
The Serpant (1925)
: Buntarō Futagawa ♥♥♥♥
Tsumasaburō Bandō รับบทซามูไรหัวขบถ แม้ยึดถือมั่นในความถูกต้องชอบธรรม แต่มักโดนกลั่นแกล้ง เข้าใจผิด จนกลายเป็นอาชญากรนอกกฎหมาย จะมีใครไหนมองเห็นตัวตนแท้จริง, “ต้องดูให้ได้ก่อนตาย”
ผมแอบผิดหวังเล็กๆที่เทศกาลหนังเงียบปีนี้ The 9th Silent Film Festival in Thailand ไม่ค่อยมีเรื่องอยากเขียนถึงสักเท่าไหร่ เลยลองขุดๆคุ้ยๆ จัดโปรแกรมของตนเอง หลับหูหลับตาจิ้มประเทศญี่ปุ่น แล้วพบเจอ Orochi (1925) ในสองชาร์ทจากนิตยสาร Sight & Sound (เว็บไซด์ BFI.co.uk)
- The best Japanese film of every year – from 1925 to now (2020) โดยปีเก่าแก่ที่สุดในชาร์ทนี้ ค.ศ. 1925 ได้ทำการเลือก Orochi (1925)
- A great action film for every year, 1924 to now (2024) แม้ในปี ค.ศ. 1925 เรื่องได้รับเลือกจะคือ Battleship Potemkin (1925) แต่ทว่ามันมี One more to watch แนะนำ Orochi (1925)
จริงๆผมพบเจอ Orochi (1925) ระหว่างการหาข้อมูลหนังเงียบอีกเรื่อง A Diary of Chuji’s Travels (1927) ที่เคยได้รับการโหวตอันดับ #1 จากนิตยสาร Kinema Junpo: Top Ten Japanese Films of the Past 60 Years เมื่อปี ค.ศ. 1959 แล้วในเว็บไซด์ IMDB มันจะมีโซนแนะนำหนังเรื่องอื่นๆ (More like this) คลิกไปคลิกมา โชคชะตาฟ้าลิขิต
อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผมเกิดความสนอกสนใจ Oroshi (1925) นั่นเพราะ Tsumasaburō Bandō คือนักแสดงได้รับการโหวตจากนิตยสาร Kinema Junpo ติดอันดับ #7 (ร่วม) ชาร์ท Movie star and Director of the 20th century ฟากฝั่ง Japanese Actor … เขาคือนักแสดงหนังเงียบสัญชาติญี่ปุ่น ที่อาจถือว่ายิ่งใหญ่ตลอดกาล!
ก่อนรับชมผมไม่ได้มีความคาดหวังอะไรกับหนัง แต่แค่สิบนาทีก็เกิดความชื่นชอบประทับใจ สัมผัสได้ความเก็บกด อดกลั้น เฝ้ารอคอยฉากระเบิดระบายอารมณ์อัดอั้น ไฮไลท์ก็คือฉากต่อสู้ไคลน์แม็กซ์ มีความบ้าระห่ำ ตื่นตาตื่นใจ ต้องรอคอยจนถึง Seven Samurai (1954) ถึงมีโปรดักชั่นงานสร้างยิ่งใหญ่อลังการกว่า!
Buntarō Futagawa, 二川 文太郎 ชื่อจริง Takizawa Kichinosuke, 滝沢 吉之助 (1899-1966) ผู้กำกับสัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Shiba, Tokyo ในครอบครัวพ่อค้าชา โตขึ้นเข้าเรียนเศรษฐศาสตร์ Chuo University ก่อนออกมาเข้าร่วมสตูดิโอภาพยนตร์ Taishō Katsuei (Yokohama) กลายเป็นลูกศิษย์ของผู้กำกับ Kurihara Thomas ที่เพิ่งเดินทางกลับจากสหรัฐอเมริกา พอเริ่มมีประสบการณ์ออกเดินทางสู่ Kyoto ร่วมกับเพื่อนสนิท Tomu Uchida, Kintaro Inoue และ Ureo Egawa เข้าร่วมสตูดิโอ Makino Film Productions ทำงานถ่ายภาพ ตัดต่อ เขียนบท กำกับหนังเรื่องแรก Shinkirō (1923) [ฟีล์มสูญหายไปแล้ว]
ต่อมาได้มีโอกาสกำกับหนังสั้น Gyakuryu (1924) แปลว่า Backward Flow ความยาว 28 นาที จากบทของ Rokuhei Susukita, 寿々喜多呂九平 (1899-1960) นำแสดงโดย Tsumasaburō Bandō ทำการทดลองสร้างฉากการต่อสู้ที่มุ่งเน้นความสมจริง (ก่อนหน้านี้การต่อสู้ของซามูไร รับอิทธิพลจากละครคาบูกิ ฟันหลอกๆ เพียงโช้งเช้ง เดินวนไปวนมา) เสียงตอบรับออกมาค่อนข้างดีเยี่ยม ทำให้ทั้งสามกลายเป็นเพื่อนสนิทสนม … หนังเรื่องนี้หารับชมได้ทางช่องทางธรรมชาติทั่วไป
แล้วพอนักแสดง Bandō แยกตัวออกมาก่อตั้งสตูดิโอโปรดักชั่นของตนเอง Bandō Tsumasaburo Production เลยชักชวนเพื่อนนักเขียน Susukita มาพัฒนาบทหนังเรื่องใหม่ และมอบหมายให้ Futagawa รับหน้ากำกับภาพยนตร์! โดยตั้งชื่อ Working Title ไว้ว่า 無頼漢 อ่านว่า Buraikan แปลว่า Scoundrel, Outlaw แต่เหมือนจะไม่ได้รับอนุญาตจากกองเซนเซอร์เลยจำต้องเป็นเปลี่ยน 雄呂血 อ่านว่า Orochi
เรื่องราวของซามูไรหนุ่ม Kuritomi Heisaburo (รับบทโดย Tsumasaburō Bandō) ตกหลุมรัก Namie บุตรสาวของอาจารย์สอนจีนวิทยา (Sinology) Matsusumi Nagayama แต่ด้วยชาติกำเนิดต่ำต้อย เลยมักโดนกลั่นแกล้ง ดูถูกเหยียดหยาม กอปรกับไม่สามารถควบคุมอารมณ์ ชอบโต้ตอบด้วยความรุนแรง จนได้รับการตีตราว่าเป็นอันธพาล นักเลงหัวไม้ ก่อนถูกขับไล่ออกจากโรงเรียน
ระหว่างเป็นโรนินเร่ร่อนได้ตกหลุมรักหญิงสาว O-Chiyo (หน้าตาละม้ายคล้าย Namie) ทำงานสาวเสิร์ฟยังหมู่บ้านแห่งหนึ่ง แต่โชคชะตาทำให้เขาถูกเข้าใจผิด ติดคุกติดตาราง หลบหนีเอาตัวรอดมาเข้าร่วมกลุ่มของ Jiroza โดยไม่รับรู้ตัวว่าอีกฝ่ายคือนักต้มตุ๋นหลอกลวง ชื่นชอบลักพาตัวสาวๆมาข่มขืนใจ แล้วครั้งหนึ่งหญิงคนนั้นคือ Namie เขาจึงมิอาจหักห้ามใจ …
Tsumasaburō ‘Bantsuma’ Bandō, 阪東 妻三郎 ชื่อจริง Tamura Denkichi, 田村 傳吉 (1901-53) นักแสดงสัญชาติญี่ปุ่น เจ้าของฉายา ‘The King of Swordfights’ เกิดที่ Nihonbashi, Tokyo บิดาทำงานพ่อค้าฝ้าย หลังธุรกิจครอบครัวล้มละลาย ตัดสินใจออกจากโรงเรียนเพื่อหางานทำ ด้วยความชื่นชอบการแสดง ได้เป็นลูกศิษย์ของ Kataoka Nizaemon XI ฝึกฝนอยู่สองปีไม่เห็นความก้าวหน้าจึงออกมาเข้าร่วมคณะการแสดงทัวร์ เคยก่อตั้งคณะของตนเอง Bandō Tsumasaburo Troupe แต่ไม่ประสบความสำเร็จสักเท่าไหร่ ก่อนพบเจอแมวมองชักชวนเข้าร่วมสตูดิโอภาพยนตร์ Makino Film Productions เล่นหนังเรื่องแรก Kosuzume Tôge (1923), Gyakuryu (1924), พอเริ่มมีชื่อเสียงจึงแยกตัวออกมาก่อตั้ง Bandō Tsumasaburo Production โด่งดังพลุแตกกับ Oroshi (1925)
รับบทซามูไรหนุ่ม Kuritomi Heisaburo แม้เป็นบุคคลยึดถือมั่นในความถูกต้อง แต่ด้วยชาติกำเนิดต่ำต้อย เลยมักโดนกลั่นแกล้ง ดูถูกเหยียดหยาม กอปรกับชอบใช้ความรุนแรง ไม่สามารถถอดกลั้นฝืนทน ควบคุมอารมณ์ จนได้รับการตีตราอันธพาล นักเลงหัวไม้ ภัยคุกคามสังคม
การแสดงในยุคก่อนหน้านี้รับอิทธิพลจากละครคาบูกิ นักแสดงแต่งหน้าหนาเตอะ ลีลาเคลื่อนไหวผ่านการปรุงปั้นตั้ง ฉากฟันดาบแค่เพียงฟันโช้งเช้ง แค่เพียงพอเห็นว่าเกิดการปะทะต่อสู้ แต่ภาพยนตร์หาใช่ละครคาบูกิ ทำไมต้องยึดติดกับวิธีการเช่นนั้น?
Bandō อุตส่าห์ฝึกฝนร่ำเรียนคาบูกิถึงสองปี แต่ไม่ได้รับการถ่ายทอดวิชาใดๆ (เพราะคาบูกิให้ความสำคัญกับชาติกำเนิด ผู้มีสิทธิ์สืบทอดจักต้องเป็นเครือญาติ/เลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกัน) ด้วยเหตุนี้ตัวเขาคงมีความ Anti-Kabuki อยู่ด้วยกระมัง เมื่อตอนสรรค์สร้าง Gyakuryu (1924) เลยพยายามมองหาวิธีการแสดงที่แตกต่างออกไป
ผลลัพท์ก็คือทำการแสดงให้มีความลื่นไหล ดูเป็นธรรมชาติ เน้นความสมจริง (Realistic) ด้วยการสวมวิญญาณตัวละคร (ก่อนกาลมาถึงของ Method Acting) เดี๋ยวสุข-เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวดี-เดี๋ยวร้าย ระบายอารมณ์อัดอั้น ห่อเหี่ยวสิ้นหวัง และโดยเฉพาะฉากการต่อสู้ที่ผู้ชมสัมผัสได้ถึงความดุเดือดเลือดพล่าน นักแสดงผ่านการซักซ้อม ออกแบบการต่อสู้ (Choreography) รุนแรงระดับบ้าคลั่ง … กลายเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของหนังซามูไรในวงการภาพยนตร์ญี่ปุ่น
Bandō brought a new naturalness and fierceness to Japanese cinema, plus a highly individual and much more realistic fighting style. Not only did Bandō change the onscreen representation of the samurai, but he also revolutionized the role of the actor behind the scenes as well.
Chris Magee
มันเป็นเรื่องน่าเสียดายที่ผลงานส่วนใหญ่ของ Bandō ล้วนสูญหายไปตามกาลเวลา แต่ด้วยความที่เจ้าตัวมีความชื่นชอบโปรดปราน Oroshi (1925) เลยตัดสินใจเก็บรักษาฟีล์มเนกาทีฟต้นฉบับเอาไว้อย่างดี คนรุ่นหลังจึงมีโอกาสชื่นเชยชมผลงานชิ้นเอกเรื่องนี้
ถ่ายภาพโดย Ishino Seizō, 石野誠三 (1905-) ตากล้องสัญชาติญี่ปุ่น พออายุได้สิบสี่เข้าร่วมสตูดิโอ Nikkatsu ฝึกงานตากล้องอยู่สองปีก่อนย้ายมา Sawata Film Productions และต่อด้วย Makino Film Productions ได้รับเครดิตถ่ายภาพเรื่องแรก Oroshi (1925) น่าเสียดายผลงานหลังจากนี้สูญหายไปหมดสิ้น
งานภาพของหนังอาจไม่ได้มีลูกเล่นภาพยนตร์น่าตื่นตาตื่นใจ เป็นไปตามข้อจำกัดยุคสมัย แต่ผู้สร้างพยายามทำออกมาให้ดูเป็นธรรมชาติ เน้นความสมจริง (Realistic) ถึงขนาดลงทุนเดินทางไปถ่ายทำยัง Nara City พบเห็นวัด Todaiji Temple และ Himuro Shrine (ผมหาข้อมูลได้แค่นี้นะครับ)
ผมรู้สึกได้ว่าหนังรับอิทธิพลไม่น้อยจากปรามาจารย์ผู้กำกับ D. W. Griffith ชอบใช้มุมกว้างบันทึกภาพเหตุการณ์บังเกิดขึ้น และมักตัดสลับกับการโคลสอัพใบหน้าเพื่อสำแดงปฏิกิริยาอารมณ์ ยกตัวอย่างไฮไลท์การแสดงของ Heisaburo เกิดความลังเลว่าจะขืนใจ O-Chiyo ฝ่ายหญิงพยายามดิ้นรนขัดขืน ส่วนใบหน้าฝ่ายชายก้าวเข้ามาอย่างหื่นๆ ก่อนถอยห่างด้วยความขมขื่น แล้วแปรสภาพสู่ความรู้สึกสงสารเห็นใจ


ส่วนซีเควนซ์ที่ถือเป็นไฮไลท์ของหนัง คือการต่อสู้กับฝูงชนของซามูไรหนุ่ม การบันทึกภาพมีความเรียบง่าย ตรงไปตรงมา แค่เพียงภาพถ่ายมุมกว้าง, Long Take และเร่งความเร็ว Fast Motion เพื่อสร้างความตื่นเต้นเร้าใจ, ผลลัพท์มันอาจดูสันสนวุ่นวาย แต่ทุกรายละเอียดผ่านการซักซ้อม ออกแบบการต่อสู้ (Choreography) ตระเตรียมการมาเป็นอย่างดี ไม่เช่นนั้นคงได้เลือดตกยางออกกันจริงๆ




ตัดต่อไม่มีเครดิต, ดำเนินเรื่องผ่านมุมมองของซามูไรหนุ่ม Kuritomi Heisaburo เริ่มจากความขัดแย้งเล็กๆในงานวันเกิดอาจารย์ จนถูกไล่ออกจากโรงฝึก (Dojo) กลายเป็นโรนินเร่ร่อน ตกหลุมรักครั้งใหม่กับสาวเสิร์ฟ O-Chiyo ก่อนเกิดความเข้าใจผิด โดนจับติดคุกติดตารางหลายครั้ง ได้รับความช่วยเหลือเข้าร่วมกลุ่มของนักต้มตุ๋น Jiroza ชื่นชอบลักพาตัวสาวๆมาข่มขืนใจ แล้วครั้งหนึ่งหญิงคนนั้นคือ Namie เขาจึงมิอาจหักห้ามใจ …
- เรื่องวุ่นๆ ณ โรงเรียนจีนวิทยา (Sinology)
- งานเลี้ยงวันเกิดอาจารย์ Matsusumi Nagayama
- Namioka บุตรของเจ้าหน้าที่ระดับสูง พยายามหาเรื่อง Heisaburo จนเกิดการทะเลาะวิวาท
- Heisaburo มีปัญหากับซามูไรสามคนที่พูดจาดูถูกเหยียดหยาม Namie
- Heisaburo แอบมาหา Namie ต้องการจะสารภาพความจริง แต่เกิดความเข้าใจผิด เลยถูกขับไล่ออกจากโรงเรียน
- รักครั้งใหม่กับ O-Chiyo
- Heisaburo กลายเป็นโรนินเร่ร่อนจนมาพบเจอสาวเสิร์ฟ O-Chiyo
- Heisaburo ถูกหยามเกียรติ ต้องการเผชิญหน้ากับบุคคลทำอาหารหกใส่ แต่กลับกลายเป็นโดนจับติดคุกติดตาราง
- พอได้รับการปล่อยตัวเข้าร่วมกลุ่มของ Kokichi (พบเจอกันในห้องขัง) ระหว่างรับประทานอาหารในร้านของ O-Chiyo เกิดการทะเลาะวิวาท จนโดนจับติดคุกติดตารางอีกรอบ
- พอได้รับการปล่อยตัว ระเหเร่ร่อนไปยัง Himuro Shrine บังเอิญพบเจอกับ O-Chiyo พยายามจะพูดคุย สารภาพรัก แต่เธอกลับขัดขืน
- กลุ่มของ Kokichi ลักพาตัว O-Chiyo มาให้กับ Heisaburo เกิดความสองจิตสองใจ ท้ายที่สุดก็มิอาจขืนใจเธอได้ลง ก่อนถูกเจ้าหน้าที่ห้อมล้อม โดนจับติดคุกติดตารางอีกรอบ
- เข้าร่วมกลุ่มของนักต้มตุ๋น Jiroza
- คราวนี้ Heisaburo ตัดสินใจหลบหนีออกมา ก่อนพบเจอว่า O-Chiya อยู่กับกับสามี
- Heisaburo ได้รับความช่วยเหลือจาก Jiroza รอดพ้นจากการถูกจับกุมได้สำเร็จ
- Heisaburo เป็นครูฝึกดาบให้กับลูกน้องของ Jiroza แต่ขณะเดียวกันก็ปิดหูปิดตาพฤติกรรมอีกฝ่าย
- จนกระทั่งวันหนึ่ง Namie และสามีมาขอความช่วยเหลือ Jiroza แต่เขากลับฉกฉวยโอกาส แล้วพยายามจะข่มขืนกระทำชำเรา
- Heisaburo พยายามโน้มน้าวร้องขอ แต่ได้รับคำตอบปฏิเสธ จึงเกิดการต่อสู้กับ Jiroza
- จากนั้นถูกไล่ล่า เกิดการต่อสู้ จนท้ายที่สุด Heisaburo ก็มิอาจหลบหนีเอาตัวรอด
Not all those who wear the name of villain, are truly evil men. Not all those who are respected as noble men, are worthy of the name. Many are those who wear a false mask of benevolence to hide their treachery and the wickedness of their true selves.
Oroshi (1925) เค้าว่ากันว่าคือจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของหนังแนว Jidai-geki (Period Drama) ยุคก่อนหน้านี้ซามูไรถือเป็นบุคคลยึดถือมั่นในเกียรติ ศักดิ์ศรี มีคุณธรรมสูงส่ง ซื่อสัตย์มั่นคง ปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาอย่างเคร่งครัด! แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้นำเสนอในสิ่งแตกต่างตรงกันข้าม พยายามแสดงให้เห็นว่าพวกเขาก็คือมนุษย์คนหนึ่ง มีทั้งด้านดี-ชั่วร้าย แบ่งแยกสูง-ต่ำ ดำ-ขาว กลับกลอกปอกลอก สวมใส่หน้ากากปกปิดสันดานธาตุแท้ตัวตน
อาจถือว่า Oroshi (1925) คือครั้งแรกๆของวงการภาพยนตร์ญี่ปุ่น นำเสนอซามูไรกระทำสิ่งไร้เกียรติ ไร้ศักดิ์ศรี (ลักษณะของ Anti-Hero) จนถูกนายขับไล่ กลายมาเป็นโรนินไร้สังกัด โดนจับติดคุกติดตาราง แปรสภาพสู่อาชญากร บุคคลนอกกฎหมาย (Outlaw) … แต่ถึงอย่างนั้นชายคนนี้ไม่เคยมีจิตใจชั่วร้าย ยึดถือมั่นในความถูกต้องชอบธรรม ทั้งหมดทั้งมวลเกิดจากความเข้าใจผิด ถูกใส่ร้ายป้ายสี ไม่มีใครยินยอมรับฟัง สังคมตีตราว่าคืออาชญากร
หนังเรื่องนี้สร้างขึ้นปลายยุคสมัย Taishō-jidai, 大正時代 (1912-26) ช่วงเวลาที่แนวคิดใหม่ๆ (Modernisation) รวมถึงระบอบประชาธิปไตย (Democratisation) กำลังแพร่หลายในประเทศ พฤติกรรมหัวขบถ นอกคอก ต่อต้านขนบกฎกรอบของซามูไรหนุ่ม จึงสร้างความหวาดสะพรึงต่อรัฐบาลญี่ปุ่น กลัวการลุกฮือขึ้นมาโค่นล้มสมเด็จพระจักรพรรดิ ด้วยเหตุนี้ชนชั้นผู้นำ/ขุนนางทั้งหลาย จึงพยายามปลุกกระแสรักชาตินิยม (Nationalism) และอีกไม่นานเผด็จการทหารก็จักก้าวขึ้นมากุมอำนาจเบ็ดเสร็จ
ไม่ใช่แค่เรื่องราวเกี่ยวกับซามูไรหัวขบถ การแสดงของ Tsumasaburō Bandō ก็ถือว่าปฏิวัติวงการภาพยนตร์ญี่ปุ่นเช่นเดียวกัน! ก่อนหน้านี้การแสดงหนัง บทบาทซามูไร มักรับอิทธิพลมาจากละครคาบูกิ (Kabuki) แต่ทว่า Bandō ทำการปรับเปลี่ยนทุกสิ่งอย่าง (ก่อนกาลมาถึงของ Method Acting) สวมวิญญาณตัวละคร พยายามแสดงออกให้ดูเป็นธรรมชาติ และมีความใกล้เคียงชีวิตจริงมากที่สุด!
เมื่อพูดถึง 雄呂血, Orochi ชาวญี่ปุ่นจะครุ่นคิดถึง Yamata no Orochi (八岐大蛇) จอมอสูรในเทพปกรณัมญี่ปุ่นโบราณ เมื่อคราที่เทพบิดร Izanagi และเทพมารดร Izanami สร้างประเทศญี่ปุ่นโดยการกวนน้ำทะเลนั้น ได้เกิดจอมอสูรขึ้นมาในยุคเดียวกัน เจ้างูยักษ์แปดเศียรขนาดมหึมาปานขุนเขา เมื่อมันเดินทางไปยังหมู่บ้านแห่งหนไหน จะพ่นไฟให้เกิดการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน ถ้าต้องการรอดชีวิตต้องนำหญิงสาวสวยมาเป็นเครื่องสังเวย จนกระทั่งถูกจอมเทพ Susano ใช้ดาบฟาดฟันศีรษะทั้งหมดจนขาดสะบั้น
การเปลี่ยนชื่อหนังเป็น Orochi ทำเอากองเซนเซอร์งงเป็นไก่ตาแตก ผู้ชมสมัยนั้นก็อาจไม่เข้าใจว่ามันเกี่ยวพันอย่างไร? ไม่พบเห็นงูสักตัวในหนัง? แต่เราสามารถเชื่อมโยงเข้ากับเรื่องราวของ Kuritomi Heisaburo ซามูไร/โรนินหนุ่ม ไม่ว่าจะเดินทางไปแห่งหนไหนล้วนสร้างสารพัดปัญหา ถูกตีตราอาชญากรชั่วร้าย บุคคลอันตราย ต้องเข่นฆ่าให้ตกตาย
ข่าวคราวที่ว่าหนังถูกกองเซนเซอร์ญี่ปุ่นตัดทิ้งหลายๆฉาก (แหล่งข่าวหนึ่งระบุว่ากองเซนเซอร์หั่นทิ้งไปประมาณ 20 นาที แต่อีกแหล่งข่าวบอก 20% ของหนัง ก็ไม่รู้ฝั่งฝ่ายไหนกล่าวถูกต้อง?) สร้างความสนอกสนใจให้ผู้ชมสมัยนั้น พออออกฉายปรากฎว่ามีผู้คนมากมายต่อแถวรอซื้อตั๋ว ไม่มีรายงานรายรับ แต่ได้ยินว่าประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม
แซว: เมื่อตอนเข้าฉายที่ Los Angeles มีข่าวว่าผกก. Josef von Sternberg ชื่นชอบหนังหนังเรื่องนี้มากๆ ว่ากันว่าต้องหาโอกาสแวะเวียนไปโรงหนังใกล้บ้าน ต้องการนับว่ามีตัวละครถูกฆ่าตายในหนังกี่ร้อยคน!
ปัจจุบันหนังได้รับการบูรณะ 4K เมื่อปี ค.ศ. 2021 จากฟีล์มเนกาทีฟต้นฉบับ เก็บรักษาโดย Tsumasaburō Bandō แต่ก็มีบางส่วนเสียหายตามกาลเวลา เลยต้องนำจากฟีล์ม 35mm นำออกฉายใหม่เมื่อปี ค.ศ. 1965 มาผสมร่วมด้วย … แต่ผมยังไม่เห็นว่าฉบับบูรณะมีการวางจำหน่าย Home Video แล้วหรือยัง
สำหรับคนขี้เกียจรอก็ลองค้นหาใน Youtube เพราะหนังกลายเป็นสมบัติสาธารณะไปแล้ว (Public Domain) แนะนำให้รับชมคลิปที่มีบันทึกเสียงการแสดง Benshi จะช่วยสร้างอรรถรสในการรับชมได้อย่างครบครัน
ทีแรกผมไม่ได้คาดหวังอะไรกับหนัง แต่แค่ซีเควนซ์แรกก็สร้างความประทับใจอย่างล้นหลาม รู้สึกกดดัน อัดอั้น พอดูจบก็ต้องซูฮกเลยว่าคือหนึ่งในหนังเงียบซามูไร/สัญชาติญี่ปุ่น ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล! โดยเฉพาะฉากต่อสู้ไคลน์แม็กซ์มีความตราตรึง บ้าไปแล้ว ฉบับบูรณะเข้าฉายเมื่อไหร่ไม่ควรพลาดอย่างเด็ดขาด!
“ต้องดูให้ได้ก่อนตาย” แม้ตัวหนังจะมีความโบร่ำราณ หนังเงียบดูยาก ตกยุคสมัยไปนานแล้ว แต่เนื้อหาเคลือบแฝงสาระข้อคิดที่เป็นประโยชน์มากๆ อย่าตัดสินคนจากใบหน้าหรือการกระทำ รู้จักควบคุมอารมณ์ตนเอง เชื่อมั่นในความถูกต้อง และรักษาจิตวิญญาณให้บริสุทธิ์
จัดเรต 13+ กับโรนินหัวขบถ กระทำสิ่งต่อต้านกฎกรอบสังคม
Leave a Reply