Night Moves

Night Moves (1975) hollywood : Arthur Penn ♥♥♥♥

ชื่อหนัง Night Moves พ้องเสียงกับคำว่า Knight Moves ในเกมหมากรุกที่ผู้เล่นมองไม่เห็นการขยับอัศวินจะทำให้ได้รับชัยชนะ (Did not see it coming!) สอดคล้องเข้ากับเรื่องราวนักสืบเอกชน Gene Hackman ไม่เข้าใจคดีความกำลังสืบค้น ผู้ชมก็อาจดูหนังไม่รู้เรื่องเช่นกัน!

Arthur Penn’s Night Moves is about an old-fashioned private eye who says and does all the expected things while surrounded by a plot he completely fails to understand.

นักวิจารณ์ Roger Ebert ให้คะแนน 4/4 พร้อมจัดเป็น Great Movie

ตอนรับชมหนัง ผมไม่ค่อยรู้สึกว่าพล็อตเรื่องมีความสลับซับซ้อนสักเท่าไหร่ นักสืบเอกชนออกติดตามหาเด็กสาววัย 16 หลบหนีออกจากบ้าน ระหว่างทางสัมผัสได้ลางๆ เหมือนมีบางสิ่งอย่างซุกซ่อนเร้น พอถึงจุดๆหนึ่งก็เริ่มหน้านิ่วขมวดคิ้ว กุมขมับ ปวดตับ ตระหนักถึงปริศนามากมายที่ไร้คำตอบ? โครงกระดูกใต้น้ำ/คนขับเครื่องบินคือใคร? ทำไมเด็กสาวถึงถูกฆาตกรรม? ทำไมภรรยาถึงคบชู้นอกใจ? ตอนจบที่ตัวละครของ Hackman อาจไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังขับเรือเวียนวงกลม มองไม่เห็นภาพรวมทั้งหมด ไม่เข้าใจห่าเหวสักสิ่งอย่าง

มันไม่ใช่ว่าหนังนำเสนอไม่ดี หรือเป็นปริศนาที่ไร้คำตอบ แต่คืออัจฉริยภาพของผู้กำกับ Arthur Penn (Bonnie and Clyde) และนักเขียนบท Alan Sharp สร้างเรื่องราวท้าทายการขบครุ่นคิดวิเคราะห์ เคลือบแฝงนัยยะซ่อนเร้น สะท้อนถึงยุคสมัยแห่งการก่อการร้าย, ลอบสังหาร (JFK, RFK, Martin Luther King, Jr.) และเหตุอื้อฉาวทางการเมืองคดี Watergate scandal ฯ

อีกสิ่งน่าสนใจของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือ Gene Hackman พยายามอย่างยิ่งจะหยุดยับยั้งชั่งใจเด็กสาววัยสิบหก Melanie Griffith (ที่พอรับรู้เบื้องหลังความจริง อาจทำให้หลายคนปรอทแตก!) เบี่ยงเบนความมายังสาวผู้ใหญ่สุดเซ็กซี่ Jennifer Warren ได้ยินเธอพูดประโยค “Do you want to sleep with me?” ไม่ใช่ว่ามีคู่ขาอยู่แล้วหรอกหรือ??


Arthur Hiller Penn (1922-2010) ผู้กำกับละคอนเวที/ภาพยนตร์ สัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Philadelphia, Pennsylvania ในครอบครัวเชื้อสาย Russian Jewish อพยพจาก Novoaleksandrovsk, Russia (ปัจจุบันคือ Zarasai, Lithuania) บิดาเป็นช่างนาฬิกา เสี้ยมสอนบุตรชายให้สืบต่อกิจการ แต่ตอนอายุ 19 เลือกอาสาสมัครทหาร เดินทางสู่อังกฤษช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ก่อนค้นพบความสนใจด้านการละคอน และเมื่อมีโอกาสรับชม Citizen Kane (1941) มุ่งมั่นเข้าสู่วงการภาพยนตร์

พอกลับมาสหรัฐอเมริกา เริ่มทำงานในวงการโทรทัศน์ เคยเป็นที่ปรึกษา(TV Advisor)หาเสียงของ John F. Kennedy, กำกับภาพยนตร์เรื่องแรก The Left Handed Gun (1958) แม้ล้มเหลวในสหรัฐอเมริกา แต่ประสบความสำเร็จอย่างมากๆในยุโรป, โด่งดังกับ The Miracle Worker (1962), กลายเป็นตำนาน Bonnie and Clyde (1967), Alice’s Restaurant (1969), Little Big Man (1970) ฯ

หลังจากสรรค์สร้าง Little Big Man (1970) ผกก. Penn ได้พบเห็นหลากหลายหายนะบังเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา สารพัดการลอบสังหารบุคคลชื่อดัง (JFK, RFK, Martin Luther King Jr. ฯ), เหตุอื้อฉาวทางการเมืองคดี Watergate scandal, โดยเฉพาะเหตุการณ์สังหารหมู่ที่ค่ายนักกีฬาโอลิมปิก (1972 Munich massacre) ซึ่งผกก. Penn เดินทางไป Munich, West Germany ร่วมถ่ายทำสารคดี Visions of Eight (1973) นั่นทำให้เขารู้สึกห่อเหี่ยวสิ้นหวัง กลายเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย หมดความสนใจในภาพยนตร์โดยพลัน!

I went through a really difficult period after Little Big Man (1970) … I lost my identity. I just gave up on things. I lost myself. For three years I stopped doing what really made me happy and what I really wanted to do. I couldn’t find the right film, the string I wanted to be attached to.

When I decided I wanted to direct again, I just chose the first script to hand. Impulsively and without really thinking about it I just told myself I was going to direct Alan Sharp’s screenplay. Should I make this a typical detective story about a guy trying to solve a crime or should I make this what I really would like it to be, which is about a guy trying to solve himself?

Arthur Penn

สำหรับ Night Moves (1975) สร้างขึ้นจากบทดั้งเดิม The Dark Tower (ที่ต้องเปลี่ยนชื่อเพราะมันใกล้เคียงภาพยนตร์ The Towering Inferno (1974)) พัฒนาโดย Alan Sharp (1934-2013) นักเขียนสัญชาติ Scottish ด้วยความตั้งใจให้เป็นเรื่องราวสืบสวนสอบสวนแบบคลาสสิก แต่มีลักษณะ ‘countergenre film’ คดีความที่ไม่สามารถขบครุ่นคิด ไขปริศนา หาคำตอบใดๆ

Night Moves‘s an attempt to use the classic detective format, the private eye, and then set him in a landscape in which he was unable to solve the case.

Alan Sharp

เรื่องราวของนักสืบเอกชน Harry Moseby (รับบทโดย Gene Hackman) ได้รับการว่าจ้างให้ติดตามหา Delly (รับบทโดย Melanie Griffith) บุตรสาววัย 16 ของอดีตนักแสดงหนังเกรดบี Arlene Iverson (รับบทโดย Janet Ward) เดินทางไปพูดคุยกับช่างเครื่อง Quentin (รับบทโดย James Woods), สตั้นขับเครื่องบิน Marv Ellman (รับบทโดย Anthony Costello) ก่อนพบเจอเธอที่ Florida Keys อาศัยอยู่กับบิดาบุญธรรม Tom Iverson (รับบทโดย John Crawford) และแฟนสาว Paula (รับบทโดย Jennifer Warren)

ระหว่างติดตามหาเด็กสาว Delly บังเอิญ Harry พบเห็นภรรยา Ellen Moseby (รับบทโดย Susan Clark) หลังดูหนังจบเดินทางไปกับชายแปลกหน้า Marty Heller (รับบทโดย Harris Yulin) พักอาศัยอยู่ Malibu, California วันหนึ่งเลยงัดแงะประตู เผชิญหน้าชายชู้ พยายามสอบถามร้ายแรงแค่ไหน? แต่เจ้าตัวก็ไม่สามารถทำความเข้าใจ เพราะเหตุใดภรรยาถึงนอกใจตนเอง?


Eugene Allen Hackman (1930-2025) นักแสดงสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ San Bernardino, California ครอบครัวหย่าร้างเมื่ออายุ 13 ปี สามปีให้หลังจึงหนีออกจากบ้าน โกงอายุสมัครเข้าทหารเรือ ทำงานหน่วยสื่อสาร ประจำการอยู่ประเทศจีนในช่วง Communist Revolution ปลดประจำการเมื่อปี ค.ศ. 1951 ลงหลักปักฐาน New York ดิ้นรนหางานทำไปเรื่อยๆ จนเกิดความสนใจด้านการแสดง กลายเป็นเพื่อนร่วมห้อง Dustin Hoffman และ Robert Duvall รับบทเล็กๆในซีรีย์โทรทัศน์ แสดงละครเวที Off-Broadway โด่งดังทันทีจากบทสมทบ Bonnie and Clyde (1967), ผลงานเด่นๆ อาทิ The French Connection (1971) **คว้ารางวัล Oscar: Best Actor, The Poseidon Adventure (1972), The Conversation (1974), Superman: The Movie (1978), Mississippi Burning (1988), Unforgiven (1992) **คว้ารางวัล Oscar: Best Supporting Actor, The Royal Tenenbaums (2001) ฯ

รับบท Harry Moseby อดีตนักกีฬาอเมริกันฟุตบอล รีไทร์มาทำงานนักสืบเอกชน ปักหลักอาศัยอยู่ Los Angeles, California เป็นคนง่ายๆ ไม่ชอบสิ่งแปลกใหม่ ใช้วิธีการเดิมๆในการสืบสวนสอบสวน แม้ได้รับชักชวนเข้าร่วมบริษัทใหญ่ กลับปฏิเสธความก้าวหน้า ชีวิตไม่ต้องการอะไรมากกว่านี้ … นั่นน่าจะคือเหตุผลที่ภรรยาแอบคบชู้นอกใจ แม้ยังรักมากอยู่แต่ไม่สามารถพูดคุย ทำความเข้าใจกันและกัน

งานล่าสุดที่ได้รับมอบหมายคือติดตามหาเด็กสาว Delly หนีออกจากบ้าน เดินทางจากสถานที่หนึ่งสู่อีกสถานที่หนึ่ง ดำเนินไปอย่างเป็นขั้นเป็นตอน จนพบเจอเธออาศัยอยู่กับพ่อเลี้ยง ณ Florida Keys แต่สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยสิ่งยั่วเย้ายวนใจ อีกทั้งยังค้นพบบางสิ่งอย่างซุกซ่อนอยู่ภายใต้ผืนน้ำ พอพาเด็กสาวกลับมาบ้านไม่นานได้ยินข่าวเธอถูกฆาตกรรม มันเกิดเหตุการณ์ห่าเหวอะไรขึ้น? พยายามค้นหาเบื้องหลังความจริง กลับทำให้เขาต้องเฉียดเป็นเฉียดตาย ขับเรือเวียนวงกลม ไม่รู้จะสามารถกลับขึ้นฝั่งได้หรือเปล่า?

ต้องถือเป็นหนึ่งในบทบาทการแสดงยอดเยี่ยมที่สุดของ Hackman จากนักสืบ/สามีผู้เย่อหยิ่ง ทะนงตน หลงตนเอง ครุ่นคิดว่าฉันสามารถขบไขคดี ทำอะไรได้ทุกสิ่งอย่าง! แต่หลังจากค้นพบภรรยาคบชู้นอกใจ รวมถึงความตายของเด็กสาวผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ (ไม่รู้อิโหน่อิเหน่จริงๆนะหรือ?) ทำให้เขาเกิดความสับสน ขื่นขม เจ็บปวดร้าวระทม พยายามสืบสวนสอบสวน ครุ่นคิดหาข้อสรุป กลับไม่พบเจอคำตอบใดๆ มันเกิดเหตุการณ์ห่าเหวอะไร?

With any other actor, Night Moves would just be a thrilling detective mystery. But with Hackman in charge, it’s a much deeper story, about a lonely man in desperation for some connection after his wife’s infidelity. He’s heartbroken, and it reads all over lost-looking blue eyes that were so rarely vulnerable through his career. A look of silent desperation, confusion, and loss, all cross Hackman’s face in a moment as he watches his wife kiss someone else, and it’s a punch to the gut. It’s hard to pity a man as tough as Hackman, but in Night Moves you do.

Rebecca Schriesheim จาก Collider

สิ่งที่ผมรู้สึกประทับใจสุดๆคือความพยายามหยุดยับยั้งชั่งใจตนเอง ไม่ยินยอมตกเป็นเหยื่อของเด็กสาว Delly (มันชัดเจนมากๆว่าเธอคือผู้ล่า) เฉกเช่นเดียวกับ Paula ที่ถ้าอีกฝ่ายไม่พูดบอกความต้องการออกมา ตัวละครหัวโบราณของ Hackman ย่อมมิอาจปล่อยตัวปล่อยใจ จะมองว่าเป็นการเอาคืนภรรยาที่คบชู้นอกใจก็ได้กระมัง … เป็นการแสดงที่มีความละเอียดอ่อน อารมณ์ซับซ้อน และทำให้ผู้ชมรู้สึกสงสารเห็นใจตัวละคร


Melanie Richards Griffith (เกิดปี ค.ศ. 1957) นักแสดงสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Manhattan เป็นบุตรของนักแสดง Tippi Hedren เติบโตขึ้นที่ Los Angeles หลังสำเร็จการศึกษามัธยมปลาย Hollywood Professional School จับพลัดจับพลู ครุ่นคิดว่างานถ่ายแบบ แสดงภาพยนตร์เรื่องแรก Night Moves (1975), ผลงานเด่นอื่นๆ อาทิ Body Double (1984), Something Wild (1986), Working Girl (1988), Born Yesterday (1993) ฯ

รับบท Delly Grastner เด็กสาววัยสิบหก อาศัยอยู่กับมารดา Arlene Iverson ผู้ไม่เคยมอบความรัก หรือให้ความสนใจ วันๆเอาแต่เกาะกินเงิน Trust Fund (ที่บิดาผู้ล่วงลับตั้งไว้ให้กับบุตรสาว) เลยตัดสินใจหลบหนีออกจากบ้าน เปลี่ยนผู้ชายไม่ซ้ำหน้า มองหาบุคคลสามารถเป็นที่พึ่งพักพิงกาย-ใจ จากแฟนหนุ่มช่างเครื่อง Quentin, สตั๊นขับเครื่องบิน Marv ไม่เว้นแม้แต่บิดา(ผัว)บุญธรรม Tom

การมาถึงของนักสืบ Harry เพราะไม่ต้องการหวนกลับหามารดา จึงพยายามยั่วเย้า ขายขนมจีบ ใช้ร่างกายตนเองเป็นเหยื่อล่อ แต่เขากลับไม่เล่นด้วย แล้วแบล็กเมล์เรื่องกฎหมาย(เยาวชน)กับ Tom ถึงยินยอมปล่อยเธอกลับบ้าน! หลายวันถัดมาประสบเสียชีวิตระหว่างเข้าฉากสตั๊น แต่มันคืออุบัติเหตุ? หรือจัดฉากฆาตกรรม?

Griffith ไม่เคยครุ่นคิดอยากเป็นนักแสดง เพราะมีต้นแบบอย่างจากมารดา “I don’t want to be an actress. My mom’s an actress [Tippi Hedren] and I don’t like the whole thing.” ตอนแรกครุ่นคิดว่าคืองานถ่ายแบบ แต่พอผกก. Penn ยื่นบทหนังให้อ่านก็เกิดความโล้เล้ลังเลใจ เออออห่อหมก ทั้งๆไม่มีประสบการณ์การแสดงใดๆ

I didn’t know how to do anything then—I just pretended I was that person, and all of a sudden I got the job. It was like, ‘Wow, I’m costarring in a movie with Gene Hackman!’ And then, all of a sudden, something happened, and it was sort of magical, and it was just easy. Gene made it very easy for me, and fun, and I loved it. It changed immediately.

Melanie Griffith

ระหว่างการถ่ายทำ Griffit เพิ่งจะอายุ 15-16 ปี จริงๆยังถือว่าไม่บรรลุนิติภาวะ ไม่สามารถถ่ายฉากเปลือย วับๆแวมๆ แต่เธอยังบริสุทธิ์ ไร้ความเหนียงอาย พร้อมทำตามคำแนะนำของผู้กำกับทุกสิ่งอย่าง … คงเพราะไม่มีประสบการณ์แสดง จึงพร้อมเปิดรับทุกสิ่งอย่าง

She was really raw. She had some scenes with Gene Hackman. We had to nurse her through. Gene worked with her, and then I’d get her on the set with him. We started out sort of artificially, outside, and then it began to come in. And then when Gene Hackman comes in— when you get somebody else like that who’s apparently believing you—it all follows. That’s what good actors do for each other.

Arthur Penn

การแสดงของ Griffith อาจไม่มีอะไรให้กล่าวถึงนัก แต่ความบริสุทธิ์ เยาว์วัย น่ารักสดใส ทำตัวไร้เดียงสา มันช่างขัดย้อนแย้งกับเบื้องหลังแท้จริง พานผ่านผู้ชายนับไม่ถ้วน สามีเก่ามารดาก็ไม่ละเว้น แถมพยายามขายขนมจีบ เกี้ยวพาราสีตัวละครของ Hackman เมื่อไหร่ที่คุณตระหนักถึงพฤติกรรมสำส่อนของเธอ มันจะเกิดความรู้สึกโลกทั้งใบพังทลาย … หรือถ้าไม่อยากครุ่นคิดเรื่องพรรค์นั้น เมื่อได้ยินข่าวการเสียชีวิต ย่อมสร้างความเจ็บปวดรวดร้าวทรวงในเช่นเดียวกัน!


ถ่ายภาพโดย Bruce Mohr Powell Surtees (1937-2012) สัญชาติอเมริกัน บุตรของตากล้อง Robert L. Surtees เริ่มงานจากเป็นผู้ควบคุมกล้อง (Camera Operator) ในภาพยนตร์ของ Don Siegel แล้วเริ่มได้รับเครดิตจาก The Beguiled (1971), Dirty Harry (1971), Lenny (1974), The Shootist (1976), Escape from Alcatraz (1979), Beverly Hills Cop (1984) ฯ

งานภาพของหนัง เต็มไปด้วยรายละเอียด ‘mise-en-scène’ มีการเลือกสถานที่ จัดวางองค์ประกอบ ล้วนเคลือบแฝงนัยยะซ่อนเร้น, โดดเด่นกับการจัดแสง-เงามืด สร้างบรรยากาศนัวร์ๆ (Neo-Noir) ยามกลางวันท้องฟ้าส่องสว่าง เปร่งประกาย ระยิบระยับ ส่วนค่ำคืนปกคลุมด้วยความมืดมิด ซุกซ่อนสิ่งชั่วร้ายอยู่ภายใน

บ่อยครั้งที่การถ่ายภาพใช้มุมมองสายตานักสืบ Harry Moseby คอยจับจ้อง แอบถ้ำมอง สังเกตการณ์สิ่งต่างๆบังเกิดขึ้น ซึ่งล้วนเป็นเพียงเปลือกภายนอก ภาพมายา ลวงหลอกตา ถ้าไม่รู้จักขบครุ่นคิด(แบบตัวละคร)ย่อมบังเกิดความสับสน มึนงง มันเกิดเหตุการณ์ห่าเหวอะไร? คือเราต้องรู้จักก้าวถอยหลัง มองภาพรวมทั้งหมดจากมุมบุคคลภายนอก (เหมือนภาพสุดท้ายของหนังที่ถ่ายช็อตระยะไกล) ถึงสามารถทำความเข้าใจเนื้อหาสาระแท้จริง

สถานที่ถ่ายทำหลักๆของหนังอยู่ภายในรัฐ California และ Florida

  • บ้านของ Harry ตั้งอยู่ Berry Street, Los Angeles (California)
  • บ้านของ Arlene ตั้งอยู่ Thrasher Ave, Los Angeles (California)
  • บ้านของ Marty ตั้งอยู่ Malibu Rd, Malibu (California)
  • บ้านของ Tom Iverson ที่ Florida Keys ตั้งอยู่ Wakulla Spring (Florida)
  • Magnolia Theatre ตั้งอยู่ Magnolia Blvd, Burbank (California)
  • ทางขึ้น-ลงเครื่องบิน New Mexico ถ่ายทำยัง Indian Dunes Airfield ณ Valencia, California
  • เกมแข่งขันอเมริกันฟุตบอล Los Angeles Memorial Coliseum
  • สนามบิน Los Angeles International Airport

เกร็ด: หนังถ่ายทำช่วงระหว่างตุลาคม – ธันวาคม ค.ศ. 1973 แต่เข้าฉายกลางปี ค.ศ. 1975 ไม่ใช่ว่าตัดต่อล่าช้า เพียงรอคอย Melanie Griffith บรรลุนิติภาวะ อายุเกิน 17 ปี


หนังเต็มไปด้วยรายละเอียด ‘mise-en-scène’ ที่สามารถขบครุ่นคิด เคลือบแฝงนัยยะซ่อนเร้นอยู่ทุกช็อตฉาก ตั้งแต่ภาพแรกที่ Harry ขับรถมาจอด แล้วถอยหลังยาวๆกว่าปกติ อาจมองว่าคือสัญญะ ‘ถอยหลังเข้าคลอง’ สำนวนไทยหมายถึงการย้อนกลับไปทำแบบเดิมๆ ซึ่งไม่ก้าวหน้าและไม่ทันสมัย

รายละเอียดภายในห้องทำงานของ Harry เต็มไปด้วยวัตถุโบราณ เฟอร์นิเจอร์ไม้เก่าแก่ อุปกรณ์ทันสมัยสุดคือเครื่องรับฝากข้อความ ไม่มีคอมพิวเตอร์ ไม่มีเลขานุการ ไม่พยายามปรับตัวเข้ากับโลกยุคสมัยใหม่ … แถมให้กับแสงภายนอกลอดผ่านบานเกล็ด นั่นคือลายเซ็นต์ของหนังนัวร์

หลังเลิกงาน Harry เดินทางมารับภรรยา Ellen ทำงานร้านขายของเก่า (นี่ก็แสดงถึงความคร่ำครึ โบร่ำราณ ไม่ต่างจากสามี) ได้ยินคุยโทรศัพท์ประโยคแรก “It’s too late now” ฟังดูเหมือนเป็นการบอกใบ้อะไรบางอย่างแก่ผู้ชม (ความสัมพันธ์กับสามี?)

Harry เข้ามาโอบกอดจากด้านหลัง มือหนึ่งปิดตา อีกข้างพยายามล้วงหน้าอก ถ้าทั้งสองไม่ใช่สามี-ภรรยา คงถูกมองเป็นการล่วงละเมิดทางเพศ (Sexual Harrasment) ขณะเดียวกันการกระทำดังกล่าวก็เคลือบแฝงนัยยะ ปิดตาคือไม่รู้ไม่สนใจ ล้วงหน้าอกคือเขาเห็นเธอเป็นเพียงวัตถุทางเพศ … Harry ไม่เคยทำความเข้าใจภรรยา ปิดหูปิดตา สนเพียงตัวตนเอง โลกต้องหมุนรอบตัวฉัน นั่นคือเหตุผลหนึ่งที่ Ellen แอบคบชู้นอกใจ

เกร็ด: สำหรับบทบาท Ellen ในตอนแรกผกก. Penn อยากได้ Faye Dunaway ที่เคยร่วมงาน Bonnie and Clyde (1967) แต่เธอตัดสินใจเลือกภาพยนตร์ Chinatown (1974) ถ่ายทำในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน เลยส้มหล่นใส่ Susan Clark

ค่ำคืนนี้ Ellen เดินทางไปรับชมภาพยนตร์ My Night at Maud’s (1970) ณ Magnolia Theatre ตั้งอยู่ Magnolia Blvd., Burbank เปิดให้บริการเมื่อปี ค.ศ. 1940 จำนวน 737 ที่นั่ง ตอนถ่ายทำหนังเรื่องนี้เห็นว่าใกล้เจ๊งเต็มแก่ ปิดกิจการปี ค.ศ. 1979 แปรสภาพสู่สตูดิโอเพลงในภาพยนตร์ A Star is Born (1979), ปัจจุบันกลายเป็นแจ๊สคลับ Van Beek ใครเคยรับชม La La Land (2016) ก็น่าจะคุ้นเคยกันดี

ความคิดเห็นของ Harry กล่าวถึงภาพยนตร์ของผกก. Éric Rohmer “It was kinda like watching paint dry.” คำว่า “Watching paint dry” คือสำนวน (Idiom) หมายถึงกิจกรรมที่น่าเบื่อ ยืดยาด ใครกันจะมานั่งรอดูสีแห้ง เอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่า … นี่อาจฟังดูเหมือนคำด่า แต่จริงๆแล้วผกก. Penn โปรดปรานหนังของ Rohmer อย่างมากๆ

คนที่เคยรับชม My Night at Maud’s (1970) ก็น่าจะสามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครของ Jean-Louis Trintignant กับ Gene Hackman ทั้งสองต่างเป็นผู้มีคุณธรรมสูงส่ง พยายามอย่างยิ่งที่จะหยุดยับยั้ง ไม่ปล่อยตัวปล่อยใจ ไม่ให้ถูกล่อลวงจากเพศตรงข้าม

Harry เดินทางมาหาลูกค้า อดีตนักแสดงหนังเกรดบี Arlene Iverson อาศัยอยู่บ้านพักหรูหรา เฟอร์นิเจอร์ราคาแพง ทิวเขาภายนอกดูงดงามตา ถึงอย่างนั้นแทนที่จะคุยการคุยงาน คำพูดของเธอเต็มไปด้วยความสองแง่สองงาม ภาษากายก็พยายามอ่อยเหยื่อ ยั่วเย้ายวน ชักชวนมานั่งข้างๆ แต่เขากลับเดินไปฟากฝั่งตรงข้าม ไม่ลุ่มหลงต่อมารยาหญิง … ใครเคยรับชม My Night at Maud’s (1970) ก็น่าจะมักคุ้นรายละเอียดบางอย่าง

การเลือกทิศทางมุมกล้องให้ถ่ายติดทิวทัศน์ภายนอก ก็เพื่อเป็นการสร้างภาพชีวิตของ Arlene ว่ามีความสวยหรู งดงาม ราวกับจุดสูงสุดชีวิต (ถ่ายติดภูเขา) ครุ่นคิดว่าฉันสามารถทำอะไรได้ทุกสิ่งอย่าง … แต่เบื้องหลังความจริงจักค่อยๆถูกเปิดเผยในการพบเจอครั้งถัดๆไป

As the movie opens, he is summoned to the kind of client who would be completely at home in a Sam Spade or Philip Marlowe story. Arlene Iverson (Janet Ward) is a onetime B-movie sweater girl who married a couple of rich guys — one dead, the other ex — and must be lonely, because she greets Harry dressed as if she’s hired him to look at her breasts. Her 16-year-old daughter, Delly, has run away from home, and she wants Harry to find her, although if Harry wants to have a drink with Arlene first, that would be nice.

นักวิจารณ์ Roger Ebert บรรยายถึงตัวละคร Arlene Iverson

Harry รับฟังเทปประวัติของ Arlene Iverson ระหว่างขับรถทัวร์กรุง Los Angeles ยามค่ำคืน ซึ่งส่วนใหญ่กล่าวถึงด้านมืดของเธอ และเหตุผลแท้จริงที่ต้องการติดตามหา Delly เพราะจะได้กินหรูอยู่สบายภายใต้ Trust Fund ที่อดีตสามีทำให้กับบุตรสาวปีละ $30,000 เหรียญ … คือถ้าไม่ได้เป็นผู้ดูแล ก็จะไม่ได้รับเงินก้อนนั้น

ผมสังเกตว่าหลายครั้งกล้องพยายามจะเคลื่อนเลื่อนไปยังสถานที่ที่รถแล่นผ่าน ซึ่งน่าจะเป็นความพยายามเลือกภาพ/สถานที่ ให้สอดคล้องข้อความบรรยาย (เช่นว่า “Come to Los Angeles in ’44” = ภาพรถกำลังเคลื่อนเข้ามา) แต่คงมีการตัดทิ้งอย่างเยอะ เพื่อให้การดำเนินเรื่องมีความกระชัดรัดกุม

หลังพบเห็นภรรยาขึ้นรถไปกับชายอื่น Harry กลับมาบ้านนั่งดูการแข่งขันอเมริกันฟุตบอลโดยไม่เปิดไฟ นั่นสะท้อนสภาพจิตใจของเขา ปกคลุมอยู่ท่ามกลางความมืดมิด รู้สึกผิดหวังในตัวภรรยา คำกล่าวก็แอบเคลือบแฝงนัยยะ “One side just losing slower than other.” และพอ Ellen สอบถามจะดื่มโกโก้ไหม ได้รับคำตอบปฏิเสธ ไม่ต้องการรับฟังคำแก้ต่างอะไรใดๆ

ที่บ้าน/อู่ซ่อมรถของ Quentin สังเกตว่าเต็มไปด้วยป้ายบอกทิศทาง “Right Lane Must Turn Right” “Auto Exit” นี่อาจสื่อถึงวิธีการทำงานของ Harry ดำเนินจากสถานที่หนึ่ง ไปยังอีกสถานที่หนึ่ง เป็นลำดับขั้นตอน ตามสไตล์หนังสืบสวนสอบสวนทั่วๆไป

คำกล่าวหนึ่งของ Quentin มีความน่าสนใจไม่น้อย “Delly’s idea of a commune is her and a guy on top of her.” นี่ไม่ใช่แค่เรื่อง Sex แต่มันยังสอดคล้องเหตุการณ์ขณะนี้ที่ตัวเขากำลังหลบอยู่ใต้ท้องรถ พยายามหลบเลี่ยงการสนทนา ก่อนถูก Harry ใช้ความรุนแรงแล้วขึ้นค่อม บีบบังคับให้พูดบอกเงื่อนงำ บุคคลในความสนใจลำดับถัดไป

ระหว่างที่ Harry เฝ้ารอคอยการมาถึงของ Marty (ชู้รักภรรยา) เวลาว่างๆก็เล่นหมากรุกรอไปด้วย ผมเห็นรายละเอียดไม่ชัดว่าใช่ Knight Moves หรือเปล่า? แต่เราน่าจะสามารถตีความนัยยะเดียวกัน คือไม่รู้จะทำอะไรยังไงกับสถานการณ์เบื้องหน้า … กล่าวคือพบเจอแล้วจะยังไง? สอบถามอะไร? ต้องการอะไร? ไม่รู้ตนเองด้วยซ้ำว่าทำไปทำไม?

ย้อนรอยกับบ้านของ Arlene ที่เหม่อมองออกไปพบเห็นเห็นทิวทัศน์ภูเขาสูงใหญ่, บ้านของ Marty ตั้งอยู่ริมชายหาด Malibu ติดมหาสมุทรแปซิฟิก สะท้อนความสัมพันธ์(กับ Ellen)อันโคลงเคลง ไร้ความมั่นคง (เหมือนตัวละคร Marty ที่ขาพิการข้างหนึ่ง) และการตกแต่งภายในห้อง ดูมีความโมเดิร์น สีขาวสบายตา รูปภาพวาดติดเต็มผนังแสดงถึงรสนิยมศิลปิน ผู้มีอารมณ์อ่อนไหว

ในฉากนี้ที่ Harry พยายามพูดคุยสอบถาม “How serious is it…” มันจะมีขณะที่เขาเขย่าขา นี่ไม่ใช่จะล้อเลียนความพิการของ Marty แต่คืออาการลุ่มร้อนรน กระวนกระวายใจ (=คลื่นซัดกระทบหาดทราย) ไม่รู้จะทำอะไรยังไง เป็นการแสดงออกโดยสันชาติญาณมากกว่า

จะว่าไป Harry กับ Marty ทั้งสองมีความแตกต่างตรงกันข้าม!

  • Harry เป็นอดีตนักกีฬาอเมริกันฟุตบอล ร่างกายเข้มแข็งแกร่ง (Alpha Male) ผิดกับ Marty ขาพิการข้างหนึ่ง (Beta Male)
  • Marty ดูมีความอ่อนไหว ห่วงใย สามารถเป็นที่พึ่งพิงทางใจให้กับ Ellen ผิดกับ Harry ที่ไม่เคยสนห่าเหวอะไรภรรยา ปิดหูปิดตา ทุกสิ่งอย่างต้องหมุนรอบตัวฉัน

ย้ายจากห้องนอนชั้นสองมาเป็นห้องครัว (“If you smell what The Rock is cooking!” คำว่า Cooking เป็นศัพท์แสลงของการกระทำสิ่งบ้าบอคอแตก) Ellen สอบถาม Harry ถึงสองครั้งครา ว่าทำไมไม่พูดคุยกับตนเองก่อนไปพบเจอ Marty?

  • ครั้งแรกตอนยังไม่ได้เปิดไฟ คำตอบของ Harry คือข้ออ้างข้างๆคูๆ แค่อยากเจอหน้า แต่ปากเขี้ยวขนมหมุบหมับ แสร้งทำเป็นไม่ได้ครุ่นคิดจริงจังอะไร (ความมืด = ปกปิดซุกซ่อนเร้นบางสิ่งอย่างไว้)
  • แต่พอ Ellen เปิดไฟห้องครัว คำตอบครั้งหลังของ Harry น่าจะคือความสัจจริง ต้องการเผชิญหน้าชู้รักของเธออย่างตรงไปตรงมา ไม่ให้เธอและเขาได้ทันตั้งตัว

ตอนที่ยังปิดไฟ Harry ทำเหมือนไม่ได้ติดใจกับการกระทำของ Ellen พูดบอกว่า “It’s you ball. Run with it.” ให้อิสระว่าจะเลิกราหรือหนีไปกับชายชู้, แต่พอเปิดไฟ ความต้องการแท้จริงของเขาก็เปิดเผยออกมา หันไปเปิดก็อกน้ำ เสียงน้ำไหลดังกลบถ้อยคำฉุนเฉียวของเธอ แสดงออกหูทวนลม ไม่อยากรับฟัง และความสัมพันธ์ของทั้งคู่กลายเป็นแก้วแตกร้าว มิอาจหวนกลับมาประสานเข้าด้วยกัน

ซีเควนซ์ที่กองถ่าย New Mexico (ถ่ายทำยัง Indian Dunes Airfield ณ Valencia, California) เมื่อตอน Harry หวนระลึกความหลังกับ (Stunt Coordinator) Joey Ziegler ได้รับคำชื่นชมเกี่ยวกับการสกัดลูกบอลคู่ต่อสู้ … จะว่าไปหนังทั้งเรื่องเต็มไปด้วยการขัดขวาง ขัดจังหวะ กระโดดไปกระโดดมาระหว่างการติดตามหาเด็กสาว vs. ภรรยาคบชู้นอกใจ โศกนาฎกรรมบังเกิดขึ้นก็ทำลายความรู้สึกภายใน

วินาที่ที่ Marv Ellman ยื่นหน้าเข้ามากระซิบกระซาบ บอกกับ Harry ว่าตนเองได้แอ้มทั้งมารดา Arlene และบุตรสาว Delly สังเกตว่าใบหน้าครึ่งหนึ่งปกคลุมด้วยความมืดมิด นี่ก็ชัดเจนถึงสันดานธาตุแท้ของตัวละคร สตั๊นแมนคือบุคคลชื่นชอบความเสี่ยงอันตราย ขับเครื่องบิน(ร่วมเพศสัมพันธ์)ขึ้นสู่สรวงสวรรค์

Harry (ในสภาพเหงื่อซก) เดินทางมารายงานความคืบหน้าต่อ Arlene ขณะนั้นเพิ่งอาบน้ำเสร็จ สวมใส่ชุดสีชมพู พยายามหยอกเย้า ยั่วราคะเขา แต่พอได้ยินบอกกล่าวชื่อบุคคลต่อไปนี้ …

  • Marv Ellman หนึ่งในคู่ขาเก่าของ Arlene มีความสัมพันธ์(ทางเพศ)กับบุตรสาว สร้างความอึดอัด กระอักกระอ่วน เดินไปเปิดหน้าต่าง ให้ลมภายนอกพัดเข้ามา ระบายความลุ่มร้อนทรวงใน … หรือจะมองว่าเธอพยายามหลบหนีจากการสนทนาครั้งนี้
  • Tom Iverson หนึ่งในชู้รักของ Arlene ขณะนั้นอาศัยอยู่ Florida Keys คาดว่าคือสถานที่ที่บุตรสาวเดินทางไปพึ่งพาอาศัย (รวมถึงเพศสัมพันธ์) ทำให้เธอแสดงอาการลุ่มร้อนรน กระวนกระวายยิ่งกว่าเก่า เดินมายังเคาน์เตอร์เครื่องดื่ม (คงจะอยากดื่มให้เมามาย หลงลืมทุกสิ่งอย่างที่ได้ยิน) พบเห็นภาพสะท้อนกระจก ราวกับผลกรรมติดตามทัน Delly ดำเนินตามรอยมารดาเป๊ะๆ

ผมครุ่นคิดอยู่นานว่าทำไมหนังถึงเลือกรัฐ Florida ซึ่งอยู่คนละฟากฝั่งสหรัฐอเมริกากับ California

  • เหตุผลของหนังคือเมืองแห่งนี้อยู่ไม่ห่างไกลจากคิวบา สามารถลักลอบขนสินค้าผิดกฎหมายเข้าประเทศ
  • แต่เราสามารถมองในเชิงสัญลักษณ์ California อยู่ตะวันตก/ขวาสุด (อนุรักษ์นิยม) vs. Florida อยู่ตะวันออก/ซ้ายสุด (เสรีชน) ของสหรัฐอเมริกา
    • กล่าวคือ Florida คือดินแดนแห่งเสรีภาพ สถานที่ห่างไกลมารดา/ภรรยา Delly & Harry สามารถปล่อยตัวปล่อยใจ ใช้ชีวิตอย่างไม่ต้องยี่หร่าอะไรใคร
    • ตรงกันข้ามกับ California เด็กสาวอาศัยอยู่กับมารดา, ส่วน Harry ก็มีชีวิตครอบครัวอย่างน่าเบื่อหน่าย

ภาพแรกของ Paula กำลังให้อาหารปลาโลมา (Dolphin) สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีความเฉียวฉลาด สง่างาม ร่าเริงสนุกสนาน สัญลักษณ์ของความรัก ชีวิต และความสุข … ในบริบทของหนังย่อมสามารถเปรียบเทียบกับ Paula ได้ตรงๆเลยกระมัง

Paula หญิงชาว Yucatán (หนึ่งในรัฐของ Mexico) เคยผ่านงานโน่นนี่นั่นมากมาย ปัจจุบันอาศัยอยู่กับ Tom Iverson ก็ไม่รู้คนรัก คู่ขา หรือแค่เพียงเพื่อนร่วมงาน? ช่วยกันลักลอบขนวัตถุโบราณเข้าประเทศ

ระหว่างรับชมผมไม่ได้เอะใจสักเท่าไหร่ แค่พอสังเกตเห็นว่ามีการส่งสัญญาณ ผ่านสายตา ภาษามือ เหมือนมีลับลมคมในอะไรบางอย่าง ต้องรับชมหนังจนจบถึงเข้าใจว่าพฤติกรรมร้อนรนของ Paula และ Tom เกิดจากพวกเขาเป็นนักขนของเถื่อนข้ามประเทศ ครุ่นคิดว่า Harry อาจเป็นตำรวจ/สายลับปลอมตัวมาสืบสวนสอบสวน

ระหว่างที่ผมรับชม ยังมีความโล้เล้ลังเลใจ หนังคงไม่กล้าหมิ่นเหม่ ล่อแหลม เตลิดเปิดเปิงไปถึงขนาดนั้นหรอกใช่ไหม? แต่เมื่อเบื้องหลังความจริงหลายๆอย่างได้รับการเปิดเผย วินาทีที่คุณเริ่มตระหนักถึงพฤติกรรมสำส่อนของ Delly มันจะเกิดอาการคลุ้มคลั่ง ตับพัง แม้งบ้าไปแล้วหรือไร … กับคนโลกสวยมากๆ เรื่องพรรค์นี้อาจไม่สามารถจินตนาการไหว

Harry เข้ามาในห้องพักแล้วพบเจอกับ Delly กำลังขุดค้นกระเป๋า สวมใส่เสื้อเชิ้ตของเขา นี่ชัดเจนมากๆว่าเธอพยายามยั่วเย้า อ่อยเหยื่อ ทั้งๆไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายคือใคร แต่เห็นเป็นของเล่นใหม่ อยากครอบครอง ร่วมรักหลับนอน … แต่วินาทีที่ Harry เดินเข้ามาในห้อง ใบหน้าปกคลุมอยู่ในความมืดมิด หยิบเก้าอี้นั่งหันเข้าหาพนักพิง เหตุผลก็ตามคำอธิบายของหญิงสาว สำหรับรักษาระยะห่าง ปกป้องตนเอง ไม่เชิงว่าหวาดกลัว แค่ไม่อยากทำสิ่งขัดต่อสามัญสำนึกตนเอง

เกมหมากรุกกระดานนี้อ้างอิงจากการแข่งขันระหว่าง K. Emmrich (หมากขาว) vs. Bruno Moritz (หมากดำ) ณ Bad Oeynhausen, Hamburg ประเทศเยอรมัน เมื่อปี ค.ศ. 1922 หลังจากขาวขยับตาที่ 26 มันมีวิธีที่ดำจะชนะด้วยการเสียสละ Queen แล้วขยับอัศวินอีกสามครั้ง (Knight Moves) แต่ทว่าผู้เล่นกลับมองไม่เห็นเลยพ่ายแพ้ไป

LINK: https://www.chess.com/blog/J_adoubious/game-from-gene-hackman-movie-night-moves

วันถัดมา Harry, Paula และ Delly ออกเรือไปดำน้ำยามวิกาล แล้วบังเอิญพบเจอเศษซากเครื่องบิน เหมือนเพิ่งจมลงใต้ท้องทะเลได้ไม่นาน (เพราะนักบินยังมีเนื้อหนังเป็นอาหารปลา) นี่คือโศกนาฎกรรมใต้มหาสมุทร หรือจะมองในเชิงสัญลักษณ์ถึงสิ่งชั่วร้ายภายในจิตใจมนุษย์

ทั้งๆที่เพิ่งพบเจอโศกนาฎกรรม ซากศพคนตาย เครื่องบินจมลงใต้ท้องทะเล แต่ปฏิกิริยาของแต่ละคนล้วนแตกต่างกันออกไป

  • Delly เด็กสาววัยสิบหก ยังละอ่อนเยาว์วัย การพบเห็นศพคนตายทำให้เธอใจหาย เกิดความหวาดกลัวตัวสั่น ไม่อยากอาศัยอยู่สถานที่แห่งนี้อีกต่อไป
  • Paula แสร้งทำเป็นคุยโทรศัพท์ แล้วมาเปิดเพลงละติน โยกเต้นเบาๆ
  • ขณะที่ Tom พยายามปั้นแต่งสีหน้าตื่นตระหนก พร้อมๆบรรยายถึงความเป็นไปได้ของเครื่องบินตกในละแวกนี้

พฤติกรรมของ Tom & Paula มันช่างผิดปกติ เคลือบแฝงลับลมคมใน เหมือนไม่ถูกกาละเทศะสักเท่าไหร่ แต่แท้จริงแล้วทั้งสองเหมือนพยายามเก็บซ่อนความระริกระรี้ ดีใจ เพราะได้พบเจอสมบัติ/วัตถุโบราณที่แอบลักลอบนำเข้าแล้วสูญหายเพราะเครื่องบินตก!

มันอาจฟังดูไม่มีปี่มีขลุ่ย ที่จู่ๆ Paula สอบถาม Harry ว่าอยู่แห่งหนไหน กำลังทำอะไรตอน(สองพี่น้อง) Kenndy ถูกลอบสังหาร? แต่ผมครุ่นคิดว่าเธอต้องการเปรียบเทียบถึงศพคนตายใต้ท้องทะเล อีกฝ่ายไม่รู้เป็นใคร มาจากไหน ทำไมฉันต้องเดือดเนื้อร้อนใจ? … กล่าวคือ Paula พยายามไถสีข้าง หาข้ออ้างอธิบายพฤติกรรมของเธอ ไม่ให้เขาเกิดความสงสัยถึงข้อเท็จจริงที่พยายามซุกซ่อนไว้

นั่นรวมถึงการบุกเข้ามาในห้องพัก แสดงท่าทางอ่อยเหยื่อ พูดบอกความต้องการอย่างตรงไปตรงมา “Do you want to sleep with me?” แถมเล่าเรื่องการเสียความบริสุทธิ์ครั้งแรก หัวนมตั้งแข็ง (แน่นอนว่าต้องมีภาพขณะดูดหัวนม) เพื่อให้เขายินยอมร่วมเพศสัมพันธ์ … จุดประสงค์แท้จริงคือเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ ให้เลิกสงสัย/ครุ่นคิดถึงศพคนตาย นำพา Delly กลับบ้านแล้วแยกย้ายจากกัน

ในมุมมองของ Harry มันมีอารมณ์(ทางเพศ)อัดอั้นมานาน ตั้งแต่ภรรยาคบชู้นอกใจ ถูกยั่วเย้าโดยแม่-ลูก Arlene & Tom แต่หญิงสาวที่พบเจอแล้วถูกตาต้องใจก็คือ Paula เมื่อทุกสิ่งอย่างพร้อม และเธอตอบตกลง เขาก็มิอาจหักห้ามตนเองได้อีกต่อไป

บางคนอาจมองว่า Delly กำลังเรียกร้องความสนใจ (ถึงได้ขัดจังหวะความสุขของ Harry & Paula) แต่ผมครุ่นคิดว่าเธอแสดงอาการหวาดกลัวความตายจริงๆ ยังไม่สามารถยอมรับภาพพบเห็น จึงความเจ็บปวดรวดร้าว มอดไหม้ทรวงใน และอาจส่งผลกระทบต่อชีวิต … มันมีความเป็นไปได้ว่า Delly รับรู้บุคคลที่เสียชีวิตคือใคร? สิ่งที่อยู่ภายใต้ท้องทะเลคืออะไร? พอบุคคลเกี่ยวข้องรับรู้ ก็เลยลงมือฆาตกรรมอำพราง

ผมละกุมขมับกับท่าทางการนอนของ Delly ยกหว่างขา/อวัยวะเพศเข้าหาโคมไฟ (นั่นคือแสงสว่างชีวิต) ขณะที่ศีรษะตกข้างเตียง แถมยังปกคลุมอยู่ในความมืดมิด (ยังไม่สามารถทำใจกับสิ่งพบเห็น)

ประโยคนี้ของ Tom มันช่างมีลับลมคมในอย่างมากๆ “We’ll bee seein’ you.” พูดบอก Delly ราวกับเป็นคำเตือน เสี้ยมสอนให้ทำตัวเรียบร้อย ไม่ปากโป้ง หรือเปิดเผยอะไรออกไป

สำหรับ Paula แทนที่จะเข้ามาร่ำลา กลับรักษาระยะห่าง นั่งอยู่ตรงกลางบันได (หลบหลังต้นไม้) มักถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของความครึ่งๆกลางๆ โล้เล้ลังเลใจ เหมือนกลัวว่าถ้าเข้ามาชิดใกล้ จะไม่สามารถควบคุมตนเอง พลั้งพลาดเปิดเผยลับลมคมใน

พอพา Delly กลับมาส่งบ้าน Harry ก็รีบสะบัดตูดจากความพัลวัน เกี่ยวพันหรือพัวพันกันจนยุ่งเหยิง สับสนแยกไม่ออก

  • Arlene อยู่กับผัวคนใหม่ (ทีแรกผมครุ่นคิดว่าคือ Marv แต่อีกฝ่ายจมอยู่ก้นเบื้องมหาสมุทร) กำลังชี้นิ้วออกคำสั่ง Delly ให้กลับเข้าบ้าน
  • ผัวใหม่ของ Arlene ออกมาขับไล่ Quentin
  • Quentin ตะโกนร้องเรียก Delly ให้หนีไปด้วยกัน
  • Delly กำลังด่าทอมารดา ฉันจะทำอะไรก็เรื่องของฉัน

จะว่าไปตำแหน่ง/จุดยืนของ Delly อยู่สูงสุดในภาพช็อตนี้! สามารถสื่อถึงเธอคือผู้มีอำนาจสูงสุด เป็นเจ้าของทุกสิ่งอย่าง (เจ้าของ Trust Fund) รองลงมาคือมารดา (สิทธิ์ในการปกครอง เลี้ยงดูแล), ผัวใหม่+Quentin ขณะที่ Harry คือบุคคลนอก ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียจากเหตุการณ์นี้

ค่ำคืนนี้ไม่อยากกลับบ้าน Harry จึงงัดแงะเข้ามาในอพาร์ทเม้นท์ของ Marty จงใจเปิดเพลงเสียงดัง เสียงเชลโล่ทุ้มต่ำ (สภาพจิตใจห่อเหี่ยว เปล่าเปลี่ยว) ปลุกตื่นชู้รัก จับได้คาหนังคาเขา (Marty ไม่ได้ใส่เสื้อ, Ellen ไม่ได้ใส่กางเกง, ส่วน Harry สวมเสื้อนอกทับอีกชั้น) เรื่องของสองคนผัว-เมีย มือที่สามจึงอาสาออกไปนั่งริมระเบียง (คลื่นกระทบหาดทราย = อารมณ์ปั่นป่วนพลุกพล่าน)

บ่อยครั้งมีการเลือกมุมกล้องถ่ายผ่านหน้าต่าง ลักษณะเหมือนแอบถ้ำมองสิ่งที่อยู่ภายนอก-ภายใน และบางครั้งมันจะมีกระจกนูนกลมๆ ทำให้เห็นภาพขนาดเล็ก แลดูราวกับโลกขนาดเล็ก หรือจะมองว่าภาพซ้อนภาพก็ได้กระมัง

อย่างในขณะนี้ถ่ายจากภายนอกระเบียงเข้ามาในบ้าน เสากึ่งกลางแบ่งแยกสามี-ภรรยา Harry & Ellen ส่วนภาพในกระจกนูนจับจ้องที่ Harry ราวกับว่านั่นคือโลกทั้งใบของเขา มีความบิดๆเบี้ยวๆ หลงเหลือตัวคนเดียว

ผมไม่มีรายละเอียดการแข่งขันอเมริกันฟุตบอลเกมนี้ เพียงรับรู้ว่าแข่งขันที่ Los Angeles Memorial Coliseum นี่เป็นการย้อนรอยกับตอนต้นเรื่อง Harry หลังจับได้ว่าภรรยาคบชู้นอกใจ กลับมาบ้านรับชมการแข่งขันผ่านโทรทัศน์จอตู้เล็กๆ ด้วยสีหน้าบูดบึ้ง ถมึงทึง นั่งอยู่ท่ามกลางความมืดมิด

ขณะนี้หลังจากเผชิญหน้าภรรยากับชู้รัก คาดว่าน่าจะเป็นจุดสิ้นความสัมพันธ์! จึงเดินทางมารับชมการแข่งขันยังสนามจริงๆ กับเพื่อนสตั๊นแมน พูดคุยกันอย่างสนุกสนานร่าเริง ท่ามกลางแดดแรงจร้า เหมือนมีทีมใดทีมหนึ่งเพิ่งได้รับชัยชนะ … ความแตกต่างตรงกันข้ามกับตอนต้นเรื่อง ทำให้ผมมองนัยยะขณะนี้คือการปลดปล่อย Harry ได้รับอิสรภาพชีวิต!

Harry ตัดสินใจเลิกทำอาชีพนักสืบเอกชน ค่ำคืนนี้กำลังเก็บข้าวของในสำนักงาน นอนราบบนโต๊ะทำงาน รับประทานไอศกรีมเย็นๆ … ท่าทางดังกล่าวแสดงถึงการทำตัวสบายๆ ผ่อนคลาย ใจเย็นๆ เลิกหมกมุ่น เคร่งเครียดกับชีวิตอีกต่อไป

แต่สิ่งน่าสนใจของซีนนี้คือเสียงรับฟากข้อความของ Delly อยากจะพบเจอ พูดเล่าบางอย่าง น้ำเสียงอาจฟังดูปกติ แต่ทว่านี่คือ ‘Death Flag’ บอกใบ้ว่าเธอน่าจะรับรู้อะไรบางอย่าง กำลังตกเป็นเป้าหมายลอบสังหาร … แต่ทว่า Harry กลับไม่ได้สนใจใยดี เพราะตั้งใจว่าจะเลิกทำอาชีพนี้

Ellen แวะเวียนมาหา Harry จงใจใส่เสื้อบางๆ วับๆแวมๆ มันชัดเจนมากๆว่าเธอพยายามยั่วเย้า ต้องการขอคืนดี เรียกร้องอยากมีเพศสัมพันธ์ สังเกตว่ามันมีหลายรายละเอียดที่ย้อนรอยตอน Harry ร่วมรักกับ Paula ฉากบนเตียงเปลี่ยนจากมือเป็นเท้า เล้าโลมรอบหัวนมภรรยา

ทิศทางนอนของ Harry หันหัวปลายเตียง สำแดงถึงมุมมอง/ทัศนคติที่แตกต่างจากเดิม แล้วจู่ๆพูดเล่าเรื่องบิดา เปิดเผยความจริงว่าแค่เพียงพบเจอ เห็นหน้า เดินผ่าน ไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์ใดๆอย่างเคยโอ้อวดไว้ … นี่ถือช่วงเวลาที่เขายินยอมเปิดใจ พูดบอกความใน ไม่มีอะไรต้องปกปิดบังอีกต่อไป

ซึ่งพอ Ellen ตระหนักถึงความลับที่สามียินยอมเปิดเผยออกมา เธอขึ้นค่อมตัวเขา (Woman on Top) ในทิศทางเดียวกัน หันหัวปลายเตียง สำแดงถึงการยินยอมรับ พร้อมปรับเปลี่ยนตนเอง พยายามล็อกตัวไม่ให้ขัดขืน … WoT คือท่าทางที่ผู้หญิงสามารถควบคุมการมีเพศสัมพันธ์

เหตุผลที่ Ellen แอบนอกใจสามี เพราะรู้สึกว่าเขาไม่เคยให้ความสนใจใยดี ทุกสิ่งอย่างต้องหมุนรอบตัวฉัน แต่วินาทีนี้ที่ยินยอมเปิดใจ พูดบอกความใน มันคือการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้เธอกล้าแสดงออก กล้าจะขึ้นค่อม บังเกิดความรักขึ้นอีกครั้ง!

ไม่ยักรู้บ้านของ Harry ก็มีกระจกนูนเหมือนอพาร์ทเม้นท์ของ Marty แต่คราวนี้ Ellen เร่งรีบขับรถมาแจ้งข่าวร้าย ความตายของเด็กสาว Delly พร้อมบีบแตรลากยาว ราวกับเสียงลมหายใจเฮือกสุดท้าย!

“Where were you when Kennedy got shot?” คำถามของ Paula ย้อนรอยกลับหา Harry ตอนที่เด็กสาว Delly เสียชีวิต ฉันกำลังทำอะไรอยู่? เคยได้รับโทรศัพท์ปริศนา กลับเพิกเฉยเฉื่อยชา ไม่ได้ตระหนักว่านั่นอาจคือ ‘distress call’ ติดต่อขอความช่วยเหลือ

ผมไม่ได้มีความสนใจใน JFK Files ที่เพิ่งนำออกมาเผยแพร่สู่สาธารณะเมื่อไม่นานมานี้ เพียงผ่านสายตาถึงข้อสรุป/ความเป็นไปได้ว่าเหตุการณ์ลอบสังหารวันนั้น อาจเป็นการจัดฉากของหน่วยงานรัฐบาล ขัดแย้งอะไรสักสิ่งอย่าง! ซึ่งมันดันสอดคล้องเข้ากับความตายของเด็กสาว Delly มองจากภาพฟุตเทจอาจคืออุบัติเหตุ แต่แท้จริงแล้วกลับมีลับลมคมใน บางสิ่งอย่างซุกซ่อนเร้นไว้

Harry เดินทางมาพูดคุยกับ Arlene แต่คราวนี้หลังสูญเสียบุตรสาว เธอรักษาระยะห่าง นอนอยู่เบื้องล่างสระน้ำ ไม่อยากพูดคุยสนทนา ไม่เกี้ยวพาราสี แถมพยายามขับไล่ ผลักไส ไม่ต้องการมีปฏิสัมพันธ์ใดๆ … มันช่างแตกต่างตรงกันข้ามจากครั้งแรกๆที่ Arlene พยายามขายขนมจีบ เกี้ยวพาราสี เรียกร้องขอมีเพศสัมพันธ์ แต่ถึงอย่างนั้นเธอยังคงเสแสร้งสร้างภาพ พูดเหมือนไม่ยี่หร่าความตายบุตรสาว ทว่าน้ำเสียง กิริยาท่าทาง มุมกล้องก้มต่ำ และภาพทิวทัศน์เบื้องล่างภูเขา แสดงถึงสภาพจิตใจตกต่ำ สิ้นหวัง ยังมิอาจยินยอมรับความสูญเสีย

หนึ่งในคำกล่าวของ Arlene ที่พอเปิดเผยออกมา ย่อมทำให้ผู้ชมตระหนักถึงสิ่งบังเกิดขึ้นกับ Delly มันคือ ‘ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น’ มีแบบอย่างมารดาผู้สำส่อน เลยไม่แปลกที่บุตรสาวจะเลียนแบบตาม

ปริศนาบางส่วนถูกไขกระจ่างเมื่อ Harry เดินทางมาพบเจอกับ Quentin ภายในบ้านมืดมิด (รับรู้สิ่งชั่วร้ายที่ซุกซ่อนเอาไว้) จุดเริ่มต้นจาก Quentin ได้รับมอบหมายจาก (Stunt Coordinator) Joey Ziegler ซ่อมเครื่องยนต์ของสตั๊นแมน Marv Ellman ให้ทำงานผิดพลาดระหว่างลักลอบขนส่งวัตถุโบราณเข้าประเทศ เป็นเหตุให้เครื่องบินจมลงใต้ท้องทะเล แล้วค่ำคืนนั้น Dolly บังเอิญดำผุดดำว่าย พบเจอศพผู้เสียชีวิต แล้วตระหนักว่าใครคือฆาตกร!

แต่ความตายของ Dolly มันสามารถครุ่นคิดได้หลายทิศทาง ซึ่งผู้ชมไม่สามารถค้นหาคำตอบแท้จริง!

  • เกิดจากอุบัติเหตุจริงๆ
  • Quentin ทำบางสิ่งอย่างกับเครื่องยนต์ (แบบเดียวกับที่ทำเครื่องบินของ Marv)
  • Joey จงใจขับรถพุ่งชนข้างทาง แม้ต้องแลกกับตนเองได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่สามารถฆ่าปิดปากพยาน

Harry และ Ellen แม้เหมือนจะหวนกลับมาคืนดี แต่ฉากร่ำลาที่สนามบิน Los Angeles International Airport มันคือ ‘Death Flag’ อย่างชัดเจน! เธอสารภาพว่า Marty คือบุคคลให้ความช่วยเหลือในวันทุกข์ยาก (Distress Signal) นั่นคือสัญญาณเตือนเหตุร้าย หายนะกำลังบังเกิดขึ้น และภาพช็อตสุดท้ายท่าทางห่อเหี่ยว คอตก ก้าวเดินจากไปอย่างผิดหวัง เพราะมิอาจหยุดยับยั้งไม่ให้เขาขึ้นเครื่องบินสู่สรวงสวรรค์ … คือมันมีความเป็นไปได้ว่า Ellen จะหวนกลับหาชู้รัก Marty และตัวของ Harry ที่ล่องลอยคอกลางทะเลจะไม่สามารถหาหนทางกลับขึ้นฝั่ง!

ความตายของ Quentin ในบ่อเลี้ยงปลาโลมา มันช่างพิลึกพิลั่นยิ่งนัก! เพราะสัตว์ชนิดนี้รักสงบ ไม่ได้กินเนื้อมนุษย์ นั่นแสดงว่าต้องถูกฆ่าบนบกแล้วโยนทิ้งน้ำ คนส่วนใหญ่มักคาดเดาว่าต้องเป็นฝีมือของ Tom แต่ไม่แน่อาจเป็น Paula ก็ได้เช่นกัน … เพราะนี่คือบ้านของ Paula เธอย่อมมีส่วนร่วมรู้เห็นทุกสิ่งอย่าง

Harry เผชิญหน้ากับ Tom เริ่มจากบนเรือ ‘Point of View’ นี่เป็นชื่อที่น่าสนใจ เพราะรายละเอียดต่างๆในหนังสามารถครุ่นคิดได้หลายมุมมอง สิ่งพบเห็นภายนอก หรือข้อเท็จจริงซุกซ่อนเร้นไว้

การต่อสู้ระหว่าง Harry vs. Tom เริ่มจากบนเรือ ตกลงน้ำ ตะเกียกตะกายขึ้นฝั่ง ก่อนที่ Tom หัวพุ่งชนตอไม้ ได้รับบาดเจ็บศีรษะ หมดสิ้นสติสมประดี นี่อาจเคลือบแฝงนัยยะถึงการเป็นบุคคลต้นคิดแผนการชั่วร้าย สุดท้ายผลกรรมเลยติดตามทัน … หรือจะมองว่าใช้ไม้ทุบศีรษะ Quentin เลยพุ่งชนตอไม้ด้วยตนเอง

Paula เป็นหญิงสาวผู้น่าเศร้า แม้มีความสวยเซ็กซี่ แต่ไร้ความจงรักภักดี หลังจาก Tom ได้รับบาดเจ็บสาหัส ก็เปิดเผยแผนการทุกสิ่งอย่างต่อ Harry อาสาดำน้ำนำสมบัติ/วัตถุโบราณราคาหลักล้านกลับขึ้นมา ความตายของเธอจึงถูกพวกพ้องทรยศหักหลัง Joey แม้เข้าเฝือกยังสามารถขับเครื่องบินมาพุ่งชน

ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเข้าเฝือกขนาดนั้นยังขับเครื่องบินได้อย่างไร? แต่ความตายของ Joey มีแนวคิดละม้ายคล้ายกับ Tom หลังฆาตกรรม Paula ดึงเครื่องขึ้นไม่ทัน พุ่งชนสมบัติ/วัตถุโบราณที่เธอนำขึ้นมา (Tom ฆาตกรรม Quentin แล้วศีรษะพุ่งชนตอไม้) เลยจมดิ่งลงสู่ก้นเบื้องมหาสมุทร … จากโบยบินอยู่จุดสูงสุด ตกต่ำลงสู่ขุมนรก

Harry คือผู้ไม่รู้อิโน่อิเหน่ ไม่ได้มีส่วนร่วมอะไรกับใคร เหตุผลที่เขาต้องการสมบัติ/วัตถุโบราณ ไม่ใช่เรื่องเงินๆทองๆ แค่อยากขบไขปริศนาว่ามันเกิดเหตุการณ์ห่าเหวอะไร? แต่ทว่ากลับโดนลูกหลง ถูกยิงเข้าที่ขา (กลายเป็นแบบ Marty ที่สูญเสียความแน่วแน่มั่นคงในการดำเนินชีวิต) ความตายของ Paula รวมถึงการทรยศหักหลังของ Joey ย่อมทำให้ตกอยู่ในความห่อเหี่ยวสิ้นหวัง ไม่รู้จะทำอะไรยังไง? หวนกลับขึ้นฝั่งได้ไหม?

แซว: มันกลายเป็นว่าถ้า Harry ได้หวนกลับหา Ellen ทั้งร่างกาย(ขาเป๋)และจิตใจจะมีสภาพไม่แตกต่างจาก Marty … นี่สามารถสื่อถึงจุดจบ/ความตายของ Harry คนเก่าได้ด้วยเช่นกัน!

ตัดต่อโดย Dorothea Carothers ‘Dede’ Allen (1923-2010) สัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Cleveland, Ohio มารดาคือนักแสดง Dorthea S. Corothers ส่งบุตรสาวเข้าโรงเรียนประจำ ร่ำเรียนสถาปนิกออกแบบ Scripps College ก่อนหันเหความสนใจสู่วงการภาพยนตร์ ได้งานที่ Columbia Pictures ไต่เต้าจากคนส่งเอกสาร ช่วยงานตัดต่อโฆษณา กระทั่งได้รับโอกาสตัดต่อภาพยนตร์เรื่องแรก Odds Against Tomorrow (1959), ผลงานเด่นๆ อาทิ The Hustler (1961), America, America (1963), Bonnie and Clyde (1967), Dog Day Afternoon (1975), Reds (1981), The Breakfast Club (1985), Wonder Boys (2000) ฯ

หนังดำเนินเรื่องผ่านมุมมองนักสืบเอกชน Harry Moseby ได้รับมอบหมายติดตามหาเด็กสาววัยสิบหก Delly หนีหายตัวออกจากบ้าน ออกเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆจาก Los Angeles จนพบเจอยัง Florida Keys, ขณะเดียวกันเขายังสะสางปัญหาภรรยา Ellen แอบคบชู้นอกใจกับชายแปลกหน้า Marty … จะมองว่าเป็นการเล่าเรื่องคู่ขนานก็ยังได้

  • Opening Credit + ชีวิตวันๆของนักสืบเอกชน Harry Moseby หลังเลิกงานก็เดินทางไปยั่วราคะภรรยา
  • ติดตามหาเด็กสาวหนีออกจากบ้าน
    • Harry เดินทางไปพบเจอลูกค้า อดีตนักแสดง Arlene Iverson ว่าจ้างให้ติดตามหาบุตรสาว Delly
    • Harry ตั้งใจจะเดินทางไปรับภรรยาหลังดูหนังจบ แต่เธอกลับขึ้นรถกับชายแปลกหน้า Marty Heller
    • วันถัดมา Harry เดินทางไปพบเจอช่างเครื่องยนต์ Quentin สอบถามเรื่อง Delly
    • จากนั้นเดินทางไป Malibu เผชิญหน้ากับชายแปลกหน้า Marty Heller
    • ค่ำคืนนั้นกลับมาบ้าน เผชิญหน้าภรรยา
    • เดินทางไปกองถ่าย New Mexico พบเจอกับ Joey Ziegler (คนรักเก่าของ Arlene)
    • ค่ำคืนนั่งดื่ม/พูดคุยกับสตั๊นขับเครื่องบิน Marv Ellman
    • กลับไปพบเจออดีตนักแสดง Arlene เพื่อแจ้งความคืบหน้า และขอเงินทุนเดินทางไป Florida Keys
  • Florida Keys
    • Harry เดินทางมาถึง Florida Keys พบเจอกับ Paula
    • Paula นำพา Harry ไปพบเจอกับ Delly และ Tom Iverson
    • หลังอาหารค่ำ Harry พูดคุยกับ Tom เรื่องของ Delly
    • Harry เล่นเกมหมากรุก อธิบาย Knight Moves ให้กับ Paula
    • วันถัดมา Harry พยายามโน้มน้าว Delly ให้เดินทางกลับบ้าน
    • ตอนค่ำ Harry, Paula และ Delly ล่องเรือหาสมบัติ พบเจอเครื่องบิน+โครงกระดูกลึกลับ
    • พอกลับมาที่พัก Harry ร่วมรักกับ Paula
    • Delly ตัดสินใจเดินทางกลับบ้าน
  • โศกนาฎกรรม
    • หลังจากส่ง Delly กลับบ้าน, Harry งัดแงะเข้าห้องพักของ Marty Heller เผชิญหน้ากับภรรยา
    • Harry ตัดสินใจเลิกเป็นนักสืบเอกชน แล้วหวนกลับมาคืนดีภรรยา
    • Harry ได้ยินข่าวการเสียชีวิตของ Delly
    • Harry รับชมฟุตเทจการเสียชีวิตของ Delly
    • เดินทางไปที่บ้านของ Arlene แต่ถูกเธอขับไล่ ผลักไส ไม่ต้องการพูดคุยสนทนา
    • เดินทางไปหา Quentin แล้วเกิดการต่อสู้
    • Harry ตัดสินใจเดินทางสู่ Florida Keys พบเจอ Quentin กลายเป็นเหยื่อฉลาม
    • Harry ต่อสู้กับ Tom
    • จากนั้นล่องเรือไปกับ Paula แล้วถูก Joey ขับเครื่องบินมากราดยิง

เด็กสาวหนีออกจากบ้าน vs. ภรรยาคบชู้นอกใจ หลายคนอาจมองว่าเป็นคนละเรื่อง ไม่ได้มีความสัมพันธ์ใดๆ แต่การดำเนินเรื่องคู่ขนาน ทำให้เราสามารถมองว่า Delly = Ellen พวกเธอต่างมีเบื้องหลัง ลับลมคมใน ซุกซ่อนบางสิ่งชั่วร้าย ที่เมื่อเปิดเผยความจริงออกมา จักสร้างความขืนข่ม เจ็บปวดร้าวระทม ผลกระทบจากคนใกล้ตัว


เพลงประกอบโดย Michael Small (1939-2003) นักแต่งเพลง สัญชาติอเมริกัน เกิดที่ New York City แล้วมาเติบโตยัง Maplewood, New Jersey บิดาคือ Jack Small นักแสดง/ผู้จัดการละคอนเวที Shubert Theatre, โตขึ้นเข้าเรียนสาขาภาษาอังกฤษ Williams College ระหว่างนั้นก็เล่นเปียโน ร่วมวงดนตรีแจ๊ส จนกระทั่งบิดาเสียชีวิต ออกมาทำงานละคอนเวที เรียนรู้การแต่งเพลงจาก Meyer Kupferman มีผลงานภาพยนตร์เด่นๆ อาทิ Klute (1971), The Parallax View (1974), Marathon Man (1976) ฯ

Terrence Malick เป็นคนแนะนำ Small ให้ผกก. Penn นำเอาสไตล์เพลง Light/Soft Jazz มาใช้สร้างบรรยากาศหนังนัวร์ (Neo-Noir) คละคลุ้งกลิ่นอายดนตรีละติน ทำให้เกิดจังหวะสนุกสนาน ชวนให้อยากลุกขึ้นมาเต้นรำ คลุกเคล้าเข้ากันได้อย่างแปลกประหลาด

แต่งานเพลงดังกล่าวของ Small แม้งโคตรลวงโลก! ท่วงทำนองสนุกสนาน ครึกครื้นเครง ชวนให้ลุกขึ้นมาเต้นรำ มันคือการล่อหลอกผู้ชมให้ครุ่นคิดว่าทุกสิ่งอย่างในชีวิตของ Harry Moseby ทั้งครอบครัวและอาชีพการงาน เป็นเรื่องกล้วยๆ ขนมเค้ก ไม่ได้เคร่งเครียด ซีเรียส จริงจังอะไร, แต่เมื่อเบื้องหลังความจริงค่อยๆเปิดเผยออกมา ตัวละคร-ผู้ชมจักเริ่มตระหนักว่าชีวิตไม่ได้งดงามสวยหรูขนาดนั้น

ยามค่ำออกล่องเรือ Delly ดำน้ำพบเห็นโครงกระดูก ศพคนตาย พอกลับขึ้นฝั่ง Paula กลับเปิดเพลงท่วงทำนอง Regge-Ska แถมยังลุกขึ้นมาโยกเต้นเบาๆ มันไม่ใช่ว่าควรรู้สึกเศร้าโศกโศกาหรอกฤา??? เหตุผลที่เธอเปิดเพลงสนุกสนาน นั่นเพราะอารมณ์ดีปรีดา ได้พบเจอสิ่งติดตามค้นหา ขุมทรัพย์ใต้มหาสมุทร ไม่ได้สนศพคนตายประการใด! … และนั่นอาจคือเหตุผลแท้จริงของการร่วมรักกับ Harry ไม่ใช่คลายความเศร้า เหงา แต่คือยินดีปรีดา

หลังเดินทางกลับจาก Florida Keys ยามค่ำคืน Harry แอบงัดแงะเข้าไปในห้องพักของ Marty Heller จงใจเปิดเพลงบรรเลงเชลโล่เสียงดังเพื่อปลุกตื่นชายโฉดหญิงชู้ น่าเสียดายผมหาข้อมูลไม่ได้ว่าบทเพลงอะไร ใครประพันธ์ คละคลุ้งกลิ่นอาย Bach แต่อาจเป็น Small แต่งขึ้นเพื่อใช้ในหนัง … เสียงทุ้มต่ำของเชลโล่ สะท้อนความหดหู่ ห่อเหี่ยว สภาพจิตใจตกต่ำของ Harry ไม่รู้จะทำอะไรยังไงกับสถานการณ์ดังกล่าว

และช่วงท้ายเมื่อ Harry เดินทางไปยังบ้านของ Quentin ได้ยินเปิดเพลงร็อค เสียงลีดกีตาร์ฟังดูบิดๆเบี้ยวๆ ตามด้วยดั้นสดแซกโซโฟน สามารถสะท้อนสภาพอารมณ์ตัวละคร (ทั้ง Harry และ Quentin) ต่อโศกนาฎกรรมบังเกิดขึ้นกับ Delly ได้เช่นเดียวกัน!

เสียงประกอบ (Sound Effect) ก็ถือเป็นอีกองค์ประกอบสำคัญของหนัง หลายครั้งสามารถสื่อแทนอารมณ์ตัวละคร อธิบายความรู้สึกซุกซ่อนอยู่ภายใน ยกตัวอย่าง

  • เมื่อตอนภรรยา Ellen พยายามสอบถามสามี Harry ทำไมถึงไม่พูดคุยกับตนเองก่อน เขาเดินไปเปิดก๊อกน้ำไหล เสียงดังกลบเกลื่อนคำอธิบายของเธอ … สามารถสื่อถึงอารมณ์อัดอั้นที่ไหลหลั่ง พรั่งพรูออกมา
  • Harry เดินทางไปกองถ่าย New Mexico ภายหลังจากมีเรื่องขัดแย้งกับ Ellen เสียงเครื่องบินเฉี่ยวไปเฉี่ยวมา สามารถรำพันความรู้สึกสับสน ว้าวุ่นวายใจ
  • ตอนที่ Ellen ขับรถมาแจ้งข่าวการเสียชีวิตของ Delly เหมือนว่าเธอบีบแตรรถค้างไว้ ราวกับสัญญาณชีพดับสิ้นลง (เครื่องวัดสัญญาณชีพในโรงพยาบาล เมื่อผู้ป่วยเสียชีวิตมันจะได้ยินเสียงตี๊ดดดดลากยาว)
  • ไคลน์แม็กซ์ช่วงท้าย เสียงเครื่องยนต์รถ/เรือ สามารถสร้างความตื่นเต้น ลุ้นระทึก เครื่องบินกราดยิงปืนกล โฉบเฉี่ยวลงมา ไม่จำเป็นต้องใช้เพลงประกอบใดๆ

Night Moves (1975) นำเสนอเรื่องราวของนักสืบวัยกลางคน ไม่เชิงว่าประสบปัญหา Midlife Crisis แต่เกิดเหตุการณ์ที่เขาไม่สามารถขบครุ่นคิด ไขปริศนา ทำความเข้าใจ นี่มันห่าเหวอะไร? ฉันทำผิดตรงไหน? ทำไมภรรยาคบชู้นอกใจ? ทำไมเด็กสาววัยสิบหกถึงถูกฆาตกรรมอำพราง?

I had a particular passion for Night Moves. I was very depressed by the assassinations and felt that we needed to give voice to our grief. It was a beat-up culture.

Arthur Penn

ความตั้งใจของผู้เขียนบทหนัง Alan Sharp อาจแค่พัฒนาเรื่องราวนักสืบตามสไตล์ Hollywood แค่ว่าจบลงแบบนวนิยายของ Raymond Chandler ใครเคยรับชม The Big Sleep (1946) ก็น่าจะพอเข้าใจ ไม่จำเป็นที่ตอนจบต้องขบไขปริศนา หาคำตอบทุกสรรพสิ่งอย่าง

แต่พอมาอยู่ในเงื้อมมือผกก. Penn แทรกใส่สิ่งสนใจตรงโน้นนิด ตรงนี้หน่อย สหรัฐอเมริกาช่วงทศวรรษ 70s เต็มไปด้วยความฉ้อฉล ซุกซ่อนสิ่งชั่วร้ายไว้ใต้พรม (พฤติกรรมสำส่อนของ Delly = ศพใต้ทะเล = เหตุอื้อฉาวทางการเมืองคดี Watergate scandal) หรือคำถามของ Paula จู่ๆเกิดข้อสงสัย “Where were you when Kennedy got shot?” โศกนาฎกรรมบังเกิดขึ้นกับ Delly (จากรถยนต์) ช่างมีความละม้ายคล้ายเหตุการณ์ลอบสังหารปธน. John F. Kennedy และ Robert F. Kennedy

คนที่เคยอ่านประวัติผกก. Penn ย่อมรับรู้ว่าเคยเป็นที่ปรึกษา (TV Advisor) ตอนหาเสียงเลือกตั้งปธน. JFK แน่นอนว่าต้องมีความสนิทสนมระดับหนึ่ง รวมถึงเคยร่วมงาน RFK (Robert F. Kennedy) ด้วยเช่นกัน! ความตายของทั้งสองจากการถูกลอบสังหาร (Political Assassinations) ย่อมสร้างความขื่นขม รวดร้าวระทม กลายเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายไปสักพักใหญ่ ไม่สามารถครุ่นคิดหาคำตอบว่ามันเกิดเหตุการณ์ห่าเหวอะไร หมดสูญสิ้นความกระตือรือล้น = ขับเรือเวียนวงกลมอยู่กลางท้องทะเล

I had worked with both Kennedys. I had served as a TV advisor to Jack Kennedy’s campaign. During the Nixon‑Kennedy debates we were in the Kennedy camp using the medium in a way we thought made for a better presentation. Later I started working with Bobby. I went down to Washington and we did one radio commercial. We were then going to do a whole bunch of radio and TV stuff as soon as he came back from California, and of course he never did.

Arthur Penn

หลากหลายความสัมพันธ์ของหนังและผกก. Penn แสดงให้เห็นถึงความเป็นส่วนตัว สะท้อนห้วงอารมณ์สิ้นหวัง รวมถึงบรรยากาศโลกยุคสมัยนั้น สิ่งต่างๆเหมือนดำเนินไปอย่างปกติสุข แต่แท้จริงแล้วนั่นคือภาพมายา ลวงหลอกตา สิ่งชั่วร้าย/ศพซุกซ่อนอยู่ใต้ท้องทะเล ใครพยายามนำมันขึ้นมาจักต้องประสบกับหายนะ

It was personal in that respect, but it’s also despairing in that I just felt, “Oh God, this country…” I mean, those assassinations—Jack Kennedy, Bobby Kennedy, Martin Luther King, Jr.—were just crushing to people who’d been involved in those movements. I’d been in the Civil Rights movement up to my ears.

ปล. ผมไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับปัญหาครอบครัวของผกก. Penn มันอาจจะมีหรือไม่มีก็ได้ (แต่อาจจากบทสัมภาษณ์ น่าจะไม่มีปัญหาใดๆกับภรรยา) หรือเป็นแค่สิ่งที่ผู้เขียน Alan Sharp สร้างขึ้นเพื่อสะท้อนเรื่องราวระดับจุลภาค-มหภาค

ภาพยนตร์ Night Moves (1975) ยังถูกมองว่าเป็นจุดสิ้นสุดยุคสมัยของผกก. Penn หลังจากนี้ล่องลอยเคว้งคว้าง เวียนวนอยู่ในวงการละคอนเวที สร้างภาพยนตร์ ซีรีย์โทรทัศน์อีกหลายเรื่อง แต่ไม่สามารถพัฒนาโปรเจคได้รับการกล่าวขวัญ สูญเสียความกระตือร้น/เชื่อมั่นในตนเองไปพอสมควร


ด้วยทุนสร้าง $4 ล้านเหรียญ แม้นักวิจารณ์จะส่ายหัว กุมขมับ ไม่เข้าใจว่าหนังต้องการสื่ออะไร? แต่เหตุผลการขาดทุนย่อยยับเพราะ Jaws (1975) เข้าฉายเก้าวันให้หลัง คงไม่ต้องอธิบายกระมัง!

ถึงหนังไม่ประสบความสำเร็จตอนออกฉาย แต่การแสดงของ Gene Hackman ได้รับคำชื่นชมอย่างล้นหลาม สามารถเข้าชิง BAFTA Award: Best Actor พ่ายให้กับ Al Pacino ภาพยนตร์ The Godfather Part II (1974) และ Dog Day Afternoon (1975)

กาลเวลาทำให้หนังได้รับการยกย่องกล่าวขวัญ “a seminal modern noir work from the 1970s” เปิดประตูสู่หนังแนว Neo-Noir ที่นักสืบไม่ได้เก่งไปเสียทุกอย่าง ย่อมมีโอกาสทำผิดพลาด ไม่สามารถขบไขปริศนาทั้งหมด … และนักวิจารณ์รุ่นใหม่ๆยังมองเป็นผลงานยอดเยี่ยมที่สุดของผกก. Penn

ปัจจุบันหนังได้รับการบูรณะ ‘digital restoration’ คุณภาพ 4K Ultra HD จัดจำหน่าย Blu-Ray เมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ. 2025 หรือรับชมออนไลน์ทาง Criterion Channel

ผมรับรู้จัก Night Moves (1975) จากพบเห็นอยู่ในรายการ Gene Hackman: 10 essential films ของ BFI ทีแรกไม่คิดจะดูด้วยซ้ำ ชั่งใจอยู่นานจนเห็นชื่อผู้กำกับ Penn เคยมีผลงาน Bonnie and Clyde (1967) เลยลองเสี่ยงรับชม แล้วเกิดความคาดไม่ถึงอย่างรุนแรงว่าจะมันจะลึกล้ำ ซับซ้อน ซ่อนอยู่ใต้มหาสมุทร จนต้องเรียกว่าขุมสมบัติ มาสเตอร์พีซ … รับชมหนังเรื่องนี้ทำให้ผมเกิดความกระตือรือล้น อยากเขียนถึงผลงานอื่นๆของผู้กำกับ Arthur Penn อีกเดี๋ยวค่อยว่ากัน

จัดเรต 15+ กับการคบชู้นอกใจ เด็กสาววัย 16 ปี

คำโปรย | Night Moves สร้างความตกตะลึง ตราตรึง หมากที่คาดไม่ถึง!
คุณภาพ | ร์พี
ส่วนตัว | คาดไม่ถึง

Leave a Reply

avatar

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

  Subscribe  
Notify of
%d bloggers like this: