
Children of the Beehive (1948)
: Hiroshi Shimizu ♥♥♥♥♡
ผลงานมาสเตอร์พีซของผู้กำกับ Hiroshi Shimizu, นำเสนอการผจญภัยของกลุ่มเด็กกำพร้าจากสงคราม (War Orphan) พานผ่านเศษซากปรักหักพังของญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
ช่วงเวลาเดียวกับที่ Roberto Rossellini, Vittorio De Sica ฯ บุกเบิกกลุ่มเคลื่อนไหว Italian Neorealism, ญี่ปุ่นเป็นอีกประเทศพ่ายแพ้สงครามโลก มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกจะมีผู้กำกับสรรค์สร้างภาพยนตร์สัจนิยมใหม่ ออกเดินทางไปบันทึกภาพเศษซากปรักหักพัง รวมถึงวิถีชีวิตผู้คน (ด้วยนักแสดงสมัครเล่น) การต่อสู้ดิ้นรน ความทุกข์ยากลำบากภายหลังสงคราม (Post-War)
ผมไม่ได้อยากจะด้อยค่า Italian Neorealism แต่หลังจากรับชม Children of the Beehive (1948) เกิดความรู้สึกว่าหนังอิตาเลียนในกลุ่มเคลื่อนไหวนั้น มีไม่กี่เรื่องสามารถเทียบความลุ่มลึกล้ำ สัมผัสบทกวี ความมีมนุษยธรรม และเมื่อเด็กๆเดินทางถึง Hiroshima สถานที่ที่ใครๆต่างรับรู้ว่าเคยบังเกิดหายนะอะไร เมืองปรักหักพังอื่นๆอย่าง Rome, Berlin ฯ ย่อมไม่สามารถมอบบรรยากาศหลอกหลอน ขนหัวลุกพอง สั่นสยิวกาย-ใจได้อย่างเท่าเทียม!
คนที่ไล่เรียงรับชมผลงานของผกก. Shimizu มาตั้งแต่ยุคหนังเงียบ (Silent Film) เปลี่ยนผ่านสู่หนังพูด (Talkie) จะรับรู้ว่าเขามักสร้างหนังเวียนวนอยู่สองแนว เกี่ยวกับการเดินทาง (Travels with Hiroshi Shimizu) ไม่ก็เกี่ยวกับเด็กๆ (Children Film) ซึ่งสิ่งบังเกิดขึ้นกับ Children of the Beehive (1948) คือการเอาทั้งสองแนวมาผสมผสาน คลุกเคล้าเข้าด้วยกัน … ผมไม่แน่ใจว่าผกก. Shimizu เคยทำแบบนี้มาก่อนไหม? แต่ผลลัพท์ต้องถือว่าเท่าทวีคูณ!
Hiroshi Shimizu, 清水宏 (1903-66) ผู้กำกับภาพยนตร์ สัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Yamaka, Shizuoka บิดาเป็นพนักงานบริษัทเหมือง Furukawa Mining Company ส่วนมารดาคือทายาทตระกูล Ohashi เจ้าของธุรกิจป่าไม้ ฐานะครอบครัวถือว่าร่ำรวย กินหรูอยู่สบาย แต่บุตรชายไม่ชอบเรียนหนังสือ ทำตัวเป็นนักเลงรีดไถเงินเพื่อนฝูงไปเที่ยวเกอิชา ถูกบังคับให้เข้าศึกษาคณะวนศาสตร์ Hokkaido University ทนอยู่เพียงปีเดียวก็ลาออก เดินทางสู่กรุง Tokyo เข้าร่วมสตูดิโอ Shōchiku ฝึกงานเป็นผู้ช่วยผู้กำกับ Yoshinobu Ikeda สรรค์สร้างภาพยนตร์เรื่องแรกเมื่อปี ค.ศ. 1924 ขณะอายุเพียง 21 ปี!
ช่วงระหว่าง Second Sino-Japanese War (1937-45) ผกก. Shimizu ถูกกดดันอย่างหนักให้สร้างภาพยนตร์ชวนเชื่อ รักชาตินิยม (Patriotic Film) แต่เขาพยายามหลีกเลี่ยง บ่ายเบี่ยง มักหนีไปถ่ายทำหนังต่างจังหวัด จนแล้วจนรอด จนมิอาจอดรนทนแรงกดดันภายนอก เลยตัดสินใจเดินทางสู่ Taiwan เพื่อสรรค์สร้าง Sayon’s Bell (1943) ก่อนถูกไล่ออกจากสตูดิโอ Shōchiku โดยไม่ทราบสาเหตุ
เกร็ด: บ้างว่าผกก. Shimizu ถูกไล่ออกเพราะความเรื่องมาก เผด็จการ (Tyrannical Personality) แต่นั่นเป็นสิ่งที่ฟังไม่ขึ้นสักเท่าไหร่ แนวโน้มน่าจะเพราะสตูดิโอถูกกดดันจากเบื้องบนเสียมากกว่า
หลังจากถูกไล่ออกจากสตูดิโอ ว่ากันว่าผกก. Shimizu ใช้ชีวิตไปๆมาๆระหว่าง Kyoto และ Nara หลังสงครามสิ้นสุดเปิดสถานสงเคราะห์ที่ Mount Atami รับเลี้ยงเด็กกำพร้า (War Orphan) จากนั้นก่อตั้งสตูดิโอโปรดักชั่นของตนเองตั้งชื่อว่า 蜂の巣映画部 อ่านว่า Hachinosu Eiga-bu แปลตรงตัว Beehive Film Club แล้วสร้างภาพยนตร์เรื่องแรก 蜂の巣の子供たち อ่านว่า Hachi no Su no Kodomotachi แปลว่า Children of the Beehive
โดยโปรเจคนี้ผกก. Shimizu ได้รับทุนสนับสนุนจากเจ้าของธุรกิจป่าไม้ย่าน Wakayama (คาดว่าน่าจะเป็นญาติฝั่งมารดา) เลือกใช้นักแสดงสมัครเล่นทั้งหมด ล้วนเป็นเด็กกำพร้าสงครามที่มาจากสถานสงเคราะห์ของตนเอง เพียงตากล้อง และผู้ช่วยผู้กำกับเคยมีประสบการณ์ถ่ายทำภาพยนตร์อยู่บ้าง เลือกเส้นทางสู่ Hiroshima ทุกช็อตฉาก ณ สถานที่จริงทั้งหมด
เรื่องราวของหนังเริ่มต้นที่สถานีรถไฟ Shimonoseki Station (下関駅) กลุ่มเด็กๆกำพร้าพบเจอกับทหารปลดประจำการ หลังจากได้พูดคุย ทำความรู้จัก จับพลัดจับพลูร่วมกันออกเดินทางบนถนนสาย Sanyo Expressway พานผ่านสถานที่ต่างๆ พบปะผู้คน รับจ้างทำงานทั่วไป ก่อนดำเนินมาถึงเมือง Hiroshima
ถ่ายภาพโดย Saburo Furuyama, 古山三郎 ตากล้องในสังกัดสตูดิโอ Beehive Film Club ในเครดิตมีผลงานทั้งหมดสี่เรื่อง Children of the Beehive (1948), At Eighteen a Girl Tells Lies (1949), Children of the Beehive: What Happened Next (1951) และ Children of the Great Buddha (1952)
งานภาพของหนังมีความเป็น ‘สไตล์ Shimizu’ โดยทั่วๆไป ไม่ได้มีลูกเล่นภาพยนตร์ใดๆ แต่โดยไม่รู้ตัวเหมือนเป๊ะกับ (Italian) Neorealist ประกอบด้วยการถ่ายทำยังสถานที่จริง ใช้เพียงแสงธรรมชาติ และนักแสดงสมัครเล่น (เด็กๆจากสถานสงเคราะห์ของผกก. Shimizu)
ความน่าสนใจของ Neorealist คือการเก็บบันทึกภาพทิวทัศน์ และวิถีชีวิตผู้คนในช่วงเวลานั้นๆ ซึ่งช่วงปีที่สร้างหนังเพิ่งพานผ่านสงครามโลกครั้งที่สองมาไม่นาน ญี่ปุ่นหลังพ่ายแพ้สงคราม ถูกยึดครองโดยสหรัฐอเมริกา ยังไม่ได้รับการรับการฟื้นฟูบูรณะ จึงเต็มไปด้วยเศษซากปรักหักพัง แต่ขณะเดียวกันชีวิตก็ยังต้องดำเนินต่อไป
การเดินทางเริ่มต้นที่สถานีรถไฟ Shimonoseki Station จังหวัด Yamaguchi ก่อนเดินทางไปตามถนนสาย Sanyo Expressway (สมัยนั้นยังเป็นดินลูกรัง) พานผ่านสถานที่ต่างๆ มาจนถึงเมือง Hiroshima จากนั้นขึ้นเรือไปยังเกาะแห่งหนึ่ง (ถ้าดูจากแผนที่ก็น่าจะภายใน Hiroshima Bay) ก่อนหวนกลับมา Hiroshima อีกครั้ง … ผมทำแผนที่ไว้คราวๆจากข้อมูลที่หาได้

ภาพยนตร์ที่ทหารปลดประจำการคนนี้กล่าวถึง คำแปลอังกฤษมันอาจผิดเพี้ยนไป จริงๆแล้วคือ Introspection Tower (1941) นี่เป็นอีกผลงานของผกก. Himizu ได้รับคำชื่นชมอย่างล้นหลาม เกี่ยวกับสถานพินิจ/โรงเรียนดัดสันดาน (Reformatory School) อาจจะถือเป็นภาคต้นของ Children of the Beehive (1948) ก็ได้กระมัง
ด้วยความที่ตอนจบของหนัง ทหารปลดประจำการหวนกลับสู่ Introspection Tower นั่นทำให้เราสามารถมองการเดินทางครั้งนี้เป็นการหวนกลับหารากเหง้า จะว่าไปประเทศญี่ปุ่นก็เฉกเช่นเดียวกัน ความพ่ายแพ้สงคราม ทุกสิ่งอย่างราบเรียบเป็นหน้ากลอง ทำให้ต้องเริ่มต้นทุกสิ่งอย่าง นับหนึ่งใหม่อีกครั้ง!
เกร็ด: Introspection Tower (1941) ได้รับการโหวตจากนิตยสาร Kinema Junpo ติดอันดับ #3 ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแห่งปี ค.ศ. 1941

เรื่องราวของพี่สาว Yumiko Natsuki คือการเดินทางคู่ขนานกับคณะของทหารปลดประจำการและเด็กๆกำพร้า เริ่มต้นจากโทรเลขตีกลับ ต่อมากำลังจะขึ้นเรือเดินทางไปทำงาน Taiwan ยังไม่ทันไรหวนกลับ Hiroshima ก่อนพบเจออีกครั้งกลายเป็นโสเภณีขายบริการ
หนังแทบไม่ได้อธิบายว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นกับพี่สาว เพราะมันมีความละเอียดอ่อนเกินจะแทรกใส่เข้ามาในหนังเด็ก แต่ผู้ชมที่เป็นผู้ใหญ่ย่อมตระหนักรับรู้ ครุ่นคิดเข้าใจ โทรเลขตีกลับ ก็เพราะครอบครัวเธอน่าจะไม่มีใครรอดชีวิต, เดินทางสู่ Taiwan แนวโน้มโดนหลอกไปขายตัว, พอหวนกลับมา Hiroshima พอไม่สามารถหาการหางาน เลยจำใจกลายเป็นหญิงขายบริการ (นั่นอาจคือเหตุผลที่เธอฝากน้องชายกับทหารปลดประจำการ)

ชายขาขาดซึ่งเป็นหัวหน้าแก๊งค์เด็กกำพร้า เรียกตัวเด็กชาย Shin มาตำหนิต่อว่าเพราะพลั้งพูดบอกทหารปลดประจำการเรื่องตลาดมืด ยังสถานที่ที่เต็มไปด้วยท่อปูนขนาดใหญ่ ซึ่งช็อตถ่ายจากภายในท่อ แลดูเหมือนโลกกลมๆอันคับแคบ ตรงกับสำนวนไทยกบในกะลา หลังจากนี้พวกเขาจะเริ่มต้นออกเดินทาง ผจญภัยโลกกว้าง


นี่เป็นฉากเล็กๆที่ดูเหมือนใส่เข้ามาเพื่อความตลกขบขัน Shin และ Yoshibo ช่วยกันยกไม้ซุงขนาดใหญ่ แต่พวกเขาตัวเล็กเกินยกไหว จากนั้นจึงลองเปลี่ยนมาเป็นไม้ท่อนเล็ก คงครุ่นคิดว่าหนักไม่แพ้กันเลยออกแรงสุดตัว ปรากฎว่าไม้กระเด็นกระดอน ล้มหัวคะมํา เคลือบแฝงนัยยะถึงการไม่รู้จักประมาณตนเอง เด็กๆขาดประสบการณ์ ยังไม่โตพอจะทำงาน หรือเข้าใจโลกภายนอกด้วยซ้ำ!

คนที่ไม่ทำงานก็ไม่สมควรรับประทานอาหาร! ตรรกะของ Shin ฟังดูไม่ใช่เรื่องผิดอะไร แต่เด็กๆวัยกำลังเติบโต อาหารการกินถือว่ามีความสำคัญ การกระทำของทหารปลดประจำการจึงถูกต้องตามหลักมนุษยธรรม เราไม่ควรเห็นแก่ตัว และรู้จักแบ่งปันให้กับผู้อื่น … นี่คงคือตรรกะของผกก. Shimizu ที่ทำให้เขาเปิดสถานสงเคราะห์รับดูแลเด็กๆกำพร้าสงคราม กระมัง

บ่อยครั้งมักพบเห็นสถานที่ที่มีลักษณะคั่นแบ่งระหว่างฟากฝั่งหนึ่ง กับอีกฟากฝั่งหนึ่ง อาทิ สะพาน ท่าเรือ ทางข้ามรถไฟ ฯ เหล่านี้สามารถสื่อถึงหนทางแยก การพลัดพราก คนสองกลุ่มเลือกทิศทางดำเนินชีวิตแตกต่างกันไป
- ภาพแรกชายขาขาดและเด็กๆกำพร้ายืนอยู่ตรงทางขึ้นสะพาน เฝ้ารอคอยทหารปลดประจำการและเด็กๆกำพร้าอีกกลุ่ม แต่อีกฝ่ายไม่มาสักทีพวกเขาจึงออกเดินข้ามสะพาน
- ชายขาขาดพยายามกวดไล่ทหารปลดประจำการและเด็กๆกำพร้า แต่เขามาไม่ทันทางข้ามขบวนรถไฟ ทำให้ไม่สามารถติดตามทัน เป็นเหตุให้ต้องพลัดพรากจากกัน
- พี่สาว(และ Yoshibo)ขึ้นเรือออกเดินทางสู่ Taiwan โบกมือร่ำลาเด็กๆ ไม่รู้จะมีโอกาสหวนกลับมาพบเจอกันอีกหรือเปล่า



นาเกลือ ถือเป็นอาชีพเชิงสัญลักษณ์ที่น่าสนใจเดียว! จักต้องนำเอาน้ำทะเลมาตากแดดให้ระเหยจนเหลือเพียงเม็ดเกลือ สามารถเปรียบเทียบถึงผลผลิตจากสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อการสู้รบสิ้นสุดหลง (= น้ำทะเลระเหย) สิ่งหลงเหลือก็คือเศษซากปรักหักพัง และเด็กๆกำพร้ากลุ่มนี้ (= เกลือ)

เด็กๆกลุ่มหนึ่งรู้สึกเบื่อหน่ายกับงานนาเกลือ พวกเขาจึงแอบหลบหนี นี่อาจฟังดูเกียจคร้าน สันหลังยาว แต่สถานที่ปลายทางของพวกเขากลับคือโรงเรียน เหมือนต้องการบอกว่าเด็กๆเหล่านี้ยังไม่ใช่ช่วงวัยทำงาน พวกเขาควรมีโอกาสด้านการศึกษา อ่านออกเขียนได้ บวกลบคูณหารเป็น … หนังจบซีนนี้ด้วยการที่ทหารปลดประจำการ ซื้อสมุด-ดินสอ และคงจะสอนเด็กๆอ่าน-เขียน คำนวณคณิตศาสตร์ด้วยตนเอง


ทหารปลดประจำการจับได้ว่าเด็กๆแอบสูบบุหรี่ (น่าจะจากกลิ่นบุหรี่) แน่นอนว่าไม่มีใครอยากรับผิดชอบ (เด็กๆต่างหันซ้ายหันขวา เหมือนจะโบ้ยความผิดไปมา ก่อนมีคนหนึ่งก้มหน้า ราวกับว่าคือคนเริ่มต้น) แต่เขาไม่ได้ตำหนิต่อว่าผู้ใด แถมยังทำตัวเป็นแบบอย่างด้วยการเลิกบุหรี่ โยนทิ้งลงแม่น้ำ แล้วเสี้ยมสอนให้รู้จักการพูดความจริง ยินยอมรับสารภาพผิด … นี่อาจเป็นซีเควนซ์ในอุดมคติไปเสียหน่อย แต่ผมรู้สึกว่าสามารถเสี้ยมสอนผู้ใหญ่ถึงการเป็นต้นแบบอย่างที่ดี รวมถึงการไม่ใช้อารมณ์ ด่วนตัดสินถูก-ผิด ดี-ชั่ว และเหลือพื้นที่ให้พวกเขาครุ่นคิดตัดสินใจอะไรๆด้วยตนเอง


สถานที่ส่วนใหญ่พบเห็นในหนัง ปัจจุบันแทบจะไม่หลงเหลือแล้วนะครับ พังทลายตามกาลเวลา ยกเว้นสะพานไม้ห้าโค้ง (Arch Bridge) ผมบังเอิญพบเจอจากหนังอีกเรื่องที่กำลังจะเขียนถึง ค้นหาข้อมูลพบว่าชื่อ 錦帯橋, Kintai Bridge (Yamaguchi) ตั้งอยู่ยัง Iwakuni, Yamaguchi (บนถนนสาย Sanyo Expressway ก่อนถึง Hiroshima) สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1673 สำหรับข้ามแม่น้ำ Nishiki River ตรงตีนเขา Mount Yokoyama ใกล้กับปราสาท Iwakuni Castle และได้รับการประกาศเป็นสมบัติแห่งชาติ (National Treasure) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1922
เกร็ด: Kikkou Park และสะพาน Kintai Bridge คือสถานที่ท่องเที่ยวสำหรับชมดอกซากุระ รวมถึงช่วงไม้ใบเปลี่ยนสี (ฤดูใบไม้ร่วง) อันเลื่องชื่อของประเทศญี่ปุ่น!

เบสบอลเป็นกีฬาที่เข้ามาถึงญี่ปุ่นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1872 ไม่นานนักก็กลายเป็นกีฬายอดนิยมระดับชาติ เด็กๆกำพร้าพบเห็นเด็กๆกลุ่มหนึ่งกำลังซักซ้อม เล่นเบสบอล พากันวิ่งกรูลงไปจะขอเล่นด้วย แต่ยังไม่ทันจะพูดคุย พบเจอหน้า อีกฝ่ายก็วิ่งหนีหายไปโดยพลัน!
บางคนอาจมองว่าคงเป็นความเข้าใจผิด วิ่งกรูกันมาอย่างนั้นราวกับจะหาเรื่องชกต่อย แต่ผมครุ่นคิดว่าหนังต้องการสื่อถึงสถานะทางสังคม เด็กกำพร้าไม่ต่างจากชนชั้นจัณฑาล มักโดนดูถูกเหยียดหยาม ไม่ได้รับการยินยอมรับจากสังคม หรือแม้แต่เพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน

พอรถบรรทุกวิ่งข้ามรางรถไฟ พวกเขาก็เดินทางมาถึง Hiroshima เริ่มต้นด้วยการแพนนิ่ง 360 องศา พบเห็นบางส่วนได้รับการซ่อมแซม ปลูกบ้านใหม่ แต่ส่วนใหญ่กลับยังคงมีสภาพปรักหักพัง หายนะจากสงครามโลกครั้งที่สอง ระเบิดนิวเคลียร์ลูกเดียวคนตายหลายหมื่น บาดเจ็บหลายแสน … ภาพฉายให้เห็นอาจไม่ได้มีความน่าสะพรึงกลัวสักเท่าไหร่ แต่สำหรับผู้ชมสมัยนั้นคงรู้สึกหลอกหลอน สั่นสยิวกาย-ใจ


ทหารปลดประจำการและกลุ่มเด็กๆกำพร้า จับพลัดจับพลูพบเจอพี่สาว Yumiko Natsuki (และ Yoshibo) เดินทางมาถึง Hiroshima หลังจากพูดคุยกันสักพัก เธอบอกว่าต้องการไปทำงาน Tokyo เลยฝากน้องชาย Yoshibo จากนั้นหลบซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางเศษซากปรักหักพัง เด็กชายพยายามออกวิ่งค้นหา ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถพบเจอ … นี่ไม่ใช่แค่การร้อยเรียงชุดภาพเศษซากปรักหักพัง แต่ยังผสมผสานเรื่องราว การติดตามค้นหา และร่ำลาจากพร้อมกันในตัว



จากเมืองปรักหักพัง Hiroshima ทหารปลดประจำการพร้อมเด็กๆกำพร้า เดินทางขึ้นเรือมุ่งสู่เกาะแห่งหนึ่งที่ยังมีขุนเขา ผืนป่าอุดมสมบูรณ์ นี่ราวกับเป็นการหวนกลับหาธรรมชาติ (คือการ Set Zero ในแง่ภูมิทัศน์) จากนั้นร้อยเรียงภาพต้นไม้ใหญ่ถูกตัดโค่น สามารถสื่อถึงการบุกเบิก ถากถาง สัญลักษณ์ของการเริ่มต้นสร้างเมืองใหม่
เอาจริงๆงานตัดต้นไม้ไม่เหมาะสำหรับเด็กเลยนะ เพราะมันต้องใช้แรงงานหนัก และมีความเสี่ยงอันตราย แต่ผมครุ่นคิดว่าหนังต้องการสื่อถึงการบุกเบิกสร้างเมืองใหม่ ต้องเริ่มต้นจากการร่วมแรงร่วมใจระหว่างผู้ใหญ่ (ตัวแทนคนรุ่นก่อน) และเด็ก (ตัวแทนคนรุ่นใหม่)
ปล. หนังได้ทุนจากเจ้าของธุรกิจป่าไม้ย่าน Wakayama ก็มีความเป็นไปได้ว่า …


ซีเควนซ์ผมรู้สึกว่ามีความงดงามตราตรึงที่สุดของหนัง Shin แบกหาม Yoshibo (ล้อกันตอนต้นเรื่องที่ Yoshibo เคยขอให้ Shin ผลัดกันขี่หลัง แต่ตอนนั้นได้รับคำตอบปฏิเสธ) ตะเกียกตะกาย ปีนป่ายขึ้นเขา มาจนถึงจุดสูงสุด เพื่อมาเยี่ยมชมท้องทะเล (ที่เมื่อ Yoshibo พบเห็นเมื่อไหร่ต้องตะโกนร้องเรียก ครุ่นคิดถึงมารดา) แต่เหมือนว่ายังมาไม่ถึงก็พลันด่วนเสียชีวิตจากไปก่อน
ในบรรดาเด็กๆกำพร้า Yoshibo มีทั้งร่างกายอ่อนแอ และจิตใจอ่อนไหวที่สุด หลังจากมารดาเสียชีวิต(กลางทะเล) เหมือนยังทำใจไม่ได้ ยังคงโหยหา ครุ่นคิดถึง ด้วยเหตุนี้เมื่อพานผ่านชายหาด พบเห็นท้องทะเลเมื่อไหร่ จักต้องตะโกนเรียกหาทุกครั้งไป! … เราสามารถมองเด็กชายคนนี้คือตัวแทนความทรงจำอันเลวร้ายจากสงคราม ยังไม่สามารถปล่อยละวางความทุกข์เศร้าโศก แต่การเดินทางมาถึงเกาะแห่งนี้ ตัดต้นไม้ บุกเบิกสร้างเมืองใหม่ Yoshibo จึงจำเป็นต้องตายจากไป เพื่อให้ถือกำเนิดชีวิตใหม่ (Death → Born = Reborn)

ตลอดทั้งเรื่องไม่มีใครเข้าใจว่าทำไม Yoshibo พบเห็นทะเลเมื่อไหร่ต้องตะโกนร้องเรียกมารดา จนกระทั่งอีกฝ่ายพลันด่วนเสียชีวิต Shin จึงตระหนักถึงเหตุผลดังกล่าว เลยป่าวประกาศหน้าสุสานฝังศพ ว่าเมื่อไหร่พบเห็นภูเขาจะตะโกนเรียกหา Yoshibo จดจำเพื่อนคนนี้ตราบจนวันตาย
ความตายของ Yoshibo มันอาจดูเล็กน้อย กลับทำออกมาอย่างเว่อวังอลังการ แต่ผมมองว่าผกก. Shimizu ต้องการเปรียบเทียบความสูญเสียจากหายนะ Hiroshima จักเป็นสิ่งตราฝัง บาดแผลทางใจของชาวญี่ปุ่นตราบชั่วกาลนาน

พอเดินทางกลับมา Hiroshima บังเอิญอีกแล้วพบเจอพี่สาว Yumiko Natsuki แทนที่จะไปทำงาน Tokyo กลับกลายเป็นโสเภณีรอลูกค้าอยู่บริเวณท่าเรือ (ช่างกลางเรื่องพบเจอท่ามกลางเศษซากปรักหักพัง, คราวนี้ทำอาชีพที่ชาวญี่ปุ่นสมัยนั้นถือว่าต่ำตม โสมม) เธอพยายามวิ่งหลบหนี ไม่กล้าเผชิญหน้า หลงเข้ามาในเขตแดนที่ถูกยึดครอง (Occupation of Japan) ก่อนพบเจอหนทางตัน ณ ประตูเหล็กยืด (ดูราวกับซี่กรงขัง)
สำหรับพี่สาว นี่ถือเป็นจุดตกต่ำที่สุดในชีวิต คล้ายๆหมาจนตรอก ไร้หนทาง ไม่รู้จะทำอะไรยังไง จนต้องกลายเป็นโสเภณี (การขายบริการทางเพศ = สูญเสียดินแดนให้ฝ่ายสัมพันธมิตร) ถึงอย่างนั้นการได้พบเจอทหารปลดประจำการ (และเด็กๆกำพร้า) รับรู้ข่าวการจากไปของน้องชาย Yoshibo ก็ถึงเวลาที่เธอจักลุกขึ้นยืน เริ่มต้นชีวิตใหม่


การมาถึงของชายขาขาด (ขณะนี้ใส่ขาปลอม) ต้องการเรียกตัว Yumiko Natsuki ไปรับงาน หนังไม่ฉายให้เห็นการต่อสู้กับทหารปลดประจำการ เพียงภาพช็อตนี้ที่เด็กๆวิ่งขึ้นวิ่งลงบันไดซ้ำสองรอบ ครั้งแรกตอนพี่ทหารถูกกระทำร้าย ครั้งหลังคือโต้ตอบเอาคืน จนอีกฝ่ายลงไปนอนกองท่ามกลางกองขยะเศษเหล็ก (=ขยะสังคม)


หลายๆความคิดเห็นของผู้ชมไม่ค่อยชอบตอนจบของหนังสักเท่าไหร่ มองว่ามันโลกสวยสดใสเกินไป? ทหารปลดประจำการพาเด็กๆกำพร้า รวมทั้งพี่สาว และชายขาขาด เดินทางมาถึงสถานสงเคราะห์ Introspection Tower แล้วทุกๆคนกรูเข้ามาให้การตอบรับ (ไม่เว้นแม้แต่ตัวร้ายอย่างชายขาขาด) ก่อนไปตามต่อกับ Children of the Beehive: What Happened Next (1951)
แต่ผมได้แสดงความคิดเห็นไปตั้งแต่ตอนต้นแล้วว่า นี่คือการหวนกลับหารากเหง้า สถานที่เริ่มต้น-สุดท้ายสำหรับเด็กๆกำพร้า จักมีโอกาสเติบโต ได้รับการศึกษา กลายเป็นผู้ใหญ่ที่มีอนาคต … ประเทศญี่ปุ่นก็เฉกเช่นเดียวกัน!


ตัดต่อไม่มีเครดิต, หนังดำเนินเรื่องผ่านการเดินทางของทหารปลดประจำการ และกลุ่มเด็กๆกำพร้า เริ่มต้นจากสถานีรถไฟ Shimonoseki Station ไปตามถนนสาย Sanyo Expressway พานผ่านสถานที่ต่างๆ พบปะผู้คน รับจ้างทำงานทั่วไป ก่อนดำเนินมาถึงเมือง Hiroshima
- อารัมบท ณ สถานีรถไฟ Shimonoseki
- ทหารปลดประจำการตัดสินใจไม่ขึ้นรถไฟเดินทางไปกรุง Tokyo วางแผนจะเริ่มต้นมองหางานทำ
- พอแบ่งปันขนมปังกับกลุ่มเด็กๆกำพร้า มีโอกาสพูดคุยสนทนา รับรู้เบื้องหลังความเป็นไปของพวกเขา
- ชายขาขาดเรียกตัว Shin ไปตำหนิต่อว่า แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไรต่างหลบหนีหัวซุกหัวซุน
- การเดินทางของทหารปลดประจำการ และเด็กๆกำพร้า
- ขึ้นรถบรรทุกเดินทางไปทำงานแบกหามไม้ซุง
- ในขณะที่ชายขาขาดและเด็กๆส่วนใหญ่หลบหนีหาย ทหารปลดประจำการและเด็กชาย Shin กับ Yoshibo ช่วยกันทำงานจนค่ำคืนนี้มีหัวมันรับประทาน
- ระหว่างออกเดินทาง ก็ไล่เก็บเด็กๆระหว่างทาง จากนั้นช่วยกันเข็นรถลากขึ้นเขา
- พอมาถึงท่าเรือพบเจอพี่สาว Yumiko Natsuki โดยไม่รู้ตัว Yoshibo แอบขึ้นเรือไปกับเธอด้วย
- ช่วยกันทำนาเกลือ แต่ไม่ทันไรเด็กๆก็เกิดความเบื่อหน่าย วิ่งหนีไปจนถึงโรงเรียน อยากมีโอกาสอ่านออกเขียนได้
- ทหารปลดประจำการจับได้ว่าเด็กๆสูบบุหรี่ เขาจึงตัดสินใจเลิกสูบเป็นแบบอย่าง
- ระหว่างทางพบเห็นกลุ่มเด็กๆเล่นเบสบอล พวกเขาจึงวิ่งเข้าหา แต่อีกฝ่ายกลับไม่ต้องการเล่นด้วย
- ขึ้นรถบรรทุกเดินทางไปทำงานแบกหามไม้ซุง
- Hiroshima
- ช่วยงานแบกกระสอบขึ้นรถ แล้วดำเนินมาถึง Hiroshima
- ท่ามกลางเศษซากประหักพัง พบเจอพี่สาวและ Yoshibo
- พี่สาวฝาก Yoshibo กับทหารปลดประจำการ จากนั้นหลบซ่อนตัว ไม่ต้องการให้เขาไปตนเอง
- เกาะแห่งหนึ่ง
- ทหารปลดประจำการและเด็กๆกำพร้า ขึ้นเรือเดินทางไปทำงานตัดไม้บนเกาะแห่งหนึ่ง
- Yoshibo ล้มป่วยไม่สบาย ไหว้วานร้องขอ Shin ให้ช่วยพาไปชายหาด
- ปีนป่ายขึ้นเขา แต่พอมาถึงชายหาด Yoshibo พลันด่วนเสียชีวิต
- หลังกล่าวคำอำลา Yoshibo ออกเดินทางกลับ Hiroshima
- หวนกลับมา Hiroshima
- ติดตามมาพบเจอพี่สาวทำงานโสเภณี
- ทหารปลดประจำการเลยต่อยหน้าชายขาขาด (เป็นพ่อเล้า)
- หลังสะสางปัญหาคาใจ ออกเดินทางสู่ Introspection Tower
เพลงประกอบโดย Senji Itō, 伊藤宣二 นักแต่งเพลงในสังกัดสตูดิโอ Shōchiku ร่วมงานขาประจำผู้กำกับ Yasujirô Ozu และ Hiroshi Shimizu ผลงานเด่นๆ อาทิ The Only Son (1936), Children in the Wind (1937), The Masseurs and a Woman (1938), Four Seasons of Children (1939), Osaka Woman (1940), The Brothers and Sisters of the Toda Family (1941), Children of the Beehive (1948), Late Spring (1949), Early Summer (1951) ฯ
หลังจากที่ผมผิดหวังกับงานเพลงในหนังของผกก. Shimizu โหยหาอยากได้แบบ Mr. Thank You (1935) แต่คงติดขัดจากข้อจำกัดเทคโนโลยีบันทึกเสียงสมัยนั้น! จนมาถึง Children of the Beehive (1948) นี่แหละที่ต้องการ! ตลอดทั้งเรื่องเต็มไปด้วยการเดินทาง บทเพลงจึงสามารถบรรเลงคลอประกอบพื้นหลัง โดยเฉพาะเสียงร้องคอรัสของเด็กๆมันช่างติดหู รู้สึกเพลิดเพลินผ่อนคลาย สร้างรอยยิ้ม และความหวานขมภายในจิตใจ
กับภาพยนตร์ ‘สไตล์ Shimizu’ ที่มักเกี่ยวกับเด็กๆ และการเดินทาง ผมมองว่าเพลงประกอบมีความสำคัญอย่างมากๆ เพราะเป็นสิ่งสร้างบรรยากาศ กำหนดทิศทางเรื่องราว แต่มันมีแค่ไม่กี่เรื่องที่นำแนวคิดนี้ไปใช้ ซึ่งสำหรับ Children of the Beehive (1948) ท่วงทำนองสนุกสนาน ช่วยกลบเกลือบบรรยากาศสิ้นหวังหลังหายนะจากสงครามโลกครั้งที่สอง และช่วยสร้างขวัญให้ชาวญี่ปุ่น รับชมแล้วบังเกิดกำลังใจในการต่อสู้ชีวิตต่อไป!
ผึ้งเป็นสัตว์สังคม อาศัยอยู่ร่วมกัน(ในรังผึ้ง)เป็นครอบครัวใหญ่ ก็เหมือนกับกลุ่มเด็กๆกำพร้าเกาะติดตามทหารปลดประจำการ (เปรียบดั่งผึ้งนางพญา) เดินทางจากสถานที่แห่งหนึ่ง สู่สถานที่อีกแห่งหนึ่ง (คล้ายๆกับการหาน้ำผึ้ง) เพื่อหาหนทางเอาตัวรอด พานผ่านช่วงเวลาแห่งความทุกข์ยากลำบาก
Children of the Beehive (1948) ได้ทำการบันทึกภาพญี่ปุ่นยุคสมัยหลังสงคราม (Post War) ผ่านการผจญภัยของทหารปลดประจำการและเด็กๆกำพร้า พบเห็นการต่อสู้ดิ้นรน ความทุกข์ยากลำบากของผู้คน รวมถึงเศษซากปรักหักพังของ Hiroshima ที่ถูกทิ้งระเบิดนิวเคลียร์จนทุกสิ่งอย่างราบเรียบเป็นหน้ากลอง
ความพ่ายแพ้สงครามของญี่ปุ่น ทำให้ประเทศชาติพังทลาย ครอบครัวญาติพี่น้องล้มตาย ทอดทิ้งลูกหลานกลายเป็นเด็กกำพร้าไร้บ้าน กลุ่มที่ผกก. Shimizu พยายามโฟกัสนั้นคือเด็กผู้ชาย (ไม่มีเด็กหญิง) วัยยังไม่ถึงสิบขวบ (ไม่มีวัยรุ่น) พวกเขายังมีความละอ่อนเยาว์วัย ร่าเริงสดใส ไม่เข้าใจหายนะบังเกิดขึ้น สนเพียงกินอิ่มท้อง และเล่นสนุกสนานไปวันๆ
เด็กๆวัยดังกล่าวแม้ยังไม่รับรู้ประสีประสา ไม่เข้าใจหายนะจากการสูญเสีย แต่ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่รับรู้สึกอะไร มันคือกลไกการป้องกันตัว เก็บกดบาดแผลทางใจ ซุกซ่อนไว้เบื้องลึกภายในจิตใจ เศร้าอยู่วันสองวันก็คลายความทุกข์โศก บางคนพอเติบโตขึ้นก็อาจจดจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตอนเป็นเด็กเคยพานผ่านอะไรมา
ผกก. Shimizu ใจหนึ่งเป็นเพลย์บอย แต่อีกใจมีความเอ็นดูห่วงใยเด็กๆ (โดยเฉพาะเด็กเล็ก) นี่ตั้งแต่สมัยทำงานอยู่สตูดิโอ Shōchiku ชื่นชอบสร้างหนังเกี่ยวกับเด็ก (Children Film) และหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เปิดสถานสงเคราะห์สำหรับเด็กกำพร้าสงคราม (War Orphan) คล้ายๆเดียวกับภาพยนตร์ Introspection Tower (1941) … ตอนจบของหนังน่าจะคือหนึ่งในสถานสงเคราะห์ของผกก. Shimizu อย่างแน่แท้!
ช่วงระหว่างสงคราม (Wartime) ผกก. Shimizu พยายามปฏิเสธสร้างหนังชวนเชื่อ รักชาตินิยม (แม้สุดท้ายจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็เถอะ) แล้วพอหลังสงคราม (Post War) ก็เปิดสถานสงคราะห์ รับเลี้ยงดูแลเด็กกำพร้า รวมถึงยังสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้เพื่อให้ผู้ชมตระหนักถึงปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนั้น … เหล่านี้สำแดงความมีมนุษยนิยม (Humanist) จิตใจเมตตากรุณา วัยเด็กของเขาอาจไม่ได้ตกทุกข์ยากลำบาก แต่พอเติบโตขึ้นได้เรียนรู้จักความสงสารเห็นใจ น่าจะมีใครมอบรางวัลสิทธิมนุษยชน หรือโนเบลสันติภาพย้อนหลังให้
เมื่อตอนออกฉายได้เสียงตอบรับดียอดเยี่ยม นิตยสาร Kinema Junpo โหวตติดอันดับ #4 Best Film of the Year และนิตยสาร Sight & Sound (BFI.co.uk) จัดชาร์ท The best Japanese film of every year – from 1925 to now (2020) ได้รับเลือกให้เป็นภาพยนตร์ญี่ปุ่นแห่งปี ค.ศ. 1948
ปัจจุบันหนังได้รับการบูรณะเรียบร้อยแล้ว แต่ผมไม่สามารถหารายละเอียดใดๆ ฉบับที่รับชมมีซับภาษาอิตาลี เลยคาดว่าน่าจะ Rip มาจาก Streaming สักแห่งหนไหน (ใน Youtube ก็มีคลิปที่เป็นไฟล์ HD อยู่ด้วยนะครับ)
เกร็ด: ด้วยความสำเร็จของหนัง ผกก. Shimizu จึงสร้างภาคต่อ Children of the Beehive: What Happened Next (1951) และ Children of the Great Buddha (1952) จริงๆยังสามารถมัดรวมภาคก่อน Introspection Tower (1941) รวมเป็นจัตุรภาค (Beehive Tetralogy)
Children of the Beehive (1948) คือผลงานมาสเตอร์พีซที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ บันทึกภาพวิถีชีวิตผู้คน ภูมิทัศน์ญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง (เก็บบันทึกไว้ไทม์แคปซูลให้คนรุ่นหลังได้ชื่นเชยชม) รวมถึงการสำแดงมนุษย์ธรรมของผกก. Shimizu ทั้งชีวิตจริงและภาพยนตร์ ให้ความช่วยเหลือเด็กๆกำพร้าจากสงคราม เติบโตพานผ่านช่วงเวลาหายนะแห่งมนุษยชาติ
แต่โดยส่วนตัวยังคงหลงใหลคลั่งไคล้ Mr. Thank You (1935) และ Ornamental Hairpin (1941) เพราะทั้งสองเรื่องมีความเรียบง่าย สร้างความประทับใจ ตราฝังอยู่ภายในหัวใจลึกซึ้งกว่า … นี่คือความชอบส่วนบุคคลนะครับ
จัดเรต pg กับการต่อสู้ดิ้นรน ความทุกข์ยากลำบากของเด็กๆ
Leave a Reply