Gates of Heaven

Gates of Heaven (1978) hollywood : Errol Morris ♥♥♥♥

สารคดีเกี่ยวกับธุรกิจสุสานสัตว์เลี้ยง (Pet Cemetery) แม้มีเพียงบทสัมภาษณ์ พูดเล่าแนวคิด แรงบันดาลใจ แต่คุยไปคุยมากลับเคลือบแฝงปรัชญาชีวิต ตลกดี-ตลกร้าย ท้าทายความคิดและจิตวิญญาณ … และเป็นเหตุให้ Werner Herzog ต้องกินรองเท้าตนเอง!

ด้วยความที่ Errol Morris เพิ่งเรียนจบใหม่ ไม่มีเงินทุน ไม่มีใครเชื่อในวิสัยทัศน์ พร่ำบ่นความยุ่งยากลำบากในการสร้างภาพยนตร์กับ Werner Herzog จึงพยายามท้าทาย พูดให้กำลังใจ “Stop complaining”, “I’ll eat the shoes … the day I see your film”

As a young man Errol had great talent as a cellist, but he suddenly abandoned the instrument, and dropped his book project after collecting thousands of pages of conversations with serial killers. Then he said he wanted to make a film, but complained about how difficult it was to find money from producers and that all the subsidies had dried up. I made it clear that when it comes to filmmaking, money isn’t important, that the intensity of your wishes and faith alone are the deciding factors. “Stop complaining about the stupidity of producers. Just start with a roll of raw stock tomorrow,” I told him. “I’ll eat the shoes I’m wearing the day I see your film for the first time.

Werner Herzog

ประเด็นคือ Morris จดจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่า Herzog เคยท้าทายอะไรแบบนั้น และนั่นไม่ใช่แรงผลักดันที่ช่วยให้เขารังสรรค์โปรเจคนี้จนสำเร็จ พอสารคดีกำลังออกฉายพยายามโน้มน้าวไม่ให้อีกฝ่ายกินรองเท้าจริงๆ … ทีแรก Morris จะปรากฎตัวในสารคดีสั้น Werner Herzog Eats His Shoe (1980) แต่ทว่าเครื่องบินล่าช้าเลยมาไม่ทันตอนถ่ายทำ

แวบแรกที่ผมเห็นชื่อ Gates of Heaven (1978) จำสลับกับ Heaven’s Gate (1980) ของผกก. Michael Cimino แต่พอเลื่อนผ่านๆเห็นว่านักวิจารณ์ Roger Ebert ยกให้เป็น Great Movie เลยเกิดความฉงนสงสัย เพิ่งตระหนักได้ว่ามันคนละเรื่องกัน!

I have seen this film perhaps 30 times, and am still not anywhere near the bottom of it: All I know is, it’s about a lot more than pet cemeteries.

นักวิจารณ์ Roger Ebert ให้คะแนน 4/4 พร้อมจัดเป็น Great Movie

Gates of Heaven (1978) เป็นสารคดีที่เริ่มต้นจากการพูดคุยถึงธุรกิจสุสานสัตว์เลี้ยง (Pet Cemetery) แต่ทว่าหัวข้อสนทนากลับค่อยๆวิวัฒนาการ ชักชวนผู้ชมตั้งคำถามความแตกต่างระหว่างมนุษย์-สัตว์เลี้ยง ชีวิต-ความตาย ธุรกิจประสบความสำเร็จ-ล้มเหลว ประตูสู่สรวงสวรรค์-ขุมนรก … คือสารคดีมันมีรายละเอียดมากมาย ท้าทายความครุ่นคิด (Thought-Provoking) สามารถต่อยอดตั้งคำถามได้ไม่รู้จบ

และแม้ตลอดทั้งเรื่องจะมีเพียงบทสัมภาษณ์ แต่ความน่าสนใจคือวิสัยทัศน์ ลีลาการนำเสนอ แทบทั้งหมดถ่ายหน้าตรง กล้องไม่ขยับเคลื่อนไหว นานๆครั้งถึงแทรกใส่ภาพประกอบคำบรรยาย มันช่างดูแปลกประหลาด ตรงไปตรงมา คือเทคนิคที่ผกก. Morris เชื่อว่าจะทำให้ผู้สัมภาษณ์พูดบอกความจริงออกมา

If you use available light and you use handheld camera and you don’t move anything into or out the frame. The truth will emerge kind of an epistemological meat grinder. You just add the appropriate ingredients and truth result… It’s a pursuit. It’s a quest you investigate. You look. You think. You study in the hope that you can learn something about the world.

Errol Morris

Errol Mark Morris (เกิดปี ค.ศ. 1948) ผู้กำกับสารคดี สัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Hewlett, New York ในครอบครัวเชื้อสาย Jewish มารดาเป็นครูสอนเปียโน แต่วัยเด็กชื่นชอบเล่นเชลโล่ สนิทสนมเพื่อนร่วมชั้น Philip Glass โตขึ้นเข้าเรียนประวัติศาสตร์ University of Wisconsin–Madison จบออกมาทำงานเซลล์แมน ตั้งใจจะศึกษาต่อปริญญาโท วิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์ และปรัชญา แต่เข้าเรียนแล้วไม่ชอบเลยตัดสินใจลาออก

กระทั่งมีโอกาสเป็นสมาชิก Pacific Film Archive คลั่งไคล้หนังนัวร์ ได้แรงบันดาลใจ Psycho (1960) ติดต่อขอสัมภาษณ์ฆาตกรต่อเนื่อง Ed Gein แต่ไม่สามารถหาทุนสร้าง จนมีโอกาสได้รับรู้จักผู้กำกับ Werner Herzog ชักชวนมาร่วมขุดหลุมศพมารดาของ Gein แต่เอาเข้าจริงกลับปอดแหก ไม่มาตามนัด … Herzog เลยนำเหตุการณ์ดังกล่าวมาเป็นแรงบันดาลใจภาพยนตร์ Stroszek (1977)

ต่อมา Herzog มอบเงิน $2,000 เหรียญให้กับ Morris สำหรับเป็นทุนตั้งต้น ออกเดินทางสู่ Vernon, Florida สัมภาษณ์ชาวเมืองเพื่อขุดคุ้ยความลับบางอย่าง แต่พอถูกขู่ฆ่าเลยหยุดยั้งโปรเจคนี้ไว้กลางคัน … ภายหลังผกก. Morris นำฟุตเทจถ่ายทำมาตัดต่อเป็นสารคดีเรื่องที่สอง Vernon, Florida (1981)

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม ค.ศ. 1977, ผกก. Morris เห็นพาดหัวข่าว “450 Dead Pets Going to Napa Valley” บนหน้าหนังสือพิมพ์ San Francisco Chronicle เกี่ยวกับสุสานสัตว์เลี้ยงแห่งหนึ่งถูกเจ้าของไล่ที่ จำต้องย้ายสถานที่ฝังศพใหม่ นั่นคือจุดเริ่มต้น แรงบันดาลใจสารคดี Gates of Heaven

Morris ประสบปัญหาเดิมๆคือเรื่องเงินทุน แต่คราวนี้ได้รับปรึกษาจาก Herzog (นั่นคือจุดเริ่มต้นของการท้าทายกินรองเท้า) แนะนำตากล้อง ให้หยิบยืมอุปกรณ์ถ่ายทำ ส่วนค่าฟีล์มก็รีดไถจากครอบครัว เพื่อนฝูง ประมาณการต้นทุนสูงถึง $125,000 เหรียญ

ด้วยความที่ผกก. Morris มีวิสัยทัศน์ชัดเจนว่าต้องการสัมภาษณ์อะไรยังไ แต่ตากล้องคนแรกแนะนำโดย Herzog ทำปากเก่งด้วยการแนะนำว่าต้องใช้กล้อง Hand Held ส่ายๆสั่นๆ เก็บรายละเอียดโน่นนี่นั่น สร้างความหงุดหงิดรำคาญใจ เลยโดนไล่ออกตั้งแต่วันแรก! ตากล้องคนที่สองก็เช่นกัน! สุดท้ายมาลงเอย Ned Burgess เงียบๆไม่พูดมาก เพียงทำตามคำแนะนำผู้กำกับก็สิ้นเรื่อง!

งานภาพของ Gates of Heaven (1978) มีความเรียบง่าย ตรงไปตรงมา แทบทั้งหมดถ่ายหน้าตรง กล้องไม่มีการขยับเคลื่อนไหว ใช้เพียงแสงสว่างเท่าที่มี คือถ้าอยู่ในห้องก็เพียงโคมไฟ หลอดไฟ ไม่มีติดตั้งไฟเพิ่มเติม ไม่มีฉากหลัก (Backdrop) ไม่มีแผ่นสะท้อนแสง (Reflector) แค่จัดวางองค์ประกอบภาพสวยๆ เพื่อให้ผู้สัมภาษณ์รู้สึกผ่อนคลายในสถานที่ของตนเอง

วิธีการสัมภาษณ์ของผกก. Morris มักตั้งคำถามสั้นๆ แล้วให้อิสระผู้สัมภาษณ์ในการตอบคำถาม อยากคุยโวโอ้อวดอะไรก็ตามสบาย ปล่อยไหลโดยไม่มีการขัดจังหวะใดๆ … สังเกตว่าจะไม่มีการถามคำถามใดๆดังขึ้นมา แต่ผู้ชมสามารถทำความเข้าใจหัวข้อสนทนาได้เอง นั่นช่วยให้สารคดีมีความลื่นไหล ดำเนินไปอย่างเป็นธรรมชาติ ผู้สัมภาษณ์พลั้งเผลอเปิดเผยความลับบางอย่างออกมาโดยไม่ทันตั้งตัว!

ในบางครั้งที่มีการสนทนายาวๆ ถ้าเอาแต่จับจ้องใบหน้าผู้สัมภาษณ์คงเบื่อหน่ายน่าดู ผกก. Morris จึงแทรกใส่ภาพทิวทัศน์ (มักใช้การแพนนิ่ง) วัตถุสิ่งข้าวของ (ร้อยเรียง Montage) ใครกำลังทำอะไรบางอย่าง สำหรับจำลองสถานการณ์ สอดคล้องเข้ากับเรื่องราวขณะนั้นๆ … Gates of Heaven (1978) จะยังไม่ค่อยมีลูกเล่นในส่วนนี้มากนัก กำลังอยู่ในช่วงทดลองผิดลองถูก ต้องรอคอยจนถึง The Thin Blue Line (1988) พัฒนาสไตล์ลายเซ็นต์ถึงจุดสูงสุด

ในบรรดาผู้ให้สัมภาษณ์ทั้งหมด Florence Rasmussen หญิงสูงวัยคนนี้ที่คั่นแบ่งระหว่างสุสานสัตว์เลี้ยงแห่งแรกและสอง ต้องถือว่ามีความน่าสนใจอย่างที่สุด! เพราะทุกเรื่องเล่าของเธอล้วนมีความขัดย้อนแย้งกันเอง ซึ่งมันช่างสอดคล้องเข้ากับจุดเปลี่ยน/จุดตัด (Intersection) ของสารคดี สุสานทั้งสองมีความแตกต่างตรงกันข้ามแทบทุกสิ่งอย่าง!

The centerpiece of the film is an extended monologue spoken by a woman named Florence Rasmussen, who sits in the doorway of her home, overlooking the first pet cemetery. William Faulkner or Mark Twain would have wept with joy to have created such words as fall from her mouth, as she tells the camera the story of her life: She paints the details in quick, vivid sketches, and then contradicts every single thing she says.

นักวิจารณ์ Roger Ebert กล่าวถึงความน่าสนเท่ห์ของหญิงสูงวัยผู้นี้

ตัดต่อโดย Errol Morris, เรื่องราวของสารคดีสามารถแบ่งออกเป็นสององก์ใหญ่ๆ ครึ่งชั่วโมงแรกคือความล้มเหลวในธุรกิจสุสานสัตว์เลี้ยงของ Floyd ‘Mac’ McClure ไม่เชิงว่าถูกทรยศหักหลัง แต่เพราะไม่สามารถทำกำไรคืนหุ้นส่วน เลยถูกล้มเลิกกิจการ เป็นเหตุให้ต้องขนย้ายทุกสิ่งอย่างไปยังสุสานแห่ง Bubbling Well Pet Memorial Park นำเข้าสู่เรื่องราวของ John ‘Cal’ Harberts ร่วมธุรกิจกับบุตรชายสองคน Dan และ Phil

  • Floyd ‘Mac’ McClure และผองพวก
    • Mac เล่าถึงจุดเริ่มต้น แรงบันดาลใจธุรกิจสุสานสัตว์เลี้ยง
    • เริ่มต้นธุรกิจสุสานสัตว์เลี้ยง ร้อยเรียงเรื่องราวของลูกค้าต่างๆ
    • ความขัดแย้งกับหุ้นส่วน เจ้าของพื้นที่ จำต้องขนย้ายทุกสิ่งอย่างออกจากสุสาน
  • พูดคุยกับหญิงสูงวัย  Florence Rasmussen อดีตผู้ดูแลสุสาน Blue Hill Cemetery
  • Bubbling Well Pet Memorial Park
    • John ‘Cal’ Harberts พูดเล่าถึงธุรกิจสุสานสัตว์เลี้ยง
    • เรื่องเล่าบุตรชายคนโต Dan Harberts ขายประกันอยู่หลายปี แล้วหมดไฟการทำงาน เลยตัดสินใจหวนกลับมาช่วยงานบ้าน
    • เรื่องเล่าบุตรชายคนเล็ก Phil Harberts จบบริหารธุรกิจ แต่หางานทำไม่ได้ วันๆเอาแต่สังสรรค์ปาร์ตี้ หลงใหลการเล่นดนตรี หลังถูกสาวอกหักเลยหวนกลับมาช่วยงานที่บ้าน
    • เล่าถึงแผนธุรกิจสุสานสัตว์เลี้ยง
    • พูดคุยปรัชญาชีวิตของแต่ละคน ตั้งคำถามความแตกต่างระหว่างมนุษย์และสัตว์
    • ร้อยเรียงป้ายสุสานสัตว์เลี้ยง

ด้วยความที่สารคดีไม่มีพูดคำถาม ข้อความอธิบาย หรือแม้แต่บอกว่าบุคคลนี้คือใคร-ทำอะไร-ที่ไหน-อย่างไร? บางคนเลยอาจมองเป็นจุดบกพร่อง แต่มันคือสิ่งที่ผู้ชมสามารถรับรู้ได้จากบทสัมภาษณ์ สังเกตรายละเอียดประกอบฉากอยู่แล้ว … นี่ไม่ใช่สารคดีที่แค่รับชมผ่านๆ แล้วพบเห็นสาระข้อคิด ผู้ชมต้องรู้จักขบคิดวิเคราะห์ และเข้าใจภาษาภาพยนตร์อย่างถ่องแท้!


สารคดีเรื่องนี้ไม่มีเพลงประกอบ แต่เพราะงานอดิเรกของ Phil Harberts คือการแต่งเพลง เล่นดนตรี (สัญญะของการปลดปล่อยตนเองจากความตึงเครียด) ผกก. Morris จึงบันทึกภาพการแสดง แทรกใส่เข้ามาสองสามบทเพลง … Phil เคยใฝ่ฝันอยากออกอัลบัมเพลง ชีวิตจริงไม่รู้ทำสำเร็จไหม แต่สารคดีเรื่องนี้ต้องถือว่าสานฝันเป็นจริง

อีกบทเพลงที่ไม่เชิงว่าเป็นบทเพลง หญิงคนหนึ่งพยายามเสี้ยมสอนให้สุนัขร้องเพลง I want my mama. มันทำให้ผมนึกถึงช่อง ‪@TheKiffness‬ ที่โด่งดังจากการมิกซ์เพลงเข้ากับเสียงร้องสรรพสัตว์

เดี๋ยวนะ … ผมฟังไปฟังมาแอบรู้สึกว่า I want my mama มันช่างสอดคล้องเข้ากับเสียงลีดกีตาร์ไฟฟ้าของ Phil Harberts นี่จงใจหรือเปล่าเนี่ย?

จุดเริ่มต้นของการฝังศพ (Burial) สันนิษฐานว่าตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ศพที่มักพบในถ้ำ หรือเพิงผานั้น ก็เพื่อให้ศพอยู่ในที่ที่มีความปลอดภัยจากสิ่งต่างๆ และเชื่อว่าสถานที่ดังกล่าวเป็นที่เชื่อมต่อระหว่างพื้นผิวโลกและใต้ดิน ดังนั้นจึงฝังศพไว้ในถ้ำเพื่อให้คนตายสามารถไปอยู่ในโลกอื่นได้, ศาสนาคริสต์ก็เช่นเดียวกัน ฝังศพเพราะเชื่อว่าคนตายจะฟื้นคืนชีพในวันพิพากษา (Judgement Day) รับการกำเนิดใหม่ในโลกหลังความตาย

แต่ในความเชื่อศาสนาคริสต์ มนุษย์ ≠ สัตว์เลี้ยง, สุสานสัตว์เลี้ยง (Pet Cemetery) จึงถือเป็นธุรกิจที่มีความอ่อนไหว เต็มไปด้วยข้อครหา (Controversy) ทั้งเรื่องกฎหมาย สภาพแวดล้อม ศีลธรรมจรรยา ขัดต่อหลักศาสนา แถมยังเป็นการแสวงหาผลประโยชน์จากความเศร้าโศกเสียใจ

Gates of Heaven (1978) คือสารคดีที่พยายามอธิบายมุมมอง นำเสนอความครุ่นคิดเห็นของกลุ่มคนรักสัตว์ สุสานสัตว์เลี้ยงมีความจำเป็น? ชักชวนให้ตั้งคำถามปรัชญาเกี่ยวกับชีวิต-จิตวิญญาณ มนุษย์กับสัตว์มีความแตกต่างอะไรกัน? สัตว์บางตัวดีกว่ามนุษย์เสียด้วยซ้ำ ซื่อสัตย์ จงรักภักดี ไม่เคยทรยศหักหลังเจ้าของ สามารถเป็นเพื่อนคลายเหงา บางคนรักเท่าลูกหลาน พอพวกมันหมดสิ้นอายุขัย ก็สมควรได้รับตอบแทนอย่างเสมอภาคเท่าเทียม

แน่นอนว่ามุมมองดังกล่าวในสายตาของบุคคลฟากฝั่งตรงกันข้าม ย่อมรู้สึกว่าเป็นเรื่องตลกขบขัน ฟังดูเพ้อเจ้อไร้สาระ ตรรกะเพี้ยนๆ มนุษย์จะเท่าเทียมสัตว์เลี้ยงได้อย่างไร? สุสานสัตว์เลี้ยงคือธุรกิจฉ้อฉล หลอกลวง แสวงหาผลประโยชน์จากกลุ่มคนรักสัตว์ด้วยกันเอง ไม่รู้ตัวเลยหรือไร?

ผมไม่อยากเอามุมมองชาวพุทธ/โลกตะวันออก มาตัดสินถูก-ผิด ดี-ชั่ว เพราะวิธีการฟากฝั่งเราไม่ใช่การฝังแต่คือเผาศพ หรือฌาปนกิจ ไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์ก็เหมือนกันทั้งนั้น … จุดประสงค์ของการฌาปนกิจศพ เพื่อให้ผู้ยังมีชีวิตตระหนักถึงสังขารไม่เที่ยง (อนิจฺจา วต สงฺขารา) ทุกสรรพชีวิตล้วนมีความบังเกิดขึ้นและเสื่อมดับเป็นธรรมดา

สิ่งที่ผกก. Morris พยายามนำเสนออกมานั้น ไม่ได้ต้องการตัดสินฟากฝั่งไหนถูก-ผิด ดี-ชั่ว ให้อิสระผู้ชมขบครุ่นคิดวิเคราะห์ ค้นหาสิ่งซ่อนเร้นในบทสนทนา อากัปกิริยา รวมถึงภาษาภาพยนตร์ จะพบเห็น”ความจริง”ได้มากน้อยเพียงไหน … ตลกดีหรือตลกร้าย ขึ้นอยู่กับตัวคุณเอง!


สารคดีออกฉายรอบปฐมทัศน์ยัง New York Film Festival เสียงตอบรับดียอดเยี่ยม จึงมีโอกาสเดินทางไปฉายหลายๆเทศกาล และได้รับกระแสคัลท์/ใต้ดินติดตามมา

a very, very fine film, and it was made with no money, only guts.

Werner Herzog กล่าวหลังรับชมสารคดี โชว์กินรองเท้า ณ เทศกาล Telluride Film Festival

ปัจจุบัน Gates of Heaven (1978) และ Vernon, Florida (1981) ต่างได้รับการบูรณะ ‘digital restoration’ คุณภาพ 2K ผ่านการควบคุม+อนุมัติโดยผกก. Morris เสร็จสิ้นเมื่อปี ค.ศ. 2015 สามารถหาซื้อ DVD/Blu-Ray รวมอยู่ในแผ่นเดียวกันของค่าย Criterion Collection

เกร็ด: แผ่นของ Criterion ยังรวมเอาสารคดีสั้น Werner Herzog Eats His Shoe (1980) พร้อมฟุตเทจที่ผกก. Werner Herzog บรรยายชื่นชมสารคดีเรื่องนี้ในเทศกาลหนัง Telluride Film Festival (ฉบับเต็มๆที่ไม่ได้ตัดต่อ)

เป็นความบังเอิญล้วนๆที่ผมได้รู้จักสารคดีเรื่องนี้ (ตอนนำ Quote ของนักวิจารณ์ Roger Ebert จากบทความ La Haine (1995)) แล้วมันเกิดแรงดึงดูดบางอย่างที่ทำให้ต้องขบวนขวายหารับชม แล้วก็อึ่งทึ่ง ประทับใจอย่างแรง หลงใหลคลั่งไคล้แนวคิด ลีลาการนำเสนอของผกก. Morris กระตุ้นทั้งความคิดและจิตวิญญาณ เลยว่าจะเขียนถึงอีกสักเรื่องสองเรื่อง

จัดเรตทั่วไป แต่เป็นสารคดีเหมาะสำหรับผู้ใหญ่

คำโปรย | สุสานสัตว์เลี้ยง Gates of Heaven มันคือประตูสู่สรวงสวรรค์หรือขุมนรก? แต่สารคดีเรื่องนี้ได้ทำการกระตุ้นความคิดและจิตวิญญาณ
คุณภาพ | ค์-หรือขุมนรก?
ส่วนตัว | กระตุ้นความคิด

Leave a Reply

avatar

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

  Subscribe  
Notify of
%d bloggers like this: