
The Barefoot Contessa (1954)
: Joseph L. Mankiewicz ♥♥♥♡
ไม่ใช่ภาคต่อของ All About Eve (1950) แต่ลีลาการดำเนินเรื่องละม้ายคล้ายกันยิ่งนัก! เปลี่ยนจากละคอนเวที มาเป็นนักแสดงภาพยนตร์ Ava Gardner นักเต้นเท้าเปล่าในผับบาร์ ไต่เต้าจากดินสู่ดาวดาราค้างฟ้า ก่อนแต่งงานกลายเป็นเจ้าหญิง/เคาน์เตส (Countess)
วันก่อนเขียนถึง All About Eve (1950) แล้วอ่านเจอบทความพาดพิง The Barefoot Contessa (1954) ที่ผกก. Mankiewicz ปรับเปลี่ยนเรื่องราวจากละคอนเวที Broadway สู่วงการภาพยนตร์ Hollywood ไต่เต้าจากดินสู่ดาว (Rags-to-Riches) และประโยคที่ทำให้ผมเกิดความโคตรๆสนใจก็คือ
The Barefoot Contessa is considered one of Mankiewicz’s most glamorous “Hollywood” films, and one of the most glamorous of Golden Hollywood.
จริงดังคำกล่าว The Barefoot Contessa (1954) มีความเพริศพริ้งของ Ava Gardner ที่ทำให้ใครต่อใครถวิลหา รวมถึงการเป็น Hollywood on the Tiber เดินทางมาปักหลักยัง Rome, Italy (สำหรับลดค่าแรง ต้นทุนโปรดักชั่น) ถ่ายทำด้วยฟีล์มสี Techinicolor จากฝีมือของตากล้องชื่อดัง Jack Cardiff แต่น่าเสียดายที่เนื้อหาสาระไม่ค่อยมีความน่าจดจำสักเท่าไหร่ เรียกได้ว่า “สวยแต่รูป จูบไม่หอม” ผมแอบเชียร์ให้ตัวละครของ Ava Gardner แต่งงานกับ Humphrey Bogart ด้วยซ้ำไป!
เกร็ด: โปสเตอร์ที่นำมานี้ค่อนข้างดูแปลกประหลาด ดั้งเดิมนั้นมีแค่ภาพของ Ava Gardner (เลียนแบบ Gilda (1946)) ก่อนได้รับแจ้งว่าผิดสัญญา เพราะจักต้องมีใบหน้า Humphrey Bogart ปรากฎบนใบปิด ด้วยความที่ออกแบบใหม่ไม่ทันแล้วเลยใช้ภาพร่างแทน
Joseph Leo Mankiewicz (1909-93) นักเขียน/โปรดิวเซอร์/ผู้กำกับภาพยนตร์ สัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Wilkes-Barre, Pennsylvania ในครอบครัวชาว Jewish อพยพมาจาก Germany, โตขึ้นตั้งใจจะเป็นนักจิตวิทยา แต่เข้าศึกษาเตรียมแพทย์ Columbia University ไม่ถึงปีก็เปลี่ยนสาขาภาษาอังกฤษ (เพราะกลัวการผ่าตัด) ระหว่างนั้นเขียนบทความลง Columbia Daily Spectator, พอสำเร็จการศึกษาตั้งใจจะไปเรียนต่อ Berlin ก่อนจับพลัดจับพลูทำงานแปล Title Card ให้สตูดิโอภาพยนตร์ UFA และเขียนบทความลงนิตยสารหลายฉบับ
ค.ศ. 1929 ตัดสินใจเดินทางกลับสหรัฐอเมริกา ได้รับความช่วยเหลือจากพี่ชาย Herman J. Mankiewicz (ผู้พัฒนาบทหนัง Citizen Kane) เข้าทำงานแผนกนักเขียนสตูดิโอ Paramount Pictures มีชื่อเสียงจากการเขียนบทพูด (Dialogue) ที่เฉียบคมคาย ขนาดว่าเคยได้เข้าชิง Oscar: Best Writing, Adaptation จากภาพยนตร์ Skippy (1931), ช่วงย้ายมาอยู่ M-G-M (1934-42) กลายเป็นโปรดิวเซอร์ภาพยนตร์ อาทิ Fury (1936), A Christmas Carol (1938), The Philadelphia Story (1940) ฯ และพอร่วมงานสตูดิโอ Fox ได้รับโอกาสกำกับหนังเรื่องแรก Dragonwyck (1946), และเมื่อปีก่อน A Letter to Three Wives (1949) เพิ่งคว้าสองรางวัล Oscar สาขา Best Director และ Best Adapted Screenplay
สำหรับ The Barefoot Contessa (1954) เชื่อกันว่าได้แรงบันดาลใจจากนักแสดง Rita Hayworth เธอคือนักเต้น ลูกครึ่ง Spanish และเคยแต่งงานกับ Prince Aly Khan พระโอรสของ Sultan Muhammad Shah (Aga Khan III) แห่ง Pakistani Ismaili … Hayworth หย่าร้าง Prince Aly Khan เมื่อปี ค.ศ. 1953 ไม่แน่ใจว่าก่อนหรือหลังผกก. Mankiewicz พัฒนาบทหนังเรื่องนี้
อีกแหล่งข่าวระบุว่าตัวละคร Maria Vargas ยังได้แรงบันดาลใจจากนักแสดงหนังเงียบ Anne Chevalier อดีตนักร้อง/นักเต้นสัญชาติ Tahitanian ได้รับการค้นพบโดยผกก. F. W. Murnau ชักชวนมาแสดงภาพยนตร์ Tabu (1931) และเล่นหนังอีกสองเรื่อง Black Pearl (1934), The Hurricane (1937) ก่อนห่างหายตัวออกจากวงการ
ในตอนแรกผกก. Mankiewicz ตั้งใจจะพัฒนา The Barefoot Contessa ให้เป็นนวนิยาย แต่แยกตัวจาก 20th Century Fox ก่อตั้งสตูดิโอโปรดักชั่นของตนเอง Figaro, Inc. (ได้แรงบันดาลใจจากอุปรากร Mozart: The Marriage of Figaro ให้คำอธิบายการเลือกชื่อนี้ว่า “Figaro did a little bit of everything.”) และเซ็นสัญญา United Artists ออกทุนสร้างหนังสองเรื่อง เขาจึงหันเหความสนใจมาพัฒนาบทภาพยนตร์ และรับหน้าที่โปรดิวเซอร์-ผู้กำกับ-เขียนบท
ผู้กำกับเคยชื่อดัง Harry Dawes (รับบทโดย Humphrey Bogart) มาวันนี้จำต้องลดตัวมาทำงานให้ทายาทมหาเศรษฐี Kirk Edwards (รับบทโดย Warren Stevens) ที่ต้องการเข้าสู่แวดวงการภาพยนตร์ ร่วมกับนักประชาสัมพันธ์ (Publicist) Oscar Muldoon (รับบทโดย Edmond O’Brien) ออกเดินทางสู่ยุโรปเพื่อค้นหานักแสดงนำ มาถึงยังประเทศ Spain ก่อนได้พบเจอนักเต้นสาว Maria Vargas (รับบท Ava Gardner)
Harry ได้ปลุกปั้น Maria จนประสบความสำเร็จ กลายเป็นดาวดาราค้างฟ้า แต่เธอตัดสินใจทอดทิ้งโปรดิวเซอร์ Kirk Edwards หนีตามมหาเศรษฐีชาวอเมริกาใต้ที่ร่ำรวยกว่า Alberto Bravano (รับบทโดย Marius Goring) และเมื่อได้พบเจอเจ้าชาย/ท่านเคานท์ Vincenzo Torlato-Favrini (รับบทโดย Rossano Brazzi) ตอบตกลงแต่งงานกลายเป็นเคาน์เตส (Countess) แต่นั่นคือจุดสูงสุด ความสุขในชีวิตจริงๆนะหรือ?
Ava Lavinia Gardner (1922-90) นักแสดงสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Grabtown, North Carolina บุตรสาวคนเล็กจากพี่น้องเจ็ดคน บิดาเป็นเจ้าของฟาร์มยาสูบและดอกฝ้าย แต่การมาถึงของ Great Depression ทำให้ครอบครัวสูญเสียที่ดินทำกิน, พออายุสิบแปดเดินทางสู่ New York City เข้าตาแมวมองเซ็นสัญญาสตูดิโอ M-G-M เล่นหนังเรื่องแรก We Were Dancing (1941), ได้รับชื่อขึ้นเครดิต Ghosts on the Loose (1943), เริ่มมีชื่อเสียงกับ The Killers (1946), กลายเป็นนักแสดงทำเงิน Show Boat (1951), The Snows of Kilimanjaro (1952), Mogambo (1953), The Barefoot Contessa (1954), On the Beach (1959), The Night of the Iguana (1964) ฯ
เกร็ด: Ava Gardner ในชาร์ท AFI’s 100 Years…100 Stars ฟากฝั่ง Female Legends ติดอันดับ #25
รับบท Maria Vargas จากนักเต้นสาวในผับบาร์ เข้าตาผู้กำกับ Harry Dawes ปลุกปั้นให้กลายเป็นดาวดารา แต่เป้าหมายของเธอคือค้นหาเจ้าชาย โหยหาความรักในอุดมคติ เปลี่ยนจากนักธุรกิจสู่มหาเศรษฐี แต่พอมีโอกาสแต่งงานกับท่านเคานท์ ชีวิตที่ควรสมบูรณ์แบบกลับพังทลายลงอย่างราบคาบ
ในตอนแรกผกก. Mankiewicz อยากได้นักแสดงหน้าใหม่ แต่คัดเลือกมาแล้วไม่มีใครถูกใคร ลองติดต่อ Rita Hayworth, Elizabeth Taylor, Linda Darnell (พยายามล็อบบี้อยากเล่นบทนี้ แต่ทว่าผู้กำกับไม่สนใจ), ก่อนตัดสินใจเลือก Ava Gardner ขณะนั้นมีสัญญาอยู่กับ M-G-M เรียกค่าจ้าง $200,000 เหรียญต่อสัปดาห์ (แพงกว่าค่าจ้าง Bogart เกือบเท่าตัว) และยังส่วนแบ่งกำไรสิบเปอร์เซ็นต์ … เห็นว่ารวมๆแล้วจ่ายไปเกือบๆล้านเหรียญ แต่ก็ถือว่าคุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์
(เหตุผลที่ M-G-M เรียกเงินสูงขนาดนั้น ทั้งๆค่าตัวของ Garner เพียงแค่ $60,000 เหรียญต่อสัปดาห์ นั่นเพราะผกก. Mankiewicz เพิ่งหมดสัญญากับสตูดิโอ แยกออกมาตั้งตัวเอง และเห็นว่าทิ้งทวนหลายสิ่งไว้อย่างเจ็บแสบ เลยถูกทวงคืนสาอย่างสม)
ในบรรดานักแสดงหญิงรุ่น Hollywood Classcial ความงามของ Gardner ถือว่าอยู่อันดับต้นๆ เพริศแพร้ว พร่างพราว ฉัพพรรณรังสี (ผมสอบถาม AI ถึงความหมายเพราะๆของคำว่า Glamorous) เวลาสวมใส่ชุดที่มีสีสัน ยิ่งทำดูเจิดจรัส เปร่งประกาย แต่ฝีไม้ลายมือด้านการแสดงผมรู้สึกว่าเธอออกไปทางกลางๆ (Mediocre) เพียงพบเห็นแววตาชวนฝัน ไม่มีอะไรน่าจดจำมากกว่านั้น
นั่นอาจเพราะ Gardner ไม่ได้เป็นคนมีความสามารถพิเศษอะไร (เมื่อตอนเซ็นสัญญาสตูดิโอ M-G-M ได้รับโทรเลขจาก Louis B. Mayer ตอบประชดประชันแมวมองที่พบเจอเธอ “She can’t sing. She can’t act. She can’t talk. She’s terrific!”) เติบโตในครอบครัวยากไร้ เท้าติดดิน โชคชะตานำพาให้กลายเป็นดาวดารา เปร่งประกายค้างฟ้า รายล้อมรอบด้วยนักธุรกิจ มหาเศรษฐี (เคยมีความสัมพันธ์กับ Howard Hughes ช่วงกลางทศวรรษ 40s) เพิ่งหย่าร้างสามี Frank Sinatra ถ้าไม่เพราะบทเรียนจากภาพยนตร์เรื่องนี้ อาจทำให้เธอแต่งงานกับเจ้าชายก็เป็นได้ … ชีวิตจริงของ Garner ถือว่ามีความเลือนลาง เกือบจะไม่แตกต่างจาก Maria Vargas
เกร็ด: Ava Gardner ไม่เคยมีประสบการณ์เต้นรำมากก่อน เธอจึงซักซ้อมอย่างหนักนานสามสัปดาห์ ซึ่งระหว่างถ่ายทำลำโพงเสียหรือยังไงสักอย่าง แต่ยังสามารถเต้นต่อจนจบ เทคเดียวผ่าน!
เคมีในหนังระหว่าง Gardner กับ Bogart แม้ดูจะเข้าขากันดี บิดาเอ็นดูห่วงใยบุตรสาว แต่ทุกวี่วัน Bogart เต็มไปด้วยถ้อยคำติดหนิติดเตียน ไม่ค่อยพึงพอใจผลลัพท์การแสดง “You gave me nothing to work with!” ส่วนหนึ่งอาจเพราะเธอเพิ่งเลิกรากับเพื่อนสนิท Sinatra เลยเต็มไปด้วยอคติ ไม่อยากร่วมงานด้วยสักเท่าไหร่ … แต่ผมว่าเรื่องความสามารถด้านการแสดงของ Gardner น่าจะเป็นเหตุผลหลักมากกว่า
ผมรู้สึกว่า Gardner เหมาะสำหรับบทลุยๆ เท้าติดดิน ผู้หญิงธรรมดาๆมากกว่าเจ้าหญิง/เทพธิดา ตุ๊กตาแต่งตัว หนังอย่าง Mogambo (1953), The Night of the Iguana (1964) จึงทำให้เธอมีความเจิดจรัส เปร่งประกายยิ่งกว่า
Humphrey DeForest Bogart (1899-1957) นักแสดงสัญชาติอเมริกา เกิดที่ New York City ตั้งแต่เด็กมีนิสัยหัวขบถ จงใจสอบตกให้ถูกไล่ออกจากโรงเรียน อาสาสมัครทหารเรือในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ด้วยจุดประสงค์ต้องการไปหลีสาวที่ฝรั่งเศส ปลดประจำการออกมากลายเป็นนักแสดงละครเวทีอยู่หลายปี จนกระทั่งเหตุการณ์ Wall Street Crash (1929) มุ่งหน้าสู่ Hollywood มีผลงาหนังสั้นสองม้วน (2 reel) เรื่อง The Dancing Town (1928) [ฟีล์มสูญหายไปแล้ว], หนังพูดเรื่องแรก Up the River (1930), เริ่มมีชื่อเสียงตั้งแต่สนิทสนม John Huston เมาหัวราน้ำพอๆกัน High Sierra (1941) [Huston ดัดแปลงบท], ตามด้วย The Maltese Falcon (1941) [Huston กำกับเรื่องแรก], ความสำเร็จของ Casablanca (1942) ทำให้กลายเป็นดาวดาราค้างฟ้า, To Have and Have Not (1944), The Big Sleep (1946), The Treasure of the Sierra Madre (1948), In a Lonely Place (1950), The African Queen (1951), The Caine Mutiny (1954), Sabrina (1954) ฯ
เกร็ด: Humphrey Bogart ในชาร์ท AFI’s 100 Years…100 Stars ฟากฝั่ง Male Legends ติดอันดับ #1
รับบทผู้กำกับภาพยนตร์ Harry Dawes ในอดีตคงเคยมีชื่อเสียงระดับหนึ่ง แต่หลังจากทำหนังขาดทุนหลายเรื่องติด ไม่มีใครอยากว่าจ้าง เลยจำต้องเลียแข้งเลียขานายทุน/ทายาทนักธุรกิจ Kirk Edwards ต้องการเข้าสู่วงการภาพยนตร์ ขณะนั้นกำลังมองหานักแสดงหน้าใหม่ ได้ค้นพบ Maria Vargas ปลุกปั้นให้กลายเป็นดาวดารา และยังเป็นเหมือนบิดา(บุญธรรม) ให้คำปรึกษา ชี้แนะแนวทาง และส่งตัวในวันแต่งงาน
ในตอนแรกผกก. Mankiewicz ตั้งใจจะมอบบทบาทนี้ให้ Marlon Brando ที่เพิ่งร่วมงาน Julius Caesar (1953) แต่ได้รับคำตอบปฏิเสธ “I’m not making pictures about movie stars this year. I’m not even into being a movie star, myself.”
Bogart กับบทบาทพ่อบุญธรรม ผมรู้สึกว่าโคตรๆเหมาะสมกับวัยวุฒิ สภาพร่างกายขณะนั้น การแสดงอาจไม่แตกต่างจากเดิมๆ แต่ผู้ชมสามารถสัมผัสถึงความรัก (ที่ไม่ใช่ชาย-หญิง) ความห่วงใย เอ็นดูรักใคร่ พร้อมให้ความช่วยเหลือ ปกป้องบุตรสาวจากไฮยีน่าที่พร้อมเข้ามากระทำร้าย น่าเสียดายที่โชคชะตาของ Maria Vargas เปร่งประกายไม่นานก็ดับสูญ ยืนอยู่ท่ามกลางหยาดฝน สีหน้าหม่นหมอง ทำได้เพียงทอดถอนลมหายใจ
นี่อาจไม่ใช่บทบาทไฮไลท์ในอาชีพการแสดงของ Bogart แถมนอกจอเหมือนจะเต็มไปด้วยอคติต่อนักแสดงรุ่นน้อง Gardner แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผู้ชมสัมผัสได้เลยสักนิด! แสดงถึงความเป็นผู้ใหญ่ มืออาชีพ แยกแยะระหว่างการแสดง-ชีวิตจริง!
ถ่ายภาพโดย Jack Cardiff (1914-2009) ตากล้องสัญชาติอังกฤษ เกิดที่ Great Yarmouth, Norfolk ครอบครัวเป็นเจ้าของ Music Hall ทำให้รับรู้จักโปรดักชั่นภาพยนตร์มาตั้งแต่ยุคหนังเงียบ พออายุ 15 ทำงานเป็นผู้ช่วยตากล้อง เด็กตอกสเลท หนึ่งในนั้นคือ The Skin Game (1931) ของผู้กำกับ Alfred Hitchcock, ค่อยๆไต่เต้าขึ้นมาเป็นผู้ควบคุมกล้อง (Camera Operator) ในสังกัด London Films ทำให้มีโอกาสถ่ายทำ Wings of the Morning (1937) ภาพยนตร์ Technicolor เรื่องแรกของประเทศอังกฤษ, หลังสงครามได้มีโอกาสร่วมงานผู้กำกับ Powell & Pressburger ตั้งแต่ควบคุมกล้อง The Life and Death of Colonel Blimp (1943), ได้รับเครดิตถ่ายภาพ A Matter of Life and Death (1946), Black Narcissus (1947), The Red Shoes (1948), ผลงานเด่นอื่นๆ อาทิ The African Queen (1951), The Barefoot Contessa (1954), War and Peace (1956), Death on the Nile (1978), Conan the Destroyer (1984) ฯ
Cardiff เป็นตากล้องเลื่องชื่อในการถ่ายภาพสี ทำให้ชุดของ Ava Gardner ที่เต็มไปด้วยสีสัน เครื่องประดับระยิบระยับ ดูเปร่งประกายแม้ยืนอยู่ท่ามกลางความมืดมิด แต่สิ่งที่ผมรู้สึกเสียดายคือหนังมีช็อตโคลสอัพน้อยมากๆ (ส่วนใหญ่จะเป็น Medium Shot) มันอาจเพราะไม่ใช่สไตล์ของผกก. Mankiewicz พัฒนาเรื่องราวที่ไม่ได้เน้นการแสดง ขายโปรดักชั่นงานสร้างเสียมากกว่า!
ปล. น่าจะเพราะ The Barefoot Contessa (1954) ที่ทำให้ผกก. Mankiewicz ได้รับโอกาสกำกับภาพยนตร์ Cleopatra (1963) เรื่องโปรดักชั่นงานสร้างทำออกมาได้ยิ่งใหญ่อลังการ แต่ ‘สไตล์ Mankiewicz’ ที่มีแต่การพูดคุยสนทนา (All Talk) น่าจะคือเหตุผลที่ทำให้หนังเรื่องนั้นล้มเหลวย่อยยับเยิน
The Barefoot Contessa (1954) คือหนึ่งใน Hollywood on the Tiber คำเรียกภาพยนตร์จาก Hollywood ช่วงทศวรรษ 50s-60s เดินทางไปถ่ายทำยังประเทศ Italy เพื่อลดต้นทุน ค่าแรง ค่าครองชีพต่ำกว่าสหรัฐอเมริกา แต่เหตุผลหลักๆของผกก. Mankiewicz น่าจะต้องการพื้นหลังสวยๆ คฤหาสถ์หรูหรา (สมสถานะ Countess) เสริมความงามให้นักแสดง Ava Gardner
มันช่างเป็นพิธีศพที่เยิ่นยาวนานยิ่งนัก ตอนต้นเรื่องท้องฟ้ามืดครื้ม จู่ๆลมแรง ฝนตกหนัก ผู้เข้าร่วมต่างกางร่มเป็นทิวแถว แต่ตอนจบท้องฟ้าปลอดโปร่ง แสงแดดสว่างไสว ทิศทางมุมกล้องก็แตกต่างกัน (ระหว่างทำพิธีศพ กล้องมักถ่ายจากฟากฝั่งเบื้องหน้า แต่พอพิธีการเสร็จสิ้นจะถ่ายจากด้านหลังรูปปั้น) … เหมือนต้องการสื่อถึงมรสุมชีวิต และฟ้าหลังฝน ชีวิตยังคงดำเนินต่อไป


แบบเดียวกับ All About Eve (1950) ที่ไม่เคยถ่ายให้เห็นการแสดงละคอนเวที, The Barefoot Contessa (1954) ก็ไม่ฉายฟุตเทจการแสดงภาพยนตร์ของ Maria Vargas รวมถึงตอนต้นเรื่องที่มีการเต้นระบำในผับบาร์ เพียงร้อยเรียงภาพปฏิกิริยาผู้ชมรอบเวที … เหตุผลหลักๆไม่ใช่ให้ผู้ชมไปจินตนาการเอาเอง แต่คือศักยภาพของนักแสดงที่อาจทำความน่าเชื่อถือดังกล่าว
ผกก. Harry สร้างหนังสามเรื่องร่วมกับ Maria แต่มีที่เปิดเผยชื่อเพียงเรื่องเดียวคือผลงานแรก Black Dawn เป็นชื่อที่บอกใบ้อรุณรุ่ง (Dawn) แห่งหายนะ (Black) หรือคือจุดเริ่มต้นในอาชีพนักแสดงเธอ แต่อนาคตกลับมืดหมองหม่น

Oscar Muldoon (รับบทโดย Edmond O’Brien) เป็นตัวละครที่สร้างสีสันให้กับหนังอย่างมากๆ เริ่มต้นทำงานประชาสัมพันธ์ (Publicist) ให้กับ Kirk Edwards ถึงอย่างนั้นกลับไม่เคยทำอะไรถูกใจใคร ครุ่นคิดว่าตนเองรับรู้ความต้องการสาธารณะชน จนแล้วจนรอด จนมาถึงขณะนี้ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน ทุกคนเดินผ่านไป แต่เขากลับไม่เข้าใจอะไรสักสิ่งอย่าง … นี่เป็นช็อตที่เชื่อมโยงระหว่างประโยคคำพูด และภาพพบเห็น Oscar ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน แล้วพร่ำรำพันความครุ่นคิด ตระหนักถึงข้อเท็จจริงบางสิ่งอย่าง
So how are you going to figure it? Suppose you’re me, and what the public wants and thinks is your business. You’re standing in the middle of them, asking yourself, “Where did I lose these people?” You’re beginning to realize maybe the public knows more about public relations than you do. Maybe the public heart is something you can’t put on a chart or penetrate with just money.
Oscar Muldoon

Che Sara Sara (ภาษา Italian) หรือ Que Sara Sara (ภาษา Spanish) หมายถึง Whatever will be, will be. แต่หลายคนอาจรู้จักบทเพลง Que Sara Sara เห็นว่าผู้แต่ง Jay Livingston ได้แรงบันดาลใจจากการรับชม The Barefoot Contessa (1954) แล้วนำไปประกอบภาพยนตร์ The Man Who Knew Too Much (1956) ขับร้องโดย Doris Day คว้ารางวัล Oscar: Best Original Song

Ava Gardner ไม่เคยฝึกฝนการเต้นมาก่อน เธอซักซ้อมอยู่เป็นสัปดาห์ๆ พยายามอย่างที่สุดสำหรับเข้าฉากนี้ ยุคสมัยนั้นคงถือว่ามีลีลาอันยั่วเย้ายวนแล้วกระมัง ผมรู้สึกว่าผกก. Mankiewicz คิดถูกมากๆที่ไม่ฉายให้เห็นการเต้นรำตอนต้นเรื่อง ก็เพื่อความตราตรึงของซีเควนซ์นี้

ออกแบบเครื่องแต่งกาย (Costume Design) โดย Rosi Gori และสามพี่น้อง Fontana (ประกอบด้วย Micol, Zoe และ Giovanna Fontana) ต้องชมเลยว่าชุดของ Maria Vargas มีความงดงาม เจิดจรัส … แต่พลาดเข้าชิง Oscar: Best Costume ไปได้อย่างไร?
แม้มันจะมีหลากหลายชุดที่สร้างความเจิดจรัสให้ Ava Garder ดูเพริศแพร้ว พร่างพราว ฉัพพรรณรังสี แต่ชุดที่ผมชอบสุดกลับคือ Spanish Dancer ที่สุดแสนเรียบง่าย ขาว-ดำ-แดง ไหล่ตกข้างหนึ่ง เพราะมันคือความประทับใจแรกต่อตัวละคร (First Impression) ชุดอื่นๆไม่สามารถสร้างความรู้สึกดังกล่าวได้อีก





ประติมากรรม Ava Gardner ปั้นดินเหนียวโดย Assen Peikov (1908-73) ช่างแกะสลักสัญชาติ Bulgarian ที่มาโด่งดังในประเทศ Italy ซึ่งหลังเสร็จสิ้นการถ่ายทำ Frank Sinatra (อดีตสามีที่เพิ่งเลิกรากับ Gardner) ขอซื้อต่อแล้วนำไปจัดแสดงอยู่ในวิลล่าที่ Coldwater Canyon
ทำไม Maria ถึงชอบถอดเท้ารองเท้า (Barefoot) นั่นเพราะรากเหง้าของเธอคือคนธรรมดา ฐานะยากจน จึงใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ติดดิน แล้วพอมีโอกาสประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียงเงินทอง กลายเป็นดาวดาราเจิดจรัสบนท้องฟ้า สิ่งเหล่านั้นล้วนเพียงภาพมายาที่ไม่สามารถสร้างความสุขแท้จริงเหมือนตอนเท้าเปล่า … และยังเป็นการอ้างอิงถึงซินเดอเรลล่า ค่ำคืนนั้นทำรองเท้าแก้วหล่นหาย ก่อนได้พบเจอเจ้าชายในฝัน

นี่คือช็อตแห่งความสิ้นหวังของ Maria Vargas ในค่ำคืนวันแต่งงาน ขณะกำลังจะเข้าห้องหอ พออ่านจดหมายสามี ยืนอยู่ตำแหน่งกึ่งกลางระหว่างแสงสีน้ำเงิน (โลกภายนอกช่างหนาวเหน็บ เย็นยะเยือก พายุฝนฟ้าคะนอง) และแสงสีแดงสาดส่องออกมาจากภายในห้อง (สีแดงแจ๊ดขนาดนี้คงสื่อถึงความลุ่มร้อน มอดไหม้ทรวงใน เผาทำลายจิตใจ)
กล่าวคือเป็นช่วงเวลาที่ Maria เกิดความรู้สึกขัดแย้งขึ้นภายใน ได้แต่งงานกับเจ้าชายในฝัน แต่เขากลับไม่สามารถตอบสนองความต้องการร่างกาย ขณะนี้ยังไม่รู้จะทำอะไรยังไง ตกอยู่ในความสิ้นหวังอาลัย

ชุดสีม่วงของ Maria ผมมองว่าคือสัญลักษณ์ของการประณีประณอม เมื่อเจ้าชายในฝันไม่สามารถเติมเต็มสิ่งที่เธอเพ้อใฝ่ฝัน จึงแอบคบชู้กับชายหนุ่มนักจัดสวนจนตั้งครรภ์ แต่พอเปิดเผยความจริงกับสามี เขาคงรู้สึกเหมือนถูกทรยศหักหลัง ‘ฆ่าได้หยามไม่ได้’ จึงลงมือฆ่าสังหารเธอแล้วโทรศัพท์หาตำรวจ ยินยอมรับสารภาพผิดทุกข้อกล่าวหา
Harry คงคาดคิดไม่ถึงว่า Count Vincenzo จะมีปฏิกิริยาแสดงออกรุนแรงขนาดนั้น ด้วยจิตสัมผัสที่หกจึงเร่งรีบเดินทางมายังคฤหาสถ์ของอีกฝ่าย ก่อนได้ยินเสียงปืนลั่น ทุกสิ่งอย่างสายเกินแก้ไข ตลอดทั้งซีเควนซ์นี้พวกเขาต่างอยู่ท่ามกลางความมืดมิด สภาพจิตใจก็เฉกเช่นเดียว

ตัดต่อโดย William Hornbeck (1901-83) สัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Los Angeles, California พบเห็นการมาถึงของวงการภาพยนตร์ Hollywood เข้าทำงาน Keystone Studios ไต่เต้าจนเป็นหันหน้าแผนกตัดต่อ ก่อนเดินทางสู่ประเทศอังกฤษทำงาน Supervising editor ให้กับสตูดิโอของ Alexander Korda, กลับสหรัฐอเมริกาช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ช่วยตัดต่อหนังชวนเชื่อ Why We Fight (1942-45), ผลงานเด่นๆ อาทิ It’s a Wonderful Life (1946), The Heiress (1949), A Place in the Sun (1951), Shane (1953), The Barefoot Contessa (1954), Giant (1956), I Want to Live! (1958), The Quiet American (1958) ฯ
เรื่องราวของหนังเริ่มต้นที่ตอนจบ งานศพท่ามกลางสายฝนของ Maria Vargas จากนั้นกล้องจะเคลื่อนเลื่อนเข้าหาบรรดาคนรู้จัก เริ่มต้นจากผู้กำกับ Harry Dawes พูดเล่าความหลัง หวนระลึกความทรงจำ ฉายภาพย้อนอดีต (Flashback) ตั้งแต่แรกพบเจอเธอมาจนถึงปัจจุบัน
หนังมักตัดสลับกลับไปกลับมาระหว่างอดีต-ปัจจุบัน (ที่งานศพ) เพื่อสลับเปลี่ยนมุมมองการเล่าเรื่องจาก Harry สู่ Oscar Muldoon ต่อด้วย Alberto Bravano และ Count Vincenzo Torlato-Favrini
- แรกพบเจอที่บาร์ใน Spain
- Harry เข้าร่วมงานศพของ Maria Vargas จากนั้นเริ่มเล่าความหลัง
- (Flashback) Harry, Oscar และ Kirk Edwards เดินทางมายังบาร์แห่งหนึ่งใน Spain เพื่อพบเจอกับ Maria
- (Flashback) Harry โน้มน้าว Maria จนยินยอมตอบตกลงเป็นนักแสดง
- มีแวบหนึ่งตัดกลับมาปัจจุบัน แต่ยังเล่าเรื่องด้วยเสียงบรรยายของ Harry
- (Flashback) หลังการทดลองฉายหนัง Harry ทำการแบล็กเมล์ Kirk ให้จ่ายค่าตัวของตนเองและ Maria สูงกว่าปกติ
- ความสำเร็จใน Hollywood
- กล้องเคลื่อนเลื่อนมายัง Oscar Muldoon จากนั้นเริ่มเล่าความหลัง
- (Flashback) ภาพยนตร์เรื่องแรกของ Maria ประสบความสำเร็จอย่างดี แต่กลับมีข่าวร้ายคือบิดาของเธอลงมือฆาตกรรมมารดา Oscar พยายามทำทุกสิ่งอย่างเพื่อปิดข่าวแต่ไม่สำเร็จ
- (Flashback) Maria ขึ้นให้การบนศาล ได้รับความสงสารเห็นใจจากผู้คน ทำให้ชื่อเสียงของเธอโด่งดังค้างฟ้า
- กล้องเคลื่อนเลื่อนกลับหา Harry พูดเล่าเหตุการณ์ในงานเลี้ยงปาร์ตี้
- (Flashback) Maria ครบสัญญาแสดงภาพยนตร์สามเรื่อง เธอจึงวางแผนทำอย่างอื่น
- (Flashback) ความขัดแย้งระหว่าง Kirk Edwards vs. Alberto Bravano ทำให้เธอตัดสินใจเลือกไปกับ Alberto (เพราะร่ำรวยกว่า)
- คาสิโนในอิตาลี
- กล้องตัดสลับไปมาระหว่าง Oscar และ Kirk ก่อนฉายภาพย้อนอดีตจากมุมมองของ Oscar
- (Flashback) ชีวิตหรูหราของ Alberto
- (Flashback) ที่คาสิโนในอิตาลี Albert กล่าวถ้อยคำดูถูกเหยียดหยาม Maria เลยถูกชายแปลกหน้าตบหน้า
- กล้องเคลื่อนเลื่อนมายัง Count Vincenzo Torlato-Favrini เริ่มเล่าความหลัง
- (Flashback) Count Vincenzo แวะจอดรถข้างทาง ตื่นตาตะลึงกับการเต้นรำของ Maria
- (Flashback) Count Vincenzo เดินทางมาถึงคาสิโน ได้พบเจอเธออีกครั้ง ตบหน้า Alberto แล้วพากันหลบหนี
- จุดสูงสุดของชีวิต
- (Flashback) Count Vincenz นำพา Maria มายังคฤหาสถ์ แนะนำประวัติศาสตร์ แต่เบื้องหลังซ่อนเร้นความจริงบางอย่าง
- กล้องเคลื่อนเลื่อนกลับมายัง Harry
- (Flashback) Harry กำลังสำรวจสถานที่ถ่ายทำใน Italy แล้วพบเจอกับ Maria เล่าว่ากำลังจะแต่งงาน
- (Flashback) งานแต่งงานระหว่าง Maria กับ Count Vincenz
- (Flashback) หลังจากแต่งงาน Maria แวะเวียนมาหา Harry เพื่อพูดเล่าบางอย่าง
- (Flashback ซ้อน Flashback) Maria เล่าถึงค่ำคืนแต่งงาน การเปิดเผยความจริงของ Count Vincenz
- (Flashback) Maria เปิดเผยว่าตนเองตั้งครรภ์
- (Flashback) Harry รีบเร่งไปยังคฤหาสถ์ของ Count Vincenz แต่ทุกสิ่งอย่างก็สายเกินแก้ไข
- กลับมางานศพ ฝนหยุดตก Count Vincenz ถูกจับกุมตัว, Harry เตรียมกำกับภาพยนตร์เรื่องถัดไป
วิธีการเล่าเรื่องของหนังไม่ได้แตกต่างจาก All About Eve (1950) เริ่มต้นที่ตอนจบ พิธีมอบรางวัล Sarah Siddons Award แต่แค่ไม่ได้ตัดสลับกลับไปกลับมาระหว่างอดีต-ปัจจุบัน ถึงอย่างนั้นเสียงบรรยายเล่าเรื่องก็ผันเปลี่ยนไปตามมุมมองตัวละคร คล้ายๆเดียวกัน!
เพลงประกอบโดย Mario Nascimbene (1913-2002) นักแต่งเพลงสัญชาติอิตาเลียน เกิดที่ Milan, Kingdon of Italy โตขึ้นร่ำเรียนการแต่งเพลง และกำกับวงออร์เคสตราจาก Milan Conservatory จบออกมาเริ่มเขียนเพลงบัลเล่ต์, Chamber Music, เพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องแรก L’amore canta (1941), ผลงานเด่นๆ อาทิ The Barefoot Contessa (1954), Alexander the Great (1956), A Farewell to Arms (1957), The Quiet American (1958), The Vikings (1958), Solomon and Sheba (1959)The Night of Counting the Years (1969) ฯ
ก่อนหน้านี้ Nascimbene เป็นที่รู้จักแค่ในประเทศอิตาลี มักทำเพลงแนว Romantic แต่การร่วมงานผกก. Mankiewicz ทำให้โอกาสค่อยๆไหลมาเทมา บรรดาภาพยนตร์มหากาพย์ (Epic) เดินทางมายัง Hollywood on the Tiber เลยนิยมชมชอบใช้บริการจนมีชื่อเสียงโด่งดังระดับนานาชาติ
The Barefoot Contessa (1954) ถือเป็นผลงานก่อนที่ Nascimbene จะกลายเป็นโคตรนักแต่งเพลงภาพยนตร์มหากาพย์ (Epic) แต่แค่ Main Title เราก็สามารถสัมผัสถึงความยิ่งใหญ่อลังการ จัดเต็มวงออร์เคสตรา ขณะเดียวกันท่วงทำนองมีบรรยากาศเศร้าๆ เจ็บปวดรวดร้าว โหยหาอาลัย … หรือก็คือ Harry Dawes ผิดหวังต่อการจากไปก่อนวัยอันควรของนักแสดงโปรด Maria Vargas ช่วงเวลาสั้นๆได้ร่วมงานกัน จักจดจำตราฝังจิตใจไม่รู้ลืมเลือน
ฉากเต้นระบำของ Maria Vargas เพลงประกอบเบามากๆ ราวกับเสียงสายลมพัดผ่าน แต่ผู้ชมยังได้เสียงเครื่องเป่า และจังหวะรัวกลองเบาๆ คงเพราะหนังอยากให้ความสำคัญกับภาพการเต้น ตราตรึงกับสิ่งพบเห็น นี่มันเป็นความฝันหรือไร ตราประทับอยู่ภายในจิตใจ
The Barefoot Contessa (1954) นำเสนอเรื่องราวของนักเต้นสาว เท้าเปลือยเปล่า ได้รับการค้นพบโดยผู้กำกับชื่อดัง ปลุกปั้นจากดินให้กลายเป็นดาวดารา แต่ทว่าเป้าหมายสูงสุดของ Maria Vargas คือการได้ครองรักเจ้าชาย กลายเป็นซินเดอเรลล่า (สวมใส่รองเท้าแก้ว) และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขตราบชั่วกาลปาวสาน Happily Ever After
แต่ชีวิตจริงหาได้เป็นเหมือนเทพนิยาย แม้ว่า Maria จะสามารถขวนขวายไขว่คว้า ไต่เต้าสู่จุดสูงสุด พบเจอมหาเศรษฐี ครองรักเจ้าชายในอุดมคติ แต่พวกเขาเหล่านั้นล้วนมีด้านมืดของตนเอง ไม่สามารถเติมเต็มความฝัน ท้ายที่สุดทำให้เธอตกอยู่ในความห่อเหี่ยวสิ้นหวัง และนำไปสู่โศกนาฎกรรม
บทเรียนของหนังเรื่องนี้น่าจะคือ ‘ความสุขเกิดจากความพึงพอใจในสิ่งที่เรามี’ ไม่ใช่ชื่อเสียง เงินทอง หรือครองรักเจ้าชายในฝัน ต่อให้สามารถไต่เต้าสู่จุดสูงสุด ก็อาจต้องทนทุกข์ทรมาน … สุดท้ายแล้วการหวนกลับบ้าน เท้าติดดิน ดิ้นรนหาเช้ากินค่ำ ชีวิตอาจยังมีความสงบสุขมากกว่า
หลายคนน่าจะพยายามเปรียบเทียบตัวละคร Harry Dawes (ของ Humphrey Bogart) = ผกก. Mankiewicz ขณะนั้นเพิ่งหมดสัญญาสตูดิโอ M-G-M ก้าวออกมาก่อตั้งบริษัทของตนเอง (ในหนังคือขายวิญญาณให้นายทุนที่ต้องการเข้าสู่แวดวงการภาพยนตร์) ความตั้งใจแรกคือต้องการค้นหานักแสดงหน้าใหม่ นำมาปลุกปั้นให้กลายเป็นดาวดารา (เหมือนกับการพบเจอ Maria Vargas) แต่ชีวิตจริงหาได้เป็นดั่งความใฝ่ฝัน
แนวทางของผกก. Mankiewicz พยายามจะไม่ตัดสินการกระทำของตัวละคร ถูก-ผิด ดี-ชั่ว ให้อิสระผู้ชมขบครุ่นคิด พินิจพิจารณา แต่ก็เคลือบแฝงข้อคิดว่าจุดสูงสุดในชีวิต มันอาจไม่ใช่สิ่งที่เราถวิลหา เพียงภาพมายา อย่าปล่อยให้ลุ่มหลงผิดจนกลายเป็นโศกนาฎกรรม
หนังไม่มีรายงานทุนสร้าง เพียงรายรับในสหรัฐอเมริกา $3.3 ล้านเหรียญ บอกยากทีเดียวว่าทำกำไรได้หรือไม่ ส่วนเสียงตอบรับถือว่าค่อนข้างดี แต่ส่วนใหญ่จะกล่าวถึงแค่ความเจิดจรัสของ Ava Garder และการแย่งซีนของ Edmond O’Brien ทำออกมาได้น่าประทับใจ
- Academy Award
- Best Supporting Actor (Edmond O’Brien) ** คว้ารางวัล
- Best Writing, Screenplay
- Golden Globe Award
- Best Supporting Actor (Edmond O’Brien) ** คว้ารางวัล
น่าแปลกใจที่หนังยังไม่ได้รับการบูรณะ เพียงสแกนใหม่ ‘digital transfer’ คุณภาพ High-Definition สีสันอาจดูสดใส ไร้รอยขีดข่วน แต่ภาพรวมยังไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ สามารถหาซื้อ Blu-Ray ของค่าย Eureka Entertainment รวมอยู่ในคอลเลคชั่น Masters of Cinema วางจำหน่ายปี ค.ศ. 2018
หลังจากรับชม The Barefoot Contessa (1954) ผมมีความสองจิตสองใจว่าจะเขียนบทความนี้ไหม เพราะรู้สึกค่อนข้างผิดหวังกับภาพรวมของหนัง สูตรสำเร็จเดียวกับ All About Eve (1950) แต่มันไม่มีสิ่งใดการันตีความสำเร็จเดียวกัน! ถึงอย่างนั้นด้วยความที่ยังไม่เคยเขียนถึง Ava Gardner และผลงานเรื่องนี้ฉายภาพเธอที่พร่างพราว ฉัพพรรณรังสีที่สุดแล้ว เลยเอาสักหน่อยก็แล้ว
จัดเรต pg กับโศกนาฎกรรม
Leave a Reply