Apart from You

Apart from You (1933) Japanese : Mikio Naruse ♥♥♥♡

บุตรชายวัยรุ่นเต็มไปด้วยอคติต่อมารดาเกอิชา เริ่มโดดเรียน เข้ากลุ่มอันธพาล ทำการลักเล็กขโมยน้อย ถ้าไม่เพราะพี่สาวสุดสวย (เพื่อนเกอิชาของมารดา) นำพาไปพบเจอญาติพี่น้อง พบเห็นบางสิ่งอย่างที่ทำให้เขาเข้าใจความทุกข์ยากลำบากชีวิต, “ต้องดูให้ได้ก่อนตาย”

หลังจากสร้างภาพยนตร์มาเกือบจะยี่สิบเรื่องในระยะเวลา 3 ปี! Apart from You (1933) และ Every-Night Dreams (1933) คือสองผลงานแรกของผกก. Naruse ได้รับเลือกจากนิตยสาร Kinema Junpo ให้เป็นภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแห่งปี อันดับ #4 และ #3 ตามลำดับ!

คนที่เคยรับชมผลงานยุคหลังๆ (Post-War) ของผกก. Naruse แล้วหวนกลับมาดู Apart from You (1933) จะเกิดความรู้สึกมักคุ้นเคยชิน ไม่ใช่สไตล์ลายเซ็นต์ที่ยังต้องใช้เวลาพัฒนาอีกสักพัก แต่คือเรื่องราว เนื้อหาสาระ มารดาเกอิชา เสียสละตนเองเพื่อบุตรชาย บุรุษพึ่งพาอะไรไม่ค่อยได้ ชีวิตจมปลักอยู่ในความสิ้นหวัง … นั่นคือธีมหลักๆพบเห็นบ่อยครั้งในภาพยนตร์ของ Mikio Naruse ยกตัวอย่าง Late Chrysanthemums (1954)

เกร็ด: ชื่อหนังภาษาอังกฤษ Apart from You มันฟังดูผิดๆเพี้ยนๆไปจากความหมายจริงๆของ 君と別れて อ่านว่า Kimi to Wakarete ควรจะแปลประมาณว่า I must say ‘Goodbye’ now ซึ่งสอดคล้องกับคำกล่าวของตัวละครช่วงท้าย ถึงเวลาที่เราจำต้องบอกลา หวังว่าอนาคตจักมีโอกาสหวนกลับมาพบเจอกันอีก


Mikio Naruse, 成瀬 巳喜男 (1905-69) ผู้กำกับภาพยนตร์ สัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Tokyo ในตระกูลซามูไร Naruse Clan แต่ครอบครัวมีฐานะยากจน แถมบิดาพลันด่วนเสียชีวิต จึงจำต้องต่อสู้ดิ้นรนกับพี่ชายและพี่สาว ตอนอายุ 17 สมัครเข้าทำงานสตูดิโอ Shōchiku ไต่เต้าจากลูกจ้าง เป็นผู้ช่วยผู้กำกับ Yoshinobu Ikeda ก่อนก้าวขึ้นมาเป็นผู้กำกับหนัง(เงียบ)สั้นเรื่องแรก Mr. and Mrs. Swordplay (1930)

โดยปกติแล้วผู้ช่วยผู้กำกับในสังกัด Shōchiku เพียงสามสี่ปีก็มักได้เลื่อนขั้น แต่ทว่า Naruse กลับต้องอดรนทนฝึกงานนานนับสิบปีถึงมีโอกาสกำกับหนังเรื่องแรก Mr. and Mrs. Swordplay (1930) น่าเสียดายที่ผลงานระหว่าง ค.ศ. 1930-34 สูญหายไปเกือบหมดสิ้น หลงเหลือหนังเงียบเพียง 5 เรื่อง ประกอบด้วย Flunky, Work Hard! (1931), No Blood Relation (1932), Apart from You (1933), Every-Night Dreams (1933) และ Street Without End (1934)

ผมไม่สามารถหารายละเอียดใดๆเกี่ยวกับ Apart from You (1933) เพียงระบุแค่ว่าพัฒนาบทโดย Mikio Naruse นำเสนอเรื่องราวของเกอิชาสูงวัย Kikue (รับบทโดย Mitsuko Yoshikawa) มีความเป็นห่วงเป็นใยบุตรชายวัยรุ่น Yoshio (รับบทโดย Akio Isono) ที่เริ่มโดดเรียน เข้ากลุ่มอันธพาล ทำการลักเล็กขโมยน้อย จึงขอความช่วยเหลือจากรุ่นน้องเกอิชา Terugiku (รับบทโดย Sumiko Mizukubo) พาออกเดินทางไปท่องเที่ยวทะเล พบเจอครอบครัว พบเห็นสภาพเป็นจริงของชีวิต

พอเดินทางกลับมาบ้าน Yoshio เกิดความตั้งใจจะปรับเปลี่ยนตนเอง ต้องการออกจากกลุ่มอันธพาล แต่กลับถูกรุมกระทำร้ายร่างกาย แล้วบังเอิญพี่สาว Terugiku โดนลูกหลงจนได้รับบาดเจ็บสาหัส หลังพานผ่านประสบการณ์เฉียดตาย ก็ถึงเวลาร่ำลาจากกัน


Mitsuko Yoshikawa, 吉川 満子 ชื่อจริง Man Yoshikawa, 吉川 マン (1901-91) นักแสดงสัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Tokyo หลังเรียนจบมัธยม เข้าร่วมสตูดิโอ Shōchiku ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1924 แสดงหนังเรื่องแรก Kujaku no hikari (1926) ผลงานเด่นๆ อาทิ I Was Born, But… (1932), Apart From You (1933), Every-Night Dreams (1933), Burden of Life (1935), The Only Son (1936) ฯ

รับบทมารดา Kikue ทำงานเกอิชามาหลายปีจนใกล้จะขายออกไม่ออก แต่ก็สามารถเลี้ยงดูแลบุตรชายจนเติบใหญ่ มาวันนี้เริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติ ท่าทางเงียบขรึม ไม่ค่อยพูดจา ก่อนรับรู้ว่าแอบโดดเรียน คบเพื่อนอันธพาล ทำการลักเล็กขโมยน้อย สร้างความห่อเหี่ยวใจ ไม่รู้จะทำอะไรยังไง ไหว้วานร้องขอ Terugiku เป็นที่พึ่งพักพิงสุดท้าย

Yoshikawa เป็นนักแสดงที่มักได้รับบทมารดาอยู่บ่อยครั้ง แต่เธอเพิ่งอายุสามสิบต้นๆ แล้วมีบุตรชายวัยรุ่น แสดงว่าแต่งงานตอนอายุ 15? นี่คงคือเรื่องปกติของชาวญี่ปุ่นสมัยนั้น

ส่วนเรื่องการแสดงผู้ชมสามารถสัมผัสได้ถึงความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า เป็นห่วงเป็นใยบุตรชาย ไม่อยากให้คบเพื่อนเลว คาดหวังแค่เรียนจบ มีการมีงานทำ คุ้มค่ากับการเสียสละตนเองทำงานเกอิชา แต่พอตระหนักว่าเขาเต็มไปด้วยอคติ(ต่ออาชีพมารดา) กำลังหันเข้าหาด้านมืด ทำให้เธอตกอยู่ในความห่อเหี่ยวสิ้นหวัง กอปรกับสภาพร่างกายโรยราตามสังขาร ใกล้จะไม่มีใครว่าจ้างงาน เลยหันพึ่งสุราเมรัย ถึงขนาดเคยครุ่นคิดจะฆ่าตัวตาย … บทบาทของ Yoshikawa อาจดูค่อนข้างซับซ้อน แต่การแสดงถือว่าความเป็นธรรมชาติอย่างมากๆ


Akio Isono, 磯野秋雄 (1910-86) นักแสดงสัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Yokohama, Kanagawa ครอบครัวเปิดร้านขายหนังสือพิมพ์ ก่อนย้ายมาปักหลักอยู่ Tokyo บุตรชายมีความสนใจด้านการแสดงตั้งเด็ก ตอนอายุเจ็ดขวบได้เป็นนักแสดงที่โรงละคอน Hongō-za Theatre ในสังกัดสตูดิโอ Shōchiku ไม่นานนักก็มีโอกาสแสดงภาพยนตร์ ผลงานเด่นๆ อาทิ Apart from You (1933), Street Without End (1934), Our Neighbor, Miss Yae (1934), The Masseurs and a Woman (1938) ฯ

รับบท Yoshio บุตรชายวัยรุ่น หลังรับรู้ว่ามารดาคือเกอิชา เกิดความขัดแย้งภายใน ไม่อยากยินยอมรับความจริง เลยตัดสินใจโดดเรียน เข้ากลุ่มอันธพาล โหยหาการยินยอมรับจากผู้อื่น และลึกๆแอบชื่นชอบพี่สาว Terugiku การพบเจอครอบครัวของเธอทำให้ได้รับบทเรียนชีวิตครั้งสำคัญ เข้าใจความทุกข์ยากลำบากมารดา หวนกลับบ้านครั้งนี้เลยต้องการกลับตัวกลับใจ ก้าวออกจากวังวนอาชญากรได้สำเร็จ

เอิ่ม มันไม่ใช่ตัวละครนี้วัยรุ่นมัธยมปลายควรอายุประมาณ 15-16? แต่ทว่า Isono อายุยี่สิบต้นๆ ร่างกายสูงใหญ่ เลยดูไม่ค่อยละอ่อนวัยสักเท่าไหร่ ก็แอบสงสัยว่า Shōchiku ไม่มีนักแสดงช่วงวัยนั้นหรือไร?

ส่วนเรื่องการแสดงแค่พอไปวัดไปวา ผมสัมผัสไม่ค่อยได้ถึงความเก็บกด อัดอั้น หรือขัดแย้งภายใน (ที่มารดาเป็นเกอิชา) แต่เวลาเข้าฉากกับพี่สาว Terugiku สังเกตเห็นสายตาเคลิบเคลิ้มหลงใหล พูดบอกอะไรก็แสดงความอ่อนไหว ยินยอมทำตามแทบทุกสิ่งอย่าง … สงสัย Isono จะแอบชื่นชอบ ตกหลุมรัก Mizukubo ก็เป็นได้!


Sumiko Mizukubo, 水久保 澄子 ชื่อจริง Tatsuko Ogino, 荻野 辰子 (1916-) นักแสดงสัญชาติญี่ปุ่น มักได้รับการเปรียบเทียบกับ Sylvia Sidney เกิดที่ Meguro-ku, Tokyo ยังไม่ทันเรียนจบมัธยม เข้าร่วมสตูดิโอ Shōchiku เมื่อปี ค.ศ. 1930 เริ่มมีผลงานตั้งแต่ปี ค.ศ. 1932 อาทิ Apart from You (1933), Dragnet Girl (1933) ฯ

รับบทเกอิชาสาว Terugiku ได้รับการไหว้วานร้องขอจากรุ่นพี่ Kikue ให้ช่วยเกลี้ยกล่อม Yoshio ละเลิกคบเพื่อนอันธพาล ทำการชักชวนเขาร่วมออกเดินทางไปเยี่ยมญาติต่างจังหวัด ภายนอกก็ดูเหมือนครอบครัวทั่วๆไป แต่บิดาไม่ยอมทำการทำงาน ติดเหล้าเมามาย ชอบใช้ความรุนแรงกับลูกๆ แถมยังจะบีบบังคับน้องสาวขายตัวเป็นเกอิชา นั่นทำให้พี่สาวอย่างเธอตัดสินใจทำบางอย่าง ไม่ยินยอมให้น้องต้องทนทุกข์ทรมานแบบเดียวกับตนเอง

บทบาทของ Mizukubo ช่างมีความละม้ายคล้าย Dragnet Girl (1933) พี่สาวเต็มไปด้วยความเก็บกด ทุกข์ทรมานต่อพฤติกรรมน้องชาย (คบเพื่อนอันธพาล) แม้เรือนร่างดูอ่อนแอ เปราะบาง แต่เธอมีจิตใจเข้มแข็งแกร่ง ไม่ย่นย่อท้อแท้ต่ออุปสรรคขวากหนาม แล้วยังแสดงความอ่อนโยน อ่อนไหว เอ็นดูรักใคร่ เป็นที่รักของใครๆ ไม่ต่างจากแม่พระมาโปรด

เหตุผลที่ Terugiku ตัดสินใจออกเดินทางตอนจบ หนังไม่มีคำอธิบายว่าไปไหน? ไปทำไม? ไปทำอะไร? แต่มันมีคำตอบเดียวถ้าเธอไม่ต้องการให้น้องสาวกลายเป็นเกอิชา คือต้องตอบรับคำเชิญของลูกค้า แต่งงาน ขายตัว ชู้รัก ก็แล้วแต่ผู้ชมจะสามารถครุ่นคิดจินตนาการ


ถ่ายภาพโดย Suketarô Inokai, 猪飼助太郎 ผลงานเด่นๆ อาทิ No Blood Relation (1932), Apart from You (1933), Every-Night Dreams (1933), Street Without End (1934), Introspection Tower (1941), Notes of an Itinerant Performer (1941), Ornamental Hairpin (1941) ฯ

งานภาพหนังอาจไม่ได้แพรวพราวด้วยลูกเล่นภาพยนตร์เหมือน Flunky, Work Hard! (1931) แต่มีลีลาการขยับเคลื่อนเลื่อนกล้องอย่างโฉบเฉี่ยว ฉวัดเฉวียน โดยเฉพาะขณะเคลื่อนเข้าหาใบหน้าอย่างรวดเร็ว (คล้ายๆการซูมมิ่ง) เพื่อสร้างสัมผัสทางอารมณ์ ตัวละครเกิดความตระหนักถึงบางสิ่งอย่าง

นี่คือลักษณะของ ‘deception shot’ ล่อหลอกให้ตัวละคร/ผู้ชมเข้าใจผิดๆว่ากำลังจะเกิดเหตุการณ์นั้นๆขึ้น แต่แท้จริงแล้วอาจเป็นเพียงภาพหลอน ความฝันจินตนาการ หนึ่งในสาวเกอิชานั่งสัปหงก นึกว่ากำลังจะรับประทานบะหมี่ ก่อนสะดุ้งตื่นขึ้นมาอย่างงงๆ สร้างความน่ารักน่าเอ็นดู พยายามทำให้เกอิชา = บุคคลธรรมดาทั่วไป

อาจจะถือว่าคือลายเซ็นต์ของผกก. Naruse ในยุคหนังเงียบ (ที่จะไม่พบเจอในยุคหลังๆ) คือการเคลื่อนเลื่อนกล้องเข้าหาใบหน้าตัวละคร (แลดูคล้ายๆการซูมมิ่ง แต่สมัยนั้นยังไม่มีการพัฒนาอุปกรณ์นี้ขึ้นมา จึงใช้การเคลื่อนเลื่อนเข้า-ออก) มักเพื่อแสดงออกทางอารมณ์อย่างรุนแรงบางอย่าง

  • ตัวแทนนักเรียนเดินทางมาที่อพาร์ทเม้นท์ของ Yoshio เพื่อสอบถามว่าล้มป่วยหรือมีปัญหาอะไร ทำไมไม่ไปโรงเรียน มารดาได้ยินเข้าเกิดอาการตกอกตกใจ (กล้องเคลื่อนเข้าหาใบหน้า) ไม่รับรู้มาก่อน แล้วตอนกลางวันหายหัวไปไหน?
  • มารดาพยายามพูดคุยเปิดอกกับบุตรชาย ขณะนี้จะมีการเคลื่อนกล้องเข้าหาใบหน้าอยู่หลายครั้ง เพราะต่างฝ่ายต่างพูดคำเสียดแทงใจดำต่อกัน

Kikue ไหว้วานร้องขอ Terugiku ช่วยพูดคุยโน้มน้าว Yoshio ไม่ให้ถลำลึกไปมากกว่านี้ สถานที่คือบริเวณกึ่งกลางสะพาน ทิวทัศน์เบื้องหลังคือโรงงานอุตสาหกรรมสูงใหญ่ ส่วนเบื้องล่างใต้สะพาน ลำธารเต็มไปด้วยเศษขยะถูกทอดทิ้งไว้ … นี่คือสถานที่ที่สะท้อนถึงทางเลือกของ Yoshio ระหว่างอนาคตสดใส กับเดนสังคมเหมือนเศษขยะใต้สะพาน

ชายคนนี้หน้าตาคุ้นๆ ไม่ยักรู้ว่า Chishū Ryū นักแสดงขาประจำของผกก. Ozu จะมารับเชิญในหนังของผกก. Naruse รับบทเจ้าหน้าที่ตำรวจ (เริ่มต้นด้วยภาพเงา) วิ่งไล่จับบรรดากลุ่มแก๊งค์อันธพาล ลักเล็กขโมยน้อย

ระหว่างโดยสารรถไฟไปเยี่ยมญาติของ Terugiku มีการร้อยเรียงภาพทิวทัศน์ รางรถไฟ และทั้งสองพูดคุยกันว่าผู้โดยสารคนอื่นๆจะครุ่นคิดยังไงกับพวกเขา พี่-น้อง? เพื่อนพ้อง? คนรัก? … นี่เป็นการแอบบอกใบ้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ว่าอาจมากกว่าพี่-น้อง ปฏิกิริยาของ Yoshio ก็ชวนให้รู้สึกว่าแอบตกหลุมรัก

หลังจากพบเห็นความวุ่นๆวายๆในครอบครัว Terugiku นำพา Yoshio มาเดินเล่นบริเวณโขดหินริมชายหาด (ชีวิตเต็มไปด้วยความขรุขระ ไม่ราบรื่น) คำกล่าวของเธอมันช่างเต็มไปด้วยลับเลศนัย “I wish I could go somewhere far off.” นี่เป็นประโยคที่มีความสองแง่สองง่ามอย่างแรง สามารถสื่อถึงสถานที่ห่างไกลจากกรุง Tokyo หรือโลกหลังความตาย! และความน่าสะพรึงต่อจากนี้ เธอสอบถามต่อว่า “Will you go with me?” ภาพด้านหลังคือพื้นผิวน้ำ ราวกับต้องการจะสื่อถึงกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย!

ช่วงระหว่างที่ Terugiku นอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล จะมีการฉายภาพซ้อน ย้อนความหลัง หวนระลึกความทรงจำ ช่วงเวลาสุข-ทุกข์ที่พานผ่านมา ก่อนตัดสินใจว่าจะไม่ยินยอมรับความพ่ายแพ้ ความทุกข์ยากลำบากแค่นี้ฉันอดทนได้ เพื่อครอบครัว เพื่อน้องสาว และเพื่อน้องชาย/คนรัก Yoshio

ตัดต่อไม่มีเครดิต, หนังไม่ได้ดำเนินเรื่องผ่านมุมมองตัวละครไหน แต่จะสลับสับเปลี่ยนไปมาระหว่าง Kikue, Yoshi และ Terugiku เริ่มต้นจากแนะนำตัวละคร มารดารับรู้ความผิดปกติของบุตรชาย ไหว้วานร้องขอรุ่นน้องเกอิชาให้พูดคุยโน้มน้าว พาเดินทางไปเยี่ยมเยียนครอบครัว เพื่อเรียนรู้จักความยากลำบากชีวิต

  • แนะนำตัวละคร
    • ยามค่ำคืน Kikue & Terugiku พบเห็นกลุ่มวัยรุ่นวิ่งราว กรรโชกทรัพย์
    • Kikue กลับมาบ้านดูแลบุตรชาย Yoshi ล้มป่วย
    • เช้าวันถัดมา Yoshi (แสร้งว่า)เดินทางไปโรงเรียน ก่อน Kikue ได้รับแจ้งว่าเขาไม่ได้ไปโรงเรียน
    • Yoshi นอนเล่นอยู่ริมทางรถไฟ
    • Kikue ไหว้วานร้องขอ Terugiku ให้ช่วยพูดคุยเกลี้ยกล่อม Yoshio
    • Yoshi กลับมาบ้าน แต่ไม่นานก็ออกไปอีก
    • Terugiku รับแขกขาประจำของ Kikue
    • Yoshi วิ่งราว กรรโชกทรัพย์ ก่อนมาพบเจอกับ Terugiko
  • Yoshi เรียนรู้จักความทุกข์ยากลำบาก
    • เช้าวันถัดมา Yoshi แสดงความไม่พึงพอใจมารดา
    • Terugiku ชักชวน Yoshi เดินทางไปเยี่ยมญาติ
    • Youshi พบเจอกับครอบครัวของ Terugiku
    • Terugiku เล่าปัญหาชีวิตของตนเองให้กับ Youshi จนยินยอมกลับตัวกลัวใจ
    • Kikue ดื่มสุราจนเมามาย ครุ่นคิดสั้นพยายามจะฆ่าตัวตาย
  • Yoshi กับการกลับตัวกลับใจ
    • มารดาล้มป่วย (เมื่อคืนดื่มหนักไปหน่อย) ซมซานอยู่บนเตียง
    • พรรคพวกแก๊งค์อันธพาลเรียกตัว Yoshi
    • Yoshi ขอลาออกจากแก๊งค์เลยถูกรุมประชาทัณฑ์ Terugiku พยายามเข้ามาห้ามเลยถูกลูกหลง
    • Terugiku รักษาตัวในโรงพยาบาล
    • พออาการดีขึ้น Terugiku ตัดสินใจร่ำลาจาก Yoshi

มีอยู่หลายครั้งที่หนังนำเสนอเหตุการณ์คู่ขนาน ตัดสลับกลับไปกลับมาเพื่อสร้างสัมผัสทางอารมณ์บางอย่าง ซีเควนซ์น่าสนใจที่สุดคือขณะ Kikue ดื่มสุราเมามาย แล้วจู่ๆชักมีดขึ้นมาจะฆ่าตัวตาย เกิดการยื้อแย่งกับลูกค้า ตัดสลับกับอีกห้องที่มีการเล่นดนตรี ร้องรำทำเพลง อย่าลืมว่านี่คือหนังเงียบ การทำเช่นนั้นช่วยให้ผู้ชมจินตนาการถึงเสียงเพลง ความอลเวง ชิบหายวายป่วน

Apart from You (1933) นำเสนอเรื่องราวการเสียสละ ต่อสู้ดิ้นรน มารดายินยอมทำงานเกอิชาเพื่อเลี้ยงดูบุตรชายจนเติบใหญ่, พี่สาวทำงานหนักเพื่อน้อง(ไม่ต้องกลายมาเป็นเกอิชา) หาเงินมาจุนเจือครอบครัว ฯ แต่นั่นคือสิ่งที่บุตรชาย/วัยรุ่นหนุ่มไม่เคยครุ่นคิดทำความเข้าใจ สำแดงอคติต่อต้าน มองเพียงเปลือกภายนอกว่า เกอิชา (Geisha) คืออาชีพชั้นต่ำ ผู้หญิงขายบริการ สังคมไม่ให้การยินยอมรับ

บทเรียนของ Yoshio คือการได้ร่วมออกเดินทางกับ Terugiku ไปพบเจอครอบครัวของเธอที่มีชีวิตทุกข์ยากลำบากยิ่งกว่า บิดาติดเหล้า มึนเมา ใช้ความรุนแรง ไม่ยอมทำการทำงาน แถมยังจะขายบุตรสาวให้กลายเป็นเกอิชา เมื่อมองย้อนกลับมาตระหนักว่าปัญหาของตนเองมันช่างเล็กกระจิดริด เทียบไม่ได้กับสิ่งที่พี่สาวประสบอยู่เลยสักนิด!

Kikue & Terugiku จริงๆแล้วต่างก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่เข้มแข็งมากนัก พวกเธอดูอ่อนแอ เปราะบาง โดดเดี่ยวอ้างว้าง และต่างเคยคิดสั้นอยากจะฆ่าตัวตาย (Kikue เกือบจะใช้มืดฆ่าตัวตาย, Terugiku วางแผนกระโดดน้ำตาย) แต่ทั้งสองต่างมี Yoshio คือขวัญกำลังใจ (ในฐานะบุตรชาย และน้องรัก(หรือจะมองว่าคนรักก็ได้กระมัง)) ให้สามารถอดรนทน อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป จนกว่าจะถึงวันที่เขาเติบใหญ่ แล้วสามารถเลือกเส้นทางชีวิตของตนเอง

ผกก. Naruse สูญเสียบิดา-มารดาไปตั้งแต่ยังเล็ก ได้รับการเลี้ยงดูจากพี่ชายและพี่สาว ต้องอดรนทนผ่านช่วงเวลาแห่งความทุกข์ยากลำบาก อดมื้อกินมื้อ หนังสือก็ไม่ได้ร่ำเรียน ทำให้เกิดความเข้าใจว่าเกียรติ ศักดิ์ศรี มันเป็นสิ่งกินไม่ได้ อาชีพโสเภณี เกอิชา ผู้หญิงขายบริการล้วนไม่ใช่เรื่องน่าอับอาย การยินยอมเสียสละตนเองเพื่อผู้อื่น พวกเธอสมควรได้รับการยกย่องสรรเสริญเสียด้วยซ้ำไป

ทำไมถึงเลือกชื่อหนัง 君と別れて อ่านว่า Kimi to Wakarete การร่ำลาจากอาจฟังดูเศร้าๆ แต่สามารถสะท้อนถึงความทุกข์ยากลำบากชีวิต บางคนต้องเสียสละ ต่อสู้ดิ้นรน อดทนทำงานหนักเพื่อใครบางคน (มารดาเพื่อบุตร, พี่สาวเพื่อน้องและครอบครัว ฯ) ขณะเดียวกันยังเคลือบแฝงประกายความหวัง สร้างขวัญกำลังใจ วันนี้เราอาจต้องพลัดพรากจากลา แต่อนาคตข้างหน้าเราย่อมมีโอกาสหวนกลับมาพบเจอกันใหม่


หนังเรื่องนี้สามารถหารับชมออนไลน์ได้ทั่วไป (Youtube ก็มีให้รับชม) หรือใครสนใจสะสมแผ่น DVD ของค่าย Criterion รวมอยู่ในคอลเลคชั่น Eclipse Series 26: Silent Naruse ประกอบด้วย Flunky, Work Hard! (1931), No Blood Relation (1932), Apart from You (1933), Every-Night Dreams (1933) และ Street Without End (1934)

ส่วนตัวชื่นชอบหนังอย่างมากๆ คงเพราะหลายๆสิ่งอย่างมีความละม้ายคล้ายผลงานยุคหลังๆของผกก. Naruse เลยเกิดความรู้สึกมักคุ้นเคยชิน และที่สำคัญคือการเสี้ยมสอนบทเรียนที่สามารถสร้างขวัญกำลังให้กับการมีชีวิต ทั้งในมุมของวัยรุ่นหนุ่ม และพี่สาวเกอิชา

“ต้องดูให้ได้ก่อนตาย” แม้ตัวหนังอาจดูเฉิ่มเชยล้าหลัง แต่เนื้อหาสาระเหมาะสำหรับบุคคลกำลังท้อแท้สิ้นหวัง อับจนหนทาง ลองหารับชมภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยไม่รู้ตัวอาจสร้างขวัญกำลังใจให้รู้สึกอยากมีชีวิตต่อไป

จัดเรต 13+ กับความทุกข์ยากลำบากในชีวิต

คำโปรย | Apart from You บทเรียนที่สามารถสร้างขวัญกำลังใจให้กับการมีชีวิต
คุณภาพ | ขวัญกำลังใจ
ส่วนตัว | ซาบซึ้ง

Leave a Reply

avatar

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

  Subscribe  
Notify of
%d bloggers like this: