Rumble Fish

Rumble Fish (1983) hollywood : Francis Ford Coppola ♥♥♥♡

วัยรุ่นในขวดโหล ชอบทำตัวเหมือนปลากัด มองหน้าหาเรื่องทะเลาะวิวาท นำเสนอด้วยวิธีการอันฉูดฉาด Avant-Garde ผสมกับ Film Noir ในสไตล์ German Expressionism เอาแค่เพียงภาพถ่าย Time-Lapse ก็คุ้มค่าแก่การรับชมแล้ว

หลายวันก่อนผมได้รับชม Criterion Closet Picks ของผู้กำกับ Francis Ford Coppola ทำการอวยหนังของตนเอง Rumble Fish (1983) ว่ามีความสิเน่หา ‘special affection’ มากกว่าเรื่องอื่นใด

My goal was to make Rumble Fish as an art film for kids.

Francis Ford Coppola

จริงๆผมรับรู้จักหนังเรื่องนี้ตั้งแต่ตอนเขียนถึงผลงานของบุตรสาว Sofia Coppola อ่านเจอจากบทสัมภาษณ์กล่าวว่า Rumble Fish (1983) คือผลงานของบิดาที่เธอชื่นชอบโปรดปรานที่สุด และยังคือแรงบันดาลใจให้อยากเป็นผู้กำกับภาพยนตร์!

เอาแค่สองอย่างนี้ก็เพียงพอให้ผมเกิดความกระเหี้ยนกระหือ ตั้งใจจะเขียนถึงในช่วงเทศกาลวันเด็ก และต้องดูเคียงคู่กับ The Outsiders (1983) หนังวัยรุ่นตีกันอีกเรื่องของผกก. Coppola สร้างขึ้นก่อนหน้า (Back-to-Back) แต่มีลีลานำเสนอแตกต่างโดยสิ้นเชิง!

(ผมตัดสินใจเขียนถึง Rumble Fish ก่อนหน้า The Outsiders เพราะชื่นชอบหนังเรื่องนี้มากกว่า มันมีลีลานำเสนอที่จัดจ้าน ตื่นตาตื่นใจ รู้สึกกระตือรือล้น อยากเขียนถึงมากกว่า)


Francis Ford Coppola (เกิดปี ค.ศ. 1939) ผู้กำกับภาพยนตร์ สัญชาติอเมริกา เกิดที่ Detroit, Michigan ครอบครัวสืบเชื้อสายอิตาเลี่ยน ปู่ทวดอพยพจาก Naples, พ่อเป็นนักเป่าขลุ่ยประจำวง Detroit Symphony Orchestra, มีพี่น้องสามคนเป็นคนกลาง (น้องสาว Talia Shire เป็นนักแสดง) ตอนเด็ก Coppola ป่วยเป็นโปลิโอ จำต้องพักรักษาตัวอยู่บ้านหลายเดือน ช่วงนั้นทำให้เขารู้จักการเล่นหุ่นเชิด (Puppet Theater) อ่านหนังสือ A Streetcar Named Desire ตอนแรกตั้งใจเลือกเรียนดนตรีตามพ่อ แต่พอรับชมโคตรหนังเงียบ October: Ten Days That Shock the World (1928) ของ Sergei Eisenstein ตัดสินใจแน่วแน่ต้องการเป็นผู้สร้างภาพยนตร์

หลังเรียนจบจาก Hofstra University เดินทางไปศึกษาต่อภาพยนตร์ University of California, Los Angeles ยังไม่ทันเรียนจบออกมาสรรค์สร้างผลงานเรื่องแรก Tonight for Sure (1962) ดิ้นรนไปเรื่อยๆจนกระทั่ง You’re a Big Boy Now (1966) เข้าฉายสายประกวดหลักเทศกาลหนังเมือง Cannes แถมเข้าชิง Golden Globe Award: Best Motion Picture – Musical or Comedy ถูกจับตามองฐานะผู้กำกับรุ่น New Hollywood, ผลงานเด่นๆ อาทิ The Godfather Trilogy, The Conversation (1974), Apocalypse Now (1979) ฯ

สำหรับ Rumble Fish (1983) ต้นฉบับมาจากนวนิยายชื่อเดียวกัน Rumble Fish (1975) โดยนักเขียนหญิง S. E. Hinton นามปากกาของ Susan Eloise Hinton (เกิดปี ค.ศ. 1948) ซึ่งเธอยังดัดแปลงบทภาพยนตร์ร่วมกับ Coppola ช่วงระหว่างสรรค์สร้างภาพยนตร์ The Outsiders (1983)

ต้องเท้าความสักเล็กน้อยถึงภาพยนตร์ The Outsiders (1983) ซึ่งก็ดัดแปลงจากนวนิยายของ S. E. Hinton ทำให้ผกก. Coppola มีโอกาสอ่านผลงานๆอื่น แล้วเกิดความชื่นชอบประทับใจ Rumble Fish เพราะเรื่องราวสะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับพี่ชาย August Coppola (บิดาของ Nicolas Cage)

[Coppola] started to use Rumble Fish as my carrot … for what I promised myself when I finished The Outsiders.

Francis Ford Coppola

Coppola และ Hinton ใช้วันเวลาว่างๆระหว่างถ่ายทำ The Outsiders ในการพัฒนาบท Rumble Fish พอเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง เกิดความครุ่นคิดที่จะเลือกใช้นักแสดงชุดเดียวกัน รวมถึงสถานที่ถ่ายทำละแวกใกล้เคียง (Back-to-Back) ตั้งใจจะให้ต่อเนื่องกันไปเลย

แต่ติดปัญหาที่ Warner Bros. ไม่ประทับใจรอบทดลองฉาย The Outsiders (1984) จึงปฏิเสธไม่ให้ทุนสร้างโปรเจคนี้ นั่นทำให้ Coppola ต้องบันทึกภาพการซักซ้อม (Rehearsals) ด้วยกล้องวีดีโอนานสองสัปดาห์ เพื่อนำไปติดต่อของบประมาณได้จาก Universal Pictures พร้อมคำประกาศกร้าว

Rumble Fish will be to The Outsiders what Apocalypse Now was to The Godfather.


พื้นหลัง Tulsa, Oklahoma เรื่องราวของ Rusty James (รับบทโดย Matt Dillon) น้องชายของหัวหน้าแก๊งในตำนาน The Motorcycle Boy (รับบทโดย Mickey Rourke) หลังจาก(พี่ชาย)หายตัวไปกว่าสองเดือน แก๊งคู่อริสำแดงความฮึกเหิม เลยนัดต่อสู้หาผู้ครอบครองท้องถนน ช่วงแรกๆ Rusty James เป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่พออีกฝ่ายใช้อาวุธ ได้รับบาดเจ็บหนัก โชคดีว่า The Motorcycle Boy บังเอิญเดินทางกลับมาให้ความช่วยเหลือ

The Motorcycle Boy เล่าถึงการเดินทางสู่ California พบเจอมารดาที่ทอดทิ้งครอบครัวไป พยายามโน้มน้าวให้ Rusty James ละเลิกชีวิตนักเลง ค้นหาเส้นทางของตนเอง แต่เขาตอบปฏิเสธเสียงขันแข็ง ไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับพี่ชายถึงปรับเปลี่ยนไปมากขนาดนี้

Rusty James ยังคงใช้ชีวิตอย่างไม่ยี่หร่าอะไรใคร จนกระทั่งถูกแฟนสาวบอกเลิก โดนรุมกระทำร้ายจนได้รับประสบการณ์วิญญาณล่องลอยออกจากร่าง และจู่ๆพี่ชาย The Motorcycle Boy บุกปล้นร้านขายสัตว์เลี้ยง ปลดปล่อยนกในกรง พยายามนำปลาในตู้ไปปล่อยลงแม่น้ำ ก่อนถูกตำรวจยิงเสียชีวิต … เหล่านี้น่าจะกลายเป็นเรียนชีวิต ยินยอมทำตามคำร้องขอสุดท้ายพี่ชาย ขับมอเตอร์ไซด์ไปยังมหาสมุทร Pacific


Matthew Raymond Dillon (เกิดปี ค.ศ. 1964) นักแสดงสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ New Rochelle, New York ในครอบครัว Roman Catholic สืบเชื้อสาย Irish, ตอนอายุ 14 โดดเรียนมาทดสอบหน้ากล้อง แสดงภาพยนตร์เรื่องแรก Over the Edge (1979) แม้ไม่ประสบความสำเร็จ แต่ได้รับคำชมดีเยี่ยม กลายเป็น ‘teen idol’ เลยตัดสินใจเอาจริงเอาจังด้านนี้ ผลงานเด่นๆ อาทิ My Bodyguard (1980), Little Darlings (1980), The Outsiders (1983), Rumble Fish (1983), Drugstore Cowboy (1989), Wild Things (1998), Crash (2004), The House That Jack Built (2018) ฯ

รับบท Rusty James วัยรุ่นหนุ่ม เป็นคนอวดเก่ง ปากดี ดื่มเหล้าสูบบุหรี่ หาเรื่องชกต่อยแก๊งคู่อริ สาเหตุที่ชอบทำตัวเช่นนั้น เพราะต้องการดำเนินตามรอยพี่ชาย The Motorcycle Boy อยากเท่ห์ อยากโดดเด่น อยากได้รับการยินยอมรับ แต่นั่นทำให้เขาต้องเผชิญหน้าประสบการณ์เฉียดตายบ่อยครั้ง ใครเตือนอะไรไม่เคยรับฟัง

เกร็ด: ต้นฉบับนวนิยาย Rusty-James อายุเพียง 14 ปี เพิ่งเริ่มดื่มเหล้า สูบบุหรี่ เลียนแบบพี่ชายอายุ 17, แต่ภาพยนตร์มันทำเช่นนั้นไม่ได้ (อายุยังไม่บรรลุนิติภาวะ) เลยต้องปรับเปลี่ยนตามอายุนักแสดง Matt Dillon ขณะนั้น 18-19 ปี ส่วน Mickey Rourke ย่างเข้าวัยสามสิบ รับบทตัวละครอายุ 21 ปี

ผกก. Coppola มีความประทับใจ Dillon มาตั้งแต่ Tex (1982) [ดัดแปลงจากนวนิยายอีกเล่มของ S. E. Hinton] เลยชักชวนมาร่วมงาน The Outsiders (1983) และต่อด้วย Rumble Fish (1983) ทั้งสามบทบาทต่างมีลักษณะคล้ายๆกันคือวัยรุ่นหัวขบถ โหยหาการยินยอมรับ เรียกร้องความสนใจ ใช้ความรุนแรงเพื่อระบายอารมณ์อัดอั้นภายใน

Rusty James น่าจะถือเป็นบทบาทวัยรุ่นยอดเยี่ยมที่สุดของ Dillon โดดเด่นกับการใช้ภาษากาย ถ่ายทอดความรู้สึกภายในออกมา วัยรุ่นเลือดร้อน เจ้าอารมณ์ ไม่สามารถควบคุมตนเอง ปากดี อวดเก่ง ครุ่นคิดว่าฉันเจ๋ง สามารถทำอะไรๆได้ทุกสิ่งอย่าง … ผกก. Coppola เลือกฉายโคตรหนังเงียบ The Last Laugh (1924) เพื่อให้ Dillon ศึกษาการแสดงอันทรงพลังของ Emil Jannings

แต่ความจริงนั้น Rusty James ไม่สามารถเป็นอย่าง The Motorcycle Boy ไม่ได้เฉลียวฉลาด ไม่ได้มีฝีมือเก่งกาจ บ่อยครั้งมักทำอะไรผิดพลาด หลายๆบทเรียน(ถูกแฟนสาวทอดทิ้ง)สร้างความตระหนักให้ตนเอง จนกระทั่งความตายของพี่ชายน่าจะทำให้เขาบังเกิดสติ รู้จักหยุดยับยั้งชั่งใจ ต่อจากนี้ไม่หลงเหลือตัวช่วยใดๆ จะใช้ชีวิตห่ามๆ นักเลงหัวไม้ เพิกเฉยลอยชายไม่ได้อีกต่อไป

แซว: มีคนนับว่าชื่อ Rusty James ถูกกล่าวถึงทั้งหมด 50 ครั้ง โดยเฉลี่ยประมาณ 2 นาทีครั้ง


Philip Andre ‘Mickey’ Rourke Jr. (เกิดปี ค.ศ. 1952) นักแสดง สัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Schenectady, New York ช่วงวัยรุ่นมีความสนใจต่อยมวยสมัครเล่น สถิติชนะ 27 ครั้ง (น็อคคู่ต่อสู้ 12 ครั้ง) หลังเลิกต่อมวยได้รับชักชวนจากเพื่อนให้ร่วมแสดงละคอนเวที Deathwatch แล้วเกิดความหลงใหลคลั่งไคล้ด้านนี้ เดินทางสู่ New York เข้าเรียน Actors Studio จากนั้นมีผลงานโทรทัศน์ สมทบภาพยนตร์เรื่องแรก 1941 (1979), Body Heat (1981), Diner (1982), Rumble Fish (1984), Barfly (1987), Angel Heart (1987), The Rainmaker (1997), Sin City (2005), The Wrestler (2008), Iron Man 2 (2010) ฯ

รับบท The Motorcycle Boy พี่ชายสุดเท่ห์ ขับมอเตอร์ไซค์ ไอดอลของ Rusty James ไม่ว่าจะทำอะไรก็โดดเด่น เป็นที่รักของเพื่อนฝูง จู่ๆสูญหายตัวไปสองสามเดือน ก่อนหวนกลับมาในสภาพสงบเสงี่ยมเจียมตน พยายามเสี้ยมสอนน้องชายให้ละเลิกเป็นนักเลงหัวไม้ มันช่างผิดจากภาพความทรงจำ ทำไมถึงเปลี่ยนแปลงไปขนาดนี้? แล้ววันหนึ่งบุกเข้าไปในร้านขายสัตว์เลี้ยง ปล่อยนก ปล่อยปลา กำลังทำบ้าบออะไร???

Rourke เคยมาทดสอบหน้ากล้อง The Outsiders (1983) แต่ไม่ได้รับเลือก (เพราะอายุมากเกิน) ถึงอย่างนั้นผกก. Coppola เห็นแววด้านการแสดงเลยชักชวนมาร่วมงาน Rumble Fish (1984) พร้อมให้คำแนะนำบทบาทนี้ “an actor who no longer finds his work interesting.”

จากคำเยินยอสรรเสริญของ Rusty James คงทำให้ผู้ชมคาดหวังกับ The Motorcycle Boy ว่าต้องมีความหล่อเท่ห์ ทำตัวโดดเด่น กระทำสิ่งยิ่งใหญ่ระดับตำนาน! แต่พอเจอตัวจริงกลับดูเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า สายตาเหม่อล่องลอย ภายในว่างเปล่า ไร้ชีวิตชีวา … มันช่างตรงกันข้ามกับความคาดหวังโดยสิ้นเชิง!

แต่การแสดงของ Rourke ต้องชมเลยว่าเล่นดีไม่ด้อยไปกว่า Dillon นอกจากความหล่อ เท่ห์ ยังพยายามทำตัวเป็นพี่ชายแสนดี ให้คำแนะนำโน่นนี่นั่น ขณะเดียวกันเก็บกดอดกลั้นความรู้สึกอัดอั้นภายใน ใกล้ถึงจุดแตกหัก ผิดหวังต่อบิดา-มารดา นี่ฉันเกิดมาทำไม? คงมีอีกหลายสิ่งอย่างซุกซ่อนไว้ จนวันหนึ่งอดรนทนไม่ไหว ระเบิด ระบาย ปลดปล่อยทุกสิ่งอย่างออกมา


ถ่ายภาพโดย Stephen Henry Burum (เกิดปี ค.ศ.1939) สัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Dinuba, California สำเร็จการศึกษาจาก UCLA School of Theater, Film and Television จากนั้นทำงานเป็นตากล้องสตูดิโอ Walt Disney ก่อนเกณฑ์ทหารเข้าร่วม Army Pictorial Center ถ่ายทำสารคดีฝึกทหาร พอปลดประจำการกลายเป็นตากล้องโฆษณา, รายการโทรทัศน์, กองสองภาพยนตร์ Apocalypse Now (1976), ได้รับเครดิตถ่ายภาพ The Outsiders (1983), Rumble Fish (1983), The Untouchables (1987), Mission: Impossible (1996) ฯ

ไม่ใช่ว่าหนังได้งบประมาณมาน้อยจึงถ่ายทำด้วยฟีล์มขาว-ดำ จริงๆคือทุนสร้าง $10 ล้านเหรียญ เท่ากับ The Outsiders (1983) แต่ความสิ้นเปลืองหมดไปกับสารพัดลูกเล่นภาพยนตร์ ละเล่นกับแสง-เงา ทิศทางมุมกล้อง (บรรยากาศ German Expressionism) แทบทุกฉากภายนอกคละคลุ้งหมอกควัน มีการทาพื้นผนัง กำแพง ต้นไม้สีดำ เพื่อให้ภาพออกมาดูคมเข้ม-ตัดกัน (High-Contrast) และสิ่งที่ผมครุ่นคิดว่าสิ้นเปลือง+เสียเวลาที่สุดก็คือ Time-Lapse สร้างสัมผัสกาลเวลาเคลื่อนพานผ่าน

ความสไตล์ลิสต์ของหนัง หรือจะเรียกว่าอารมณ์ติสต์แตกของผกก. Coppola มีความผิดแผกแตกต่างจากผลงานอื่นๆโดยสิ้นเชิง เป็นการสร้างโลกส่วนตัว/ในจินตนาการ แลดูคล้ายๆจักรวาลในตู้ปลา (Fish Tank) แต่ผมขอเปรียบเทียบกับลูกแก้วหิมะ (Snow Globe) ที่ทุกสิ่งอย่างภายนอก ท้องฟ้า ก้อนเมฆ สรรพสิ่งอย่างมีการเคลื่อนพานผ่านไปอย่างรวดเร็ว (ด้วยลูกเล่น Time-Lapse)

หนังปักหลักอยู่ย่าน Tulsa, Oklahoma ไม่ห่างจากสถานที่เคยใช้ถ่ายทำ The Outsiders (1983) ซึ่งเป็นย่านบ้านเกิดของผู้แต่งนวนิยาย S. E. Hinton รับรู้จักละแวกนั้นเป็นอย่างดี, ระยะเวลาถ่ายทำประมาณสองเดือนกว่าๆ กรกฎาคม – กันยายน ค.ศ. 1982


ผกก. Coppola ได้แรงบันดาลการถ่ายภาพ Time-lapse photography จากภาพยนตร์ Koyaanisqatsi (1982) แทบทุกครั้งที่ถ่ายมุมกว้าง ท้องฟ้า ทิวทัศน์ Tulsa, Oklahoma และกระจกหน้าร้าน Benny’s Illiards สร้างสัมผัสกาลเวลาเคลื่อนพานผ่าน ไม่รู้วันเดือนปี ราวกับสถานที่แห่งนี้คือโลกอีกใบที่อยู่นอกเหนือกาลเวลา

ไม่ใช่แค่ภาพถ่าย Time Lapse หนังยังเลือกใช้ทิศทางมุมกล้องที่ดูผิดแผกแปลกตา ก้ม-เงย มุมเอียง องศาเฉียงๆ (Oblique Angles) ละเล่นกับแสง-เงา ภาพซ้อน (Double Exposure), Split-Focus, Deep Focus, รวมถึงใช้อุปกรณ์ Hand-Held ขยับเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ ฯ

ผกก. Coppola ต้องการสร้างบรรยากาศหนังในลักษณะ German Expressionism อ้างอิงจากโคตรหนังเงียบ The Cabinet of Dr. Caligari (1920) มาปรับประยุกต์ใช้บนโลกความจริง

ระหว่างที่ Rusty James จู่จี๋กับ Patty ตรงโซฟา โทรทัศน์กำลังฉายภาพยนตร์ Murder by Television (1935) นำแสดงโดย Bela Lugosi แค่ชื่อก็บอกใบ้หายนะกำลังคืบคลานเข้ามา

ฉากต่อสู้ระหว่าง Rusty James vs. Biff Wilcox ไม่ใช่แค่ชื่นชม แต่ต้องสรรเสริญเลยว่ามีองค์ประกอบ หมอกควัน ไฟกระพริบ ทิศทางมุมกล้องที่ดูแปลกตา ลีลาตัดต่อ และเพลงประกอบร่วมสร้างความตื่นเต้น รุกเร้าใจ มีความงดงามทางศิลปะภาพยนตร์อย่างมากๆ

นั่นเพราะการออกแบบท่าเต้น (Choreographer) โดย Michael Smuin ผู้อำนวยการร่วมของ San Francisco Ballet ได้รับคำแนะนำจากผกก. Coppola เพียงห้าคีย์เวิร์ด มอเตอร์ไซด์, กระจกแตก, มีด, เลือด และน้ำโพยพุ่ง ใช้เวลาซักซ้อมถ่ายทำนานหนึ่งสัปดาห์

Rusty James กับ Patty ยืนคุยกันอยู่เบื้องหน้า ด้านหลังคือมารดาและน้องสาว (ของ Patty) โดยปกติแล้วมุมกล้องลักษณะนี้ (Citizen Kane Shot) มักสื่อถึงบุคคลที่อยู่ห่างไกล มักไร้สิทธิ์เสียง ไม่สามารถมีส่วนร่วมใดๆ (ความรักของคนหนุ่มสาว ไม่ใช่เรื่องที่ผู้ใหญ่และเด็กจะมีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นใดๆ) แต่ในบริบทนี้ผมมองเป็นภาพสะท้อนระหว่างรุ่นพ่อแม่ กับลูกหลาน

กล่าวคือความสัมพันธ์ระหว่าง Rusty James กับ Patty สามารถมองเป็นภาพสะท้อนบิดา-มารดา (ของ Rusty James และ The Motorcycle Boy) ตอนรักกันคงหวานฉ่ำ แต่พฤติกรรมเห็นแก่ตัว ไร้ความผิดชอบ ทำให้พวกเขาเลิกราหย่าร้าง แล้วคบหาคนใหม่ที่ดีกว่า (Patty เปลี่ยนไปคบหา Smokie = มารดาย้ายไป California อยู่กินกับโปรดิวเซอร์)

โดยไม่มีต้นสายปลายเหตุ Rusty James มีความจงเกลียดจงชัง Cassandra แฟนสาวของ The Motorcycle Boy ผมมองว่าน่าจะความอิจฉาริษยาล้วนๆ เพราะเธอแก่งแย่งความสนใจจากพี่ชาย และอาจคือสาเหตุให้เขาโคตรรังเกียจพวกเล่นยา พยายามพูดด่าทอด้วยถ้อยคำรุนแรง หยาบคาย แต่เชื่อเถอะว่ายัยนี่คงจดจำอะไรไม่ได้สักสิ่งอย่าง (เพราะยังเคลิบเคลิ้มกับฤทธิ์ยา)

ตั้งแต่จำความได้ Rusty James ไม่เคยมีมารดาอยู่เคียงข้าง บิดาก็เอาแต่ดื่มสุราเมามาย เหลือเพียง The Motorcycle Boy คอยเลี้ยงดูแล มอบความรัก ความอบอุ่น เสาหลักสำหรับพึ่งพาอาศัย Brother Complex? จึงเต็มไปด้วยอคติต่อเพศหญิง (และมารดา) ไม่ต้องการให้ใครมาแก่งแย่ง หรืออยู่เคียงชิดใกล้พี่ชาย … นั่นรวมถึงการปฏิบัติต่อแฟนสาว Patty ราวกับวัตถุทางเพศ สนเพียงร่วมรักหลับนอน ตอบสนองความตัณหากามารมณ์ ไม่เคยครุ่นคิดจะรับผิดชอบ หรือหยุดยับยั้งชั่งใจตนเอง

Patty บอกเลิก Rusty James ระหว่างก้าวเดินไปตามท้องถนน คละคลุ้งด้วยหมอกควัน ราวกับว่ามันคือดินแดนลึกลับ มองไม่เห็น ไม่สามารถทำความเข้าใจ มันบังเกิดเหตุการณ์ห่าเหว? ฉันทำผิดอะไร? แค่เข้าร่วมปาร์ตี้ Orgy เท่านั้นเองนะหรือ? ทำให้แฟนสาวสูญหายไปกับสายหมอก

เกร็ด: ผกก. Coppola นำแรงบันดาลใจการใช้ควันจากภาพยนตร์ Decision Before Dawn (1951) กำกับโดย Anatole Litvak ผมยังไม่เคยรับชม แต่เห็นว่าเข้าชิง Oscar สองสาขา Best Picture และ Best Film Editing

นาฬิกาเรือนใหญ่ มาพร้อมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจคู่อริ พยายามคุยโวโอ้อวด บอกว่าจะหาโอกาสจัดการ Rusty James และ The Motorcycle Boy มันค่อนข้างชัดเจนว่าต้องเคลือบแฝงนัยยะถึงเวลานับถอยหลัง ถ้าไม่ถูกจับกุม ก็ต้องมีใครสักคนถูกวิสามัญ

สำหรับคนช่างสังเกต จะพบว่าหนังถ่ายติดนาฬิกามากมายเต็มไปหมด หลายครั้งยังได้ยินเสียงติก-ติก-ติก หรือเพลงประกอบรัวกลอง รัวฉาบ อย่างมีจังหวะ (Rhythm) ก็เพื่อสร้างสัมผัสการนับถอยหลัง เติบโตเป็นผู้ใหญ่? อายุขัยสั้นลง? ความตายใกล้เข้ามาเยือน?

ตาดีได้ ตาร้ายเสีย ภาพซ้ายผกก. Coppola เดินเข้าเฟรมมาขณะ The Motorcycle Boy กำลังพูดประโยค “High as kite”, “On top of the world”, ส่วนอีกภาพหญิงสาวโสเภณีเดินลงบันไดมาทักทาย Rusty James และ The Motorcycle Boy เธอคนนั้นคือ S. E. Hinton ผู้เขียนนวนิยายต้นฉบับ Rumble Fish

แวบแรกที่พบเห็นวิญญาณล่องลอยออกจากร่าง (Out-of-Body Experience) ผมนึกถึงภาพยนตร์ It’s a Wonderful Life (1946) คาดเดาว่าเหตุการณ์นี้อาจทำให้ Rusty James ครุ่นคิดทบทวนตนเอง ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เลิกเที่ยวเตร่ ทำตัวเป็นนักเลงหัวไม้ เพื่อไม่ให้คนรู้จักต้องเศร้าโศกเสียใจ … แต่หนังใช้ซีเควนซ์นี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นที่ทำให้ Rusty James ตระหนักว่าตนเองไม่ได้เก่ง ไม่ได้เจ๋งเป้งเหมือนพี่ชาย แค่เพียง ‘damsel in distress’ รอคอยการมาถึงของฮีโร่ขี่ม้าขาว

เกร็ด: ทีแรกผมครุ่นคิดว่าคงแค่นักแสดงผูกติดกับสลิงล่องลอยไป ก่อนพบเจอว่าจริงๆแล้วให้ Matt Dillon สวมใส่ Body Mold (คล้ายๆการเข้าเฝือก) เพื่อไม่ให้ต้องเกร็งร่างกายเวลาล่องลอยไปไหน

ผมละชื่นชอบ Split-Focus ภาพนี้มากทีเดียว เป็นการแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่าง The Motorcycle Boy นั่งอยู่เบื้องบนราวกับพระราชาผู้สูงส่ง คอยช่วยเหลือ แก้ปัญหาให้ Rusty James (และ Steve) บุคคลผู้ต่ำต้อยด้อยค่า และทิวทัศน์ใต้สะพาน เหม่อมองออกไปราวกับภาพสะท้อนภาพไม่รู้จบ (Infinity Mirror) มันคงเกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก มากมายนับครั้งไม่ถ้วน

การเคลียร์ใจระหว่าง Rusty James กับ Smokie ยังหน้าร้าน Benny’s Illiards ถ้าเป็นก่อนหน้านี้คงได้มีเรื่องชกต่อยกันอย่างแน่นอน แต่หลังจากเขาผ่านประสบการณ์เฉียดตาย และอีกหลายๆสิ่งอย่าง (เหมือนก้อนเมฆ ‘Time Lapse’ ที่ฉายบนกระจกร้าน) ทำให้ Rusty James สามารถสงบสติอารมณ์ ยินยอมรับความจริง อำนวยอวยพรขอให้โชคดี

เราสามารถเปรียบเทียบ Rusty James วัยรุ่นหัวร้อน ชอบทำตัวคึกคะนอง นักเลงหัวไม้ หาเรื่องทะเลาะวิวาทกับใครไปทั่ว ไม่ต่างจากปลากัด (Siamese fighting fish) ชีวิตเต็มไปด้วยสีสัน แต่ถ้าจับ(ปลากัด)มาอยู่ตู้เดียวกัน มันก็จะกัดกันจนตกตายไปข้างหนึ่ง! … จะว่าไปชื่อหนัง Rumble Fish สื่อถึงปลากัด/Rusty James นั่นเองละครับ

เกร็ด: ทีแรกผมครุ่นคิดว่าคงเป็นการระบายสีเฟรมต่อเฟรมลงบนตัวปลา ก่อนค้นพบว่าหนังถ่ายทำนักแสดงด้วยภาพขาว-ดำ นำมาฉายด้วยเครื่อง Rear Projection แล้ววางตู้ปลากัดไว้เบื้องหน้า และถ่ายทำด้วยฟีล์มสี … เป็นวิธีการที่ ชาญฉลาดไม่เบา!

ในมุมของผู้ชมทั่วๆไป พฤติกรรมของ The Motorcycle Boy จู่ๆบุกเข้ามาในร้านขายสัตว์เลี้ยง ปล่อยนก ปล่อยปลา ทำบุญสุนทาน ช่วยชีวิตสัตว์โลกหรือไร? ไปเป็นสมาชิกองค์กรเรียกร้องสิทธิสัตว์ตอนไหน? มันช่างบ้าบอ ไร้เหตุผล เหมือนคนคลุ้มบ้าคลั่ง สูญเสียสติแตก

แต่ถ้าเราทำความเข้าใจหนังในฐานะ ‘Art Film’ จักค้นพบว่าทุกการกระทำล้วนเคลือบแฝงนัยยะของการปลดปล่อย โหยหาอิสรภาพ ระบายสิ่งอัดอั้นที่อยู่ภายในจิตใจของ The Motorcycle Boy รวมถึงพยายามแนะนำ/คำร้องของสุดท้ายกับน้องชาย Rusty James ไม่ว่าอะไรจะบังเกิดขึ้นต่อจากนี้ จงขับมอเตอร์ไซด์ (ค้นหาเส้นทางชีวิตตนเอง) มุ่งสู่ท้องทะเล (ปลดปล่อยสู่อิสรภาพ) อย่ายึดติดกับตนเอง และสถานที่แห่งนี้

สำหรับคนที่มองว่าภาพขาว-ดำของหนัง คือโลกในความฝันของ Rusty James มันจะมีขณะหนึ่งหลังสูญเสีย The Motorcycle Boy มิอาจอดกลั้นฝืนทน ระบายอารมณ์อัดอั้นด้วยการชกกระจกรถตำรวจจนแตกละเอียด วินาทีนั้นปรากฎภาพสีขึ้นมาเสี้ยววินาที ราวกับว่ามันคือโลกความจริงที่แสนเจ็บปวด

การชกกระจกรถตำรวจแตก สามารถสะท้อนถึงสภาพจิตใจแหลกละเอียดของ Rusty James เพราะความตายของ The Motorcycle Boy ทำให้เขาสูญเสียทุกสิ่งอย่าง ไร้บุคคลที่พึ่งพักพิง ต่อจากนี้จักต้องต่อสู้ดิ้นรน หาหนทางเอาตัวรอดด้วยตนเอง

ขณะเดียวกันการชกกระจกแตก เคลือบแฝงนัยยะเดียวกับการปล่อยนกจากกรง ปล่อยปลาลงแม่น้ำ หรือก็คือ Rusty James ทำลายภาพสะท้อน(กระจก)ตัวตนเอง สูญเสียบุคคลที่เป็นไอดอล/ต้นแบบอย่างดำเนินชีวิต ต่อจากนี้จึงจำต้องสร้างอัตลักษณ์(ของตนเอง)ขึ้นมาใหม่

ทีแรกผมครุ่นคิดจะทำไฟล์ GIF แต่มันยาวเป็นนาทีเลยเลือกแคปรูปภาพบุคคลสำคัญๆในชีวิตของ The Motorcycle Boy ที่กล้องเคลื่อนเลื่อน ฉายภาพหลังความตาย ประกอบด้วย เพื่อนรู้จัก อดีตคนรัก บิดา คนแปลกหน้า และกราฟฟิตี้ที่จะค่อยๆลบเลือนหายตามกาลเวลา

Rusty James ทำตามคำร้องขอสุดท้ายของ The Motorcycle Boy ขับมอเตอร์ไซด์มาถึงยังมหาสมุทร Pacific ทั้งปลา ทั้งนก และชายหนุ่มคนนี้ ราวกับได้รับการปลดปล่อยสู่อิสรภาพ (ผู้ชมก็เฉกเช่นเดียวกัน) ต่อจากนี้จักต้องมองหาเส้นชีวิตด้วยตนเอง ไม่หลงเหลือใครเป็นที่พึ่งพักพิงอีกต่อไป

แต่ตอนจบแบบนี้มันอาจเป็นปลายเปิดสำหรับผู้ชมทั่วๆไป เพราะหนังไม่ได้ให้ข้อสรุปใดๆ ไม่รับรู้ว่า Rusty James จะสามารถกลับตัวกลับใจ ละเลิกการเป็นนักเลงหัวไม้ได้หรือไม่? อนาคตช่างเคว้งคว้าง ล่องลอย เหม่อมองออกไปไม่เห็นอะไร … จะตีความแบบนี้ก็ได้กระมัง?

เกร็ด: สำหรับตอนจบของนวนิยาย Rusty James ถูกจับกุม ติดคุกนานห้าปี เมื่อได้รับการปล่อยตัวพบเจอเพื่อนเก่า Steve ที่ริมชายหาด California พยายามหลงลืมทุกสิ่งอย่างเกี่ยวกับ The Motorcycle Boy

ตัดต่อโดย Barry M. Malkin (1938-2019) สัญชาติอเมริกัน เกิดที่ New York City โตขึ้นได้ฝึกงานภายใต้นักตัดต่อ Dede Allen ภาพยนตร์ American American (1962), กลายเป็นผู้ช่วยตัดต่อ Lilith (1964), ร่วมงานขาประจำผู้กำกับ Francis Ford Coppola ตั้งแต่ The Rain People (1969), The Godfather Part II (1974), Rumble Fish (1983), The Cotton Club (1984), The Godfather Part III (1990), The Rainmaker (1997) ฯ

หนังดำเนินเรื่องผ่านมุมมองของ Rusty James เริ่มตั้งแต่ได้รับการท้าดวลจากแก๊งคู่อริที่กำลังเหิมเกริมอย่างหนัก ภายหลังจากพี่ชาย The Motorcycle Boy สูญหายตัวไปกว่าสองเดือน ระหว่างการต่อสู้แม้เป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่ความพลั้งเผลอทีเดียวได้รับบาดเจ็บสาหัส โชคดีที่พี่ชายหวนกลับมาพอดี ให้ความช่วยเหลือ เก็บกวาดขยะบนท้องถนน

เรื่องราวหลังจากนั้น Rusty James สอบถามสารทุกข์สุขดิบ ขับมอเตอร์ไซด์ซิ่งไปแห่งหนไหน แต่ขณะเดียวกันก็สังเกตเห็นพฤติกรรมของ The Motorcycle Boy ดูผิดแผกแตกต่างไปจากเดิม มีความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า ท่าทางเหมือนคนเบื่อโลก พยายามโน้มน้าวน้องชายให้ละเลิกพฤติกรรมนักเลงหัวไม้ แนะนำให้มองหาเส้นทางชีวิตตนเอง ด้วยความที่ยังเป็นวัยสะรุ่น เลยไม่ค่อยเข้าใจอะไร ต้องได้รับหลายๆบทเรียน ประสบการณ์เสี่ยงตาย ถึงเริ่มเข้าใจความหมายของพี่ชาย

  • วันๆของ Rusty James
    • ระหว่างที่ Rusty James เล่นสนุ๊กเกอร์กับ Smokey ได้รับการท้าดวลจากแก๊งคู่อริ Biff Wilcox
    • หลังเลิกเรียน Rusty James เกี้ยวพาราสีแฟนสาว Patty นัดหมายพบเจอกันค่ำคืนนี้
    • หัวค่ำเดินทางไปที่บ้านของ Patty
    • พอใกล้สี่ทุ่มเดินทางไปยังสถานที่นัดหมาย ต่อสู้กับคู่อริ
    • The Motorcycle Boy เป็นพระเอกขี่ม้าขาว จัดการกับ Bill Wilcox ให้ความช่วยเหลือ Rusty James ลากพากลับห้องพัก
  • ความวุ่นวายไม่รู้จบสิ้น
    • แม้อาการบาดเจ็บยังไม่หายดี Rusty James ยังคงไปโรงเรียน, เกี้ยวพาราสี Patty, ตำหนิต่อว่า Cassandra
    • เมื่อกลับมาห้องพักรับฟังเรื่องราวการเดินทางของพี่ชาย
    • ดึกดื่น Rusty James แอบไปร่วมปาร์ตี้ Orgy
    • วันถัดมาเดินทางไปโรงเรียน ถูกผู้อำนวยการสั่งพักการเรียน
    • รอพบเจอ Patty ที่ป้ายรถเมล์ ก่อนถูกเธอบอกเลิกเพราะงานเลี้ยงปาร์ตี้นั้น
  • ประสบการณ์วิญญาณออกจากร่าง
    • Rusty James พบเจอ The Motorcycle Boy ที่ร้านขายหนังสือ พบเห็นภาพถ่าย+บทความตีพิมพ์ลงนิตยสาร
    • ค่ำคืนพากันเดินเที่ยวเล่น แวะเวียนผับบาร์ต่างๆ
    • ก่อนที่ Rusty James ถูกห้อมล้อม โดนรุมกระทืบ จนได้รับประสบการณ์วิญญาณออกจากร่าง โชคดีว่า The Motorcycle Boy เข้ามาให้ความช่วยเหลือได้ทันท่วงที
    • เช้าวันถัดมา The Motorcycle Boy นั่งอยู่บนแท่นพระราชา สำแดงความยิ่งใหญ่ที่ Rusty James ไม่มีทางไต่เต้าถึง
    • Patty เปลี่ยนคบหากับ Smokey พูดคุยปรับความเข้าใจกับ Rusty James
  • No More Hero
    • The Motorcycle Boy และ Rusty James แวะเวียนมายังร้านขายสัตว์เลี้ยง พี่ชายดูมีความลุ่มหลงในปลากัด
    • ค่ำมืดเดินเรื่อยเปื่อยไปพบเจอบิดาในบาร์แห่งหนึ่ง
    • The Motorcycle Boy บุกเข้าไปในร้าน ทำการปล่อยนก ปล่อยปลา
    • ระหว่าง The Motorcycle Boy นำปลาไปปล่อยลงแม่น้ำ ถูกตำรวจคู่อริดักยิงเสียชีวิต
    • Rusty James ทำตามคำร้องขอสุดท้ายของพี่ชาย

เกร็ด: Mickey Rourke เล่าในบทสัมภาษณ์ว่าฉบับตัดต่อแรกของหนัง ได้ความยาวกว่า 5 ชั่วโมง มีฉากมากมายถูกหั่นทิ้งออกไป ก็ไม่รู้ฟุตเทจเหล่านั้นยังหลงเหลืออยู่บ้างไหม


เพลงประกอบโดย Stewart Armstrong Copeland (เกิดปี ค.ศ. 1952) นักดนตรี แต่งเพลง มือกลองวงร็อคอังกฤษ The Police, เกิดที่ Alexandria, Virginia ค้นพบความชื่นชอบตีกลองตั้งแต่อายุ 12 เคยย้ายไปอังกฤษหลายปี ก่อนกลับมาเรียนมหาวิทยาลัย Alliant International University และ University of California, Berkeley จากนั้นเดินทางกลับอังกฤษ กลายเป็นผู้จัดการ/มือกลองวง Curved Air (1975–1976) ก่อนแยกตัวออกมาก่อตั้ง The Police (1977-86)

ในส่วนของเพลงประกอบ ตอนแรกผกก. Coppola ครุ่นคิดอยากทำออกมาในลักษณะ ‘Experimental Score’ ใช้เพียงเครื่องกระทบ (Percussion) สร้างจังหวะให้เหมือนการนับถอยหลัง วันเวลาใกล้หมดลง “symbolize the idea of time running out” แต่ด้วยระยะเวลา Post-Production มีจำกัด เลยติดต่อ Stewart Copeland มือกลองวง The Police เข้ามาเป็นที่ปรึกษา ไปๆมาๆเห็นความสามารถโดดเด่น เลยมอบหมายหน้าที่ในการรังสรรค์บทเพลง

เกร็ด: ยุคสมัยนั้นการจะทำให้บทเพลงมีจังหวะสอดคล้องเข้ากับภาพเคลื่อนไหว เป็นเรื่องโคตรยุ่งยาก แต่การมาถึงของ Musync ประดิษฐ์โดย Robert Randles อุปกรณ์ที่สามารถตัดต่อเสียง เพิ่มลดจังหวะดนตรี (Tempo) นั่นช่วยการทำงานให้สามารถเชื่อมโยง (Synchronize) ภาพและเสียงเข้าด้วยกันได้ง่ายขึ้นเป็นกอง

นั่งรับฟัง Soundtrack แม้ท่วงทำนองแปลกๆ เครื่องดนตรีไม่ค่อยคุ้นหู แต่อาจไม่รู้สึกว่ามันน่าตื่นตาตื่นใจเท่าตอนรับชมในหนัง นั่นเพราะ Copeland ได้ทำการเชื่อมโยงระหว่างภาพและเสียง แต่ละจังหวะได้ยินล้วนมีความสอดคล้อง เข้ากับท่าทางการต่อสู้ ลีลาตัดต่อ และมันยังกอปรด้วย Sound Effect อีกมากมาย เลยสร้างความตื่นเต้น รุกเร้าใจได้มากกว่า

ตอนที่ Rusty James ได้รับประสบการณ์วิญญาณออกจากร่าง ผมค้นหาอยู่สักพักก่อนพบว่าตั้งชื่อเพลง Our Mother is Alive มันเกี่ยวอะไรกันหว่า? แถมท่วงทำนองก็ไม่ได้เหมือนเป๊ะในหนัง เพียงบางท่อน บรรเลงด้วยแซกโซโฟนเหมือนกัน นั่นทำให้ผมเพิ่งตระหนักว่า Copeland อาจทำการเรียบเรียงบทเพลงทั้งหมดขึ้นใหม่ สำหรับรวบรวมทำอัลบัม (ไม่ใช่ Soundtrack ประกอบภาพยนตร์แบบร้อยเปอร์เซ็นต์)

Rusty James มีความหลงใหลคลั่งไคล้ ยกย่องเทิดทูน The Motorcycle Boy คือไอดอลผู้ยิ่งใหญ่ จึงพยายามลอกเลียนแบบ ทำตามหลายๆสิ่งอย่าง ครุ่นคิดว่าโตไปฉันจะหล่อ เท่ห์ เก่งเหมือนพี่ชาย แต่ชีวิตจริงไม่เหมือนนิยาย เขาก็แค่ชายหนุ่มธรรมดาๆ จิ๊กโก๋หน้าปากซอย อวดเก่ง ดีแต่ปาก พึ่งพาอะไรไม่ได้สักสิ่งอย่าง

ด้วยความที่ Rusty James ยังเป็นวัยรุ่นหนุ่มหน้าใส ละอ่อนเยาว์วัย ไม่รู้ประสีประสาต่อโลก เขาจึงไม่รับรู้ขีดจำกัด ความสามารถของตนเอง ใครแนะนำอะไรเลยไม่เคยรับฟัง ต้องลิ้มลองถูกลองผิด เผชิญหน้าสิ่งต่างๆ เรียนรู้จักความผิดพลาด พานผ่านประสบการณ์เฉียดเป็นเฉียดตาย พบเห็นหายนะ โศกนาฎกรรม ความตายของพี่ชายน่าจะทำให้เขาบังเกิดสติหยุดยับยั้งชั่งใจ

เราสามารถเปรียบเทียบเรื่องราวของ Rusty James ไม่ต่างจากปลากัดในโถ พร้อมตอบโต้ใครก็ตามที่จ้องหน้าสบตา ครุ่นคิดว่าฉันเท่ห์ ฉันเก่ง แต่มันก็แค่กบในกะลา จักรวาลในตู้ปลา นกในกรง ลูกแก้วหิมะ นั่นทำให้ The Motorcycle Boy พยายามปลดปล่อยสรรพสัตว์เหล่านั้นให้ได้รับอิสรภาพ และความตายของพี่ชาย = ปลดปล่อยจิตวิญญาณของ Rusty James ให้เป็นอิสระ

ผมนึกถึงภาพยนตร์ที่เพิ่งรับชมไปเมื่อเดือนก่อน Cool Hand Luke (1967) เรื่องราวของชายมือเย็นชื่อ Luke ผู้มีความหล่อ เท่ห์ นักโทษหัวขบถ ได้รับการยกย่อง ไอดอลของใครๆ แต่ภายในกลับกลวงโบ๋ ว่างเปล่า ไม่มีอะไรสักอย่าง เมื่อใครๆรับรู้เบื้องหลัง ตัวตนแท้จริง ย่อมหมดสูญสิ้นความเชื่อมั่นศรัทธา … The Motorcycle Boy ก็เฉกเช่นเดียวกัน ไม่ได้ยิ่งใหญ่ ไร้เทียมทาน ระดับตำนานอย่างที่ Rusty James ให้การยกย่องเทิดทูน เพียงแค่โตกว่า เฉลียวฉลาดกว่า พานผ่านประสบการณ์ชีวิตมากกว่า แต่ภายในของฉันกลวงโบ๋ ว่างเปล่า ไม่มีอะไรสักสิ่งอย่าง

ปมของ The Motorcycle Boy เริ่มต้นจากปัญหาครอบครัว เขาโตพอจะรับรู้เหตุการณ์ที่มารดาทอดทิ้งบิดาและตนเอง (Rusty James ยังเด็กเกินจะรับรู้อะไรใดๆ) จึงมีความโหยหา ครุ่นคิดถึง เติบโตขึ้นขับมอเตอร์ไซด์ออกติดตามหา แต่พอพบเจอกลับเห็นเธออยู่กินสุขสบายกับสามีใหม่ รู้สึกผิดหวัง เศร้าโศกเสียใจ เข้าใจหัวอกบิดา เต็มไปด้วยความเก็บกด อัดอั้น แทบอยากจะคลุ้มบ้าคลั่ง

การหวนกลับมาของ The Motorcycle Boy คงเพราะยังเหลือเยื่อใย เป็นห่วงเป็นใยน้องชาย Rusty James ต้องการให้คำแนะนำสุดท้าย อย่าดำเนินตามรอย/เลียนแบบตนเอง แต่จงค้นหาเส้นทางชีวิต ดิ้นหลุดพ้นพันธนาการ ก้าวออกจากกรงขัง (นก)โบยบินสู่อิสรภาพ หรือ(ปลา)แหวกว่ายสู่มหาสมุทรกว้างใหญ่

ในขณะที่ The Outsiders (1983) ผกก. Coppola สร้างขึ้นจากคำร้องขอของนักเรียนกลุ่มหนึ่ง ไม่ได้สร้างขึ้นจากความสนใจตนเอง แต่การได้รับรู้จักผู้เขียนนวนิยาย S. E. Hinton ทำให้มีโอกาสอ่านผลงานอื่นๆ และพบเจอหนังสืออีกเล่ม Rumble Fish ที่ถูกชะตาเป็นพิเศษ

ผกก. Coppola ถูกชะตา Rumble Fish เพราะทำให้ครุ่นคิดถึงความสัมพันธ์ของตนเองกับพี่ชาย August Coppola สมัยวัยเด็กเคยหลงใหลคลั่งไคล้ ยกย่องเทิดทูน ‘hero-worship’ พยายามเลียนแบบ ดำเนินรอยตาม ภายหลังถึงรับรู้ตนเองว่าไม่สามารถเป็นอย่างพี่ชาย … เปรียบเทียบตรงๆก็คือผกก. Coppola = Rusty James, และพี่ชาย August Coppola = The Motorcycle Boy

เกร็ด: ในชีวิตจริง August Coppola ไม่ได้เสียชีวิตก่อนวัยอันควรเหมือน The Motorcycle Boy เรียนจบปริญญาเอก กลายเป็นอาจารย์สอนวรรณกรรม, ร่วมก่อตั้ง San Francisco Film and Video Arts Commission, ผู้บริหารสตูดิโอ American Zoetrope (ของน้องชายกับ George Lucas), เคยเป็นคณะกรรมการเทศกาลหนังเมือง Berlin ค.ศ. 1986, ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์ San Francisco Exploratorium … โปรไฟล์ไม่ด้อยไปกว่าน้อง Francis Ford Coppola

บทเรียนของหนังไม่ได้จำกัดแค่ความสัมพันธ์ฉันท์พี่-น้อง สามารถเหมารวมถึงทุกๆคนที่อาจมีไอดอล ใครบางคนยกย่องเทิดทูน ใฝ่ฝันอยากเป็นแบบบุคคลโน่นนี่นั่น ในมุมมองของผกก. Coppola แนะนำให้เลิกครุ่นคิดแบบนั้น แล้วค้นหาเส้นทางชีวิตที่เหมาะสมกับตนเองดีกว่า!

เฉกเช่นเดียวกับบรรดาแฟนหนัง นักศึกษาภาพยนตร์ที่มีผกก. Coppola (หรือผู้กำกับคนอื่นๆ)เป็นไอดอลประจำใจ เราไม่ควรไปเลียนแบบสไตล์ลายเซ็นต์ เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่จะตามรอยความยิ่งใหญ่ของ The Godfather (1972) หรือ Apocalypse Now (1979) ถ้าคุณอยากเป็นผู้กำกับ จงมองหาแนวทางของตนเอง


ระหว่างเดินทางไปฉายตามเทศกาลหนัง เสียงตอบรับนั้นดียอดเยี่ยม ได้รับการโหวตติดอันดับ 6 ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแห่งปี จากนิตยสาร Cahiers du Cinéma, แต่พอเข้าฉายสหรัฐอเมริกากลับมีผู้ชมมากมายเดินออกกลางคัน พร่ำบ่นดูไม่รู้เรื่อง ภาพสวยแต่จับใจความอะไรไม่ค่อยได้ ด้วยทุนสร้าง $10 ล้านเหรียญ เลยทำเงิน(ในสหรัฐอเมริกา)แค่เพียง $2.5 ล้านเหรียญ ขาดทุนย่อยยับเยิน

ความล้มเหลวดังกล่าวสร้างความผิดหวังอย่างยิ่งให้ผกก. Coppola แต่โดยที่ไม่รู้ตัว Rumble Fish (1983) ก่อเกิดกระแสคัลท์ในประเทศแถบละตินอเมริกัน กลายเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนมากมาย ขนาดว่ามีสารคดี Locations: Looking for Rusty James (2013) สร้างโดยผู้กำกับสัญชาติ Chilean

To me the greatest award avalible to someone in my profession is not a big check. It’s when a young person comes to you and someone especially a young person who has made films and says, “I made a film because I saw a film of yours and it made me want to make films.” Because that’s why I made films, and that’s the greatest, the greatest justification of being in the profession I’m in, is when you can impart that to young people.

Francis Ford Coppola

ปัจจุบันหนังได้รับการบูรณะคุณภาพ 4K ผ่านการตรวจสอบโดยตากล้อง Stephen H. Burum และอนุมัติโดยผกก. Coppola เมื่อปี ค.ศ. 2017 สามารถหาซื้อ DVD/Blu-Ray จัดจำหน่ายโดย Criterion Collection

ถ้าว่ากันด้วยลูกเล่น เทคนิคภาพยนตร์ ผมรู้สึกว่า Rumble Fish (1984) มีความแพรวพราวยิ่งเสียกว่า The Godfather (1972) หรือ Apocalypse Now (1979) แต่ปัญหาคือหนังมันไม่กลมกล่อม ขาดๆเกินๆ ผกก. Coppola ติสต์แตกมากไป ถ้าไม่ชอบก็ส่ายหัว ขึ้นอยู่กับว่าประสบการณ์ชีวิตของตัวคุณเอง

จัดเรต 18+ ความรุนแรง บรรยากาศอึมครึม การต่อสู้ระหว่างแก๊งวัยรุ่น

คำโปรย | Rumble Fish หนังวัยรุ่นตีกันของผู้กำกับ Francis Ford Coppola ที่มีความแพรวพราวทางศิลปะภาพยนตร์
คุณภาพ | ปลากัด
ส่วนตัว | แพรวพราว

Leave a Reply

avatar

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

  Subscribe  
Notify of
%d bloggers like this: