
Broken Embraces (2009)
: Pedro Almodóvar ♥♥♥♡
ผู้กำกับภาพยนตร์ประสบอุบัติทางรถยนต์ สูญเสียคนรักพร้อมๆกับการมองเห็น แม้ทำให้ชีวิตเขาจมปลักอยู่ในความมืดมิด แต่ยังคงพยายามรังสรรค์งานเขียน พัฒนาบทหนัง ไม่มีใครสามารถทำลายแสงสีสันภายในจิตใจ
Broken Embraces (2009) เป็นภาพยนตร์ที่ต้องบอกเลยว่ามีเรื่องราวสลับซับซ้อน อดีต-ปัจจุบัน หนังซ้อนหนัง (film-within-film) มันอาจไม่ได้ลึกหลายชั้นเหมือน Bad Education (2004) แต่เต็มไปด้วยความท้าทาย ชักชวนให้ขบครุ่นคิด ค้นหาคำตอบว่าเนื้อหาสาระคืออะไร?
ผมบังเอิญพบเจอบทสนทนาระหว่างผู้กำกับ Paul Thomas Anderson และ Pedro Almodóvar แล้ว PTA กล่าวถึง “director’s worst nightmare” นั่นคือสูญเสียการมองเห็น ทำให้ไม่สามารถถ่ายทำ/ตัดต่อหนังให้เสร็จตามวิสัยทัศน์ตนเอง … นั่นคือหนึ่งในใจความสำคัญของหนังเลยก็ว่าได้!
อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องชื่นชมคือลีลาการถ่ายภาพ เพราะตากล้องขาประจำไม่ว่างเลยลองเลือกตัวแทน Rodrigo Prieto ต้องชมเลยว่าทำออกมาได้โดดเด่น ละเลงสีสันสวยสดใส เว่อวังอลังการงานสร้างมากๆ น่าจะเป็นผลงานที่มีความฉูดฉาด จัดจ้าน ละลานตาที่สุดของผกก. Almodóvar แล้วกะละมัง!
Pedro Almodóvar Caballero (เกิดปี ค.ศ. 1949) ผู้กำกับภาพยนตร์ สัญชาติ Spanish เกิดที่ Calzada de Calatrava หมู่บ้านชนบทเล็กๆในจังหวัด Ciudad Real, ตอนอายุ 8 ขวบ ครอบครัวส่งไปโรงเรียนสอนศาสนายังเมือง Cáceres, Extremadura (ทางตะวันตกของสเปน) แต่วันๆกลับแวะเวียนเข้าโรงหนัง ได้อิทธิพลเต็มๆจากผลงานของ Luis Buñuel
Cinema became my real education, much more than the one I received from the priest.
Pedro Almodóvar
ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1967, Almodóvar หนีออกจากบ้านไปอยู่กรุง Madrid วาดฝันอยากเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ แต่ผู้นำเผด็จการ Francisco Franco สั่งห้ามทุกสิ่งอย่าง! เลยต้องศึกษาร่ำเรียนด้วยตนเอง (Self-Taught) รับจ้างทำงานสารพัด ขายของตลาดนัด เขียนบทความ/เรื่องสั้นลงนิตยสารต่างๆ เก็บหอมรอมริดจนสามารถซื้อกล้อง Super 8 ถ่ายทำหนังสั้นนับสิบๆเรื่องร่วมกับคณะการแสดง Los Goliardos, กำกับภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องแรก Pepi, Luci, Bom and Other Girls on the Heap (1980)
สำหรับ Los abrazos rotos แปลว่า Broken Hug หรือถ้อยคำสระสรวยหน่อยก็ Broken Embraces ได้แรงบันดาลใจจากเมื่อครั้นผกก. Almodóvar ช่วงปลายทศวรรษ 90s เดินทางไปยังชายหาด El Golfo Beach ณ Lanzarote (มีลักษณะเป็น Volcanic Sand Beach หาดทรายดำเกิดขึ้นทั่วไปบริเวณที่มีการระเบิดของภูเขาไฟใกล้ชายหาด) แล้วถ่ายภาพๆหนึ่ง บังเอิญติดชาย-หญิงกำลังโอบกอดจูบกันอย่างแน่นแฟ้น แล้วเกิดจินตนาการเตลิดเปิดเปิงไปไกล ครุ่นคิดว่ามันอาจจะมีลับลมคมในอะไรบางอย่าง
I had taken the photo which we used nine years ago, on my first visit to Lanzarote. The island had bewitched me. I’d never seen such dramatic colors in nature. For me it wasn’t a landscape, it was a mood, a character. From that moment I wanted to film there.

My first visit to Lanzarote occurred at a very special moment. My mother had died a few months before. My spirits, still in mourning, found reflection and consolation in the blackness of the island, kind of soothing energy. I was more aware that my mother’s death had made me into an adult… As confirmation of the island’s mystery, I took the photo on Golfo Beach. Like Mateo, I hadn’t seen the couple embracing at the bottom of the photo. I discovered them when a 24-hour developing store gave me the print. The landscape was incredible but what really struck me was the discovery of the couple embracing, alone, minute against the immensity of the landscape. I imagined that there was a secret behind that furtive embrace and that I had the photographic evidence of it. I wanted to know everything about the couple, or at least some detail with which to spin a fictional story.
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ผกก. Almodóvar ได้พัฒนาบทหนังสั้น-ยาวขึ้นหลายเรื่อง แต่ส่วนใหญ่จะเก็บขึ้นหิ้ง ยังไม่พึงพอใจกับผลลัพท์ ระหว่างพัฒนาบทหนัง Broken Embraces (2009) เล็งเห็นโอกาสนำเอาโปรเจคอื่นๆแทรกใส่เข้าไปอย่าง ชีวประวัติ Arthur Miller หลังเลิกรา Marilyn Monroe แต่งงานใหม่กับ Inge Morath, แวมไพร์แฟนตาซี Dona Sangre (Donate Blood) และโดยเฉพาะ Madres Paralelas (Parallel Mothers) ** เรื่องนี้จะถูกดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ในปี ค.ศ. 2021
ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดัง Mateo Blanco (รับบทโดย Lluís Homar) วันหนึ่งมีหญิงสาวสวย Lena Rivero (รับบทโดย Penélope Cruz) เดินทางมาขอทดสอบหน้ากล้อง เกิดความลุ่มหลงใหลในความงดงาม ยินยอมให้เธอรับบทนำผลงานเรื่องใหม่ Chicas y maletas แปลว่า Girls and Suitcases
สามีของ Lena คือมหาเศรษฐี/นักธุรกิจชื่อดัง Ernesto Martel (รับบทโดย José Luis Gómez) ฉกฉวยโอกาสตอนบิดาเธอล้มป่วยหนัก ใช้เงินล่อซื้อใจได้สำเร็จ ในตอนแรกพยายามขัดขวางไม่ให้เป็นนักแสดง แต่ต่อมายินยอมออกทุนสร้างโปรเจค Girls and Suitcases พร้อมส่งบุตรชาย Ernesto Martel Jr. (รับบทโดย Rubén Ochandiano) เข้าไปสอดแนม แสร้งว่าถ่ายทำสารคดีเบื้องหลัง บันทึกภาพความสัมพันธ์ระหว่าง Lena และ Mateo
หลังจับได้ว่าภรรยาน้อยแอบคบชู้นอกใจ Ernesto จงใจผลัก Lena ตกลงบันได ได้รับบาดเจ็บสาหัส ถึงอย่างนั้นเธอยังคงแสดงความดื้อรั้น ต้องการถ่ายทำหนังให้เสร็จสิ้น แล้ววันปิดกองหลบหนีไปกับ Mateo ครองรักอยู่บนเกาะ Lanzarote เปลี่ยนมาใช้ชื่อปลอม Harry Caine
วันหนึ่งพบเห็นภาพการโปรโมท Girls and Suitcases บนหน้าหนังสือพิมพ์ ตระหนักว่า Ernesto คงนำหนังมาตัดต่อใหม่ ปู้ยี้ปู้ยำ ออกฉายเพื่อให้ได้เสียงตอบรับย่อยยับ นั่นทำให้เขามิอาจอดรนทน ตั้งสินใจเดินทางกลับกรุง Madrid ระหว่างทางประสบอุบัติเหตุถูกรถชน Mateo ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนสูญเสียการมองเห็น ส่วน Lena เสียชีวิตคาที่!
เรื่องราวของหนังเริ่มต้นหลายปีถัดมา Mateo เปลี่ยนมาใช้ชื่อ Harry Caine แม้สายตามืดบอด มองอะไรไม่เห็น แต่ยังรับงานพัฒนาบทหนัง วันหนึ่งได้ยินข่าวคราวการเสียชีวิตของ Ernesto จึงเริ่มหวนระลึกความหลัง เล่าเหตุการณ์บังเกิดขึ้นให้กับ Diego (รับบทโดย Tamar Novas) บุตรชายของผู้ช่วย/อดีตคนรัก Judit García (รับบทโดย Blanca Portillo) ซึ่งกุมเงื่อนงำ ความลับบางอย่างเอาไว้
Lluís Homar i Toboso (เกิดปี ค.ศ. 1957) นักแสดง/ผู้กำกับละคอนเวที สัญชาติ Spanish เกิดที่ Barcelona, วัยเด็กเคยเป็น Altar Boy โบสถ์ Sant Joan d’Horta โตขึ้นเข้าศึกษากฎหมาย Autonomous University of Barcelona และฝึกฝนการแสดงยัง Theatre Institute of Barcelona, มีชื่อเสียงโด่งดังในแวดวงละคอนเวที ผลงานภาพยนตร์เด่นๆ อาทิ The Time of the Doves (1981), Bad Education (2004), Los Borgia (2006), Broken Embraces (2009), Eva (2011) ฯ
รับบท Mateo/Harry เป็นคนรักอิสระ ไม่ชอบการผูกมัดหรือแต่งงาน (ตรงกันข้ามกับมหาเศรษฐี Ernesto ที่พยายามควบคุมครอบงำ ทุกสิ่งอย่างต้องเป็นไปดั่งใจฉัน) เคยอยู่กินกับเพื่อนสาว/ผู้ช่วย Judit แต่ไม่เคยครุ่นคิดจริงจัง ถึงอย่างนั้นเมื่อแรกพบเจอ Lena Rivero ก็ตกหลุมรักโดยพลัน แล้วพอสูญเสียเธอไป(พร้อมสายตา) ชีวิตจมปลักอยู่ในความมิดมิด ทอดทิ้งทุกสิ่งอย่างรวมถึงชื่อของตนเอง
เกร็ด: นักวิจารณ์ Roger Ebert แสดงความคิดเห็นถึงนามปากกา Harry Caine น่าจะเป็นส่วนผสมของ Harry Lime (The Third Man) + Citizen Kane ทั้งสองตัวละครต่างรับบทโดย Orson Welles
มันเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของผกก. Almodóvar ที่ชอบท้าทายนักแสดง ไม่ค่อยมีใครได้รับบทบาทเดิมซ้ำๆ ก่อนหน้านี้ Homar เคยเล่นบทบาทหลวงใครเด็ก Bad Education (2004) แสดงสีหน้าหื่นกระหาย ชอบใช้อำนาจบาดใหญ่คล้ายๆกับมหาเศรษฐี Ernesto แต่กลับมอบหมาย Mateo/Harry พลิกบทบาทที่เกือบจะตรงกันข้าม
สำหรับสองบทบาทของ Homar แม้ภายนอกจะคือตัวละครเดียวกัน แต่การแสดงออก ปฏิกิริยาอารมณ์ และจิตวิญญาณภายในต้องถือว่าแตกต่างกันพอสมควร
- ผู้กำกับ Mateo Blanco เป็นคนกระตือรือล้น แสดงออกตามอารมณ์ มีความ Active ในกองถ่าย หรือเวลาอยู่สองต่อสองกับ Lena สำแดงความรักคลั่งไคล้ พร้อมทุ่มเททั้งชีวิตให้กับเธอ
- นักเขียน Harry Caine แม้ยังติดนิสัยรักอิสระ แต่เพราะสายตามืดบอด มองอะไรไม่เห็น ทำให้ไม่สามารถขยันขันแข็ง สูญเสียความกระตือรือล้น สงบเสงี่ยมเจียมตน ใบหน้านิ่งๆกลับยังคงโหยหา คร่ำครวญ ครุ่นคิดถึงเธอคนรัก
ผมชื่นชอบบทบาทนักเขียน Harry Caine มากกว่าผู้กำกับ Mateo Blanco เพราะมีความลึกลับ น่าค้นหา ใบหน้านิ่งๆแต่ซุกซ่อนบางสิ่งอย่างไว้ภายใน มันดูน่าค้นหามากกว่าการแสดงอารมณ์ออกมาตรงๆเสียอีก!
Penélope Cruz Sánchez (เกิดปี ค.ศ. 1974) นักแสดง โมเดลลิ่ง สัญชาติ Spanish เกิดที่ Alcobendas, Madrid อาศัยอยู่กับคุณยายในอพาร์ทเม้นท์ ตั้งแต่เด็กฝึกฝนเต้นบัลเล่ต์อยู่เก้าปี กระทั่งมีโอกาสรับชม Tie Me Up! Tie Me Down! (1990) ของผู้กำกับ Pedro Almodóvar เปลี่ยนความตั้งใจมาสู่แวดวงการแสดงตั้งแต่นั้น, ตั้งแต่อายุ 15 เริ่มรับงานแสดง Music Video, พิธีกรรายการเด็ก, ถ่ายแบบโมเดลลิ่ง, ภาพยนตร์เรื่องแรก Jamón, jamón (1992) ประกบคู่กับว่าที่สามี Javier Bardem แจ้งเกิดโด่งดังกลายเป็น ‘Sex Symbol’ โดยพลัด, ตามด้วย Belle Epoque (1992), Open Your Eyes (1997), และมีโอกาสร่วมงานผกก. Almodóvar ตั้งแต่ Live Flesh (1997), All About my Mother (1999), โกอินเตอร์ Vanilla Sky (2001), Volver (2006), Vicky Cristina Barcelona (2008) **คว้ารางวัล Oscar: Best Supporting Actress, Broken Embraces (2009), Nine (2009), Pirates of the Caribbean: On Stranger Tides (2011), Parallel Mothers (2021) ฯ
รับบท Magdalena ‘Lena’ Rivero หญิงสาวสวย ไม่ได้ฐานะร่ำรวย บิดาล้มป่วย จึงจำยินยอมขายร่างกายให้ปีศาจ กลายเป็นทาสบำเรอกามมหาเศรษฐี Ernesto Martel ถึงอย่างนั้นเธอปฏิเสธอาศัยอยู่ในกรงทอง/ขุมนรก สำแดงเจตจำนงค์ว่าใฝ่ฝันอยากเป็นนักแสดงภาพยนตร์ของ Mateo Blanco
หลังถูกจับได้ว่าแอบคบชู้นอกใจ Ernesto ทำการผลักตกบันได ได้รับบาดเจ็บสาหัส ถึงอย่างนั้นเธอยังคงดิ้นรน กระเสือกกระสน ต้องการถ่ายทำภาพยนตร์ให้แล้วเสร็จ จากนั้นชักชวนชายคนรักหลบหนี มีความสุขบนเกาะสวาทหาดสวรรค์ เพียงช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนประสบอุบัติเหตุจากไปชั่วนิรันดร์
This is the most difficult role she has played in all her career. She has all those characters inside her. She’s very conscious of her Audrey Hepburn looks, but in that same body, she can look like Sophia Loren did in the 50s – as she showed in Volver.
Pedro Almodóvar
แม้ผกก. Almodóvar จะมองว่าบทบาทของ Curz ในภาพยนตร์ Broken Embraces (2009) คือความท้าทายที่สุดในอาชีพการแสดง(ขณะนั้น) แต่ตัวหนัง/วิธีการนำเสนอไม่ได้ทำให้ผู้ชมเกิดความรู้สึกดังกล่าวสักเท่าไหร่ เหมือนเธอเป็นแค่เพียงตัวประกอบ วัตถุทางเพศ ศูนย์กลางความสนใจของบุรุษสองคน … แต่ไม่ใช่สำหรับผู้ชม
นี่ไม่ใช่ว่า Cruz เล่นไม่ดีหรืออย่างไร ตรงกันข้ามคือโคตรๆเจิดจรัส ทั้งภาพลักษณ์สวมใส่วิกขาวชวนนึกถึง Marilyn Monroe, การแสดงอัดแน่นด้วยอารมณ์ แถมสุดเหวี่ยงขั้วตรงข้าม, แต่ปัญหาคือวิธีการเล่าเรื่อง ตัดสลับกลับไปกลับมาระหว่างอดีต-ปัจจุบัน ทำให้ขาดความต่อเนื่องลื่นไหว และตัวเธอที่ควรจะเป็นศูนย์กลางเรื่องราว กลับเต็มไปด้วยอะไรไม่รู้บ่ายเบี่ยงเบนความสนใจผู้ชม
ความเจิดจรัสของ Cruz มาจากการเก็บกด อดกลั้น เมื่อตอน Volver (2006) ร้องเพลงยังไงไม่ให้ธารน้ำตาไหลหลั่ง, Broken Embraces (2009) คือหลังจากถูกผลักตกบันได แม้ไม่สามารถโต้ตอบอะไร พยายามเก็บกดความรู้สึก ไม่โต้ตอบ ไม่แสดงปฏิกิริยาอารมณ์ เพียงอดรนทน กระเสือกกระสน เฝ้ารอคอยวันเวลาหลบหนีออกจากขุมนรก
(สำหรับผมแล้ว ช็อตสวยสุดของ Penélope Cruz คือขณะแรกพบเจอผู้กำกับ Mateo Blanco แล้วหันมายิ้มเบี้ยวๆอย่างสโลโมชั่น ไม่ถึงขั้น Gilda (1946) แต่ก็น่าประทับใจไม่แพ้กัน)

José Luis Gómez (เกิดปี ค.ศ. 1940) นักแสดงภาพยนตร์/ผู้กำกับละคอนเวที สัญชาติ Spanish เกิดที่ Huelva, ฝึกฝนการแสดงยัง Institute of Dramatic Art, Westphalia (Bochum) แล้วเดินทางไปเรียนการแสดงกับ Jacues Lecoq School (Paris) เริ่มต้นเป็นนักแสดงใบ้ (Mime) ปักหลักทำงานอยู่ West Germany ก่อนหวนกลับ Spain เมื่อปี ค.ศ. 1971 บุกเบิกแวดวงการละคอนเวทีสมัยใหม่ แจ้งเกิดภาพยนตร์โด่งดังกับ Pascual Duarte (1976) คว้ารางวัล Best Actor จากเทศกาลหนังเมือง Cannes, ผลงานเด่นๆ อาทิ Goya’s Ghosts (2006), Broken Embraces (2009), The Skin I Live In (2011) ฯ
รับบทมหาเศรษฐี Ernesto Martel ผู้บริหารอาณาจักรการเงิน Ermar Capital มีความสนใจในเลขานุการสาวสวย Lena Rivero ฉกฉวยโอกาสตอนบิดาล้มป่วย พร้อมช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาล นั่นทำให้เธอจำยินยอมกลายเป็นทาสบำเรอ ไม่ต้องการให้ทำอะไรอื่นนอกจากตอบสนองตัณหาความใคร่ ไม่นานจึงถูกทรยศหักหลัง จับได้คาหนังคาเงาว่าคบชู้นอกใจ ใช้อำนาจบาดใหญ่ พร้อมทำทุกสิ่งอย่างเพื่อไม่ให้สูญเสียเธอไป
Gómez คือนักแสดงรุ่นใหญ่ มากด้วยประสบการณ์ละคอนเวที แม้มีผลงานภาพยนตร์ประปราย แต่ฝีไม้ด้านการแสดงไม่เป็นสองรองใคร! นอกจากภาพลักษณ์นักธุรกิจ มหาเศรษฐี แสร้งทำเป็นคนดี ลับหลังคือปีศาจชั่วร้าย สายตาหึงหวง อิจฉาริษยา พร้อมทำทุกสิ่งอย่างเพื่อครอบครอง เป็นเจ้าของ ผู้หญิงไม่ต่างจากวัตถุทางเพศ เงินทองสามารถซื้อได้ทุกสิ่งอย่าง
แต่สิ่งที่ Ernesto ไม่สามารถซื้อได้คือความรักจากหญิงสาว Lena เพียงละเล่นผีผ้าห่ม ครอบครองเรือนร่างกาย ตอบสนองตัณหาความใคร่ เมื่ออีกฝ่ายทำอะไรไม่ได้ดั่งใจก็พร้อมใช้ความรุนแรง อำนาจบาดใหญ่ ไม่สนถูก-ผิด ดี-ชั่ว เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล … ท้ายที่สุดแม้แต่บุตรชายก็อดรนทนไม่ได้
ถ่ายภาพโดย Rodrigo Prieto Stambaugh (เกิดปี ค.ศ. 1965) ตากล้องสัญชาติ Mexican เกิดที่ Mexico City, สำเร็จการศึกษาด้านการถ่ายภาพจาก Centro de Capacitación Cinematográfica (CCC) โดดเด่นกับการจัดแสง-สีสันสำหรับถ่ายทอดความรู้สึกภายใน ผลงานเด่นๆ อาทิ Amores perros (2000), Frida (2002), 8 Mile (2002), Brokeback Mountain (2005), Babel (2006), Lust, Caution (2007), Broken Embrace (2008), Argo (2012), The Wolf of Wall Street (2013), Silence (2016), The Irishman (2019) ฯ
ด้วยความที่ตากล้องขาประจำ José Luis Alcaine เหมือนจะติดพันโปรเจคอื่น ผกก. Almodóvar เลยตัดสินใจเลือก Rodrigo Prieto ตากล้องชาว Mexican ด้วยเหตุผลประมาณว่า “this movie was going to be colorful, and Mexicans are not afraid of colors when it comes to be visual”
งานภาพใน ‘สไตล์ Almodóvar’ โดดเด่นกับการออกแบบฉาก เสื้อผ้าหน้าผม มีความฟรุ้งฟริ้ง (ภาษากะเทย แปลว่าระยิบระยับ ความสวยงามที่เกินจากความเป็นจริง) ละเลงแสง-สีสัน ลวดลายละลานตา ทุกช็อตฉากล้วนเต็มไปด้วยรายละเอียด ยัดเยียดโน่นนี่นั่น แพรวพราวด้วยลูกเล่นภาพยนตร์
Broken Embrace (2008) ไม่ใช่แค่ลวดลาย แสง-สีสันอันโดดเด่น ยังเป็นผลงานที่มีความหลากหลายในสไตล์การถ่ายภาพ ตากล้อง Prieto เล่าถึงการจัดแสงให้กับ Penélope Cruz มีตั้งแต่แสงธรรมชาติ (Naturalism), หันเข้าหาด้านมืด (Film Noir), สู่ความหรูหราทรงเสน่ห์ (Glamorous) ในสไตล์ Hollywood ยุค 50s ฯ
อีกสิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตได้ ไม่แน่ใจว่ารับอิทธิพลจากการเปลี่ยนตากล้องหรือเปล่า? คือหนังเรื่องนี้มีความช้าลงกว่าผลงานก่อนๆ (ยกตัวอย่าง Volver (2006) เป็นหนังที่มีการขยับเคลื่อนเลื่อนกล้องแทบจะทุกช็อตฉาก มันต้องมีอะไรไม่รู้เกิดขึ้นวุ่นวายไปหมด) บ่อยครั้งตั้งกล้องไว้เฉยๆ หรือขยับเคลื่อนไหลอย่างเชื่องชักช้า เพื่อให้ผู้ชม/ตัวละครซึมซับบรรยากาศโดยรอบ เชยชมความงดงามของทิวทัศน์ หรือปฏิกิริยาตกตะลึงงันของใครบางคน
นอกจากหนังซ้อนหนัง Girls and Suitcases สร้างฉากถ่ายทำยังสตูดิโอ Estudios Barajas, ฉากอื่นๆเลือกใช้สถานที่จริงทั้งหมด ส่วนใหญ่อยู่ภายในกรุง Madrid และบนเกาะ Lanzarote, Canary Islands ใช้เวลาถ่ายทำทั้งหมดสามเดือนกว่าๆ 26 พฤษภาคม – 5 กันยายน ค.ศ. 2008
ภาพแรกของหนังเริ่มจากหญิงแปลกหน้ากำลังทดสอบหน้ากล้อง (เห็นว่าคือ Lighting Doubles คนทดสอบแสงแทนนักแสดง) ก่อนเปลี่ยนมา Lena กำลังเตรียมตัวเข้าฉาก (ทรงผมของ Cruz ชวนนึกถึง Audrey Hepburn) อันนี้เราสามารถมองว่าคือภาพก่อนการถ่ายทำ หรือฟุตเทจแอบถ่ายเบื้องหลังของ Ernesto Martel Jr. ก็ได้กระมัง
I chose these images to begin the film because they are stolen and furtive images that establish cinema as the territory where most of the action will take place. Also because I’m fascinated by the casual scenes that occur in front of the camera in those moments when no one is shooting. I often stand spellbound looking at them.
Pedro Almodóvar

หลังจากฉายภาพฟุตเทจก่อนการถ่ายทำ ภาพถัดมาคือ Extreme Close-Up ดวงตาของหญิงสาวคนหนึ่ง บางคนอาจนึกถึง Un chien andalou (1928) แต่ผกก. Almodóvar บอกว่าอ้างอิงถึง Blade Runner (1982) ดวงตาคือหน้าต่างหัวใจ (ดูคล้ายๆเลนส์กล้องภาพยนตร์) สามารถใช้แทนมุมมองผู้ชมจับจ้องภาพสะท้อน/เรื่องราวของ Mateo Blanco/Harry Caine

ผมแอบรู้สึกว่าผกก. Almodóvar พยายามโปรโมทบทหนัง Madres Paralelas ไข่อีสเตอร์เผื่อว่าจะมีโอกาสสร้างเป็นภาพยนตร์ แต่มันยังต้องใช้เวลาอีกนับทศวรรษก่อนกลายมาเป็น Parallel Mothers (2021) ผลงานส่งให้ Penélope Cruz คว้ารางวัล Volpi Cup for Actress จากเทศกาลหนังเมือง Venice

โดยปกติแล้วเวลาที่ผกก. Almodóvar ถ่ายทำฉาก Sex Scene มันต้องมีความรุนแรง โจ๋งครึ่ม จงใจถ่ายติดอวัยวะเพศ(ทั้งชาย-หญิง) แต่นี่มันอะไรกัน ดูราวกับแอบถ่ายหลังโซฟา กล้องค่อยๆเคลื่อนไหลแนวนอน ราวกับว่าขอไปที One Night Stand (ONS) น้ำแตกแล้วก็แยกทางกัน … มันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆนะแหละ

เมื่อตอนที่ Harry Caine เล่าว่าอยากพัฒนาเรื่องราวชีวประวัติของ Arther Miller (1915-2005) นักเขียนละคอนเวทีชื่อดัง หลังเลิกรากับ Marilyn Monroe แต่งงานใหม่กับ Inge Morath แล้วมีบุตรชายล้มป่วยดาวน์ซินโดรม แต่เขากลับไม่เคยสนใจใยดี ปฏิเสธพบเจอหน้าคาดตา จนกระทั่งวันหนึ่งระหว่าง Miller กำลังพูดเสวนา แล้วบุตรชายคนนี้ขึ้นเวทีไปพูดบอกต่อหน้า “I’m your son Daniel.”
ผมครุ่นคิดอยู่นานว่าเรื่องเล่านี้มีความสัมพันธ์กับหนังอย่างไร? จนกระทั่งพบเห็นวินาทีนี้มีการปรับโฟกัสใกล้-ไกล จากใบหน้าของ Harry Caine สู่ด้านหลัง Judit García ค่อยตระหนักว่ามันย้อนรอยความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสอง ช่วงท้ายของหนังเธอจะเปิดเผยว่า Diego คือบุตรชายของ Harry (เหมือนจะจงใจตั้งชื่อ Diego ให้ละม้ายคล้าย Daniel)

ภาพแรกของ Lena เหตุไฉนเลือกมุมกล้องถ่ายติดเคาน์เตอร์/โต๊ะทำงานบดบังใบหน้าของเธอ? และเจ้านาย Ernesto ตอนโทรศัพท์เรียกหา กล้องถ่ายใต้โต๊ะกระจก เงยขึ้นมาแบบเอียงๆ เฉียงๆ ติดท้องฟ้าด้านหลัง?
นี่เป็นสองภาพที่ดูผิดแผกแปลกประหลาด น่าจะสะท้อนความสัมพันธ์ของทั้งสอง ชนชั้นสูง-ต่ำ
- เลขานุการสาว Lena มาครอบครัวธรรมดาๆ ฐานะไม่ได้ร่ำรวย ชีวิตไม่ได้มีความสลักสำคัญ กล้องจึงถ่ายอะไรสักอย่างให้บดบังใบหน้าของเธอ
- ตรงกันข้ามกับมหาเศรษฐี Ernesto ร่ำรวยล้นฟ้า สถานะถือว่าสูงส่ง สามารถกำหนดชะตาชีวิตผู้คน
โดยปกติแล้วเทวดามักไม่สนหมาวัด แต่เมื่อเธอมีความสวยสะคราญ เชื่อว่าเงินสามารถซื้อได้ทุกสิ่งอย่าง เมื่อหญิงสาว(กลายเป็นหมา)จนตรอก ยินยอมทำทุกสิ่งอย่างเพื่อครอบครัว จึงจำยินยอมเสียสละตนเอง


หลังจากบิดาแอดมิทเข้าโรงพยาบาล หมดห่วงเรื่องภาระค่าใช้จ่าย ภาพขณะนี้ที่ Lena (และ Ernesto) กำลังก้าวเดินจากมารดา ชวนนึกถึงภาพยนตร์ All About My Mother (1999) ที่บุตรชายออกวิ่งติดตามรถแท็กซี่เพื่อขอลายเซ็นต์นักแสดง Huma Rojo คือมันสร้างสัมผัสเดียวกันคือการก้าวสู่หายนะ … ในบริบทของหนังคือ Lena จำยินยอมขายเรือนร่างกายให้ปีศาจ Ernesto และจบซีนนี้ด้วยการ Fade-to-Black
ปล. ซีนนี้คือจุดจบการย้อนอดีตครั้งแรก Lena (และ Ernesto) ก้าวเดินจากไป ซึ่งพอตัดกลับมาปัจจุบันจะพบเห็น Mateo กำลังก้าวเดินเข้าหากล้อง … นี่คือการสร้างสัมผัสภาพยนตร์ ก้าวจากไป → ก้าวเข้าหากล้อง

การมาถึงของ Ray X อ้างว่าตนเองคือผู้กำกับหน้าใหม่ พยายามร้องขอให้ Harry Caine ช่วยพัฒนาบทหนัง บลา บลา บลา แต่สิ่งน่าสนใจคือช็อตนี้ โดยปกติแล้วผมเคยพบเห็นสไตล์หนังนัวร์ที่เงามืดอาบฉาบครึ่งหนึ่งใบหน้า ทว่าคราวนี้กลับเป็นแสงสว่างสาดส่องเข้ามา … มันอาจเพราะตัวละครสายตามืดบอด มองอะไรไม่เห็น การมาถึงของ Ray X (รังสี X คือการฉายแสง/คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเข้าไปในร่างกาย) ราวกับแสงสว่างที่ทำให้เขาหวนระลึกถึงอดีต ความทรงจำที่พยายามเก็บฝัง ซ่อนเร้น จึงเริ่มตระหนักว่าหมอนี่คือใคร เข้าใจเหตุผลการร่วมงานโดยพลัน!

ภาพนี้ก็น่าสนใจ เพราะสิ่งที่ Ray X กำลังพูดเล่าเบลอๆอยู่ด้านหลัง โดยไม่รู้ตัวสะท้อนเข้ากับ Diego แม้ตอนนี้ยังไม่รับรู้ว่าใครคือบิดา แต่ก็มีความโหยหา อยากรับรู้ความจริงจากมารดา … Ray X กับ Diego ต่างมีบิดาที่ไม่เคยสนใจใยดี แต่ความแตกต่างก็คือ
- Ray X รับรู้ว่าบิดาตนเองคือใคร แต่อีกฝ่ายปล่อยปละเลย ไม่เคยสนใจใยดี เพียงขี้ข้ารับใช้แล้วทิ้ง
- Diego ไม่รับรู้ว่าบิดาคือใคร เลยปฏิบัติต่อ Harry Caine ราวกับบิดาแท้ๆ, ขณะเดียวกัน Harry ซึ่งก็ไม่รับรู้ว่า Diego คือบุตรของตนเอง ยังแสดงออกความรัก เอ็นดูห่วงใย พึ่งพาอาศัย ทะนุถนอมน้ำใจกัน

หลายคนคงตราตะลึงกับความงดงามของ Penélope Cruz เสื้อผ้าหน้าผม สวมใส่เครื่องประดับราวกับราชินีสูงส่ง แต่ผมกลับเต็มไปด้วยความหวาดสะพรึง มองเห็นสร้อยทองราวกับโซ่ตรวน ผูกพันธนาการ เธอกลายเป็นนกในกรงทอง ทาสบำเรอกาม ชีวิตต่อจากนี้ไม่มีวันดิ้นหลุดพ้นเงื้อมมือของมหาเศรษฐี Ernesto … ความหรูหรา มันเป็นเพียงภาพมายา สุขครั้งคราวก่อนจมปลักอยู่ในความทุกข์ชั่วนิรันดร์

Ray X ในห้องที่มีผู้ชายอีกคนกำลังติดกระดุม สวมใส่เสื้อผ้า และภาพวาดปีนสามกระบอก แดง-ดำ-ขาว น่าจะผลงานของ Andy Warhol (ปืนคือสัญลักษณ์แทนอวัยวะเพศชาย) องค์ประกอบเหล่านี้น่าจะทำให้หลายคนตระหนักว่าชายคนนี้มีรสนิยมรักร่วมเพศ (Homosexual) เพิ่งวางโทรศัพท์จากอดีตภรรยาตั้งครรภ์ … นี่ก็พล็อตเดิมๆพบเจอบ่อยครั้งในหนังของผกก. Almodóvar
เหตุผลที่ Ray X มีรสนิยมรักร่วมเพศ ชัดเจนว่าเพราะโหยหาความรักจากบิดา แต่ไม่เคยได้รับความรู้สึกใดๆตอบแทน เลยเต็มไปด้วยความเก็บกด อดกลั้น ชื่นชอบความเจ็บปวดทางประตูหลัง … ความเห็นแก่ตัวของบิดา ส่งผลกระทบต่อบุตรชาย ‘fuck up’ ไม่แตกต่างกัน

สำหรับคนที่เป็นนักเขียน หรือทำงานเกี่ยวกับการพล็อตเรื่องราว (บทละคอน/ภาพยนตร์) ผกก. Almodóvar ได้นำเสนอสิ่งเล็กๆที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจ Diego พบเห็นป้ายประกาศชักชวนให้บริจาคเลือด พูดคุยเล่นๆ ครุ่นคิดเพลินๆ โดยไม่รู้ตัวสามารถพัฒนากลายเป็นบทหนัง … เฉกเช่นเดียวกับ Broken Embraces (2009) ที่ก็มีจุดเริ่มต้นจากภาพถ่ายหนึ่ง ก่อนขยับขยายกลายเป็นภาพยนตร์หนึ่งเรื่อง

เมื่อตอนที่ Diego เป็นลมล้มพับ (เพราะพลั้งพลาดเสพยาเกินขนาด) ระหว่างรถฉุกเฉินนำส่งโรงพยาบาล มีขณะหนึ่งที่ร่างกายของเขาอาบฉาบแสงสว่างอันเจิดจร้า มันดูราวกับว่าสัมผัสแห่งความตาย หรือจะมองในทิศทางตรงกันข้าม สัมผัสจากสรวงสวรรค์ … เอาว่ามันคือประสบการณ์เฉียดตาย
ซึ่งพอ Harry Caine รับรู้เหตุการณ์บังเกิดขึ้น เร่งรีบเดินทางไปโรงพยาบาล พอลงจากรถก็ไม่รู้จะดำเนินไปทิศทางไหน (มองในเชิงสัญลักษณ์ถึงการสูญเสีย Diego คงทำให้ชีวิตของ Harry ไปต่อไม่ถูก ไม่รู้จะทำอะไรยังไง) โชคดีว่ามีคนคอยช่วยเหลือนำทางสู่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์


Diego พอฟื้นคืนสติขึ้นมา พบเห็น Harry Caine นั่งเฝ้าไข้อยู่เคียงข้าง ตัดสินใจสอบถามความสัมพันธ์ระหว่างมารดากับ Ray X กล้องเคลื่อนไหลกลับไปกลับมาระหว่าง Diego กับ Harry (มันจะมีปรับโฟกัสใกล้-ไกลด้วยนะ) เหมือนเป็นการเผชิญหน้า ถึงเวลาต้องพูดบอกเบื้องหลังความจริงออกมา

ห้องทำงานของผู้กำกับ Mateo Blanco เต็มไปด้วยสิ่งน่าสนใจมากมาย เท่าที่ผมพอหาข้อมูลได้ อาทิ
- ภาพถ่ายนักแสดง Joan Collins, Gena Rowlands, Bette Davis, ศิลปิน Madonna
- ภาพวาดนักเต้น Flamingo, Big Eye (ของ Margaret Keane), Alba (ของ Francesco Clemente)


ตอนออกจากห้องทำงาน ฝั่งขวามือตรงประตูจะมีโปสเตอร์ Madres Paralelas หรือก็คือ Parallel Mothers บทหนังที่พบเจอมาตั้งแต่ตอนต้นเรื่อง เหมือนต้องการสื่อว่านี่เป็นสิ่งที่ตัวละคร/ผกก. Almodóvar พัฒนาเอาไว้นานแล้ว อยากนำมาสร้างโปรเจคถัดไป แต่ก็ไม่รู้ติดขัดปัญหาอะไร

ภาพแรกที่ถ่ายคฤหาสถ์ของมหาเศรษฐี Ernesto Martel สังเกตว่ากล้องค่อยๆเคลื่อนเลื่อนแนวดิ่ง (↑) ขึ้นจากรั้วบ้าน ราวกับต้องการสื่อว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ต่างจากเรือนจำ คุกคุมขัง กรงทองของ Lena
ส่วนฉากภายใน กล้องเคลื่อนเลื่อนแนวนอนจากขวามาซ้าย (←) พานผ่านภาพกระบอกปืนของ Andy Warhol (สัญลักษณ์ของนักล่า ผู้มีอำนาจบาดใหญ่) มาถึงยังห้องอาหารที่มีรูปภาพแอปเปิ้ลขนาดใหญ่ (ชื่อภาพ Apple) ผลงานของ Juan Bautista de Espinosa (1590-1641) จิตรกรชาว Spanish แห่งยุคสมัย Spanish Baroque … แอปเปิ้ลคือผลไม้ต้องห้ามในสวนอีเดน ในบริบทนี้อาจสื่อถึงการที่ Lena ใฝ่ฝันอยากเป็นนักแสดง (ลิ้มรสแอปเปิ้ล) กระทำสิ่งขัดต่อความต้องการของ Ernesto อันจะนำสู่หายนะติดตามมา


In the scene where she wears a white wig, she reminds me absolutely of the desolation of beauty in Marilyn Monroe. Penélope was tired that day. She was smiling like a model, but her eyes were sad and tired. I feel she is the perfect material that I can shape into all the different women I can imagine.
Pedro Almodóvar
หลายคนอาจมัวแต่จับจ้องความเจิดจรัสของ Penélope Cruz เมื่อสวมใส่วิกผมขาว ดูราวกับ Marilyn Monroe สวยบริสุทธิ์ไร้เดียงสา มักเป็นสัญลักษณ์ของการปลอมตัว สวมบทบาท กลายร่างเป็นคนอื่น ซึ่งด้านหลังของ Lena จะพบเห็น Judit กำลังก้าวเดินเข้ามา … นี่สามารถสื่อถึง Lena คือตัวตายตัวแทนของ Judit (คนรักใหม่ของ Mateo)
ปล. เหตุผลที่ Judit ไม่ค่อยชอบ Lena เพราะความอิจฉาริษยาล้วนๆ ฉันมาก่อน พร้อมยินยอมเสียสละทุกสิ่งอย่างให้ Mateo แต่วันนี้เขากลับเลือกเธอ ใครกันจะอดรนทนไหว

Girl and Suitcases ก็คือหนังซ้อนหนัง (Film within Film) ที่ถ้าคุณเคยรับชม Women on the Verge of a Nervous Breakdown (1988) ย่อมมักคุ้นกับหลายๆสิ่งอย่าง แต่ก็มีการปรับเปลี่ยนเนื้อหาให้สอดคล้องเข้ากับเหตุการณ์ต่างๆในหนัง รวมถึงถ่ายทำเบื้องหน้า-หลัง และเบื้องหลังการถ่ายทำ (ฟุตเทจของ Ernesto Martel Jr.) … อาจจะเรียกว่า เบื้องหลังซ้อนเบื้องหลัง ก็ได้กระมัง?
I won’t deny that Girl and Suitcases is freely based on Women on the Verge of a Nervous Breakdown. But it isn’t a self-homage, I hope no one interprets it like that. When I was writing the script I decide that Mateo Blanco would be filming a comedy because it is the opposite genre to the drama the protagonists are living. In that way their problems would take on greater relevance, and the efforts, for example, by Lena to achieve the light, sparkling tone that comedy demands are more obvious and pathetic. I only need three or four sequence of Girls and Suitcases to act as background to the main story and I though the best thing was to adapt some of my own material in which I could move with total freedom.
Pedro Almodóvar
เกร็ด: ฉากตรงระเบียงอพาร์ทเม้นท์ (ใน Girl and Suitcases) ไม่รู้ด้วยความตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจ แต่ใช้สถานที่/โรงถ่ายเดียวกับตอนถ่ายทำภาพยนตร์ Women on the Verge of a Nervous Breakdown (1988)
ด้วยความที่ผกก. Almodóvar ถ่ายทำ Girl and Suitcases เพิ่มเติมไว้หลายฉาก แต่ไม่สามารถยัดเยียดทุกสิ่งอย่างเข้าไปใน Broken Embraces (2009) จึงรวบรวมนำมาทำเป็นหนังสั้น La concejala antropófaga (2009) แปลว่า The Cannibalistic Councillor ความยาว 8 นาที อยู่ในของแถม (Special Feature) แผ่น DVD/Blu-Ray


ใครเคยรับชม Women on the Verge of a Nervous Breakdown (1988) ก็น่าจะมักคุ้นกับ Gazpacho คือซุปมะเขือเทศเย็นใส่ยานอนหลับ ซึ่งตัวละครของ Carmen Maura (รับบทแทนโดย Penélope Cruz) เตรียมไว้สำหรับเข่นฆ่าสามี … ในบริบทของหนังคงประมาณว่า Lena ใฝ่ฝันอยากจะเข่นฆ่าสามี Ernesto

Sex Scene ในหนังของผกก. Almodóvar มันต้องเร่าร้อน รุนแรงแบบซีนนี้แหละ พอถ่ายทำเสร็จ ปิดประตูล็อกห้อง ชาย-หญิงทั้งสองก็ถามโถมเข้าใส่ กอดจูบลูบไล้ ถอดเสื้อผ้า ตรงไปตรงมา ไม่มีอะไรต้องปกปิดบัง

ความตั้งใจของผกก. Almodóvar คือให้ผู้ชมเกิดความฉงนสงสัย ลองคาดเดาดูสิว่า Lena ร่วมรักกับใคร? แต่ทว่า Sex Scene ภายใต้ผืนผ้าห่ม มันย้อนรอยกับ(Harry Caine ร่วมรักสาวแปลกหน้า)บนโซฟา พยายามปกปิดซ่อนเร้น ไม่อยากเปิดเผยว่าตัวละครกำลังทำอะไร … มันชัดเจนว่า Lena ไม่ได้อยากร่วมรักกับ Ernesto

สังเกตจากเสื้อผ้าหน้าผมของ Lena ระหว่างกำลังถ่ายทำ Girls and Suitcases นี่คือซีนปรากฎขึ้นตอนเริ่มต้นหนัง หลังสุดสัปดาห์แห่งความสิ้นหวังกับ Ernesto (เลือนลางระหว่างชีวิตจริง & ภาพยนตร์ถ่ายทำ) ระบายอารมณ์ด้วยการเขวี้ยงขว้างสิ่งข้าวของลงจากอพาร์ทเม้นท์ แล้วพนักงานหญิงสูงวัยนำเอาสิ่งเหล่านั้นมาส่งมอบคืนแก่เธอ
เกร็ด: คุณยาย Chus Lampreave (1930-2016) คือหนึ่งในนักแสดงขาประจำของผกก. Almodóvar ร่วมงานกันมาตั้งแต่ Dark Habits (1983) มาจนถึงเรื่องสุดท้ายนี้ Broken Embraces (2009)

Ernesto ดวงตาพองโตเมื่อพบเห็นภาพภรรยาน้อย Lena นอกใจตนเองกับ Mateo พอภาพบนโปรเจคเตอร์มืดดับ กล้องปรับโฟกัสมาที่ด้านหลัง สภาพจิตใจของเขาคงกำลังจมปลักอยู่ในความมืดมิด

Ernesto Martel Jr. ได้รับมอบหมายจากบิดาให้ถ่ายทำเบื้องหลัง Lena ระหว่างถ่ายทำภาพยนตร์ แต่สิ่งที่เจ้าตัวทำอยู่นี้ไม่แตกต่างจาก Peeping Tom (1960) คือการแอบถ่าย บันทึกภาพที่อีกฝ่ายไม่ต้องการให้พบเห็น ซึ่งหนังยังมีการตัดสลับกลับไปกลับมาระหว่างเหตุการณ์บังเกิดขึ้น (มุมมองบุคคลที่สาม) กับฟุตเทจบันทึกไว้ (มุมมองบุคคลที่หนึ่ง)


Lena เดินทางกลับมาคฤหาสถ์ของ Ernesto พบเห็นกำลังรับชมฟุตเทจที่บุตรชายถ่ายทำเอาไว้ สังเกตภาพช็อตนี้มีการใช้ Split-Focus Diopter พบเห็นภาพระยะใกล้-ไกลมีความคมชัดเท่ากัน ส่วนเสียงที่โดยปกติต้องใช้นักอ่านริมฝีปาก (Lip Reader) มาคราวนี้ Lena ที่อยู่ด้านหลังให้เสียงพากย์ด้วยตนเอง พูดบอกความต้องการอย่างตรงไปตรงมา
เกร็ด: ผกก. Almodóvar ได้แรงบันดาลการอ่านริมฝีปากจากตอนรับชมงานแต่งงานของ Prince Felipe VI กับ Letizia Ortiz Rocasolano เมื่อปี ค.ศ. 2004 แล้วสถานีโทรทัศน์ Telecinco มีการว่าจ้างนักอ่านปาก (Lib Reader) ให้อ่านคำสนทนาของเจ้าชายและเจ้าหญิงบนแท่นปรัมพิธี

ระหว่างที่ Lena เดินกลับขึ้นห้อง ผนังด้านซ้ายมือพบเห็นภาพวาดสีน้ำมัน Nu bleu, Souvenir de Biskra (1907) แปลว่า Blue Nude (Souvenir de Biskra) ของ Henri Matisse … ชื่อภาพเปลือยสีน้ำเงิน แต่ทว่า Lena สวมใส่ชุดสีแดง นั่นอาจแปลว่าเธอไม่ยินยอมเป็นวัตถุทางเพศของ Ernesto อีกต่อไป


พอเข้ามาในหัองพัก บริเวณหัวเตียงของ Lena มีภาพวาด Je t’aime (แปลว่า I Love You) ของ Robert Motherwell (1915-91) จิตรกร Abstract Expressionist สัญชาติอเมริกัน, แต่สังเกตจากลวดลายสีสัน มันดูราวกับเปลวเพลิง มอดไหม้ ไฟราคะที่พร้อมทำลายล้างทุกสิ่งอย่าง


ระหว่างที่ Lena อยู่ในห้องนอน ได้ยินเสียงฝีเท้าของ Ernesto ก้าวเดินเข้ามา นี่เป็นการสร้างบรรยากาศลุ้นระทึก (Suspense) กลิ่นอายหนังนัวร์ (Film Noir) หมาเศรษฐีคนนี้มันต้องครุ่นคิดจะทำอะไรบางอย่าง อารัมบทหายนะกำลังคืบคลานเข้ามา
The scene of Ernesto’s feet, walking up to and the away from the door of the room where Lena is, followed by the scene on the staircase are definitely ‘noir’. After an hour’s narrative, the scene on the staircase reveals the genre to which the film belongs, and that sensation of blackness dosn’t leave us until the end.
Pedro Almodóvar

Ernesto นั่งอยู่ในความมืดมิดก่อนจะเปิดโคมไฟเมื่อ Lena เดินมากล่าวคำอำลา แต่ระหว่างเธอกำลังจะเดินลงบันได ถูกเขาผลักไส ม้วนกลิ้งตกลงมาเบื้องล่าง ได้รับบาดเจ็บสาหัส (ทั้งกาย-ใจ)
ผมแอบผิดหวังเล็กๆกับฉากนี้ เพราะคาดหวังว่าจะทำแบบ Psycho (1960) นำเสนอผ่านมุมมองบุคคลที่สองขณะกลิ้งตกบันได แต่สไตล์ของผกก. Almodóvar ไม่ได้จะทำการ ‘romantize’ ความรุนแรงขนาดนั้น การเลือกใช้ God’s Eye View ถ่ายภาพจากมุมสูงก้มลงมา คงต้องการสื่อถึงการสำแดงอำนาจบาดใหญ่ของผู้อยู่เบื้องสูง และในทิศทางกลับกันยังคือการตกจากสรวงสวรรค์ของ Lena


ภาพถัดมาหลังถูกผลักตกลงบันได แม้ไม่มีเลือดไหลแต่ชุดสีแดงของ Lena แทนความเจ็บปวดรวดร้าว สังเกตว่ามีเงาที่ดูราวกับซี่กรง สื่อถึงการถูกคุมขัง (ในกรงทอง) ไม่มีทางดิ้นหลบหนีจากเงื้อมมือของ Ernesto ยืนมองอยู่เบื้องบนบันได กล้องถ่ายมุมเงยสำแดงถึงอำนาจ ความสูงส่ง เมื่อได้ครอบครองสิ่งใด ก็ปฏิเสธสูญเสียเธอไป
จากนั้น Ernesto อุ้มพา Lena ขึ้นรถไปโรงพยาบาล ทำราวกับความปกติทั่วไป ทำหน้านิ่งๆ ไม่มีการแสดงอารมณ์ หรือเรียกร้องอะไร แต่นั่นคือความอำมหิต เลือดเย็น เพราะฝ่ายหญิงไม่สามารถโต้ตอบขัดขืน กลายเป็นลูกไก่ในกำมือ จนกว่าร่างกายจะหายดี ไม่มีทางหลบหนีไปจากปีศาจตนนี้!


พอมาถึงโรงพยาบาลมีการฉายภาพ X-Ray โครงกระดูก นั่นสามารถสื่อถึงภายใน(ร่างกาย)ของ Lena ที่เต็มไปด้วยร่องรอยแตกร้าว … ในบริบทของหนังก็คือการถูก Ernesto กระทำร้ายทั้งภายนอก-ใน ร่างกาย-จิตใจ
มันจะขณะที่ Lena ลุกขึ้นจากเตียง X-Ray กล้องถ่ายจากแนวตั้ง แล้วหมุน 90 องศา เป็นการสื่อถึงมุมมองตัวละครที่ผันแปรเปลี่ยนไป จากเคยครุ่นคิดว่าตนเองสามารถเลิกราหย่าร้าง หลบหนีจากเงื้อมมือของ Ernesto แต่เหตุการณ์บังเกิดขึ้นเมื่อค่ำคืน (ถูกผลักตกบันได) ทำให้เธอต้องมองหาหนทางออกใหม่ หมอนี่ชั่วร้าย/อันตรายกว่าที่คิดไว้


แม้ได้รับบาดเจ็บสาหัส Lena ยังคงยืนกรานว่าต้องการถ่ายทำภาพยนตร์ให้แล้วเสร็จสิ้น ซึ่งหนึ่งในฉากทำการแสดง ตัวละครของ Rossy de Palma (ใครเคยรับชม Women on the Verge of a Nervous Breakdown (1988) ก็น่าจะมักคุ้นเธอผู้มีใบหน้าเหมือนภาพวาด Picasso รับประทาน Gazpacho แล้วนอนหลับฝันเปียก) ทำการผลักเธอตกบันได นี่อาจเรียก Déjà-Vu เลือนลางระหว่างชีวิตจริง-การแสดง

ระหว่างการตัดต่อหนัง จะมีการฉายภาพถอยหลัง (Reverse Motion) คล้ายๆกับการกรอเทป (คนสมัยนี้อาจไม่รู้จักแล้วกระมัง) ผมไม่ค่อยแน่ใจจุดประสงค์ของซีนนี้สักเท่าไหร่ อาจจะสื่อถึงความสัมพันธ์ถดถอยหลัง (Setback?) Ernesto พยายามฉุดเหนี่ยวรั้ง กระทำร้ายร่างกาย Lena ทำให้เธอไม่สามารถหนีตามไปกับ Mateo ได้ตามแผนวางไว้?
บันไดวนเมื่อตอน Mateo ลงมาหา Lena ถูกสามีกระทำร้ายร่างกายเลือดอาบ นี่ก็นัยยะเดียวกับการฉายภาพถอยหลัง (Reverse Motion) คือการเวียนวน จากบนลงล่าง หวนกลับสู่จุดเริ่มต้น


Lena และ Mateo พากันหลบหนีสู่เกาะ Lanzarote, Canary Islands ตั้งอยู่ทางตะวันออกสุดของ Canary Islands ในมหาสมุทร Atlantic อยู่ห่างจากชายฝั่งของทวีปแอฟริการาว 125 กิโลเมตร (78 ไมล์) และห่างจากคาบสมุทร Iberian Peninsula ราว 1,000 กิโลเมตร (621 ไมล์) มีพื้นที่ครอบคลุม 845.9 ตารางกิโลเมตร เป็นเกาะใหญ่อันดับ 4 ของประเทศ Spain ตั้งชื่อตามนักสำรวจชาวเจนัว Lancelotto Malocello ค้นพบเมื่อปี ค.ศ. 1336, และระหว่างปี ค.ศ. 1730-36 เกาะแห่งนี้ได้เกิดภูเขาไฟปะทุระเบิด นั่นคือเหตุผลที่บริเวณโดยรอบมีร่องรอยลาวา เขม่าควัน หาดทรายสีดำ ซึ่งมักถูกมองว่าคือสัญลักษณ์ของชีวิต-ความตาย คล้ายๆปากหุบเหวขุมนรก
ผกก. Almodóvar ตั้งแต่เมื่อครั้นเดินทางมาท่องเที่ยวเกาะแห่งนี้ บังเกิดภาพติดตราฝังใจ โดยเฉพาะหาดทรายดำซึ่งตรงข้ามกับสไตล์ของตนเองที่เต็มไปด้วยสีสัน ทำให้ผลงานตั้งแต่ก้าวสู่สหัสวรรษใหม่ เริ่มมีความมืดหมองหม่นลง
In my youth I’d been trapped by the technicolor of the Caribbean, my trip to Lanzarote first developed my fascination for black and the more somber semitones of red, green, brown and grey.
Pedro Almodóvar
ผมรู้สึกว่าผกก. Almodóvar พยายามจะเลียนแบบภาพถ่ายที่คือจุดเริ่มต้น/แรงบันดาลใจของหนัง หนุ่มสาวโอบกอดจูบท่ามกลาง Golfo Beach ผมนำทั้งสองภาพมาเปรียบเทียบให้เห็นชัดๆ ฝั่งคนแสดงกล้องแพนนิ่งจากซ้ายไปขวา ส่วนภาพนิ่งเคลื่อนจากบนลงล่าง


Viaggio in Italia (1954) แปลว่า Journey to Italy กำกับโดย Roberto Rossellini, นำแสดงโดย Ingrid Bergman & George Sanders, เรื่องราวเกี่ยวกับคู่รักชาวอังกฤษที่ใกล้จะเลิกรา เดินทางมาท่องเที่ยวอิตาลี หนึ่งในนั้นคือเมือง Pompeii อาณาจักรสุดยิ่งใหญ่ในอดีตที่ล่มสลายเพราะการปะทุของภูเขาไฟ Mount Vesuvius … ช่างละม้ายคล้ายเกาะเรื่องราวของเกาะ Lanzarote, Canary Islands

สถานที่แห่งนี้คือ Famara Beach ชายหาดตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะ Lanzarote ทอดยาวกว่า 5 กิโลเมตร เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานธรรมชาติ Chinijo Archipelago โด่งดังในเรื่องทรายสีทอง และหน้าผาสูงตระหง่านด้านหลัง
Mateo & Lena นั่งอยู่ริมหาด รายล้อมรอบด้วยก้อนหิน ดูราวกับสถานที่หลบภัย แต่พอเขาอ่านหนังสือพิมพ์ พบเห็นโปสเตอร์โปรโมทภาพยนตร์ Girls and Suitcases อ่านเจอคำวิจารณ์แรก “Diaster” นั่นคือฝันร้ายของคนเป็นผู้กำกับเลยก็ว่าได้ ตระหนักว่าต้องเป็นแผนการของ Ernesto เพื่อแก้แค้นเอาคืนอย่างสาสม
แซว: ในหนังซ้อนหนัง Girls and Suitcases เราอาจไม่เคยเห็นตัวละครของ Lena กับกระเป๋าเดินทาง นอกเสียจากโปสเตอร์ในหนังสือพิมพ์ และการเดินทางมายังเกาะ Lanzarote ก็คงแพ็กกระเป๋ามาด้วยกระมัง


Mateo พยายามโทรศัพท์ติดต่อหา Judit แต่ไม่มีใครรับสาย สังเกตว่าเขายืนอยู่ระหว่างภาพสองภาพ
- ภาพซ้าย (ที่ Lena ยืนบดบัง) เท่าที่ผมหาข้อมูลพบเจอคือผลงานของ César Manrique เป็นรูปวาดผลไม้ Abstract วางอยู่บนโต๊ะ
- ส่วนภาพขวาน่าจะคือทิวทัศน์ชายหาด Famara Beach
นั่นแสดงว่า Mateo กำลังยืนอยู่ท่ามกลางโลกสองใบ (ภาพวาด Abstract vs. ภาพถ่ายธรรมชาติ) ไม่รู้จะหาหนทางออกยังไง แต่ก็แอบบอกใบ้หันหลังให้คนรัก เขาเลือกที่จะหวนกลับไปเผชิญหน้า(โลก)ความจริง

เมื่อไม่สามารถติดต่อใครได้ Mateo & Lena เลยตัดสินใจขับรถกลับกรุง Madrid พอมาถึงสี่แยกที่มีศิลปะโมบาย (Wind Mobile Sculpture) ของ César Manrique (1919-92) ตัดไปภาพถ่ายจากเบาะหลัง แสงจากหน้ารถทำให้พบเห็นทั้งสองจุมพิตท่ามกลางความมืดมิด นี่เป็นการแอบบอกใบ้หายนะ จูบลา ความตาย กำลังจะถูกรถอีกคันพุ่งชน
เมื่อตอนเดินทางมาถึงเกาะ Lanzarote ทั้งสองก็ขับรถผ่านสี่แยกที่มีประติมากรรมชิ้นนี้ ก็เท่ากับว่าเป็นสัญลักษณ์ของการมาถึง-ลาจาก พบเจอ-พลัดพราก ชีวิต-ความตาย เหมือนงานศิลปะโมบาย เคลื่อนหมุนวงกลม ไม่ต่างจากวัฏจักรชีวิต
เกร็ด: César Manrique คือศิลปิน นักออกแบบศิลปะจลนศาสตร์ (Kinetic Art) ที่สามารถขยับเคลื่อนไหวได้เองด้วยพลังงานจลน์ ซึ่งในกรณีของประติมากรรมที่อยู่รอบเกาะ Lanzarote ล้วนเกิดจากพลังงานลม (อยู่บนเกาะก็ต้องลมแรงเป็นธรรมดา)

คำพูดประโยคแรกหลังฟื้นตื่นขึ้นจากอุบัติเหตุคือ “Mateo is dead.” เรียกร้องขอให้ Judit เรียกเขาว่า Harry Caine ซึ่งปฏิกิริยาดูเธอไม่ค่อยเต็มใจสักเท่าไหร่ แต่หลังแวะเวียนไปยังบังกาโลของเขาที่ชายหาด Famara พบเห็นภาพถ่าย(ของ Mateo และ Lena)ถูกฉีกขาดไม่เหลือชิ้นดีในถังขยะ จึงกล้ำกลืนฝืนใจ ตะโกนเรียกชื่อ Harry Caine
ภาพที่ Harry Caine ยืนอยู่ตรงชายหาด Famara แม้เขามองอะไรไม่เห็น แต่มันเป็นภาพติดตราฝังอยู่ในความทรงจำ สถานที่ที่มีเพียงเธอและฉัน เราสองครองรักกันชั่วนิรันดร์


หวนกลับมาปัจจุบัน Diego พยายามจะแปะติดปะต่อภาพถ่ายที่ถูกฉีดขาด นำมาวางเรียงราย กระจัดกระจาย นี่อาจเรียกว่าจิ๊กซอว์ความทรงจำ ซึ่งสะท้อนเข้ากับตัวเขาที่พยายามประกอบเรื่องเล่าในอดีต หาข้อสรุปเหตุการณ์เคยบังเกิดขึ้น … ขณะนี้ภาพถ่าย Mateo & Lena ที่อยู่เบื้องหน้า Diego เหลืออีกไม่กี่ชิ้นก็จะเต็มรูป

Harry Caine อยากได้ยินเสียง Jeanne Moreau จากภาพยนตร์ Elevator to the Gallows (1960) กำกับโดย Louis Malle นี่น่าจะหมายถึงฉากแรกของหนังที่เธอคุยกับโทรศัพท์กับชู้รัก มีการพรอดคำหวาน และเรียกร้องให้เขารีบทำธุระให้เสร็จ ฆ่าปิดปากสามีเจ้าของบริษัท แล้วจะได้ฮุบสมบัติ เราสองครองรักกันอย่างสุขสบาย
ระหว่างที่ Diego กำลังค้นหาแผ่นหนัง มีการกล่าวเอ่ยถึง Fritz Lang, Jules Dassin, Nicholas Ray, Fanny and Alexander (1982) กำกับโดย Ingmar Bergman, 8½ (1963) กำกับโดย Federico Fellini และ Magnificent Obsession (1954) กำกับโดย Douglas Sirk

ยังไม่ทันจะเปิดรับชม Elevator to the Gallows (1960) ภาพยนตร์ในโทรทัศน์กำลังฉาย Girls and Suitcases ซึ่งแม้ Mateo ตาบอดมองไม่เห็น แต่แค่ได้ยินเสียงเขาก็สามารถบอกว่ามันผิดเพี้ยนจากความตั้งใจ … อันนี้ผมก็ไม่รู้ว่ามันผิดเพี้ยนจากปกติยังไง คงมีการตัดต่อบทพูดให้กระโดดไปกระโดดมาจนขาดความลื่นไหลต่อเนื่อง กระมังนะ?

เหตุผลที่ Judit ยินยอมให้ Ernesto ทำลายฟีล์มหนัง Girls and Suitcases เหตุผลหนึ่งเพราะความอิจฉาริษยา ไม่พึงพอใจที่ชายคนรักหนีตามไปกับชู้คนอื่น, อีกเหตุผลหนึ่งคือบุตรชาย Diego ขณะนั้นล้มป่วยโรคเชื้อราในปอด (Aspergillosis) Ernesto พร้อมจ่ายค่าปิดปากให้เดินทางไปรักษาตัวที่สหรัฐอเมริกา
แซว: Blanca Portillo เมื่อตอนเล่นหนัง Volver (2006) รับบทตัวละครล้มป่วยมะเร็ง ปฏิเสธเดินทางไปรักษาที่สหรัฐอเมริกา, มาเรื่องนี้เปลี่ยนมาเป็นบุตรชายล้มป่วย ยินยอมรับค่าปิดปาก พาเขาไปรักษาตัวที่สหรัฐอเมริกา

หลังสารภาพเหตุการณ์เมื่อ 14 ปีก่อน Judit ขับรถพา Harry Caine มาส่งที่บ้าน แต่เขาขอเดินลงบันได ต้องการไปต่อเอง พานผ่านเงามืด และช็อตจากมุมมอง Judit พบเห็นเขาก้าวเดินจากไป มันเป็นความรู้สึกแบบเดียวกับตอนที่มารดาของ Lena จับจ้องมองบุตรสาวก้าวเดินไปพร้อมกับ Ernesto เศร้าๆ เหงาๆ ราวกับกำลังจะสูญเสียอีกฝ่ายไปชั่วนิรันดร์

Harry Caine ติดต่อหา Ray X/Ernesto Martel Jr. ยินยอมตอบตกลงร่วมงาน อีกฝ่ายเลยมอบฟุตเทจสุดท้าย วินาทีความตาย จุมพิตสุดท้ายของ Mateo & Lena แม้เขาจะมองไม่เห็น กลับพยายามเอื้อมมือสัมผัส แต่สื่อภาพยนตร์ฉายบนจอโทรทัศน์ มันเป็นสิ่งจับต้องไม่ได้ แบบเดียวกับความทรงจำเลือนลาง อดีตพานผ่าน เพียงม้วนฟีล์ม ไฟล์ดิจิตอล คือหลักฐานความสัมพันธ์ระหว่างเราสอง

ระหว่างรับชมผมไม่ได้เอะใจสองฉากนี้เลยนะ จนกระทั่งอ่านพบเจอบทสนทนาระหว่าง Paul Thomas Anderson และ Pedro Almodóvar พูดคุยกันเรื่องอุปกรณ์ตัดต่อที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย เมื่อหลายสิบปีก่อนยังใช้เครื่องตัดฟีล์ม Moviola ทำทุกสิ่งอย่างด้วยมือ ปัจจุบันกลายเป็นดิจิตอล โปรแกรมคอมพิวเตอร์เสียหมดแล้ว
Paul Thomas Anderson: What’s interesting is that in Broken Embraces, you see Harry Caine editing Girls and Suitcases on the Avid. Then it’s 14 years later, and you see that everything’s digital.
Pedro Almodóvar: I was very interested in showing this. I’m not necessarily a fetishistic man, but I do feel some nostalgia for the Moviola. My first 16 films were all edited on the Moviola, so for me it’s on the Moviola that you really create the narrative.
Paul Thomas Anderson: There isn’t the same beauty when you see a mouse click and drag something onto a screen.


Carmen Machi เล่าให้ฟังว่าคบหาชายแปลกหน้า ร่วมรักกันอย่างเร่าร้อน ก่อนรับรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพ่อค้ายา จึงเดินทางมาพึ่งใบบุญ Penélope Cruz, ในภาพยนตร์ Women on the Verge of a Nervous Breakdown (1988) ก็มีเรื่องราวคล้ายๆเดียวกันนี้ María Barranco คบหากลุ่มผู้ก่อการร้าย Shiite แอบได้ยินว่ากำลังจะจี้ปล้นเครื่องบิน เลยตัดสินใจมาพึ่งใบบุญของ Carmen Maura
เรื่องเล่าของ Carmen Machi ยังสะท้อนเรื่องราวของ Lena ตกลงปลงใจเป็นภรรยาน้อยมหาเศรษฐี Ernesto ก่อนพบว่าอีกฝ่ายไม่ต่างจากปีศาจ มีความอำมหิต โฉดชั่วร้าย บุคคลอันตรายกว่าพ่อค้ายา หรือผู้ก่อการร้าย Shiite เสียอีกนะ! จึงเดินทางมาพึ่งใบบุญผกก. Mateo หลังปิดกองถ่ายภาพยนตร์ พากันหลบหนีไปให้แสนไกล
แซว: ตัวละครของ Carmen Machi นำเอากระเป๋าที่เต็มไปด้วยยาเสพติดมาฝากไว้ให้กับ Penélope Cruz … นี่กระมังคือเหตุผลของชื่อหนังซ้อนหนัง Girls and Suitcases

ตัดต่อโดย José Salcedo Palomeque (1949-2017) สัญชาติ Spanish เกิดที่ Ciudad Real, ร่วมงานขาประจำผู้กำกับ Pedro Almodóvar ตั้งแต่ภาพยนตร์เรื่องแรก Pepi, Luci, Bom (1980) จนถึง Julieta (2016)
หนังดำเนินเรื่องผ่านมุมมองนักเขียนตาบอด Harry Caine หลังจากได้ยินข่าวคราวการเสียชีวิตของมหาเศรษฐี Ernesto Martel จากนั้นเกิดการหวนระลึกความทรงจำ พูดเล่าเรื่องราวบังเกิดขึ้นในอดีตให้กับ Diego ถึงความสัมพันธ์ระหว่างตนเอง (ขณะนั้นคือผู้กำกับ Mateo Blanco) กับ Lena Rivero (ที่เป็นภรรยาน้อยของ Ernesto)
- อดีตหวนกลับมาเยี่ยมเยือน
- ภาพฟุตเทจเบื้องหลังการถ่ายทำ Girls and Suitcases
- กิจวัตรประจำวันของนักเขียนตาบอด Harry Caine
- พอได้ยินข่าวการเสียชีวิตของ Ernesto Martel จึงเริ่มหวนระลึกความหลัง
- (Flashback) ค.ศ. 1992, บิดาของ Lena ล้มป่วยหนัก จึงต้องขอความช่วยเหลือทางการเงินจาก Ernesto
- Ray X ชื่อในวงการของ Ernesto Martel Jr. เดินทางมาหา Harry Caine พยายามโน้มน้าวให้ช่วยพัฒนาบทหนัง สำหรับทำการแก้แค้นบิดา
- Diego ครุ่นคิดพัฒนาพล็อตหนัง Dona Sangre (Donate Blood)
- ค่ำคืนนั้น Diego พลั้งพลาดเสพยาเกินขนาด เป็นลมหมดสติ โชคดีอาการไม่รุนแรง
- ผู้กำกับ Mateo Blanco & Lena Rivero
- Harry Caine นั่งเฝ้า Diego อยู่ข้างเตียง เริ่มเล่าความหลัง เมื่อครั้นยังเป็นผู้กำกับ Mateo Blanco
- (Flashback) ค.ศ. 1994, ระหว่าง Mateo กำลังพัฒนาโปรเจคถัดไป Lena เดินทางมาทดสอบหน้ากล้อง
- (Flashback) ในตอนแรก Ernesto ไม่อยากให้ Lena เป็นนักแสดง แต่เธอยืนกรานว่านั่นคือความใฝ่ฝันส่วนตัว
- (Flashback) Ernesto Martel Jr. ได้รับมอบหมายให้(แอบ)ถ่ายเบื้องหลังการทำงาน ถ่ายทำภาพยนตร์ Girls and Suitcases
- (Flashback) Ernesto จับได้ว่า Lena แอบคบชู้กับ Mateo ค่ำคืนหนึ่งจึงผลักเธอตกบันได
- (Flashback) แม้ได้รับบาดเจ็บสาหัส Lena ยังคงยืนกราน ต้องการถ่ายทำภาพยนตร์ให้เสร็จ
- (Flashback) วันปิดกล้อง Mateo และ Lena พากันหนีไปยังเกาะ Lanzarote, Canary Islands
- (Flashback) Ernesto จงใจทำลายหนัง Girls and Suitcases สร้างความไม่พึงพอใจให้ Mateo ตัดสินใจหวนกลับ Madrid
- (Flashback) แต่แล้วทั้งสองถูกรถชน เป็นเหตุให้ Lena เสียชีวิต, Mateo สูญเสียการมองเห็น
- (Flashback) Judit García ให้การดูแล Mateo ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาล
- คำสารภาพของ Judit García
- หวนกลับมาปัจจุบัน Harry อยากได้ยินเสียง Jeanne Moreau แต่พอเปิดเทปกลายเป็น Girls and Suitcases
- Judit García สารภาพเบื้องหลังความจริงกับ Harry (และบุตรชาย Diego)
- Harry ติดต่อหา Ray X ตอบตกลงพัฒนาบทหนัง ร่วมถ่ายทำสารคดี
- ฉายภาพฟุตเทจตอนที่ Mateo & Lena ถูกรถชน
- ตัดต่อใหม่ภาพยนตร์ Girls and Suitcases และฉายคลิปที่แล้วเสร็จ
มันอาจเพราะผมไล่เรียงรับชมหลายๆผลงานของผกก. Almodóvar เลยรู้สึกว่าลีลาการดำเนินเรื่องของ Broken Embraces (2009) ดูง่ายกว่า Talk to Her (2002) และ Bad Education (2004) เพราะมันเส้นเรื่องราว (Timeline) มีแค่อดีต-ปัจจุบัน ตัดสลับกลับไปกลับมาแค่นั้น
เพลงประกอบโดย Alberto Iglesias Fernández-Berridi (เกิดปี ค.ศ. 1955) นักแต่งเพลงสัญชาติ Spanish เกิดที่ San Sebastián, Basque Country โตขึ้นร่ำเรียนดนตรียัง Saint-Sébastien จากนั้นเดินทางสู่ Paris เรียนการแต่งเพลงกับ Francis Schwartz และสไตล์ดนตรี Electro-Acoustic กับ Gabriel Brnčić, ร่วมงานขาประจำผกก. Pedro Almodóvar ตั้งแต่ The Flower of My Secret (1995), ผลงานเด่นๆ อาทิ All About My Mother (1999), Talk to Her (2002), The Constant Gardener (2005), The Kite Runner (2007), Che (2008), The Skin I Live In (2011), Exodus: Gods and Kings (2014) ฯ
งานเพลงของ Broken Embraces (2009) เต็มไปด้วยบทเพลงที่มีท่วงทำนองเศร้าๆ เหงาๆ เจ็บปวดรวดร้าว คละคลุ้งบรรยากาศหมองหม่น ตัวละครจมปลักอยู่ท่ามกลางความมืดมิด มองไม่เห็นอะไร เพียงความทรงจำจากอดีตที่ยังเด่นชัดเจนอยู่ภายใน หัวใจแตกสลาย คิดถึงเธอคนรักที่ตายจากไป
บทเพลงดังจากในผับของ Diego ประกอบด้วย
- Vitamin C ของวงร็อค (Krautrock) ชื่อ CAN จากประเทศ German รวมอยู่ในอัลบัม Ege Bamyası (1972)
- Krautrock หรือ Kosmische Musik ภาษา German แปลว่า Cosmic Music เป็นบทเพลงร็อคแนวทดลอง (Experimental Rock) ที่พยายามผสมผสาน Psychedelic Rock และ Avant-Garde เข้ากับ Electronic Music ได้รับความนิยมในประเทศ Germany ช่วงปลายทศวรรษ 60s – ต้นทศวรรษ 70s
- Robot Œuf (แปลว่า Robot Egg) แต่ง/ขับร้องโดย Uffie, รวมอยู่ในอัลบัม Ed Rec, Volume 3 (2008), บทเพลงแนว Electro Hip-Hop ท่วงทำนองสนุกสนาน สำหรับเริงระบำในงานเลี้ยงปาร์ตี้
ผมเลือกบทเพลง Robot Œuf เพราะรู้สึกว่าเพลงนี้พรรณาความรู้สึกของ Diego หลังจากเหตุการณ์เมื่อค่ำคืนบังเกิดแรงบันดาลใจ ร่วมพัฒนาบทหนัง Dona Sangre (Donate Blood) จินตนาการเตลิดเปิดเปิงไปไกล ค้นพบสิ่งที่ใช่ มันช่างสนุกสนาน เพลิดเพลินหฤทัย … ทำนองดนตรีก็รุกเร้าใจอย่างมากๆ
Got up this mornin’ and thought about,
what was I doing last night?
I met a boy, the kind I like,
so I took him on the side.
I had some fun,
the time was right and you know
I’m pretty wild.
Love is just a game, you know it,
and we all like to play.
My responsibilities stayed in Paris,
tonight I’m gonna play.
You got yourself a good girl,
so move it,
before I get out the way. (And he did).
You don’t have to buy me drinks. (I’m UFFIE and I shine).
Follow me backstage,
right here we’re gonna have a good time.
We are young and we’re hot,
we got skills to make us pop.
I want you and you want me so let’s not wait to fall in love.
Seen a few crazy things with my pretty green eyes.
I ain’t afraid to talk about how far we’re goin’ by night
I’m arriving in the club.
I get drunk and i get drugs.
Faces booming on the sub i lay my vocals on the dub.
Now we rock, we don’t stop, we drop songs to keep you hot.
In the front in the back, watch me get it on like that.
I’m the shit i’m a freak,
now everybody get on this.
Move your waist and rock your hips.
POP DROP ROLL WHAT? (X4).
Rockin’ no stoppin’,
we’re rocking non-stop.
We’re taking the clock in,
rockin’ ’round the clock.
The substance is on my brain and I gotta do it again.
I’m getting late to catch the plane it’s not the end of my weekend.
Everybody’s on my back I’ve got to do this right.
I’ve got to give those mother fuckers something good tonight.
I’m back from tour with my friends,
it feels like I never stop.
A few hours of sleep and I’m already back on the track,
’cause there is no time to lose.
We’re rockin’ ’round the clock.
130 BP and we think inside the speaker box.
Like the junior Mafia I’m here to get the money.
I’ve got dope beats for my familia,
I’m taking it honey.
In the club and the hotels,
sometimes with my homie.
We’re getting paid from the club,
we come back with your lady.
If you don’t like what I keep talking about turn this shit off.
We ain’t frontin’ we’re still about what makes
you pop that head off.
And if you hate it’s ’cause you’re not
hot like the Ed Banger crew.
‘Cause from Tokyo to Scandanavia they say Ed Banger rules
Mateo & Lena พากันหลบหนีสู่เกาะ Lanzarote ได้ยินบทเพลง Werewolf แต่งโดย Michael Hurley, ขับร้องโดย Cat Power, รวมอยู่ในอัลบัม You Are Free (2003)
น้ำเสียงของ Cat Power แวบแรกผมนึกว่า Norah Jones น้ำเสียงนุ่มๆ ดั่งระลอกคลื่นๆ เต็มไปด้วยความเศร้าโศกเสียใจ เนื้อคำร้องเพลงนี้เต็มไปด้วยความขัดย้อนแย้ง เมื่อกล่าวถึงหมาป่า (Werewolf) ใครๆย่อมต้องครุ่นคิดว่าโฉดชั่วร้าย สัตว์อันตราย พร้อมฆ่าคนตาย แต่พอพบเห็นน้ำตาที่หลั่งไหล เหมือนว่ามันก็มีชีวิตและจิตใจ
Oh the werewolf, oh the werewolf
Comes stepping along
He don’t even break the branches where he’s been goneOnce I saw him in the moonlight, when the bats were a-flying
All alone I saw the werewolf, and the werewolf was cryingCrying, “Nobody knows, nobody knows, nobody knows
How I love the man, as I teared off his clothes”
Crying, Nobody know, nobody know my pain
When I see it has risen; that full moon again”For the werewolf, for the werewolf have sympathy
For the werewolf somebody like you or meOld Ygor tell me, man this little flute I play
all through the night until the light of dayFor the werewolf, for the werewolf, have sympathy
For the werewolf somebody like you or me
หลังอุบัติเหตุ/โศกนาฎกรรมครั้งนั้น Mateo สูญเสียการมองเห็น Judit นำพามายังชายหาด Famara ยืนเหม่อมองท้องฟ้า มหาสมุทร เหมือนเพื่อเป็นการร่ำลาเธอคนรัก และสถานที่แห่งนี้
บทเพลงนี้มีการผสมผสานเครื่องดนตรีพื้นบ้านแอฟริกัน(เครื่องสาย) Low Kora, อาร์เมเนีย(เครื่องเป่า) Duduk และเปรู(พิณ) Arpa (เหมือนจะมีอย่างอื่นอีกแต่ผมไม่แน่ใจสักเท่าไหร่) สร้างสัมผัสให้กับสถานที่แห่งนี้ราวกับต้องมนต์ขลัง ดินแดนแห่งความเก่าแก่ ลึกลับ ภูเขาไฟมอดดับ จุดเชื่อมต่อระหว่างสรวงสวรรค์-ขุมนรก ชีวิต-ความตาย ช่วงเวลาแห่งความทรงจำระหว่างเธอและฉัน จักตราฝังอยู่ในความทรงจำชั่วนิรันดร์
ผมแอบแปลกใจเล็กๆที่บทเพลงชื่อหนัง Los Abrazos Rotos = Broken Embraces ดังขึ้นช่วงท้ายของหนัง (แทนที่จะตั้งแต่ต้นเรื่องหรือ Opening Credit) แถมมีการเลือกใช้เครื่องดนตรีฟังแล้วบังเกิดประกายความหวัง ตัวละครพานผ่านช่วงเวลาแห่งความมืดมิด แล้วกำลังจะได้พบเจอแสงสว่าง โอกาสหวนกลับไปแก้ไข(บางสิ่งจาก)อดีต แม้มันไม่ได้ทำให้ทุกสิ่งอย่างเปลี่ยนแปลงไป แค่สามารถผ่อนคลายความรู้สึกซึมเศร้าโศกเสียใจก็ยังดี
Broken Embraces (2009) นำเสนอเรื่องราวความรักในหลากหลายมุมมอง ที่ทุกคนต่างมีช่วงเวลาแห่งความสุขแสนสั้น ก่อนต้องทนทุกข์ทรมานชั่วกัปกัลป์
- Mateo Blanco และ Lena Rivero อาจถือเป็นรักต้องห้าม (Taboo) เพราะต่างฝ่ายต่างมีเจ้าของ คู่หลับนอน แต่พวกเขามิอาจหักห้ามใจตนเอง รักคลั่งปานจะกลืนกิน จึงตัดสินใจหลบหนีไปยังหาดสวรรค์ ครองรักร่วมกันในช่วงเวลาสั้นๆ
- ระหว่างแอบคบหาชู้รัก Lena ถูกสามีผลักตกบันได ได้รับบาดเจ็บทางร่างกาย ก่อนสุดท้ายถูกรถชนเสียชีวิต
- Mateo สูญเสียการมองเห็นหลังจากอุบัติเหตุถูกรถชน ต้องทนทุกข์ทรมานทั้งร่างกาย-จิตใจ หลายปีผ่านไปก็ยังคงครุ่นคิดเธอไม่เสื่อมคลาย
- Ernesto Martel คือตัวแทนรักริษยา เพราะตนเองคือมหาเศรษฐี เลยครุ่นคิดว่าเงินสามารถซื้อได้ทุกสิ่งอย่าง ครอบครองเป็นเจ้าของเรือนร่าง Lena แต่ไม่ใช่จิตใจเธอ
- Judit García (ตรงกันข้ามกับ Ernesto) รักอุทิศต่อ Mateo พร้อมยินยอมเสียสละทุกสิ่งอย่าง ขนาดว่ามีบุตรชายร่วมกันยังปฏิเสธพูดบอกความจริง ด้วยเหตุนี้เลยเกิดความอิจฉาริษยาที่พบเห็นเขารักคลั่ง Lena แต่การล้างแค้นครั้งนั้นทำให้เธอรู้สึกผิดมาจนถึงปัจจุบัน
- Ray X หรือ Ernesto Martel Jr. บุตรชายโหยหาความรักจากบิดา ยินยอมทำตามคำสั่งทุกสิ่งอย่าง แอบถ่ายความสัมพันธ์ Mateo & Lena แต่กลับไม่เคยได้รับความรู้สึกใดๆคืนกลับมา จึงเต็มไปด้วยความเก็บกด อัดอั้น อยากทำบางสิ่งอย่างเพื่อระบายอารมณ์คลุ้มคลั่ง เคียดแค้น
- Diego (ตรงกันข้ามกับ Ray X) แม้มารับรู้ภายหลังว่า Mateo คือบิดาแท้ๆ แต่ความสัมพันธ์ของพวกเขาก่อนหน้านี้แทบไม่ต่างจากพ่อ-ลูก ได้รับความรัก ความเอ็นดูห่วงใย พึ่งพาอาศัย ช่วยเหลือกันและกันอยู่ตลอดเวลา
ลีลาการดำเนินเรื่องของ Broken Embraces (2009) เต็มไปด้วยการฉายภาพย้อนอดีต หวนระลึกความทรงจำ (Flashback) แต่ไม่ใช่เพราะผกก. Almodóvar เกิดความถวิลหา (Nostalgia) สิ่งต่างๆเปิดเผยออกมาราวกับคำสารภาพ (Confession) เสียมากกว่า
In Broken Embraces there’s a character, Judit, who in fourteen years doesn’t say a word about something that happened. Harry doesn’t want to talk about it either and tries to be another person, because with those memories he couldn’t keep on living. So he pretends to be someone else. But there comes a moment when you have to face up. You have your own memories—it doesn’t matter that you changed your name. You are the same person. But for Judit, she’s the reason he doesn’t want to know anything related to the past. She feels very guilty about that, and for good reason. So in this one moment of catharsis, it’s not that I’m explaining the movie or what happened. But the character needed to explain herself to Mateo, because it was fourteen years of silence. In that night she needs to tell everything.
Pedro Almodóvar
ใจความของ Broken Embraces (2009) ผมรู้สึกว่ามีความละม้ายคล้าย Volver (2006) คือตัวละครเรียนรู้จักการเผชิญหน้าอดีต พูดคุยสะสางปมปัญหา สารภาพเบื้องหลังความจริง เพื่อเยียวยารักษาบาดแผลทางใจของกันและกัน
It’s a confession. But it’s a confession not to the spectator, but to the other character. There’s something that happens in detective stories, when the detective reunites all the characters and discovers whodunit. It’s the only way for the writer to explain everything that happened.
Chicas y maletas แปลว่า Girls and Suitcases หนังซ้อนหนัง (film within film) ที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก Women on the Verge of a Nervous Breakdown (1988) ก็ถือเป็นอีกตราบาป บาดแผลทางใจของทั้งตัวละคร และผกก. Almodóvar
- ด้วยความที่ Mateo ตัดสินใจทอดทิ้ง Girls and Suitcases เพื่อหนีตามไปกับ Lena โปรเจคนี้เลยถูก Ernesto นำไปปู้ยี้ปู้ยำ จนมีสภาพย่อยยับเยิน แถมพอเจ้าตัวสูญเสียการมองเห็น จึงไม่สามารถรับชมความเละเทะของหนัง จนกระทั่งหลายปีให้หลังถึงได้รับโอกาสตัดต่อใหม่
- ผกก. Almodóvar เมื่อตอนสรรค์สร้าง Women on the Verge of a Nervous Breakdown (1988) ก็เกิดเรื่องบาดหมางนักแสดงนำ Carmen Maura จนปฏิเสธพูดคุย มองหน้ากันไม่ติดหลายปี จนกระทั่งตอนสรรค์สร้าง Volver (2006) ถึงหวนกลับมาคืนดี มีโอกาสร่วมงานกันอีกครั้ง
ในมุมของผมเอง Broken Embraces (2009) เป็นภาพยนตร์ที่พยายามแปะติดปะต่อ ประสานรอยแตกร้าว ความสัมพันธ์ที่เคยสูญสลาย ตราบยังมีลมหายใจล้วนสามารถหวนกลับไปแก้ไข พูดคุยปรับความเข้าใจ อ้อมกอดครั้งใหม่มันจะมีความอบอุ่นหฤทัย และไม่มีวันปล่อยมือกันอีกตราบจนวันตาย
The reality you come back to is a happier and much more subdued reality, if not exactly happy that you’ve come to the end of the film. So in the case of the characters, for example, you have Harry who of course is blind, and given the fact that he’s a director this is not exactly a good thing. And Judit feels very guilty about what she’s done. But by the end, a family has been created, and you get a sense of some kind of subdued happiness. This is a family, a real family, with limits and suffering. And they’re reunited in front of a cinema image. It’s like a love declaration to the cinema. Not as an author or professional—but to the cinema as a spectator. Life is imperfect, reality is imperfect, but the cinema helps to make it a little less imperfect.
เข้าฉายรอบปฐมทัศน์ในประเทศ Spain จากนั้นเดินทางสู่เทศกาลหนังเมือง Cannes เสียงตอบรับดูจะซบเซา เลยไม่ได้รางวัลใดๆติดมือกลับมา แต่ชื่อของผกก. Almodóvar ยังไงก็ขายได้ทั่วโลก ด้วยทุนสร้าง $18 ล้านเหรียญ สามารถทำเงิน $37.4 ล้านเหรียญ น่าจะเพียงพอคืนทุน
แม้หนังไม่ได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนประเทศ Spain ส่งลุ้นรางวัล Oscar: Best Foreign Language Film (เรื่องที่ได้รับเลือกคือ The Dancer and the Thief (2009) ไม่ผ่านเข้ารอบใดๆ) แต่กลับยังได้เข้าชิงหลากหลายสถาบันต่างประเทศ
- Golden Globe: Best Foreign Language Film พ่ายให้กับ The White Ribbon (2009)
- BAFTA Award: Best Film Not in the English Language
- European Film Awards
- European Director
- European Actress (Penélope Cruz)
- European Composer **คว้ารางวัล
- EFA People’s Choice Award for Best Film
คงเพราะไม่ใช่ภาพยนตร์ประสบความสำเร็จมากนัก นอกจาก Blu-Ray ของค่าย Sony Pictures คุณภาพ High-Definition (HD) วางจำหน่ายเมื่อปี ค.ศ. 2010 จนถึงปัจจุบันยังไม่มีการออกแผ่นใหม่ หรือรวมบ็อกเซ็ตกับผลงานเรื่องอื่นใด
Broken Embraces (2009) แม้เป็นภาพยนตร์ที่มีความงดงาม ละเลงสีสันละลานตา แต่ทว่าตรงกับสำนวน “สวยแต่รูป จูบไม่หอม” ดูจบแล้วจบไป แทบไม่หลงเหลือความประทับใจใดๆ โดยเฉพาะการแสดงโคตรๆเจิดจรัสของ Penélope Cruz เลือนหายไปใน ‘สไตล์ Almodóvar’ … นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมรับชมผลงานของผกก. Almodóvar แล้วรู้สึกเช่นนี้ มันอาจต้องผู้ชมเฉพาะกลุ่มถึงสามารถบังเกิดอารมณ์ร่วมขึ้นมา
The sensual pleasures of Pedro Almodóvar’s lush new meta-melodrama are the more intense for being fleeting. After the movie is over and the trance has lifted, it is difficult to recall just what was so entrancing or even what the film was about. Like Oscar Wilde’s famous cigarette, it is a perfect type of pleasure which leaves one not unsatisfied exactly but with a feeling that its substance has vanished into the air like smoke.
นักวิจารณ์ Peter Bradshaw จาก The Guardian
จัดเรต 18+ กับความหึงหวง อาฆาตมาดร้าย บาดแผลทางใจ
Leave a Reply