดาว่า Matsuyama อาจต้องการลองเชิงกับการฉายทางโทรทัศน์ (รายการความยาวหนึ่งชั่วโมง แต่เวลาฉายจริงไม่มีโฆษณาน่าจะแค่ 40-45 นาที) ซึ่งเมื่อเสียงตอบรับไม่ได้ย่ำแย่ จึงส่งต่อให้ผกก. Naruse (เคยร่วมงานตั้งแต่ Daughters, Wives and a Mother (1960), Poignant Story (1961), A Woman’s Place (1962) ฯ) พัฒนาต่อยอดกลายเป็นภาพยนตร์ขนาดยาว
ปล. จริงๆแล้ว Matsuyama จะลงมือกำกับเองก็ยังได้ แต่เขาอาจไม่มีเวลา หรือพะว้าพะวังกับความเสี่ยง เลยส่งต่อให้ผกก. Naruse ผู้มากด้วยประสบการณ์ อายุอานามมากแล้วไม่มีอะไรจะเสีย
ระยะเวลากว่า 18 ปีที่หญิงหม้าย Reiko Morita (รับบทโดย Hideko Takamine) ดูแลร้านขายของชำ Moritaya Liquor Store แทนสามีผู้ล่วงลับ การมาถึงของห้างสรรพสินค้าใกล้บ้าน ทำให้กิจการเริ่มซบเซา ไม่สามารถสู้ราคากับนายทุนใหญ่ แต่มันจะสามารถโต้ตอบทำอะไร?
Kōji Morita (รับบทโดย Yūzō Kayama) น้องสามีของ Reiko อายุย่าง 25 ปี แม้เรียนจบปริญญา เคยทำงานบริษัท กลับลาออกมาใช้ชีวิตร่อนเร่ เตร็ดเตร่ สำมะเลเทเมา ไม่เคยครุ่นคิดทำการทำงาน จนวันหนึ่งตัดสินใจสารภาพรักต่อ Reiko แม้ได้รับคำตอบปฏิเสธ กลับเริ่มเปลี่ยนแปลงตนเอง กลายเป็นคนขยันขันแข็ง ช่วยงานพี่สะใภ้ สร้างความกระอักกระอ่วนใจ จนเธอตัดสินใจขายกิจการร้านค้าให้พี่เขย (สำหรับเปิดห้างสรรพสินค้าแห่งใหม่) แล้วออกเดินทางกลับบ้านต่างจังหวัด
โดยไม่รู้ตัว Kōji แอบติดตาม ร่วมเดินทางกลับบ้านต่างจังหวัดร่วมกับ Reiko พวกเขาใช้เวลาส่วนใหญ่บนขบวนรถไฟ จนเดินทางมาถึง Ōishida Station แล้วขึ้นรถโดยสารมุ่งสู่ Ginzan Onsen สุดท้ายแล้วความสัมพันธ์ของทั้งสองจะลงเอยเช่นไร?
Hideko Takamine, 高峰 秀子 (1924-2010) นักแสดงสัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Hakodate, Hokkaido หลังจากมารดาเสียชีวิตตอนอายุ 4 ขวบ ย้ายมาอาศัยอยู่กับคุณป้าที่กรุง Tokyo เข้าตาแมวมองสตูดิโอ Shōchiku เข้าสู่วงการภาพยนตร์ตั้งแต่เด็ก Mother (Haha) (1929) จนได้รับฉายา ‘Japan’s Shirley Temple’ น่าเสียดายหลายๆผลงานสูญหายไปช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง, ช่วงทศวรรษ 50s-60s กลายเป็นนักแสดงฟรีแลนซ์ ร่วมงานขาประจำผู้กำกับ Keisuke Kinoshita และ Mikio Naruse ผลงานเด่นๆดังๆ อาทิ Lightning (1952), Twenty-Four Eyes (1955), Floating Clouds (1956), Time of Joy and Sorrow (1958), The Rickshaw Man (1958), When a Woman Ascends the Stairs (1960), Happiness of Us Alone (1961), A Wanderer’s Notebook (1962), Yearning (1964) ฯ
รับบทแม่หม้าย Reiko Morita อายุสามสิบปลายๆ หลังสูญเสียสามี ยังคงสืบสานกิจการร้านขายของชำ ไม่เคยอยากแต่งงานใหม่ จนกระทั่งน้องเขย Kōji จู่ๆสารภาพรัก สร้างความอึดอัด กระอักกระอ่วน ครุ่นคิดว่ามันเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง พยายามรักษาระยะห่าง ก่อนตัดสินใจส่งคืนกิจการ(ให้พี่เขยไปสร้างห้างสรรพสินค้า) แล้วออกเดินทางกลับบ้านเกิด ถึงอย่างนั้นเขายังคงติดตามมางอนง้อ ลึกๆเธอคงเกิดความรู้สึกบางอย่าง แต่ก็ยังขับไล่ ผลักไส จนโศกนาฎกรรมทำให้ตกอยู่ในความสิ้นหวัง
นี่คือภาพยนตร์เรื่องเกือบสุดท้ายที่ผกก. Naruse ร่วมงานกับ Takamine เป็นบทบาทที่สามีของเธอ Zenzō Matsuyama หมายมั่นปั้นมือ สร้างขึ้นเพื่อศรีภรรยาโดยเฉพาะ (แต่ทว่า Takamine ไม่ได้แสดงฉบับ TV-Drama นะครับ)
ถึงผมยังไม่เคยรับชมผลงานสมัยยังเป็นนักแสดงเด็กของ Takamine แต่การร่วมงานขาประจำผกก. Naruse ทำให้พบเห็นการเติบโต วิวัฒนาการด้านการแสดง จากสาวแรกรุ่นผู้มีแววตามุ่งมั่น ก้าวย่างสู่อิสรภาพ (Lightning (1952)) มาเป็นหญิงผู้คลั่งรัก ยินยอมทุกสิ่งอย่างเพื่อชายคนนั้น (Floating Clouds (1955)) มาม่าซัง ใกล้ถึงวัยกลางคน พานผ่านชีวิตขึ้นๆลงๆ (When a Woman Ascends the Stairs (1960))
Yearning (1964) คือช่วงวัยกลางคนของ Takamine ย่างเข้าสู่ 40 แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนรับชมคุณยายอายุ 50-60 นี่ไม่ได้หมายถึงรูปร่างหน้าตาที่ยังเปร่งประกาย สวยเช้ง! แต่คือประสบการณ์ชีวิต เธอเหมือนคนพานผ่านอะไรมามาก ท่าทางเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า โหยหาชายคนรักจากอดีต ไม่เคยครุ่นคิดผันแปรเป็นอื่น การถูกสารภาพรักจากน้องเขย เลยสร้างความอึดอัด กระอักกระอ่วน ไม่รู้จะทำอะไรยังไง ไม่สามารถพูดบอก ตอบความรู้สึกออกไป … คนเราพออายุมากขึ้น การจะเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆมันไม่ใช่เรื่องง่าย ความรักก็เฉกเช่นเดียวกัน
แม้ผมจะยังชื่นชอบการแสดงของ Takamine จากภาพยนตร์ Floating Clouds (1955) มากกว่า! แต่ต้องยอมรับว่า Yearning (1964) มันลงรายละเอียดด้านการแสดงถึงระดับอนุภาค ทุกอากัปกิริยา สีหน้า ดวงตา ท่าทางขยับเคลื่อนไหว ล้วนผ่านกระบวนการปรุงแต่งทางอารมณ์ (มันมีความใกล้เคียง จนน่าจะเรียกได้ว่า ‘method acting’) ผู้ชมสัมผัสได้ถึงความสับสน ลุ่มร้อนรน กระวนกระวายใจ ซึ่งมันจะค่อยๆเลวร้าย ทวีความรุนแรง จนท้ายที่สุด … มีคนเปรียบเทียบกับปฏิกิริยาของ James Stewart ตอนจบภาพยนตร์ Vertigo (1958)
ปล. Takamine เป็นนักแสดงรุ่นเก่า/คลาสสิก แต่เธอสามารถวิวัฒนาการตนเองจนมีความใกล้เคียงกับ ‘method acting’ นั่นคือระดับสุดยอดนักแสดง!
Yūzō Kayama, 加山 雄三 (เกิดปี ค.ศ. 1937) นักร้อง/นักแสดง สัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Yokohama, Kanagawa แล้วมาเติบโตยัง Chigasaki เป็นบุตรของนักแสดง Ken Uehara (หนึ่งในนักแสดงขาประจำของผู้กำกับ Naruse) และ Yuko Kozakura, สำเร็จการศึกษาด้านกฎหมายจาก Keio University ก่อนเซ็นสัญญาเข้าร่วมสตูดิโอ Toho แสดงภาพยนตร์เรื่องแรก Otoko tai Otoko (1960), แจ้งเกิดกับหนังซีรีย์ Wakadaishō (1961-81), ผลงานเด่นอื่นๆ อาทิ Sanjuro (1962), Yearning (1964), Red Beard (1965), Scattered Clouds (1967) ฯ
รับบท Kōji Morita ชายหนุ่มอายุ 25 ปี เรียนจบมหาวิทยาลัย แต่กลับใช้ชีวิตอย่างร่อนเร่ เตร็ดเตร่ สำมะเลเทเมา ไม่ยอมทำการทำงาน ลาออกจากบริษัทเพราะต้องการอยู่เคียงข้างพี่สะใภ้ Reiko ตกหลุมรักตั้งแต่แรกพบเจอ หลังจากพี่ชายเสียชีวิต เฝ้ารอคอยโอกาสที่จะได้สารภาพรัก โดยไม่สนอายุห่าง 12 ปี
แม้ถูกปฏิเสธหลังสารภาพรัก ก็ไม่ทำให้ Kōji ปรับเปลี่ยนความตั้งใจ ต้องการพิสูจน์ตนเองกับพี่สะใภ้ ด้วยการตั้งใจทำงาน ขยันขันแข็ง หวังว่าอีกฝ่ายจะใจอ่อน แต่เธอกลับตัดสินใจทอดทิ้งทุกสิ่งอย่าง แอบติดตามขึ้นรถไฟ กลับยังถูกขับไล่ ผลักไส ก่อนอดรนทนไม่ไหว จึงตัดสินใจคิดสั้นฆ่าตัวตาย
มันอาจมีส่วนที่บิดา Ken Uehara ฝากบุตรชายให้ผกก. Naruse แต่น่าจะด้วยชื่อเสียงของ Kayama แจ้งเกิดกับหนังวัยรุ่น ตัวแทนคนหนุ่มยุคใหม่ หน้าต่อหล่อเหลา รอยยิ้มทรงเสน่ห์ ทำเอาสาวๆหัวใจละลาย
แต่ปัญหาอย่างแรกคือคาแรคเตอร์ไม่เหมาะ! ผมมองว่า Kōji ควรมีภาพลักษณ์ชายหนุ่มหัวขบถ นิสัยดื้อรั้น หมกมุ่นต่อความรักพี่สะใภ้ แต่รอยยิ้มแฉ่งของ Kayama ทำลายทุกสิ่งอย่าง โลกสดใส หล่อเกินไปอีกต่างหาก
ปัญหาถัดมาอาจคือวิธีการทำงานของผกก. Naruse ที่ไม่เคยให้คำแนะนำใดๆนักแสดง มอบอิสระในการออกแบบตัวละครอย่างเต็มที่, Takamine เคยร่วมงานมาหลายครั้งจึงทำการบ้านมาดี แต่ทว่าครั้งแรกของ Kayama คงไม่รู้จะทำอะไรยังไง ขาดประสบการณ์ ไร้บุคคลชี้แนะนำทาง บางครั้งมันอาจมากเกิน น้อยเกิน เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้
และท้ายที่สุดผมยังสัมผัสถึงความกลัวๆกล้าๆของ Kayama อาจเพราะหนังนำเสนอประเด็นต้องห้าม (Taboo) เลยไม่สามารถปล่อยตัวปล่อยใจ แสดงความรักต่อพี่สะใภ้อย่างหื่นกระหาย … สงสัยเกรงใจนักแสดงรุ่นพี่ Takamine ด้วยกระมัง
(จริงๆมันมีอีกเหตุผลหนึ่ง คือการเปรียบเทียบฝีไม้ลายมือด้านการแสดงระหว่าง Takamine vs. Kayama มันเห็นระดับความแตกต่างอย่างชัดเจน Takamine ทำการแสดงได้ยิ่งใหญ่มากๆ, Kayama อาจไม่ได้เลวร้ายปานนั้น แต่พอต้องเทียบชั้นมันเลยฟ้ากับเหว)
มันไม่ใช่ว่า Kayama เป็นนักแสดงแย่ๆ แค่ว่าบริบทของหนังไม่เอื้ออำนวยให้สำแดงศักยภาพออกมา แต่อย่าลืมว่าเขาเพิ่งเข้าวงการมาไม่กี่ปี ยังมีอะไรๆให้ต้องเรียนรู้อีกมาก แนะนำให้รับชม Scattered Clouds (1967) จะแอบอึ่งทึ่ง คาดไม่ถึง พบเห็นพัฒนาการแสดง ปรับปรุงตนเองจากความผิดพลาด
ถ่ายภาพโดย Jun Yasumoto, 安本淳 หนึ่งในตากล้องขาประจำผู้กำกับ Mikio Naruse (ในยุคหลังๆ) ผลงานเด่นๆ อาทิ The Million Ryo Pot (1935), Samurai I: Musashi Miyamoto (1954), Samurai II: Duel at Ichijoji Temple (1955), Daughters, Wives and a Mother (1960), The Approach of Autumn (1960), A Woman’s Place (1962), A Wanderer’s Notebook (1962), A Woman’s Life (1963), Yearning (1964) ฯ
หลังจาก When a Woman Ascends the Stairs (1960) ตากล้องขาประจำ Masao Tamai ก็ไม่ได้ร่วมงานผกก. Naruse อีกต่อไป! เปลี่ยนมาใช้บริการ Jun Yasumoto แต่งานภาพแทบไม่มีความแตกต่าง ทุกช็อตฉากล้วนมีความเป็น ‘สไตล์ Naruse’ อย่างครบครัน … แค่ว่าด้วยอัตราส่วนภาพ TohoScope (2.35:1) เท่านั้นเอง!
เกร็ด: ในเครดิตของ Masao Tamai หายจากวงการภาพยนตร์ตั้งแต่ ค.ศ. 1963 ขณะอายุเพียง 55 ปี! แนวโน้มน่าจะปัญหาสุขภาพกระมัง
แต่ว่ากันตามตรง ผมแอบรู้สึกผิดหวังต่องานภาพของ Yasumoto เพราะมันยึดติด ‘สไตล์ Naruse’ มากจนเกินไป! ขาดความสร้างสรรค์/สดใหม่ ในแง่มุมหนึ่งเราอาจมองว่าสไตล์ภาพยนตร์พัฒนามาถึงจุดสูงสุด แต่นั่นหมายถึงจุดสิ้นสุด/ความตายกำลังย่างกรายเข้ามา … ผลงานในช่วงทศวรรษ 60s ของผกก. Naruse อาจเรียกว่ายุคบั้นปลาย (Post Post-War หรือ Later years)
แม้ร้านค้า Moritaya Liquor Store จะสร้างขึ้นในโรงถ่ายสตูดิโอ Toho แต่ฉากภายนอกทั้งหมดล้วนถ่ายทำยังสถานที่จริง ณ Shimizu (Shizuoka), Tetsushuji Temple (Shizuoka), สถานีรถไฟ Shimizu Station (Shizuoka), Ōishida Station (Yamagata) และ Ginzan Onsen (Yamagata)
มันมีสินค้ามากมายในห้างสรรพสินค้า/ร้านขายของชำ แต่หนังเลือกใช้ไข่ไก่ ซึ่งถือเป็นสิ่งพื้นฐานที่สุดของร้านค้า ต้นทุนราคา 8 เยน ตามร้านขายปลีกทั่วไปขาย 11 เยน (กำไร 3 เยน) ทว่าห้างขนาดใหญ่สามารถเหมาซื้อจากฟาร์ม (หรืออาจะผลิตเองก็ได้) ทำให้ต้นทุนลดลงได้อีก เลยสามารถขาย 5 เยน ยังคงทำกำไร! … ยุคสมัยนั้นมันอาจยังไม่มีกรมการค้าที่กำหนดราคาสินค้าขายปลีก พวกผู้ประกอบการขนาดใหญ่เลยกดราคากันแบบนี้ ไม่สนห่าเหวอะไรนอกจากกำไร ทำเอาผู้ประกอบการรายย่อยล้มละลายเป็นทิวแถว
ความอัปลักษณ์ของพวกนายทุนยังไม่หมดเพียงเท่านี้! เพราะมีเงินมากมาย ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร จึงแสวงหาความบันเทิงจากการจับจ่ายใช้สอย ท้าทายให้สาวๆบาร์โฮส/เด็กดริ้งค์ ใครกินไข่ต้มเยอะสุดจะได้รับเงิน 5,000 เยน ความตลกร้ายก็คือพวกเธอต่างแสดงความกระตือรือล้น ยินยอมทำทุกสิ่งอย่างเพื่อให้ได้เงินก้อนนั้น

นี่คือภาพที่ทำให้ผู้ชมตระหนักว่า อดีตสามี และร้านขายของชำแห่งนี้ มีสภาพไม่ต่างจากกรงขัง (สังเกตจากลักษณะของประตู+หน้าต่าง และเงาที่ดูเหมือนซี่กรงขัง) พันธนาการเหนี่ยวรั้ง Reiko จนไม่สามารถปล่อยละวางจากอดีต

ซีเควนซ์สารภาพรักของ Kōji มีหลาย ‘Mise-en-scène’ ที่น่าสนใจ คงต้องเริ่มตอนพูดสารภาพรัก ช็อตมุมกว้างถ่ายให้เห็นว่าทั้งสองยืนอยู่คนละห้อง
- Kōji พูดออกมาตรงๆขณะยืนอยู่ในห้องเปิดไฟส่องสว่าง
- Reiko ขณะนั้นเดินเข้าไปอยู่ในห้องที่ปิดไฟ (แต่แสงสว่างจากห้องที่เปิดไฟยังสาดส่องมาถึง) พอได้ยินคำสารภาพรัก ก็รีบหันกลับมาโต้ตอบโดยพลัน


ระหว่าง Reiko พร่ำรำพันถึงตอนก่อร่างสร้างร้านค้าแห่งนี้ขึ้นใหม่ จากเคยอยู่อยู่ท่ามกลางแสงสว่าง พอกล่าวถึงหายนะเคยบังเกิดขึ้น ก็เดินกลับเข้าสู่ความมืด/ห้องที่ไม่ได้เปิดไฟ

จริงๆมันมีบทสนทนายาวๆคั่นระหว่างทั้งสองช็อตนี้ แต่เหตุผลที่ผมนำมาวางคู่กัน เพราะฉงนสงสัยว่าประโยคไหนคือความรู้สึกแท้จริงของ Reiko?
- I’d wasted my 18 years for the family. พูดขึ้นตอนเธอยืนอยู่ท่ามกลางแสงสว่าง
- Everybody know my eighteen years were not wasted. พูดขึ้นตอนเธอยืนอยู่ในห้องมืด แถมหันข้างให้กล้องอีกต่างหาก!
ในบริบทการสนทนานี้ Reiko ทำการโต้ตอบ Kōji ที่บอกว่า 18 ปีของเธอคือช่วงเวลาแห่งความสูญเปล่า พยายามสรรหาข้ออ้าง แต่ภาษาภาพยนตร์ของทั้งสองช็อตนี้ สะท้อนความรู้สึกแท้จริงออกมา … มันเป็น 18 ปีที่สูญเสียเปล่าจริงๆ


วินาทีที่ Reiko ปฏิเสธรับฟังคำอธิบายของ Kōji เธอหันใบหน้าเข้าสู่ความมืดมิด ขณะที่เขาเดินไปเดินมา จากด้านมืดสู่แสงสว่าง พูดบอกเหตุผลถึงพฤติกรรมเที่ยวเตร่ สำมะเลเทเมา เพราะอดรนทนไม่ได้ที่พบเห็นพี่สะใภ้ต้องทนทุกข์ทรมาน ถูกเอารัดเอาเปรียบ ไม่ต่างจากนักโทษถูกคุมขังอยู่ในสถานที่แห่งนี้


ดึกดื่นเฝ้ารอคอย Kōji หนีไปดื่มสุราเมามาย จะมีขณะหนึ่งที่ Reiko ยืนรออยู่ประตูหน้าร้าน ท่ามกลางความมืดมิด ก่อนเดินกลับเข้ามานั่งตรงแสงสว่าง จากนั้น Fade-to-Black … บทสรุปซีเควนซ์สารภาพรัก ที่ทำให้จิตใจของ Reiko ตกอยู่ในความมืดหมองหม่น

หลังเหตุการณ์วันนั้น Kōji ปรับเปลี่ยนตัวเองเสียใหม่ จากเคยขี้เกียจคร้าน มาเป็นขยันขันแข็ง ตั้งใจทำงาน ไม่ว่าจะวันฝนตก แดดออก เพื่อพิสูจน์ตนเองต่อพี่สะใภ้ เอาอกเอาใจ สวมใส่รองเท้าของเธอ … คนส่วนใหญ่จะครุ่นคิดถึงสำนวน Put yourself in someone else’s shoes. หรือก็คือ ‘เอาใจเขามาใส่ใจเรา’ แต่ผมมองนัยยะความต้องการครอบครอง รองเท้าพี่สะใภ้ก็คือรองเท้าของฉัน



Reiko พยายามโน้มน้าว Kōji ให้ละเลิกสนใจตนเอง สาวๆสวยๆมีมากมาย อย่ามาตกหลุมรักหญิงหม้ายสูงวัยอย่างฉัน สถานที่ถ่ายทำคือ Tetsushuji Temple หรือ Temple 19 สถานที่เก็บสัทธรรมปุณฑรีกสูตร (Lotus Sutra) พระสูตรสำคัญในพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน จำนวน 19 เล่ม ตั้งอยู่บนเขา Mt. Arato ณ Shizuoka City เหม่อมองออกไปพบเห็น Mt. Fuji … น่าเสียดายวันที่ถ่ายทำคงท้องฟ้าปิด เลยมองไม่เห็น Mt. Fuji
การเลือกสถานที่แห่งนี้ นอกจากห่างไกลผู้คน (ไม่ต้องการถูกซุบซิบนินทา) ยังอาจสื่อถึงความหมกมุ่นยึดติดของ Reiko ครุ่นคิดว่าความสัมพันธ์ฉันท์พี่สะใภ้-น้องเขย เป็นเรื่องผิดหลักศีลธรรมศาสนา ใช้วัดแห่งนี้เป็นข้ออ้างปฏิเสธความรัก … และตอน Reiko พูดว่าสาวๆสวยๆมีมากมาย กล้องถ่ายทิวทัศน์ Shizuoka City กว้างใหญ่ไพศาล

ความล้มเหลวที่ไม่สามารถโน้มน้าว Kōji ทำให้ Reiko ตัดสินใจคืนกิจการร้านค้าให้ครอบครัว แล้วออกเดินทางกลับบ้านเกิด โดยไม่รู้ตัวเขาแอบขึ้นรถไฟติดตามมาด้วย … ตลอดการเดินทางโดยสารรถไฟ คือการประมวลความสัมพันธ์ของทั้งสอง
- ช่วงแรกของการเดินทาง ผู้โดยสารเต็มขบวนรถ Kōji พยายามแทรกตัวเข้ามา แต่ทำได้เพียงยืนอยู่ห่างๆ
- เหมือนสมัยยังเป็นเด็ก Kōji แรกพบเจอตกหลุมรักพี่สะใภ้ แต่ทำได้เพียงรักษาระยะห่าง
- เมื่อผู้โดยสารเบาบางลง Kōji จึงสามารถนั่งพัก ใกล้เข้าหาทีละนิด จนสามารถนั่งฟากฝั่งตรงกันข้าม
- ก่อนที่ Kōji จะเข้ามานั่งฟากฝั่งตรงข้าม Reiko ภายนอกหน้าต่างพบเห็นเจ้าบ่าว-เจ้าสาว คงชวนให้เธอระลึกถึงตอนแต่งงานอยู่ไม่น้อย
- ระหว่างรถไฟจอดหยุดพักกลางทาง Kōji แวบลงไปรับประทานราเม็ง
- นี่แสดงถึงพฤติกรรมหัวขบถของ Kōji ที่มีความกล้าได้กล้าเสี่ยง ไม่หวาดกลัวเกรงอะไรทั้งนั้น
- เช้าวันใหม่ Reiko จู่ๆร่ำร้องไห้ออกมา Kōji จึงย้ายไปนั่งเคียงข้าง
- นั่นคือความสนิทสนม เคียงชิดใกล้ มากกว่าการเป็นน้องเขย-พี่สะใภ้

มองผิวเผินมันอาจแค่ภาพขบวนรถไฟกำลังเคลื่อนผ่านบริเวณที่หมอกลงจัด แต่หมอกขนาดนี้ เราสามารถตีความถึงการเดินทางเข้าสู่ดินแดนลึกลับ สถานที่เหนือธรรมชาติ สรวงสวรรค์/ขุมนรก จุดสิ้นสุดของการเดินทาง

ทำไม Reiko ถึงตัดสินใจแวะลงกลางทาง Ōishida Station? (หนังไม่ได้ระบุว่าคือสถานีปลายทางคือแห่งหนไหน) นั่นเพราะเธอมิอาจอดกลั้นความรู้สึกตนเองที่มีต่อ Kōji จึงต้องการทำบางสิ่งอย่าง ยุติความสัมพันธ์ก่อนกลับถึงบ้าน
เกร็ด: สำหรับคนที่จะเดินทางไปยัง Ginzan Onsen ใกล้ที่สุดคือขึ้นรถไฟมาลงสถานี Ōishida Station แล้วต่อรถโดยสารมีทุกๆหนึ่งชั่วโมง ใช้เวลาการเดินทางประมาณ 40 นาที (ประมาณ 19 กิโลเมตร)

แวบแรกที่พบเห็น Ginzan Onsen ชวนให้ผมนึกถึง Ikaho Onsen จากภาพยนตร์ Floating Clouds (1955) ไม่ใช่ว่าลักษณะทางกายภาพคล้ายคลึงกันแต่อย่างใด คือแนวคิดเกี่ยวกับ ‘สรวงสวรรค์’ สถานที่ที่คนสองหลบหนีปัญหาทางโลกมาครองรักกัน
เกร็ด: Ginzan Onsen, 銀山温泉 หรือ Silver Mine Hot Springs ตั้งอยู่ยัง Obanazawa, Yamagata Prefecture ในอดีตเคยเป็นเหมืองแร่เงิน ก่อนได้รับการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงมาเป็นเมืองออนเซ็น รายล้อมรอบด้วยขุนเขา และจุดเด่นยามค่ำคืนยังจุดไฟบนท้องถนนด้วยตะเกียงแก๊ส (Gaslight) … จนได้รับการยกย่องว่าคือหนึ่งในหมู่บ้านออนเซ็นสวยที่สุดในญี่ปุ่น และว่ากันว่าคือต้นแบบอนิเมชั่น Spirited Away (2001)

ความตั้งใจของ Reiko เดินทางมายัง Ginzan Onsen เพื่อเลี้ยงอำลา หลังค่ำคืนนี้ขอให้เขาเดินทางกลับบ้าน แต่ทว่า Kōji พยายามฉกฉวยโอกาส พูดสารภาพรัก ถาโถมเข้าหา ถูกขับไล่ ผลักไส ก็ยังคงติดตาม โอบกอด จนกระทั่งวินาทีจะจุมพิต นั่นคือจุดแตกหัก กำแพง(ศีลธรรม)ที่ไม่สามารถพังทลาย

เป็นอีกครั้งที่ Kōji ตัดสินใจหลบหนี ออกจากโรงแรม แต่ภายนอกปกคลุมด้วยความมืดมิด มองอะไรแทบไม่เห็น สะท้อนสภาพจิตใจอันหมองหม่น อับจนหนทาง

เมื่อครั้นยังเป็นเด็ก Kōji เคยม้วนกระดาษนำมาผูกนิ้วนางของ Reiko ทำเหมือนเป็นการหมั้นหมายแต่งงาน, คราวนี้ในทิศทางย้อนกลับ Reiko ผูกนิ้วนางของ Kōji มันอาจดูเหมือนการแลกเปลี่ยนแหวนหมั้น แต่แท้จริงนั้นเพียงแค่การส่งมอบความรู้สึกดีๆ กลับคืนอีกฝ่าย
แต่โดยไม่รู้ตัว แหวนหมั้นอันนั้นกลายเป็นหลักฐานชี้ตัว Kōji คือผู้ประสบอุบัติเหตุ หรือครุ่นคิดสั้นฆ่าตัวตาย (หนังปลายเปิดประเด็นนี้ไว้) กลายเป็นจุดจบความสัมพันธ์ ที่สร้างความห่อเหี่ยวสิ้นหวังให้กับ Reiko

ไฮไลท์ของหนังอยู่ช่วงประมาณ 2-3 นาทีสุดท้าย หลังจากพบเห็นแหวนหมั้นนิ้วนาง Reiko รีบออกวิ่งติดตามคนขนศพ ด้วยความตื่นตระหนก ตกอกตกใจ ใบหน้าซีดเผือด จนกระทั่งมาถึงจุดๆหนึ่งเหมือนจะหมดเรี่ยวแรง ยืนหยุดนิ่ง และหนังจบลงด้วยภาพถ่ายปฏิกิริยาสีหน้าของเธอ
สิ่งที่ผมชอบสุดของภาพนี้คือความคลุมเคลือ บางคนมองว่านี่คือสีหน้าแห่งความสิ้นหวัง, บางคนบอกเธอกำลังสงบสติอารมณ์ ทำใจกับความสูญเสีย, บางคนสังเกตเห็นการเลิศคิ้วอย่างมีเลศนัย ฯ ใครอยากจะตีความแบบไหนก็ตามสบายเลยนะครับ

ตัดต่อโดย Eiji Ooi, แต่ขึ้นชื่อในเครดิต Hideji Ooi, 大井英史 ขาประจำผู้กำกับ Mikio Naruse ตั้งแต่ Wife (1953) จนถึง Scattered Clouds (1967)
เรื่องราวส่วนใหญ่ของหนังดำเนินเรื่องผ่านมุมมองของ Reiko Morita แต่ก็มีบางครั้งคราวสลับเปลี่ยนไปน้องเขย Kōji เริ่มตั้งแต่การมาถึงของห้างสรรพสินค้าใหม่ ทำให้กิจการค้าขายซบเซา พวกเขาต้องทำบางสิ่งอย่างก่อนจะสายเกินแก้ไข
- การมาถึงของห้างสรรพสินค้าใหม่
- Opening Credit
- เริ่มต้นด้วยการป่าวประกาศลดราคาสินค้าของห้างสรรพสินค้าใหม่
- Kōji มีเรื่องชกต่อยกับผู้จัดการห้าง
- Reiko เดินทางไปประกันตัวน้องเขย พูดคุยระหว่างทางกลับ
- พี่สาวและมารดา (ฝั่งสามี) พยายามโน้มน้าวให้ Reiko แต่งงานใหม่
- Kōji เล่นไพ่นกกระจอกกับเพื่อนพ่อค้า
- ค่ำมืด Kōji กลับมารับประทานอาหารที่บ้าน พูดคุยกับ Reiko รำลึกความหลังตลอด 18 ปี
- หนึ่งในพ่อค้า (เพื่อนเล่นไพ่นกกระจอก) ตัดสินใจฆ่าตัวตาย
- อนาคตของร้าน Moritaya Liquor Store
- Kōji พบเจอพี่เขย (สามีของพี่สาว) พูดคุยเรื่องการขายกิจการร้านค้า เพื่อสร้างเป็นห้างสรรพสินค้าแห่งใหม่
- Reiko พบเจอแฟนสาวของ Kōji พูดคุยถึงอนาคต การแต่งงาน
- มารดา บุตรสาว และน้องสะใภ้ นัดพูดคุยกันเกี่ยวกับการขายกิจการร้านค้า ปัญหาเดียวคือ Reiko
- Kōji สารภาพรัก
- Kōji สารภาพรักกับ Reiko แต่ได้รับคำตอบปฏิเสธ
- มารดาพูดคุยกับ Reiko บอกเล่าถึงแผนการขายร้านค้า เพื่อสร้างห้างสรรพสินค้าแห่งใหม่
- หลังคลายความเศร้าโศก Kōji ปรับเปลี่ยนตนเองเป็นใหม่ ขยันขันแข็ง ตั้งใจทำการทำงาน ช่วยงานพี่สะใภ้
- Reiko นัดพูดคุย สะสางปัญหาคาใจกับ Kōji ณ Tetsushuji Temple
- การตัดสินใจของ Reiko
- Reiko นัดพูดคุยกับสมาชิกครอบครัวทั้งหมด เพื่อประกาศยินยอมขายร้านค้า และต้องการเดินทางกลับบ้าน
- ระหว่างขึ้นรถไฟกลับบ้าน Kōji แอบติดตามมาด้วย
- Reiko ตัดสินใจลงที่สถานี Ōishida Station แล้วเดินทางต่อไปยัง Ginzan Onsen
- คำยืนกรานของ Reiko และโศกนาฎกรรมของ Kōji
เพลงประกอบโดย Ichirō Saitō, 斎藤一郎 (1909-1979) นักไวโอลิน แต่งเพลง สัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Chiba ร่ำเรียนไวโอลินและแต่งเพลงจาก National Music School จากนั้นกลายเป็นนักแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์ ขาประจำผู้กำกับ Mikio Naruse อาทิ Mother (1952), Lightning (1952), Sound of the Mountain (1954), Late Chrysanthemums (1954), Floating Clouds (1955), Flowing (1956), Yearning (1964), ผลงานเด่นอื่นๆ The Flavor of Green Tea over Rice (1952), The Life of Oharu (1952), Ugetsu (1953), A Geisha (1953) ฯ
งานเพลงในหนังของผกก. Naruse ล้วนเป็นบทเพลงคลาสสิก ด้วยเครื่องดนตรีสากล เพื่อเป็นตัวแทนการมาถึงของโลกยุคสมัยใหม่, สำหรับ Yearning (1964) ก็ตามชื่อหนัง บทเพลงมอบสัมผัสโหยหวน คร่ำครวญหา อยากได้เธอมาครอบครอง แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ความสัมพันธ์ต้องห้าม (Taboo) เลยทำได้เพียงจับจ้องมอง เฝ้ารอคอย วาดฝันว่าสักวันฉันจะมีโอกาสสารภาพรัก พูดบอกความรู้สึกออกไป
Main Theme คือหนึ่งในไฮไลท์การทำเพลงของ Saitō เลยก็ว่าได้! โดยปกติมักจะเลือกเครื่องดนตรีหลักมาชิ้นหนึ่ง แต่สำหรับ Yearning (1964) มันจะมีการสลับเปลี่ยนเครื่องดนตรีหลักไปเรื่อยๆ เดี๋ยวเครื่องสาย เดี๋ยวเครื่องเป่า แซกโซโฟน เชลโล่ กีตาร์ไฟฟ้า ไวโอลิน ทูบา ฯ ทำออกมาได้กลมกล่อม ลื่นไหล แทบไร้รอยต่อ กลายเป็นอันหนึ่งเดียวกันได้อย่างน่ามหัศจรรย์
แต่ถ้าเราจะค้นหาว่าอะไรคือเครื่องดนตรีหลักของ Yearning (1964) คำตอบคือ กีตาร์ไฟฟ้า เพราะเป็นสิ่งไม่เข้าพวกเครื่องดนตรีคลาสสิกอื่นๆ แต่มันกลับสามารถบรรเลงเข้ากันได้อย่างกลมกล่อม สามารถสื่อถึง Kōji ชายหนุ่มหน้าใส ตัวแทนคนรุ่นใหม่ ตกหลุมรักใคร่พี่สะใภ้ Reiko (เปรียบเสมือนเครื่องดนตรีคลาสสิกอื่นๆ) พยายามแทรกซึมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
แต่เฉพาะบทเพลงสุดท้าย เสียงกีตาร์ไฟฟ้ารำพันความเจ็บปวดรวดร้าว เศร้าโศกเสียใจ ต่อจากนี้เขาจะไม่มาก่อกวนใจ นี่คือการร่ำจากลาครั้งสุดท้าย ชั่วนิรันดร … ทำเอาหญิงสาวตกอยู่ในความสิ้นหวังอาลัย นี่ฉันทำอะไรลงไป
ความรักระหว่างน้องเขย & พี่สะใภ้ ว่ากันตามตรงมันไม่ใช่ประเด็นต้องห้ามอะไร (ถ้าพี่ชาย/สามีของพี่สะใภ้ยังมีชีวิตอยู่ นั่นย่อมไม่ใช่เรื่องเหมาะสม แต่เพราะเขาเสียชีวิตจากไป มันจึงไม่ใช่เรื่องผิดศีลธรรมใดๆ) เพียงความรู้สึกของบุคคลนั้นๆ หมกหมุ่นยึดติดกับความครุ่นคิดว่ามันเป็นเรื่องผิด … แล้วมันผิดอะไรละ? ความสัมพันธ์ระหว่างสายเลือด (Incest) ก็ไม่ใช่?
เอาจริงๆประเด็นของหนัง ไม่ใช่การตั้งคำถามถึงความถูกต้องเหมาะสม แต่คือความหมกมุ่นยึดติดของพี่สะใภ้ Reiko อ้างความจงรักภักดีต่ออดีตสามี รวมถึงร้านค้าสืบทอดกิจการมานานกว่าสิบปี ด้วยอายุอานามเพิ่มมากขึ้น มันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะปรับเปลี่ยนแปลงอะไร
ก็เหมือนผกก. Naruse พัฒนาสไตล์ภาพยนตร์ของตนเองมาถึงจุดสูงสุดตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 50s การมาถึงของ TohoScope (2.35:1) ภาพยนตร์ Summer Clouds (1958) มันสามารถทำการทดลองอะไรใหม่ๆได้มากมาย แต่ทว่าเขากลับไม่ได้ปรังปรุงเปลี่ยนแปลงอะไร ทุกรายละเอียด ทุกช็อตฉาก ล้วนคือ ‘สไตล์ Naruse’ จากทศวรรษ 50s ที่แค่ขยับขยายขอบซ้าย-ขวา เท่านั้นเอง!
แม้สไตล์ภาพยนตร์จะไม่สามารถปรับเปลี่ยนแปลง แต่ผกก. Naruse ยังคงพยายามเสาะแสวงหามุมมอง/พล็อตเรื่องราวใหม่ๆ อย่างความโหยหา (Yearning) คือหนึ่งในแนวคิด ‘สไตล์ Naruse’ พบเห็นแทบทุกผลงานยุคหลังสงคราม (Post-War) ส่วนใหญ่ล้วนในลักษณะหวนระลึกความหลัง ความทรงจำจากอดีต ฉายภาพความเปลี่ยนแปลงก่อน-หลัง(สงคราม) แต่สำหรับภาพยนตร์ Yearning (1964) เป็นครั้งแรกๆลองนำเสนอทิศทางกลับตารปัตรตรงกันข้าม!
- (แนวคิดปกติ) Reiko สูญเสียสามีมาหลายปี แต่ยังคงโหยหา ครุ่นคิดถึง ไม่สามารถปล่อยละวางจากเขา
- (ในทิศตรงกันข้าม) Kōji แอบตกหลุมรัก/โหยหาพี่สะใภ้ Reiko ยินยอมอดรนทน เฝ้ารอคอย เพื่อว่าสักวันจะได้มีโอกาสสารภาพรัก
การนำเสนอเรื่องราวในทิศทางกลับตารปัตรตรงกันข้าม จักทำให้ผู้ชมได้เปิดมุมมอง พบเห็นโลกกว้าง เรียนรู้จัก ‘เอาใจเขามาใส่ใจเรา’ อย่างเรื่องราวของ Reiko ไม่เคยครุ่นคิดถึงคนรอบข้าง หมกมุ่นยึดติดกับอดีตสามีผู้ล่วงลับ จนเมื่อถูก Kōji สารภาพรัก เกิดความอึดอัด กระอักกระอ่วน สรรหาข้ออ้างโน่นนี่นั่นมาขับไล่ ผลักไส ปิดกั้นความรู้สึกตนเอง จนกระทั่งเหตุการณ์โศกนาฎกรรม ทำให้ครุ่นคิดย้อนกลับหาตนเอง ถ้าฉันยินยอมเปิดใจ กล้าเปิดเผยความรู้สึกออกไป หายนะวันนี้คงไม่บังเกิดขึ้น
(Scattered Clouds (1967) เป็นอีกผลงานหนึ่งที่อาจเรียกได้ว่า นำเสนอทิศทางกลับตารปัตรตรงกันข้ามกับ Floating Clouds (1955))
นอกจากประเด็นรักๆใคร่ๆ เรายังสามารถเปรียบความสัมพันธ์ Reiko & Kōji กับการมาถึงของห้างสรรพสินค้า (=Kōji) ที่กำลังค่อยๆกลืนกินร้านค้าปลีก/ขายของชำ (=Reiko) เพราะนายทุนเหมาซื้อสินค้าจำนวนมาก เลยได้ราคาต้นทุนถูกลง จึงสามารถจัดจำหน่ายสินค้าต่ำกว่าร้านค้าทั่วๆไป … พฤติกรรมนายทุนดังกล่าว ไม่ต่างจากฆาตกร ฆ่าตัดตอน (ในเชิงนามธรรม) ทำลายผู้ค้าปลีกให้ต้องปิดกิจการลงไป
(คล้ายๆกับ 112 ที่เรียกกันว่าการประหารชีวิตทางการเมือง, พฤติกรรมนายทุนหั่นราคาสินค้าให้ต่ำกว่าต้นทุน ก็เท่ากับฆ่าตัดตอนผู้ค้าปลีก วิธีแก้ปัญหาคือกระทรวงพาณิชย์ออกกฏหมายควบคุมราคาสินค้า)
เรื่องราวของหนังมันไม่สมเหตุสมผลอยู่นิดนึงตรงที่คนตายควรจะเป็น Reiko เพื่อสื่อถึงจุดจบ/หายนะของผู้ค้าปลีก พ่ายแพ้ต่อพวกนายทุน, แต่ถ้าเรามองในอีกแง่มุมหนึ่ง ความตายของ Kōji สะท้อนทัศนคติผู้สร้างที่ไม่ด้วย ต่อต้านการขยายตัวของห้างสรรพสินค้าใหญ่ สาปแช่งให้แม้งเจ๊งไวๆ (นี่ผมเอาสีข้างแถให้เลยนะ)
แต่สุดท้ายแล้วไม่มีทางที่บุคคลจะสามารถเอาชนะนิติบุคคล ภาพสุดท้ายของหนัง ปฏิกิริยาใบหน้าของ Hideko Takamine สำแดงอารมณ์ออกมาได้ทรงพลังอย่างที่สุด!
เสียงตอบรับตอนหนังออกฉายค่อนไปทางดี นักวิจารณ์ต่างสรรเสริญการแสดงของ Hideko Takamine ถึงขนาดตอนเดินทางไปฉายเทศกาล Locarno Film Festival (Switzerland) สามารถคว้ารางวัล Silver Sail: Best Actress
ปัจจุบันหนังยังไม่มีข่าวคราวการบูรณะ ฉบับที่ผมรับชมน่าจะ Rip มาจากคอลเลคชั่น Mikio Naruse – 5 films ของค่าย Carlotta Film (ฝรั่งเศส) ประกอบด้วย Sound of the Mountain (1954), Flowing (1956), When a Woman Ascends the Stairs (1960), Yearning (1964) และ Scattered Clouds (1967)
แม้ส่วนตัวจะไม่ค่อยชอบประเด็นรักต้องห้าม สร้างความขื่นขม ระทมใจ แต่การแสดงของ Hideko Takamine อยู่เหนือทุกสิ่งอย่าง สร้างแรงดึงดูดให้ลุ่มหลงใหล มันช่างมีความละเมียด ละเอียดอ่อนไหว ผันแปรเปลี่ยนไปไม่รู้จบสิ้น … บางครั้งมันอาจดูมากเกินไป แต่ผมกลับรู้สึกอึ่งทึ่ง มหัศจรรย์ใจ ทำการแสดงแบบนี้ออกมาได้ยังไง?
จัดเรต 13+ กับความสัมพันธ์ต้องห้าม ดื่มสุราเมามาย ตกอยู่ในความสิ้นหวังอาลัย
Leave a Reply