
The Royal Tenenbaums (2001)
: Wes Anderson ♥♥♥♥
Royal Tenenbaums (รับบทโดย Gene Hackman) คือหัวหน้าครอบครัวบกพร่อง (Dysfunctional family) อดีตเคยยิ่งใหญ่ ก่อนถูกภรรยาขับไล่ ทำให้ไม่มีโอกาสเลี้ยงดูแลบุตรหลาน มาวันนี้สาละวันเตี้ยลง ชีวิตอับจน เลยแสร้งป่วยใกล้ตาย เพื่อหวนกลับไปใช้เวลาช่วงสุดท้าย รื้อฟื้นฟูความสัมพันธ์กับครอบครัว
The Royal Tenenbaums (2001) ภาพยนตร์ขนาดยาวลำดับสามของ Wes Anderson ที่นักวิจารณ์บางคนยกให้เป็นผลงานมาสเตอร์พีซเรื่องแรก! หลังจากทดลองผิดลองถูก ในที่สุดก็สามารถพัฒนาสไตล์ลายเซ็นต์จนโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ … จริงๆแล้ว Rushmore (1998) ก็มีความชัดเจนใน ‘สไตล์ Anderson’ แต่เรื่องนั้นยังขาดหลายๆองค์ประกอบ โดยเฉพาะครอบครัวบกพร่อง
ครอบครัวบกพร่อง (Dysfunctional family) ถือเป็นจิตวิญญาณในหนังของผกก. Anderson เกี่ยวพันชีวิตส่วนตัว และการทำงานในกองถ่ายที่มักรวมดารา (Ensemble Cast) นักแสดง+ทีมงานอาศัยอยู่ร่วมกันพร้อมหน้า ตั้งแต่วันแรกจนถึงปิดกองสุดท้าย ทุกคนล้วนได้รับการปฏิบัติอย่างเสมอภาคเท่าเทียม ต่อให้เป็นบุคคลมีชื่อเสียงสักเพียงไหน ก็ได้รับค่าตัวพอๆกัน
นอกจากลีลาการนำเสนอ ความสไตล์ลิสต์ของหนัง สิ่งโดดเด่นไม่แพ้กันคือการแสดงของ Gene Hackman นี่คือบทบาทที่ผกก. Anderson พัฒนาขึ้นโดย “It was written for him against his wishes.” เจ้าตัวไม่ยากรับเล่น ไม่เห็นเหมือนตนเอง แต่ไปๆมาๆก็เริ่มตระหนักถึงความละม้ายคล้ายคลึง … คว้ารางวัล Golden Globe Award: Best Actor – Musical or Comedy
I don’t think I’m as bad as the character, but there are times that I’ve been fairly insensitive with my children and with my ex-wife, so maybe I was more right for it than I realised.
Gene Hackman กล่าวถึงบทบาท Royal Tenenbaums
Wesley Wales Anderson (เกิดปี ค.ศ. 1969) ผู้กำกับภาพยนตร์ สัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Houston, Texas บิดา-มารดาหย่าร้างตอนอายุ 8 ขวบ, วัยเด็กชื่นชอบการเล่นกล้อง Super 8 เพ้อฝันอยากเป็นนักเขียน ระหว่างเรียนทำงานฉายภาพยนตร์ สำเร็จการศึกษาสาขาปรัชญา University of Texas at Austin ร่วมรุ่นเดียวกับ Owen Wilson กำกับภาพยนตร์เรื่องแรก Bottle Rocket (1996) ดัดแปลงจากหนังสั้นของสองพี่น้อง Wilson (Luke กับ Owen) แม้ไม่ทำเงินนักแต่ได้รับคำวิจารณ์ดีล้นหลาม
เรื่องราวที่สนใจมักเกี่ยวกับเด็ก วัยรุ่น ครอบครัวมีปัญหาไม่สมประกอบ (Dysfunctional Family) ผู้ใหญ่ทำตัวเหมือนเด็ก/เด็กทำตัวเหมือนผู้ใหญ่ ชื่นชอบการผจญภัย ต้องการหลีกหนีไปให้ไกล (Escapist) ถ้าไปไหนไม่ได้ก็มักก่ออาชญากรรม โจรกรรม (Caper Film) ทะลักความรุนแรงออกมาอย่างคาดไม่ถึง
ความโดดเด่นในผลงานของ Anderson เน้นที่การออกแบบศิลป์ (Visual Style) เรียกว่า ‘style over substance’ เอกลักษณ์เกิดจากการผสมผสานหลายเทคนิคน่าสนใจเข้าด้วยกัน อาทิ การสร้างเส้นสายตา, กำหนดจุดสังเกตกึ่งกลาง, สร้างความสมมาตรซ้าย-ขวา, เน้นโทนสีสว่างสดใส (ดั่งจินตนาการของเด็กน้อย) และมักด้วยศิลปะแบบ Art Noveau
Usually when I’m making a movie, what I have in mind first, for the visuals, is how we can stage the scenes to bring them more to life in the most interesting way, and then how we can make a world for the story that the audience hasn’t quite been in before.
Wes Anderson
จุดเริ่มต้นของ The Royal Tenenbaums เกิดจากความทรงจำของผกก. Anderson เมื่อตอนบิดา-มารดาหย่าร้างตอนอายุ 8 ขวบ จากนั้นพัฒนาเรื่องราวที่ได้รับอิทธิพลจากสื่อต่างๆ จนแทบไม่เหลือเค้าโครงอัตชีวประวัติ
- The Magnificent Ambersons (1942) กำกับโดย Orson Welles, เรื่องราวของชนชั้นสูงตระกูล Ambersons จากเคยรุ่งโรจน์ยิ่งใหญ่ กำลังค่อยๆตกต่ำทรามลง สาเหตุเพราะความเย่อหยิ่งทะนงในเกียรติ ศักดิ์ศรี มองข้ามไม่สนใจการเปลี่ยนแปลงไปของโลก
- Les Enfants Terribles (1950) กำกับโดย Jean-Pierre Melville, เสี้ยวส่วนความสัมพันธ์ระหว่าง Richie & Margot
- The Fire Within (1963) & Murmur of the Heart (1971) กำกับโดย Louis Malle
- นวนิยาย From the Mixed-Up Files of Mrs. Basil E. Frankweiler (1967) แต่งโดย E. L. Konigsburg (1930-2013), มีฉากที่ Margot & Richie หลบซ่อนตัวในพิพิธภัณฑ์
- นวนิยาย Franny and Zooey (1961) แต่งโดย J. D. Salinger (1919-2010) เกี่ยวกับเด็กอัจฉริยะ และมีตัวละครชื่อ Tannenbaum ชื่นชอบแต่งตัวนำเทรนด์แฟชั่นแตกต่างจากผู้อื่นใด
แม้พล็อตหนังจะไม่ได้มีความซับซ้อน แต่เต็มไปด้วยรายละเอียดเล็กๆน้อยๆยิบย่อยมากมาย ผกก. Anderson ใช้เวลาร่วมพัฒนาบทหนังกับเพื่อนสนิท Owen Wilson ยาวนานถึงสองปี!
The direction was extremely complicated because there were so many actors, so many locations and so much art that needed to be created. That’s why the script took a couple of years. That’s a long time.
Wes Anderson
Royal Tenenbaum (รับบทโดย Gene Hackman) ซื้อบ้านในย่าน Archer Avenue มานานกว่าทศวรรษ แต่แล้ววันหนึ่งกลับถูกศรีภรรยา Etheline (รับบทโดย Anjelica Huston) ขับไล่ออกจากบ้าน (แต่ยังไม่ได้เซ็นใบหย่า) ทำให้ลูกๆทั้งสามเติบโตขึ้นโดยไม่มีบิดาอยู่เคียงข้าง
22 ปีถัดไปเมื่อ Royal ใช้จ่ายเงินเก็บจนหมด ถูกขับไล่ออกจากโรงแรมที่พัก อีกทั้งได้ยินข่าวจากคนรับใช้คนสนิท Pagoda (รับบทโดย Kumar Pallana) ว่า(อดีต)ภรรยากำลังสานสัมพันธ์พ่อหม้ายผิวสี Henry Sherman (รับบทโดย Danny Glover) จึงครุ่นคิดวางแผน แสร้งทำเป็นป่วยหนัก เพื่อขอโอกาสหวนกลับบ้าน รื้อฟื้นความสัมพันธ์ภรรยาและลูกๆทั้งสาม
- Chas (รับบทโดย Ben Stiller) อัจฉริยะด้านการคิดคำนวณ ประกอบธุรกิจประสบความสำเร็จ แต่กลับถูกบิดาลักขโมยเงินเก็บ จึงเต็มไปด้วยอคติเคียดแค้น, หลังภรรยาประสบอุบัติเหตุเครื่องบินตก กลายเป็นคนหมกมุ่นกับความปลอดภัย พยายามทำทุกสิ่งอย่าง (Overprotection) เพื่อปกป้องสองบุตรชาย Ari & Uzi เลยตัดสินใจขนข้าวของย้ายกลับบ้าน
- Margot Helen (รับบทโดย Gwyneth Paltrow) น้องสาวบุญธรรม อัจฉริยะด้านการเขียน หลังจากบิดาทอดทิ้งครอบครัวไป กลายเป็นเด็กเสเพล ชอบเที่ยวเตร่ แอบสูบบุหรี่ เปลี่ยนคู่นอนไม่ซ้ำหน้า ขณะนั้นแต่งงานกับนักประสาทวิทยา Raleigh St. Clair (รับบทโดย Bill Murray) แต่แอบคบชู้เพื่อนบ้าน Eli Cash (รับบทโดย Owen Wilson) พอได้ยินข่าว Chas ย้ายกลับมาบ้าน เธอจึงทอดทิ้งสามีและทุกสิ่งอย่าง
- Richie (รับบทโดย Luke Wilson) นักเทนนิสอัจฉริยะ ชื่นชอบวาดภาพศิลปะ แต่พอหมดสนใจ ขึ้นเรือออกเดินทางไปรอบโลก ก่อนหวนกลับบ้านหลังได้ยินข่าวบิดาล้มป่วยหนัก แล้วตัดสินใจสารภาพรักพี่สาว Margot
Eugene Allen Hackman (1930-2025) นักแสดงสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ San Bernardino, California ครอบครัวหย่าร้างเมื่ออายุ 13 ปี สามปีให้หลังจึงหนีออกจากบ้าน โกงอายุสมัครเข้าทหารเรือ ทำงานหน่วยสื่อสาร ประจำการอยู่ประเทศจีนในช่วง Communist Revolution ปลดประจำการเมื่อปี ค.ศ. 1951 ลงหลักปักฐาน New York ดิ้นรนหางานทำไปเรื่อยๆ จนเกิดความสนใจด้านการแสดง กลายเป็นเพื่อนร่วมห้อง Dustin Hoffman และ Robert Duvall รับบทเล็กๆในซีรีย์โทรทัศน์ แสดงละครเวที Off-Broadway โด่งดังทันทีจากบทสมทบ Bonnie and Clyde (1967), ผลงานเด่นๆ อาทิ The French Connection (1971) **คว้ารางวัล Oscar: Best Actor, The Poseidon Adventure (1972), The Conversation (1974), Superman: The Movie (1978), Mississippi Burning (1988), Unforgiven (1992) **คว้ารางวัล Oscar: Best Supporting Actor, The Royal Tenenbaums (2001) ฯ
รับบททนายความ Royal O’Reilly หัวหน้าครอบครัว Tenenbaum เป็นบุคคลผู้มีชื่อเสียง ร่ำรวยเงินทอง สามารถซื้อบ้านหรูย่าน Archer Avenue มานานกว่าทศวรรษ! แต่แล้ววันหนึ่งไม่รู้เกิดความขัดแย้งอะไรภรรยา ถูกขับไล่ออกจากบ้าน จำใจต้องทอดทิ้งบุตรชาย-สาว จนกระทั่งยี่สิบกว่าปีให้หลัง เมื่อเงินเก็บร่อยหรอ แสร้งล้มป่วยมะเร็งกระเพาะอาหาร เรียกร้องขอโอกาสหวนกลับมารักษาตัวที่บ้าน หวังจะฟื้นฟูความสัมพันธ์ภรรยาและบุตร-หลาน แต่ไม่มีอะไรเป็นไปตามแผนการสักสิ่งอย่าง!
I was very excited to work with Gene. He’s such a spontaneous actor, and he brings a real force to every moment. … He was one of the guys we most wanted in our movie.
Wes Anderson
ผกก. Anderson พยายามงอนง้อ Hackman ที่บอกปัดปฏิเสธบทบาทนี้อยู่หลายครั้ง จนมีการเพ่งเล็งตัวสำรองอย่าง Michael Caine และ Gene Wilder แต่สุดท้ายก็ยินยอมตอบรับจากคำแนะนำผู้จัดการส่วนตัว
I understand [Anderson] is a young man who has a concept, and a lot of young people don’t. They do a lot of films that they’ve seen before. They just remake something. To Wes’ credit, this film does not look like other films.
I like the idea of constant conflict between Royal and his family. Nothing ever goes smoothly for him, and as an actor, that is something I can recognize and I can play. That’s the essence of drama.
Gene Hackman
ในหนังรวมดารา (Ensemble Cast) ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครคนหนึ่งจะโดดเด่นกว่าใคร แต่ทว่า Hackman สามารถทำให้ตนเองกลายเป็นจุดศูนย์กลางจักรวาล! ล่อหลอกทุกคน(อาจรวมถึงผู้ชมบางคน)ด้วยใบหน้าเคร่งขรึม ท่าทางจริงจัง ฉันกำลังจะตายมิตายแหล่ แต่แท้จริงแล้วกลับคือการเสแสร้ง แกล้งป่วย เล่นละคอนตบตา พอถูกจับได้ก็แสดงสีหน้าเศร้าๆ เหงาๆ อยากมีเวลามากกว่านี้เคียงข้างภรรยาและบุตร-หลาน
หลังเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ตัวละครต้องเผชิญหน้าความจริง ยินยอมรับสภาพตนเอง ตั้งใจทำงานหาเงิน พูดคุยกับลูกๆทีละคน ช่วงเวลาแห่งการไถ่บาป (Redemption) จักทำให้ผู้ชมเกิดความซาบซึ้งกินใจ และยังเซ็นใบหย่า อำนวยอวยพรขอให้ภรรยา(กับสามีใหม่)โชคดี ก่อนตายจากไปอย่างเศร้าๆ เคล้าน้ำตา … IndieWire เมื่อปี ค.ศ. 2015 เลือกให้ Royal Tenebaums คือตัวละครน่าจดจำที่สุด (Wes Anderson’s Most Memorable Characters)
Hackman’s innate talents make him arguably the best example of transcending Anderson’s potentially smothering style.
Jessica Kiang & Oliver Lyttelton จาก IndieWire
ถ่ายภาพโดย Robert David Yeoman (เกิดปี 1951) ตากล้องสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Erie, Pennsylvania แล้วมาเติบโตยัง Chicago สำเร็จการศึกษาศิลปศาสตร์จาก Duke University และศิลปมหาบัณฑิต University of Southern California School of Cinematic Arts, เริ่มทำงานตากล้องกองสอง To Live and Die in LA (1986), ร่วมงานขาประจำผู้กำกับ Wes Anderson ตั้งแต่เรื่องแรก Bottle Rocket (1996)
งานภาพในสไตล์ ‘Anderson Look’ สำหรับ The Royal Tenenbaums (2001) ได้รับการพัฒนาจนมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ใครก็ตามรับชมแล้วย่อมสามารถจดจำได้โดยทันที อาทิ การสร้างเส้นสายตา, กำหนดจุดสังเกตกึ่งกลาง, ความสมมาตรซ้าย-ขวา, คมชัดใกล้-ไกล (Deep-Focus), ถ้ากล้องขยับเคลื่อนไหว มักดำเนินไปตามเส้นสายตา, เน้นโทนสีสว่างสดใส (Pastel Colors), ให้นักแสดงเดินเข้า-ออก กระทำสิ่งต่างๆภายในขอบเขต สีหน้านิ่งๆ (Deadpan) กล่าวคำสำบัดสำนวน ชักแม่น้ำทั้งห้ามาอธิบายอะไรก็ไม่รู้ ฯ
แตกต่างจากผลงานก่อนๆที่งบประมาณจำกัด จึงไม่ได้มีการจัดแต่งรายละเอียด องค์ประกอบศิลป์มากนัก! The Royal Tenenbaums (2001) ได้ทุนสนับสนุนถึง $21 ล้านเหรียญ ก็เลยจัดไป 250 ฉาก! เลือกสถานที่ถ่ายทำในกรุง New York City พยายามตกแต่งฉากให้ดูผิดแผกแตกต่าง เพื่อเป็นการสร้างโลกของ Anderson ขึ้นมาใหม่!
บ้านของครอบครัว Tenebaums ตั้งอยู่ 339 Convent Avenue ณ 144th Street & Convent Avenue ย่าน Hamilton Heights, Manhattan เจ้าของขณะนั้น Willie Woods กำลังวางแผนสร้างใหม่ (Remodel) แต่พอได้รับการโน้มน้าวจากทีมผู้สร้าง ยินยอมเลื่อนแผนการไปหกเดือนสำหรับเช่าถ่ายทำหนังเรื่องนี้
ปล. ใครซื้อแผ่น Blu-Ray ของค่าย Criterion มันจะมีของแถม Booklet รวบรวมภาพวาดของ Richie รวมถึงแผนผังบ้าน Tenenbaums นำมาให้ดูเป็นตัวอย่าง



ภาพแรกของหนังทำเหมือนว่า The Royal Tenebaums ดัดแปลงจากนวนิยายของ J. D. Salinger มีการหยิบยืมหนังสือจากห้องสมุด รวมถึงการดำเนินเรื่องมีแบ่งออกเป็นบทๆ ตอนๆ พร้อมข้อความสองบรรทัดแรก … แต่แท้จริงแล้วมันคือ Non-Existent Novel ไม่มีอยู่จริง แค่ใช้อ้างอิงวิธีดำเนินเรื่อง สร้างความรู้สึกเหมือนนวนิยาย
เกร็ด: J. D. Salinger เป็นบุคคลที่มีอยู่จริง นามปากกาของ Jerome David Salinger (1919-2010) นักเขียนสัญชาติอเมริกัน เจ้าของผลงานอย่าง The Catcher in the Rye (1951), Nine Stories (1953), Franny and Zooey (1961), Raise High the Roof Beam, Carpenters and Seymour: An Introduction (1963) ฯ


Royal ถูกภรรยาขับไล่ออกจากบ้าน เมื่อต้องอธิบายกับลูกๆทั้งสาม สังเกตว่ามันจะมีช่องว่าง ระยะห่างระหว่างฟากฝั่งบิดาและบุตร ตัดภาพสลับกลับไปกลับมา (ไม่ได้อยู่ร่วมเฟรมเดียวกัน) และปฏิกิริยาของเด็กๆทั้งสามต่างแตกต่างกันออกไปตามอุปนิสัยใจคอ
- Chas สวมใส่สูท นั่งหลังตรง กอดอก อยู่กึ่งกลางด้วยความมั่นอกมั่นใจ
- Margot นั่งก้มหน้า หลบสายตา มือวางใต้โต๊ะ น้ำเสียงสั่นเครือ คงเต็มไปด้วยความเศร้าโศกเสียใจ
- Richie ทำปากเบะ หรี่ตา ไม่พูดคุยสนทนา ไม่รู้จะแสดงปฏิกิริยาใดๆออกมา


ช่วงระหว่างแนะนำเด็กๆทั้งสาม สิ่งข้าวของ+รายละเอียดภายในห้องพัก ล้วนบ่งบอกอุปนิสัย ความชื่นชอบ พฤติกรรมแสดงออก โลกทั้งใบของพวกเขา ผมจะแค่ยกตัวอย่างคร่าวๆ พอหอมปากหอมคอ
- Chas อาศัยอยู่ห้องชั้นสอง ประตูเปิดออกสำหรับรับ-ส่งเอกสารธุรกิจ ราวกับสำนักงาน มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย และยังมีตู้ใส่หนูเพาะพันธ์เลี้ยงไว้ น่าจะสื่อถึง Rat Race กระมังนะ!
- Margot อาศัยอยู่ห้องชั้นสาม ปิดประตูไม่ต้อนรับแขก ภายในห้องตกแต่งด้วยหน้ากาก ชื่นชอบอ่านหนังสือ หลงใหลการแสดง ฝึกเต้นบัลเล่ต์ เล่นละคอนตบตา ไม่เคยเปิดเผยตัวตนแท้จริงออกมา (มีห้อง Dark Room สำหรับล้างฟีล์ม = ด้านมืดจิตใจ)
- Richie อาศัยอยู่ห้องใต้หลังคา เป็นนักกีฬาเทนนิส ชื่นชอบวาดภาพ ตีกลอง สะสมสิ่งข้าวของ เก่งไปหมด แต่ไม่รู้จะทำอะไรดี อารมณ์ศิลปิน จิตวิญญาณอินเดียนแดง



บิดายิงปืน BB Gun ใส่บุตรชายทั้งๆอยู่ฝ่ายเดียวกัน! นี่น่าจะถือเป็นจุดเริ่มต้นการทรยศหักหลัง อคติของ Chas เต็มไปด้วยความโกรธเกลียดเคียดแค้น ไม่ไว้เนื้อเชื่อใจอีกต่อไป! เห็นว่าซีเควนซ์นี้มาจากครอบครัว Wilson พี่ชายคนโต Owen ยิงปืนใส่พี่ชาย Andrew กระสุนฝังในมือ (ภาพถ่ายกระสุนในมือก็คือมือของ Adrew Wilson นั่นเอง)
เกร็ด: ครอบครัว Wilson มีพี่น้องสามคน Andrew-Owen-Luke (ไล่เลียงตามอายุ) ทั้งหมดต่างเป็นนักแสดง … Owen Wilson และผกก. Wes Anderson ต่างเป็นบุตรคนที่สอง อายุไล่เรี่ยกัน เข้าเรียนที่เดียวกันแถมเป็นรูมเมท เลยไม่แปลกจะกลายเป็นเพื่อนสนิทสนม

สำหรับครอบครัว Anderson มีพี่น้องสามคน 1) พี่คนโต Mel เป็นแพทย์ (Physician) 2) Wes กำกับภาพยนตร์ 3) Eric Chase Anderson จิตรกรภาพประกอบ (Illustrator) ผลงานศิลปะในหนัง (รวมถึง Booklet ของแถมของ Criterion) ล้วนคือฝีมือของเขาทั้งหมด!

Richie และ Margot เคยหลบหนีออกจากบ้าน หลบซ่อนตัว ค้างแรมอยู่ยัง City Public Archives ฟากฝั่ง African Wildlife Wing ที่เต็มไปด้วยสัตว์สตั๊ฟมากมายเต็มไปหมด และเธอกำลังอ่านหนังสือ The Sharks of North American Waters (1983) เขียนโดย José Ignacio Castro … นี่เป็นการเปรียบเทียบมุมมองชีวิตของ Margot ราวกับอาศัยอยู่ในผืนป่า รายล้อมด้วยสัตว์ร้าย ( มีเพียง Riche อยู่เคียงข้างกาย
เกร็ด: City Public Archives ถ่ายทำยัง National Museum of the Native American ตั้งอยู่ Lower Manhattan

งานเลี้ยงวันเกิดของ Margot ทำการแสดงเกี่ยวกับสรรพสัตว์ ล่องเรือ ถูกยิง? ซึ่งดูเหมือนเธอได้แรงบันดาลใจจากเหตุการณ์บังเกิดขึ้นก่อนหน้า บิดายิงปืนใส่ Chas, นอนค้างแรมในพิพิธภัณฑ์ City Public Archives ฟากฝั่ง African Wildlife Wing ฯ
เรือคือสัญญะของการเดินทาง หลบหนี ล่องลอยสู่อิสรภาพ, สำหรับนักแสดง Chas = หมี, Margot = ม้าลาย, Riche = เสือดาว (ตอนนั่งล้อมวงคุยกับบิดา จะพบเห็นว่าใครสวมใส่ชุดอะไร) สังเกตว่า Chas ที่เคยถูกบิดายิงใส่ คราวนี้เขากลับถือปืน และเจ้าม้าลายมีรอยคราบเลือด นั่นแสดงว่า Margot มองว่าตนเองเป็นถูกกระทำร้ายทางจิตใจ … ศิลปินถ่ายทอดอารมณ์ผ่านการแสดง/งานศิลปะ!

ภาพสุดท้ายของตอนแรก Richie ขึ้นมาบนดาดฟ้า ทำการปลดปล่อยนกเหยี่ยว Mordecai บางคนอาจมองสัญญะแทนบิดาผู้จากไป แต่ขณะเดียวกันมันยังคือตัวแทนจิตวิญญาณของเด็กๆ ล่องลอย โบยบิน อิสรภาพไร้การควบคุม อาจทำให้ชีวิตดำเนินไปอย่างไร้จุดหมาย
ผมขอเขียนถึงช่วงท้ายของหนังตรงนี้เลยแล้วกัน! ระหว่างขอคำปรึกษาบิดาบนดาดฟ้าโรงแรม Lindberg Palace Hotel โดยไม่รู้ตัว Richie ได้พบเจอเจ้านกเหยี่ยว Mordecai ตัวนี้อีกครั้ง! นอกจากสื่อถึงการหวนกลับมาของบิดา ยังคือการค้นพบตนเอง(ของ Richie) กล้าพูด กล้าตัดสินใจ กล้ายินยอมรับความรักต้องห้ามกับ Margot … อิสรภาพแท้จริงคือความรู้สึกนึกคิดภายใน
แซว: นกตอนต้นเรื่องกับช่วงท้ายเป็นคนละตัวกัน นั่นเพราะเจ้านกที่ใช้ในตอนแรกถูกลักพาตัว+เรียกค่าไถ่โดยชาว New Jersey ที่อาศัยอยู่ละแวกนั้น แทนที่ผกก. Anderson จะยินยอมจ่ายค่าไถ่ไร้สาระ เลยเลือกเอาน้องสาวของเจ้าเหยี่ยว (มีขนขาวมากกว่า) มาเข้าฉากแทน!


เผื่อคนไม่ทันสังเกต ระหว่างขึ้นชื่อนักแสดง & ตัวละคร พวกเขาเหล่านั้นมักกำลังแต่งหน้า แปรงฟัน สวมใส่เสื้อผ้า เสริมสวยแต่งหล่อ เตรียมความพร้อมก่อนเริ่มต้นใช้ชีวิตในแต่ละวัน

หลังจาก Royal เข้าพักในห้องสูท (Suite) มานานกว่า 22 ปี วันนี้ได้รับแจ้งจากทางโรงแรม Lindberg Palace Hotel ถ้าไม่มีเงินจ่ายค่าเข้าพัก จักต้องเก็บข้าวของย้ายออกจากห้อง … ขณะกำลังนวดหลังกับ Sing-Sang ทั้งๆควรเป็นช่วงเวลาพักผ่อนคลาย กลับกลายเป็นเส้นยึด ตึงเครียดโดยพลัน ต้องมานั่งขบครุ่นคิดว่าจะจ่ายค่านวด $100 ดอลลาร์ ยังไงดี?

Raleigh St. Clair (รับบทโดย Bill Murray) คือนักประสาทวิทยา (Neurologist) ขณะนั้นกำลังทำการทดลองวินิจฉัยอาการป่วย(สมมติ) Heinsbergen Syndrome ลักษณะคล้ายๆ Williams syndrome บุคคลผู้ไม่สามารถทำความเข้าใจความสัมพันธ์ทางปริภูมิ (Spatial relation) ประกอบด้วย Dyslexia, Colorblindness และ Inability to Solve Puzzles
เกร็ด: Anthony Heinsbergen (1894-1981) คือจิตรกรชาว Dutch-American โด่งดังจากการเป็นนักออกแบบ ตกแต่งภายในโรงภาพยนตร์ ด้วยสไตล์ที่เรียกว่า Muralist
หนังจะสมมติ Heinsbergen Syndrome ขึ้นมาทำไม? มองผิวเผินดูไม่เกี่ยวข้องอะไร แต่คำบรรยายโรคทั้งสามสามารถสะท้อนถึงอาการ(ครอบครัว)บกพร่องของสามพี่น้อง Tenenbaums ภายหลังสูญเสียบิดา … ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาล้มป่วยหรือไร แต่เราสามารถตีความในเชิงสัญลักษณ์ ยกตัวอย่าง ตาบอดสี (Color blindness) สื่อถึงการมองไม่เห็นข้อเท็จจริง/บางสิ่งอย่างตรงหน้า Chas เต็มไปด้วยอคติต่อบิดา (อย่างหน้ามืดตามัว) ไม่ว่าพยายามทำดีกับหลานๆ ก็แสร้งมองไม่เห็น ปฏิเสธไว้เนื้อเชื่อใจ
แซว: Chas และลูกๆมักสวมใส่เสื้อวอร์มสีแดง ซึ่งเป็นสีที่คนตาบอดสีมองไม่เห็น

Etheline คือนักโบราณคดี (Archaeologist) แบบเดียวกับมารดาของผกก. Anderson ระหว่างถ่ายทำเขาชอบนำภาพมารดาสวมใส่เสื้อแจ็กเก็ตนักบิน หรือขณะอยู่ยังโบราณสถานมาให้กับ Anjelica Huston สำหรับเป็นต้นแบบอย่างตัวละครเฉยๆ … ไม่ใช่ให้เธอเป็นตัวตายตัวแทนมารดา
Wes would send pictures of his mother in aviator jackets or on archaeological digs, and he very specifically wanted me to wear a certain locket. Finally, I asked him, ‘Wes, am I playing your mother?’
Anjelica Huston
ก่อนหน้านี้มีชายสามคนที่อยู่ในความสนใจของ Etheline ประกอบด้วย
- Neville Smythe-Dorleac พบเห็นธงชาติอังกฤษ สภาพอากาศหนาวเหน็บ สุนัข Siberian Husky เลยคาดเดาว่าน่าจะเป็นนักสำรวจขั้วโลก
- Yasuo Oshima สังเกตจากแปลนออกแบบ น่าจะเป็นสถาปนิกจากญี่ปุ่น
- Franklin Benedict สังเกตจากมนุษย์ตัวเขียว กล้องถ่ายภาพยนตร์ ก็น่าจะเป็นนักออกแบบ Special Effect
แต่สุดท้ายตกลงปลงใจกับพ่อหม้ายผิวสี Henry Sherman เป็นผู้จัดการส่วนตัว และนักบัญชีดูแลด้านการเงิน ใช้ข้ออ้างแต่งงานเพื่อลดภาษีในการซื้อใจเธอ … มันช่างตลกร้ายสิ้นดี

คนรับใช้ Pagoda นำข่าวคราวที่ Henry Sherman ขอแต่งงานกับ Etheline มาบอกกล่าวนายจ้างคนสนิท Royal พบเจอกันยังสวนสาธารณะในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ต้นไม้ด้านหลังเหลือเพียงกิ่งก้านไร้ใบ สะท้อนความสัมพันธ์(ระหว่าง Royal & Etheline)ที่แทบไม่หลงเหลืออะไร
แซว: รถเข็นขายขนมปังด้านหลัง ผมยังขบครุ่นคิดไม่ออกว่าเคลือบแฝงนัยยะอะไร? แต่มันคือองค์ประกอบสไตล์ Anderson เห็นแล้วรู้สึกขวางหูขวางตา

Royal พูดบอกกับ(อดีต)ภรรยา Etheline แสร้งว่าล้มป่วยหนักใกล้ตาย ยังบริเวณหน้าบ้านพักเลขานุการทูตญี่ปุ่น (Residence of the Ambassador Secretary) … สถานทูต อาจมองว่าคือสถานที่แห่งการต่อรอง ประณีประณอม สร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กระมังนะ?
แซว: แม้จะมีข้อความภาษาญี่ปุ่น และบุคคลออกมาต้อนรับสวมชุดกิโมโน แต่ทว่าธงชาติกลับเป็นของประเทศไทย?

การกำลังจะกลับมาบ้านของบิดา ทำให้สมาชิกหลายๆคนมีปฏิกิริยาแตกต่างออกไป ผมขอเลือกมาแค่สามภาพที่น่าสนใจ
- หลานชาย Ari & Uzi รับรู้ข่าวจากบิดา Chas โทรแจ้งขณะกำลังเรียนว่ายน้ำ พบเห็นป้ายด้านหลัง “Rescue & Safety Class” แม้คือคอร์สช่วยชีวิตคนจมน้ำ แต่มันสามารถสื่อถึงบิดาผู้หวนกลับมาได้ตรงๆ
- Margot คุยโทรศัพท์กับ Eli Cash ผมไม่แน่ใจสถานที่ที่เธอยืนอยู่ แต่ภาพวาดด้านหลังคือม้าลายกระโดดหลบธนู นั่นน่าจะแสดงถึงความดีอกดีใจ ถึงอย่างนั้นกลับแสดงออกเหมือนคนไม่ยี่หร่าอะไร ไม่ใช่บิดาแท้ๆสักหน่อย
- แซว: Margot สวมเสื้อลายขวางแบบเดียวกับม้าลาย
- สำหรับ Eli Cash ตำแหน่งที่เขานั่งคุยโทรศัพท์ อยู่ระหว่างภาพวาดบุคคลทั้งสาม ชายสอง-หญิงหนึ่ง มันช่างตรงกับ Chas, Margot และ Richie (น่าจะคือคนหน้าลิงด้านหลัง)
- Eli Cash ตั้งแต่เด็กอยากเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว Tenenbaum แต่ก็เหมือนภาพนี้ที่ก็แค่คนนอก หาใช่ส่วนหนึ่งของภาพวาด



คนที่เป็น Cinephile ย่อมเกิดความเอะใจกับภาพสโลโมชั่นของ Margot ระหว่างก้าวเดินมาหา Richie แถมเนื้อร้องบทเพลงก็ช่วยสร้างบรรยากาศโรแมนติก บอกใบ้ความรู้สึกของทั้งสอง แต่เพราะพวกเขาเติบโตมาด้วยกัน มันจึงเกิดประเด็นรักต้องห้าม (Taboo) … ตรงไหนกัน?

ย้อนรอยกับตอนอารัมบทที่ลูกๆทั้งสามซักไซร้ ถามไถ่บิดาเมื่อ 22 ปีก่อน ทำไมถึงต้องทอดทิ้ง/ออกจากบ้าน, คราวนี้เมื่อเขาหวนกลับมา สังเกตว่ามีความแตกต่างออกไปพอสมควร
- อย่างแรกคือการสนทนาที่ดูสบายๆ ไม่เป็นทางการเหมือนครั้งนั้น และไม่มีโต๊ะตัวใหญ่ขวางกั้น (เพราะบิดาพร้อมเปิดใจให้ลูกๆหลานๆแล้วละ)
- Richie & Margot นั่งเคียงข้างกันบนโซฟา ทั้งสองมีความยินดีปรีดาที่ได้พบเจอหน้าบิดา (แม้ไม่แสดงออกก็ตามเถอะ)
- ตรงกันข้ามกับ Chas ยืนอยู่นอกเฟรม พูดจาเสียดสีถากถาง เต็มไปด้วยอคติต่อต้าน แสร้งทำเป็นอ่านหนังสือ … เล่มหนึ่งมีตัวอักษรใหญ่ๆ MAYA, AFRICAN MASK ฯ


วันแรกแค่พบเจอกันเฉยๆ ยังไม่ได้ขนย้ายข้าวของเข้ามา แต่ระหว่างกำลังจะกลับโรงแรม Royal สังเกตเห็นโทรฟี่หมูป่า (Havelina) สูญหายจากผนัง? ภายหลังเมื่อพบเจอโทรฟี่ดังกล่าว (อยู่ในห้องเก็บหนังสือ) สามารถสื่อถึงการดั้นด้น(แบบหมูป่า)หวนกลับบ้านของบิดา ถือเป็นการประกาศชัยชนะ/แผนการความสำเร็จ … แต่ไม่นานความจริงก็ได้รับการเปิดเผย

ผมพยายามขบครุ่นคิดว่าข้อความบนหลุมฝังศพ Helen O’reilly Tenenbaum (มารดาของ Royal) เคลือบแฝงความหมายอะไร? “The Salt of the Earth” เป็นคนนิสัยเค็ม? ขี้ตือ? เห็นแก่ตัว? ก่อนพบเจอว่าคือสำนวน (Idiom) คำเทศนาของ Jesus Christ ยุคสมัยก่อนเกลือมีมูลค่ามาก จึงเป็นคำยกย่องสรรเสริญบุคคลซื่อสัตย์ ขยันขันแข็ง สามารถเป็นที่พึ่งพาของผู้อื่น

การแข่งขันเทนนิสอัปยศที่สุดในประวัติศาสตร์ Richie ดูไม่มีกระจิตใจ ‘burn out’ ปฏิเสธลงเล่นจนจบ แต่ความน่าสนใจของซีนนี้คือผู้ให้เสียงบรรยายทางโทรทัศน์ Wes Anderson กับ Andrew Wilson

บุหรี่ของ Margot เป็นแบรนด์สัญชาติ Irish ที่ไม่มีขายนอกประเทศ (ปิดกิจการเมื่อปี ค.ศ. 2011) เธอไปหาซื้อมาได้ยังไง?? สำหรับชื่อ Sweet Afton นำจากบทกวีของ Robert Burns (1759-96) สัญชาติ Scottish แต่งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1791 สำหรับพรรณาความงดงามสายน้ำ Afton Water ในจังหวัด Ayrshire, Scotland
Flow gently, sweet Afton, amang thy green braes
Flow gently, I’ll sing thee a song in thy praise
My Mary’s asleep by they murmuring stream
Flow gently, sweet Afton, disturb not her dream

Richie เดินทางมาห้องพักของ Eli Cash สถานที่แห่งนี้มีสองสามสิ่งน่าสนใจ
- Eli Cash นั่งบนโซฟา ภาพวาดด้านหลังคือกลุ่มนักเลงมอเตอร์ไซด์เบ่งกล้าม สวมใส่หน้ากาก ดูยังไงก็เหมือนพวกนักเลง สามารถเหมารวมเขาคือส่วนหนึ่ง
- Richie ยืนพิงอีกภาพหนึ่ง สมาชิกแก๊งค์มอเตอร์ไซด์กำลังรุมกระทำร้ายชายคนหนึ่ง หน้าตาทรงผมอาจดูเหมือน Chas แต่ผมมองว่าบุคคลนั้นคือตัวแทนของ Richie (ที่ถูก Eli Cash ทรยศหักหลัง ทั้งแอบคบหา Margot พูดบอกความลับของ Richie กับเธอ ฯ)
- ภาพสุดท้ายกองวีดีโอบนโต๊ะ ผมพยายามสังเกตว่าหนังอะไร? ก่อนพบว่ามันวางกลับหัว แถมถูกทำให้เบลอๆ มองเห็นภาพไม่ชัดนัก พอลองพลิกกลับก็ร้องอ๋อ Dark & Dirty, Black Heaven ฯ หนัง 18+ นี่หว่า!



สองภาพนี้อาจดูเหมือนไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน แต่การจัดองค์ประกอบภาพ ถ่ายจากปลายเตียงนอน สลับฝั่งซ้าย-ขวา มันอาจเคลือบแฝงความสัมพันธ์บางอย่าง?
- บิดาบนเตียงในห้องของ Richie แสร้งว่าล้มป่วยมะเร็งกระเพาะอาหาร กำลังอ่านหนังสือก่อนนอน ก่อนถูก Chas เข้ามาบังคับปิดไฟตอนห้าทุ่มครึ่ง
- Richie บนเตียงในเต้นท์ (ห้อง Ballroom ชั้นสี่) กำลังป่วยใจเรื่องความรัก นอนอ่านหนังสือ Three Plays ของ Margot ก่อนถูก Chas เข้ามาก่อกวนความสงบ
- เต้นท์ของ Richie มีการตกแต่งด้วยท้องฟ้า หมู่ดาว แสงไฟดิสโก้ รถสะสม และถ้วยรางวัลการแข่งขัน


Raleigh เดินทางมาติดตามตัว Margot แต่เธอปฏิเสธกลับบ้าน เลยมาขอคำปรึกษากับ Richie แล้วจู่ๆเขาชกต่อยกระจกแตก! นั่นไม่ใช่สิ่งอยู่ในบทหนัง เป็นการดั้นสดการแสดงของ Luke Wilson เพื่อแสดงถึงความอัดอั้นตันใจ ไม่อยากยินยอมรับคำพูดของอีกฝ่าย แต่ถ้าเป็นจริงมันก็ … นี่ถือเป็นการอารัมบทหายนะที่หลังจาก Richie รับรู้ตัวตนแท้จริงของ Margot จักทำการ !@#$%^&

ในอดีต Royal เพียงนำพาบุตรคนโปรด Richie ไปเที่ยวเล่นโน่นนี่นั่น ปล่อยทอดทิ้ง Chas & Margot โดดเดี่ยวเดียวดายอยู่กับบ้าน แต่พอแก่ตัวมีหลานสองคน Ari & Uzi พาพวกเขาทำทุกสิ่งอย่างขัดต่อป้ายแนะนำ วิ่งเล่นในสระน้ำ เดินข้ามถนนตอนไฟขึ้นสีแดง Don’t Walk แถมคำร้องบทเพลง Me and Julio Down by the Schoolyard ก็พร้อมแหกกฎทุกสิ่งอย่าง

ระหว่างรับชมรายการสัมภาษณ์ของ Eli Cash มีการพูดกล่าวถึงหนังสือเล่มใหม่ Wildcat กล้องตัดมาที่ภาพของ Royal (และ Margot) ราวกับจะสื่อว่า(ทั้งสอง)คือแมวป่า ไร้บ้าน … ซึ่งขณะนี้ Henry Sherman ก็กำลังจะเปิดโปงข้อเท็จจริงว่า Royal ไม่ได้ล้มป่วยหนัก นั่นทำให้เขาจำใจเก็บข้าวของ หวนกลับไปเร่ร่อน Wildcat!

พฤติกรรมของบิดาอาจคือ ‘เด็กเลี้ยงแกะ’ แต่คำพูดประโยคนี้ต้องถือว่าออกมาจากใจ “the best six days of probably mo whole life.” มุมกล้องถ่ายติดสารพัดถ้วยรางวัล และภาพวาดของ Richie คือความภาคภูมิใจที่สุดของบิดา (คงเป็นภาพจากชัยชนะการแข่งขันเทนนิสครั้งแรก)
อีกภาพฟากฝั่งขวามาที่บิดาเคยยิงปืน BB Gun ใส่ Chas ผมเคยตีความไปก่อนหน้านี้ว่าเหมือนการทรยศหักหลัง แต่ถ้าเราครุ่นคิดในอีกแง่มุมหนึ่ง ชีวิตล้วนมีช่วงเวลาสุข-ทุกข์ ดี-เลว แต่เมื่อกาลเวลาเคลื่อนผ่าน มันจักแปรสภาพสู่ความทรงจำไม่รู้ลืมเลือน

การแสร้งป่วยใกล้ตายของ Royal ถ้าเรามองในเชิงนามธรรม มันคือจิตใจของเขาที่โหยหา คร่ำครวญ อยากหวนกลับบ้าน ได้เล่นสนุกกับลูกๆหลานๆ แม้เพียงระยะเวลาหกวันสั้นๆ ก็สามารถทำให้เขาเกิดความสดชื่น รู้สึกมีชีวิตชีวา (แม้ท่ามกลางหิมะตกหนัก) บังเกิดรอยยิ้มจากใจ ราวกับได้เกิดใหม่ “I’m going to live.”


มันอาจดูไม่มีปี่มีขลุ่ยที่จู่ๆ Pagoda ใช้มีดทิ่มแทง Royal เพื่ออะไรกัน? ผมครุ่นคิดว่ามันคือความปรารถนาดี ถ้าสมมติว่า Royal ได้รับบาดเจ็บสาหัส (จากการทิ่มแทงครั้งนี้) จะได้ไม่ต้องขนย้ายข้าวของ กลับมารักษาตัวที่บ้าน แต่ทว่าอาวุธของเขาขนาดเล็กกระจิดริด ไม่เพียงพอทำให้เกิดอะไรใดๆ

จากเคยอาศัยอยู่ห้องสูท(น่าจะ)ชั้นบนสุด Royal (พร้อมกับ Pagoda) หลังถูกขับไล่ออกจากบ้าน Tenenbaum ยินยอมทำงานเป็นพนักงานกดลิฟท์ ณ โรงแรม Lindberg Palace Hotel รับส่งลูกค้าขึ้นๆลงๆ นี่อาจสื่อถึงชีวิตขึ้นๆลงๆ หรือการยินยอมรับความเปลี่ยนแปลงของชีวิต ไม่ใช่คนเย่อหยิ่ง ทะนงตน หลงตัวเองอีกต่อไป … เมื่อได้ยินข่าว Chas พยายามฆ่าตัวตาย ก็เร่งรีบหาเวลาไปเยี่ยมเยียนยังโรงพยาบาล

มันมีร้อยแปดปฏิกิริยา หรือข้อสงสัยที่ Raleigh & Richie สามารถสอบถามนักสืบขุดคุ้ยเบื้องหลังของ Margot แต่ประโยคที่ Raleigh พูดกล่าวขึ้น(ในเชิงคำถาม)กลับคือ “She smokes?” หลายคนอาจครุ่นคิดแค่การสูบบุหรี่ จริงๆแล้วคำว่า “Smoke” มันเป็นศัพท์แสลงที่มีความหมายครอบจักรวาล (หนึ่งในนั้นก็คือ Smoke = Blowjob)

หลังจากรับรู้ตัวตนแท้จริงของ Margot คงทำให้ Richie ยินยอมรับไม่ได้! เข้าไปในห้องน้ำ เริ่มใช้กรรไกรตัดผมสั้นท่ามกลางความมืด แล้วเปิดไฟขณะกำลังจะโกนหนวด … หลายคนอาจสงสัยว่า Richie พยายามจะฆ่าตัวตาย กลับเสียเวลาตัดผม โกนหนวดเคราทำไม? มันคือสัญลักษณ์ของการตัดทิ้งอดีต แล้วจะได้เริ่มต้น(เกิด)ใหม่


วินาทีที่ Richie เชือดแขนตนเองจะมีการฉายภาพ “Flash” แวบขึ้นก่อนตาย! ในหนังมันรวดเร็วมากๆจนผมต้องลดความเร็วลงเกือบครึ่ง เพื่อให้ทันสังเกตเห็นว่ามีการร้อยเรียงภาพอะไรปรากฎขึ้นบ้าง ประกอบด้วยนกเหยี่ยว Mordecai, บางครั้งบิดา, บางครั้งมารดา, ตนเองวัยเด็ก และหลายครั้ง Margot โดยเฉพาะขณะเธอก้าวลงจากรถโดยสาร(อย่างสโลโมชั่น)มารอรับที่ท่าเรือ … เหล่านี้แสดงถึงปริมาณความสำคัญของสิ่งต่างๆในชีวิต ภาพที่เขาจดจำจนวันตาย

หมอที่กำลังดูนาฬิกาทางซ้ายมือคือ Brian Tenenbaum เพื่อนร่วมมหาวิทยาลัย University of Texas ของผกก. Anderson และ Owen Wilson เลือกใช้ชื่อนี้เพราะว่า “I just like the name.” และน้องสาวของ Brian ชื่อว่า Margot

หลายต่อหลายครั้งที่ Margot เวลาอยู่ร่วมเฟรมกับคนอื่น มักยืนตำแหน่งไกลๆ หลบมุม แนบพิงผนัง ทำเหมือนไม่อยากมีส่วนร่วม ฉันไม่ใช่ส่วนหนึ่งของครอบครัว แต่ลึกๆแล้วเธอคอยเงี่ยหูฟังอยู่ห่างๆ เป็นห่วงเป็นใยพี่น้อง แค่ไม่แสดงออก ละเล่นตัว มีคำเรียกภาษาวัยรุ่นซึนเดเระ (Tsundere)


Raleigh เป็นคนไม่สูบบุหรี่ แต่ขณะนี้เขากลับร้องขอบุหรี่จาก Margot เพื่อบ่งบอกว่าตนเองรับล่วงรู้ความลับของเธอทุกสิ่งอย่าง จากนั้นกล่าวคำร่ำลาภาษาฝรั่งเศส “au revoir” แปลว่าลาก่อน … ย้อนรอยผู้สมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศส Valéry Giscard d’Estaing หลังพ่ายแพ้การเลือกตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1981 พูดคำทิ้งท้ายกับนักข่าว “au revoir”

ย้อนรอยกับตอนที่ Margot ก้าวลงจากรถโดยสารสีเขียวอย่างสโลโมชั่น เพื่อมารอรับที่ท่าเรือ, คราวนี้ Richie หนีออกจากโรงพยาบาลยามค่ำคืน ขึ้นรถโดยสาร (แต่ไม่มีสโลโมชั่นนะครับ) ตั้งใจเดินทางกลับบ้านไปหาเธอ
ภายในรถโดยสาร เต็มไปด้วยงานศิลปะ Street Art วัยรุ่นพ่นตัวข้อความ สำแดงตนเอง ตามกระจก เบาะที่นั่ง สามารถสะท้อนเข้ากับสภาพจิตใจของ Richie มีความสับสน ว้าวุ่นวาย ไม่รู้จะทำอะไรยังไง เพียงหวนกลับบ้าน เผชิญหน้าตัวตนเอง เปิดเผยความต้องการแท้จริงออกมา


ผมคุ้นๆว่าครั้งก่อนๆที่ถ่ายภายในเต้นท์ มันไม่มีลูกโลกประกอบฉาก! แต่คราวนี้เมื่อ Richie กลับมาเผชิญหน้า Margot มันสามารถใช้เป็นสัญญะของการกลับสู่โลกความจริง! ค้นพบเป้าหมายชีวิต ไม่ใช่โบยบินบนท้อฟากฟ้า หรือล่องลอยคอในมหาสมุทรอีกต่อไป … การหวนกลับมาของนกเหยี่ยว Mordecai จะตีความแบบนี้ก็ได้เช่นกัน

ย้อนรอยกับตอนต้นเรื่องที่ Riche แวะเวียนมาหา Eli Cash แต่คราวนี้สิ่งพบเห็นช่วยขยายคำอธิบายภาพวาดด้านหลังได้เป็นอย่างดี
- Eli Cash กำลังเสพติดยา (สารเสพติดวางเต็มโต๊ะ) นั่งล้อมรอบด้วยผองเพื่อน = บรรดาสมาชิกแก๊งค์มอเตอร์ไซด์ในภาพวาด
- สำหรับ Richie ครั้งก่อนยังมีสภาพเหมือนบุคคล(ในภาพ)ที่ถูกรุมโทรม หมดสภาพ แต่ครานี้สามารถลุกขึ้นยืน สำแดงความเชื่อมั่น กล้าพูดบอกความต้องการ


เจ้าหนูลายจุด (ลงสีด้วยปากกา Sharpie) วิ่งไปวิ่งมาทั่วบ้าน พบเห็นตรงนี้ที ประเดี๋ยวทางนี้ที ผมครุ่นคิดว่าอาจคือตัวแทนของผู้ชม ชื่นชอบการสอดรู้สอดเห็น เสือกเรื่องชาวบ้านไปทั่ว … ก็เหมือนภาพยนตร์เรื่องนี้ที่นำพาผู้ชมเข้าสู่ครอบครัวบกพร่อง Tenenbaum

การสูญเสีย Margot ทำให้ Eli Cash ไม่สามารถกลายเป็นส่วนหนึ่งของ Tenenbaum และเมื่อถูกจับได้โดยเพื่อนสนิท Richie (ว่าตนเองแอบคบชู้กับ Margot) ทำให้เขาเล่นยา ดื่มสุราเมามาย แต่งหน้าเหมือนอินเดียนแดงกำลังจะออกศึก ขับรถเร่งความเร็ว ส่ายไปส่ายมา พุ่งชนสุนัขตัวโปรด Buckley และตัวเขากระเด็นกระดอนเข้าไปในบ้าน
เจ้าสุนัข Buckley ไม่ใช่แมวเก้าชีวิต! ก่อนหน้านี้เคยตัวรอดมาแล้วครั้งหนึ่งตอนเครื่องบินตก มันจึงเป็นตัวแทนภรรยาของ Chas หลังถูก Eli Cash ขับรถพุ่งชนเสียชีวิต (ก็เท่ากับไม่หลงเหลือสิ่งเหนี่ยวรั้งแทนภรรยา) ทำให้เขาสำแดงอารมณ์เกรี้ยวกราด ออกวิ่งไล่ล่า ปีนป่ายกำแพงเข้าไปในบ้านเลขานุการทูต การต่อสู้ถึงยุติลง (แบบเดียวกับตอน Royal แสร้งป่วยกับ Etheline ประณีประณอมกันเบื้องหน้าบ้านเลขานุการทูต) … บางคนมองว่า Chas เกรี้ยวกราดกับ Eli Cash เพราะขับรถเกือบชนบุตรชาย แต่ผมมองว่าความตายของเจ้า Buckley = ภรรยาผู้ล่วงลับ น่าจะเป็นตัวกระตุ้นที่รุนแรงกว่า ตีความแบบไหนก็ได้เหมือนกันนะครับ


หลังความวุ่นๆวายๆสิ้นสุดลง หนังนำเสนอด้วย ‘Long Take’ ไม่มีตัดต่อ กล้องเริ่มต้นจากบาทหลวงถูกส่งขึ้นรถพยาบาล (โดน Chas ผลักตกบันไดระหว่างวิ่งไล่ล่า Eli Cash) เคลื่อนเลื่อนพานผ่านบุคคลต่างๆ กล่าวประโยคสองประโยค แต่สิ่งน่าสนใจสุดก็คือ Royal ขอซื้อต่อสุนัขลายจุด สายพันธุ์ดัลเมเชียน (Dalmatian) [แบบเดียวกับเจ้าหนูลงสีด้วยปากกา Sharpie] มาเป็นสัตว์เลี้ยงตัวใหม่แทน Buckley … มันจะเร็วไปไหน ก้นหม้อไม่ทันดำ เจ้าตัวเก่ายังไม่ทันกลมฝังเลยด้วยซ้ำ!
แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ รวมถึงที่บิดาช่วยชีวิตหลานทั้งสอง นั่นทำให้ Chas ยินยอมประณีประณอม น้ำเสียงอ่อนลง นั่นคือการยกโทษให้อภัยบิดา ไม่ถือสาสิ่งเลวร้ายเคยกระทำกันมา


สิ่งสร้างความประหลาดใจให้ผมมากที่สุด ก็คือบุคคลสุดท้ายอยู่เคียงข้างบิดาก่อนเสียชีวิต ปรากฎไม่ใช่ Richie กลับเป็น Chas ตลอดทั้งเรื่องลูกคนนี้เต็มไปด้วยอคติ ต่อต้าน เต็มไปด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราด แต่หลังจากทั้งสองปรับความเข้าใจ เกลียดมากเลยกลายเป็นรักมาก! … แม้มันจะเป็นสิ่งเลวร้ายที่บิดาเคยกระทำเอาไว้ แต่จักคือสิ่งที่ลูกๆจดจำตราบจนวันตาย

มันช่างเป็นข้อความบนป้ายสุสานที่ … เพ้อเจ้อสิ้นดี! แต่กลับโคตรเหมาะสำหรับอธิบายถึง Royal O’Reilly Tenenbaum ผู้กอบกู้ครอบครัวจากสภาพปรักหักพัง (เรือล่ม = ครอบครัวแตกร้าว) แม้เคยทอดทิ้งภรรยา+ลูกๆไปเมื่อ 22 ปีก่อน หวนกลับมาเล่นละคอน ก่อนสามารถรื้อฟื้น สานสัมพันธ์ ทุกคนหวนกลับมารักกัน เติมเต็มช่องว่างขาดหาย และตายเยี่ยงวีรบุรุษ!

ตัดต่อโดย Dylan Tichenor (เกิดปี ค.ศ. 1968) สัญชาติอเมริกัน หลังเรียนจบทำงานผู้ช่วยตัดต่อของ Geraldine Peroni ภาพยนตร์ The Player (1992), Short Cuts (1993) ได้รับเครดิตตัดต่อ Jazz ’34 (1996), ผลงานเด่นๆ อาทิ Boogie Nights (1997), Magnolia (1999), Unbreakable (2000), The Royal Tenebaums (2001), Brokeback Mountain (2005), There Will Be Blood (2007), Zero Dark Thirty (2012), Phantom Thread (2017) ฯ
หนังสไตล์ Anderson มักมีโครงสร้างดำเนินเรื่องที่ละม้ายคล้ายนวนิยาย คือแบ่งออกเป็นบทๆ ตอนๆ พร้อมเสียงบรรยายประกอบความครุ่นคิด (ให้เสียงโดย Alec Baldwin) สำหรับ The Royal Tenebaums (2001) มีจุดศูนย์กลางคือสมาชิกครอบครัว Tenebaums ทั้งหมดสามรุ่น บิดา-มารดา บุตรชาย-สาว และหลานอีกสอง
- อารัมบท, แนะนำสมาชิกครอบครัว Tenebaums
- เริ่มจากบิดาถูกไล่ออกจากบ้าน พยายามอธิบายกับลูกๆทั้งสาม
- แนะนำเด็กๆอัจฉริยะทั้งสาม
- เหตุการณ์ที่บิดาสร้างปมให้กับลูกๆทั้งสาม
- ยิงปืนใส่ Chas
- พา Richie ไปเล่นพนันขันต่อ (สร้างความอิจฉาให้พี่น้องทั้งสอง)
- ทำลายงานเลี้ยงวันเกิดของ Margot
- แนะนำตัวละครหลังจาก 22 ปีผ่านไป
- บทที่หนึ่ง
- Royal ไม่มีเงินจ่ายค่าห้องพัก กำลังจะถูกขับไล่ออกจากโรงแรม
- Richie ล่องเรือกลางทะเล เขียนจดหมายถึงเพื่อนสนิท Eli Cash รำพันความรักต่อ Margot
- Eli Cash โปรโมทหนังสือเล่มใหม่ โทรศัพท์หา Margot
- Margot ขังตัวอยู่ในห้องน้ำ แม้สามีพยายามโน้มน้าวกลับปฏิเสธออกไปภายนอก
- Raleigh สามีของ Margot ทำการทดลอง Heinsbergen Syndrome
- Chas ซักซ้อมหนีไฟกับลูกๆ
- Henry Sherman สารภาพรักกับ Etheline ซึ่งไปเข้าหูคนรับใช้ Pagoda
- Pagoda นำความมาเปิดเผยต่อ Royal
- บทที่สอง
- Chas พาลูกๆกลับมาบ้าน
- Royal เดินทางไปให้หมอ(จริงๆ)ตรวจโรค
- มารดาเดินทางไปโน้มน้าว Margot ยินยอมกลับบ้าน
- Royal ดักรอพบเจออดีตภรรยา Etheline เพื่อบอกว่าตนเองป่วยหนักใกล้ตาย
- Richie เมื่อได้รับโทรเลข จึงตัดสินใจเดินทางกลับบ้าน
- บทที่สาม
- Royal เดินทางกลับมาบ้าน พูดคุยกับลูกทั้งสาม Richie กับ Margot ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่สำหรับ Chas เต็มไปด้วยอคติต่อต้าน
- Margot ขับรถเล่นกับ Eli Cash
- Etheline & Henry Sherman ณ ไซด์ทำงาน
- Royal พยายามเข้าหาหลาน/บุตรชายทั้งสองของ Chas
- Royal นำพาลูกๆหลานๆไปเยี่ยมหลุมศพคุณยาย/ทวด
- Richie พูดคุยกับ Eli Cash
- บทที่สี่
- Royal ถูกไล่ออกจากโรงแรม ขนย้ายข้าวของกลับมาบ้าน
- Royal แสร้งทำเป็นล้มป่วยหนัก ได้รับการตรวจวินิจฉัยจากหมอปลอม
- Raleigh เริ่มตระหนักว่าอาจต้องสูญเสียภรรยา Margot
- Royal มีส่วนร่วมกับกิจกรรมต่างๆในครอบครัว ไม่มีวี่แววอาการป่วยหนัก
- บทที่ห้า
- Royal เดินเล่นในสวน พยายามปรับความเข้าใจกับ Etheline
- Henry Sherman สังเกตเห็นความผิดปกติ และสามารถเปิดโปงข้อเท็จจริง
- นั่นทำให้ Royal ต้องเก็บข้าวของออกจากบ้าน
- บทที่หก
- Royal เข้าพักที่ 375th Street Y
- Eli Cash บอกเลิกกับ Margot
- นักสืบเปิดเผยเบื้องหลังของ Margot ให้กับ Raleigh และ Richie
- Richie พยายามกระทำอัตวินิบาต โชคยังดีส่งเข้าโรงพยาบาลได้ทัน
- Royal ได้งานใหม่เป็นพนักงานกดลิฟท์ หาเวลามาเยี่ยม Richie ก่อนพบอีกฝ่ายหนีออกจากโรงพยาบาล
- Richie กลับมาบ้าน สารภาพรักกับ Margot
- บทที่เจ็ด
- Richie ขอคำปรึกษาจากบิดาเรื่องของ Margot
- Richie เผชิญหน้ากับ Eli Cash
- Royal พูดคุยกับ Margot
- Royal พยายามชักชวน Chas ไปเยี่ยมหลุมฝังศพย่า/ทวด แต่ได้รับคำตอบปฏิเสธ
- Royal เซ็นชื่อใบหย่าให้กับภรรยา
- บทที่แปด
- งานแต่งงานของ Henry Sherman และ Etheline
- Eli Cash เมาแอ๋ ขับรถพุ่งชนบ้าน Tenebaums
- Chas ออกไล่ล่าแก้แค้น Eli Cash
- Royal ปรับความเข้าใจกับ Chas ได้สำเร็จ
- บทสรุปชีวิตตัวละครต่างๆ
- ปัจฉิมบท
- งานศพของ Royal Tenebaums
ช่วงตอนแรกๆระหว่างแนะนำตัวละคร อาจสร้างความสับสน มึนงง ดูไม่ทัน รายละเอียดเยอะชิบหาย! แต่พอพานผ่านถึงตอนสาม-สี่ เมื่อเริ่มเกิดความคุ้นชิน จับต้องทิศทาง โครงสร้างเรื่องราว จะพบว่า The Royal Tenebaums (2001) เป็นหนังที่ดูไม่ยาก การดำเนินเรื่องแทบจะเป็นเส้นตรง (Linear Narrative) และมักมีสิ่งเชื่อมโยง/ส่งต่อไม้ผลัดจากเหตุการณ์หนึ่ง สู่อีกเหตุการณ์หนึ่งเสมอๆ
เพลงประกอบโดย Mark Allen Mothersbaugh (เกิดปี ค.ศ. 1950) สัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Akron, Ohio ช่วงระหว่างเรียนวิจิตรศิลป์ Kent State University พบเจอกับ Gerald Casale และ Bob Lewis ร่วมกันก่อตั้งวงดนตรี New Wave ชื่อว่า Devo, นอกจากนี้ยังมีผลงานเพลงประกอบภาพยนตร์ อนิเมชั่น ซีรีย์โทรทัศน์ อาทิ Rushmore (1998), The Royal Tenenbaums (2001), The Life Aquatic with Steve Zissou (2004), Hotel Transylvania (2012), The Lego Movie (2014), Thor: Ragnarok (2017) ฯ
ด้วยความที่หนังเต็มไปด้วยบทเพลงจากศิลปินมีชื่อ ทำให้หลายคนอาจไม่ทันสังเกตเพลงดั้งเดิม (Original Score) ของ Mothersbaugh ซึ่งมักแทรกแซมอยู่ตรงโน้นนิด ตรงนี้หน่อย ความยาวเฉลี่ยประมาณนาที มีลักษณะเหมือนสร้อยบทกวี สร้างเสริมบรรยากาศในเหตุการณ์ขณะนั้นๆ
The Lindebergh บทเพลงยาวสุดในอัลบัมกว่า 7 นาที! คลอประกอบตลอดทั้งบทที่หนึ่ง 22 ปีให้หลัง ทุกคนต่างมีหนทางชีวิตแตกต่างกันออกไป แต่จิตใจของพวกเขากลับลุ่มร้อน กระวนกระวาย เสียงดีดกีตาร์ขึ้นๆลงๆราวกับจังหวะหัวใจ เต้นไม่เคยหยุดพัก จนรู้สึกเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า โหยหาบางสิ่งอย่างที่สามารถสงบจิตสงบใจ
ความน่าสนใจของบทเพลงนี้ คือท่วงทำนองที่ผันแปรเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ตัวละคร โดยเฉพาะ Chas มีการรัวกลองอย่างเมามันส์ระหว่างซักซ้อมหนีไฟ แต่เมื่อช่วงเวลาดังกล่าวสิ้นสุดลง เสียงดีดกีตาร์ขึ้นๆลงๆ ยังคงดังขึ้นรบกวนจิตใจ … ความปั่นป่วนมวนท้องไส้ตลอดทั้งบทเพลงนี้ มันคืออาการครุ่นคิดถึงบิดา โหยหาช่วงเวลาวัยเด็กที่สูญหาย
ผกก. Anderson ใส่ใจการเลือกบทเพลงประกอบอย่างมากๆ “the most complex, ambitious musical piece I’ve ever worked on” ก็ขนาดว่ามีจัดจำหน่ายสามอัลบัมละ 20+ บทเพลง! ผสมผสานหลากหลายสไตล์ดนตรี Classical, Rock, Pop, Folk, Punk Rock ฯ ส่วนใหญ่เลือกจากท่วงทำนอง หรือเนื้อคำร้องที่สอดคล้องเหตุการณ์ขณะนั้นๆ ดังขึ้นไม่นานแล้วก็เงียบหาย
บทเพลงไฮไลท์แรกก็คือ Hey Jude (1968) แต่งโดย Lennon-McCartney โคตรเพลงโด่งดังที่สุดตลอดกาลของ The Beatles ฉบับในหนังบรรเลงโดย Mutato Muzika Orchestra คลอประกอบตลอดอารัมบท ปลอบประโลมลูกๆทั้งสามที่กำลังจะสูญเสียบิดา โปรดอย่าเศร้าโศกา ประเดี๋ยวทุกสิ่งอย่างก็ผ่านไป … ใครที่สามารถฮัมคำร้องตาม ระหว่างรับชมอาจน้ำตาไหลพรากๆโดยไม่รู้ตัว
เหมือนจะไม่ได้พบเจอกันมานาน เมื่อครั้น Margot เดินทางมารับ Richie ราวกับโลกทั้งใบเคลื่อนหมุนช้าลง ฉายภาพสโลโมชั่น พร้อมบทเพลง These Days แต่งโดย Jackson Browne, ขับร้องโดย Nico ประกอบอัลบัม Chelsea Girl (1967)
I’ve been out walking
I don’t do too much talking these days
These days
These days I seem to think a lot
About the things that I forgot to do
And all the times I had
A chance toI’ve stopped my rambling
I don’t do too much gambling these days
These days
These days I seem to think about
How all these changes came about my ways
And I wonder if I’d see another
HighwayI had a lover
I don’t think I’d risk another these days
These days
And if I seem to be afraid
To live the life that I have made in song
It’s just that I’ve been losing
So longLa, la, la, la, la
La, laI’ve stopped my dreaming
I won’t do too much scheming these days
These days
These days I sit on cornerstones
And count the time in quarter tones to ten
Please don’t confront me with my failures
I had not forgotten them
ช่วงเวลาสุดมันส์ระหว่างคุณปู่แสร้งป่วย เที่ยวเล่นสนุกสนานกับหลานๆ พร้อมบทเพลง Me and Julio Down by the Schoolyard (1972) แต่ง/ขับร้องโดย Paul Simon … เนื้อคำร้องเพลงนี้มันช่างวัยรุ่นหัวขบถยิ่งนัก!
The mama pajama rolled out of bed
And she ran to the police station
When the papa found out he began to shout
And he started the investigationIt’s against the law
It was against the law
What the mama saw
It was against the lawThe mama looked down and spit on the ground
Every time my name gets mentioned
The papa said, “Oy, if I get that boy
I’m gonna stick him in the house of detention”Well I’m on my way
I don’t know where I’m going
I’m on my way
I’m taking my time
But I don’t know where
Goodbye to Rosie, the queen of CoronaSeein’ me and Julio
Down by the schoolyard
Seein’ me and Julio
Down by the schoolyardWhoa, in a couple of days they come and take me away
But the press let the story leak
And when the radical priest
Come to get me released
We was all on the cover of NewsweekAnd I’m on my way
I don’t know where I’m going
I’m on my way
I’m taking my time
But I don’t know where
Goodbye to Rosie, the queen of CoronaSeein’ me and Julio
Down by the schoolyard
Seein’ me and Julio
Down by the schoolyard
Seein’ me and Julio
Down by the schoolyard
เมื่อนักสืบเปิดเผยเบื้องหลัง Flashback ของ Margot พร้อมเปิดบทเพลง Judy Is a Punk (1975) แต่ง/ขับร้องโดยสี่พี่น้อง Ramones, แค่ชื่อก็สามารถเปรียบเทียบตรงๆ Margot = Judy = สาวพังก์
Jackie is a punk
Judy is a runt
They both went down to Berlin, joined the Ice Capades
(They both went down to Frisco, joined the SLA)
And oh, I don’t know why
Oh, I don’t know why
Perhaps they’ll die.
ซึ่งหลังจาก Richie รับรู้เบื้องหลังเกี่ยวกับ Margot เหมือนจะไม่สามารถยอมรับความจริงที่น้องสาว(บุญธรรม)เป็นคนแบบนั้น ระหว่างตัดผม โกนหนวดเครา กรีดมือจะฆ่าตัวตาย ได้ยินบทเพลง Needle in the Hay (1995) แต่ง/ขับร้องโดย Elliott Smith
Your hand on his arm
Haystack charm around your neck
Strung out and thin
Calling some friend tryin’ to cash some check
He’s acting dumb
That’s what you’ve come to expectNeedle in the hay
Needle in the hay
Needle in the hay
Needle in the hayHe’s wearing your clothes
Head down to toes a reaction to you
You say you know what he did
But you idiot kid, you don’t have a clue
Sometimes they just get caught in the eye
You’re pulling him throughNeedle in the hay
Needle in the hay
Needle in the hay
Needle in the hayNow on the bus
Nearly touching this dirty retreat
Falling out
6th and Powell, a dead sweat in my teeth
Gonna walk, walk, walk
Four more blocks, plus the one in my brain
Down downstairs
To the man, he’s gonna make it all okay
I can’t be myself
I can’t be myself and I don’t wanna talk
I’m taking the cure
So I can be quiet whenever I want
So leave me alone
You oughta be proud that I’m getting good marksNeedle in the hay
Needle in the hay
Needle in the hay
Needle in the hay
Needle in the hay
Needle in the hay
Needle in the hay
Needle in the hay
ระหว่างที่ Richie หนีออกจากโรงพยาบาล ขึ้นรถโดยสารกลับบ้าน ได้ยินบทเพลง Fly (1971) แต่ง/ขับร้องโดย Nick Drake ท่อนคำร้องกล่าวคำอ้อนวอน “Please give me a second grace” ขอโอกาสฉันสักครั้ง เพื่อจะเริ่มต้นทุกสิ่งอย่างใหม่ ดังต่อเนื่องไปจนพบเจอ Margot แล้วพูดบอกความในใจ
Please give me a second grace
Please give me a second face
I’ve fallen far down the first time around
Now I just sit on the ground in your wayNow if it’s time for recompense for what’s done
Come, come sit down on the fence in the sun
And the clouds will roll by
And we’ll never deny
It’s really too hard
For to flyPlease tell me your second name
Please play me your second game
I’ve fallen so far for the people you are
I just need your star for a daySo come, come ride in my street-car by the bay
For now I must know how fine you are in your way
And the sea sure as I
But she won’t need to cry
For it’s really too hard
For to fly
บทเพลงที่ Margot เปิดจากแผ่นเสียงระหว่างสนทนาในเต้นท์กับ Richi มีสองบทเพลงติดๆกัน She Smiled Sweetly และ Ruby Tuesday แต่งโดย Mick Jagger & Keith Richards, ขับร้อง/บรรเลงโดย The Rolling Stones รวมอยู่ในอัลบัม Between the Buttons (1967)
Why do my thoughts loom so large on me?
They seem to stay, for day after day
And won’t disappear, I’ve tried every wayBut she smiled sweetly
She smiled sweetly
She smiled sweetly
And says don’t worry
Oh, no no noWhere does she hide it inside of her?
That keeps her peace most every day
And won’t disappear, my hair’s turning greyBut she smiled sweetly
She smiled sweetly
She smiled sweetly
And says don’t worry
Oh, no no no“There’s nothing in why or when
There’s no use trying, you’re here
Begging again, and ov’are again”That’s what she said so softly
I understood for once in my life
And feeling good most all of the timeBut she smiled sweetly
She smiled sweetly
She smiled sweetly
And said don’t worry
Oh, no no no
Oh, no no no
Oh, no no no
She would never say where she came from
Yesterday don’t matter if it’s gone
While the sun is bright
Or in the darkest night
No one knows, she comes and goesGoodbye, Ruby Tuesday
Who could hang a name on you?
When you change with every new day
Still, I’m gonna miss youDon’t question why she needs to be so free
She’ll tell you it’s the only way to be
She just can’t be chained
To a life where nothing’s gained
And nothing’s lost, at such a costGoodbye, Ruby Tuesday
Who could hang a name on you?
When you change with every new day
Still, I’m gonna miss you“There’s no time to lose, ” I heard her say
Catch your dreams before they slip away
Dying all the time
Lose your dreams and you will lose your mind
Ain’t life unkind?Goodbye, Ruby Tuesday
Who could hang a name on you?
When you change with every new day
Still, I’m gonna miss youGoodbye, Ruby Tuesday
Who could hang a name on you?
When you change with every new day
Still, I’m gonna miss you
ระหว่างที่ Richie พูดคุยปรึกษาเรื่อง Margot กับบิดาบนดาดฟ้าโรงแรม พบเจอเจ้าเหยี่ยวตัวโปรด Mordecai โฉบกลับมาหา ได้ยินบทเพลง Stephanie Says แต่งโดย Lou Reed, ขับร้อง/บรรเลงโดย The Velvet Underground บันทึกเสียงตั้งแต่ปี ค.ศ. 1968 แต่มีขายแค่แผ่นเถื่อน (Bootleg) กว่าจะวางจำหน่ายได้จริงๆก็ปี ค.ศ. 1985
ประวัติของเพลงนี้ดูจะสอดคล้องความสัมพันธ์ต้องห้ามระหว่าง Richie & Margot ที่ต้องปกปิด ซ่อนเร้น เก็บงำความรู้สึกไว้ภายใน จนกระทั่งหลายปีผ่านไป เมื่อต่างฝ่ายมิอาจอดรนทนไหว ปัจจุบันจึงเปิดเผยความรักออกสู่สาธารณะ
Stephanie says that she wants to know
Why she’s given half her life, to people she hates now
Stephanie says when answering the phone
What country shall I say is calling from across the worldBut she’s not afraid to die, the people all call her Alaska
Between worlds so the people ask her ’cause it’s all in her mind
It’s all in her mindStephanie says that she wants to know
Why it is thought she’s the door She can’t be the roomStephanie says but doesn’t hang up the phone
What sea shell sea is calling from across the worldBut she’s not afraid to die, the people all call her Alaska
Between worlds so the people ask her ’cause it’s all in her mind
It’s all in her mindShe asks you is it good or bad
It’s such an icy feeling it’s so cold in Alaska,
it’s so cold in Alaska, it’s so cold in Alaska
งานศพของ Royal Tenenbaums เปิดบทเพลง Everyone (1970) แนว Baroque Pop, แต่ง/ขับร้องโดย Van Morrison ที่เจ้าตัวให้คำนิยาม “Everyone is just a song of hope, that’s what that is.”
We shall walk again
All along the lane
Down the avenue
Just like we used to doWith our heads so high
Smile at the passers-by
And we’ll softly sigh
Ay, ay, ayEveryone, everyone
Everyone, everyone
Everyone, everyone
Everyone, everyoneBy the winding stream
We shall lie and dream
We’ll make dreams come true
If we want them toYes, all will come
Play the pipes and drum
Sing a happy song
And we’ll sing alongEveryone, everyone
Everyone, everyone
Everyone, everyone
Everyone, everyoneWe shall walk again
All along down the lane
Down the avenue
Just like we used to doWith our heads so high
Smile at passers by
And we’ll softly sigh
Ay, ay, ayEveryone, everyone
Everyone, everyone
Everyone, everyone
Everyone, everyone
Royal Tenenbaums แค่ชื่อก็บ่งบอกสันดาน-ธาตุแท้-ตัวตน บุคคลชอบทำตัวเย่อหยิ่ง ยิ่งใหญ่ ครุ่นคิดว่าฉันสูงส่งกว่าใคร แต่พอถูกภรรยาขับไล่ ก็มีสภาพเหมือนหมาข้างถนน กินบุญเก่า เฝ้ารอวันตาย สุดท้ายซมซานกลับมา พยายามเรียกร้องขอคืนดี ดันไม่รู้สำนึก เด็กเลี้ยงแกะ! จนกว่าจะยินยอมรับสภาพเป็นจริง การไถ่โทษ ไถ่บาป (Redemption) ถึงจักบังเกิดขึ้น
การจากไปของบิดาไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ทำให้ครอบครัวที่เคยสมบูรณ์เพรียบพร้อม กลายเป็น(ครอบครัว)บกพร่อง (Dysfunctional Family) ส่งผลกระทบต่อภรรยา บุตรหลาน และบุคคลรอบข้าง บังเกิดช่องว่างความสัมพันธ์
- ภรรยา Etheline กลายเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว (Single Mom) ต้องทำงานหาเงินจุนเจือครอบครัว จึงไม่มีเวลาให้กับตนเองและลูกๆหลานๆ เกิดความโดดเดี่ยว เปล่าเปลี่ยว แห้งเหี่ยว โหยหาใครสักคนพึ่งพักพิง
- Chas ไม่ได้มีความทรงจำที่ดีนักต่อบิดา (ทั้งเคยถูกยิง โกงเงินบริษัท ฯ) แถมพอแต่งงานแล้วยังสูญเสียภรรยา จึงเต็มไปด้วยอคติ ต่อต้าน สำแดงอารมณ์เกรี้ยวกราด กลายเป็นคนหวาดวิตกจริต ครุ่นคิดมาก ปกป้องลูกหลานมากเกินไป (Overprotective Parent)
- Margot บุตรบุญธรรมในครอบครัว Tenenbaums การจากไปของบิดา(บุญธรรม) รวมถึงมารดาผู้ไร้เยื่อใย ทำให้เธอขาดที่พึ่งพักพิง กลายเป็นเด็กเสเพล ชอบเที่ยวเตร่ แอบสูบบุหรี่ เปลี่ยนคู่นอนไม่ซ้ำหน้า เมื่อถึงจุดๆหนึ่งเกิดความเบื่อหน่ายชีวิต กักขังตนเองอยู่ในห้องน้ำ กลายเป็นต่อต้านสังคม (Introvert)
- Richie เป็นบุตรได้รับความรักจากบิดามากที่สุด การจากไปของเขาทำให้ล่องลอยเคว้งคว้าง ล่องเรือสำราญรอบโลก ใช้ชีวิตอย่างเรื่อยเปื่อยไร้จุดหมาย แอบตกหลุมรัก Margot แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง
- Eli Cash เพื่อนบ้านที่อยากเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว Tenenbaums การจากไปของ(บิดา) Royal ถือว่าช่วยเติมเต็มความฝัน ทั้งยังแอบสานสัมพันธ์ Margot … แต่ภายหลังเมื่อ Royal หวนกลับมา ชีวิตของ Eli Cash ก็แทบจะพังทลาย เมามาย ฆ่าสุนัขตาย
ผมไม่รู้ผกก. Anderson หลังบิดา-มารดาหย่าร้างตอนอายุ 8 ขวบ เขาเติบโตขึ้นกลายเป็นคนประเภทไหน? เกรี้ยวกราด? เที่ยวเตร่? เฉื่อยชา? สรรค์สร้างภาพยนตร์เรื่องนี้พยายามนำเสนออิทธิพล ผลกระทบ ทุกความเป็นไปได้ภายหลังครอบครัวแตกร้าว
ในชีวิตจริงไม่รู้บิดาของผกก. Anderson เคยหวนกลับหาครอบครัวบ้างไหม? แต่เพราะความครุ่นคิดถึง จึงสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ให้ตัวละคร Royal ได้ไถ่โทษ ไถ่บาป (Redemption) แม้จะเป็นการเสแสร้ง แกล้งป่วย เล่นละคอนตบตา (เหมือนเด็กเลี้ยงแกะ) แต่นั่นคือจุดเริ่มต้นความเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าดีหรือแย่ล้วนเป็นการสร้างช่วงเวลาแห่งความทรงจำ
แม้ว่าผกก. Anderson สร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ตอนอายุ 30 กว่าๆ (เทียบเท่าตัวละครลูกๆ Chas & Richie & Margot) แต่เราสามารถมองในมุมบิดา Royal เมื่อวัยวุฒิเพิ่มขึ้น ร่างกายเจ็บป่วยอิดๆออดๆ พอตระหนักถึงความตายใกล้เข้ามา มักเริ่มครุ่นคิดทบทวนตนเอง อะไรผิดพลาดก็อยากหวนกลับไปแก้ไข ปรับความเข้าใจภรรยา ใช้เวลากับลูกๆหลานๆ เพราะนั่นคือโอกาสครั้งสุดท้าย ชีวิตบั้นปลายที่มีความสุข และตายอย่างสงบ
The Royal Tenenbaums (2001) คือผลงานเติมเต็มช่องว่างขาดหายในวัยเด็กของผกก. Anderson สร้างครอบครัวภาพยนตร์ของตนเอง ระบายความรู้สึกเมื่อตอนบิดาทอดทิ้งครอบครัวไป ไม่ว่าปัจจุบัน(นั้น)เขาจะมีชีวิตอย่างไร ก็หวังว่าจะพบความสุขสงบ
เข้าฉายรอบปฐมทัศน์ยังเทศกาลหนัง New York Film Festival เสียงตอบรับถือว่าดียอดเยี่ยม! ด้วยทุนสร้าง $21 ล้านเหรียญ ทำเงินในสหรัฐอเมริกา $52.36 ล้านเหรียญ รวมทั่วโลก $71.44 ล้านเหรียญ กลายเป็นผลงานประสบความสำเร็จทำเงินสูงสุดของผกก. Anderson จนการมาถึงของ The Grand Budapest Hotel (2014)
ช่วงปลายปีก็มีลุ้นรางวัลประปราย ได้เข้าชิง Oscar เพียงแค่สาขาเดียว ถูกมองข้าม (SNUB) นักแสดงนำชาย, ตัดต่อ, ออกแบบศิลป์ และเครื่องแต่งกาย (ที่กล่าวมานี่ล้วนได้เข้าชิงรางวัลของสมาคม ACE, ADG, CDG)
- Academy Award: Best Original Screenplay
- Golden Globe Award: Best Actor – Musical or Comedy (Gene Hackman) **คว้ารางวัล
- BAFTA Award: Best Original Screenplay
ปัจจุบันหนังได้รับการสแกนใหม่ ‘digital transfer’ คุณภาพ High-Definition ตรวจอนุมัติโดยผกก. Anderson เมื่อปี ค.ศ. 2012 สามารถหาซื้อ Blu-Ray หรือรับชมออนไลน์ทาง Criterion Channel
ผมมีความอึ้งทึ่ง ปวดเศียรเวียนเกล้าทุกครั้งเวลารับชมผลงานของผกก. Anderson เพราะมันเต็มไปด้วยรายละเอียด ‘style over substance’ แถมการดำเนินเรื่องก็มักรวดเร็วติดจรวด จนบางครั้งมากเกินพอดี! แต่สำหรับ The Royal Tenenbaums (2001) หลังผ่านการแนะนำตัวองก์แรกๆ พอปรับตัวได้ก็สบายๆ เรื่องราวไม่ได้ซับซ้อนเกินไป และการแสดงของ Gene Hackman อาจเป็นบทบาทน่าจดจำที่สุดในหนังสไตล์ Andersonian
จัดเรต 15+ กับความบ้าๆบอๆ ตายด้าน ไร้อารมณ์ร่วม
Leave a Reply