Assassination

Assassination (1964) Japanese : Masahiro Shinoda ♥♥♥♡

ชื่อหนังแอบบอกใบ้ว่า ซามูไร (รับบทโดย Tetsurō Tamba) จักถูกลอบสังหาร แต่เพราะเหตุใด? ทำไม? เพื่ออะไร? มันช่างมีความสลับซับซ้อนซ่อนเงื่อน แถมผู้กำกับ Masahiro Shinoda พยายามนำเสนอจากหลากหลายมุมมอง เพื่อให้อดีตกลายเป็นภาพสะท้อนปัจจุบัน

I would like to be able to take hold of the past and make it stand still so that I can examine it from different angles.

Masahiro Shinoda

ใกล้เคียงที่สุดจะเปรียบเทียบได้ก็คือ Citizen Kane (1942) เริ่มต้นด้วยความตายของ Charles Foster Kane จากนั้นเล่าย้อนอดีตจากมุมมองบุคคลเคยรับรู้จัก แล้วให้ผู้ชมแปะติดปะต่อ ครุ่นคิดตัดสินชายคนนี้, Assassination (1964) อาจไม่ได้มีนักข่าวในยุคสมัย Edo Period (1600-1868) แต่นำเสนอผ่านบุคคลได้รับมอบหมายให้ลอบสังหารซามูไรคนนั้น เขาคือใคร? เคยทำอะไร? สมควรถูกฆ่าหรือไม่?

Assassination (1964) ผลงานลำดับที่เก้าของผกก. Shinoda แต่คือหนังซามูไรเรื่องแรก อาจไม่ถึงขั้นพลิกโฉมแนวหนังยากูซ่าเหมือน Pale Flower (1964) แต่ถือว่าได้ทำในสิ่งผิดแผกแปลกประหลาด(ในยุคสมัยนั้น) ใช้เรื่องราวจากประวัติศาสตร์ สะท้อนสภาพสังคมญี่ปุ่นในปัจจุบันนั้น (ทศวรรษ 1960s) … นั่นคือการมาถึงของคลื่นลูกใหม่ Japanese/Shōchiku New Wave

ทีแรกผมมีความสองจิตสองใจ อยากจะข้ามไปเขียนถึง Double Suicide (1969) ก่อนบังเอิ้ญพบเจอคำกล่าวของ Kon Ichikawa ชื่นชมหนังเรื่องนี้ “Shinoda’s Best Film” ก็เลยตัดสินใจลองมารับชม แล้วค้นพบความโคตรๆท้าทาย ดูยากชิบหาย (จัดความยากระดับ Veteran) สะท้อนสภาพสังคมญี่ปุ่นสมัยนั้นได้อย่างน่าสนใจ แต่ส่วนตัวรู้สึกว่าหนังมีความสับสน ซับซ้อน ซ่อนเงื่อนเกินไปไหม?


Masahiro Shinoda, 篠田 正浩 (1931-2025) ผู้กำกับภาพยนตร์ สัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Gifu หลังสงครามโลกครั้งที่สองเข้าศึกษาคณะการละคอน Waseda University แต่พอมารดาเสียชีวิตจำต้องทอดทิ้งการเรียน ได้เข้าทำงานสตูดิโอ Shōchiku เคยเป็นผู้ช่วยผู้กำกับ Yasujirô Ozu เรื่อง Tokyo Twilight (1957), กำกับภาพยนตร์เรื่องแรก One-Way Ticket to Love (1960), Pale Flower (1964), Assassination (1964), With Beauty and Sorrow (1965), Samurai Spy (1965), จากนั้นออกมาก่อตั้งสตูดิโอโปรดักชั่นของตนเอง สรรค์สร้างผลงานชิ้นเอก Double Suicide (1969), Silence (1971), Himiko (1974), Under the Blossoming Cherry Trees (1975), Ballad of Orin (1977), Demon Pond (1979), Gonza the Spearman (1986), Childhood Days (1990), Sharaku (1995), Owls’ Castle (1999) ฯ

การสรรค์สร้าง Pale Flower (1964) ที่แม้ได้ทุนสนับสนุนจากสตูดิโอ Shōchiku แต่ทำสิ่งผิดแผกแตกต่างโดยไม่มีโปรดิวเซอร์มาควบคุมครอบงำ ทำให้ผกก. Shinoda ติดอกติดใจอิสรภาพในการสร้างสรรค์ภาพยนตร์

Making Pale Flower, I tasted the freedom of independent filmmaking. I found freedom in the limitations. You have to work out every step yourself. But in return you get a kind of artistic freedom for which there’s no substitute. It was very appealing. So it was as I was making Pale Flower that I began to feel I no longer had the patience to work for a studio.

Masahiro Shinoda

ด้วยความที่สัญญากับสตูดิโอ Shōchiku ยังหลงเหลืออีกหลายปี ผกก. Shinoda จึงพยายามต่อรองร้องขออิสรภาพในการสรรค์สร้างผลงานถัดๆมา ด้วยการเลือกโปรเจคที่อยู่ในความสนใจ, 暗殺 อ่านว่า Ansatsu แปลตรงตัว Assassination หรือบางครั้งใช้ชื่อ The Assassin ดัดแปลงจากเรื่องสั้น 奇妙なり八郎 อ่านว่า Kimyōnari Hachirō แปลอังกฤษ Strange Hachirō รวมอยู่ในหนังสือ 幕末 (1963) อ่านว่า Bakumatsu แปลอังกฤษ The End of the Edo Period มีทั้งหมด 12 เรื่องแต่งโดย Ryotaro Shiba, 司馬遼太郎 นามปากกาของ Teiichi Fukuda, 福田 定一 (1923-96)

ทั้งสิบสองเรื่องสั้นของ The End of the Edo Period ล้วนเกี่ยวกับเหตุการณ์ลอบสังหาร(ที่เกิดขึ้นจริง)ในช่วงปลายยุคสมัย Edo Period (1600-1868) ภายหลังการมาถึงของ Commodore Matthew C. Perry (1794-1858) นำกองเรือปืนมาถึงอ่าว Edo Bay (ปัจจุบันคือ Tokyo Bay) เมื่อปี ค.ศ. 1853 แล้วบีบบังคับให้เปิดประเทศ ก่อเกิดการแบ่งแยกของชาวญี่ปุ่นออกเป็นฝั่งฝ่ายรัฐบาลเอโดะ (Tokugawa Shogunate) vs. ฝักใฝ่สมเด็จพระจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่น (Emperor) ให้กลับขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศ

สำหรับ Kimyōnari Hachirō หรือ Strange Hachirō ได้แรงบันดาลใจจาก Hachirō Kiyokawa, 清河八郎 (1830-63) ซามูไรจากหมู่บ้านชนบท Kiyokawa Village, Tagawa County (ปัจจุบันคือ Higashitagawa, Yamagata) เดินทางสู่ Edo ฝึกฝนเพลงดาบจนกลายเป็นยอดฝีมือ เปิดโรงเรียนสอน ท่องเที่ยวทั่วประเทศ หลังเหตุการณ์ Ansei Purge (1958-60) จนถึง Sakuradamon Incident (1860) [ช่วงเวลาที่รัฐบาลเอโดะ กวาดล้างบุคคลไม่เห็นด้วยกับการเซ็นสนธิสัญญาไมตรีและพาณิชย์ Harris Treaty (1858)] จึงเริ่มวางแผนโค่นล้มรัฐบาลเอโดะ และให้การสนับสนุนสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่นกลับขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศ … นำไปสู่เหตุการณ์ลอบสังหารค่ำคืนวันที่ 13 เมษายน ค.ศ. 1963 โดยนักฆ่าหกคนนำโดย Tadasaburô Sasaki ทำการฆ่าปิดปาก Kiyokawa สิริอายุเพียง 34 ปี

ดัดแปลงบทภาพยนตร์โดย Nobuo Yamada, 山田信夫 (A Colt is My Passport, Scattered Clouds)


เรื่องราวของหนังเริ่มต้นที่ Hachirō Kiyokawa (รับบทโดย Tetsurō Tamba) ได้รับการอภัยโทษ โดยมีข้อแม้ให้ทำการรวบรวมกลุ่มโรนิน/ซามูไรไร้สังกัดชื่อว่า Rōshigumi (浪士組) เพื่อเป็นกองกำลังปกป้องประเทศของฟากฝั่งรัฐบาลเอโดะ (Tokugawa Shogunate) แต่ตัวของ Hachirô มีความฝักใฝ่สมเด็จพระจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่น ก่อนหน้านี้เคยรวมกลุ่ม Kobinokai (虎尾の会) เพื่อโค่นล้มรัฐบาลเอโดะ (แต่ประสบความล้มเหลว)

การที่ Hachirō ยินยอมทำตามคำร้องขอของฝ่ายรัฐบาลเอโดะ เพราะเขามีแผนการอันแยบยล หลังจากรวมกลุ่มโรนิน Rōshigumi จำนวน 234 คน ก่อนวันจะประกาศความจงรักภักดี ก็ย้ายข้างมาให้การสนับสนุนสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่น นั่นน่าจะคือเหตุผลหลักๆที่ถูกลอบสังหารโดย Tadasaburô Sasaki (รับบทโดย Isao Kimura) ในกาลต่อมา


Tetsurō Tamba, 丹波 哲郎 ชื่อจริง Shozaburo Tanba, 丹波 正三郎 (1922-2006) นักแสดงสัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Tokyo โตขึ้นเข้าเรียนกฎหมาย Chuo University ก่อนกลายเป็นสมาชิกกองทัพอากาศ แต่ยังไม่ทันออกรบเพราะสงครามจบเสียก่อน จากนั้นทำงาน Part-Time เป็นนักแปลภาษา Supreme Commander for the Allied Powers (SCAP) เคยเข้าทำงานบริษัทน้ำมัน ก่อนหันเหความสนใจสู่ด้านการแสดง เข้าร่วมคณะ Bunkaza Theater Company ก่อนเซ็นสัญญาสตูดิโอ Shintoho แสดงภาพยนตร์เรื่องแรก Satsujin Yôgisha (1952) โดยปกติมักได้รับตัวร้าย บุคคลที่ด้านมืด (Dark Side) แจ้งเกิดจากบทบาทฆาตกร Pigs and Battleships (1961), ผลงานเด่นๆ อาทิ Harakiri (1962), Three Outlaw Samurai (1964), Kwaidan (1965), You Only Live Twice (1967), Under the Flag of the Rising Sun (1972), Battles Without Honor and Humanity: Proxy War (1973), The Battle of Port Arthur (1980) ฯ

รับบท Hachirō Kiyokawa ซามูไรลูกชาวนา แม้พิสูจน์ความสามารถจนมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่มักโดนดูถูกเหยียดหยามจากบรรดาลูกเจ้าขุนมูลนาย เลยเต็มไปด้วยอคติต่อพวกรัฐบาลเอโดะ โดยเฉพาะการเซ็นสนธิสัญญาไมตรีและพาณิชย์กับชาติตะวันตก มองว่าเป็นสิ่งทรยศ ขายชาติ พยายามรวบรวมสมัครพรรคพวก กลับถูกไล่ล่า สูญเสียหญิงคนรัก Oren (รับบทโดย Shima Iwashita) จึงพร้อมยินยอมทำทุกสิ่งอย่างเพื่อกำจัดศัตรูของสมเด็จพระจักรพรรดิ

Tamba เป็นนักแสดงที่มี Charisma บุคลิกภาพผู้นำ น้ำเสียงก็หนักแน่น เหมาะกับตัวละครยึดถือมั่นในอุดมการณ์ แม้วิวัฒนาการของ Hachirō บางคนอาจมองว่าเป็นพวกกลับกลอก นกสองหัว สลับฝั่งฝ่ายไปมา แต่นั่นเพราะคุณยังไม่เข้าใจตัวตน จิตวิญญาณแท้จริงของชายคนนี้

Hachirō ถือเป็นซามูไรที่ยึดถือมั่นในเกียรติ ศักดิ์ศรี มีอุดมการณ์สูงส่ง รักภรรยาและประเทศชาติเหนือสิ่งอื่นใด ไม่เคยคิดจะฆ่าใครตาย แต่มิอาจอดรนทนต่อคำพูดดูถูกเหยียดหยาม (อารมณ์ชั่ววูบทำให้ฆ่าคนตาย แล้วบังเกิดความรู้สึกผิดอย่างรุนแรง) ความตายของ Oren คือจุดเปลี่ยนที่ทำให้เขากลายเป็นคนเยือกเย็นชา หันเข้าหาด้านมืด พร้อมทำทุกสิ่งอย่างเพื่อกวาดล้างศัตรู ฆ่าคนตายไว้เว้นหน้า ขอเพียงโค่นล้มรัฐบาลเอโดะ กำจัดคนขายชาติให้พ้นภัยทาง

ด้วยความที่หนังนำเสนอเรื่องราวของ Hachirō ผ่านมุมมองบุคคลอื่นๆ มันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำความเข้าใจชายคนนี้ (คล้ายๆสำนวนตาบอดคลำช้าง คนหนึ่งจับงวง คนหนึ่งจับหาง ย่อมครุ่นคิดว่านั่นคือสิ่งที่เรียกว่าช้า) แต่ไฮไลท์คือสมุดบันทึกของ Oren เป็นบุคคลเดียวพบเห็นตัวตนแท้จริงของเขา และคือไฮไลท์การแสดงของ Tamba ครั้งเดียวที่สำแดงด้านอ่อนไหวออกมา


Shima Iwashita, 岩下志麻 (เกิดปี ค.ศ. 1941) นักแสดงสัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Tokyo ทั้งบิดา-มารดาต่างเป็นนักแสดงละคอนเวที ช่วงระหว่างเรียนมัธยมได้รับเลือกแสดงซีรีย์โทรทัศน์ เข้าศึกษาสาขาวรรณกรรม Seijo University แต่ยังไม่ทันเรียนจบเข้าร่วมสตูดิโอ Shōchiku แสดงภาพยนตร์เรื่องแรก The River Fuefuki (1960), Harakiri (1962), An Autumn Afternoon (1962), Sword of the Beast (1965), จากนั้นร่วมงานขาประจำ และกลายเป็นภรรยาผกก. Masahiro Shinoda อาทิ Double Suicide (1969), Silence (1971), Himiko (1974), Ballad of Orin (1977) ฯ

เกร็ด: นิตยสาร Kinema Junpo จัดอันดับ Movie Star of the 20th Century ฝั่งนักแสดงหญิงของประเทศญี่ปุ่น Shima Iwashita #ติดอันดับ 10

รับบท Ofuku ถูกครอบครัวขายต่อให้เป็นโสเภณี พยายามดิ้นรนขัดขืน ก่อนลูกค้าคนแรก Hachirō Kiyokawa ขอซื้อต่อมาเป็นภรรยา ตั้งชื่อให้ใหม่ Oren มันอาจฟังดูบิดๆเบี้ยวๆ แต่นั่นถือเป็นบุญคุณใหญ่หลวง จึงพร้อมพลีกายถวายชีวิต แล้วพอพบเห็นมุมอ่อนแอ (หลังฆ่าคนตายครั้งแรก) ความสัมพันธ์พวกเขาพัฒนาสู่สายใยรักอันแน่นแฟ้น แม้ถูกจับกุม ทัณฑ์ทรมาน ปฏิเสธทรยศหักหลังชายคนรัก สำแดงความซื่อสัตย์ จงรักภักดี จนกระทั่งสิ้นชีวี

บทบาทของ Iwashita ในหนังของสามี มักต้องมีความหมิ่นเหม่ สุ่มเสี่ยงทางศีลธรรม สังคมสมัยนั้นยังยินยอมรับไม่ได้ ซึ่งเรื่องนี้ประกอบด้วยฉากถูกข่มขืน (ก่อนผันแปรสู่ความรัก) และทัณฑ์ทรมาน

มุมมองของ Oren ช่วยเติมเต็มตัวตน Hachirō ได้เป็นอย่างดี! เพราะสมุดบันทึกเล่มนั้นเขียนเรื่องราวที่ไม่มีใครรับล่วงรู้ ความสัมพันธ์ฉันท์สามี-ภรรยา เธอคือผู้รองรับอารมณ์ พบเห็นด้านอ่อนไหว ความเปราะบางจิตใจ ซึ่งสามารถมองเป็นจุดอ่อน/จุดตายของเขา

การแสดงของ Iwashita คือต้องคอยรองรับอารมณ์เหล่านั้น แรกเริ่มเต็มไปด้วยความหวาดกลัวตัวสั่น แต่เมื่อเรียนรู้จัก เข้าใจตัวตนสามี ก็แปรสภาพสู่ความรัก ความเอ็นดู ความสงสารเห็นใจ สำแดงความซื่อสัตย์ จงรักภักดี เจ็บปวดแค่ไหนก็พร้อมอดกลั้นฝืนทน ปฏิเสธทรยศหักหลังชายคนรัก … แม้มันอาจดูเหมือนเป็นการเสียสละที่ไม่คุ้มค่าก็ตามที


Isao Kimura, 功 木村 (1923-81) บางครั้งใช้ชื่อ Kō Kimura นักแสดงสัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Hiroshima, ช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง เดินทางมาร่ำเรียน Bunka Gakuin ณ กรุง Tokyo จึงรอดชีวิตจากเหตุการณ์ทิ้งระเบิดปรมาณู แต่ก็สูญเสียครอบครัวทั้งหมด, หลังสงครามเข้าร่วมคณะการแสดง Haiyuza Theatre Company ก่อนย้ายมา Youth Actor Club (Gekidan Seihai) สนิทสนมกับ Eiji Okada และ Nobuo Kaneko, ผลงานภาพยนตร์เด่นๆ อาทิ Seven Samurai (1954), Jun’ai monogatari (1957), Summer Clouds (1958), High and Low (1963), The Affair (1967), Affair In The Snow (1968) ฯ

รับบท Tadasaburô Sasaki, 佐々木只三郎 ซามูไรหนุ่มได้รับมอบหมายจาก Tadatoshi Matsudaira, 松平忠敏 (รับบทโดย Eiji Okada) ผู้ติดตามไดเมียว Itakura Katsukiyo, 板倉 勝重 (รับบทโดย Eitaro Ozawa) ให้ลอบสังหาร Hachirō Kiyokawa แต่การพบเจอครั้งแรกสู่ไม่ได้ พ่ายแพ้อย่างหมดรูป เขาจึงพยายามสืบเสาะ ค้นคว้าหาข้อมูล พูดคุยสอบถามบุคคลเคยรู้จัก เพื่อหาว่าอะไรคือจุดอ่อน เมื่อถึงเวลาได้รับคำสั่งเมื่อไหร่ จักสามารถเข่นฆ่าอีกฝ่ายอย่างไร้ที่ติ!

ผมยังคงมีภาพจำ Kimura คือซามูไรหนุ่มน้อยตกหลุมรักหญิงสาวชาวนา Seven Samurai (1954) มาเรื่องนี้ก็ยังพบเห็นความอ่อนด้อยประสบการณ์ ช่วงแรกๆมีนิสัยดื้นรั้น เย่อหยิ่ง หลงตนเอง ครุ่นคิดว่าฉันเก่งเหนือใคร แต่หลังดวลดาบพ่ายแพ้ต่อ Hachirō Kiyokawa ทุกสิ่งอย่างพลิกกลับตารปัตรตรงกันข้าม!

ความพ่ายแพ้ครั้งนั้นสร้างความอับอายขายขี้หน้า แทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนี (ถ้าเป็นซามูไรที่ยึดถือมั่นในเกียรติ ศักดิ์ศรี ก็คงคว้านท้อง Harakiri ฆ่าตัวตายไปแล้ว) นำเอาความรู้สึกดังกล่าวมาเป็นแรงผลักดัน เฝ้ารอคอยวันเวลาฆ่าล้างแค้น พยายามสืบค้นหาจุดอ่อน ฝึกซ้อมจนบังเกิดความเชื่อมั่น และเมื่อโอกาสนั้นมาถึง … เป็นตัวละครที่ไม่สนห่าเหวอะไร เพียงหุ่นเชิดชักรัฐบาลเอโดะ ไร้อุดมการณ์การเมือง เพียงความอาฆาตแค้นส่วนตัวเท่านั้นเอง!


ถ่ายภาพโดย Masao Kosugi, 小杉正雄 (1922-2014) ตากล้องขาประจำผู้กำกับ Masahiro Shinoda อาทิ Pale Flower (1964), Assassination (1964), Samurai Spy (1965), Clouds at Sunset (1967), Demon Pond (1979) ฯ

แม้จะเป็นหนังซามูไรย้อนยุค (Period) แต่งานภาพของหนังแพรวพราวด้วยลูกเล่นภาพยนตร์สมัยใหม่ ทั้งการ(วิป)แพนนิ่ง ซูมมิ่ง แช่ภาพแน่นิ่ง (Freeze Frame) ละเล่นแสง-เงา ปรับโฟกัสเบลอ-ชัด ระยะห่างใกล้-ไกล โดยเฉพาะมุมมองบุคคลที่หนึ่ง กล้องส่ายๆสั่นๆ (Hand-Held Camera) … นี่สามารถสะท้อนถึงอิทธิพลชาติตะวันตกที่แทรกซึมเข้าในภาพยนตร์ แบบเดียวกับเรื่องราวของหนัง!

แต่สิ่งโดดเด่นที่สุดในหนังของผกก. Shinoda มักคือการจัดวางรายละเอียดภาพ เลือกทิศทางมุมกล้องแปลกๆ สรรหาบางสิ่งอย่างมาบดบังวิสัยทัศน์ผู้ชม และหลายๆครั้งสัมผัสได้ถึงอิทธิพล Yasujirô Ozu (โดยเฉพาะมุมมอง Isometric, Tatami Shot และแนวทางของ Formalism)

ภาพพื้นหลังระหว่าง Opening Credit ก็คือแผนที่กรุง Edo (หรือ Tokyo) ช่วงปลายยุคสมัย Edo Period ประกอบด้วยปราสาทอยู่กึ่งกลาง รายล้อมรอบด้วยถนนหนทาง ตรอกซอกซอย เส้นทางน้ำ รวมถึง Edo Bay ทางฝั่งขวาล่าง … ผมนำเอาภาพแผนที่เต็มๆมาให้ดูด้วย

ภาพแรกของหนัง Jûjirô Ishii อ่านจดหมายอภัยโทษของ Hachirō Kiyokawa ลงนามโดยไดเมียว Itakura Katsukiyo สังเกตว่าหนังใช้ประโยคจากความกว้างยาวของ Anamorphic Widescreen (2.35:1) สร้างสัมผัสความยิ่งใหญ่ของรัฐบาลเอโดะ ยุคสมัยนั้นมีอำนาจเหนือกว่าสมเด็จพระจักรพรรดิเสียอีก!

การพบปะระหว่าง Tadatoshi Matsudaira กับไดเมียว Itakura Katsukiyo เริ่มต้นด้วยพิธีดื่มชา (茶道, Sado) ว่าด้วยการใช้เวลาอย่างสุนทรียะ พบปะกันในวงสังคม ฝึกฝนความสงบ เรียบง่าย สง่างาม และกลายเป็นอันหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ … แต่เดี๋ยวนะ สองคนนี้คือผู้อยู่เบื้องหลังการลอบสังหาร Hachirō (รวมถึงการกำจัดกลุ่มฝักใฝ่สมเด็จพระจักรพรรดิ) ตัวตนแท้จริงช่างย้อนแย้งกับหัวใจแท้จริงของพิธีกรรมนี้โดยสิ้นเชิง!

ช่างเป็นตู้ปลาที่แปลกประหลาดยิ่งนัก! โดยปกติมักสื่อถึงชีวิตที่ไร้อิสรภาพ การถูกควบคุมขัง ติดคุกติดตาราง แต่ในบริบทของหนังน่าจะสื่อถึงยุคแห่งความสงบสุขของญี่ปุ่น (Edo Period) ตลอดระยะเวลาสองร้อยกว่าปี แทบไม่เคยมีการสู้รบสงคราม ซามูไรไม่เคยฆ่าใคร เพลงดาบย่อมเสื่อมถดถอย (ญี่ปุ่น)กลายเป็นกบกะลา เหมือนปลาในตู้ ไม่รู้จักศัตรูจากโลกภายนอก … มันเหมือน Tadatoshi กล่าวเหมารวมถึงฝั่งของตนเอง รัฐบาลเอโดะที่ไม่มีใครพร้อมรับมือกับการมาถึงของชาวตะวันตก

ช่วงกลางเรื่องมันจะมีฉากที่ Sakamoto Ryōma ขับร้อง-บรรเลง Shamisen ลองสังเกตเนื้อคำร้องที่สามารถสรุปย่นย่อ ใครกันผูกม้าไว้กับต้นซากูระ? ซึ่งภาพนี้อาจไม่ได้มีการผูกม้า แต่ทว่า Hachirō เอื้อมมือสัมผัสดอกซากูระ นี่แสดงว่ามันอาจต้องมีความเกี่ยวข้องอะไรบางอย่าง???

The cherry blossoms in bloom
why do you tie your horse to the tree?
If the horse moves around
it’ll make the petals fall.

เมื่อตอน Sakamoto ขับร้องบทเพลงนี้ จุดประสงค์เพื่อรำพันความผิดหวัง เปรียบเทียบการรวมกลุ่มโรนิน/ซามูไรไร้สังกัด ก็เหมือนม้าผูกใต้ต้นซากูระ ไม่ได้มีประโยชน์อะไร แถมยังทำให้ใบไม้ร่วงโรย ทำลายความงดงามทางธรรมชาติ, กับฉากนี้ภายหลังการอภัยโทษ Hachirō ได้รับมอบหมายรวมกลุ่มโรนิน/ซามูไรไร้สังกัด ผลลัพท์ก็ไม่ได้แตกต่างจากเดิมนัก

ด้วยความเย่อหยิ่ง หลงระเริงของ Tadasaburô ครุ่นคิดว่าตนเองสามารถต่อกร Hachirō พอเอาเข้าจริงกลับพ่ายแพ้ไม่เป็นท่า โดยเฉพาะการต่อสู้รอบสอง กล้องถ่ายจากด้านบนก้มลงมา (มุมมองจากสวรรค์ ฟ้าลิขิต) เพียงปัดดาบแล้วฟาดฟันศีรษะ เป็นความพ่ายแพ้อย่างห่างชั้น ไร้หนทางสู้ ทิ้งท้ายด้วยการหันไปมองลูกศิษยานุศิษย์โดยรอบ (ใช้การแพนนิ่งแทนมุมมองสายตา) ด้วยความผิดหวัง อับอาย ขายขี้หน้าประชาชี

Tadatoshi ตำหนิต่อว่า Tadasaburô ที่สร้างความอับอายขายหน้าหลังดวลดาบพ่ายแพ้ Hachirō ถ้าเป็นสมัยก่อนนี่คือการสูญเสียเกียรติ ซามูไรที่แท้จริงต้องคว้านท้อง Harakiri แต่ยุคสมัยมันเปลี่ยนแปลงไปแล้ว!

ผมจงใจเร่งความเร็วซีเควนซ์นี้เพื่อแสดงให้เห็นทิศทางการเดินของ Tadatoshi เวียนวนรอบ Tadasaburô มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยม (แต่ก็มีนัยยะเดียวกับการเวียนวงกลม) สามารถสื่อถึงการพิจารณาตัวละครจากทุกแง่มุม ก่อนเล็งเห็นความเป็นไปได้ว่าลูกน้องคนนี้สามารถนำเอาบทเรียนความผิดพลาด มาใช้กับตอนลอบสังหารจริงๆ

มันไม่เกี่ยวกับความแหลมคม หรือดาบชื่อดังหรือไม่มีชื่อ ‘ความคม’ เกิดจากตัวบุคคลที่เป็นเจ้าของ มีความรู้ความสามารถ ใช้ประโยชน์จากคมดาบได้มาก-น้อย ดี-เยี่ยม สร้างประโยชน์-โทษเพียงไร คำกล่าวนี้สามารถสะท้อนถึงการมี ‘อำนาจ’ บริหารประเทศ (Hachirō ขณะนี้ยังไม่ได้เลือกข้างฝั่งฝ่ายไหน) รัฐบาลเอโดะจะใช้ประโยชน์จากสิ่งที่มีได้มากน้อยเพียงไหน

ซีเควนซ์นี้มีการจัดองค์ประกอบภาพที่น่าสนใจ Tadatoshi นั่งอยู่ตำแหน่งกึ่งกลาง, ฝั่งซ้ายคือ Hachirō, ฝั่งขวาคือซามูไรผู้เห็นต่าง ที่มักชอบพูดจาเยาะเย้ย ดูถูกเหยียดหยาม เวลาอารมณ์ขึ้นจักพบเห็นการ Whip-Pan อย่างรวดเร็ว! แต่เวลาย้อนกลับค่อยๆ Panning (แสดงถึงความใจเย็นของ Hachirō) แต่ท้ายที่สุดเมื่อลุกขึ้นยื่นเสนอแผนปกป้องเมืองหลวง กล้องค่อยๆเคลื่อนไหลไปทางฝั่งขวา นั่นก็ชัดเจนว่าคำตอบของรัฐบาลเอโดะคืออะไร ไม่มีใครเอาด้วยกับแผนการของซามูไรชั้นต่ำ

ในขณะที่ฟากฝั่งรัฐบาลเอโดะ เวลานัดพูดคุย ประชุมออกคำสั่ง มักทำยังที่แจ้ง ภายในปราสาทหรูหรา, ตรงกันข้ามกับกลุ่มฝักใฝ่สมเด็จพระจักรพรรดิ ต้องทำลับๆล่อๆ ยามค่ำคืน ยังสถานที่ปกคลุมด้วยความมืดมิด แสงเทียนสั่นไหว จิตใจของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความโล้เล้ลังเลใจ ไม่ได้อยากจะลอบสังหาร Hachirō แต่การเปลี่ยนข้างไปสนับสนุนรัฐบาลเอโดะ ทำให้พวกเขาไม่สามารถยินยอมรับพฤติกรรมกลับกลอกปอกลอก นกสองหัว กลัวการถูกเปิดโปง … พวกเขาเหล่านี้น่าจะคืออดีตสมาชิกกลุ่มโรนิน Kobinokai ที่สามารถหลบหนีเอาตัวรอด กระมัง

ตำแหน่งการของบุคคลในภาพนี้ ประกอบด้วย ผู้นำกลุ่มนั่งพิงเสา ใต้เชิงเทียน (บุคคลเป็นทึ่พึ่งพา/แสงสว่างให้กลุ่ม) หันหน้าเข้าหาลูกน้อง, Miyagawa Shingo น่าจะอายุน้อยสุดในกลุ่ม เลยนั่งอยู่ฝั่งซ้ายสุด และความคิดเห็นของเขาแทบไม่มีความสลักสำคัญใดๆ, ขณะที่ Keijirô Aizawa เป็นอีกบุคคลไม่เห็นด้วย นั่งอยู่ท่ามกลางเงามืด หลังพิงกำแพง แสดงความวิตกกังวลว่าถ้าพวกเขาเผชิญหน้ากับ Hachirō จะไม่มีใครรอดชีวิตกลับมา

ครั้งแรกที่ Hachirō ฆ่าคนตาย เพราะอีกฝ่ายพูดด้วยน้ำเสียงแดกดัน ประชดประชัน ถือเป็นการดูถูกเหยียดหยาม จนไม่สามารถควบคุมตนเอง ว่ากันตามตรงนี่คือความผิดพลาด อารมณ์ชั่ววูบ แต่คงเพราะเขาเก็บกดอัดอั้นมานาน วินาทีเมื่อมิอาจอดกลั้นฝืนทน มันจึงระเบิดระบายออกมา

ก่อนหน้านี้มีอยู่ครั้งสองครั้งที่ทำการแช่ภาพ (Freeze Frame) ก่อนจบการเล่าเรื่องย้อนอดีต (Flashback) แต่ครั้งนี้จักจดจำไม่รู้ลืม เพราะหยุดภาพขณะศีรษะกระเด็นขึ้นฟ้า สร้างความตกตะลึง คาดไม่ถึง ชิบหายแล้วสิ! ลบภาพจำก่อนหน้านี้ที่ Miyagawa Shingo เคยได้รับการช่วยเหลือจาก Hachirō … สรุปแล้วเขาเป็นคนดี? หรือฆาตกรผู้เหี้ยมโหด?

เมื่อตอนโสเภณี Ofuku เสียพรหมจรรย์ให้ Hachirō สังเกตว่าหนังถ่ายมุมก้ม จากเบื้องบน คล้ายๆกับตอน Tadasaburô พ่ายแพ้การดวลดาบ ราวกับจะสื่อว่านี่คือโชคชะตาฟ้าลิขิต สวรรค์ดลบันดาล จบฉากข่มขืนด้วยเสียงกรีดร้อง และแช่ภาพใบหน้าหญิงสาวค้างไว้ชั่วขณะ

แต่ความน่าสนใจคือช็อตถัดไป มีผนังกั้นบดบังร่างกายของทั้งสอง จริงๆพวกเขาก็ไม่ได้เปลือยเปล่า แต่อาจต้องการสื่อถึงความสัมพันธ์ที่สังคมสมัยนั้นเป็นเรื่องต้องห้าม สังคมไม่ให้การยินยอมรับ ซามูไรครองรักกับโสเภณี … แต่สำหรับ Hachirō ไม่ได้สนอะไรพรรค์นี้ แถมยังมองว่าสถานะของเธอเข้ากับตนเองได้ดี

ค่ำคืนหลังจาก Hachirō ฆ่าคนตายเป็นครั้งแรก กลับมายังบ้านพัก หลังพิงบันได พร่ำรำพันกับ Oren ว่าชีวิตคงจบสิ้นลง (ชั้นล่างบันไดสามารถสื่อถึงความตกต่ำชีวิต) จากนั้นถาโถมเข้าไปโอบกอด ร่ำเรียกร้องโปรดอย่างทอดทิ้งฉันไป สำแดงด้านอ่อนไหวของตนเองออกมา

Sakamoto Ryōma เป็นอีกบุคคลที่ชอบทำอะไรแปลกๆ แต่เคลือบแฝงนัยยะน่าสนใจ อย่างตอนสนทนากับ Ishizaka Shuzo พูดเล่าย้อนอดีตถึงหายนะของกลุ่มโรนิน Kobinokai ขณะกำลังนั่งตกปลาอยู่ริมตลิ่ง … การตกปลาคือใช้เหยื่อล่อให้ปลากินเบ็ด นี่น่าจะสะท้อนถึงกลุ่มโรนิน Kobinokai ที่ตกหลุมพราง ติดกับดักของผู้ว่าการ Shimazu Hisamitsu เลยถูกกวาดล้างจนเหี้ยนเตียน

และหลังจากค่ำคืนหายนะ Sakamoto แวะเวียนไปยังโรงแรมที่เกิดเหตุ จากนั้นหยิบเล่นเครื่องดนตรี Shamisen รำพันบทกวี ใครกันผูกม้าไว้ใต้ต้นซากูระ? น่าจะสื่อถึงการรวมกลุ่มโรนิน/ซามูไรไร้สังกัด เป็นแผนการที่ไร้สาระ ก่อบังเกิดหายนะที่ไม่ควรเกิดขึ้นเลยสักนิด!

The cherry blossoms in bloom
why do you tie your horse to the tree?
If the horse moves around
it’ll make the petals fall.

เรื่องเล่าผ่านมุมมองของ Tesshū Yamaoka กล่าวถึง Hachirō เมื่อตอนหวนกลับ Edo มาขอพักอาศัยหลับนอน ภาพช็อตนี้ลำต้นไผ่ช่างขวางหูขวางตา โดยปกติแล้วมันคือสัญลักษณ์ของความยืดหยุ่น แข็งนอกอ่อนใน ปลูกเสริมมงคลให้ยั่งยืน อายุยาวนาน … ในบริบทของหนังน่าสะท้อนถึงความอ่อนไหว (แข็งนอกอ่อนใน) ของ Hachirō หลังรับรู้ความตายของหญิงคนรัก ค่ำคืนนี้เขียนจดหมายถึงมารดา ร้องขอให้ยินยอมรับ Oren เป็นภรรยาของตนเอง

ปล. ซีเควนซ์นี้จะพบเห็นฝนตกตลอดเวลา นั่นคือธารน้ำตาหลั่งไหลภายในจิตใจของ Hachirō

Hachirō เขียนชื่อตนเองในสถานะหัวหน้ากลุ่มโรนิน Rōshigumi ก่อนถูกไดเมียว Itakura ขีดฆ่าชื่อทิ้งแล้วนำไปต่อท้าย ซึ่งพอเอกสารตีกลับมา Hachirō ก็ทำการขีดฆ่าชื่อตนเองอีกรอบแล้วเขียนใส่กระดาษแผ่นใหม่ เพื่อเวลายื่นเสนอต่อสมเด็จพระจักรพรรดิ จักสังเกตเห็นความแตกต่าง ไม่เข้าพวก ไม่ต้องการเหมารวมตนเองกับโรนิน/ซามูไรไร้สังกัดเหล่านั้น

สมาชิกกลุ่มฝักใฝ่สมเด็จพระจักรพรรดิ พยายามจะลอบสังหาร Hachirō แม้เขาแสดงปฏิกิริยาสีหน้าเหมือนไม่ยี่หร่า แต่ภายใจจิตใจคงเต็มไปด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว เพราะต้องเก็บซ่อนวัตถุประสงค์แท้จริงจนกว่าแผนการของตนเองจักสำเร็จลุล่วง เลยจำต้องเข่นฆ่า(อดีต)พรรคพวกพ้อง ลูกศิษย์ลูกหา ด้วยความเลือดเย็น!

Tadasaburô (ที่ได้รับมอบหมายให้ลอบสังหาร Hachirō) ทำการหลบซ่อน ด้อมๆมองๆ (หลายๆช็อตเลือกมุมกล้องที่ดูเหมือนการแอบถ้ำมองผ่านสายตาของ Tadasaburô) มันอาจดูเหมือนเขารอคอยจังหวะและโอกาส แต่จริงๆแล้วน่าจะแค่คอยสังเกตการณ์ พยายามมองหาจุดอ่อนในเพลงดาบ เพราะยังไม่ได้รับคำสั่งให้ลงมือ จึงไม่เข้าไปช่วยเหลือหรือยินยอมเสี่ยงอันตราย

หลังจาก Hachirō เข่นฆ่าล้างบาง ตายหมดเกลี้ยง กำลังจะเก็บดาบเข้าฝัก ช็อตนี้ถ่ายภาพมุมสูงก้มลงมายังลานประลอง แบบเดียวกับตอนประลองดาบชนะ Tadasaburô นัยยะเดียวกันผมขอไม่อธิบายซ้ำ

หวนกลับมาพบเห็น Tadatoshi ให้อาหารปลาอีกครั้ง แต่คราวนี้ตรงกันข้ามกับตอนแรกที่มอบหมายภารกิจ มาคราวนี้ Tadasaburô กลายเป็นผู้ร่ำร้องขอลงมือสังหาร Hachirō แทบจะอดกลั้นฝืนทนไม่ไหวอีกต่อไป … Tadasaburô กลายเป็นปลาในตู้ที่ว่ายเวียนวน ทนทุกข์ทรมาน ชีวิตไม่สามารถดำเนินต่อไปจนกว่าจะฆ่าล้างแค้นได้สำเร็จ

นี่คือสถานที่จริงที่ Hachirō รวบรวมกลุ่มโรนิน/ซามูไรไร้สังกัด Rōshigumi เดินทางมาพักค้างแรมยัง Koishikawa Dentsu-in Temple (小石川伝通院) วัดพุทธศาสนานิกายโจโด (Jōdo Shinshū, 浄土真宗) ตั้งอยู่ยังบนเทือกเขา Muryo (無量山) ณ Bunkyo-ku, Tokyo ก่อสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1415 โดย Saint Shogei, 聖冏上人 (1341-1402)

ย้อนรอยกับตอน Tadatoshi เดินวนรอบ Tadasaburô, มาคราวนี้ Hachirō เดินวนรอบบรรดาลูกน้องผู้จงรักภักดี ก่อนเปิดเผยแผนการอันแยบยล ที่ทำให้ทุกคนเกิดความตกตะลึง คาดไม่ถึง ผมเลือกมาสามภาพสำหรับอธิบายรายละเอียด ‘Mise-en-scène’

  • Hachirō เดินวนไปด้านหลัง (180 องศาจากตำแหน่งเริ่มต้น) แล้วยังหันหลังให้ทุกคน (เพื่อสื่อถึงความจริงที่ตรงกันข้ามกับเหตุการณ์เป็นอยู่) ก่อนเปิดเผยว่าตนเองรอคอยคำสั่งจากสมเด็จพระจักรพรรดิ หาใช่เข้าร่วมกลุ่มรัฐบาลเอโดะ
  • ต่อมาเดินย้อมกลับไปตรงหัวมุม บริเวณปกคลุมด้วยความมืดมิดที่สุด เพื่ออธิบายสิ่งท้าทายในแผนการนี้ คือการเปิดเผยความจริงต่อบรรดาโรนิน/ซามูไรไร้สังกัด และคอยควบคุมพวกเขาเหล่านั้นให้อยู่ภายในวัดหลังนี้จนอรุณรุ่ง
  • Hachirō หลังจากเดินวนรอบกลับมายังจุดเริ่มต้น ซึ่งมีพื้นยกสูงกว่าที่นั่งของลูกน้อง ใครบางคนสอบถามถ้าพวกโรนิน/ซามูไรไร้สังกัดต่อต้านแผนการดังกล่าว เขาตอบกลับใครจะกล้าขัดขืนคำสั่งสมเด็จพระจักรพรรดิ?
    • เป็นคำตอบที่สอดคล้องตำแหน่งการยืน จักรพรรดิอยู่สูงกว่าใคร

นี่อาจถือเป็นหนึ่งในลายเซ็นต์ของผกก. Shinoda ต้องมีฉากตัวละครหัวเราะออกมาอย่างคลุ้มบ้าคลั่ง พึงพอใจกับแผนการ/สิ่งที่ได้กระทำ ราวกับถึงจุดสูงสุด ไคลน์แม็กซ์ชีวิต

Ahead of time, ahead of time
again in the journey of carnage
I shan’t go astray from
my path with the Emperor.

บทกวีของ Hachirō ฟังดูโอ้อวด หลงตนเอง แผนการของฉันนั้นมาก่อนกาล ไม่มีใครสามารถครุ่นคิดทำความเข้าใจ ทุกสิ่งอย่างล้วนเพื่อสมเด็จพระจักรพรรดิ หลังจากนี้จะไม่แปรพักตร์ สลับเปลี่ยนฝั่งฝ่ายอีกต่อไป … นั่นอาจคืออุดมการณ์แท้จริงของ Hachirō แต่การเขียนลงบนพัดที่มีสองด้าน (สามารถพลิกกลับไปกลับมา) มักคือสัญลักษณ์ของการพัดพา สายลมปาก (คำพูดที่ไม่หนักแน่น เพียงลมพัดผ่าน)

หลังจากได้ตำแหน่ง หน้าที่การงานในสมเด็จพระจักรพรรดิ พฤติกรรมของ Hachirō แทบจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ กลายเป็นคนขี้เกียจคร้าน สันหลังยาว ภาพแรกนอนอยู่ในเงามืด รับฟังปัญหาจากลูกน้อง แต่เขากลับดูไม่ค่อยแยแส ไม่ยี่หร่าสักเท่าไหร่ จนกระทั่งพวกแอบอ้างเป็นโรนินถูกจับกุม (บุคคลกางร่ม คือคนที่มีตำแหน่ง หน้าที่การงาน สมเด็จพระจักรพรรดิคุ้มหัว) อาสาลงไม้ลงมือ สังหารอาชญากรเหล่านั้นอย่างเลือดเย็นชา

ความเกียจคร้านของ Hachirō แสดงให้เห็นว่าเขาดำเนินมาถึงจุดหมายปลายทาง ได้ทำสำเร็จในสิ่งวาดฝัน หลังจากนี้ไม่ต้องการอะไรอีกต่อไป หมดสูญสิ้นเป้าหมาย/อุดมการณ์ชีวิต ถึงเวลาปลดปล่อยตนเอง เลียนแบบพวกขุนนาง ซามูไรระดับสูงของฟากฝั่งรัฐบาลเอโดะ

การสนทนาครั้งสุดท้ายระหว่าง Tadatoshi กับไดเมียว Itakura ทั้งสองออกมาเดินพูดคุยกันริมสระน้ำ สอบถามแผนการลอบสังหาร Hachirō และสังเกตว่าไดเมียวสวมใส่เครื่องแบบตะวันตก นี่เป็นการแสดงออกว่าพวกเขา/รัฐบาลเอโดะคือคนทรยศขายชาติ (ในมุมของกลุ่มฝักใฝ่สมเด็จพระจักรพรรดิ) พร้อมแล้วจะเปิดประเทศ ยินยอมรับอิทธิพลของโลกภายนอก … นั่นคือเหตุผลที่ออกมาพูดคุยกันภายนอกอาคารด้วยกระมัง

เมื่อได้รับคำสั่งลอบสังหาร หนังเปลี่ยนมาใช้มุมมองบุคคลที่หนึ่ง (First-Person) ผ่านสายตาของ Tadasaburô ด้วยกล้องมือถือ (Hand-Held) ส่ายๆสั่นๆ หันไปหันมา ระหว่างแอบติดตาม Hachirō (โดยมี Tesshū Yamaoka พยายามเข้ามาหักห้ามปราม) พบเห็นช่วงวาระสุดท้าย ปลดปล่อยตนเองกับสุรานารี ไม่หลงเหลืออุดมการณ์ เป้าหมายชีวิต

แม้ได้รับมอบหมายให้ลอบสังหาร แต่หน้าตาของ Tadasaburô เป็นคนดูไม่น่าจะมีพิษมีภัย ถึงอย่างนั้นลีลาการถ่ายภาพนี้ช่วยสร้างสัมผัสสิ่งชั่วร้าย หายนะคืบคลานเข้ามา (แปรสภาพ Tadasaburô ให้กลายเป็นนามธรรม) เกิดความลุ้นระทึกว่าเมื่อไหร่จะลงมือ สามารถเข่นฆ่าเป้าหมายสำเร็จหรือไม่?

ระหว่างที่ Tadasaburô แอบติดตาม Hachirō มาถึงยังซ่องโสเภณี แล้วพบเห็นเขาพยายามเรียกชื่อหญิงสาวคนนี้ว่า Oren ทำให้ผมฉุกครุ่นคิดว่าอาจคือชื่อมารดาหรือคนรักเก่า (ที่ไม่ใช่ Ofuku) แล้วเกิดเหตุบางอย่างที่ต้องสูญเสียเธอไป มิอาจรักใครได้อีก ใช้บริการโสเภณีก็ทำการเปลี่ยนชื่อแซ่ ให้กลายเป็นบุคคลนั้นสำหรับพึ่งพักพิงกาย-ใจ

วินาทีแห่งการลอบสังหาร Tadasaburô ใช้จังหวะทีเผลอชักดาบเร็ว เลือดของ Hachirō สาดกระเซ็นโดนใบหน้าครึ่งหนึ่งที่อาบฉาบแสงสว่าง ส่วนอีกฟากฝั่งปกคลุมอยู่ในความมืดมิด นี่ลักษณะเหมือน ‘Two-Face’

  • ใบหน้าฟากฝั่งปกคลุมด้วยเงามืด สามารถสื่อถึงจิตใจที่หมกมุ่นอยู่กับความอาฆาตแค้น
  • ส่วนฟากฝั่งแสงสว่างเปรียบดั่งเบื้องหน้าต่อสาธารณะ แต่ขณะนี้ปกคลุมด้วยเลือดอาบ หมายถึงการจะถูกสังคมตีตราว่าเป็นฆาตกรติดตัวจนวันตาย!

ตัดต่อโดย Eiichi Amano, หนังดำเนินเรื่องโดยมี Hachirō Kiyokawa คือศูนย์กลางเรื่องราว โดยเล่าผ่านมุมมองบุคคลต่างๆที่เคยรับรู้จัก สมุดบันทึกของหญิงคนรัก สลับไปมาระหว่างอดีต-ปัจจุบัน โดนเส้นเรื่องหลักเริ่มต้นตั้งแต่ Hachirō ได้รับการอภัยโทษโดยฝั่งรัฐบาลเอโดะ (Tokugawa Shogunate) เพื่อรวบรวมโรนิน/ซามูไรไร้สังกัดจัดตั้งกลุ่ม Rōshigumi ก่อนทรยศหักหลังด้วยการเปลี่ยนข้างมาฝักใฝ่สมเด็จพระจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่น จึงถูกลอบสังหารเสียชีวิต

  • อารัมบท, อธิบายพื้นหลังความเป็นมา
  • เรื่องราวของ Hachirō Kiyokawa
    • Hachirō ได้รับการอภัยโทษลงนามโดยไดเมียว Itakura Katsukiyo
    • Tadatoshi Matsudaira อธิบายเหตุผลการปล่อยตัว Hachirō ให้กับไดเมียว Itakura
    • Hachirō พบเจอกับเพื่อนเก่า Sakamoto Ryōma ต่างเป็นสมาชิกกลุ่มต่อต้านรัฐบาลเอโดะ
    • Tadatoshi เรียกตัว Tadasaburô Sasaki เพื่อมอบภารกิจเตรียมการลอบสังหาร Hachirō
    • Tadasaburô ดวลดาบกับ Hachirō พ่ายแพ้ย่อยยับ อับอายขายขี้หน้า
    • Tadatoshi ตำหนิต่อว่า Tadasaburô ที่พ่ายแพ้ย่อยยับ แต่อีกฝ่ายขอแก้ตัวด้วยภารกิจลอบสังหาร
      • (Flashback) Tadatoshi เล่าถึงเมื่อตอนแรกพบเจอ Hachirō ชื่นชมความงามของดาบ และยื่นเสนอแผนปกป้องเมืองจากการรุกรานชาติตะวันตก
    • Tadatoshi ได้รับแจ้งว่า Hachirō ป่าวประกาศรับสมัครโรนินมากเกินปริมาณรองรับไหว
    • Hachirō พยายามเกลี้ยกล่อมสมาชิกรัฐบาลเอโดะให้ยินยอมรับโรนินเหล่านั้น
  • Hachirō ฆ่าคนตายครั้งแรก
    • สมาชิกกลุ่มฝักใฝ่สมเด็จพระจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่น พบเห็นการรวบรวมโรนินของ Hachirō ครุ่นคิดว่าอีกฝ่ายย้ายข้างไปสนับสนุนฟากฝั่งรัฐบาลเอโดะ เลยนัดพูดคุยกับเพื่อนสมาชิก
      • (Flashback) เรื่องเล่าของ Miyagawa Shingo ที่เคยได้รับการช่วยเหลือจาก Hachirō
      • (Flashback) เรื่องเล่าของ Keijirô Aizawa ถึงตอนที่ Hachirō ฆ่าคนตายอย่างเลือดเย็น
    • Tadasaburô รับฟังเรื่องเล่าของอดีตผู้กำกับการ Jûjirô Ishii
      • (Flashback) หลังฆ่าคนตายอย่างเลือดเย็น Hachirō ถูกไล่ล่าติดตามตัว ค่ำคืนนั้นมีการออกหมายจับ
      • (Flashback) สมาชิกครอบครัวของ Hachirō ถูกจับกุม ทัณฑ์ทรมาน แต่ทว่าหญิงคนรัก Oren ไม่เคยปริปากใดๆ
    • Tadasaburô อ่านสมุดบันทึกของ Oren
      • (Flashback) Ofuku ถูกขายตัวให้เป็นโสเภณี ให้บริการลูกค้าคนแรก Hachirō ก่อนกลายเป็นคนรัก
      • (Flashback) Oren คอยปลอบประโลม Hachirō ในค่ำคืนที่เขาฆ่าคนตายครั้งแรก
    • หลังอ่านไดอารี่จบ Tadasaburô บังเกิดความเชื่อมั่นว่าตนเองสามารถลอบสังหาร Hachirō
  • หายนะของกลุ่มโรนิน Kobinokai
    • Ishizaka Shuzo รับฟังเรื่องเล่าจาก Sakamoto Ryōma
      • (Flashback) เมื่อครั้นเดินทางสู่ Edo ได้พูดคุยกับ Hachirō รวบรวมสมัครพรรคพวกโรนิน Kobinokai วางแผนจะโจมตีที่พักอาศัยของผู้ว่าการ Kyoto
      • (Flashback) ผู้ว่าการ Shimazu Hisamitsu ออกคำสั่งให้ลูกน้องจัดการขั้นเด็ดขาดกับกลุ่มต่อต้านรัฐบาลเอโดะ
      • (Flashback) สมาชิกกลุ่มโรนิน Kobinokai ถูกกวาดล้างไปจาก Edo
    • Ishizaka Shuzo รับฟังเรื่องเล่าจาก Tesshū Yamaoka
      • (Flashback) Hachirō เดินทางกลับจาก Edo มาเยี่ยมเยียน Tesshū ในสภาพเหน็ดเหนื่อยหน่าย เศร้าโศกหลังรับรู้ข่าวการเสียชีวิตของ Oren ยามค่ำคืนเขียนจดหมายถึงมารดาขอให้ยินยอมรับเธอคือภรรยาของตนเอง
  • เป้าหมายแท้จริงของกลุ่มโรนินใหม่ Rōshigumi
    • Hachirō เขียนจดหมายอธิบายแผนการของกลุ่มโรนิน Rōshigumi ให้กับ Tadatoshi และไดเมียว Itakura Katsukiyo
    • สมาชิกกลุ่มฝักใฝ่สมเด็จพระจักรพรรดิญี่ปุ่นลงมือลอบสังหาร Hachirō แต่ถูกกวาดล้างจนหลงเหลือเพียง Ishizaka
    • Hachirō นำพากลุ่มโรนิน Rōshigumi เดินทางไปถึงยัง Koishikawa Dentsu-in Temple
    • Hachirō ป่าวประกาศต่อโรนินว่าวันพรุ่งนี้พวกเขาจะได้เป็นทหารในสังกัดรัฐบาลเอโดะ
    • แต่ลับหลัง Hachirō มอบหมายภารกิจกับลูกน้องคนสนิท เสียสละชีวิตเพื่อรับคำสั่งจากสมเด็จพระจักรพรรดิญี่ปุ่น
    • Hachirō ป่าวประกาศกับกลุ่มโรนินว่าตัวเขาย้ายมาฝักใฝ่สมเด็จพระจักรพรรดิ
    • ยามเช้าคำสั่งจากสมเด็จพระจักรพรรดิญี่ปุ่นเดินทางมาถึง
  • การลอบสังหาร Hachirō
    • นอกจากลูกน้องของ Hachirō โรนินส่วนใหญ่ขอลาออกจากการเป็นสมาชิกกลุ่ม Rōshigumi
    • โรนินที่ลาออกจากการเป็นสมาชิก Rōshigumi กระทำการปล้นสะดม เลยถูก Hachirō ตัดสินโทษประหารชีวิต
    • Tadatoshi แจ้งกับไดเมียว Itakura ว่าได้ออกคำสั่งลอบสังหาร Hachirō
    • Tadasaburô เฝ้ารอคอยโอกาส ในที่สุดก็ได้ลอบสังหาร Hachirō

แทบทุกครั้งเมื่อจบการเล่าเรื่องย้อนอดีต (Flashback) หรือเกิดเหตุการณ์ที่มีความหมิ่นเหม่ (จะถูกเซนเซอร์) อย่าง ฆ่าคนตาย, ร่วมเพศสัมพันธ์ ฯ มักจะพบเห็นการแช่ภาพ (Freeze Frame) แล้วตัดข้ามหรือหวนกลับมาปัจจุบัน


เพลงประกอบโดย Tōru Takemitsu, 武満 徹 (1930-96) คีตกวีสัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Hongō, Tokyo ก่อนย้ายไปเติบโตยัง Dalian, Liaoning (ประเทศจีน) ถูกบังคับเกณฑ์ทหารตั้งแต่อายุ 14 แม้ได้รับประสบการณ์อันขมขื่น แต่ทำให้มีโอกาสรับฟังเพลงตะวันตก, หลังสงครามโลกกลับมาญี่ปุ่น ทำงานในกองทัพสหรัฐ (ที่เข้ามายึดครองชั่วคราว) แม้ไม่เคยฝึกฝนการเล่นดนตรี แต่เริ่มแต่งเพลงเมื่ออายุ 16 โอบรับแนวคิดเครื่องดนตรีไฟฟ้า แนวทดลอง สไตล์ Avant-Garde ร่วมก่อตั้งกลุ่ม Experimental Workshop (実験工房 อ่านว่า Jikken Kōbō) ที่พยายามผสมผสานไม่ใช่แค่ดนตรี แต่ยังสรรพเสียง และศิลปะแขนงอื่นๆคลุกเคล้าเข้าด้วยกัน ทำให้มีโอกาสรับรู้จัก Kōbō Abe และ Hiroshi Teshigahara ที่ต่างก็แนวคิดทิศทางเดียวกัน โด่งดังกับระดับนานาชาติกับผลงาน Requiem for String Orchestra (1957), ทำเพลงประกอบภาพยนตร์มากมายนับไม่ถ้วน Harakiri (1962), Pitfall (1962), Pale Flower (1964), Kwaidan (1964), Woman in the Dunes (1964), The Koumiko Mystery (1965), The Face of Another (1966), Samurai Rebellion (1967), Scattered Cloud (1967), Double Suicide (1969), Dodes’ka-den (1970), Under the Blossoming Cherry Trees (1975), Ballad of Orin (1977), Empire of Passion (1978), Ran (1985), Black Rain (1989) ฯ

Takemitsu ขึ้นชื่อในการรังสรรค์เพลงประกอบในสไตล์ Avant-Garde ที่เต็มไปด้วยเสียงประหลาดๆ ผิดแผกแตกต่างจากขนบวิถีตามปกติทั่วไป ซึ่งสำหรับ Assassination (1964) ก็ได้ทำสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดถึง คือใช้เพียงสองเครื่องดนตรี ประกอบด้วยเครื่องเป่า Shakuhachi (ทำการแสดงโดย Katsuya Yokoyama) และเปียโนดัดแปลง, Prepared Piano (บรรเลงโดย Satoshi Ichiyanagi) ซึ่งสามารถใช้เป็นตัวแทนโลกตะวันออก vs. การมาถึงของชาติตะวันตก

(ฉากที่ Sakamoto Ryōma เล่น Shamisen หลังพบเห็นโศกนาฎกรรมบังเกิดขึ้นกับกลุ่มโรนิน Kobinokai นั่นคือใช้เสียงเปียโนดัดแปลง ด้วยการดีดสายด้านหลังแทนที่กดลิ่มนิ้ว)

ในยุคสมัย Edo Period (1600-1868) ประเทศญี่ปุ่นมีความสงบสุขมากว่าสองร้อยปี จนกระทั่งการมาถึงของพลเรือจัตวาแห่งสหรัฐอเมริกา Matthew C. Perry (1794-1858) นำพากองเรือปืนมาถึงอ่าว Edo Bay (ปัจจุบันคือ Tokyo Bay) เมื่อปี ค.ศ. 1853 ก่อเกิดการแบ่งแยก/ขัดแย้งภายในของชนชั้นผู้นำญี่ปุ่น ฝั่งฝ่ายหนึ่งให้การสนับสนุนรัฐบาลเอโดะ (Tokugawa Shogunate) ลงนามสนธิสัญญาไมตรีและพาณิชย์ Harris Treaty (1858) vs. กลุ่มฝักใฝ่สมเด็จพระจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่น (Emperor) ให้กลับขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศ

Hachirō Kiyokawa จากลูกชาวนาไต่เต้าจนกลายเป็นซามูไรยอดฝีมือ ชื่อเสียงโด่งดัง แต่เพราะชาติกำเนิดต่ำต้อยเลยมักโดนด้วยค่า ดูถูกเหยียดหยาม ไม่ได้รับการยินยอมรับจากชนชั้นขุนนางในรัฐบาลเอโดะ ฟางเส้นสุดท้ายคือการลงนามสนธิสัญญาไมตรีและพาณิชย์กับชาติตะวันตก มองว่านั่นคือการทรยศขายชาติ ทำให้เขาหมดสูญสิ้นศรัทธา หันมาฝักใฝ่สมเด็จพระจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่น

อารมณ์ชั่ววูบของ Hachirō นำสู่เหตุการณ์สูญเสียหญิงคนรัก, รวบรวมกลุ่มโรนิน Kobinokai ยังถูกกวาดล้างหมดสิ้น, เขาจึงครุ่นคิดแผนการอันแยบยล แสร้งทำเป็นก้มหัวศิโรราบต่อรัฐบาลเอโดะ (เลยถูกลอบสังหารจากกลุ่มฝักใฝ่สมเด็จพระจักรพรรดิญี่ปุ่น แต่เอาตัวรอดมาได้) ก่อตั้งกลุ่มโรนินใหม่ Rōshigumi ก่อนประกาศตัวให้การสนับสนุนสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่น (เลยถูกลอบสังหารจากรัฐบาลเอโดะ แต่คราวนี้ถูกฆ่าโดยไม่ทันตั้งตัว)

บุคคลทั่วไปในยุคสมัยนั้น ย่อมไม่สามารถครุ่นคิดทำความเข้าใจ รู้สึกแปลกประหลาดกับพฤติกรรมของ Hachirō (แบบเดียวกับชื่อเรื่องสั้น Strange Hachirō) มีความกลับกลอก ปอกลอก นกสองหัว สลับขั้วไปมาจนหมดสูญสิ้นความน่าเชื่อถือ สรุปแล้วฝักใฝ่รัฐบาลเอโดะ? หรือให้สนับสนุนสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่น?

ยุคสมัยดังกล่าวมันช่างละม้ายสงครามโลกครั้งที่สอง หลังญี่ปุ่นพ่ายแพ้สงคราม ทำให้ถูกยึดครองโดยฝ่ายสัมพันธมิตร Occupation of Japan (1945-52) สหรัฐอเมริกานำเอาหลายๆสิ่งอย่างเข้ามาเผยแพร่ จนก่อเกิดการแบ่งแยก/ขัดแย้งภายในประเทศ ฟากฝั่งอนุรักษ์นิยมคือรับไม่ได้อย่างรุนแรง แต่พวกเขาก็มิอาจต่อต้านทานความเปลี่ยนแปลงใดๆ

การมาถึงของสงครามเย็น (Cold War) ภัยจากคอมมิวนิสต์ (สหภาพโซเวียต+จีน) กำลังคืบคลานเข้ามา เพราะเคยตกเมืองขึ้นสหรัฐอเมริกา มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่ญี่ปุ่นจะเปลี่ยนข้างใหม่ นั่นเช่นกันก่อเกิดการแบ่งแยก/ขัดแย้งภายในจิตใจ … จากเคยเป็นศัตรู ถูกยึดครอง แล้วจะให้มาเป็นพันธมิตรกับสหรัฐอเมริกา ความกลับกลอก กลับไปกลับมา ในมุมของชาวญี่ปุ่นมันช่างไร้เกียรติ ไร้ศักดิ์ศรี น่าอับอายขายขี้หน้าประชาชี!

พอจะมองเห็นความสัมพันธ์ระหว่าง Hachirō กับประเทศญี่ปุ่นช่วงหลังสงครามไหมเอ่ย? ถ้ามองจากภายนอกย่อมรู้สึกมันคือความไร้เกียรติ ไร้ศักดิ์ศรี แต่เหตุผลแท้จริงก็เพื่อปกป้องประเทศชาติจากภัยคุกคามภายนอก (ยุคสมัยของ Hachirō ก็คือต่อต้านชาติตะวันตก, หลังสงครามโลกคือภัยคุกคามจากคอมมิวนิสต์)

In my films, I have tried to show the present through the past and history, coming around to the truth that all Japanese culture flows from imperialism and the emperor system. What characterizes Japan is the imposition upon the people of absolute power and authority without the right to question and debate… I find, however, that politics leads to nothing, and that power politics remain empty.

Masahiro Shinoda

ความตายของ Hachirō ถูกทำให้เลือนลางระหว่างความอาฆาตแค้นส่วนตัว (ของ Tadasaburô Sasaki) และความขัดแย้งเห็นต่างทางการเมือง (ทั้งฝ่ายของรัฐบาลเอโดะ vs. กลุ่มฝักใฝ่สมเด็จพระจักรพรรดิ) ผมมองว่าผกก. Shinoda ต้องการแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองและเรื่องส่วนตัว คือสิ่งไม่สามารถแบ่งแยกออกจากกัน หายนะบังเกิดขึ้นกับประเทศชาติ ย่อมส่งผลกระทบต่อชีวิตของประชาชน … Vice Versa

ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลเอโดะ vs. กลุ่มฝักใฝ่สมเด็จพระจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่น นำสู่จุดสิ้นสุดยุคสมัย Edo Period (1600-1868) หลังจาก Prince Mutsuhito ขึ้นมาเป็น Emperor Meiji (1852-1912, ครองราชย์ 1867-1912) จัดการล้างบาง โค่นล้มรัฐบาลเอโดะ ปรับเปลี่ยนมาเป็นรัฐบาลเมจิ หรือที่เรียกว่ายุคสมัยการฟื้นฟูเมจิ (Meiji Restoration)

แต่แม้ญี่ปุ่นฟื้นฟูพระราชอำนาจให้กับสมเด็จพระจักรพรรดิเมจิ ก็ไม่ได้ทรงกีดกันการมาถึงของชาติตะวันตก ค่อยๆซึมซับรับอิทธิพล ยินยอมรับความเปลี่ยนแปลง จากสังคมเจ้าขุนมูลนายไปสู่ระบอบทุนนิยม กลายเป็นมหาอำนาจทางอุตสาหกรรมในเวทีโลกอย่างรวดเร็ว … สรุปแล้วความตายของ Hachirō อาจเรียกได้ว่าสูญเสียเปล่าในทางการเมือง แต่เรื่องราวของเขานั้นกลายเป็นตำนานลือเล่าขานเหนือกาลเวลา

ผมมีความฉงนสงสัยว่าผกก. Shinoda สนใจใน Political Assassination เพราะญี่ปุ่นทศวรรษนั้นเกิดการลอบสังหารทางการเมืองขึ้นหรือเปล่า? ก็ค้นพบว่ามีจริงๆด้วย Inejirō Asanuma ผู้นำพรรคสังคมนิยมญี่ปุ่น Japan Socialist Party (JSP) วันที่ 12 ตุลาคม ค.ศ. 1960 ระหว่างทำการดีเบตการเมืองผ่านทางโทรทัศน์ ถูกแทงเสียชีวิตโดยชายหนุ่มวัย 17 ปี ฝักใฝ่ฝั่งขวาสุดโต่ง เหตุการณ์ความรุนแรงดังกล่าวพบเห็นโดยผู้ชม(โทรทัศน์)นับล้านๆคน แถมภาพถ่ายของ Yasushi Nagao ยังคว้ารางวัล Pulitzer Prize และ World Press Photo of the Year

ภาพถ่ายรางวัล Pulitzer Prize ของ Yasushi Nagao ระหว่างที่ Inejirō Asanuma ถูกลอบสังหารทางการเมือง

ปัจจุบันแม้หนังยังไม่มีข่าวคราวบูรณะ แต่ฉบับ DVD ของ Eureka ในคอลเลคชั่น Master’s of Cinema จัดจำหน่ายเมื่อปี ค.ศ. 2006 คุณภาพยังพอไปวัดไปวา หรือจะหารับชมออนไลน์ทาง Criterion Channel

แนวคิดหลายๆอย่างของหนังแม้มีความน่าสนใจ แพรวพราวด้วยสารพัดลูกเล่นภาพยนตร์ แต่ผลลัพท์กลับตายหยังเขียด มีความสับสน ซับซ้อน ท้าทายเกินความจำเป็น ถ้าไม่ใช่แฟนเดนตายของผกก. Shinoda ก็อาจไม่รู้สึกกระตือรือล้นที่จะขบครุ่นคิดวิเคราะห์สักเท่าไหร่

หลังจากรับชมภาพยนตร์ของผกก. Shinoda มาหลายๆเรื่อง ผมก็ตระหนักว่า Assassination (1964) คือต้นแบบ/แม่พิมพ์ให้กับหลายๆผลงานต่อจากนี้ อาทิ Silence (1974), Himiko (1977) ฯ นำเอาเรื่องราวประวัติศาสตร์มาสะท้อนเข้ากับเหตุการณ์เกิดขึ้นในปัจจุบัน … ใครพลาดเรื่องนี้ไปถือว่าน่าเสียดายยิ่งนัก!

จัดเรต 18+ กับความรุนแรง การลอบสังหาร การเมืองวุ่นวาย

คำโปรย | Assassination ความพยายามมองย้อนประวัติศาสตร์ เพื่อสะท้อนถึงถึงปัจจุบัน มันช่างมีความซับซ้อน ท้าทาย แต่ผู้ชมส่วนใหญ่คงตายหยังเขียด
คุณภาพ | ตายหยังเขียด
ส่วนตัว | เชือดเฉือน

Leave a Reply

avatar

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

  Subscribe  
Notify of
%d bloggers like this: