Touch of Evil

Touch of Evil (1958) hollywood : Orson Welles ♥♥♥♥

(17/8/2025) Orson Welles กำกับและรับบทตำรวจคอรัปชั่น ขาสั่นเมื่อไหร่เชื่อว่าคือคนร้าย ทำการปลอมแปลงหลักฐาน จับติดคุกติดตาราง กระทั่งการมาถึงของ Charlton Heston หมายมั่นปั้นมือเปิดโปงเบื้องหลังความจริง แต่เขาก็ต้องแลกด้วยหลายๆสิ่งอย่างเกิดขึ้นกับภรรยา Janet Leigh

ยุคสมัยหนังนัวร์ (Film Noir) เริ่มต้นช่วงต้นทศวรรษ 40s วิวัฒนาการขึ้นจากหนังอาชญากรรม (Crime) ผสมผสานกับ German Expressionism ได้รับความนิยมอย่างล้นหลานช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง (Post-War) ก่อนค่อยๆเสื่อมความนิยมลงปลายทศวรรษ 50s และภาพยนตร์ Touch of Evil (1958) ได้รับการปักหมุดไมล์ “Last film of the Classical Film Noir Era”

ไม่ใช่แค่นั้น Touch of Evil (1958) ยังเป็นภาพยนตร์ Hollywood เรื่องสุดท้ายของผู้กำกับ Orson Welles ระหว่างโปรดักชั่นได้รับอิสรภาพในการรังสรรค์ผลงานอย่างเต็มที่ ขนาดว่าสองนักแสดงนำ Charlton Heston & Janet Leigh ยังกล่าวชื่นชมประสบการณ์ทำงานยอดเยี่ยมที่สุดในชีวิต! แต่เขากลับสูญเสียสิทธิ์ในฉบับตัดต่อสุดท้าย (Final Cut) แล้วถูกสตูดิโอ Universal-International (ชื่อขณะนั้นของ Universal Pictures) นำไปปู้ยี้ปู้ยำอย่างไม่เหลือเยื่อใย “an odious thing” – ความคิดเห็นของผกก. Welles ต่อฉบับตัดต่อนั้น

I was so heartbroken when it turned out I couldn’t go on with it. I was so sure I was going to go on making a lot of pictures at Universal, when suddenly I was fired from the lot. A terribly traumatic experience. Because I was so sure. They went out of their way to compliment me every night of the rushes, and ‘When are you going to sign a four- or five-picture contract with us? Please come and see us.’ Every day they kept asking me to sign the contract.

Then they saw the cut version and barred me from the lot… the picture was just too dark and black and strange for them… there’s something missing there that I don’t know about, that I’ll never understand. It’s the only trouble I’ve ever had that I can’t begin to fathom. And I really thought I was home again, you know and, ‘I’m going to be at Universal three or four years making pictures’ — the way they talked. Then suddenly I couldn’t get on the lot.

Orson Welles

นั่นทำให้ผกก. Welles เขียนจดหมาย (Memo) ความยาว 58 หน้ากระดาษ ส่งให้กับ Edward Muhl ผู้บริหารสตูดิโอ Universal โดยลงรายละเอียดว่าหนังควรปรับเปลี่ยนแก้ไขอะไรยังไงให้ตรงตามวิสัยทัศน์ของตนเอง! แต่อีกฝ่ายกลับปิดหูปิดตา เสียเวลา สิ้นเปลืองงบประมาณ แม้สามารถคว้าสองรางวัลใหญ่จาก 1958 Brussels World Film Festival แต่เข้าฉายสหรัฐอเมริกาแบบหนังควบ (Double Billed) กลายเป็นหนังเกรดบีโดยปริยาย

โชคดีที่เมื่อปี ค.ศ. 1998 ผู้บริหารรุ่นใหม่ๆของสตูดิโอ Universal ยินยอมให้นักตัดต่อ Walter Murch ลงมือตัดต่อหนังใหม่ ปรับเปลี่ยนแก้ไขให้ใกล้เคียงวิสัยทัศน์ดั้งเดิม อ้างอิงจากจดหมายความยาว 58 หน้ากระดาษ ผลลัพท์กลายมาเป็น Director’s Cut หรือ Reconstruction Cut ความยาว 111 นาที ดีที่สุดหารับชมได้ในปัจจุบัน!

ทีแรกผมตั้งใจจะทิ้งท้ายโปรแกรมหนังนัวร์ด้วย The Third Man (1949) แต่พอเห็นการแสดงยียวนกวนบาทาของผกก. Welles มันเลยเกิดแรงกระตุ้นบางอย่าง รู้สึกขาสั่นๆ อยากรับชมภาพยนตร์ Touch of Evil (1958) เลยใช้โอกาสนี้หวนกลับมาปรับปรุงบทความเก่าเสียที!


จุดเริ่มต้นของ Touch of Evil มาจากนวนิยายสืบสวนสอบสวน Badge of Evil (1956) แต่งโดย Whit Masterson ยอดขายดีเทน้ำเทท่า สร้างความสนใจให้กับ Edward Muhl ผู้บริหารสตูดิโอ Universal-International ติดต่อขอซื้อลิขสิทธิ์ดัดแปลงภาพยนตร์ แล้วมอบหมายโปรดิวเซอร์ Albert Zugsmith เจ้าของฉายา King of the Bs (เจ้าพ่อหนังเกรดบี) เข้ามาดูแลงานสร้าง

จากนั้นโปรดิวเซอร์ Zugsmith มอบหมายนักเขียน Paul Monash ใช้เวลาสี่สัปดาห์ดัดแปลงบทภาพยนตร์ ผลลัพท์แม้พอไปวัดไปวา แต่ก็ไม่ได้สร้างความกระตือรือร้นให้อยากเดินหน้าโปรเจคนี้สักเท่าไหร่ จนกระทั่งเดือนธันวาคม ค.ศ. 1956 ได้รับบันทึกข้อความบอกว่า Charlton Heston สนใจแสดงนำ

Heston ที่เพิ่งเสร็จสิ้นการโปรโมท The Ten Commandments (1956) ได้อ่านบทหนัง Badge of Evil พิจารณาว่าดีพอสำหรับโปรเจคถัดไป สอบถามว่าใครกำกับ? นักแสดงคนไหนบ้าง? พอได้ยินชื่อ Orson Welles ตัวเต็งรับบท Hank Quinlan เลยถามต่อ “Why not him direct, too? He’s pretty good.”

ก่อนหน้านี้ Welles เคยเล่นหนัง Man in the Shadow (1957) แล้วประทับใจการทำงานของโปรดิวเซอร์ Zugsmith วันสุดท้ายก่อนปิดกองแสดงเจตจำนงค์ว่ายินดีกำกับภาพยนตร์ให้อีกฝ่าย เรียกร้องขอบทหนังแย่ที่สุด เลยหยิบยื่น Badge of Evil ตอบตกลงกำกับ-นำแสดง และขอเวลาสองสัปดาห์ในการปรับปรุงบทหนัง

On the last day of shooting Man in the Shadow, I was on the set and Orson said, “I guess I can’t come down tonight?” I said, “my bungalow is always open to you.” He came down and we really tied one on. He said, “God dam it, you’re the feistiest son of a bitch I’ve ever met and I love you. I’d like to direct a picture for you.” I said, “There’s nothing I’d like better, Orson.” He said, “have you got anything I can direct?” In those days I had a shelf full of scripts in back of my desk and I said, “you can have any one you want.” He said, “which is the worst one?” I said, “right here,” and pulled out a script Paul Monash had written from a novel in four weeks on a flat deal, called Badge of Evil. I threw it over to Orson, and he said, “Can I have two weeks to rewrite it?” I said, “you can have it.”

Albert Zugsmith

George Orson Welles (1915-85) นักแสดง/ผู้กำกับ สัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Kenosha, Wisconsin บิดาเป็นนักประดิษฐ์ Gadget แต่ติดเหล้าจนเลิกทำงาน ส่วนมารดาคือนักเปียโน บุตรชายจึงมีความชื่นชอบหลงใหลในดนตรี แต่หลังจากเธอเสียชีวิตเลยเลิกเอาดีด้านนี้, ครั้งหนึ่งเคยไปพักร้อนยังคฤหาสถ์หรูที่ Wyoming, New York เป็นเพื่อนเล่นของ Aga Khan และ Prince Aly Khan พบเห็นชีวิตชนชั้นสูงที่น่าอิจฉาริษยายิ่ง! โตขึ้นได้ทุนเข้าศึกษาต่อ Harvard University แต่เอาเงินที่ได้(และกองมรดก) ออกท่องเที่ยวยุโรป ระหว่างอาศัยอยู่ Dublin สมัครเป็นนักแสดง Gate Theatre อ้างว่าตนเองเคยขึ้นเวที Broadway แม้ไม่มีใครเชื่อแต่ก็ต้องยินยอมรับความสามารถ จนได้รับโอกาสกลายเป็นนักแสดงละครเวทีจริงๆ, เมื่อหวนกลับอเมริกาเริ่มจากเขียนบท สร้างละครวิทยุ เข้าร่วม Federal Theatre Project (1935-39) แล้วออกมาก่อตั้ง Mercury Theatre จัดรายการ The Mercury Theatre on the Air โด่งดังจนเข้าตา Hollywood เซ็นสัญญา RKO Radio Pictures กำกับภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องแรก Citizen Kane (1941) ได้รับคำชื่นชมอย่างล้นหลาม! แต่ด้วยความเรื่องมาก เจ้ากี้เจ้าการ เกิดความขัดแย้งสตูดิโอบ่อยครั้ง

ผกก. Welles อ้างว่าไม่เคยอ่านนวนิยายเล่ม (จนกระทั่งหลังถ่ายทำเสร็จ) เพียงยึดตามบทหนังของ Paul Monash แล้วปรับเปลี่ยนสิ่งต่างๆให้ตรงตามวิสัยทัศน์ของตนเอง โดยมุ่งเน้นประเด็นความขัดแย้งทางชาติพันธุ์เป็นหลัก อาทิ

  • ย้ายสถานที่พื้นหลังจาก San Diego มาเป็นเมืองสมมติ Los Robles บริเวณพรมแดนระหว่างสหรัฐอเมริกา-เม็กซิโก
  • เปลี่ยนชื่อตัวละคร Mitch Holt มาเป็น Miguel Vargas จากผู้ช่วยอัยการมาเป็นเจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. (ป้องกันและปราบปรามยาเสพติด) รวมถึงสัญชาติอเมริกันสู่เม็กซิกัน
  • ตรงกันข้ามกับ Susan เปลี่ยนจากหญิงสาวชาวเม็กซิกันสู่อเมริกัน

I made Vargas a Mexican for political reasons: I wanted to show how Tijuana and the border towns are corrupted by all sorts of mish-mash— publicity more or less about American relations; that’s the only reason.

Orson Welles

แม้จะขอเวลาสองสัปดาห์ แต่เอาจริงๆเห็นว่าผกก. Welles ใช้จริงแค่สิบวัน ในการปรับปรุงแก้ไขบทหนัง แล้วก่อนเริ่มการถ่ายทำสองสัปดาห์ นัดหมายนักแสดงมาซักซ้อม (Rehearsal) โดยทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็น ปรับเปลี่ยนบทพูดให้เหมาะสมกับตนเอง

It started with rehearsals. We rehearsed two weeks prior to shooting, which was unusual. We rewrote most of the dialogue, all of us, which was also unusual, and Mr. Welles always wanted our input. It was a collective effort, and there was such a surge of participation, of creativity, of energy. You could feel the pulse growing as we rehearsed. You felt you were inventing something as you went along. Mr. Welles wanted to seize every moment. He didn’t want one bland moment. He made you feel you were involved in a wonderful event that was happening before your eyes.

Janet Leigh กล่าวชื่นชมการทำงานร่วมกับ Orson Welles

เกร็ด: ชื่อนวนิยาย Badge of Evil เอาจริงๆก็มีความเหมาะสมอยู่แล้วเพราะสื่อถึงตำรวจคอรัปชั่น แต่ยุคสมัยนั้นเรื่องพรรค์นี้ยังมีความละเอียดอ่อน ทีแรกจะเปลี่ยนเป็น Borderline, Restoring Evil, สุดท้ายโปรดิวเซอร์ตัดสินใจเลือก Touch of Evil ซึ่งผกก. Welles ไม่ชอบเอาเสียเลย แต่หลายปีถัดมาค่อยๆแปรเปลี่ยนความรู้สึก ถึงขนาดกล่าวว่าคือชื่อหนังดีที่สุดในผลงานของตนเอง


ณ Los Robles เมือง(สมมติ)ชายแดนสหรัฐอเมริกา-เม็กซิโก ใครคนหนึ่งแอบติดตั้งระเบิดเวลาจากฟากฝั่งเม็กซิโก ก่อนข้ามมาระเบิดยังสหรัฐอเมริกา นั่นทำให้เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. จากเม็กซิโก Miguel Vargas (รับบทโดย Charlton Heston) ที่มาฮันนีมูนกับภรรยา Susan (รับบทโดย Janet Leigh) เกิดความสนอกสนใจในคดีดังกล่าว แต่ทว่าถูกกีดกันโดยร้อยตำรวจเอก Hank Quinlan (รับบทโดย Orson Welles) ไม่ชอบให้คนนอกเข้ามายุ่งย่ามก้าวก่าย

Hank พบเจอบุคคลบุคคลต้องสงสัย Manolo Sanchez ชายหนุ่มชาวเม็กซิกันแอบแต่งงานกับบุตรสาวของผู้เสียชีวิต ในตอนแรกที่ Mike ตรวจสอบอพาร์ทเม้นท์ไม่พบเจออะไรใดๆ แล้วจู่ๆผู้หมวด Pete Menzies (รับบทโดย Joseph Calleia) กล่าวอ้างว่าพบเจอระเบิดไดนาไมต์ในกล่องใส่รองเท้า มันมาจากไหน? หรือใครแอบปลอมแปลงหลักฐาน?

Mike เต็มไปด้วยความเคลือบแคลงสงสัย จึงพยายามสืบค้นหาคดีความอื่นๆจนพบเจอเบื้องหลังความจริง แต่ทว่า Hank แอบร่วมมือกับหัวหน้า(ชั่วคราว)ครอบครัวอาชญากร Joe Grandi (รับบทโดย Akim Tamiroff) ทำการลักพาตัว Susan มาเล่นยา รุมข่มขืน แล้วใส่ร้ายป้ายสีว่าคือฆาตกรสังหาร Joe Grandi … Mike และภรรยาจะสามารถเอาตัวรอดจากเหตุการณ์นี้ได้อย่างไร?


Orson Welles รับบทร้อยตำรวจเอก Hank Quinlan ในอดีตภรรยาถูกฆ่ารัดคอ จึงเต็มไปด้วยความโกรธเกลียดเคียดแค้นพวกอาชญากร หมายมั่นปั้นมือจะจับคนชั่วมาลงทัณฑ์ ด้วยการใช้สันชาตญาณช่วยตัดสินใจ ถ้าขาข้างที่เคยถูกยิงรู้สึกเจ็บแปลบ แสดงว่าหมอนั่นต้องมีลับลมคมใน จึงทำการปลอมแปลกหลักฐาน จับกุมตัว บีบเค้นคั้นจนกว่าจะยินยอมรับสารภาพผิด!

ค่ำคืนนี้เกิดเหตุวินาศกรรมในพื้นที่ของ Hank ด้วยสันชาตญาณจึงสามารถติดตามพบเจอบุคคลต้องสงสัย จากนั้นใช้วิธีการอันคุ้นเคยเข้าจับกุมคนร้าย แต่ทว่าครั้งนี้มีบุคคลนอก/เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. จากเม็กซิโก Miguel Vargas สังเกตเห็นความผิดปกติ ตระหนักว่ามีการปลอมแปลงหลักฐาน จึงเริ่มขุดคุ้ยหาเบื้องหลังความจริง

ด้วยความหวาดกลัวจะถูกเปิดโปง Hank จึงจับมือกับหัวหน้า(ชั่วคราว)ครอบครัวอาชญากร Grandi มอบหมายให้ลักพาตัว Susan Vargas จากนั้นลงมือฆ่าตัดตอน Joe Garndi ตั้งใจจะใส่ร้ายป้ายสีว่าเธอคือฆาตกร แต่ดันหลงลืมไม้เท้าไว้ที่เกิดเหตุ และเมื่อถูกต้อนจนมุมเขาจึงกระทำการ …

เกร็ด: Orson Welles ได้รับค่าจ้างทั้งหมด $125,000 เหรียญ จริงๆแล้วนั้นแค่การแสดง แต่สตูดิโอเหมารวมกำกับ+เขียนบท ซึ่งเจ้าตัวยินยอมตอบรับเพราะครุ่นคิดว่าอาจได้ร่วมงานกับ Universal อีกหลายเรื่อง!

ครั้งเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ที่ Welles สวมใส่ชุดคนอ้วน (Fatsuit) ก้าวเดินกระโผลกกระเผลก โอบรับความชั่วร้าย ได้รับสัมผัสปีศาจ (Touch of Evil) ชอบพูดแดกดัน น้ำเสียงประชดประชัน ดูถูกเหยียดยาม (Racism) พร้อมทำทุกสิ่งอย่างโดยไม่สนถูก-ผิด ดี-ชั่ว วิธีการเหมาะสมประการใด ขอแค่จับกุมคนร้ายมาลงทัณฑ์ อะไรอย่างอื่นฉันไม่สนใจ

เห็นว่าในแต่ละวันระหว่างการแต่งหน้าพิเศษ (Make-Up Special Effect) จะมีเพิ่มน้ำหนักครั้งละปอนด์ (จนหนักสุด 60 ปอนด์) นี่ไม่ใช่แค่ตัวละครอวบอ้วนขึ้น แต่ยังกระทำสิ่งต่างๆช้าลง เหนื่อยง่าย เหงื่อไหลซก ใกล้ถึงขีดสุดความอดกลั้น สำแดงอาการหวาดระแวง วิตกจริต กลัวการสูญเสียทุกสิ่งอย่าง

เกร็ด: เหตุผลที่ตัวละครเดินกระโผลกกระเผลก เพราะผกก. Welles ระหว่างออกสำรวจสถานที่แล้วพลัดตกลงคลอง ได้รับบาดเจ็บที่เท้า และด้วยน้ำหนักชุดคนอ้วนอีก ก็ให้ตัวละครต้องใช้ไม้เท้าด้วยเลย

นอกจากด้านชั่วร้าย มุมที่ผมหลงใหลคือตอนพบเจอเพื่อนเก่า/คนรักเก่า หมอดู Tana (รับบทโดย Marlene Dietrich) แม้เธอพยายามขับไล่ แต่ผู้ชมสัมผัสได้ถึงความรัก ความห่วงใย โหยหาอาลัย ยังไม่สามารถตัดสายสัมพันธ์ อดีตเคยพานผ่านอะไรร่วมกันมาก็ไม่รู้ วันนี้จับพลัดจับพลูบังเอิญพบเจอ และพรุ่งนี้จักคือที่พึ่งทางใจแห่งสุดท้ายของกันและกัน

(ผมมีทฤษฎีสมคบคิดเอาไว้ให้อ่านเล่นๆ ภรรยาของ Hank ที่อ้างว่าถูกฆ่ารัดคอเสียชีวิต แท้จริงแล้วอาจคือ Tana และเป็นเขาเองพยายามรัดคอเธอด้วยความหึงหวงหรืออะไรสักอย่าง สุดท้ายทำไม่สำเร็จ เลิกราหย่าร้าง ไม่ได้พบเจอกันมานานจนกระทั่งวันนี้)

Charlton Heston ชื่อเกิด John Charles Carter (1923-2008) นักแสดงสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Cook County, Illinois หลังจากครอบครัวหย่าร้างตอนอายุสิบขวบ อาศัยอยู่กับมารดา เปลี่ยนมาใช้นามสกุลสามีใหม่ วัยเด็กไม่ค่อยชอบเรียนหนังสือ แต่หลงใหลด้านการแสดง เข้าร่วมคณะ Winnetka Community Theatre แล้วได้ทุนการศึกษาเข้าเรียนต่อ Northwestern University ก่อนอาสาสมัครทหาร U.S. Army Air Forces อยู่แผนกวิทยุ (Radio Operator) และมือปืนอากาศยาน (Aerial Gunner) ปลดประจำการประดับยศจ่าสิบตรี (Staff Sergeant), หลังสงครามเดินทางสู่ Broadway เริ่มจากเป็นตัวประกอบ แสดงซีรีย์โทรทัศน์ ภาพยนตร์สมัครเล่น Julius Caesar (1950) เข้าตาโปรดิวเซอร์ Hal B. Wallis รับบทนำครั้งแรก Dark City (1950), แจ้งเกิดกับ The Greatest Show on Earth (1952), The Ten Commandments (1956), Touch of Evil (1958), Ben-Hur (1959) ** คว้ารางวัล Oscar: Best Actor, The Greatest Story Ever Told (1965), The Agony and the Ecstasy (1965), Planet of the Apes (1968), The Omega Man (1971) ฯ

รับบทเจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. จากเม็กซิโก Ramon Miguel ‘Mike’ Vargas เพิ่งแต่งงานกับ Susan เดินทางมาฮันนีมูนยังริมชายแดนสหรัฐอเมริกา-เม็กซิโก ก่อนเกิดเหตุวินาศกรรมต่อหน้าต่อหน้า จึงติดสอยห้อยตามร้อยตำรวจเอก Hank Quinlan สังเกตเห็นการปลอมแปลงหลักฐานบุคคลต้องสงสัย เลยพยายามขุดคุ้ยค้นหาคดีความเก่าๆ ค้นพบเบื้องหลังความจริงที่จะทำให้อีกฝ่ายต้องโทษความผิด แต่นั่นเกือบต้องแลกมากับการสูญเสียภรรยา ถูกลักพาตัว ใส่ร้ายป้ายสีว่าคือฆาตกรรม ตระหนักว่าทั้งหมดคือการกระทำของ Hank จึงพร้อมที่จะโต้ตอบ ทวงคืนความยุติธรรม!

มันเป็นความพิลึกพิลั่นที่ Heston รับบทตัวละครชาว Mexican เจ้าตัวไม่สามารถพูดภาษา Spanish แถมไม่พยายามใช้สำเนียง Hispanic เวลาพูดภาษาอังกฤษ นี่น่าจะสามารถมองเป็นการ Whitewashing ลักษณะหนึ่งของการดูถูกเหยียดหยาม (Racism) … นี่คือความตั้งใจของผกก. Welles ไม่ใช่ว่าเจ้าตัวคือพวก Racism แต่ต้องการสะท้อนทัศนคติของวงการ Hollywood เรื่องพรรค์นี้สามารถพบเจอได้ทั่วไปในครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20th

ต่อให้เรามองข้ามอคติเรื่องชาติพันธุ์ ผมยังไม่ค่อยรู้สึกว่า Heston เป็นนักแสดงที่มีอะไรไปมากว่าพลังดารา มักเล่นบทบาทเดิมซ้ำๆ ตัวละครยึดถือมั่นอุดมการณ์แรงกล้า แต่การแสดงแข็งๆทื่อๆ ไร้วิวัฒนาการ ไร้มิติทางอารมณ์ ยกเว้นเพียงความเกรี้ยวโกรธ …เป็นอารมณ์เดียวที่แสดงออกมาได้กระมัง?

แซว: ตัวละครสัญชาติ Mexican แต่มีความเป็น American มากกว่าตัวละครสัญชาติอเมริกันเสียอีก!


Janet Leigh ชื่อเกิด Jeanette Helen Morrison (1927-2004) นักแสดงหญิง สัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Merced, California แล้วมาเติบโตยัง Stockton ครอบครัวฐานะค่อนข้างยากจน บิดาทำงานโรงงาน แล้วยังต้องรับจ้างทั่วไปเพื่อให้มีเงินพอใช้จ่าย, ด้วยความที่เป็นเด็กเฉลียวฉลาด เรียนจบมัธยมตั้งแต่อายุสิบห้า เข้าศึกษาดนตรีและจิตวิทยา University of the Pacific, ตอนอายุสิบแปดได้รับการค้นพบโดย Norma Shearer ระหว่างมาพักผ่อนที่รีสอร์ทสกี Sugar Bowl บนเทือกเขา Sierra Nevada (สถานที่ทำงานของบิดา-มารดาของ Leigh) แม้ไม่มีประสบการด้านการแสดง แต่ยินยอมมาทดสอบหน้ากล้องแล้วได้เซ็นสัญญาสตูดิโอ M-G-M ภาพยนตร์เรื่องแรก The Romance of Rosy Ridge (1947), เริ่มมีชื่อเสียงจาก Act of Violence (1948), Little Women (1949), Angels in the Outfield (1951), Scaramouche (1952), The Naked Spur (1953), Touch of Evil (1958), กลายเป็นตำนานกับ Psycho (1960) และ The Manchurian Candidate (1962)

รับบท Susan Vargas เพิ่งแต่งงานกับ Mike Vargas กำลังอยู่ในช่วงฮันนีมูน แต่พอเกิดเหตุวินาศกรรม สามีใจจดใจจ่ออยู่กับการสืบสวนหาตัวอาชญากร ปล่อยให้เธออาศัยอยู่ตามลำพังในโรงแรมกลางทะเลทราย ถูกคุกคามโดยครอบครัวอาชญากร Grandi พยายามก่อกวน สร้างความรำคาญ จากนั้นลักพาตัว เล่นยา คาดว่าน่าจะโดนข่มขืน และถูกใส่ร้ายว่าคือฆาตกรเข่นฆ่า Joe Grandi

ในตอนแรกผู้จัดการส่วนของ Leigh เห็นว่าค่าตัวน้อยนิดจึงบอกปัดปฏิเสธโดยไม่บอกกล่าว แต่ผกก. Welles แอบส่งโทรเลขแสดงความยินดีที่ได้ร่วมงาน นั่นทำให้เธอเร่งรีบติดต่อหาผู้จัดการ ตำหนิต่อว่า แสดงความไม่พึงพอใจ “getting directed by Welles was more important than any paycheck.”

เกร็ด: ก่อนหน้าการถ่ายทำไม่นาน Janet Leigh ได้รับบาดเจ็บแขนซ้ายหัก ถึงขนาดต้องเข้าเฝือกอ่อน ด้วยเหตุนี้หนังจึงพยายามไม่ถ่ายให้เห็นมือของเธอ ส่วนฉากในโรงแรมก็มีการถอดเฝือกออก ถ่ายทำเสร็จแล้วใส่กลับเข้าไปใหม่

ผมมองเห็น Marion Crane ซุกซ่อนอยู่ในสีหน้า แววตาของ Leigh ตั้งแต่เข้าพักโรงแรมข้างทาง เต็มไปด้วยความหวาดระแวง อกสั่นขวัญแขวน หลังโดนกลั่นแกล้ง ถูกคุกความ ไม่ได้หลับไม่ได้นอน แต่เธอยังพยายามมองโลกในแง่ดี คงไม่มีเหตุร้ายอะไรเกิดขึ้นกับตนเอง ก่อนสมาชิกครอบครัวอาชญากร Gradi จะบุกเข้ามาในห้องพัก แสดงอาการตื่นตกอกตกใจ หวาดกลัวสุดขีด แทบจะแบบเดียวกันเป๊ะกับภาพยนตร์ Psycho (1960)

การแสดงของ Leigh อาจดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาติสักเท่าไหร่ เลิศคิ้วสูง ดวงตาพองโต กิริยาท่าทางผ่านการปรุงปั้นแต่ง ดัดจริต โลกสวยสดใส ไม่เข้าใจว่าตนเองตกอยู่ในสถานการณ์เช่นไร? ผมมองว่านั่นคือความจงใจที่ผกก. Welles ให้อิสระนักแสดงมีส่วนร่วมออกแบบตัวละคร พยายามสร้างความโดดเด่น ด้วยวิธีการแตกต่าง ผลลัพท์ค่อนไปทาง (German) Expressionism คล้ายๆยุคหนังเงียบ และเคลือบแฝงความตลกร้ายที่หลายคนอาจขำไม่ออกสักเท่าไหร่


ถ่ายภาพโดย Russell Metty (1906-78) ตากล้องสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Los Angeles, เริ่มต้นจากผู้ช่วยห้องแลป Standard Film Laboratory ในสังกัด Paramount Pictures ตั้งแต่ยุคหนังเงียบ จากนั้นออกมาเป็นช่างภาพสตูดิโอ RKO ก่อนปักหลักอาศัยอยู่ Universal Studios ผลงานเด่นๆ อาทิ Bringing Up Baby (1938), The Stranger (1946), Magnificent Obsession (1954), All That Heaven Allows (1956), Written on the Wind (1956), Touch of Evil (1958), A Time to Love and a Time to Die (1958), Imitation of Life (1959), Spartacus (1961) ** คว้ารางวัล Oscar: Best Cinematography, Color

งานภาพของหนังมีความสไตล์ลิสต์ ติสต์แตก แพรวพราวด้วยลูกเล่นภาพยนตร์ เต็มไปด้วยภาพถ่ายมุมเงยติดท้องฟ้า-เพดาน, ละเล่นกับพื้นที่ว่าง ระยะห่าง เทคนิค Deep-Focus, ยามค่ำคืนปกคลุมด้วยความมืดมิด จัดแสง Low Key คละคลุ้งกลิ่นอายหนังนัวร์ สะท้อนมุมมืดจิตใจมนุษย์ และไฮไลท์คือลีลาขยับเคลื่อนกล้อง ใช้รถ ใช้เครน ใช้รางเลื่อน ใช้สารพัดวิธีเพื่อให้ได้ซีเควนซ์ Long Take ความยาวหลายนาทีที่มีความน่าตื่นตาตื่นใจ

เพื่อไม่ให้สตูดิโอเข้ามายุ่งย่ามก้าวก่ายระหว่างการถ่ายทำ ผกก. Welles จึงเลือกใช้สถานที่จริงทั้งหมด (และส่วนใหญ่ถ่ายทำตอนกลางคืน พวกโปรดิวเซอร์คงไม่ทำงานดึกดื่น?) ทีแรกตั้งใจจะเดินทางสู่ Tijuana, Mexico แต่ถูกทางการสั่งห้ามเพราะเนื้อหาของหนังเต็มไปด้วยภาพลบของชาวเม็กซิกัน, จึงพยายามมองหาเมืองที่มีลักษณะเสื่อมโทรม ทิ้งร้าง เต็มไปด้วยเศษซากปรักหักพัง ก่อนค้นพบ Venice ทางตะวันตกของ Los Angeles (เป็นเมืองที่ตั้งใจให้เป็น “Venice of America” แต่ก็ได้แค่ชื่อกระมัง)

กำหนดการถ่ายทำเดิมนั้นคือ 38 วัน ใช้งบประมาณ $825,000 เหรียญ แต่สุดท้ายแล้วโปรดักชั่นล่าช้าไปหนึ่งวัน ระหว่างวันที่ 18 กุมภาพันธ์ – 2 เมษายน ค.ศ. 1957 และทุนสร้างทั้งหมด $900,000 เหรียญ (คงจะรวม Post-Production และถ่ายซ่อมด้วยกระมัง)


ผมจับเวลาได้ 3 นาที 19 วินาที นี่คือ Opening Scene เคยเป็น Long Take ยาวนานที่สุดในโลก! โดยทำการติดตั้งเครนบนรถ เพื่อให้สามารถยกขึ้นยกลง ถ่ายภาพมุมสูงสลับกับระดับพื้นถนน และติดตามตัวละครก้าวออกเดินจากฟากฝั่งเม็กซิโกข้ามสู่สหรัฐอเมริกา

ทำไมถึงเลือกใช้วิธีการ Long Take? นอกจากการโชว์อ๊อฟของผกก. Welles, หนังเริ่มต้นใครบางคนติดตั้งระเบิดเวลา ถ้าตั้งใจฟังจะได้ยินเสียง ติก-ติก ตลอดเวลา (เหมือนที่หญิงสาวพูดว่า “I got this ticking noise…in my head”) การถ่ายทำแบบ Long Take จักช่วยสร้างความตื่นเต้น ลุ้นระทึก ระเบิดจะทำงานตอนไหน? รอดหรือไม่รอด? มีคนได้ยินเสียง สังเกตเห็นความผิดปกติหรือเปล่า? ยิ่งเวลาเคลื่อนผ่าน ยิ่งรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน … สำหรับคนช่างสังเกตตอนที่ใครคนนั้นหมุนนาฬิกานับถอยหลัง มันจะประมาณ 3 นาทีพอดีเป๊ะ!

อีกเหตุผลหนึ่งที่ผกก. Welles เลือกถ่ายทำด้วยวิธีการ Long Take ก็เพื่อจะแสดงให้เห็นถึงความไร้พรมแดนของสื่อภาพยนตร์ มันคือสิ่งที่มนุษย์กำหนดสร้างขึ้น ในอดีตเราสามารถก้าวข้ามไปๆมาๆระหว่างสองประเทศ แต่ปัจจุบันมันกลับมีความยุ่งยากวุ่นวาย ต้องใช้พาสปอร์ต ต้องผ่านด่านตรวจ ต้องจ่ายค่าศุลกากร นั่นคือการแบ่งแยก นำไปสู่ความขัดแย้ง แบ่งพรรคแบ่งพวก คือต้นสาเหตุของการดูถูกเหยียดหยาม (Racism)

ผมแอบรู้สึกว่าผกก. Welles ถ่ายทำฉาก Long Take นานกว่า 3.19 นาที แต่สตูดิโออาจต้องการสร้าง “Shock Value” ไม่ใช่แค่ได้ยินเสียงระเบิด ยังแทรกภาพรถไฟลุกท่วม แล้วตัดกลับมาตอน Mike (และ Susan) ออกวิ่งสู่สถานที่เกิดเหตุซึ่งอยู่ไม่ห่างไกลกันนัก … Long Take นี้น่าจะจบลงที่ Mike วิ่งมาถึงบริเวณเกิดเหตุ แล้วร้องขอให้ Susan กลับโรงแรมไปก่อน

บางคนอาจเห็นต่างจากผม เพราะตลอดซีเควนซ์ Long Take กล้องตั้งอยู่บนเครน บนรถที่กำลังขับเคลื่อน ภาพถ่ายออกมานิ่งมากๆ แต่ขณะออกวิ่งไปยังสถานที่เกิดเหตุ สังเกตว่าภาพส่ายๆสั่นๆ (แสดงถึงความตกอกตกใจ อกสั่นขวัญแขวน) ดูราวกับใช้กล้องมือถือ (Hand Held) คือมันคนละไดเรคชั่นกันเลย? … แต่มันก็น่าจะทำได้มิใช่ฤา? ยกกล้องลงจากเครนแล้วออกวิ่ง

ผมพยายามมองหาอยู่นานตั้งแต่เห็นเครดิต Joseph Cotten มารับเชิญในหนัง เล่นเป็นใคร หลบอยู่ตรงไหน สุดท้ายต้องพึ่งพา Google ถึงตระหนักว่าคือชายสวมแว่นใส่หนวด เข้ามาตรวจศพผู้เสียชีวิต (Coroner = เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพ) แต่บุคคลให้เสียงตัวละครคือผกก. Welles เพราะมันแค่ไม่กี่ประโยคพูด

หนังเต็มไปด้วยมุมเงย (Low-Angle Shots) มักถ่ายติดท้องฟ้าหรือเพดานเบื้องบน แต่หลายต่อครั้งมันจะมีลูกเล่นอย่างยกกล้องขึ้นระดับสายตา มักเกิดขึ้นระหว่างการปรับเปลี่ยนทัศนคติ ความครุ่นคิด อย่างฉากนี้ Pancho และผองพวกพยายามรุมห้อมล้อม Susan (มุมเงย = สัญญะของการบงการ ควบคุมครอบงำ) แต่พออีกฝ่ายยื่นจดหมายให้อ่าน หญิงสาวจึงตอบตกลงทำตาม (ภาพระดับสายตา = เห็นพ้องต้องกัน)

วัยรุ่นเม็กซิกัน หนึ่งในสมาชิกครอบครัวอาชญากรรม Grandi ก็ไม่รู้โกรธเกลียดเคียดแค้นอะไร ทำการโยนน้ำกรดใส่ Mike โชคยังดีเอามือปัดเอาไว้ได้ทัน ถึงอย่างนั้นน้ำกรดสาดไปถูกภาพโปสเตอร์นักเต้นสาว (น่าจะคนเดียวกับที่เต้นอยู่ในบาร์ช่วงครึ่งหลังของหนัง) นี่ราวกับเป็นการบอกใบ้หายนะของ Susan แม้ไม่ได้ถูกกระทำให้เสียโฉมเหมือนภาพโปสเตอร์ แต่ย่อมเกิดบาดแผลทางจิตใจ (จากการถูกข่มขืน เล่นยา ลักพาตัว ฯ)

เจ้าของบาร์แห่งนี้คือ Zsa Zsa Gabor (1917-2016) นักแสดงสัญชาติ Hungarian-American เจ้าของสถิติแต่งงาน 9 ครั้ง ขณะนั้นครองคู่รักอยู่กับโปรดิวเซอร์ Albert Zugsmith เลยมาปรากฎตัวประมาณไม่ถึง 20 วินาที!

เริ่มต้นจาก Hank ได้ยินเสียงเปียโนเล่นเองได้ (Player Piano) ท่วงทำนองมันช่างมักคุ้นหู เลยแวบเข้ามาดู ปรากฎว่าพบเจอเพื่อนเก่า/คนรักเก่า Tana (รับบทโดย Marlene Dietrich) เชื่อเถอะว่าเธอจดจำเขาได้ตั้งแต่วินาทีแรก เพราะภาพถ่ายใบหน้ามีการจัดแสงฟุ้งๆ คละคลุ้งความหลัง แต่เสแสร้งทำเป็นไม่รู้จัก แล้วยกซิการ์ขึ้นมาสูบ พ่นควันฉุน (คนที่รับรู้นัยยะของซิการ์ ย่อมสามารถเข้าใจอารมณ์ตลกร้ายของซีนนี้)

ผกก. Welles ทำการล่อหลอก Dietrich ชักชวนให้มาเยี่ยมเยียนกองถ่าย แล้วจับมารับเชิญหนังเรื่องนี้ในระยะเวลา 1 คืน ก่อนจ่ายค่าแรงขั้นต่ำ ซึ่งก็ไม่ได้มีการแจ้งบอกกับสตูดิโอ มารับรู้เอาตอนตัดต่อ ฉายรอบทดลอง (Preview Cut) จึงตัดสินใจจ่ายค่าตัวเพิ่ม พร้อมขึ้นเครดิต “Guest Stars” เคียงข้างกับ Zsa Zsa Gabor

การมารับเชิญของ Dietrich ชวนให้ผมนึกถึงเพื่อนเล่นไพ่บริดจ์ หรือ Waxwork จากภาพยนตร์ Sunset Boulevard (1950) ฉากเล็กๆที่ทำการเคารพคารวะนักแสดงรุ่นเก่า ปัจจุบัน(นั้น)พวกเขาใกล้ถึงกาลอับแสง สร้างสัมผัสหวนระลึกความหลัง (Nostalgia) นึกถึงความทรงจำวันวาน แต่อดีตไม่เคยหวนย้อนกลับมา … รักครั้งเก่าของ Hank/ผกก. Welles ก็เฉกเช่นเดียวกัน!

ผกก. Welles สนับสนุนให้ Dennis Weaver รับบทผู้จัดการ(กลางคืน)โรงแรมข้างทาง ทำการออกแบบพัฒนาตัวละครนี้ขึ้นมาใหม่ให้มีความโดดเด่นแตกต่าง ได้รับคำนิยาม “Shakespearean Loony” ขนาดว่าสร้างเบื้องหลังตัวละครคือลูกติดแม่ (Mamma Boy) รู้สึกผิดเรื่องเพศ ขณะเดียวกันก็มีความต้องการทางเพศสูง เมื่อพบเจอหญิงสาวจึงเกิดอารมณ์(ทางเพศ)และรู้สึกหวาดกลัวขึ้นพร้อมๆกัน

We went into his whole background–about his mother and how he was a mamma’s boy. He had this terrible guilt about sex and yet he had a large sex drive. There were no words to indicate such a thing in the script at all, but it gave him an interesting behavior pattern when we put it all together. The main thing was his attraction to women and his fear of them at the same time. That was the thing that was basic to his character.

Dennis Weaver

แซว: เจ้าของโรงแรม ลูกติดแม่ (Mother Complex) และมีปมจิตวิทยา มันช่างละม้ายคล้าย Norman Bates ภาพยนตร์ Psycho (1960) แต่ในทิศทางตรงข้าม

ผู้ชมส่วนใหญ่ต่างจดจำฉากแรกของหนังคือโคตรๆ Long Take ความยาว 3.19 นาที! แต่จริงแล้วๆยังมีซีเควนซ์อื่นที่ยาวกว่าอีก!

  • เจ้าหน้าที่ตำรวจบุกเข้ามายังอพาร์ทเม้นท์ของ Manolo Sanchez ผู้ต้องสงสัยก่อเหตุวินาศกรรม ความยาว 5.23 นาที
  • และรอบหลังจาก Mike คุยโทรศัพท์ พอกลับเข้ามา Hank อ้างว่าค้นพบเจอไดนาไมต์ ความยาว 5.33 นาที!

ทั้งสองซีเควนซ์นี้เต็มไปด้วย ‘Mise-en-scène’ อพาร์ทเม้นท์ขนาดเล็กกระจิ๋ว แต่แออัดยัดเยียดไปด้วยผู้คน เดินไปเดินมาขวักไขว่ ถ้าสถานที่แห่งนี้ซุกซ่อนไดนาไมต์ ก็น่าจะมีคนพบเจอโดยง่ายดาย นั่นคือเหตุผลการถ่ายทำแบบ Long Take เพื่อให้ผู้ชมรู้สึกว่าเวลาตั้ง 5 นาที มันสมควรต้องพบเจอไดนาไมต์แล้วสิ!

ส่วนรอบหลังผมมองว่าคือความฉงนสงสัยของ Mike เพราะส่วนใหญ่พยายามจับจ้องใบหน้าของเขา (กล้องไม่ได้เคลื่อนเข้าห้องน้ำ) แสดงปฏิกิริยาสับสน มึนงง คาดไม่ถึง รู้สึกแปลกประหลาดใจ ทำไมมันดูเหมือนมีลับลมคมใน ก่อนตระหนักว่านี่อาจคือการปลอมแปลงหลักฐานของ Hank

ผมครุ่นคิดว่ามันคือเป็นความผิดพลาดของการจัดแสง แต่ถ้าเรามองเหตุการณ์ขณะนี้ที่ Hank อ้างว่าพบเจอหลักฐาน ไดนาไมต์ซุกซ่อนอยู่ในกล้องใส่รองเท้า เงามืดบริเวณใต้ภาพก็อาจสื่อถึงสิ่งชั่วร้ายคืบคลานขึ้นมา หรือจะตีความว่า ‘Touch of Evil’ เลยก็ยังได้! … ซึ่งพอ Manolo Sanchez ถูกจับกุมตัวไป เงามืดบริเวณใต้ภาพก็มลายหายไป

ด้วยความที่ Mike สามารถจับผิดการปลอมแปลงหลักฐานของ Hank นั่นทำให้เขาต้องยินยอมทำสัญญากับปีศาจ (Deal with the Devil) หรือจะมองว่า Touch of Evil ก็ได้ด้วยกระมัง! กล่าวคือตอบตกลงร่วมงานกับหัวหน้า(ชั่วคราว)ครอบครัวอาชญากร Joe Grandi ทอดทิ้งเพื่อนสนิท/จ่า Pete Menzies เอาไว้เบื้องหลัง

และวินาทีที่เหมือนข้อตกลงลุล่วง กล้องค่อยๆเคลื่อนถอยหลังในทิศทางมุมก้ม (High-Angle Shot) สร้างสัมผัสเหมือนวิญญาณล่องลอยออกจากร่าง บุคคลสูญเสียอุดมการณ์ ชีวิตสาละวันเตี้ยลง

Deep Focus คือหนึ่งในเทคนิคที่ถือเป็นลายเซ็นต์ของผกก. Welles ระยะใกล้-ไกล ภายนอก-ใน ล้วนมีความคมชัดในทุกๆระดับ ผมเลยรวบรวมมาวางเรียง คงไม่ต้องอธิบายอะไรเพิ่มเติมกระมัง

ผมละขำกลิ้งกับตอนที่ Mike พยายามพูดบอกความจริง อ้างอิงหลักฐานที่อยู่ในกำมือ Hank ซื้อไดนาไมต์ไปทำฟาร์ม 17 อัน แต่มีรายงานใช้เพียง 15 อัน วินาทีนั้นเขาบีบไข่นกแตกละเอียดคามือ มันคือปฏิกิริยาตกอกตกใจ (เหมือนถูกบีบไข่/กล่องดวงใจ/อวัยวะเพศชาย) ใครกันแน่คือลูกไก่ในกำมือ?

หลังจากบีบไข่แตก Hank หยิบตราตำรวจขึ้นมาโยนทิ้งบนเตียง จากนั้นพูดพร่ำบ่นถึงระยะเวลากว่าสามสิบปีที่ฉันทำงาน บลา บลา บลา พยายามอวดอ้างคุณธรรม บารมี เกียรติยศศักดิ์ศรี แต่แท้จริงแล้วไม่ต่างจากหมาจนตรอก ตระหนักรับรู้ว่าทั้งหมดคือความจริง แต่ต้องทำแบบนี้เพื่อเล่นแง่ ทวงบุญคุณ ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้โดยง่ายดาย

กลุ่มวัยรุ่น/สมาชิกครอบครัวอาชญากร Grandi ไขประตูเข้ามายืนห้อมล้อมรอบเตียง (ด้วยภาพมุมเงยที่น่าสะพรึงกลัว) มันจะหลายครั้งที่เงามืดเคลื่อนผ่านใบหน้าของ Susan (Touch of Evil) และคำกล่าวสาวทอมที่สุดแสนโฉดชั่วร้าย “Lemme stay, I wanna watch.” มันจะมีอะไรให้ผู้ชมครุ่นคิดจินตนาการไปมากกว่าถูกข่มขืนกระทำชำเรา?

Mercedes McCambridge นักแสดงรางวัล Oscar: Best Supporting Actress จากภาพยนตร์ All the King’s Men (1949) และเคยเข้าชิงกับ Giant (1956) แวะเวียนมารับประทานอาหารกลางวันกับผกก. Welles ก่อนถูกโน้มน้าว ล่อหลอกให้มาเข้าฉาก ตอนกำลังแต่งหน้า ยังแอบให้ช่างตัดผมสั้น สวมใส่แจ็กเก็ตหนัง … แต่ผมว่าในบรรดาภาพยนตร์ทั้งหมดของ McCambridge การปรากฎตัวแค่ไม่กี่วินาทีนี้ ได้รับการจดจำยิ่งกว่าผลงานคว้ารางวัล Oscar เสียอีก!

แสงไฟจากภายนอกกระพริบติดๆดับๆ ช่วยสร้างบรรยากาศหลอกหลอน ขนหัวลุกพองระหว่าง Hank ลงมือฆ่ารัดคอ (สัญญะของการสูญสิ้นความทะเยอทะยาน มักใหญ่ใฝ่สูง) และโดยเฉพาะตอน Susan ฟื้นตื่นขึ้นมาพบเห็นศพของ Joe Grandi ตาเหลือบ แลบลิ้น (ใช้ลิ้นแกะ) จุดประสงค์เพื่อสร้างความอัปลักษณ์ น่าขยะแขยง เห็นเพียงแวบๆยังทำให้ผู้ชมบางคนถึงขั้นสะดุ้งโหยง

มันมีมุมกล้องมากมายที่จะเริ่มต้นซีเควนซ์นี้ แต่หนังกลับเลือกถ่ายใต้หว่างขาหญิงสาวกำลังเต้นระบำ (ผมคาดเดาว่าน่าจะคนเดียวกับที่ถูกน้ำกรดสาดโปสเตอร์) ราวกับต้องการสื่อว่าภรรยา Susan คือแรงผลักดัน(ทางเพศ)ของ Mike เดินทางมาบาร์แห่งนี้เพื่อติดตามหาสมาชิกครอบครัว Grandi ที่ลักพาตัวเธอไป สังเกตตอนที่เขาเข้ามาในร้าน กล้องเคลื่อนเลื่อนผ่านม่านลูกปัด นั่นคือสัญลักษณ์ของการถูกกักขังหน่วงเหนี่ยว สัตว์ร้ายในกรงพร้อมระบายอารมณ์อัดอั้น ก่อนเกิดต่อสู้ ชุลมุนวุ่นวาย เพื่อให้ได้หญิงคนรักกลับคืนมา ฉันไม่หวาดกลัวเกรงอะไรใครทั้งนั้น

หลังจากบาร์แห่งนี้ราบเรียบเป็นหน้ากลอง มีเจ้าหน้าที่มาแจ้งกับ Mike ว่าพบเจอตัว Susan สภาพมึนเมา มีสารเสพติด(เฮโรอีน)ในร่างกาย และกลายเป็นผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรม … ผมว่าภาพนี้ที่เกินกว่าครึ่งปกคลุมด้วยเงามืด สะท้อนความรู้สึกภายในจิตใจตัวละครได้อย่างชัดเจน!

ถ้ามีสัตว์ตัวหนึ่งที่สามารถใช้เป็นตัวตายตัวแทน Hank Quinland ก็คงคือกระทิงตัวนี้กระมัง เป็นสัตว์ที่มีความดื้อด้าน ทนทาน เอาแต่ใจ ใครทำอะไรไม่พึงพอใจ/เอาผ้าแดงมายั่วอารมณ์ ก็พร้อมไล่กวด เขาขวิด ไม่ยินยอมรับความพ่ายแพ้จนกว่าจะตัวตาย … กระทิงที่นำมาสู้กระทิง (Bullfighting) ล้วนถูกฆ่าตายตามประเพณีนะครับ

ตอนสร้างหนังเรื่องนี้ ผกก. Welles ยังครุ่นคิดว่าตนเองอาจได้ร่วมงานสตูดิโอ Universal อีกหลายครั้ง! แต่ทว่าคำกล่าวของ Tana กลับกลายเป็น ‘Death Flag’ คำพยากรณ์ชีวิตจริง Touch of Evil (1958) กลายเป็นผลงานสุดท้ายสร้างขึ้นใน Hollywood ได้รับบาดแผลทางใจ (แบบเดียวกับตัวละคร Susan) มิอาจปักหลักอาศัยอยู่สหรัฐอเมริกาอีกต่อไป!

แม้จะมีหลักฐานอยู่หลายชิ้น แต่ล้วนเป็นเพียงสมมติฐาน การคาดการณ์ จำเป็นต้องได้จากคำรับสารภาพของ Hank วิธีการก็คือฝากให้จ่า Pete ทำการพูดคุยสอบถาม โน้มน้าวให้พูดบอกความจริง ส่วน Mike แอบติดตามด้วยเครื่องจับสัญญาณบันทึกเสียง

นี่เป็นซีเควนซ์ที่บางคนอาจบอกว่ามั่วมาก ดูไม่รู้เรื่อง แต่ขณะเดียวมันคือความติสต์แตกของผกก. Welles เต็มไปด้วยมุมกล้องแปลกประหลาด เดี๋ยวก้ม-เงย-เอียง เคลื่อนเข้า-ออก กวัดแกว่ง ส่ายๆสั่นๆ ฯ พยายามเก็บรายละเอียดจากทุกมุมมอง ทุกทิศทาง ทุกความเป็นไปได้ พวกเขานอกจากเดินพานผ่านบริเวณทิ้งร้าง เศษซากปรักหักพัง ยังพบเห็นสถานที่แรก แท่นขุดเจาะน้ำมัน (Oil Drilling) เครื่องจักรขนาดใหญ่ทำการสูบเลือดสูบเนื้อ สูบน้ำมันจากผืนแผ่นดินขึ้นมาใช้ประโยชน์ โดยไม่สนความเสียหายบังเกิดขึ้นกับธรรมชาติ (สัญญะของความคอรัปชั่นนั้นเอง)

พอพานผ่านแท่นขุดเจาะน้ำมัน สถานที่สุดท้ายของหนังคือบริเวณสะพานข้ามคลอง นัยยะเดียวกับเมืองชายแดนคืออยู่กึ่งกลางสองประเทศ/ฟากฝั่ง เลือนลางระหว่างความถูก-ผิด ดี-ชั่ว

  • เบื้องบน Hank พยายามสร้างภาพให้ดูดี ก้าวเดินบนเส้นทางราบเรียบ ราวกับโรยด้วยกลีบกุหลาบ
  • เบื้องล่าง Mike ต้องแหวกว่าย ตะเกียกตะกาย ทำทุกสิ่งอย่างเพื่อบันทึกความจริงที่ Hank ซุกซ่อนเร้นไว้

ตลอดระยะเวลา 30 ปี แม้ว่า Hank ทำการปลอมแปลงหลักฐานมาแล้วหลายคดี แต่ทุกครั้งล้วนมีเหตุมีมูล อาชญากรกระทำความผิดจริงๆ ถึงอย่างนั้นการทรยศหักหลังพวกพ้องครั้งนี้ ลั่นไกปืนใส่เพื่อนสนิทผู้จงรักภักดี ก่อนที่จะทิ้งตัวลงนอนพยายามเอื้อมมือสัมผัส (Touch of Evil) กลายมาเป็นมือเปื้อนเลือด พยายามจะลงไปล้างในคลอง แต่มันช่างสกปรกโสมม เต็มไปด้วยขยะลอยเกลื่อน สัญลักษณ์แทนความชั่วร้ายที่เขาไม่มีวันลบล้างออก จักติดตราฝังใจตราบจนวันตาย

มันจะมีเสี้ยววินาทีหนึ่งที่ Hank พยายามยิงปืนใส่ Mike ต้องการใส่ร้ายป้ายสีอีกฝ่ายว่าคือฆาตกรฆ่าจ่า Pete มุมกล้องช็อตนี้ถ่ายตัวละครถูกห้อมล้อมรอบอยู่ภายในกรอบ สื่อถึงการไม่สามารถหลบหนีความผิด ถูกหลักฐานมัดตัว ถ้ารอดชีวิตไปได้ก็ติดคุกติดตารางอย่างแน่นอน!

คำกล่าวประโยคสุดท้ายของ Hank มันช่างเป็นความหลงผิด หลอกตัวเอง “Pete … That’s the second bullet I stopped for you.” ครุ่นคิดว่าสามารถหยุดกระสุนนัดนั้น แต่แท้จริงแล้วจ่า Pete จงใจยิงปืนใส่ Hank เพื่อโต้ตอบเอาคืนอีกฝ่ายที่พยายามเข่นฆ่าตนเอง

หนังมีความคลุมเคลือเล็กๆว่า Hank เสียชีวิตเพราะอะไร? กระสุนนัดนั้น? หรือตกใจกับเลือด/ความตายของ Pete? หรือสะดุดล้มแล้วจมน้ำ? แต่ไม่ว่าจะสาเหตุจะคืออะไร จุดจบของตัวละครนี้คือล่องลอย ขึ้นอืดไปตามสายน้ำ ไม่ต่างจากเศษขยะที่ถูกทอดทิ้งขว้าง

แซว: เมื่อตอน The Third Man (1949) ผกก. Welles ปฏิเสธการลงไปถ่ายทำในท่อระบายน้ำกรุงเวียนนา (จนต้องสร้างฉากถ่ายทำในสตูดิโอบางส่วน) แต่ทว่าพอเป็นภาพยนตร์สร้างเอง นำแสดง-กำกับเอง กลับยินยอมลงไปลอยคอในคลองที่(น่าจะ)มีความสกปรกโสโครกยิ่งกว่า!

คำกล่าวสุดท้ายของ Tana เต็มไปด้วยความแดกดัน ประชดประชัน แสดงความไม่ยี่หร่า “What does it matter what you say about people?” เราจะไปสนใจความคิดเห็นของผู้อื่นทำไม? และตอนจบเธอก้าวเดินสู่ความมืด หันมาพูดอำลาหน้ากล้องสองภาษา (อังกฤษ) Goodbye และ (เม็กซิกัน) Adios

เอาจริงๆผมชอบตอนจบของ The Lady from Shanghai (1947) ที่ผกก. Welles ตัดพ้อว่าจะปล่อยวาง ละเลิกยุ่งเกี่ยวกับวงการ Hollywood แต่จนแล้วจนรอดกลับยังหวนกลับมาสรรค์สร้างอีกหลายผลงาน จนกระทั่งสัมผัสชั่วร้ายของสตูดิโอ Universal ทำให้เขาต้องร่ำลาจากไปจริงๆด้วยความมืดมิด สิ้นหวัง … Tana เป็นหมอดูที่พยากรณ์โชคชะตาผกก. Welles ได้อย่างแม่นเป๊ะทุกประการ

ในส่วนของการตัดต่อ แรกเริ่มโปรดิวเซอร์ Zugsmith เลือกใช้บริการ Edward Curtiss เพราะความคิดเห็นแตกต่างจากผกก. Welles เลยถูกไล่ออกแล้วเปลี่ยนมาเป็น Virgil Vogel ผ่านมาสองเดือนได้ฉบับความยาว 108 นาที (ที่ต่อมากลายเป็น Preview Cut) จริงๆแล้วยังไม่เสร็จสมบูรณ์ดี แต่ทว่าผู้บริหารสตูดิโอเร่งรีบนำมาทดลองฉาย เสียงตอบย่ำแย่เลยแต่งตั้งนักตัดต่อคนใหม่ Aaron Stell สร้างความไม่พึงพอใจต่อผกก. Welles เดินทางสู่เม็กซิโกเริ่มต้นถ่ายทำโปรเจคถัดไป(ที่สร้างไม่เสร็จ) Don Quixote

In the editing room, I work very slowly, which always unleashes the temper of the producers who snatch the film from my hands. I don’t know why it takes me so much time: I could work forever on the editing of a film.

When they saw the cut version they barred me from the lot. The picture was just too dark and black and strange for them. It’s the only trouble I’ve ever had that I can’t begin to fathom. The picture rocked them in some funny way. They particularly loathed the black comedy—the kind people like now. It was a terribly traumatic experience, when suddenly I was fired from the lot at Universal.

Orson Welles

ฉบับตัดต่อของ Stell ก็ไม่ได้ทำให้หนังดูดีขึ้นกว่าเดิม จนโปรดิวเซอร์ต้องแต่งตั้งนักตัดต่อเพิ่มเติม Ernest Nims และ Harry Keller (แต่สุดท้ายมีขึ้นเครดิตแค่ Vergil Vogel และ Aaron Stell) มีการถ่ายซ่อม ก่อนออกฉายด้วยความยาว 95 นาที ซึ่งพอผกก. Welles มีโอกาสรับชม เขียนจดหมายความยาว 58 หน้ากระดาษ ให้คำแนะนำโปรดิวเซอร์ว่าควรปรับแก้ไขอะไรยังไง ถึงอย่างนั้นกลับไม่มีใครให้ความสนใจ … จนกระทั่งเกือบครึ่งศตวรรษถัดมา!

เนื่องจากผมรับชมหนังฉบับ Reconstruction Cut เลยจะยึดโครงสร้างตามฉบับนี้เท่านั้นนะครับ! ซึ่งการดำเนินเรื่องไม่ได้นำเสนอผ่านมุมมองตัวละครหนึ่งใด ตัดสลับไปมาระหว่าง Mike Vargas, Susan Vargas และ Hank Quinlan อาจเรียกว่าใช้เมือง Los Robles ชายแดนระหว่างสหรัฐอเมริกา-เม็กซิโกคือจุดศูนย์กลาง

(การดำเนินเรื่องที่ตัดสลับกลับไปกลับมาระหว่างตัวละคร สอดคล้องเข้ากับการสืบสวนสอบที่เดี๋ยวอยู่ฝั่งสหรัฐอเมริกา อีกประเดี๋ยวข้ามฝากสู่เม็กซิโก ผู้ชมต้องคอยสังเกตจากบริบทรอบข้าง ป้ายร้านค้า ถึงจะบอกได้ว่าขณะนี้อยู่ประเทศไหน?)

  • ค่ำคืนแห่งหายนะ
    • ชายคนหนึ่งแอบติดตั้งระเบิดเวลาจากฟากฝั่งเม็กซิโก ข้ามชายแดนมาระเบิดฟากฝั่งสหรัฐอเมริกา
    • ผู้คนมากมายรายล้อมที่เกิดเหตุ รวมถึง Mike Vargas เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. จากเม็กซิโก
    • ร้อยตำรวจเอก Hank Quinlan ลากสังขารมาถึงสถานที่เกิดเหตุ บอกให้เจ้าหน้าที่แอบติดตามบุตรสาวของผู้เสียชีวิต
    • ระหว่างทางกลับโรงแรม (ฟากฝั่งเม็กซิโก) ของ Susan ถูกชายหนุ่มเม็กซิกัน Pancho นำพาไปพบเจอ Joe Grandi
    • Mike แวะเวียนไปหาภรรยาที่โรงแรม ก่อนถูกชายหนุ่มเม็กซิกันขว้างน้ำกรดใส่ โชคดีเอาตัวรอดได้หวุดหวิด
    • Hank แวะเวียนมายังไนท์คลับพูดคุยกับเจ้าของร้าน, ก่อนออกมาพบเจอหมอดู Tana ที่เคยเป็นคนรักเก่า
    • ค่ำคืนนี้สมาชิกครอบครัวอาชญากร Grandi พยายามก่อกวน Susan จนไม่ได้หลับได้นอน
  • วันแห่งการหลอกลวง
    • Susan เลือกที่จะเข้าพักโรงแรมข้างทางฟากฝั่งสหรัฐอเมริกา แต่ปรากฎว่าสถานที่นี้อยู่ในการดูแลของครอบครัวอาชญากร Grandi
    • Hank และคณะเดินทางไปยังเหมืองแห่งหนึ่ง สอบถามการสูญหายไปของระเบิดไดนาไมต์
    • จากนั้นเดินทางไปยังบ้านพักของ Manolo Sanchez
    • หลังจาก Mike โทรศัพท์ติดต่อหาภรรยา พอกลับมา Manolo Sanchez ถูกจับข้อหาครอบครองระเบิดไดนาไมต์ มันโผล่มาจากไหน?
    • Mike ตระหนักว่า Hank ทำการปลอมแปลงหลักฐาน จึงต้องการสืบค้นหาข้อมูลอ้างอิง
    • Joe Grandi ทำการโน้มน้าว Hank ชักชวนให้ไปนั่งดื่มที่ร้าน
    • Susan ไม่ได้หลับไม่ได้นอน ถูกวัยรุ่นขับรถมาก่อกวน
    • Mike พยายามพูดคุยโน้มน้าวหัวหน้าของ Hank แต่พวกเขากลับไม่สนใจใยดี
  • ค่ำคืนแห่งความจริง
    • Mike จึงทำการขุดคุ้ยคดีความเก่าๆ ก่อนค้นพบว่า Hank ทำการปลอมแปลงหลักฐานมาหลายครั้ง
    • Susan ถูกวางยาและลักพาตัว
    • Mike รีบออกเดินทางสู่โรงแรมข้างทาง แต่ภรรยาสูญหายตัวไป
    • Susan ถูกวางยาสลบ จากนั้น Hank ลงมือฆ่าปิดปาก Joe Grandi
    • Mike เดินทางไปตามผับบาร์เม็กซิกัน ระบายอารมณ์ใส่สมาชิกครอบครัวอาชญากร Grandi
    • จ่าตำรวจ Pete Menzies นำพา Mike ไปพบเจอกับภรรยา ตระหนักว่าทั้งหมดคือแผนการใส่ร้ายป้ายสีของ Hank
    • ขณะนั้น Hank มึนเมาอยู่กับคนรักเก่า Tana
    • จ่าตำรวจ Pete เรียก Hank ออกมาพูดคุย ขณะที่ Mike แอบบันทึกการสนทนา
    • พอเดินข้ามสะพาน Hank ก็ตระหนักว่าตนเองถูกทรยศหักหลัง จึงเกิดการยิงต่อสู้

ข้อเสียของการดำเนินเรื่องแบบตัดสลับกลับไปกลับมาระหว่างตัวละคร ทำให้เรื่องราว(ของตัวละครหนึ่ง)ขาดความต่อเนื่องลื่นไหล อาจสร้างปัญหาใหญ่ให้กับคนเพิ่งรับชมหนังครั้งแรกๆ แต่ทุกครั้งที่สลับเปลี่ยนตัวละคร มันจะมีบางสิ่งอย่างสามารถเชื่อมโยงเพื่อให้เกิดความต่อเนื่องลื่นไหล และสร้างสัมผัสบทกวีภาพยนตร์!

ซึ่งเหตุผลที่ผกก. Welles เลือกใช้วิธีการนำเสนอเช่นนี้ จุดประสงค์หลักๆก็เพื่อให้ผู้ชมเพลิดเพลินกับบรรยากาศ & อารมณ์ (Mood & Tone) ยังไม่ต้องไปสนใจเรื่องราวที่เหมือนเขาวงกตมากก็ได้ … คล้ายกับภาพยนตร์ The Big Sleep (1946) ของผู้กำกับ Howard Hawks

“I’d seen the film four or five times before I noticed the story,” the director Peter Bogdanovich once told his friend Orson. “That speaks well for the story,” Welles rumbled sarcastically, but Bogdanovich replied, “No, no–I mean I was looking at the direction.”

That might be the best approach for anyone seeing the film for the first time: to set aside the labyrinthine plot, and simply admire what is on the screen.

นักวิจารณ์ Roger Ebert ให้คะแนน 4/4 พร้อมจัดเป็น Great Movie

สิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตได้คือความคู่ขนานระหว่างข้อมูลเชิงลึกที่ Mike สามารถสืบค้นหา = ความเลวร้ายบังเกิดขึ้นกับภรรยา Susan ราวกับต้องจะสื่อว่ายิ่งเขาค้นพบความชั่วร้ายของ Hank ก็จักได้รับผลกรรมคืนตอบสนอง(กับภรรยา)รุนแรงขึ้นเท่านั้น!

  • พอเกิดเหตุวินาศกรรม Mike ต้องการเข้ามามีส่วนร่วมสังเกตการณ์คดีความ = ระหว่าง Susan เดินทางกลับโรงแรม ถูกเชื้อเชิญโดย Joe Grandi พูดจาข่มขู่ คุกคาม แต่คราวนี้ยังไม่ทำอะไร
  • Mike สังเกตเห็นความผิดปกติของ Hank ตระหนักถึงการแอบปลอมแปลงหลักฐาน = Susan ถูกก่อกวนตลอดทั้งวัน ไม่ได้หลับได้นอน
  • Mike พยายามล็อบบี้บรรดาเจ้าหน้าที่ตำรวจ =พวกสมาชิกครอบครัวอาชญากร Grandi บุกเข้าไปในห้องพัก ลงมือข่มขืน Susan
  • Mike ค้นพบเอกสารที่สามารถเปิดโปงเบื้องหลังความจริง = Susan ถูกวางยา ลักพาตัว กลายเป็นผู้ต้องหาคดีฆาตกรรม
  • และท้ายที่สุดเมื่อ Hank ได้รับผลกรรมติดตามทัน = Susan ถึงสามารถหวนกลับสู่อ้อมอกสามี

เพลงประกอบโดย Henry Mancini ชื่อจริง Enrico Nicola Mancini (1924-94) คีตกวีสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Cleveland, Ohio แล้วมาเติบโตยัง West Aliquippa, Pennsylvania ในครอบครัวผู้อพยพชาวอิตาเลียน บิดาคือนักดนตรีสมัครเล่น สอนให้บุตรชายฝึกเป่าปิคโคโล (Piccolo) ตั้งแต่อายุแปดขวบ, หลังจากมีโอกาสรับชม The Crusades (1935) เกิดความหลงใหลเพลงประกอบภาพยนตร์, อายุสิบสองร่ำเรียนเปียโน ฝึกงานกับ Stanley Theatre (ปัจจุบันคือ Benedum Center) เรียบเรียงออร์เคสตราของ Benny Goodman พอโตขึ้นสามารถสอบเข้า Juilliard School of Music ก่อนเกณฑ์ทหาร U.S. Air Force เมื่อปี ค.ศ. 1943 แล้วได้รับเลือกจาก Glenn Miller ร่วมเล่นดนตรีกับกองทัพ หลังสงครามกลายเป็นสมาชิก Glenn Miller Orchestra และตั้งแต่ปี ค.ศ. 1952 ทำเพลงประกอบภาพยนตร์ในสังกัดสตูดิโอ Universal ผลงานเด่นๆ อาทิ The Glenn Miller Story (1954), Creature from the Black Lagoon (1954), Touch of Evil (1958), Breakfast at Tiffany’s (1961), Days of Wine and Roses (1962), Charade (1963), The Pink Panther (1964), The Great Race (1965), Victor/Victoria (1982) ฯ

ผมไม่ค่อยแน่ใจว่า Mancini คือตัวเลือกของสตูดิโอหรือผกก. Welles (เพราะโดยปกติแล้วผกก. Welles มักไม่ค่อยยึดติดสไตล์ดนตรี เลือกใช้เสียง ‘diegetic music’ ที่ตอบสนองวิสัยทัศน์ตนเองมากกว่า) แต่ต้องยอมรับสไตล์ดนตรี Jazz เหมาะกับบรรยากาศหนังนัวร์มากๆ พยายามทำออกมาให้มีกลิ่นอาย Mexican (เห็นมีคนเรียก Tijuana Jazz) สัมผัสแห่งความชั่วร้าย เมืองชายแดนแห่งความคอรัปชั่น ทำลายเมืองแห่งนี้ให้เหลือเพียงเศษซากปรักหักพัง

Main Title เป็นบทเพลงดังขึ้นระหว่าง Long Take สามนาทีกว่าๆ แต่จะถูกตัดทิ้งในฉบับ Reconstruction Cut เพราะผกก. Welles ไม่ต้องการชี้นำทางอารมณ์ผู้ชมขนาดนั้น! เลือกใช้เสียงประกอบ + บทพูดสนทนา + บทเพลงดังล่องลอยมา (diegetic music) สร้างความตื่นเต้นลุ้นระทึก คาดไม่ถึง ช่วยทำให้หนังมีมิติลุ่มลึกกว่ามากๆ

แต่ไฮไลท์เพลงประกอบผมขอยกให้ Tana’s Theme ดังจากเปียโนเล่นเองได้ (Player Piano) ท่วงทำนองละม้ายคล้ายสไตล์ดนตรี Ragtime สร้างกลิ่นอายหวนระลึกความหลัง (Nostalgia) และการบรรเลงที่ฟังดูห้วนๆ แข็งกระด้าง สะท้อนความสัมพันธ์ระหว่าง Hank Quinlan กับ Tana ที่แทบมองตากันไม่ติด แต่อดีตคงเคยร่วมสุขร่วมทุกข์ ผู้ชมสัมผัสได้ถึงความรัก ความห่วงใย โหยหาอาลัย ที่พึ่งพาทางใจของกันและกัน (ในช่วงเวลาสุดท้ายชีวิต)

มันมีหลายบทเพลงดังขึ้นเพื่อสร้างความก่อกวน Susan ไม่ให้หลับให้นอน แต่ไฮไลท์คือ Lease Breaker ที่สมาชิกครอบครัวอาชญากร Grandi ไขประตูห้องพักโรงแรม เข้ามายืนห้อมล้อมรอบเตียง ก่อนกระทำการ !@#$%^ โดยเฉพาะเมื่อเสียงเป่าแซกโซโฟนดังขึ้นมา อาจฟังดูสนุกสนานครื้นเครง แต่กลับคือหายนะบังเกิดขึ้นกับหญิงสาว … ขึ้นกับผู้ชมจะครุ่นคิดจินตนาการว่ามันบังเกิดอะไรขึ้น!

Touch of Evil (1958) นำเสนอเรื่องราวของตำรวจคอรัปชั่น Hank Quinlan พร้อมทำทุกสิ่งอย่างโดยไม่สนถูก-ผิด ดี-ชั่ว ใช้ความรุนแรง ปลอมแปลงหลักฐาน จับกุมคนร้ายมาลงโทษทัณฑ์ แต่นั่นเป็นวิธีการถูกต้องเหมาะสมหรือไม่? และถ้าสันชาตญาณ(ขาสั่น)ของเขาผิดพลาด หรือผู้บริสุทธิ์(ทนทรมานไม่ไหว)ยินยอมรับสารภาพ ใครจักคือผู้รับผิดชอบความเสียหาย?

นอกจากเรื่องอาชญากรกระทำสิ่งชั่วร้าย Hank ยังสำแดงอคติต่อต้าน ดูถูกเหยียดหยาม (Racism) ต่อ Mike Vargas เหมารวมใครก็ตามมาจากประเทศเม็กซิโกคือคนโฉดชั่วร้าย บุคคลอันตราย (วินาศกรรมครั้งนี้เริ่มต้นที่เม็กซิโก ข้ามพรมแดนสู่สหรัฐอเมริกา) พยายามขับไล่ผลักไส ไม่ต้องการให้ยุ่งเกี่ยวคดีความ แล้วพออีกฝ่ายพบเห็นพฤติกรรมฉ้อฉลคอรัปชั่น จึงครุ่นคิดแผนการใส่ร้ายป้ายสี หาหนทางกำจัดให้พ้นภัยทาง

จริงอยู่ว่าเม็กซิโกคือดินแดนบ้านป่าเมืองเถื่อน (ในสายตาชาวอเมริกัน) แต่ทว่า Mike กลับคือเจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. ผู้มีความซื่อสัตย์สุจริต ยึดถือมั่นอุดมการณ์อย่างแรงกล้า แม้ตนเองไม่มีส่วนได้ส่วนเสียต่อวินาศกรรมบังเกิดขึ้น แต่เพราะเขาอยู่ในที่เกิดเหตุจึงติดสอยห้อยตาม Hank ก่อนสังเกตเห็นพฤติกรรมฉ้อฉล ปลอมแปลงหลักฐาน สืบค้นจนพบเจอเบื้องหลังความจริง พร้อมจะเปิดโปงทุกสิ่งอย่าง

แต่การยึดถือมั่นอุดมการณ์อย่างแรงกล้าของ Mike มันก็เหมือนดาบสองคมที่ทำให้เขาปล่อยปละละเลยภรรยา หลงครุ่นคิดว่าเธออยู่ในสถานที่ปลอดภัย แท้จริงแล้วโดนก่อกวน คุกคาม กระทำชำเราจนแทบหมดสิ้นสภาพ เกิดเป็นบาดแผลทางใจ (แต่หนังทำเหมือนเธอจดจำอะไรไม่ได้สักสิ่งอย่าง) นั่นคือข้อแลกเปลี่ยนของความสุดโต่ง ไม่รู้จักโอนอ่อนผ่อนปรน (คล้ายๆภาพยนตร์ The Big Heat (1953)) ชักชวนให้ตั้งคำถามถึงความคุ้มค่าแล้วฤา?

Los Robles เมืองสมมติชายแดนระหว่างสหรัฐอเมริกา-เม็กซิโก สถานที่เลือนลางระหว่างถูก-ผิด ดี-ชั่ว ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับทุนจาก Hollywood แต่ตำรวจอเมริกันกลับเป็นผู้ร้าย, ส่วนเจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. ชาวเม็กซิกันคือพระเอก มันฟังดูกลับตารปัตรตรงกันข้าม … นี่คือสิ่งพบเจอได้บ่อยในภาพยนตร์ยุคหลังสงคราม (Post-War) วันก่อนผมเขียนถึงหลายๆผลงานของผู้กำกับ Carol Reed โดยเฉพาะ The Third Man (1949) เพื่อนสนิทวัยเด็กกลายเป็นใครก็ไม่รู้ เวนิสที่เคยยิ่งใหญ่หลงเหลือเพียงเศษซากปรักหักพัง เหล่านี้สะท้อนความเปลี่ยนแปลงยุคสมัย อดีตเคลื่อนพานผ่าน หลงเหลือเพียงความทรงจำวันวาน และอารัมบทก่อนกาลมาถึงของสงครามเย็น

ถ้าเราเปลี่ยนจากความคอรัปชั่นของแวดวงตำรวจ มาเป็นวงการภาพยนตร์ Hollywood จะทำให้มองเห็นอคติของผกก. Welles สะท้อนผ่านตัวละครของตนเอง Hank ใช้สันชาตญาณจับกุมคนร้าย โดยไม่สนวิธีการถูกต้องเหมาะสม เพียงผลลัพท์ความสำเร็จ … โจมตีบรรดาสตูดิโอ/โปรดิวเซอร์ภาพยนตร์ สนเพียงชื่อเสียง กำไร ความสำเร็จ ด้วยการควบคุมทุกสิ่งอย่างให้อยู่ภายในวิสัยทัศน์ โดยไม่สนวิธีการ/ควบคุมครอบงำทีมผู้สร้าง

เช่นนั้นแล้วตัวละคร Charlton Heston ก็สามารถเป็นตัวตายตัวแทนของผกก. Welles บังเอิญเข้ามายุ่งเกี่ยวข้องแว้ง (สร้างภาพยนตร์ให้กับ Hollywood) แล้วพบเห็นพฤติกรรมคอรัปชั่น ทำการขุดคุ้ยเบื้องหลัง ต้องการเปิดโปงความจริง กลับโดนโต้ตอบจนเกือบสูญเสียหญิงคนรัก (= ถูกปู้ยี้ปู้ยำจนกลายเป็นบาดแผลทางใจ)

เอาจริงๆมันก็ไม่ผิดที่จะมอง Hank คือตัวตายตัวแทนของผกก. Welles ตัวจริงมีอุปนิสัยคล้ายๆกัน เรื่องมาก เจ้ากี้เจ้าการ ยียวนกวนประสาท ร่างกายอวบอ้วน (ในอนาคต) และคำพยากรณ์ของ Tana กล่าวว่า “Your future is all used up.” เพราะนี่คือหนัง Hollywood เรื่องสุดท้ายจริงๆของ Orson Welles

ปล. เอาจริงๆต้องถือว่า The Lady from Shanghai (1947) คือผลงานสุดท้ายใน Hollywood ที่ผกก. Welles สามารถสร้างตามวิสัยทัศน์ แม้แต่ ‘final cut’ ก็ยังตัดต่อด้วยตนเอง, สำหรับ Touch of Evil (1958) ตอนออกฉายถูกสตูดิโอนำไปปู้ยี้ปู้ยำ จึงไม่ใครอยากนับรวบ แต่ภายหลังเมื่อมีฉบับ Reconstruction Cut ทุกสิ่งอย่างเลยปรับเปลี่ยนแปลงไป


หนังฉายรอบทดลอง (Sneak Preview) วันที่ 31 มกราคม ค.ศ. 1958 ที่โรงภาพยนตร์ Pacific Palisades, Los Angeles เสียงตอบรับที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ทำให้เดือนถัดมาสตูดิโอจัดโปรแกรมฉายควบ (Double Billed) เคียงคู่กับ The Female Animal (1958) เลยถูกตีตราว่าเป็นหนังเกรดบีโดยปริยาย

แต่แล้วสิ่งไม่มีใครคาดคิดถึงก็บังเกิดขึ้น เมื่อคณะกรรมการจัดงาน 1958 Brussels World Film Festival เชื้อเชิญผกก. Welles ให้นำหนังไปออกฉาย ปรากฎว่าเป็นที่ถูกอกถูกใจของชาวยุโรป โดยเฉพาะสองนักวิจารณ์(ขณะนั้น) Jean-Luc Godard และ François Truffaut จบงานสามารถคว้ามาสองรางวัล

  • Best Film in Competition
  • International Critics Prize (หรือคือ FIPRESCI Prize ของนักวิจารณ์)

ด้วยทุนสร้างประมาณ $900,000 เหรียญ ไม่มีรายงานรายรับในสหรัฐอเมริกา (เพราะเป็นการฉายควบ) แต่พอเดินทางสู่ยุโรปเห็นว่าทำรายได้เป็นกอบเป็นกำ โดยเฉพาะในฝรั่งเศสมียอดจำหน่ายตั๋วสูงถึง 1,232,534 ใบ และได้รับเลือกจากนิตยสาร Cahiers du Cinéma ให้เป็นภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแห่งปี ค.ศ. 1958

ความสำเร็จจากทวีปยุโรปไม่ได้ทำให้สถานการณ์หนังในสหรัฐอเมริกาเปลี่ยนแปลงไป ต้องรอคอยจนกระทั่งช่วงต้นทศวรรษ 70s เมื่อศาสตราจารย์ Robert Epstein จาก University of California, Los Angeles (UCLA) ติดต่อขอฟีล์มหนังสำหรับฉายในชั้นเรียน แล้วมีการค้นพบฉบับ 108 นาที ก่อนหน้าที่ผกก. Welles จะถูกไล่ออก! พอนำออกฉายใหม่ (Re-Release) กลายเป็นที่ฮือฮา ขนาดว่าพิพิธภัณฑ์ Los Angeles Country Museum of Art รวมหนังเข้าอยู่ในโปรแกรม The 50 Great American Films (1973) ภายหลังมีคำเรียกฉบับนี้ว่า Definitive Version หรือ Preview Cut

เมื่อปี ค.ศ. 1992 นักวิจารณ์ Jonathan Rosenbaum ได้ตีพิมพ์จดหมาย 58 หน้ากระดาษของผกก. Welles ลงนิตยสาร Film Quarterly สร้างความสนอกสนใจให้โปรดิวเซอร์ Rick Schmidlin ที่เป็นแฟนหนังเรื่องนี้ ทีแรกตั้งใจจะทำเป็นสารคดีพร้อมบทสัมภาษณ์นักแสดงที่ยังมีชีวิต แต่พอไปพูดคุยกับสตูดิโอ Universal เกิดความสนใจจะตัดต่อหนังใหม่ตามจดหมายนั้น มอบหมายนักตัดต่อ นักตัดต่อ Walter Murch เสร็จสิ้นปี ค.ศ. 1998 ตั้งชื่อว่า Director’s Cut หรือ Reconstruction Cut ตั้งใจจะนำออกฉายเทศกาลหนังเมือง Cannes Classic แต่ไม่ได้รับอนุญาตจากบุตรสาว Beatrice Welles เพียงเพราะสตูดิโอดันไม่แจ้งเธอล่วงหน้าถึงฉบับตัดต่อใหม่นี้

I saw it later and it was wonderful. I thought they did an amazing job, and it was very well done. It was what he wanted and it made much more sense than that chopped up nightmare there was before. It was fine and it was his. If they had told me that from the very beginning, none of that would have happened.

Beatrice Welles

สำหรับคนอยากอ่านจดหมาย 58 หน้ากระดาษ: https://wellesnet.com/touch_memo1.htm

กาลเวลาทำให้ Touch of Evil (1958) ได้รับการยกย่องกล่าวขวัญ หนึ่งใน “Greatest Film of All-Time” ติดอันดับชาร์ทภาพยนตร์จากหลากหลายสำนัก อาทิ

  • Sight & Sound: Critic’s Poll (2012) ติดอันดับ #57 (ร่วม)
  • Sight & Sound: Director’s Poll (2012) ติดอันดับ #26 (ร่วม)
  • Sight & Sound: Critic’s Poll (2012) ติดอันดับ #108 (ร่วม)
  • TimeOut: Greatest film of all time (1998) ติดอันดับ #57
  • The Village Voice: 100 Best Films of the 20th Century (2000) ติดอันดับ #55
  • Cahiers du Cinéma: Top 100 of all time (2008) ติดอันดับ #41
  • Empire: 500 Greatest Films of All Time (2008) ติดอันดับ #109
  • BBC: 100 Greatest American Films (2015) ติดอันดับ #51

ปัจจุบันหนังได้รับการบูรณะ 4K สามารถหาซื้อ Blu-Ray ฉบับของ Kino Lorber และ Eureka Entertainment (Masters of Cinema) ทั้งสองฉบับต่างเป็น 1 Movie, 3 Cuts (Theatrical, Preview และ Reconstruction) แต่ของแถมของ Eureak! มากกว่าพอสมควร

(จริงมันยังมีฉบับของ Universal วางขายปี ค.ศ. 2014 แต่คุณภาพแค่ HD เลยไม่ขอกล่าวถึงดีกว่า)


แม้ว่า Touch of Evil (1958) จะแพรวพราวด้วยลูกเล่นภาพยนตร์ที่น่าตื่นตาตื่นใจ สร้างบรรยากาศแห่งความเสื่อมโทรมทรามได้อย่างหลงใหล แต่เรื่องราวราวกับเขาวงกต เลอะเทอะเละเทะเป็นสับปะรด! ส่วนตัวรู้สึกว่า The Third Man (1949) มันมีความเท่ห์ เก๋ไก๋ สไตล์ลิสต์ หลายสิ่งอย่างดูน่าตื่นตาตื่นใจกว่าพอสมควร

สิ่งที่ผมสนใจมากสุดสำหรับ Touch of Evil (1958) คือสัมผัสจากสตูดิโอที่สร้างหายนะให้กับหนัง โคตรอยากรู้ว่าทำพังยังไง แต่ฉบับดังกล่าวเข้าฉาย 1958 Brussels World Film Festival แล้วคว้ามาสองรางวัล แสดงว่ามันต้องมีดีอะไรบางอย่าง

จัดเรต 18+ ตำรวจคอรัปชั่น บรรยากาศหนังนัวร์

คำโปรย | Touch of Evil สัมผัสของสตูดิโออาจสร้างหายนะให้หนัง แต่สัมผัสของผู้กำกับ Orson Welles จักทำให้ผู้ชม(ขา)สั่นสะท้านถึงความยิ่งใหญ่
คุณภาพ | สัผัชั่วร้าย
ส่วนตัว | ขาสั่นๆ


 Touch of Evil

Touch of Evil (1958) hollywood : Orson Welles ♥♥♥♥

(16/7/2016) film noir เรื่องสุดท้ายแห่งทตวรรษ กับการกลับมากำกับหนัง hollywood ครั้งสุดท้ายของ Orson Welles, มี Charlton Heston รับบทเป็น Mexican แม้ตอนฉายจะถูกสตูดิโอ Universal ทำให้กลายเป็นหนังเกรด B แต่เมื่อเวลาผ่านไป หนังได้รับการปรับปรุงแก้ไข จนกลายเป็นเวอร์ชั่นใกล้เคียงกับที่ Orson Welles ตั้งใจไว้มากที่สุด

ว่าไปมันก็เป็นเรื่องน่าเศร้ากับสิ่งที่เกิดขึ้นกับ Osron Welles เพราะเขาถูก blacklist จากสตูดิโอใน hollywood ส่วนหนึ่งเพราะความคิดล้ำยุคเกินไป และอีกส่วนหนึ่งคือเขาทำตัวเองด้วย กับหนังเรื่อง The Magnificent Ambersons (1942) ผลงานกำกับเรื่องที่ 2 ถัดจาก Citizen Kane (1941) ซึ่ง Orson ใช้งบประมาณเกินไปพอสมควร ถ่ายทำล่าช้า เปลี่ยนโน่นเปลี่ยนนี่บ่อยครั้ง จนสตูดิโอไม่พอใจในผลลัพท์ทำให้ต้องถ่ายซ่อม แล้วตัดต่อใหม่ (ตัดที่ Welles ทำไว้ทิ้งไปกว่า 40 นาที) สูญเงินไปไม่รู้เท่าไหร่และตอนฉายก็ขาดทุนย่อยยับ นี่ถือเป็นรอยบาดหมาง ที่ทำให้ต่อมา Welles ต้องอพยพหนีไปทำหนังในยุโรปแทน

สำหรับ Touch of Evil เดิมทีนั้น Universal ไม่ได้มีความต้องการให้ Orson Welles เป็นผู้กำกับ แต่ได้เซ็นต์สัญญาให้เป็นนักแสดง, สำหรับพระเอก เล็งไว้ให้ Charlton Heston รับบทนำ ซึ่ง Heston พอได้ยินชื่อ Orson Welles ก็คิดว่าเป็นผู้กำกับ เลยเซ็นต์สัญญาด้วยเงื่อนไขที่ Welles เป็นผู้กำกับ, นี่ทำให้ Universal จำใจต้องให้ Welles เป็นผู้กำกับด้วย แต่ก็แอบส่ง Spy สอดแนมขณะที่ Welles กำลังถ่ายทำอยู่

ดัดแปลงจากนิยายเรื่อง Badge of Evil เขียนโดย Whit Masterson ตีพิมพ์เมื่อปี 1956 ผมไม่เคยอ่านนิยายเรื่องนี้ แต่ได้ยินว่ามีบทที่แย่มากๆ เป็นเรื่องที่ Welles หลับหูหลับตาหยิบขึ้นมาจากร้านขายหนังสือมือสอง ด้วยคำท้าในความตั้งใจที่จะพิสูจน์ว่า เขาสามารถทำหนังที่ยอดเยี่ยม จากบทหนังที่ห่วยได้ (make a great film out of a bad script)

เรื่องราวเกิดขึ้นในเมืองที่เป็นรอยต่อระหว่างพรมแดน อเมริกากับเม็กซิโก เกิดเหตุการณ์ฆาตกรรมด้วยการระเบิดรถ ที่อาชญากรวางระเบิดเวลาจากที่อเมริกา ให้เกิดระเบิดขึ้นที่เม็กซิโก ทำให้ตำรวจจากทั้งสองประเทศต้องทำงานร่วมกันเพื่อสืบเสาะตามหาคนร้าย

หน้าหนังเรื่องนี้คือ film noir, crime, thriller ด้วยคำโปรยบนโปสเตอร์หนัง การแก้แค้นแปลกประหลาดที่สุด (The strangest vengence ever planned!) ซึ่งถ้ามองลึกลงไป จะพบว่านี่เป็นหนังที่ Orson Welles ทำเพื่อแก้แค้น hollywood (โดยเฉพาะ Universal) ในสิ่งที่พวกนั้นทำกับเขา ด้วยการแทนการกระทำ ภาพลักษณ์ ความรู้สึกของตัวละคร เป็นเชิงสัญลักษณ์ ซึ่งต้องอาศัยการวิเคราะห์สักหน่อยก็จะมองเห็นว่า ใครแทนด้วยอะไรและมีจุดประสงค์อะไร

Charlton Heston รับบท Miguel “Mike” Vargas เจ้าหน้าที่ ปปส. ของรัฐบาล Mexican ที่จับพลัดจับผลูมาพักร้อนกับแฟนสาว แต่กลับต้องมารับหน้าที่ร่วมทำงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจของอเมริกา, ถ้าเราไม่ยึดติดกับแนวคิดที่ว่า Heston เป็นชาวอเมริกันรับบทเป็น Mexican พูดสำเนียงอเมริกันแล้วละก็ การแสดงของเขาถือว่าใช้ได้เลย, Mike เป็นตำรวจที่มีความซื่อสัตย์สุจริต ตรงไปตรงมา เชื่อในหลักฐาน ความจริงที่พิสูจน์ได้ นั่นทำให้พอพบว่า ตำรวจอเมริกาเล่นไม่ซื่อ มีความทุจริต เขาจึงต้องการเปิดโปงความจริงทุกสิ่งอย่าง, ตัวละครนี้แทนได้กับ Orson Welles ในยุคแรกๆที่เริ่มเข้ามาในวงการ ด้วยความฝัน ความตั้งใจที่เต็มเปี่ยม แต่ได้พบกับสตูดิโอที่มีความคอรัปชั่น ขัดขวาง กีดกัดไม่ให้เขาสามารถทำหนังได้ดั่งใจ

Orson Welles รับบท Captain Hank Quinlan ตำรวจอเมริกาที่เชื่อในสัญชาติญาณตนเอง เขาทำทุกสิ่งอย่างเพื่อปรับปรำผู้ต้องหา ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ถูกหรือผิด, แม้คนที่ถูก Quinlan ป้ายสีจะเป็นผู้กระทำความผิดจริง แต่นี่ไม่ใช่วิสัยที่ถูกต้องนะครับ มันคือต้นเหตุของความคอรัปชั่นเลยละ, Welles รับบทนี้ด้วยการที่ต้องสวมชุดยาง ทำให้กลายเป็นคนตัวอ้วนใหญ่กว่าปกติ (แบบที่เขาเคยทำใน Citizen Kane) เหตุที่ต้องทำแบบนี้ เพื่อแสดงถึงความเฟอะฟะ เทอะทะ ตุ้ยนุ้ยที่เกิดจากความอิ่มหนำของการโกงกิน (คอรัปชั่น) แววตา สีหน้า ท่าทางการแสดงของ Welles สะท้อนภาพความชั่วร้าย เห็นแก่ตัว และความเอาเปรียบของสตูดิโอใน hollywood ออกมาให้เห็น ผมไม่คิดว่าจะมีนักแสดงคนไหนที่สามารถถ่ายทอดสิ่งนี้ออกมาได้ยอดเยี่ยมเท่าเขาอีกแล้ว นี่คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้ Welles แสดงบทนี้ ทั้งๆที่แค่งานกำกับก็เหนื่อยมากแล้ว ซึ่งก่อนเข้าฉาก เขาต้องเตรียมตัว แต่งหน้ากว่าจะเสร็จก็หลายชั่วโมง เรียกว่าทุ่มเทสุดตัวเพื่อฉีกหน้า Universal โดยเฉพาะ

Good cop vs Bad cop นี่ถือเป็นใจความหลักที่แท้จริงของหนังนะครับ แม้ตอนเริ่มเรื่องจะเป็นการร่วมมือกันค้นหาฆาตกรที่วางระเบิดก็เถอะ แต่ประเด็นของเรื่องนั้นจบไปแล้วตั้งแต่กลางเรื่อง ประมาณว่าเป็นการเกริ่นเพื่อเข้าสู่ใจความหลักที่แท้จริงของหนัง, ชนวนที่เป็นสาเหตุความขัดแย้ง คือวิธีการและการกระทำ, ในอีกมุมของหนังมันคือ Orson Welles vs Hollywood Studio ใครดีใครเลว คงคาดเดากันเองได้นะครับ และความขัดแย้งที่เกิดขึ้น เกิดจากความไม่พึงพอใจในผลลัพท์ จึงใช้วิธีการและการกระทำที่ขัดต่อความถูกต้อง

Janet Leigh ในบท Susie แฟนสาวของ Mike ที่ถูกกระทำชำเราทางจิตใจ แม้จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นทางกาย แต่ข้างในของเธอย่อมชอกช้ำและเจ็บปวด, ผมมองตัวละครนี้เป็นภาพสะท้อนข้างในจิตใจของ Orson Welles นี่เป็นตัวละครที่เป็นคู่ชีวิตของ Mike เราสามารถมองว่า เรื่องราวของ Mike คือสิ่งที่แสดงออกทางกาย ส่วน Susie คือความรู้สึกที่อยู่ข้างในจิตใจ

Spy ที่ส่งไปสอดแนม Welles ระหว่างการถ่ายทำนั้น เพราะ Universal มีความวิตกกังวลว่าเขาจะทำอะไรที่ทำให้หนังล่าช้า หรือใช้งบประมาณเกินอีก, วันแรกของการถ่ายทำ สายลับมาถึงสถานที่ถ่ายทำตอบ 9 โมงเช้า Welles เตรียมงานเสร็จตอน 9:15 เริ่มถ่ายตอน 9:25 จบวันถ่ายได้ 11 นาที, เมื่อสายสืบเห็นแบบนี้จึงรายงานกับสตูดิโอ ดูเหมือนว่า Welles อาจจะได้รับบทเรียนจากครั้งก่อน จึงทำตัวดีขึ้น ถัดมาอีก 2-3 วัน ยังคงไม่มีอะไรที่ผิดปกติ Spy จึงไม่ได้กลับมาอีก, แต่หารู้ไม่ 2-3 วันนั้น เป็นสิ่งที่ Welles จัดฉาก จงใจถ่ายเป็นอะไรที่ไม่ได้มีความสำคัญมากนัก พอนักสืบไม่ได้กลับมาแล้ว ก็ถึงเวลาที่เขาจะได้ทำอะไรตามใจเสียที

สไตล์การทำงานของ Welles นั้นค่อนข้างแปลก นักแสดงหลักมีการซักซ้อมบทก่อนถ่ายหนัง 2 สัปดาห์, Janet Leigh ให้สัมภาษณ์ถึงความทรงจำที่ได้ร่วมงานกับ Welles ว่า เขาให้พวกเราเขียนคำพูดบทสนทนาขึ้นมาใหม่หมด เพราะต้องการให้เราใส่ความคิด ความรู้สึกของตนเข้าไปในตัวละคร ให้สร้างสรรค์มันขึ้นมาด้วยตัวเอง นี่ทำให้เรารู้สึกเหมือนกำลังได้สร้างสรรค์อะไรบางอย่างไปร่วมกับเขา, Mr. Welles ต้องการให้เราเก็บความรู้สึกทุกขณะ ไม่ใช่แค่ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง, เขาทำให้คุณรู้สึกเหมือนกำลังได้พบกับสิ่งน่าอัศจรรย์ที่กำลังเกิดขึ้นข้างหน้า

หนังเรื่องนี้มีตัวประกอบรับเชิญชื่อดังจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นเพื่อนและเป็นคนที่ชื่นชอบในตัวผู้กำกับ Welles อยากร่วมงานกันเพราะรู้ว่าเขาเป็นผู้กำกับที่มีความสามารถ แม้จะแค่ช่วงเวลาเล็กๆ, อาทิ Dennis Weaver เล่นเป็นเสมียรกะดึก, Zsa Zsa Gabor ปรากฎตัวใน Strip Club, Joseph Calleia, Marlene Dietrich, Mercury Theatre หรือแม้แต่ Joseph Cotten ก็มา Cameo ในบทเจ้าหน้าที่ตำรวจ

ถ่ายภาพโดย Russell Metty, กับฉากเปิดหนังในตำนาน ด้วยความยาว 3 นาที 20 วินาที ณ ตอนนั้นนี่เป็นฉาก long-take แบบ tracking shot ที่ยาวที่สุดในโลก, การถ่ายฉากนี้ไม่ง่ายเลยนะครับ เห็นว่าใช้เวลากันทั้งคืน และมีการถ่ายกันหลายรอบมาก เพราะตัวประกอบที่เป็นตำรวจมักจะพูดผิด ทำให้ครั้งสุดท้าย Welles บอกพวกเขาว่า พูดอะไรไปก็ได้ เดี๋ยวไปพากย์เสียงทับเอา กลายเป็นรอบนี้ผ่านแบบไม่มีอะไรผิดพลาดทั้งนั้น, การเคลื่อนกล้องของฉากนี้ไม่ได้มีลักษณะเป็นเส้นตรง แต่เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง เดี๋ยวไปทางซ้าย เดี๋ยวไปทางขวา เปรียบได้กับเรื่องราวของหนังที่ไม่ใช่เส้นตรง แต่มีความวุ่นวายสับสนอลม่าน

ในบางเวอร์ชั่นของหนัง Universal ทำการตัดต่อฉากนี้ ด้วยการตัดสลับกับภาพ Close-Up เพื่อไม่ให้ยาวเกินไป, ลองคิดดูนะครับว่าการกระทำแบบนี้ มันคือวิสัยทัศน์ของสตูดิโอสมัยก่อน เราควรชื่นชมในการตัดสินใจของพวกเขา หรือเห็นใจผู้กำกับดี

การเคลื่อนไหวกล้อง มุมกล้องของหนังเรื่องนี้ถือว่า แปลกประหลาดมากๆ แม้ผมจะเห็นหนังลักษณะคล้ายๆกันนี้มาหลายเรื่อง ก็ยังไม่รู้สึกคุ้นเคยกับการถ่ายภาพเอียงๆแบบนี้เลย (เหตุผลก็เพราะเรื่องราวมันไม่ตรงไปตรงมา), Welles ขึ้นชื่อเรื่องภาพทุกภาพจะมีการจัดวางองค์ประกอบ แสง สี เงา ความลึกที่มีความหมายทุกฉาก ทำไมถึงถ่ายแบบนี้? ทำไมต้องเคลื่อนกล้องแบบนี้? ทำไมตัวละครต้องเดินไปทางนี้? ต้องเคลื่อนไหวแบบนี้? เราไม่จำเป็นต้องไปเข้าใจทุกอย่างนะครับ ใช้ความรู้สึกสัมผัสเอาก็พอว่ามีความสวยงาม ลื่นไหล ผมเปรียบนี่คือลมหายใจของหนัง จะว่าเป็นลมหายใจของ Orson Welles ก็ยังได้

หนังถ่ายเสร็จตามกำหนดและไม่ใช่งบเกิน (นี่เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกับ Orson Welles) ซึ่งสตูดิโอรู้สึกพอใจมาก และ Welles ก็ได้ถ่ายทำหนังในวิธีการที่ตนต้องการ แต่ความวุ่นวายได้เกิดขึ้นหลังการถ่าย เมื่อ Welles ส่งการตัดต่อเบื้องต้น (rough cut) ให้ทาง Universal แต่กลายเป็นว่าพวกเขาไม่ชอบใจเอาเสียเลย จึงไปจ้าง Harry Keller ให้มาถ่ายทำเพิ่ม และตัดต่อใหม่ นี่ทำให้ Welles ไม่พอใจอย่างมาก (บางแหล่งบอกว่า Welles ปฏิเสธที่จะถ่ายซ่อม จึงต้องไปจ้าง Keller มาทำแทน) หนังเวอร์ชั่นนี้ถูกลดเกรดกลายเป็นหนังเกรด B ด้วยความยาว 93 นาที ฉายควบกับ The Female Animal (1958) ของผู้กำกับ Harry Keller (หนังสองเรื่องนี้มีตากล้อง Russel Metty คนเดียวกัน)

Welles หลังจากได้ดูหนังเวอร์ชั่นนี้ ก็เขียน memo ความยาว 58 หน้าส่งให้ Edward Muhl หัวหน้าทีมสร้างหนังของ Universal อธิบายถึงสิ่งที่หนังควรจะเป็น แต่พวกเขาก็มองข้ามไม่ได้สนใจอะไรทั้งนั้น

ปี 1976 Universal เริ่มรู้ตัวว่าผู้ชมเริ่มให้ความสนใจต่อหนังของ Orson Welles อย่างมาก จึงทำการค้น archives และเอาฟุตเทจบางส่วนที่หลงเหลือของหนังมาตัดต่อใหม่ โดยจ่าหัวว่า ‘Complete, uncut and restored’ ด้วยความยาว 108 นาที ซึ่งความจริงหนังไม่ได้มีถูก restoration ด้วยซ้ำ และไม่ใช่เวอร์ชั่นที่ Welles ตัดต่อจริงๆ (เวอร์ชั่นนั้นซึ่งน่าจะสูญหายไปแล้ว)

ปี 1998 Walter Murch ได้ทำการรวบรวมทุกสิ่งอย่างที่เหลืออยู่อีกครั้ง ทำการ restore และตัดต่อหนังใหม่ โดยอ้างอิงจาก memo ของ Welles ที่เขียนให้กับ Edward Muhl ได้ความยาว 110 นาที เวอร์ชั่นนี้ได้มีการแก้ไขจุดสำคัญใหญ่คือฉากเปิดเรื่อง ให้กลายเป็น long-take ความยาว 3 นาที 20 วินาที, ถือว่านี่เป็นเวอร์ชั่นที่ใกล้เคียงกับความต้องการของ Welles ที่สุดแล้ว และเป็นเวอร์ชั่นเดียวที่น่าจะหลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน

เพลงประกอบโดย Henry Mancini ผมไม่แน่ใจว่ามีเพลงที่หลงเหลืออยู่ในเวอร์ชั่น 1998 มากน้อยเท่าไหร่ แต่เห็นว่าไม่ได้มีการแต่งเพลงเพิ่ม ซึ่งเพลงในหนังส่วนใหญ่จะมาจากวิทยุ เครื่องเสียง วงดนตรี จะมีก็แค่ตอนจบเท่านั้นที่มีเพลงเพื่อสร้างบรรยากาศประกอบความตื่นเต้น ระทึกขวัญ ซึ่งใช้เสียงเครื่องเป่าเป็นหลัก อาทิ ทูบา ดับเบิ้ลเบส แต่ก็ไม่ได้มีความยาวมากนะครับ มีลักษณะเหมือน Sound Effect มากกว่าเพลงประกอบเสียอีก

มีครั้งหนึ่งที่ตัวละครของ Orson Welles ต้องการให้เพื่อนสาวทำนายอนาคตให้ ‘Come on, read my future for me.’ ซึ่งเธอตอบว่า นายไม่มีอะไรให้ทำนาย ‘You haven’t got any.’ นี่เป็นประโยคที่เหมือน Orson Welles ต้องการทำนายอนาคตของสตูดิโอ Universal (ตัวละครของ Welles แทนตัวเองด้วยสตูดิโอใน hollywood) ว่าต่อไปคงต้องล่มสลาย แต่กลายเป็นว่านี่เป็นประโยคทำนายอนาคตของตนเองในการทำหนัง Hollywood เสียอย่างนั้น, ตัวละครของ Welles นี้ถามกลับ หมายความว่ายังไง ‘What do you mean?’ เธอตอบว่า อนาคตของเธอใช้หมดแล้ว ‘Your future is all used up.’

ฉากสุดท้ายในหนังถือเป็นอีกหนึ่งในตำนานเลย ใครที่เคยเปิดวิทยุใกล้ๆแม่น้ำจะรู้ว่ามันมีเสียงสะท้อนดังก้องกังวาลจริงๆ (เพราะเสียงสามารถเดินทางผ่านตัวกลางที่เป็นน้ำได้ แต่มันช้ากว่าอากาศจึงเกิดเสียงสะท้อน) ณ สะพานที่เป็นจุดเชื่อมระหว่าง 2 ฝั่ง มองเป็นอะไรก็ได้นะครับ ดี-ชั่ว เกิด-ตาย ภพนี้-ภพหน้า อเมริกัน-เม็กซิกัน ฯ ตัวละครของ Orson Welles ถือว่ามีเย่อหยิ่ง จองหองมากๆ ผมคิดว่าเขารู้ตัวนะว่าผิด แต่ไม่ยอมรับว่าตัวเองผิด แถมยังโยนขี้ใส่คนอื่น โทษโน่นโทษนี่ ตัวเองขาวสะอาด, การฆ่าสหายตำรวจในฉากนี้ถือว่าเป็นการหักหลังที่เลวร้ายมากๆ วินาทีนั้นจากตำรวจเลวกลายสภาพเป็นผู้ร้ายทันที, สถานที่ตายของเขาคือ เศษซากกองขยะข้างสะพานริมน้ำ ผมไม่รู้ Welles ประชดอะไรคนดูหรือเปล่า ภาพ close-up หน้าของเขาแบบว่า เฟะมากๆ หน้าคนนะไม่ใช่กองขยะ เปรียบเหมือนนี่คือใบหน้าของคนที่น่ารังเกียจที่สุดในโลก

หนังเรื่องนี้ได้ไปฉายใน Brussels Word’s Fair เมื่อปี 1958 ที่ประเทศ Belgium และได้รับรางวัล Best Film ในสายประกวดซึ่งมี François Truffaut และ Jean-Luc Godard เป็นกรรมการตัดสิน ซึ่งว่ากันว่าหลังจากทั้งสองได้ดูหนังเรื่องนี้ ก็เกิดแรงบันดาลใจต้องการเป็นผู้กำกับหนัง ซึ่ง Truffaut ทำหนังเรื่องแรก The 400 Blows ปี 1959 และ Godard กำกับ Breathless ปี 1960

อิทธิพลของหนังเรื่องนี้ถือว่าเยอะมากนะครับ อย่างหนังเรื่อง Ed Woord (1994) ขณะที่ Ed Wood ได้เจอกับ Orson Welles มีคำพูดเชิงประชดประชันของ Welles ว่า ‘เขากำลังจะได้ทำหนัง Thriller กับ Universal แต่พวกเขาอยากให้ Charlton Heston เล่นเป็น Mexican’ (I’m supposed to do a thriller with Universal, but they want Charlton Heston to play a Mexican!)

หนังเรื่อง Get Shorty (1995) ตัวละครของ John Travolta ชวนเพื่อนๆไปดู Touch of Evil ‘พวกนายมีใครสนใจไหม ไปดูหนังที่ Charlton Heston เล่นเป็น Mexican’ (You wanna go check it out? Watch Charlton Heston play a Mexican?)

รู้สึกว่ามีหนังหลายเรื่องที่ประชดประชันการที่ Charlton Heston รับบทเป็น Mexican นะครับ, ผมไปอ่านเจอบทสัมภาษณ์ Heston ที่บอกว่า สิ่งหนึ่งที่เขาเสียใจคือ ไม่ได้ใช้สำเนียง Mexican ในการแสดงหนังเรื่อง Touch of Evil (คงเพราะมีแต่คนล้อพี่แก ว่าแสดงได้ไม่เหมือน Mexican แม้แต่น้อย)

หนังเรื่องนี้ถือว่าดูยากนะครับ ต่อให้คุณตั้งใจแค่ไหน เชื่อว่าดูครั้งแรกอาจไม่รู้เรื่องเท่าไหร่ ผมดูมาสามรอบแล้วยังมึนๆอยู่เลย มันมีความสลับซับซ้อนที่ซ่อนเงื่อนและแปลกประหลาด นี่ถือเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ของ film noir นะครับ คุณอาจต้องเตรียมใจสักนิด ถ้าดูเข้าใจตั้งแต่รอบแรกมันจะเป็นหนัง noir ที่ดีได้ยังไง, ยิ่งภาพขาว-ดำ คอหนังสมัยนี้คงขยาดเลยละ แต่ถ้าสามารถดูได้และเข้าใจได้ จะพบว่านี่เป็นหนังที่สวยงามมากๆเรื่องหนึ่ง ผมเรียกว่าเป็นจดหมายสั่งลา hollywood ของ Orson Welles เลยละ

ผมจำใจให้คะแนนคุณภาพหนังคือ RAREGENDARY ทั้งๆที่ความยอดเยี่ยมของหนังมีแค่ งานภาพและการกำกับ นอกนั้นล้วนแต่มีตำหนิที่เลวร้าย อาทิ เนื้อเรื่องที่ซับซ้อนเกินไป บางอย่างไม่สมเหตุสมผล บางตัวละครไม่รู้จะโผล่มาทำไม, ความไม่เหมาะสมของนักแสดง โดยเฉพาะ Charlton Heston, ตัดต่อที่ขาดๆหายๆ แน่ละเพราะมันไม่ใช่หนังในแบบที่ต้องการของผู้กำกับ ฯ ผมให้คุณภาพเต็ม เพราะเมื่อมองหนังเรื่องนี้เป็น Cult Film แล้ว คุณภาพของหนังมันล้ำยุค ยอดเยี่ยมเหนือกาลเวลา มีค่ามากพอให้มองข้ามตำหนิพวกนี้ได้

แนะนำกับคนทำหนัง นักเรียนสายภาพยนตร์ นี่เป็นหนังเรื่อง ‘บังคับ’ ที่ต้องดูของผู้กำกับ Orson Welles เลยนะครับ, คนชอบหนังแนวสืบสวนสอบสวน ซ่อนเงื่อนซับซ้อน ไม่ผิดหวังแน่นอน

จัดเรต 15+ กับฆาตกรรม ยา และความโรคจิต

TAGLINE | “Touch of Evil เป็นจดหมายสั่งลา hollywood ของ Orson Welles ที่มี Charlton Heston เล่นเป็น Mexican”
QUALITY | RAREGENDARY
MY SCORE | LIKE

1
Leave a Reply

avatar
1 Comment threads
0 Thread replies
1 Followers
 
Most reacted comment
Hottest comment thread
0 Comment authors
Recent comment authors

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

  Subscribe  
newest oldest most voted
Notify of
trackback

[…] Touch of Evil (1958)  : Orson Welles ♥♥♥♥ […]

%d bloggers like this: