Ballad of Orin

Ballad of Orin (1977) Japanese : Masahiro Shinoda ♥♥♥♥♥

ศิลปินสาวตาบอด (รับบทโดย Shima Iwashita) ออกเดินทางไปทำการแสดงทั่วญี่ปุ่น พานผ่านช่วงเวลาสุข-ทุกข์ ระทมขมขื่น แต่การได้พบเจอชายคนหนึ่งที่ไม่เคยเรียกร้องอะไร กลายเป็นความอิ่มอุ่น ชุ่มชื่นหฤทัย

หลายวันก่อนผมเพิ่งรับชม The Masseurs and a Woman (1938) ของผู้กำกับ Hiroshi Shimizu เรื่องราวเกี่ยวกับชายตาบอดประกอบอาชีพหมอนวด ก็แอบครุ่นคิดว่าแล้วหญิงตาบอดละ? เพิ่งมาได้คำตอบกับ Ballad of Orin (1977) ถ้าไม่ขายตัวโสเภณี พวกเธอมักประกอบอาชีพ Goze (瞽女) นักร้อง+เล่นดนตรี (ส่วนใหญ่เล่น Shamisen) ขับร้อง-บรรเลงเพลงพื้นบ้าน รับจ้างตามโรงแรม ร้านอาหาร หรือออกเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ

Ballad of Orin (1977) น่าจะเป็นผลงานการแสดงยอดเยี่ยมที่สุดของ Shima Iwashita (ภรรยาผกก. Shinoda) ใครสามารถฟังสำเนียงเหน่อๆ น่าจะเกิดความลุ่มหลงใหล พระพุทธในดวงใจ, นอกจากนี้ยังมีภาพถ่ายทิวทัศน์สวยโคตรๆของ Kazuo Miyagawa ออกเดินทางไปกว่า 80+ สถานที่ที่ห่างไกลความเจริญ เพื่อย้อนยุคสมัย Taishō Era (1912-26) และงานเพลงของ Tōru Takemitsu ปกติเห็นทำแต่แนว Avant-Garde มาเรื่องนี้ช่วยรื้อฟื้นเพลงพื้นบ้านที่ใกล้จะสาปสูญหาย (Traditional Music) มีความเรียบง่าย ไพเราะจับใจ

ความสำเร็จของหนังเรื่องนี้ ช่วยปลุกกระแส Goze ที่ขณะนั้นกำลังจะสาปสูญหาย ให้กลับมาพลิกฟื้น อาจไม่ถึงขั้นได้รับความนิยมเหมือน Kabuki, Buranku, Rōkyoku ฯ แต่มีผู้ให้ความสนใจสืบทอดต่อมาจนถึงปัจจุบัน


Masahiro Shinoda, 篠田 正浩 (1931-2025) ผู้กำกับภาพยนตร์ สัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Gifu หลังสงครามโลกครั้งที่สองเข้าศึกษาคณะการละคอน Waseda University แต่พอมารดาเสียชีวิตจำต้องทอดทิ้งการเรียน ได้เข้าทำงานสตูดิโอ Shōchiku เคยเป็นผู้ช่วยผู้กำกับ Yasujirô Ozu เรื่อง Tokyo Twilight (1957), กำกับภาพยนตร์เรื่องแรก One-Way Ticket to Love (1960), Pale Flower (1964), Assassination (1964), With Beauty and Sorrow (1965), Samurai Spy (1965), จากนั้นออกมาก่อตั้งสตูดิโอโปรดักชั่นของตนเอง สรรค์สร้างผลงานชิ้นเอก Double Suicide (1969), Silence (1971), Himiko (1974), Under the Blossoming Cherry Trees (1975), Ballad of Orin (1977), Demon Pond (1979), Gonza the Spearman (1986), Childhood Days (1990), Sharaku (1995), Owls’ Castle (1999) ฯ

สำหรับ Ballad of Orin (1977) จุดเริ่มต้นจากผกก. Shinoda เกิดความสนใจเรื่องสั้น はなれ瞽女おりん อ่านว่า Hanare Goze Orin แปลตรงตัว The Wandering Blind Musician Orin แต่งโดย Tsutomu Mizukami, 水上勉 (1919-2004) ตีพิมพ์ลงนิตยสาร Shincho Novel, 小説新潮 ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1974

When I learned that the authentic style of Goze (blind female singers’ songs) could now only be heard from three elderly women in Echigo-Takada, I had the real feeling that we were nearing the end of Japan’s rice culture.

I am not longing for a return to the old Japan at all. I have never lost my boundless curiosity about the chaos of the modern world right before my eyes. However, this chaos will undoubtedly crush and destroy the preceding culture, swallowing it into the darkness.

Masahiro Shinoda

ร่วมดัดแปลงบทภาพยนตร์กับ Keiji Hasebe (นักเขียนขาประจำของผกก. Shôhei Imamura อาทิ Enjō, Odd Obsession, The Insect Woman, Intentions of Murder) ชื่อญี่ปุ่นยังใช้ชื่อเดิม แต่ภาษาอังกฤษบางครั้งเป็น Banished Orin, Symphony in Gray, Melody in Gray, Street Musician Orin, Orin, a Blind Woman ฯ


เรื่องราวของหญิงสาวตาบอด Orin (รับบทโดย Shima Iwashita) มารดาทอดทิ้งตั้งแต่อายุเก้าขวบ เลยถูกส่งไปเติบโตยังบ้านศิลปินตาบอดของ Teruyo (รับบทโดย Tomoko Naraoka) เรียนรู้ฝึกฝนการแสดง แต่สถานที่แห่งนี้มีกฎอันเคร่งครัด หญิงสาวต้องรักษาพรหมจรรย์ ทุ่มเทชีวิตให้กับพุทธศาสนา ถึงอย่างนั้นพอเธอเติบโตเป็นผู้ใหญ่ กลับไม่สามารถควบคุมความอยากรู้อยากเห็น ความต้องการทางเพศตนเอง ท้ายที่สุดก็เลยถูกขับไล่ออก

นั่นทำให้ Orin ออกร่อนเร่ เดินทางไปทำการแสดงยังสถานที่ต่างๆ ใช้ชีวิตสนองกามารมณ์แต่พอเพียง จนกระทั่งมาพบเจอชายร่างใหญ่ Heitarō (รับบทโดย Yoshio Harada) หลังจากรับฟังเล่า เกิดความสงสารเห็นใจ ขอติดตาม ให้การปกป้อง ปฏิเสธร่วมรักหลับนอน ขอเพียงความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้อง ช่วงแรกๆเธอก็ไม่ยินยอม ก่อนเรียนรู้ว่าความสุขทางใจมีความงดงามกว่าการร่วมรักกับชายอื่นใด


Shima Iwashita, 岩下志麻 (เกิดปี ค.ศ. 1941) นักแสดงสัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Tokyo ทั้งบิดา-มารดาต่างเป็นนักแสดงละคอนเวที ช่วงระหว่างเรียนมัธยมได้รับเลือกแสดงซีรีย์โทรทัศน์ เข้าศึกษาสาขาวรรณกรรม Seijo University แต่ยังไม่ทันเรียนจบเข้าร่วมสตูดิโอ Shōchiku แสดงภาพยนตร์เรื่องแรก The River Fuefuki (1960), Harakiri (1962), An Autumn Afternoon (1962), Sword of the Beast (1965), จากนั้นร่วมงานขาประจำ และกลายเป็นภรรยาผกก. Masahiro Shinoda อาทิ Double Suicide (1969), Silence (1971), Himiko (1974), Ballad of Orin (1977) ฯ

เกร็ด: นิตยสาร Kinema Junpo จัดอันดับ Movie Star of the 20th Century ฝั่งนักแสดงหญิงของประเทศญี่ปุ่น Shima Iwashita #ติดอันดับ 10

รับบทหญิงสาวตาบอด Orin ถูกทอดทิ้งตั้งแต่เด็ก ได้รับการฝึกฝนจนกลายเป็นศิลปินตาบอด Goze แต่เพราะความมักมาก ร่านราคะ เลยถูกไล่ออกจากคณะ ออกเดินร่อนเร่ เดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ ใช้ชีวิตอย่างล่องลอยเรื่อยเปื่อย จนกระทั่งพบเจอกับ Heitarō แม้ไม่เคยร่วมหลับนอน เขาได้เสี้ยมสอนให้เธอรู้จักความรักแท้

ผมไม่ค่อยแน่ใจสำเนียง-เสียงร้องเพลงของตัวละคร ฟังดูค่อนข้างแตกต่างจากภาษากลาง เลยลองสอบถาม AI Bard ถึงเมืองบ้านเกิด Obama, Fukui พบว่าภูมิภาคนี้มีสำเนียง Hokuriku dialect (北陸弁) แต่ใช่หรือเปล่าก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับ

แม้ส่วนตัวจะแอบรู้สึกว่า Iwashita แก่เกินตัวละครไปนิด (Orin น่าจะอายุระหว่าง 21-25 ปี แต่สำหรับ Iwashita อายุเกินไป 35-36 ปี) เลยดูไม่ค่อยบริสุทธิ์สดใสเหมือนสาวแรกรุ่นสักเท่าไหร่ แต่เรื่องการแสดงถือว่าไม่เป็นสองรองใคร หนึ่งในบทบาทการแสดงยอดเยี่ยมที่สุดในชีวิต! ตั้งแต่เริ่มมีประจำเดือนเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น พอได้ลิ้มลองรสรัก ก็แทบมิอาจอดกลั้น โหยหาอยากมีเพศสัมพันธ์ หลังพานผ่านจุดนั้นแล้วค้นพบสิ่งเหนือกว่าความสุขทางกาย แค่ลูบไล้รองเท้าไม้ หยิบขึ้นมาถูแก้ม (Fetishism) น้ำเสียงแห่งความสุขมันช่างเอ่อล้นออกมานอกจอ

Orin เป็นหญิงสาวที่ถูกกดขี่ข่มเหงมาทั้งชีวิต การร้อง-เล่นดนตรีและเพศสัมพันธ์คือสิ่งสำหรับปลดปล่อยความทุกข์ทรมาน จนกระทั่งได้พบเจอชายคนนั้น ให้ความช่วยเหลือ พึ่งพาอาศัย โดยไม่หวังผลตอบแทนอะไร ไม่มีใครปฏิเสธการเพศสัมพันธ์กับตนเองมาก่อน จากนั้นจึงเริ่มค้นพบความสุข รักแท้ เกิดความอิ่มอกอิ่มใจ อิ่มเอมหฤทัย รู้สึกเหมือน(ชีวิต)ได้รับการเติมเต็ม น่าเสียดายที่เธอรักษามันไว้ไม่ได้นาน และพอสูญเสียเขาไป ชีวิตก็หมดสิ้นความหมายใดๆ


Yoshio Harada, 原田 芳雄 (1940-2011) นักแสดงสัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Tokyo โตขึ้นเข้าร่วมกลุ่ม Haiyūza Theater Company ก่อนมีโอกาสแสดงละคอนโทรทัศน์ Tenka no Seinen (1967), ภาพยนตร์เรื่องแรก Fukushū no uta ga kikoeru (1968) เซ็นสัญญากับ Nikkatsu โด่งดังจากบทบาทไอ้หนุ่มหัวขบถ/ยากูซ่า ขาประจำผู้กำกับ Toshiya Fujita, ผลงานเด่นๆ อาทิ Lady Snowblood 2: Love Song of Vengeance (1974), Pastoral: To Die in the Country (1974), Preparation for the Festival (1975), Ballad of Orin (1977), Zigeunerweisen (1980), Rônin-gai (1990), Still Walking (2008) ฯ

รับบท Senzo Tsurukawa ชื่อจริง Heitarō Iwabuchi เกิดในครอบครัวช่างทำรองเท้า (下駄, Geta) เพราะความยากจนโตขึ้นเลยถูกบังคับให้เกณฑ์ทหาร (คนมีเงินจ่ายใต้โต๊ะก็ไม่ต้องเกณฑ์ทหาร) เพื่อเข้าร่วมการรุกราน Siberian Intervention (1918-22) แต่เขากลับเลือกหนีทหาร ก่อนจับพลัดจับพลูมาพบเจอ Orin รับฟังเรื่องเล่าระหว่างพักค้างแรมแล้วเกิดความสงสารเห็นใจ เลยร่วมออกเดินทาง ให้การปกปักษ์รักษา พึ่งพาอาศัยพยายามเริ่มต้นชีวิตใหม่ ก่อนถูกทางการไล่ล่า มิอาจหลบหนีโชคชะตา

Harada คือชายร่างใหญ่ หน้าตาคมเข้ม ทรงผมรกๆ น้ำเสียงดุดัน ใครพบเห็นย่อมเกิดความหวาดหวั่นกลัว ครุ่นคิดว่าอาชญากรหลบหนี (จริงๆแล้ว Heitarō หนีทหาร) แต่แท้จริงแล้วเป็นคนจิตใจอ่อนไหว หลังรับฟังเรื่องเล่าของ Orin บังเกิดความสงสารเห็นใจ อาจเพราะปมจากอดีตเคยพบเห็นมารดาร่วมรักกับชายแปลกหน้า เลยเกิดอคติต่อเพศสัมพันธ์ ต้องการปกป้องรักษาจากพวกเศษสวะสังคม … พบเห็น Orin แล้วคงนึกถึงมารดา มองเธอประดุจพระพุทธเจ้า

ทั้งการหนีทหารและฆ่าคนตาย ต่างเป็นสิ่งที่ Heitarō ไม่สามารถเลือกได้! เริ่มจากความยากจนข้นแค้น ถูกกดขี่ข่มเหงจากผู้คน-สังคม-ประเทศชาติ เพราะไม่ต้องการก้มหัวศิโรราบเลยลุกขึ้นมาตอบโต้ สำแดงอารยะขัดขืน ก่อนได้พบเจอเธอที่ราวกับแสงสว่างนำทางชีวิต บังเกิดประกายความหวัง ความสุขแม้เพียงช่วงเวลาสั้นๆ ก็พร้อมให้เขายินยอมรับโชคชะตากรรม


ถ่ายภาพโดย Kazuo Miyagawa, 宮川 一夫 (1908-99) ตากล้องสัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Kyoto, วัยเด็กชื่นชอบภาพน้ำหมึกจีน (sumi-e) ก่อนค้นพบความสนใจสื่อภาพยนตร์ German Expressionism, หลังเรียนจบ Kyoto Commercial School เข้าทำงานยังสตูดิโอ Nikkatsu เริ่มจากเป็นผู้ช่วยตากล้อง ร่ำเรียนวิชาจาก Eiji Tsuburaya, Hiromitsu Karasawa และ Kenzo Sakai ก่อนแจ้งเกิดผลงาน Rashōmon (1950), Ugetsu (1953), Sansho the Bailiff (1954), Enjō (1958), Floating Weeds (1959), Odd Obsession (1959), Yojimbo (1961), Tokyo Olympiad (1965), แฟนไชร์ Zatoichi , Silence (1971), Ballad of Orin (1977) ฯ

Miyagawa คือตากล้องเลื่องชื่อในการถ่ายภาพทิวทัศน์ธรรมชาติสวยโคตรๆ น่าจะอันดับต้นๆของญี่ปุ่น ก่อนหน้านี้เคยร่วมงานผกก. Shinoda ภาพยนตร์ Silence (1971) ไม่จำเป็นต้องมีลูกเล่นอะไร เพียงบันทึกภาพขุนเขา-ท้องฟ้า-มหาสมุทร สร้างสัมผัสยิ่งใหญ่เกินกว่ามนุษย์ต่อต้านทาน

Ballad of Orin (1977) ซึ่งเกี่ยวกับการร่อนเร่ของศิลปินตาบอด Goze เป็นความท้าทายของทีมผู้สร้างในการค้นหาสถานที่ถ่ายทำห่างไกลความเจริญ พยายามค้นหาสิ่งที่เรียกว่า ‘Taisho-Era Landscapes’ กว่าจะได้มา 80 สถานที่จาก 1 (Tokyo) + 11 จังหวัดทั่วญี่ปุ่น รวมระยะการเดินทางกว่า 30,000 กิโลเมตร

In order to follow the goze as she walked, our camera had to escape modern civilization. Our entire job was to discover the landscapes, people, and figures that modern humanity has abandoned.

In order to select the scenery, townscapes, and traditional houses of the Taishō period (1912-26), the location scouting trip covered approximately 30,000 kilometers, resulting in the decision to use over 80 filming sites. This distance is roughly equivalent to one trip around the Earth. Consequently, the screen is filled with such magnificent scenery that one is led to believe that places like this still remain in Japan.

Masahiro Shinoda

บ้านเกิดของ Orin ณ Obama, Fukui แต่ในหนังจะบอกว่าจังหวัด Wakasa สอบถามจาก AI Bard ก็พบว่ามันคือชื่อเก่า เมื่อกาลเวลาผันแปรเปลี่ยนก็มีการสลับเปลี่ยน ปัจจุบันใช้ชื่อ Fukui Prefecture ส่วนอดีตจังหวัด Wakasa เหลือเพียงชื่อเมืองที่อยู่ไม่ห่างไกลจาก Obama … นั่นแสดงว่าทะเลแห่งนี้น่าจะคือ Obama Bay (อดีตคือ Wakasa Bay)

เด็กหญิงตาบอดตั้งแต่เกิด มองอะไรไม่เห็น แต่สามารถจดจำเสียงคลื่นซัดกระทบหาดทราย มันจะมีช็อตที่ถ่ายผ่านหน้าต่างซึ่งแลดูราวกับดวงตา หรืออาจจะมองว่าคือสิ่งที่เธอสามารถมองเห็นจากการได้ยิน

ช่วงระหว่าง Opening Credit จะมีเหตุการณ์ที่ลมแรง หมวกปลิดปลิว Mr. Saito ต้องปล่อยมือเด็กหญิง Orin ชั่วขณะหนึ่งเพื่อไปเก็บหมด แต่ไม่กี่วินาทีนั้นที่เธอยืนนิ่งเฉย ลมพัดแรง มันช่างโดดเดี่ยว เปล่าเปลี่ยว หัวใจวาบหวิว กลัวการถูกทอดทิ้งให้อยู่ตัวคนเดียว … นี่อาจคือเหตุผลหนึ่งที่ทำให้พอเธอเติบโตขึ้น โหยหาคนร่วมหลับนอนเคียงข้างกาย

อีกสิ่งน่าสนใจคือการฉายภาพแม่นกนำอาหารมาให้ลูกๆ ใครเคยรับชมคลิปเกี่ยวกับนกย่อมรับรู้ว่าตอนพวกมักเพิ่งเกิด ฟักออกมาจากไข่ ดวงตาจะยังปิดอยู่ มองอะไรไม่เห็น ด้วยเหตุนี้มันจึงต้องใช้ประสาทสัมผัสทางเสียง ได้ยินมารดาบินเข้ามาก็อ้าปาก ส่งเสียงร้องขออาหาร … เป็นซีนเล็กๆที่สอดคล้องเข้ากับชีวิต Orin ได้อย่างดี

เผื่อคนไม่รู้จักรูปที่มีทุกบ้านสมัยนั้นคือ Emperor Taishō (1879-1926, ครองราชย์ 1912-26) และพระมเหสี Empress Teimei (1884-1951)

ตอนต้นเรื่องมีการซุบซิบถึงชายคนหนึ่งกระทำอัตวินิบาตด้วยการแขวนคอบนต้นไม้ ใครสักคนพบเห็นอะไรบางอย่างห้อยลงมาถึงรับรู้ว่ามีคนตาย คาดเดาสาเหตุน่าจะเกิดจากการหลบหนีทหาร ไม่ต้องการเดินทางไปรบยัง Siberia … นี่มันอารัมบทตอนจบของหนังเลยนี่หว่า!

Orin เล่าความหลังเมื่อครั้งยังเด็ก ได้รับความช่วยเหลือจาก Mr. Saito พาไปฝากฝังยังบ้านศิลปินตาบอดของ Teruyo จะมีขณะหนึ่งที่ทั้งสองเดินผ่านภูเขาสูงใหญ่ หาดทรายเต็มไปด้วยโขดหิน คลื่นลมแรงซัดกระทบชายฝั่ง เหล่านี้สร้างสัมผัสโชคชะตามิอาจต่อต้านทาน หญิงตาบอดทำอาชีพหมอนวดไม่ก็โสเภณี ยกเว้นถ้าโชคดีได้เป็นศิลปิน Goze ยังจะพอมีความสามารถติดตัว เอาตัวรอดด้วยตนเองได้

ความลุ่มลึกของหนังอยู่ตรงนี้เลยนะครับ ภาพถ่ายทิวทัศน์ธรรมชาติ ฤดูกาลผันแปรเปลี่ยน มันสามารถสื่อแทนอารมณ์ที่สอดคล้องเข้ากับเรื่องราว เหตุการณ์ขณะนั้นๆ

ช่วงระหว่างที่สาวๆในบ้านศิลปินทำการสวดมนต์ไหว้พระ ภาพแรกสังเกตว่าตั้งกล้องต่ำกว่าระดับสายตา นั่นสื่อถึงความนอบน้อมถ่อมตน สำแดงความเชื่อมั่นศรัทธาต่อพระศาสนา → ฉายภาพพระอาทิตย์บนท้องฟ้า ราวกับพระพุทธเจ้าหลบซ่อนอยู่หลังก้อนเมฆ → ดอกไม้เบ่งบานท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บ = การค้นพบความสุขภายในจิตใจ

ผมรู้สึกว่าแนวคิดของพุทธชินโตค่อนข้างจะแตกต่างจากพุทธบ้านเรา พระพุทธเจ้าไม่ได้ประทับอยู่บนท้องฟ้า หรือแนวคิดหญิงสาวครองพรหมจรรย์ เพื่อเป็นเจ้าสาวของพระพุทธเจ้า (bride of God) อันนี้อิหยังว่ะ? สงสัยได้แรงบันดาลใจจากอารามชีของศาสนาคริสต์กระมัง

มันมีฉากเล็กๆฉากหนึ่ง หญิงสาวนั่งเย็บผ้าวางสิ่งของขวางทาง จงใจกลั่นแกล้งให้หญิงสาวเดินอยู่เกือบสะดุดล้ม จากนั้นทั้งสองพูดคุยสนทนา ตำหนิต่อว่า ฉันไม่ชอบให้เธอสำแดงอำนาจ! จากนั้นพยายามจะทำการแบล็กเมล์ … ฉากเล็กๆระดับจุลภาคนี้สามารถสะท้อนสังคม การเมือง ประเทศชาติ ในระดับมหภาคได้เลยเชียว!

วัฒนธรรมการใส่ถุงเท้า+รองเท้าของชาวญี่ปุ่น ประกอบด้วย

  • Tabi (足袋) ถุงเท้าประเภทแยกนิ้วโป้งออกมา สำหรับยึดเหนี่ยวกับสายผูกรองเท้า โดยปกติมักมีสีขาว แต่ในยุคสมัย Edo Period (1603-1868) มีการแบ่งแยกสีตามสถานะชนชั้น (สีขาวของพวกผู้ดี สวมใส่คู่กับชุดทางการ, ส่วนสีเข้มๆสำหรับชนชั้นแรงงาน หรือขณะออกเดินทาง)
    • อาจด้วยความไม่คุ้นชินกระมัง เด็กสาว Orin สวมใส่ถุงเท้าระหว่างออกเดินทางร่วมกับรุ่นพี่ศิลปิน แล้วคงเสียดสี เหน็บชา
  • Zori (草履) รองเท้าแตะสานจากฟางข้าว (Rice Straw) ราคาถูก สวมใส่โดยบุคคลธรรมดา หรือใช้ขณะออกเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ
    • ผมมองว่า Zori คือสัญลักษณ์แทนอาชีพ Goze ที่ต้องออกเดินทางไปทำการแสดงยังสถานที่ต่างๆ
  • Geta (下駄) รองเท้าทำจากไม้ และสายทำจากผ้า มักสวมใส่คู่กับชุดทางการ กิโมโน ยูกาตะ บนพื้นเปียกแฉะ โคลนเลน และยังใช้สำแดงสถานะทางสังคม พ่อค้า โสเภณี ชนชั้นสูง ฯ
    • Orin มีความหลงใหลในรองเท้า Geta ราวกับของรักของหวง วัตถุแทนความสุขทางใจ ถึงขนาดนำมาลูบไล้ใบหน้า (โดยไม่สนว่ามันเป็นของต่ำ) นั่นเพราะ Heitarō ให้คำมั่นสัญญาว่าตราบยังอยู่ด้วยกัน เธอไม่ต้องหาหาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นศิลปิน Goze อีกต่อไป

Heitarō แอบติดตาม Orin เพราะไม่รู้จะไปไหน ไม่สามารถหวนกลับบ้าน (เพราะหนีทหารมา) เลยชักชวนเธอไปร่วมงานเทศกาลฤดูใบไม้ผลิที่ Tokamachi จากนั้นก็อุ้มขึ้นหลัง เดินทางผ่านแมกโนเลีย หรือดอกยี่หุบ (Magnolia) … มันช่างเป็นทิวทัศน์ที่ชวนระลึกถึงภาพยนตร์ Under the Blossoming Cherry Trees (1975)

ตลอดซีเควนซ์ย้อนอดีตที่ Orin อาศัยอยู่กับบ้านศิลปินตาบอด แทบทั้งนั้นถ่ายทำช่วงฤดูหนาว หิมะ/ฝนตก ต้องจนขณะนี้ที่ได้พบเจอ Heitarō ถึงพบเห็นดอกยี่หุบ สัญลักษณ์แทนการมาถึงของฤดูใบไม้ผลิ หรือก็คือช่วงเวลาแห่งความสุขกำลังจะมาถึง

รุ่นพี่คนหนึ่งที่บ้านศิลปินถูกจับได้ว่าแอบร่วมรักกับชายอื่นและกำลังแพ้ท้องตั้งครรภ์ ระหว่างนั้นมีแทรกภาพ Fiddleheads (ใบอ่อนของเฟิร์น นำมาทำเป็นอาหารได้), Horsetail (หญ้าหางม้า มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ลดการบวมน้ำ) และทิวทัศน์เทือกเขา Yakushiyama ตั้งอยู่ยัง Yamashiro Onsen, Ishikawa Prefecture

เกร็ด: Yakushiyama มีอีกชื่อเรียก Healing Buddha’s Mountain สถานที่ที่เชื่อกันว่า พระไภษัชยคุรุ (Bhaisajyaguru) หรือพระพุทธเจ้าแห่งการแพทย์ (พระพุทธเจ้าในพุทธศาสนา นิกายมหายาน) ใช้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับตรัสรู้ และบำบัดทุกข์โศกทั้งทางร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณด้วยโอสถแห่งคำสอนของพระองค์

ประจำเดือนครั้งแรกของ Orin มีการใช้ดอกแต้ฮวย หรือชากุหลาบแดง (Camellia Japonica เรียกสั้นๆ ツバキ, Tsubaki) แทนเลือดประจำเดือน อาจเพราะนี่เป็นหนึ่งในไม่กี่ดอกไม้เบ่งบานช่วงฤดูหนาว หรือคือหญิงสาวเติบโต(เป็นสาว)ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ต้องต่อสู้ดิ้นรน อดรนทนทุกข์ยากลำบาก

รุ่นพี่ที่ตั้งครรภ์ถูกขับไล่ออก พบเห็นเธอขณะท้องแก่กำลังจะข้ามทางรถไฟสาย Ōigawa Railway นี่สามารถสื่อถึงการก้าวผ่านขอบเขตของบ้านศิลปินตาบอด ถ้าไม่ปฏิบัติตามกฎกรอบข้อตกลง ก็จำต้องออกเดินทางร่อนเร่ แสวงหาหนทางเอาตัวรอดด้วยตนเอง

ตาดีได้ ตาร้ายเสีย! หลายคนอาจสงสัยว่าผมแคปภาพมุมกล้องเดียวกันมาสองภาพทำไม? ลองสังเกตดีๆจะพบเห็นความแตกต่าง หนังจงใจล่อหลอกผู้ชมด้วยการสลับเปลี่ยนนักแสดงก่อนขบวนรถไฟวิ่งผ่าน จากรุ่นพี่ที่ตั้งครรภ์ กลายมาเป็น Orin คาดเดาไม่ยากว่าเมื่อตอนถูกขับไล่ออกจากบ้านศิลปิน เพราะเธอก็ต้องก้าวข้ามทางรถไฟสายเดียวกัน … สังเกตจากชุดเอานะครับ

กองทหารเดินสวนสนามโดยไม่สนห่าเหวอะไรใครทั้งนั้น Orin บังเอิญยืนขวางทาง ไม่รู้จะทำยังไง เลยกระโดดหลบ ล้มลุกคลุกคลาน ไม่มีใครกล่าวขอโทษหรือเข้ามาให้การช่วยเหลือ … เราสามารถมองถึงการมีอำนาจของกองทัพ ทหารต้องปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด ตรงไปตรงมา ไม่สามารถโอนอ่อนผ่อนปรน หรือสนใจอะไรอื่น แต่ในบริบทนี้มันสมควรหรือไม่ ผกก. Shinoda ทิ้งเอาไว้ให้ผู้ชมเกิดข้อคำถามในใจ

ค่ำคืนที่ Orin สูญเสียพรหมจรรย์ กล้องค่อยๆซูมเข้าเตาไฟ (ไฟราคะ ลุ่มร้อนทรวงในระหว่างร่วมเพศสัมพันธ์) ส่งเสียงเรียกหามารดา (โหยหาความรัก ความอบอุ่น) แมวสีดำ (ในญี่ปุ่น แมวดำคือสัญลักษณ์ของความโชคดี ผมเลยไม่แน่ใจว่าต้องการสื่อถึงอะไร?) และดอกบัวบาน (ในบริบทนี้น่าจะสื่อถึงการเติบโตเป็นหญิงสาวเต็มวัย)

ดอกบัวบานในพุทธศาสนา คือสัญลักษณ์ของการตรัสรู้ หลุดพ้นจากความทุกข์ (บัวพ้นน้ำ คือบุคคลที่มีสติปัญญาสามารถรับฟังและตรัสรู้ธรรมได้โดยง่าย) และเป็นดอกไม้แทนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงนิยมนำมาไหว้พระ เครื่องบูชาพระรัตนตรัย การเอามาใช้แทนหญิงสาวสูญเสียพรหมจรรย์ผมรู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่เป็นไรเพราะผู้สร้างไม่ได้เข้าใจความหมายดังกล่าว

พบเห็นประตูวัด มาหลบฝน แอบชวนนึกถึง Rashômon (1950) ซึ่งการดำเนินเรื่องในขณะนี้ก็มีการเล่าย้อนอดีต (Flashback) ตัดสลับกลับไปกลับมาฉากต่อฉากระหว่าง Orin กับ Heitarō

  • (Flashback) Orin ขายบริการให้ชายแปลกหน้า
  • (Flashback) Heitarō พบเห็นมารดาร่วมรักกับชายแปลกหน้า
    • นี่น่าจะคือปมด้อยของเขา ทำให้ไม่อยากร่วมรักกับ Orin
  • (Flashback) Orin พยายามเหนี่ยวรั้งชายสูงวัยให้พักค้างแรม
    • อธิบายเหตุผลความหมกมุ่นในกามคุณ ไม่ต้องการอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย โหยหาความอบอุ่นภายใน
  • (Flashback) Heitarō จุดไฟเผายุ้งฉางในช่วงระหว่างการจราจลข้าว (Rice riots of 1918)
    • จุดไฟเผายุ้งฉาง (=ความลุ่มร้อนมอดไหม้ทรวงใน) คือการสำแดงอารยะขัดขืน ต่อต้านขับไล่ผู้นำรัฐบาล ไม่สนปากท้องประชาชน สนเพียงสู้รบทำสงคราม

ราวกับว่าประตูวัดแห่งนี้คือบทสรุปการเล่าเรื่องย้อนอดีต (หลังจากนี้ยังพอพบเห็น Flashback บ้างประปราย แต่จะไม่ได้ให้ความสำคัญเทียบเท่าองก์แรกนี้) ต่อจากนี้ทั้งสองจะเข้าวัดเข้าวา (คล้ายๆการก้าวข้ามทางรถไฟ) แต่ไม่ใช่เข้าวัดทำบุญ คือสัญลักษณ์ของการได้เรียนรู้จักความสุขทางใจ

เกร็ด: นี่คือประตู Niomon Gate (仁王門) ตั้งอยู่หน้าวัด Sado Kokubun-ji (佐渡国分寺) ณ Sado, Niigata แต่ปัจจุบันน่าจะถูกรื้อถอน สร้างใหม่แล้วกระมัง

Heitarō ให้คำสัญญากับ Orin ว่าจะเก็บหอมรอมริด เริ่มต้นทำงานช่วยแบ่งเบาภาระ ระหว่างทั้งสองกำลังเดินเลียบๆเคียงๆริมชายหาด สถานที่ที่ก่อนหน้านี้เต็มไปด้วยโขดหิน คลื่นลมแรง มาคราวนี้สภาพอากาศดูสงบร่มเย็น สามารถสะท้อนถึงสภาพจิตใจหญิงสาว การได้พบเจอเขาทำให้รู้สึกเพลิดเพลินผ่อนคลาย สบายอกสบายใจ แต่ยังไม่ได้คาดหวังอะไร

ผกก. Shinoda คงอดใจไม่ได้จะอ้างอิงถึงการแสดงหุ่นเชิด (Buranku) เพราะเคยนำมาใส่ในภาพยนตร์ Double Suicide (1969)

การได้อยู่เคียงข้าง หลับนอนอยู่ไม่ห่าง ทำให้ Orin มิอาจอดกลั้นฝืนทน ต้องการโอบกอด ร่วมรักกับ Heitarō แต่เขากลับปฏิเสธ มิอาจทำตามคำร้องขอ เพราะไม่ต้องการเป็นอย่างใครอื่น ติดอยู่ในวังวนตัณหาราคะ เหมือนกรงขังที่อยู่ด้านหลัง … การที่ตัวละครยืนอยู่ด้านหน้า (กรงขัง) สามารถสื่อถึงอิสรภาพ/การหลุดพ้นของพวกเขา ปฏิเสธร่วมเพศสัมพันธ์/ความสุขทางกาย หรือคือกำลังจะพบเจอความสุขทางใจ

ระหว่างอาบน้ำในลำธาร แม้ร่างกายเปลือยเปล่า จงใจถ่ายติดหน้าอกหญิงสาว แต่ทว่า Heitarō กลับจับจ้องมองเพียงใบหน้า แสงอาทิตย์ยามเย็นสาดส่อง (ถ่ายภาพย้อนแสง) ครุ่นคิดว่า Orin คือพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า … ก็คล้ายอยู่มั้งกระมังนะ?

เหตุผลที่ Heitarō มอง Orin ราวกับพระพุทธเจ้า คงไม่ใช่เพราะภาพลักษณ์ใบหน้า แต่คือตัวตนภายในที่แม้พานผ่านอะไรๆมามาก ถูกกดขี่ข่มเหง ทนทุกข์ยากลำบาก กลับยังคงรักษาความบริสุทธิ์ทางจิตวิญญาณ กลายเป็นแสงสว่างนำทาง แรงบันดาลใจชีวิต ต้องการให้ความช่วยเหลือ ปกปักษ์รักษา เอ็นดูทะนุถนอม ยุงไม่ไต่ ไรไม่ให้ตอม (รวมถึงบุรุษอื่นรายล้อม)

ผมรู้สึกว่าภาพช็อตนี้น่าสนใจ สามารถมองถึงการแบ่งแยกสถานะทางสังคม Heitarō คือช่างทำรองเท้าจึงทำงานอยู่ชั้นล่าง แต่สำหรับ Orin แม้นั่งเล่น Shamisen อยู่ชั้นบนแต่อาชีพของเธอคือขายบริการ/ของเล่นของชนชั้นสูงกว่า … มันเป็นตรรกะของชาวญี่ปุ่นสมัยก่อนที่ด้อยค่าศิลปิน ช่างฝีมือ มองเป็นอาชีพชั้นต่ำกว่าขุนนาง ซามูไร

เมื่อตอนทั้งสองยืนหลบฝนอยู่ตรงประตู Niomon Gate หน้าวัด Sado Kokubun-ji สามารถเปรียบเทียบถึงการก้าวเข้าสู่ร่มกาเสาวพัก ทอดทิ้งโลกแห่งความทุกข์ทรมานไว้เบื้องหลัง แล้วพอมาถึงประตูวัด Gochi Kokubunji Temple (五智国分寺) ตั้งอยู่ยัง Joetsu, Niigata Prefecture คือช่วงเวลาที่ Orin ได้ค้นพบความ(สงบ)สุขทางใจ เหมือนดั่งคำโฆษณาของพ่อค้ายา Bessho กล่าวไว้ว่า “As the great Buddha said, all nature is medicine.”

ภาพแรกคือสะพานไม้มงคล Hōrai Bridge (蓬莱橋) ตั้งอยู่ยัง Shimada, Shizuoka ข้ามแม่น้ำ Ōi River (大井川) สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1879 (และสร้างใหม่เป็นคอนกรีตเมื่อปี ค.ศ. 1965) เป็นเส้นทางเชื่อมต่อระหว่าง Edo กับ Kyoto ความยาว 897.422 เมตร กว้าง 2.7 เมตร เคยเป็นสะพานไม้ยาวที่สุดในโลกเมื่อปี ค.ศ. 1997

เกร็ด: ชื่อสะพาน Hōrai (蓬莱) คือคำเรียกภาษาญี่ปุ่นของ Mount Penglai เขาเผิงไหลคือดินแดนในตำนานของปกรณัมจีน เชื่อว่าคือสถานที่พำนักอาศัยของเทพเซียน (Immortal) อายุยืนยาวหลายร้อยพันปี และความยาวสะพาน 897.4 เมตร สามารถอ่านภาษาญี่ปุ่น Ya-Ku-Na-Shi (厄無し) ซึ่งแปลว่า No Misfortune, No Trouble, นั่นทำให้สะพานแห่งนี้กลายเป็นสะพานมงคล เชื่อกันว่าใครที่เดินข้ามจะได้รับโชคดี มีอายุยืนยาวนาน

ผมหาข้อมูลไม่ได้ว่าช่องเขาขาดแห่งนี้คือสถานที่แห่งหนไกน (น่าจะเป็นช่องเขาขุดเสียมากกว่า) แต่ระหว่างที่ Orin & Heitarō กำลังจะลอดผ่าน เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ (1923 Great Kantō earthquake) นี่ถือเป็นอารัมบทการสั่นคลอนความสัมพันธ์ของพวกเขา หลังจากนี้จะเป็นการมาถึงของพ่อค้ายา Bessho ที่จักฉกฉวยโอกาส และนำพาหายนะบังเกิดขึ้น

นี่คือเทศกาล Issaki Hōtō Festival (石崎奉燈祭) จัดขึ้น ณ หมู่บ้านชาวประมง Ishizaki-machi, Nanao City จังหวัด Ishikawa ช่วงระหว่างวันเสาร์แรกของเดือนสิงหาคม จุดประสงค์เพื่อเฉลิมฉลองการมาถึงของฤดูร้อน ขอพรให้ชาวประมงหาปลา จับปลาได้มาก และอยู่รอดปลอดภัย

ไฮไลท์ของงานก็คือโคมไฟขนาดใหญ่ยักษ์ชื่อว่า Hōtō (奉燈) ความสูงระหว่าง 12-15 เมตร น้ำหนักกว่าสองตัน ประดับตกแต่งด้วยภาพวาด อักษรเขียน ด้านล่างจะมีนักดนตรี ต้องใช้คนหามหลายสิบ (หนังถ่ายตอนกลางวัน เลยไม่เห็นความสวยงามของโคมไฟยามค่ำคืน)

ส่วนสถานที่ตั้งแผงลอยขายของคือศาลเจ้า Yasaka Shrine ตั้งอยู่ยัง Naoetsu, Joetsu City จังหวัด Niigata (คนละสถานที่กับเทศกาล Issaki Hōtō Festival) โดยตำแหน่งที่ตั้งขายอยู่เคียงข้างรูปปั้นสิงโตสุนัข Komainu (狛犬) สัตว์เทพที่คอยเฝ้าทางเข้าหรือประตูศาลเจ้าสำหรับปัดเป่าวิญญาณชั่วร้าย ซึ่งมันคงเรียกมาเฟียเจ้าที่มาจับกุม/ขับไล่ Heitarō (เพราะไม่ได้จ่ายค่าเช่าที่กระมัง) ปล่อยให้ Orin ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย แล้วจู่ๆฝนพรำลงมา เปียกปอน หนาวเหน็บ สั่นสะท้านทรวงใน (สภาพอากาศสะท้อนสภาวะอารมณ์ตัวละคร)

Komainu ปัดเป่าวิญญาญชั่วร้าย = มาเฟียมาจับกุม Heitarō, ความเชื่อมโยงนี้ดูราวกับบอกใบ้เบื้องหลัง ลับลมคมในของ Heitarō ว่าต้องเคยทำบางสิ่งอย่างที่เบื้องบน สรวงสวรรค์ไม่พึงพอใจ จึงทำการขับไล่

Orin ดำเนินมาถึงจุดที่เป็นเส้นทางแยก ต้องเลือกระหว่างเฝ้ารอคอย Heitarō หรือจะติดตาม Bessho เอาจริงๆคือเธอตัดสินใจรอเขา แต่กลับถูกพ่อค้ายาลากเข้าพง ไม่สามารถต่อต้าน ใจหนึ่งก็ไม่อยากขัดขืน นี่จึงกลายเป็นเหตุการณ์สร้างความขมขื่น จุดเริ่มต้นของการสูญเสียทุกสิ่งอย่าง

ภาพที่แล้วเส้นทางแยกบนถนน มันอาจดูเหมือนซ้ายก็ป่า ขวาก็ป่า แต่เหตุการณ์บังเกิดขึ้นยังสถานที่แตกต่างตรงกันข้าม

  • Bessho อุ้มพา Orin มาร่วมรักท่ามกลางพงหญ้าเขียวขจี (นอนหงาย) สีหน้าระเริงรื่น บังเกิดความสุขทางกาย
  • แล้วพอ Orin เดินมาพบเจอ Heitarō ลากรถลากผ่านหาดทรายสีดำ ทำให้เธอสีหน้าซีดเผือก ก่อนทรุดนั่งคุกเข่า ก้มหน้าก้มตา รู้สึกอับอาย ผิดหวังในตนเอง ตกอยู่ในความมืดหมองหม่น (อารมณ์เดียวกับสีของหาดทราย)
    • มันจะมีรายละเอียดเล็กๆตอน Orin รีบเดินเข้าหา Heitarō แต่เพราะมองไม่เห็น เลยผ่านหน้าเขาไปคุกเข่าตรงรถลาก สื่อถึงความคลาดเคลื่อน ไม่เหมือนเดิม มองกันไม่ติดอีกต่อไป

ระหว่างที่ Heitarō หายตัวไปไหนไม่รู้ (โต้ตอบเอาคืน Bessho) Orin นั่งอยู่ริมหาดทราย หวนระลึกความทรงจำเมื่อครั้นถูกขับไล่ออกจากบ้านศิลปิน ลองสังเกตภาพวาดกิ่งไม้บนประตู มันช่างดูละม้ายคล้ายต้นไม้ริมหาดทรายดำ นี่คือการแปรสภาพฉากหลังจากรูปธรรมสู่นามธรรม ย้อนรอยเหตุการณ์ละม้ายคล้ายกัน! หญิงสาวกระทำสิ่งขัดต่อกฎระเบียบ ข้อตกลงร่วมกัน (ตอนอยู่บ้านศิลปิน ร่วมรักชายอื่น, ตอนอยู่กับ Heitarō ร่วมรักกับ Bessho) ต่อจากนี้จึงจำต้องยินยอมรับโชคชะกรรม ถูกขับไล่ ผลักไส เหมือนเจ้าปูถูกคลื่นซัดหายไป

เมื่อตอนอยู่บ้านศิลปิน กฎระเบียบคือสิ่งบีบรัดมัดตัว ไม่เข้าใจว่าการร่วมรักชายอื่น โหยหาความสุขทางกายมันผิดอะไร? แต่หลังจากค้นพบความสุขทางใจ แล้วทรยศหักหลังชายคนรัก นั่นทำให้หัวใจเธอแทบแตกสลาย ตระหนักถึงความโง่เขลาของตนเอง

หลังจากแยกทาง Orin ก็ได้พบเจอกับ Tama Ichise (รับบทโดย Kirin Kiki) ยังวัดร้าง เต็มไปด้วยเศษใบไม้ สภาพอาคารดูชำรุดทรุดโทรม สภาพจิตใจเธอขณะนี้ก็เฉกเช่นเดียวกัน! สถานที่แห่งนี้คืออาคาร Kannon Hall (Guzeden) ตั้งอยู่ภายใน Kiyomizu-dera Temple (清水寺) ตั้งอยู่ที่ Sado City, Niigata (ไม่ใช่วัดน้ำใสที่ Kyoto นะครับ)

หญิงชรานำพาหลานสาวตาบอด ตั้งใจจะมาฝากฝัง Tama ให้ช่วยส่งเสียดูแล ฝึกฝนกลายเป็นศิลปิน Goze แต่กลับได้รับคำตอบปฏิเสธ ฉันเองต้องเดินทางเร่ร่อน แทบจะเอาตนเองไม่รอดอยู่แล้ว ก่อนจู่ๆฉายภาพเชิงเทียนหยุดแน่นิ่ง (Freeze Frame) เด็กหญิงยืนเบลอๆอยู่ด้านหลัง … นี่คือหนึ่งในลายเซ็นต์ผกก. Shinoda แช่ภาพค้างไว้เพื่อสื่อถึงจุดจบอะไรบางอย่าง

แวบแรกที่มาถึงซีเควนซ์นี้ ผมนึกย้อนถึงตอน Orin ได้รับการฝากฝังให้เป็นศิลปิน Goze ก็นึกว่าพวกเธอจะยินยอมรับลูกศิษย์ใหม่ แล้วทุกสิ่งอย่างจักเวียนวนหวนกลับสู่จุดเริ่มต้น แต่หนังกลับเลือกตัดตอน ตอบปฏิเสธ ก็เท่ากับว่าเป็นการอารัมบทจุดสิ้นสุดของอาชีพนี้ กำลังจะไร้ผู้สืบทอดต่อ

เช้าวันถัดมาสองศิลปินตาบอดเดินมาถึงบริเวณหน้าผาริมทะเล บริเวณที่หญิงชรา+หลานสาวกระโดดหน้าผาฆ่าตัวตาย ภาพแรกถ่ายจากฟากฝั่งหนึ่ง ท้องฟ้ามืดครื้ม (=จิตใจหมองหม่น) หลังจากการพร่ำบ่น แสดงความเศร้าโศกเสียใจ หิมะก็เริ่มตกลงมา ช็อตสุดท้ายสลับไปถ่ายอีกฟากฝั่งหน้าผา หิมะค่อยๆทวีความรุนแรง (=จิตใจปั่นป่วน หนาวเหน็บ)

ผมอ่านเจอว่าต้นฉบับนวนิยาย Orin หวนกลับมาพบเจอ Heitarō ยัง Katate Kannondō (片手観音堂) หรือ Mikata Ishi Kannon (三方石観世音) ตั้งอยู่ยัง Wakasa, Fukui Prefecture (ในอดีตคือจังหวัด Wakasa) แต่เท่าที่ผมค้นหาข้อมูลพบว่าสถานที่ค่อนข้างเล็ก ไม่ตรงกับวิสัยทัศน์ผกก. Shinoda เลยเปลี่ยนมาถ่ายทำยัง Zenkoji Temple (善光寺) แปลว่า Temple of the Benevolent Light วัดคู่บ้านคู่เมืองของ Nagano สร้างขึ้นตั้งแต่ ค.ศ. 642 เชื่อกันว่าประดิษฐานพระพุทธรูปองค์แรกที่เข้ามาในประเทศญี่ปุ่น

ส่วนพระพุทธรูปไม้ตาบอดชื่อว่า พระปิณโฑลภรัทวาชเถระ (賓頭盧, Binzuru) พระอรหันต์ผู้มีพลังรักษาโรค เชื่อกันว่า หากเราลูบรูปปั้นตรงจุดที่เราเจ็บป่วย ก็จะช่วยให้หายจากอาการนั้นได้ … พระปิณโฑลภารทวาชเถระ คือพระอสีติมหาสาวก 80 องค์สำคัญของพระพุทธศาสนา ท่านได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าท่านเป็นเลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในด้านผู้บันลือสีหนาท “ใครมีความสงสัยในมรรคผล ผู้นั้นจงถามเราเถิด” เลื่องชื่อในการแสดงอิทธิปาฏิหาริย์แก่พวกคฤหัสถ์เป็นเหตุให้บัญญัติสิกขาบท ห้ามพระภิกษุแสดงอิทธิปาฏิหาริย์แก่พวกคฤหัสถ์ ถ้าฝ่าฝืนจะต้องอาบัติทุกกฏ

การหวนกลับมาพบเจอกันคราวนี้ Orin และ Heitarō ไม่ถือว่าเป็นพี่น้องกันอีกต่อไป ฉากร่วมรักถูกนำเสนอด้วยศิลปะภาพยนตร์ที่สามารถสื่อถึงการเติมเต็มกันและกัน … เพศสัมพันธ์มันก็คือการเติมเต็มกันและกัน เข้าใจบ่?

  • เริ่มต้นตอนทั้งสองนั่งอยู่ กล้องค่อยๆเคลื่อนเข้าหาด้านหลังฝ่ายชาย ใบหน้าหญิงสาวค่อยๆถูกบดบัง เลือนหายไปในความมืดมิด
  • แล้วพอโอบอุ้มลงนอน เริ่มจากใบหน้าหญิงสาวอาบฉาบด้วยแสงสว่าง ก่อนฝ่ายชายค่อยๆเลื่อนไถลตัวขึ้นมา จนแสงสว่างอาบฉาบใบหน้าเช่นเดียวกัน!

หลังจากการร่วมรัก Orin (และ Heitarō) ตัดสินใจเดินทางกลับไปแวะเวียนบ้านเกิด ณ Obama, Fukui แล้วเดินข้ามสะพานแห่งหนึ่ง ซึ่งผมมองในเชิงเปรียบเทียบถึงการเดินข้ามแม่น้ำสามโลก Sanzu River (途の川) ตามคติพุทธศาสนาในญี่ปุ่น ก่อนจะเข้าสู่โลกหลังความตาย วิญญาณของผู้ล่วงลับจะต้องข้ามแม่น้ำนี้ … นั่นเพราะหลังจากนี้ทั้งสองจะถูกทางการจับกุม พลัดพรากจากกันชั่วนิรันดร์

Orin และ Heitarō ดำเนินมาถึงจุดหมายปลายทาง หรืออาจเรียกว่าหวนกลับหารากเหง้า ยังท้องทะเลที่ถือเป็นบ้านเกิดของหญิงสาว แต่พอมุมกล้องหันหลังกลับ ถ่ายทำในทิศทางตรงกันข้าม ทั้งสองถูกทางการล้อมจับกุม พื้นหลังทิวทัศน์หมู่บ้านโบราณ (แต่ถ่ายติดเสาไฟฟ้าสมัยใหม่ ซะงั้น!) … ทิวทัศน์ท้องทะเลที่เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างแผ่นดิน-มหาสมุทร ยังนิยมใช้สัญลักษณ์ของชีวิต-ความตาย โลกมนุษย์-โลกวิญญาณ (หลังความตาย)

การร่ำลาจากระหว่าง Orin และ Heitarō นี่เป็นสองช็อตสะท้อนมุมมองเขาต่อเธอ และเธอต่อเขา

  • ฟากฝั่งของ Heitarō โลกภายนอกแม้สว่างสดใส แต่เขาถูกพันธนาการเหนี่ยวรั้ง ไร้อิสรภาพชีวิต การได้พบเจอเธอที่อยู่ในห้องมืดมิด จึงพยายามปกปักษ์รักษา ไม่ต้องการให้เธอจมปลักอยู่ภายในโลกสิ้นหวังใบนั้น
  • ตรงกันข้ามกับ Orin อาศัยอยู่ในห้องขัง/โลกมืดมิด (ตาบอด) การได้พบเจอเขา แม้มองไม่เห็น แต่สัมผัสได้ถึงแสงสว่างภายนอก ก่อบังเกิดประกายความหวังในการดำรงชีวิต

หลังได้รับการปล่อยตัว Orin เดินทางกลับไปยังบ้านอีกหลัง หรือคือบ้านศิลปินตาบอด แต่ปรากฎว่าเจ้าของ Teruyo เสียชีวิตไปไม่นาน เข้าไปในบ้านพบเห็นเพียงความว่างเปล่าทั้งภายนอก-ใน จิตใจเธอก็เฉกเช่นกัน ไม่รู้จะทำยังไง ไม่หลงเหลือใครอีกต่อไป

Orin ก้าวออกเดินเร่ร่อนไปยังสถานที่ต่างๆ แต่บ้านเคยเล่นดนตรี มาวันนี้ก็ไม่หลงเหลือใคร ภาพถ่ายจากภายใน ย้อนแสง ใบหน้าของเธอปกคลุมอยู่ในความมืดมิด สร้างบรรยากาศห่อเหี่ยวสิ้นหวัง ก้าวออกเดินไปตามท้องถนนยามเย็น พื้นเปียกปอน ไร้แสงสว่างสาดส่อง … ราวกับก้าวย่างสู่ความตาย

เกร็ด: Tsumago-juku (妻籠宿) ตั้งอยู่ยัง Nagiso, Nagano Prefecture เป็นหมู่บ้านอนุรักษ์ที่มีการฟื้นฟูบูรณะให้ยังคงรูปลักษณะ Edo-Period สำหรับใช้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว

กล้องค่อยๆเคลื่อนถอยหลังออกจากอุโมงค์มืดมิด พบเห็นอุปกรณ์สำรวจ และวิศวกรก้าวเดินออกมา (จากความมืดมิด) คนกลุ่มนี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องราว แต่พวกเขาสังเกตเห็นอะไรบางอย่างติดอยู่บนต้นไม้ … ประมาณว่านักสำรวจต้องมีสายตาดี สวมใส่แว่น หรือมองผ่านกล้อง ถึงสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ

การค้นพบของนักสำรวจกลุ่มนี้ เราอาจมองในเชิงเปรียบเทียบถึงผกก. Shinoda ค้นพบเรื่องราวของศิลปินตาบอด Goze ที่ขณะนั้นใกล้สาปสูญ ไม่หลงเหลือใครสืบสานต่อ

ฉากจบของหนังคือการร้อยเรียงภาพที่สามารถสื่อถึงความตายของ Orin (=จุดจบของศิลปิน Goze) เริ่มจากผ้าคลุมสีแดงติดอยู่บนต้นไม้ (บางคนบอกชุดชั้นใน ก็ว่าไป) โครงกระดูก เศษซาก Shamisen นกโบยบิน ท้องฟ้ายามเย็น พระอาทิตย์เปลี่ยนสี และพระจันทร์ยามค่ำคืนมืดมิด

There’s a scene in which Orin’s vermilion undergarments, bathed in the setting sun and turning blood, hang over a cliff. It seems to symbolize the end of an era of culture, and it’s a somewhat unforgettable final scene.

นักวิจารณ์จากหนังสือพิมพ์ Asahi Shimbun (1977)

ตัดต่อโดย Sachiko Yamaji, 山地早智子 ขาประจำผกก. Masahiro Shinoda ร่วมงานกันตั้งแต่ The Petrified Forest (1973), Himiko (1974), Under the Blossoming Cherry Trees (1975), Ballad of Orin (1977) ฯ

หนังดำเนินเรื่องผ่านมุมมองของหญิงสาวตาบอด Orin แต่แทนที่ไล่เรียงจากเกิดถึงตาย (Linear Narrative) มักมีการกระโดดกลับไปกลับมาระหว่างอดีต-ปัจจุบัน (Non-Linear Narrative) เริ่มต้นตอนเป็นผู้ใหญ่ พักค้างแรมกลางทางกับชายแปลกหน้า Heitarō พูดเล่าความหลังตั้งแต่เริ่มจำความได้ ถูกมารดาทอดทิ้ง เข้าร่วมบ้านศิลปินตาบอดของ Teruyo ฝึกฝนการแสดง พอเติบใหญ่ถูกไล่ออก เร่ร่อนมาจนพบเจอกับเขา จากนั้นร่วมออกเดินทาง กลายเป็นพี่น้อง พลัดพรากจาก ก่อนสูญเสียทุกสิ่งอย่าง

  • Orin ตั้งแต่เด็กจนเติบใหญ่
    • (Flashback) เด็กหญิง Orin ถูกมารดาทอดทิ้ง แล้วมีคนพาเธอออกเดินทางไปยังบ้านศิลปินตาบอดของ Teruyo
    • Orin เล่าความหลังให้กับชายแปลกหน้า Heitarō ที่ค้างแรมในวัดร้างเดียวกัน
    • (Flashback เมื่อไม่นานมานี้) Orin เดินทางไปทำการแสดงยังร้านอาหารแห่งหนึ่ง
    • (Flashback) เด็กหญิง Orin ได้รับการฟากฝังยังบ้านศิลปินตาบอดของ Teruyo
    • Heitarō ทนความง่วงไม่ไหว นอนสลบไสล
    • (Flashback) เด็กหญิง Orin ได้รับการฝึกฝนจนสามารถทำการแสดงครั้งแรก
    • Heitarō ออกติดตาม Orin ช่วยอุ้มพาไปยังเมืองถัดไป
    • (Flashback) เด็กหญิง Orin พบเห็นมารดาใช้ความรุนแรง ขับไล่รุ่นพี่เพราะแอบมีความสัมพันธ์กับผู้ชาย
    • (Flashback) Orin เติบใหญ่จนมีประจำเดือน ก่อนถูกข่มขืนครั้งแรก
    • Orin และ Heitarō หลบฝนตรงประตู Niomon Gate ตั้งอยู่หน้าวัด Sado Kokubun-ji
      • (Flashback) Orin ขายบริการให้ชายแปลกหน้า
      • (Flashback) Heitarō พบเห็นมารดาร่วมรักกับชายแปลกหน้า
      • (Flashback) Orin พยายามเหนี่ยวรั้งชายสูงวัยให้พักค้างแรม
      • (Flashback) Heitarō จุดไฟเผายุ้งฉางในช่วงระหว่างการจราจลข้าว (Rice riots of 1918)
  • คำสัญญาของ Heitarō
    • Orin และ Heitarō เดินคุยกันริมทะเล เขาให้การปกป้องเธอระหว่างทำการแสดง
    • Orin ต้องการร่วมรักกับ Heitarō แต่ถูกปฏิเสธ
    • Heitarō เริ่มต้นทำธุรกิจรองเท้าไม้ Geta พอเริ่มขายได้ก็บอกให้ Orin เลิกเป็น Goze
    • ทั้งสองกลายเป็นพี่น้อง ร่วมขายของตรงประตูวัด Gochi Kokubunji Temple
    • ร่วมกันออกเดินทางข้ามสะพาน Hōrai Bridge ผ่านเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ (1923 Great Kantō earthquake)
    • ระหว่างขายของในงานเทศกาล Issaki Hōtō Festival จู่ๆ Heitarō ถูกมาเฟียควบคุมตัว
    • หลังงานเทศกาล คนขายยา Bessho ลงมือขืนใจ Orin
    • (Flashback) เมื่อตอน Orin ถูกไล่ออกจากบ้านศิลปินตาบอดของ Teruyo
    • ก่อนถูก Heitarō ลอบสังหาร เป็นเหตุให้ทั้งสองต้องแยกทางกัน
  • Orin & Tama
    • Orin บังเอิญพบเจอเพื่อนร่วมอาชีพ Tama ยัง Kannon Hall (Guzeden) ณ Kiyomizu-dera Temple,
    • ทางการให้ความสนใจคดีฆาตกรรม Bessho กำลังติดตามตัวชายผู้ต้องสงสัยว่าเป็นทหารหลบหนี
    • คุณยายพาเด็กหญิงตาบอดมาขอพึ่งใบบุญ Tama แต่ได้รับคำตอบปฏิเสธ ทั้งสองเลยกระโดดหน้าผาฆ่าตัวตาย
    • Orin & Tama ยังคงออกเดินทางร่วมกัน
    • ทางการเดินทางไปสอบถามข้อมูล Orin จากบ้านศิลปินตาบอดของ Teruyo
  • หวนกลับหารากเหง้า
    • พอเดินทางมาถึง Zenkoji Temple, Orin ก็ได้พบเจอ Heitarō เป็นอันแยกทางกับ Tama
    • Orin & Heitarō เดินทางมายัง Obama (บ้านเกิดของ Orin)
    • ทั้งสองถูกจับกุมตัว ทัณฑ์ทรมาน
    • Heitarō พบเจอหน้า Orin ครั้งสุดท้ายก่อนรับโทษประหาร
    • Orin เดินทางไปยังบ้านศิลปินตาบอด Goze ก่อนค้นพบว่า Teruyo เสียชีวิตไปไม่นาน
    • เมื่อไม่หลงเหลือใคร เธอจึงกระทำอัตวินิบาต

องก์แรกของหนังอาจสร้างความสับสน มึนงง เพราะมีการกระโดดไปกระโดดมาระหว่างอดีต-ปัจจุบัน เล่าย้อนความหลัง (Flashback) มันดูไม่จำเป็นสักเท่าไหร่? แต่นั่นคือความตั้งใจของผกก. Shinoda เพื่อสื่อถึงช่วงเวลาแห่งความสะเปะสะปะ ดำเนินไปอย่างล่องลอย ไร้หลักแหล่งของ Orin จนกระทั่งได้พบเจอชายคนนั้น เข้ามาทำให้เธอค้นพบความหมายของชีวิต (เรื่องราวดำเนินเป็นเส้นตรงตั้งแต่องก์สองเป็นต้นไป)


เพลงประกอบโดย Tōru Takemitsu, 武満 徹 (1930-96) คีตกวีสัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Hongō, Tokyo ก่อนย้ายไปเติบโตยัง Dalian, Liaoning (ประเทศจีน) ถูกบังคับเกณฑ์ทหารตั้งแต่อายุ 14 แม้ได้รับประสบการณ์อันขมขื่น แต่ทำให้มีโอกาสรับฟังเพลงตะวันตก, หลังสงครามโลกกลับมาญี่ปุ่น ทำงานในกองทัพสหรัฐ (ที่เข้ามายึดครองชั่วคราว) แม้ไม่เคยฝึกฝนการเล่นดนตรี แต่เริ่มแต่งเพลงเมื่ออายุ 16 โอบรับแนวคิดเครื่องดนตรีไฟฟ้า แนวทดลอง สไตล์ Avant-Garde ร่วมก่อตั้งกลุ่ม Experimental Workshop (実験工房 อ่านว่า Jikken Kōbō) ที่พยายามผสมผสานไม่ใช่แค่ดนตรี แต่ยังสรรพเสียง และศิลปะแขนงอื่นๆคลุกเคล้าเข้าด้วยกัน ทำให้มีโอกาสรับรู้จัก Kōbō Abe และ Hiroshi Teshigahara ที่ต่างก็แนวคิดทิศทางเดียวกัน โด่งดังกับระดับนานาชาติกับผลงาน Requiem for String Orchestra (1957), ทำเพลงประกอบภาพยนตร์มากมายนับไม่ถ้วน Harakiri (1962), Pitfall (1962), Pale Flower (1964), Kwaidan (1964), Woman in the Dunes (1964), The Koumiko Mystery (1965), The Face of Another (1966), Samurai Rebellion (1967), Scattered Cloud (1967), Double Suicide (1969), Dodes’ka-den (1970), Under the Blossoming Cherry Trees (1975), Ballad of Orin (1977), Empire of Passion (1978), Ran (1985), Black Rain (1989) ฯ

นอกจากบทเพลงของ Goze (ขับร้อง+บรรเลง Shamisen) ที่ได้รื้อฟื้นการแสดงเกือบสาปสูญหายขึ้นมาใหม่ งานเพลงอื่นๆของ Takemitsu ยังคงกลิ่นอายสไตล์ Avant-Garde ด้วยการสร้างเสียงแปลกๆ ผสมเสียงธรรมชาติ (เสียงนกร้อง, สายลม, หยาดฝน ฯ) รวมถึงเครื่องดนตรีตะวันตก? มอบสัมผัสโหยหวน คร่ำครวญ ท่วงทำนองแห่งความเศร้าโศกเสียใจ หนาวเหน็บ กรีดบาดแทง สั่นสะท้านทรวงใน

การเลือกใช้เครื่องดนตรีตะวันตกอย่าง โอโบ ไวโอลิน พิณฝรั่ง ฯ มันอาจสร้างความแปลกประหลาดใจให้หลายคน เพราะพื้นหลังของหนังเป็นแนวย้อนยุคสมัย Taishō Era (1912-26) แถมเรื่องราวเกี่ยวกับการแสดงขับร้อง-เล่นดนตรีพื้นบ้านของ Goze แต่ผมครุ่นคิดว่า Takemitsu ต้องการให้ผู้ชมสัมผัสถึงความขัดแย้ง/เปลี่ยนแปลงระหว่างอดีต-ปัจจุบัน สิ่งพบเห็นทั้งหมดในหนังได้เลือนลาง เจือจางหายตามกาลเวลา … มันจึงมีท่วงทำนองแห่งความเศร้าโศกา

อีกเหตุผลหนึ่งอาจต้องการสะท้อนความแปลกแยกไม่เข้าพวก (Isolation) ของ Orin ถูกขับไล่จากบ้านศิลปินตาบอดของ Teruyo จำต้องออกเดินทางเร่ร่อนตามลำพัง ถูกกดขี่ข่มเหงสารพัด ก่อนพบเจอชายแปลกหน้าที่ช่วยสร้างโลกใบใหม่ขึ้นมา แต่ไม่นานก็พังทลาย ทุกสิ่งอย่างสูญหายตามกาลเวลา

ในบรรดาบทเพลงของ Goze ที่ผมรู้สึกว่ามีความน่าสนใจสุด ไม่รู้ชื่อเพลง ดังขึ้นระหว่าง Orin ออกเดินทางกับ Heitarō (ผมเลยตั้งชื่อ Travel off Ezo) แต่แทนที่จะบรรเลงด้วย Shamisen กลับผสมผสานออร์เคตรา อาจสื่อแทนความสุขทางใจที่สุดแสนยิ่งใหญ่ เนื้อคำร้องเกี่ยวกับการเดินทางจากบ้านเกิด ไฮไลท์คือท่อนสุดท้าย มันน่าจะยังไม่จบแต่ถูกตัดจบเพราะ “Here comes the crackling of thunder” แล้วเกิดการสั่นสะเทือน แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ (1923 Great Kantō earthquake)

บทเพลงนี้ Orin จะขับร้องอีกครั้ง (แค่เฉพาะสองสามท่อนหลัง) ตอนร่ำลาจาก Heitarō ก่อนถูกนำตัวไปประหารชีวิต ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เศร้าโศกเสียใจ “From Mount Yoneyama, Clouds rise, Soon enough, Showers will fall” ราวกับคำมั่นสัญญา อีกไม่นานฉันจะติดตามเธอไป … ก็เท่ากับว่าบทเพลงนี้ดังขึ้นในช่วงเวลาแห่งความสุขที่สุด และทุกข์ที่สุด

ไม่มีสิ่งใดจีรังยั่งยืนตราบชั่วกาลปาวสาน! อาชีพศิลปินตาบอด Goze ก็เฉกเช่นเดียวกัน ในอดีตเคยได้รับความนิยมเพราะสามารถสร้างความบันเทิงเริงรมณ์ ช่วยแบ่งเบาภาระหญิงพิการตาบอด ได้มีการมีงาน สามารถพึ่งพาตนเอง แต่ยุคสมัยผันแปรเปลี่ยน อิทธิพลตะวันตกแผ่เข้ามา ศิลปะการแสดงนี้กลายเป็นสิ่งเฉิ่มเฉยล้าหลัง ค่อยๆถูกหลงลืม ไร้ผู้สืบทอด เลือนหายตามกาลเวลา

ผกก. Shinoda ไม่ได้มีความโหยหาคร่ำครวญ หวนระลึกถึงญี่ปุ่นสมัยก่อนมากนัก แต่ในฐานะศิลปินรังสรรค์สร้างผลงานศิลปะ(ภาพยนตร์) เมื่อรับรู้ว่าหนึ่งในศิลปะของชาติอย่าง Goze กำลังจะหมดสูญสิ้นไป มันเหมือนเป็นความรับผิดชอบต่อสังคมที่จะทำอะไรบางอย่าง บูรณะ รื้อฟื้น บันทึกสิ่งยังคงหลงเหลืออยู่ สร้างไทม์แคปซูลสำหรับส่งต่อให้คนรุ่นหลัง มีโอกาสเรียนรู้จัก ชื่นเชยชม

ไม่ใช่แค่ศิลปะการแสดง Goze แต่เขายังพยายามสรรหาสถานที่พื้นหลัง ภูมิทัศน์ยุคสมัย Taisho Era (1912-26) จริงๆแล้ว ผกก. Shinoda เกิดไม่ทัน (เกิดปี ค.ศ. 1931) แต่คนรอบข้างอย่างตากล้อง Kazuo Miyagawa (1908-99) รวมถึงที่ปรึกษาอาวุโสอีกมากมายที่มีชีวิตพานผ่านช่วงเวลาดังกล่าว จึงสามารถเก็บบันทึกอดีตที่ยังหลงเหลือไว้ได้พอสมควร

ย้อนกลับมาที่เรื่องราวของหนัง Orin ไม่ใช่แค่ศิลปิน Goze แต่ยังคือตัวแทนชนชั้นล่างทางสังคม ที่ต้องต่อสู้ดิ้นรน อดทนจากการถูกกดขี่ข่ม(ขืน)เหงสารพัด ดำเนินชีวิตอย่างล่องลอยเรื่อยเปื่อย มองไม่เห็นอนาคตเบื้องหน้า (ทั้งเชิงรูปธรรมและนามธรรม) ภาพสะท้อนยุคสมัย Taisho Era (1912-26) และตามสไตล์ผกก. Shinoda ยังสามารถสื่อถึงญี่ปุ่นในปัจจุบันนั้น (ช่วงทศวรรษ 60s-70s)

ส่วนฟากฝั่งชายแปลกหน้า Heitarō Iwabuchi เกิดในครอบครัวช่างทำรองเท้า Geta ตัวแทนชนชั้นแรงงาน (Working Class) ฐานะยากจนข้นแค้น ไม่อยากไปรบแต่ถูกบีบบังคับ เลยสำแดงอารยะขัดขืนด้วยการหนีทหาร เผายุ้งฉางช่วงระหว่างการจราจลข้าว (Rice riots of 1918) โต้ตอบมาเฟียที่ใช้อำนาจบาดใหญ่ และเข่นฆ่าพ่อค้าขายยา Bessho เพราะทำลายเธอผู้เป็นแสงสว่างนำทางชีวิต

(Rice riots of 1918 น่าจะสามารถเปรียบเทียบถึง Anpo protests (1959-60 และ 1970) ได้กระมัง)

คล้ายๆกับ Double Suicide (1969) ที่คู่รักชาย-หญิงต่างถูกแรงกดดันจากสรรพสิ่งต่างรอบข้าง (เรื่องนั้นคือครอบครัว+วิถีทางสังคม) จนพวกเขามิอาจครองคู่อยู่ร่วม พยายามพากันหลบหนี แต่ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาใดๆ หนทางออกสุดท้ายก็คือความตาย, สำหรับ Ballad of Orin (1977) เพิ่มเติมแรงกดดันทางการเมืองเข้ามา และแม้ตอนจบพวกเขาอาจไม่ได้ร่วมกันทำอัตวินิบาต แต่ยังถือเป็นโศกนาฎกรรมที่มาพร้อมจุดจบทางศิลปะวัฒนธรรม

ส่วนใจความที่ทำให้ผมโปรดปรานหนังเรื่องนี้ คือความสุขทางกาย (จากการมีเพศสัมพันธ์) เทียบไม่ได้กับความสุขทางใจ ได้พบเจอบบุคคลที่พร้อมปกป้อง ยินยอมเสียตนเองโดยไม่หวังสิ่งใดๆตอบแทน นี่ไม่ใช่แค่ Orin เรียนรู้จักความรักจาก Heitarō แต่ยังบ้านศิลปินตาบอด Goze ที่พยายามเสี้ยมสอนให้หญิงสาวครองความบริสุทธิ์ อุทิศตนให้พุทธศาสนา เพื่อว่าลดทอนเวรกรรม (ที่ทำให้พวกเธอตาบอดในชาตินี้) จักมีโอกาส “มองเห็น” ความสงบสุขทางใจ


ค.ศ. 1978 คือปีแรกที่สถาบัน Japan Academy Film Prize Association (日本アカデミー賞協会 อ่านว่า Nippon Akademii-shou Kyoukai) จัดงานประกาศรางวัล Japan Academy Film Prize (日本アカデミー賞 อ่านว่า Nippon Akademii-shou) ภาพยนตร์ Ballad of Orin (1977) ได้เข้าชิงถึง 7 สาขา น่าเสียดายพลาดรางวัล Best Film ให้กับ The Yellow Handkerchief (1977)

  • Best Film พ่ายให้กับ The Yellow Handkerchief (1977)
  • Best Director
  • Best Actress (Shima Iwashita) ** คว้ารางวัล
  • Best Supporting Actress (Tomoko Naraoka)
  • Best Screenplay
  • Best Cinematography ** คว้ารางวัล
  • Best Music Score

นอกจากนี้ Shima Iwashita ยังกวาดเรียบสาขา Best Actress จากการประกาศรางวัลของสถาบันอื่นๆ อาทิ Hochi Film Award, Kinema Junpo Award, Mainichi Film Concours และ Blue Ribbon Awards

เกร็ด: ไม่รู้เป็นความบังเอิญหรืออย่างไร ในปีเดียวกันนี้ผู้กำกับ Kaneto Shindō สรรค์สร้างภาพยนตร์ The Life of Chikuzan (1977) เกี่ยวกับนักดนตรีตาบอดชาย ออกเดินทางเร่ร่อน ทำการแสดงทั่วประเทศญี่ปุ่น เข้าชิง Japan Academy Prize จำนวน 8 สาขา สงสัยจะตัดคะแนนกันเองกับ Ballad of Orin (1977) เลยไม่ได้สักรางวัล … ถ้าผมจำไม่ผิด The Yellow Handkerchief (1977) ที่คว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแห่งปี ก็เกี่ยวกับการเดินทาง Road Movie เช่นเดียวกันกระมัง

ฉบับที่ผมได้รับชมนั้นเป็นไฟล์ WEBRip มาจากการฉายผ่านเว็บไซด์ Streaming คุณภาพคมชัดกริบ ไร้ริ้วรอยขีดข่วน นั่นแสดงว่าต้องผ่านการบูรณะมาเรียบร้อยแล้ว แต่ไม่สามารถค้นหารายละเอียดใดๆ ไม่พบเห็นการจัดจำหน่าย DVD/Blu-Ray

สิ่งที่ทำให้ผมโปรดปราน Ballad of Orin (1977) ไม่ใช่แค่ภาพสวย เพลงเพราะ ตัดต่อกลับไปกลับมา แต่คือการพบเจอบุคคลที่ไม่เรียกร้องอะไร เสี้ยมสอนให้รู้จักหักห้ามใจตนเอง มันสร้างความอบอุ่น ชุ่มชื่นหฤทัย แม้หนังไม่ได้จบลงอย่าง Happy Ending การได้”มองเห็น”ความสุขทางใจ มันช่างงดงาม ทรงคุณค่าเหนือสิ่งอื่นใด

จัดเรต 18+ กับความรันทด ขื่นขม โศกนาฎกรรม

คำโปรย | Ballad of Orin ลำนำการเดินทางชีวิตของศิลปินสาวตาบอด งดงาม รันทด แม้จบลงด้วยความขมขื่น แต่การได้”มองเห็น”ความสุขทางใจ มันช่างทรงคุณค่าเหนือสิ่งอื่นใด
คุณภาพ | ลำนำชีวิ
ส่วนตัว | สุ

Leave a Reply

avatar

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

  Subscribe  
Notify of
%d bloggers like this: