
Silence (1971)
: Masahiro Shinoda ♥♥♥♥
ในขณะที่ Silence (2016) ของผู้กำกับ Martin Scorsese นำเสนอผ่านมุมมองคนนอก เต็มไปด้วยสัญญะศาสนา ความเชื่อศรัทธาส่วนบุคคล, ฉบับของผู้กำกับ Masahiro Shinoda มุ่งเน้นฉายภาพการใช้อำนาจรัฐ กดขี่ข่มเหงประชาชนครุ่นคิดเห็นแตกต่าง ซึ่งสามารถสะท้อนสภาพสังคม-การเมืองญี่ปุ่นปัจจุบัน(นั้น)
ทีแรกผมไม่ค่อยอยากรับชมหนังเรื่องนี้สักเท่าไหร่ เพราะอคติต่อ Silence (2016) ของผกก. Scorsese ที่แม้เป็นผลงานสมบูรณ์แบบเรื่องหนึ่ง แต่ด้วยศรัทธาอันแรงกล้า(ของ Marty) สร้างออกมาเหมือนสงครามศาสนา พุทธ vs. คริสต์ ต่างฝ่ายต่างปิดกั้น เชื่อมั่นว่าฉันถูกต้อง … เป็นหนัง pro-Christian, anti-Buddism จะให้ผมอดรนทนได้ยังไง!
ก่อนพบเจอความเห็นหนึ่งบอกว่า Silence (1971) ไม่ใช่หนังศาสนา? นั่นทำเอาผมงงเป็นไก่ตาแตก เลยตัดสินใจลองหามารับชมแล้วค้นพบว่าจริงว่ะ! เพราะความสนใจของผกก. Shinoda นำเสนอผ่านมุมมองคนใน/ชาวญี่ปุ่น คือเรื่องราวการมาถึงของชาติตะวันตก อิทธิพลจากโลกภายนอก แต่ถูกปิดกั้นโดยชนชั้นผู้นำ ใช้อำนาจรัฐโต้ตอบด้วยความรุนแรง กำจัดประชาชนครุ่นคิดแตกต่าง … มันช่างละม้ายคล้ายผลงานก่อนหน้า Assassination (1964) ที่การมาถึงของเรือรบสหรัฐอเมริกา ทำให้เกิดการแบ่งแยกระหว่างรัฐบาลเอโดะ (สนใจสร้างสัมพันธไมตรีชาติตะวันตก) vs. กลุ่มฝักใฝ่สมเด็จพระจักรพรรดิญี่ปุ่น (ฟากฝั่งอนุรักษ์นิยม) ต้องการกำจัดคนทรยศขายชาติ!
ศาสนาในภาพยนตร์ Silence (1971) เป็นแค่เพียง ‘plot device’ สิ่งสำหรับขับเคลื่อนเรื่องราวเพื่อนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างสององค์กร สองศาสนา ใครมีอำนาจมากกว่าก็ใช้ความรุนแรงกำจัดบุคคลเห็นต่าง และสไตล์ Shinoda อดีตคือภาพสะท้อนปัจจุบัน ช่วงทศวรรษ 60s-70s ญี่ปุ่นเต็มไปด้วยความวุ่นๆวายๆ เกิดการชุมนุมประท้วง ปะทะกันด้วยความรุนแรง ลอบสังหารศัตรูทางการเมืองนับครั้งไม่ถ้วน
แม้สร้างจากนวนิยายเล่มเดียวกัน แต่ผู้กำกับสองคนตีความออกมาในมุมมองแตกต่างกันโคตรๆ ราวกับหนังคนละเรื่อง ขึ้นอยู่กับผู้ชมแล้วละว่าชื่นชอบเรื่องไหนมากกว่า, ส่วนตัวก็มีความชัดเจนเช่นกัน โปรดักชั่นงานสร้างอาจไม่สามารถเทียบเคียงหนัง Hollywood แต่เนื้อหาสาระและความลุ่มลึกล้ำ Silence (1971) น่าสนใจกว่าหลายเท่าตัว
Masahiro Shinoda, 篠田 正浩 (1931-2025) ผู้กำกับภาพยนตร์ สัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Gifu หลังสงครามโลกครั้งที่สองเข้าศึกษาคณะการละคอน Waseda University แต่พอมารดาเสียชีวิตจำต้องทอดทิ้งการเรียน ได้เข้าทำงานสตูดิโอ Shōchiku เคยเป็นผู้ช่วยผู้กำกับ Yasujirô Ozu เรื่อง Tokyo Twilight (1957), กำกับภาพยนตร์เรื่องแรก One-Way Ticket to Love (1960), Pale Flower (1964), Assassination (1964), With Beauty and Sorrow (1965), Samurai Spy (1965), จากนั้นออกมาก่อตั้งสตูดิโอโปรดักชั่นของตนเอง สรรค์สร้างผลงานชิ้นเอก Double Suicide (1969), Silence (1971), Himiko (1974), Under the Blossoming Cherry Trees (1975), Ballad of Orin (1977), Demon Pond (1979), Gonza the Spearman (1986), Childhood Days (1990), Sharaku (1995), Owls’ Castle (1999) ฯ
沈黙 อ่านว่า Chinmoku แปลตรงตัว Silence ดัดแปลงจากนวนิยายชื่อเดียวกันของ Shūsaku Endō, 遠藤 周作 (1923-96) นักเขียนชาวญี่ปุ่น นับถือศาสนาคริสต์ Japanese Catholic นำแรงบันดาลใจจากหลายๆเหตุการณ์เกิดขึ้นจริง/บุคคลจริงในศตวรรษที่ 17th ทั้งการย่ำเยียบ Fumi-e (รูปเหมือนของพระเยซู หรือพระแม่มารี) ส่วนตัวละคร Sebastião Rodrigues สร้างขึ้นโดยได้แรงบันดาลใจจาก Giuseppe Chiara (1602-85) ผู้เผยแพร่ศาสนาชาวอิตาเลียน เดินทางสู่ญี่ปุ่นปี ค.ศ. 1643 เพื่อติดตามหาบาทหลวงที่สูญหายตัว Cristóvão Ferreira (1580-1650)
เกร็ด: นวนิยาย Silence (1966) สามารถคว้ารางวัล 1966 Tanizaki Prize (เทียบเท่ากับ Pulitzer Prize) ถือเป็นความสำเร็จสูงสุดของ Shūsaku Endō และต่อมาได้รับการยกย่องกล่าวขวัญ “One of the Twentieth Century’s Finest Novels”
ในเครดิตขึ้นว่า Endō ร่วมดัดแปลงบทกับผกก. Shinoda แต่หลายสิ่งอย่างที่ช่วยกันตัดออกจากนวนิยาย ถูกแปรเป็นภาพยนตร์ไม่ตรงกับใจสักเท่าไหร่ ยกตัวอย่าง การตัดทิ้งเสียงของพระเจ้า ทำให้ Rodrigues เหมือนถูกทอดทิ้งโดยสิ้นเชิง, หรือตอนจบไม่มีพระเจ้าสถิตอยู่ในใจ กลายเป็นเพียงสัตว์ร้ายกระทำสิ่งตอบสนองสันชาตญาณ ฯ
รัฐบาลเอโดะ (Tokugawa Shogunate) สั่งแบนคริสต์ศาสนาเมื่อปี ค.ศ. 1614 จึงมีชาวคริสเตียนมากมายต้องอาศัยอยู่อย่างหลบๆซ่อนๆ (มีคำเรียก 隠れキリシタン อ่านว่า Kakure Kirishitan) ถ้าถูกจับกุมก็มักโดนลงทัณฑ์ บีบบังคับให้ย่ำเหยียบ Fumi-e เพื่อสำแดงตนว่าไม่ได้นับถือพระเจ้า ใครปฏิเสธเสียงขันแข็งก็จักลงโทษประหารชีวิต
เรื่องราวของสองสมาชิกคณะเยสุอิต (Jesuit) จากโปรตุเกส Sebastião Rodrigues (รับบทโดย David Lampson) และ Francisco Garupe (รับบทโดย Don Kenny) แอบขึ้นเรือเดินทางมาถึงญี่ปุ่นเพื่อเผยแพร่ศาสนา และออกติดตามหาบาทหลวง Cristóvão Ferreira (รับบทโดย Tetsurō Tamba) ที่หายสาปสูญอย่างไร้ร่องรอยไปนานหลายปี ได้มีโอกาสพบเจอชาวคริสเตียนหลบๆซ่อนๆมากมาย
แต่แล้วบาทหลวง Rodrigues ก็ถูกทรยศหักหลังโดย Kichijiro (รับบทโดย Mako Iwamatsu) ขณะที่ Garupe เสียชีวิตขณะพยายามให้การช่วยเหลือชาวคริสเตียนที่ถูกตัดสินโทษประหาร, ส่วนบาทหลวง Rodrigues เดินทางไปพบเจอ Lord Chuan Sawano ซึ่งก็คืออดีตบาทหลวง Cristóvão Ferreira ละทิ้งความเชื่อในพระเจ้า พยายามเกลี้ยกล่อมให้ Rodrigues ย่ำเหยียบ Fumi-e เปลี่ยนมานับถือพุทธศาสนา และได้รับชื่อใหม่ Sanemon Okada
ขณะที่ตัวละครฟากฝั่งญี่ปุ่นคราคร่ำไปด้วยนักแสดงชื่อดังแห่งยุค แต่พระเอกของหนัง Sebastião Rodrigues กลับเลือกใช้นักแสดงไร้ชื่อ David Lampson เป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ พูดภาษาญี่ปุ่นพอใช้ได้ ท่าทางเก้งๆกังๆ ขาดความเชื่อมั่น เทียบไม่ได้กับฉบับสร้างใหม่ Andrew Garfield ดูมีความมุ่งมั่นตั้งใจกว่าเยอะ (และก็โดนด่าเยอะเช่นกัน) ถึงอย่างนั้นผู้ชมสามารถสัมผัสได้ถึงศรัทธาอันแรงกล้า ก่อนตกอยู่ในความหมดสิ้นหวังอาลัย
ถ่ายภาพโดย Kazuo Miyagawa, 宮川 一夫 (1908-99) ตากล้องสัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Kyoto, วัยเด็กชื่นชอบภาพน้ำหมึกจีน (sumi-e) ก่อนค้นพบความสนใจสื่อภาพยนตร์ German Expressionism, หลังเรียนจบ Kyoto Commercial School เข้าทำงานยังสตูดิโอ Nikkatsu เริ่มจากเป็นผู้ช่วยตากล้อง ร่ำเรียนวิชาจาก Eiji Tsuburaya, Hiromitsu Karasawa และ Kenzo Sakai ก่อนแจ้งเกิดผลงาน Rashōmon (1950), Ugetsu (1953), Sansho the Bailiff (1954), Enjō (1958), Floating Weeds (1959), Odd Obsession (1959), Yojimbo (1961), Tokyo Olympiad (1965), แฟนไชร์ Zatoichi , Silence (1971), Ballad of Orin (1977) ฯ
โปรดักชั่นงานสร้างของ Silence (1971) อาจเทียบไม่ได้กับฉบับสร้างใหม่ของ Hollywood แต่ตากล้อง Miyagawa เลื่องชื่อในการถ่ายภาพทิวทัศน์ ขุนเขา-ท้องฟ้า-มหาสมุทร สวยโคตรๆอันดับต้นๆของญี่ปุ่น โดยไม่ใช้ลูกเล่นภาพยนตร์ใดๆ เพียงจัดวางตำแหน่ง ทิศทางมุมกล้อง และแสงธรรมชาติ สร้างสัมผัสยิ่งใหญ่เกินกว่ามนุษย์ต่อต้านทาน
ผมรู้สึกว่าหนังใช้ประโยชน์จากอัตราส่วนภาพ Academy Ratio (1.37:1) ได้อย่างน่าสนใจ มันอาจไม่ดูอลังการงานสร้างเทียบเท่ากับ Anamorphic Widescreen (2.39:1) แต่เหมาะสำหรับหน้าผา ขุนเขาสูงใหญ่ ราวกับกำแพงธรรมชาติที่มิอาจพังทลาย (=ความล้มเหลวของศาสนาคริสต์ที่ไม่สามารถแทรกซึมเข้ามาในญี่ปุ่นช่วงศตวรรษที่ 17th)
ใครเคยรับชม Assassination (1964) ก็น่าจะมักคุ้นกับการอารัมบทยาวๆ เล่าประวัติศาสตร์โดยย่อตั้งแต่การมาถึงของคณะเยสุอิต สร้างความหวาดระแวงให้รัฐบาลเอโดะ กลัวการสูญเสียอำนาจ จนออกประกาศสั่งแบนคริสต์ศาสนา กำจัดศัตรู/ผู้หลบซ่อนให้พ้นภัยทาง



สองบาทหลวงนั่งสนทนาอยู่ภายนอก ฟากฝั่งหนึ่งพบเห็นเกาะแก่ง มหาสมุทร มันอาจไม่ใช่หนองบึง (Swamp) แต่ผมรู้สึกว่าภาพช็อตนี้ใกล้เคียงที่สุดจะพรรณาถึงประเทศญี่ปุ่นในมุมมองชาวต่างชาติ/คริสเตียนช่วงศตวรรษที่ 17th
This country is a swamp. A swamp more terrible than we considered. A swamp where any seedling planted rots. The leaves wither and the plant dies.
Lord Chuan Sawano aka. Cristóvão Ferreira
ส่วนอีกฟากฝั่งตรงกันข้ามพบเห็นทิวเขาสูงใหญ่ ใครบางคนแอบจับจ้องมองลงมา แม้ภายหลังจะเปิดเผยคือหนึ่งในชาวบ้านนับถือศาสนาคริสต์ แต่เราสามารถตีความเทือกเขา = กำแพงสูงชันที่ปกป้องดินแดนแห่งนี้ คอยแบ่งแยก กีดกันไม่ให้ชาวต่างชาติ/คริสเตียนเข้ามาเผยแพร่ศาสนา
ปล. ช่วงแรกๆของหนังที่สองบาทหลวงเดินทางไปเผยแพร่ศาสนายังหมู่บ้านต่างๆ สังเกตว่าดินแดนเหล่านั้นล้วนอยู่ชายขอบ ติดทะเล ห่างไกลจากใจกลางของประเทศญี่ปุ่น


บาทหลวง Rodrigues ตัดสินใจออกเดินทางร่อนเร่ เตร็ดเตร่ ไม่ต้องการสร้างภาระให้กับชาวบ้านชาวช่อง แต่สถานที่ที่เขาพานผ่านนั้นล้วนอยู่ติดทะเล โขดหิน หน้าผาสูงชัน (กำแพงทางธรรมชาติที่เขาไม่สามารถข้ามผ่าน) ก่อนพบเจอกับ Kichijiro เสวยอาหารค่ำมื้อสุดท้าย (Last Supper) แล้วพอเดินเลียบชายหาด เสียงคลื่นซัดหาดทรายช่างดังกระหึ่ม (=สิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถต่อต้านทาน) ก่อนถูกทรยศหักหลัง
ตัวละคร Kichijiro (รับบทโดย Mako Iwamatsu) มักถูกเปรียบเทียบกับ Judas Iscariot มองผิวเผินเหมือนคนกลับกลอก นกสองหัว ปากอ้างว่ามีความเชื่อศรัทธา แต่กลับทรยศหักหลังใครต่อใคร ถึงอย่างนั้นเราไม่ควรด่วนตัดสินชายคนนี้ เหตุผลเดียวกับตอนบาทหลวง Rodrigues ย่ำเหยียบ Fumi-e … ใครต่อใครมักมองว่า Judas คือคนทรยศหักหลังพระเยซู แต่นั่นคือสิ่งที่พระองค์ทรงรับรู้และยินยอมให้เพื่อ “the Scripture would be fulfilled” (John 13:18)


บาทหลวง Rodrigues ถูกตรึงแขนสองข้าง แล้วออกเดินทางไปพิจารณาคดีความยัง Nagasaki พานผ่านฝูงชนมากมาย นี่มันช่างละม้ายคล้ายพระทรมานของพระเยซู (Passion of Jesus) ที่ต้องอดรนทนต่อความทุกข์ทรมานทั้งทางร่างกายและทางจิตใจ เพื่อจ่ายค่าไถ่บาปของมนุษย์ และมอบโอกาสที่จะได้รับชีวิตนิรันดร์แก่ทุกคนที่เชื่อในพระองค์

ชะตากรรมของ Kichijiro หลังขาย Rodrigues ให้กับทางการ ก็ไม่แตกต่างจาก Judas คือเกิดความรู้สึกผิดอย่างรุนแรง นำเงินไปปรนเปรอโสเภณี แต่สิ่งที่เขาขอให้เธอทำคือพ่นน้ำลายใส่หน้า (ย้อนรอยกับการพ่นน้ำลายใส่ Fumi-e) ทั้งยังพยายามไปป่าวประกาศต่อหน้าศาลว่าตนเองนับถือศาสนาคริสต์ แต่ท้ายที่สุดไม่มีใครเหลียวแล
หนังฉบับนี้จบลงอย่างไม่รับรู้โชคชะตาของ Kichijiro แต่ต้นฉบับนวนิยาย เขาพยายามติดตามหา Rodrigues ที่แม้ละทอดทิ้งพระเจ้าไปแล้ว ก็ยังยินยอมยกโทษให้อภัย เติมเต็มหน้าที่ตนเองในฐานะ(อดีต)บาทหลวง ตามคำสอนของพระคริสต์

Fumi-e (踏み絵) แปลว่า Stepping-on Image/Picture ซึ่งมักเป็นรูปพระเยซู หรือพระแม่มารี โดยรัฐบาลเอโดะออกคำสั่งให้บุคคลต้องสงสัยว่าคือคริสตชน (Kakure Kirishitan) พ่นน้ำลาย และย่ำเหยียบรูปดังกล่าว แสดงออกในเชิงสัญลักษณ์ว่าไม่ได้มีความเชื่อศรัทธา ใครไม่ปฏิบัติตามจักถูกทัณฑ์ทรมาน เลวร้ายก็ถึงขั้นประหารชีวิต
นี่คือสิ่งที่คนสมัยก่อน (รวมถึงหลายๆคนในปัจจุบัน) ไม่ว่าจะศาสนาไหน ไม่เข้าใจว่านี่เป็นแค่วัตถุ สิ่งข้าวของชิ้นหนึ่ง ผมคุ้นๆว่าบัญญัติสิบประการของโมเสกมีข้อห้ามทำรูปเคารพสำหรับตน แต่เพราะคนสมัยใหม่หมกมุ่นในวัตถุนิยม จึงสร้างสิ่งสำหรับใช้เป็นยึดเหนี่ยวทางใจ เลยเกิดความหมกมุ่น ว่านี่คือสัญลักษณ์ของพระคริสต์ พระเจ้า ไม่สมควรถูกย่ำเหยียบ … ถ้าย่ำเหยียบแล้วหมดสูญสิ้นศรัทธา นั่นแปลว่าคุณไม่ได้มีความเชื่อ/เข้าใจในพระศาสนาสักเท่าไหร่! … พุทธก็เฉกเช่นเดียวกันนะครับ


ถ้าผมจำไม่ผิดฉบับสร้างใหม่ของ Marty บาทหลวง Garupe (นำแสดงโดย Adam Driver) น่าจะแค่จมน้ำเสียชีวิตขณะพยายามจะช่วยเหลือชาวคริสเตียนที่ถูกถ่วงน้ำ สื่อถึงการยินยอมเสียสละตนเอง(จนตัวตาย)เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น, แต่หนังฉบับนี้เขาถูกซามูไรทิ่มแทง ราวกับต้องการสื่อถึงการขับไล่ ผลักไส ชาวต่างชาติไม่ได้รับอนุญาตให้มีส่วนร่วม … รายละเอียดเล็กๆนี้ ทำให้การตีความผิดแผกแตกต่างตรงกันข้ามเลยเชียว!

การพบเจออดีตบาทหลวง Cristóvão Ferreira สภาพของอีกฝ่ายสร้างความตกตะลึง คาดไม่ถึง ดูแก่หงักลงหลายปี ขณะนั้นเปลี่ยนชื่อเป็น Lord Chuan Sawano ละทอดทิ้งพระศาสนา สร้างความผิดหวังให้กับ Rodrigues รับไม่ได้ เสาประตูคั่นแบ่งทั้งสองออกจากกัน
หลายคนอาจจะไม่พึงพอใจที่หนังคัดเลือกนักแสดง Ferreira เป็นชาวญี่ปุ่น (รับบทโดย Tetsurō Tamba) แต่มันก็ทำความเข้าใจไม่ยากเลยนะ เป็นการต้องการสื่อว่าบาทหลวงคนนี้ได้ละทอดทิ้งพระเจ้า เปลี่ยนแปลงศาสนา แถมยังได้ชื่อญี่ปุ่น Lord Chuan Sawano ใช้นักแสดงชาวญี่ปุ่นมา Whitewashing นั่นคือสิ่งที่พวกอเมริกันทำอยู่เป็นประจำ
ผมคงไม่ลงรายละเอียดการเดินไปเดินมาของ Ferreira แต่ช็อตสุดท้ายระหว่างการสนทนาครั้งนี้มีการปรับโฟกัสใกล้-ไกล จากใบหน้าอดีตบาทหลวง กลายมาเป็นพระพุทธรูปด้านหลัง มองผิวเผินมันเหมือนว่าเขาเปลี่ยนมานับถือพุทธศาสนา แต่น้ำเสียงที่แหกปากตะโกนออกมา ผมรู้สึกว่ามันคือถ้อยคำแดกดัน ประชดประชัน ระบายอารมณ์อัดอั้น กล้ำกลืนฝืนพูดออกมาเสียมากกว่า (การปรับโฟกัสหน้า-หลัง สำหรับผมรู้สึกเหมือนพระพุทธแสดงความไม่พึงพอใจ)


การทัณฑ์ทรมานนี้มีคือชื่อว่า 穴吊るし อ่านว่า Ana-Tsurushi หรือ Anazuri แปลตรงตัว Hole Hanging เห็นว่าครุ่นคิดมาสำหรับทรมานชาวคริสเตียนในศตวรรษที่ 17th โดยเฉพาะ ด้วยการมัดมือมัดเท้า ห้อยศีรษะลงในหลุมอุจจาระ จุดประสงค์เพื่อ “Break their Resolve” จนกว่าจะยินยอมละทิ้งความเชื่อในพระเจ้า ประมาณการว่ามีผู้เสียชีวิตจากวิธีการนี้กว่า 2,000+ คน!

เมื่อตอนที่ Rodrigues ย่ำเหยียบ Fumi-e ต้นฉบับนวนิยาย(และภาพยนตร์ของ Marty) จะได้ยินเสียงไก่ขัน เพื่ออ้างอิงถึงการปฏิเสธของ Saint Peter (Denial of Peter) ที่พระเยซูเคยทำนายทายทักไว้ว่า Saint Peter จะปฏิเสธตนเองสามครั้งก่อนไก่ขันสองครั้งยามย่ำรุ่ง … แต่หนังเรื่องนี้เปลี่ยนจากเสียงไก่ขัน มาเป็นเสียงกรีดกรายของเครื่องสาย ตามสไตล์ Avant-Garde ของ Tōru Takemitsu สื่อแทนความเจ็บปวดรวดร้าวทรวงใน
ระหว่างที่ Rodrigues จะย่ำเหยียบ Fumi-e มีการตัดภาพสลับไปมากับ Lord Chuan Sawano หรืออดีตบาทหลวง Cristóvão Ferreira ยืนพิงฝาผนังตรงข้อความที่เจ้าตัวเคยแกะสลักเอาไว้ Laudate Eum ภาษาละติน แปลว่า จงสรรเสริญพระองค์ … นี่ก็แอบบอกใบ้ว่าอดีตบาทหลวง Ferreira ยังคงอุทิศจิตวิญญาณให้พระเป็นเจ้าไม่เสื่อมคลาย


ผมอ่านเจอว่าผู้แต่ง Shūsaku Endō ไม่ค่อยชอบตอนจบของหนังสักเท่าไหร่ ผกก. Shinoda ตีความว่าหลังจาก Rodrigues สูญเสียความเชื่อศรัทธาศาสนา ก็ได้แปรสภาพกลายเป็นเหมือนสัตว์เดรัจฉาน ถูกกักขังในกรง ถาโถมเข้าใส่หญิงสาว/ภรรยาของอดีต Sanemon Okada ช็อตสุดท้ายของการร้อยเรียงชุดภาพนิ่ง ราวกับจะส่งเสียงกรีดร้องลั่นออกมา แต่ภาพนิ่งมันคือความเงียบงัน (Silence)


ตัดต่อไม่มีเครดิต (อาจจะเป็นผกก. Shinoda) ปรากฎเพียงชื่อผู้ช่วยตัดต่อ Shikako Takahashi (แบบเดียวกันเป๊ะกับ Double Suicide (1969))
หนังดำเนินเรื่องผ่านมุมมองของคณะเยสุอิต Sebastião Rodrigues เดินทางสู่ญี่ปุ่นเพื่อมาเผยแพร่ศาสนา และออกติดตามหาบาทหลวง Cristóvão Ferreira ช่วงครึ่งแรกพบปะคริสตชน (Kakure Kirishitan) ที่หลบๆซ่อนๆอยู่ตามหมู่บ้านบนภูเขา กระทั่งถูกทรยศหักหลังโดย Kichijiro โดนจับกุม คุมขัง ก่อนได้พบเจออดีตบาทหลวง Ferreira ที่ละทิ้งความเชื่อในพระเจ้า พยายามโน้มน้าวให้เขาทำในสิ่งเดียวกัน
- อารัมบท บรรยายเหตุการณ์พื้นหลัง
- การมาถึงของคณะเยสุอิต Sebastião Rodrigues
- Rodrigues & Garupe แอบขึ้นฝั่งประเทศญี่ปุ่น แล้วมาหลบซ่อนตัวยังหมู่บ้านแห่งหนึ่ง
- สองบาทหลวงทำพิธีมิสซาให้กับชาวบ้านเหล่านั้น
- วันถัดมาบาทหลวงทั้งสองถูกพบเห็นโดยชาวบ้านอีกหมู่บ้าน พวกเขาเดินทางมาขอพึ่งใบบุญพระศาสนา
- สองบาทหลวงออกเดินทางไปเยี่ยมเยียนชาวบ้านจากหมู่บ้านอื่นๆ
- ระหว่างทางกลับ ทางการแวะเวียนมายังหมู่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านเลยโดนจับกุม
- ทางการบีบบังคับให้ผู้ต้องสงสัยย่ำเหยียบ Fumi-e ใครไม่ทำตามจะถูกนำไปถ่วงน้ำ
- Kichijiro ช่างไม่ต่างจาก Judas Iscariot
- Rodrigues ตัดสินใจออกเดินทาง/แยกทางกับ Garupe แล้วมาพบเจอกับ Kichijiro
- Kichijiro สารภาพผิดว่าทำไปเพื่อเงิน ก่อนที่ Rodrigues จะถูกจับกุมตัว
- Rodrigues ถูกส่งตัวไปยัง Nagasaki เพื่อรับการไต่สวน
- Kichijiro นำเงินที่ได้จากการทรยศ Rodrigues มาปรนเปรอโสเภณี
- Rodrigues พบเห็นชาวคริสเตียนถูกทัณฑ์ทรมาน บีบบังคับให้ย่ำเหยียบ Fumi-e ใครไม่ทำตามก็ฆ่าปิดปาก
- Rodrigues สนทนาธรรมกับ Lord Inoue
- Rodrigues พบเจอกับ Garupe ที่พยายามให้ความช่วยเหลือชาวคริสเตียนที่ถูกถ่วงน้ำ แต่กลับถูกฆ่าให้ตาย
- Lord Chuan Sawano
- Rodrigues ได้พบเจอกับ Lord Chuan Sawano หรือก็คืออดีตบาทหลวง Cristóvão Ferreira ที่ละทิ้งความเชื่อในพระเจ้า พยายามโน้มน้าวให้เขาทำในสิ่งเดียวกัน
- Rodrigues ถูกทรมานด้วยวิธีการห้อยศีรษะลงหลุม (Ana-tsurushi) แต่แค่ไม่นาทีก็แทบมิอาจอดรนทน
- สุดท้ายแล้ว Rodrigues จำใจย่ำเหยียบ Fumi-e
- เปลี่ยนชื่อแซ่เป็น Sanemon Okada และร่วมรักกับ Kiku (อดีตภรรยาของ Sanemon Okada)
เพลงประกอบโดย Tōru Takemitsu, 武満 徹 (1930-96) คีตกวีสัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Hongō, Tokyo ก่อนย้ายไปเติบโตยัง Dalian, Liaoning (ประเทศจีน) ถูกบังคับเกณฑ์ทหารตั้งแต่อายุ 14 แม้ได้รับประสบการณ์อันขมขื่น แต่ทำให้มีโอกาสรับฟังเพลงตะวันตก, หลังสงครามโลกกลับมาญี่ปุ่น ทำงานในกองทัพสหรัฐ (ที่เข้ามายึดครองชั่วคราว) แม้ไม่เคยฝึกฝนการเล่นดนตรี แต่เริ่มแต่งเพลงเมื่ออายุ 16 โอบรับแนวคิดเครื่องดนตรีไฟฟ้า แนวทดลอง สไตล์ Avant-Garde ร่วมก่อตั้งกลุ่ม Experimental Workshop (実験工房 อ่านว่า Jikken Kōbō) ที่พยายามผสมผสานไม่ใช่แค่ดนตรี แต่ยังสรรพเสียง และศิลปะแขนงอื่นๆคลุกเคล้าเข้าด้วยกัน ทำให้มีโอกาสรับรู้จัก Kōbō Abe และ Hiroshi Teshigahara ที่ต่างก็แนวคิดทิศทางเดียวกัน โด่งดังกับระดับนานาชาติกับผลงาน Requiem for String Orchestra (1957), ทำเพลงประกอบภาพยนตร์มากมายนับไม่ถ้วน Harakiri (1962), Pitfall (1962), Pale Flower (1964), Kwaidan (1964), Woman in the Dunes (1964), The Koumiko Mystery (1965), The Face of Another (1966), Samurai Rebellion (1967), Scattered Cloud (1967), Double Suicide (1969), Dodes’ka-den (1970), Under the Blossoming Cherry Trees (1975), Ballad of Orin (1977), Empire of Passion (1978), Ran (1985), Black Rain (1989) ฯ
ไม่มีใครทำเพลงประกอบที่แปลกประหลาดไปกว่า Takemitsu เสียงกีตาร์บรรเลงท่วงทำนองไพเราะอยู่ดีๆ (ตัวแทนชาติตะวันตก/คณะเยสุอิต) จู่ๆเหมือนหงุดหงิด อารมณ์เสีย ดีดพิณมั่วๆ ใส่เสียงอะไรก็ไม่รู้ดังขึ้นมาขัดจังหวะความลื่นไหล สร้างสัมผัสอันตราย บรรยากาศญี่ปุ่นช่วงศตวรรษที่ 17th ช่างไม่เป็นมิตรต่อบุคคลภายนอก คณะเยสุอิตไม่สามารถเข้ามาเผยแพร่ศาสนาได้อย่างสันติ
งานเพลงของ Takemitsu คอยสรรหาสรรพเสียงอะไรก็ไม่รู้ (ทั้งเครื่องดนตรีพื้นบ้านญี่ปุ่น และสากลตะวันตก) มาแทรกแซมตรงโน้นนิด ตรงนี้หน่อย บางครั้งผสมผสานเข้ากับ/หรือทำตัวเหมือนเสียงประกอบ (Sound Effect) ดังขึ้นแล้วดับไปตลอดทั้งเรื่อง เพื่อสร้างสัมผัสอันตราย ดินแดนโฉดชั่วร้าย บ้านป่าเมืองเถื่อน บรรยากาศไม่เป็นมิตรต่อคณะเยสุอิต บาทหลวงจึงจำต้องอดรนทนทุกข์ทรมาน (แบบเดียวกับ Passion of Jesus) จนกว่าจะยินยอมรับความพ่ายแพ้
ปล. ผมรู้สึกว่าผกก. Scorsese รับรู้ตัวเองดีว่าไม่สามารถสรรหาเพลงประกอบให้กับ Silence (2016) ได้ยอดเยี่ยมกว่า Takemitsu จะเอาออร์เคสตราหรือเพลงพื้นบ้านญี่ปุ่นมายัดใส่ก็ธรรมดาเดินไป ด้วยเหตุนี้เขาจึงเลือกใช้เสียงธรรมชาติ (Ambient music) สร้างสัมผัส Natural Soundscape ทำในสิ่งแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง!
Silence (1971) นำเสนอความพยายามของทหารของพระคริสต์ (เยสุอิต) ที่จะเข้ามาเผยแพร่ศาสนาในประเทศญี่ปุ่น แต่ทว่ารัฐบาลเอโดะ (Tokugawa Shogunate) กลับปิดกั้น สั่งแบนคริสต์ศาสนาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1614 เพราะไม่ต้องการให้อิทธิพล(ศาสนา)จากชาติตะวันตก เข้ามาบ่อนทำลายอำนาจการปกครองของตนเอง จึงโต้ตอบด้วยวิธีรุนแรง กำจัดผู้หลบซ่อน (Kakure Kirishitan) บีบบังคับให้บาทหลวงที่ลักลอบเข้ามาละทิ้งความเชื่อในพระเจ้า
ต้นฉบับนวนิยายของ Shūsaku Endō และฉบับภาพยนตร์ของผกก. Scorsese ต่างมีความเป้าหมายเกี่ยวกับการพิสูจน์ความเชื่อศรัทธา บาทหลวง Sebastião Rodrigues ได้ยินพระวจนะของพระคริสต์บอกให้ย่ำเหยียบ Fumi-e แล้วอธิบายว่าไม่มีใครไหน/สิ่งใดสามารถเปลี่ยนแปลงศรัทธาทางจิตวิญญาณ พระเจ้าสิงสถิตในตัวท่าน … เป็นหนังสือ/ภาพยนตร์ชวนเชื่อที่ชาวคริสเตียน รับชมแล้วจักบังเกิดความฮึกเหิม กำลังใจ บังเกิดความเชื่อมั่นศรัทธาในพระเป็นเจ้า
แต่ความสนใจของผกก. Shinoda ไม่ใช่เรื่องความเชื่อ-ศรัทธา-ศาสนา ต้องการนำเสนอความลุ่มหลงในอำนาจของชนชั้นผู้นำ(ญี่ปุ่น) ปิดกั้นอิทธิพลจากโลกภายนอก ใครไม่ใช่พวกพ้องย่อมคือศัตรู พร้อมกำจัดบุคคลครุ่นคิดเห็นแตกต่างให้พ้นภัยทาง
In my films, I have tried to show the present through the past and history, coming around to the truth that all Japanese culture flows from imperialism and the emperor system. What characterizes Japan is the imposition upon the people of absolute power and authority without the right to question and debate… I find, however, that politics leads to nothing, and that power politics remain empty.
Masahiro Shinoda
Assassination (1964), Silence (1971), Himiko (1974) ผมไม่แน่ใจว่ามีเรื่องอื่นอีกไหมที่ผกก. Shinoda ใช้การนำเสนอประวัติศาสตร์/เหตุการณ์ในอดีต สามารถสะท้อนเข้ากับบรรยากาศสังคม-การเมืองญี่ปุ่นยุคสมัยนั้น ซึ่งยังพอดิบพอดีกับการมาถึงของสงครามเย็น (Cold War) ทั่วโลกมีการแบ่งฝั่งฝ่ายประชาธิปไตย(สหรัฐอเมริกา) vs. คอมมิวนิสต์ (สหภาพโซเวียต) ใครไม่ใช่พวกพ้องย่อมคือศัตรู พร้อมกำจัดบุคคลครุ่นคิดเห็นแตกต่างให้พ้นภัยทาง
ผมบังเอิญพบเจอว่าผู้แต่ง ในตอนแรกตั้งชื่อนวนิยาย 日向の匂い อ่านว่า Hinata no nioi แปลตรงตัวก็คือ The Smell of Sunlight หรือ The Scent of the Sun แต่ชื่อเกี่ยวกับกลิ่นมันไม่น่าจะขายได้สักเท่าไหร่ บรรณาธิการจึงแนะนำให้เปลี่ยนมาเป็น Silence เพื่อสื่อถึงความเงียบงันของพระเจ้า (Silence of God) สำหรับท้าพิสูจน์ความเชื่อศรัทธา
สำหรับความหมายของ Silence ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ยังสามารถสื่อถึงการไม่สามารถปริปาก-โต้ตอบ-แสดงออกของประชาชน เพราะถูกชนชั้นผู้นำกดขี่ข่มเหง บีบบังคับให้ทำโน่นนี่นั่น ใครกระทำสิ่งต่อต้าน/ครุ่นคิดเห็นแตกต่าง ย่อมต้องถูกฆ่าปิดปาก … หรือก็คือรัฐบาลญี่ปุ่นปกครองประเทศด้วยการปิดปากประชาชน ไม่ให้สามารถลุกขึ้นมาโต้ตอบ เพียงเสียงกรีดร้องทางจิตวิญญาณ
เมื่อตอนออกฉาย แม้เสียงตอบรับจากนักวิจารณ์จะชื่นชมกันอย่างล้นหลาม แต่แฟนๆนวนิยายของ Shūsaku Endō ต่างสาดเทสี โจมตีอย่างหนัก เพราะมีความเปลี่ยนแปลงจากต้นฉบับไปพอสมควร … ขนาดว่าตัวของผู้แต่ง Endō ก็ไม่ชอบภาพยนตร์ดัดแปลงนี้สักเท่าไหร่
แต่ถึงอย่างนั้นหนังยังได้รับการโหวตจากนิตยสาร Kinema Junpo ติดอันดับ #2 ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแห่งปี ค.ศ. 1971 (เป็นรองเพียง The Ceremony ของ Nagisa Ôshima) และยังสามารถกวาดรางวัล Mainichi Film Concours มาอีกสี่สาขา
- Best Film
- Best Director
- Best Sound Recording
- Best Film Score

ปัจจุบันหนังได้รับการบูรณะเรียบร้อยแล้ว คุณภาพคมชัดกริบ แทบจะไร้ตำหนิ (หนังได้ลัดคิวเพราะฉบับสร้างใหม่แน่ๆ) แต่ผมแอบงงกับคำอธิบายหลังแผ่น “restored high-definition Toho transfer” สำหรับคนสนใจแผ่นสะสม มีฉบับของ Eureka! ในคอลเลคชั่น Masters of Cinema (ไม่แน่ใจว่ามี Blu-Ray หรือยัง) และขอแนะนำ Blu-Ray ของค่าย Carlotta Films (ฝรั่งเศส) หน้าปกใช้รูปคลื่น Hokusai: The Great Wave off Kanagawa สวยงาม น่าซื้อเก็บมากๆ
แซว: แอบแปลกใจเล็กๆที่มันไม่มี Boxset รวมหนังทั้งสองฉบับ … สงสัยไปว่ามันคนละค่าย!
จริงอยู่ว่าโปรดักชั่นงานสร้าง Hollywood ทุนหนา Passion โปรเจคของผกก. Scorsese ย่อมต้องละเมียดละไม ตั้งอกตั้งใจ อลังการงานสร้าง มีความเป็นส่วนตัวกว่า, แต่ผมรู้สึกว่า Silence (1971) ของผกก. Shinoda ทำออกมาได้ลุ่มลึกล้ำ สะท้อนปัญหาสังคม เนื้อหาสาระดูน่าสนใจกว่าหลายเท่าตัว
แต่มันก็ขึ้นกับความชื่นชอบส่วนบุคคลนะครับ ใครเคยอ่านต้นฉบับนวนิยาย นับถือศาสนาคริสต์ ก็น่าจะเอนเองไปฉบับของ Marty, ส่วนชาวญี่ปุ่น พุทธศาสนิกชน น่าจะชอบพอฉบับของ Shinoda มากกว่า
จัดเรต 18+ ความรุนแรงที่เกิดจากความเห็นต่างทางศาสนา
Leave a Reply