
Our Neighbor, Miss Yae (1934)
: Yasujirō Shimazu ♥♥♥♥
ในยุคสมัยที่ญี่ปุ่นเต็มไปด้วยสารพัดปัญหาเศรษฐกิจ สงคราม การเมือง Our Neighbor, Miss Yae (1934) เป็นภาพยนตร์ที่ช่วยสร้างความเพลิดเพลินผ่อนคลาย เรื่องราวรักสดใสของวัยรุ่นหนุ่ม-สาว มันช่างมีความบริสุทธิ์ ไร้เดียงสา คิกขุอาโนเนะ
นิตยสาร Kinema Junpo โหวตติดอันดับ #2 Best Film of the Year (เป็นรองเพียง A Story of Floating Weeds (1934)) และนิตยสาร Sight & Sound (BFI.co.uk) จัดชาร์ท The best Japanese film of every year – from 1925 to now (2020) ได้รับเลือกให้เป็นภาพยนตร์ญี่ปุ่นแห่งปี ค.ศ. 1934
This subtle, charming, funny and bittersweet story of family life and romance is his representative work, perfectly illustrating its director’s penchant for understated melodrama and his beguiling blend of humour and pathos. It gives the effect “of eavesdropping on life itself”.
Alexander Jacoby
Our Neighbor, Miss Yae (1934) เป็นภาพยนตร์ที่มีความบริสุทธิ์ทั้งเรื่องราว และวิธีการนำเสนอสุดแสนเรียบง่าย แทบจะไม่มีลูกเล่นภาพยนตร์ใดๆ (เกิดจากข้อจำกัดการบันทึกเสียงยุคสมัยนั้น) ผู้ชมสมัยใหม่อาจเกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย เชื่องช้าไปไหม (Slow Life) แต่ถ้าคุณสามารถอดรนทน อาจเกิดรอยยิ้ม อิ่มหัวใจ ชื่นชอบหลงใหล เอ็นดูรักใคร่ … มันมีคำเรียกอนิเมะภาพยนตร์ลักษณะนี้ว่า Healing หรือชื่อญี่ปุ่น Iyashikei, 癒し系
นอกจากนี้ Our Neighbor, Miss Yae (1934) ยังคือตัวแทนหมู่บ้าน Shōshimin-eiga, 小市民 映画 ชื่อย่อ Shōmin-Geki, 庶民劇 แปลตรงตัว Common People Drama เรื่องราวชีวิตของบุคคลธรรมดาๆ (Lower-Middle Class) กำลังได้รับความนิยมในช่วงต้นทศวรรษ 30s
Yasujirō Shimazu, 島津 保次郎 (1897-1945) ผู้กำกับภาพยนตร์ สัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Tokyo ช่วงวัยเด็กไม่ค่อยชอบเรียนหนังสือ มักโดดเรียนไปรับชมภาพยนตร์อยู่เป็นประจำ โตขึ้นเข้าร่วมสตูดิโอ Shōchiku ฝึกฝนวิชาจาก Kaoru Osanai แล้วเริ่มกำกับหนังตั้งแต่ปี ค.ศ. 1921 ในเครดิตมีผลงานกว่า 150+ เรื่อง!
ผกก. Shimazu เลื่องชื่อในการกำกับหนังแนว Shōmin-Geki (Common People Drama) นำเสนอเรื่องราวชีวิตของบุคคลธรรมดาทั่วๆไป พยายามมุ่งเน้นความสมจริง เสียงหัวเราะจับต้องได้ สามารถเปลี่ยนผ่านจากหนังเงียบ สู่หนังพูดได้สบายๆกับ First Steps Ashore (1932) ** ดัดแปลงจาก The Docks of New York (1928) กำกับโดย Josef von Sternberg
隣の八重ちゃん อ่านว่า Tonari no Yae-chan แปลตรงตัว Our Neighbor, Miss Yae สร้างขึ้นจากบทดั้งเดิมของผกก. Shimazu นำเสนอเรื่องราวของสองครอบครัว Arai (พ่อ-แม่ บุตรชายสอง) และ Hattori (พ่อ-แม่ บุตรสาวสอง) อาศัยอยู่บ้านใกล้เรือนเคียง ณ ชานเมืองกรุง Tokyo
พี่ชายคนโต Keitarō Arai สนิทสนมกับเพื่อนสาวข้างบ้าน Yaeko Hattori (ชื่อเล่น Miss Yae) พวกเขาชอบหยอกล้อเล่น พึ่งพาอาศัย ไปมาหาสู่กันเป็นประจำ จนวันหนึ่งพี่สาว Kyōko Hattori ทอดทิ้งสามีหวนกลับบ้าน ช่วงแรกๆก็เศร้าๆ เหงาๆ ก่อนได้ Keitarō คอยปลอบประโลมแล้วเริ่มมีใจ พยายามโน้มน้าว ขายขนมจีบ พูดสารภาพรัก สร้างความหึงหวงให้กับ Yaeko ท้ายที่สุดเขาจะตัดสินใจเลือกใคร??
ถ่ายภาพโดย Subaru Kuwahara, 桑原昴 ตากล้องในสังกัดสตูดิโอ Shōchiku เริ่มมีผลงานตั้งแต่ ค.ศ. 1921
แม้เทคโนโลยีเสียงจะเดินทางมาถึงญี่ปุ่นหลายปีแล้ว แต่ยังเต็มไปด้วยข้อจำกัดมากมาย ฉากภายนอกพยายามเลือกสถานที่ห่างไกลชุมชน ส่วนฉากภายในต้องติดตั้งฉนวนกันเสียงรบกวน และกล้องถ่ายภาพที่ส่งเสียงดัง เลยจับยัดใส่ตู้เก็บเสียง … ด้วยเหตุนี้งานภาพของหนังจึงมักไม่ค่อยพบเห็นการขยับเคลื่อนไหว แต่ยังพอแพนนิ่งได้นิดๆหน่อยๆ
ภาพแรกของหนังตั้งกล้องไว้บนรถแล้วขับเคลื่อนเลื่อนจากบ้านหลังหนึ่ง สู่อีกบ้านหลังหนึ่ง เพื่อนบ้านทั้งสองไม่ได้อยู่ห่างไกลกันสักเท่าไหร่ จึงสามารถพึ่งพาอาศัย ไปมาหาสู่ กลายเป็นมิตรที่ดีต่อกัน


นอกจากมีอ้างอิงถึงนักแสดง Fredric March, เมื่อตอนเข้าหนุ่มๆสาวๆเข้าเมืองไปรับชมภาพยนตร์ ยังฉายอนิเมชั่นขนาดสั้น Ha! Ha! Ha! (1934) สร้างโดย Dave Fleischer & Max Fleischer ทำการเลือนลางระหว่างภาพวาด & ชีวิตจริง จิตรกรวาดภาพหญิงสาวทิ้งไว้ แล้วเธอราวกับมีชีวิต ก้าวออกจากภาพวาดนั้น ละเลงภาพวาดชีวิตด้วยตนเอง … นี่สามารถสะท้อนถึงเรื่องราวของ Kyōko ตัดสินใจทอดทิ้งสามี (=ถอนฟันผุ) ก้าวออกสู่อิสรภาพ ได้ทำสิ่งตอบสนองความพึงพอใจ

ฉากที่ Kyōko สารภาพรักกับ Keitarō ได้ยินเสียงรถไฟดังลอยมา แต่ต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะพบเห็นขบวนรถไฟแล่นพานผ่าน ปัญหาของฉากนี้คือจับเวลาไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ ผมครุ่นคิดว่าผกก. Shimazu น่าจะต้องการให้เสียงรถไฟดังขึ้นขณะ Keitarō แสดงอาการอ้ำๆอึ้งๆ จิตใจปั่นป่วนพลุกพล่าน (เหมือนเสียงรถไฟกระฉึกกระฉัก) ไม่สามารถตอบคำถาม(หลังการสารภาพรัก)ของ Kyōko เสียมากกว่า!

เบสบอลคือกีฬายอดนิยมของชาวญี่ปุ่น ฝั่งหนึ่งขว้างลูกโจมตี อีกฝั่งตีโต้ตอบแล้วออกวิ่งโฮมรัม แข่งขันกันว่าใครจะสามารถปกป้องบ้านของตนเอง … ลีลาการนำเสนอซีเควนซ์นี้ทำออกมาในสไตล์หนังเงียบ ร้อยเรียงภาพการแข่งขันประกอบบทเพลง คงเนื่องจากข้อจำกัดทางเทคโนโลยี จึงไม่สามารถบันทึกเสียงใดๆในสนาม

หลายคนอาจสับสนกับช่วงท้ายของหนัง หลังจากพี่สาว Kyōko หายตัวออกจากบ้าน (แล้วแต่จะตีความว่าฆ่าตัวตาย หรือเริ่มต้นชีวิตใหม่) บิดา Shōsaku ได้รับมอบหมายให้ไปทำงานที่เกาหลี (ยุคสมัยนั้นยังไม่มีแบ่งเหนือ-ใต้) เลยตัดสินใจอพยพย้ายบ้าน แต่เพราะ Yaeko ใกล้จะเรียนจบเลยไม่อยากให้ทิ้งการศึกษา เลยฝากเธอไว้กับครอบครัว Arai … อาจจะถือว่าจากเพื่อนข้างบ้าน กลายมาเป็นสมาชิกในครอบครัว!
พอกลับจากไปส่งบิดา-มารดาขึ้นเครื่องบินสู่เกาหลี Yaeko แวะเวียนกลับมาเยี่ยมเยียน/อำลาบ้านหลังเก่า และจะมีฉายภาพท้องฟ้า ผมครุ่นคิดว่าหนังพยายามใส่เสียงเครื่องบิน เพื่อสื่อถึงการเดินทาง(ของบิดา-มารดา) แต่มันฟังไม่รู้เรื่องสักเท่าไหร่

ตัดต่อไม่มีเครดิต, หนังไม่ได้นำเสนอผ่านมุมมองตัวละครใดเป็นพิเศษ แต่เวียนวนอยู่กับสองครอบครัว Arai & Hattori โดยมี Keitarō Arai คือจุดศูนย์กลางความรักระหว่างสองสาวพี่น้อง Kyōko & Yaeko (หรือ Miss Yae)
โครงสร้างของหนังสามารถแบ่งออกเป็นตอนๆ เริ่มจากแนะนำตัวละคร ร้อยเรียงวิถีชีวิต กิจวัตรประจำวัน กระทั่งการหวนกลับบ้านของพี่สาว Kyōko เข้ามาสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายให้ทั้ง Keitarō และ Yaeko
- บ้านของฉัน และบ้านของเธอ
- สองพี่น้อง Keitarō & Seiji ซักซ้อมเบสบอล เขวี้ยงแรงไปหน่อยถูกกระจกบ้าน Hattori
- ระหว่างรอช่างซ่อมกระจก Keitarō & Yaeko เดินไปโรงอาบน้ำ
- บิดา Ikuzo กลับมาถึงบ้าน แวะเวียนไปบ้านของ Hattori กล่าวขอโทษขอโทษ แล้วชักชวน Shōsaku ไปโรงอาบน้ำร่วมกัน
- ช่างซ่อมกระจกเสร็จสิ้น Hamako ขอจ่ายเงินเอง ไม่ถือโทษโกรธเคืองครอบครัว Arai
- รักสดใสระหว่าง Keitarō & Yaeko
- Keitarō กลับมาบ้านแต่มารดาออกไปซื้อของ เลยแวะเข้าบ้าน Hattori ขอทานอาหาร
- Hamako ออกไปซื้อของ พอดิบพอดี Yaeko และเพื่อนสาว Etsuko เพิ่งกลับมาบ้าน
- พอ Keitarō แอบได้ยินเรื่องซุบซิบของสาวๆ ก็ไม่เป็นอันกินอาหาร
- เมื่อมารดากลับมาบ้าน Keitarō ก็รีบเผ่นหนีโดยไว
- การหวนกลับมาของพี่สาว Kyōko
- ยามค่ำคืนบิดา Ikuzo & Shōsaku กำลังดื่มด่ำเมามาย
- Kyōko เดินทางกลับมาบ้าน บอกว่าจะไม่หวนกลับไปอยู่กับสามี
- Yaeko หยอกล้อเล่นกับ Keitarō & Seiji
- บิดา Ikuzo จำใจต้องหวนกลับบ้าน บอกภรรยาให้แจ้งข่าวพี่สาวต่อ Yaeko
- Kyōko & Keitarō
- วันถัดมาระหว่าง Keitarō ซ้อมเบสบอลตัวคนเดียว แอบได้ยิน Kyōko สนทนากับมารดา Hamako
- Hamako แวะเวียนมาหา Matsuko ต้องการปรับทุกข์เรื่องของบุตรสาว
- พบเห็น Kyōko นั่งเศร้าๆอยู่ตามลำพัง Keitarō จึงเข้าไปพูดคุย ปลอบประโลม
- Yaeko สังเกตเห็น Keitarō อยู่สองต่อสองกับ Kyōko จึงเกิดความหึงหวง อิจฉาริษยา
- ค่ำคืนสุขสันต์
- Keitarō & Seiji และ Kyōko & Yaeko พากันไปรับชมภาพยนตร์อนิเมชั่น Ha! Ha! Ha! (1934)
- หลังจากนั้นแวะร้านน้ำชา แล้วไปต่อร้านอาหาร Hot Pot
- ก่อนขึ้นแท็กซี่กลับบ้าน
- Kyōko สารภาพรัก
- Yaeko พยายามติดตามหา Keitarō ก่อนรับรู้ว่าเขาหายไปกับ Kyōko
- Kyōko สารภาพรักกับ Keitarō แต่ไม่ได้รับคำตอบใดๆ
- Seiji ลงแข่งขันเบสบอล
- พอกลับบ้านถึงรับรู้กันว่า Kyōko สูญหายตัวไป
- ชีวิตดำเนินต่อไป
- Shōsaku ได้รับมอบหมายให้ไปทำงานที่เกาหลี เลยตัดสินใจย้ายบ้าน
- แต่เพราะ Yaeko ใกล้เรียนจบมัธยม เลยฝากเธอไว้ที่บ้านของครอบครัว Arai
ในส่วนของเพลงประกอบ แทบทั้งหมดคือ ‘diegetic music’ ดังขึ้นจากแหล่งกำเนิดเสียงสักแห่งหน ไม่นักแสดงขับร้องเพลง เปิดเครื่องเล่นแผ่นเสียง หรือได้ยินจากโรงหนัง/ร้านอาหาร
ผมไม่สามารถหาข้อมูลบทเพลงดังขึ้นระหว่างการแข่งขันเบสบอล (ฟังดูอาจเป็นเพลงแนวปลุกใจ) ส่วนอีกเพลงหนึ่งก็ยังไม่รู้ชื่อ เพียงรายละเอียดปรากฎขึ้นในเครดิต แต่งโดย Hikaru Saotome, 早乙女光 คำร้องโดย Atsuo Oki, 大木惇夫 ขับร้องโดย Fumiko Yaoi, 矢追婦美子
Our Neighbor, Miss Yae (1934) นำเสนอเรื่องราวความรักสดใสของสองครอบครัวเพื่อนบ้าน Keitarō Arai ถูกหมายปองโดยสองพี่น้อง Hattori ที่มีความแตกต่างตรงกันข้าม
- พี่สาว Kyōko Hattori แต่งงานออกจากบ้าน แต่ด้วยปัญหาบางอย่าง (อาจจะสามีใช้ความรุนแรง) เลยตัดสินใจหวนกลับมา ช่วงระหว่างเศร้าๆเหงาๆ Keitarō คอยปลอมประโลมอยู่เคียงข้าง เลยเกิดประกายความหวัง กำลังใจชีวิต กล้าพูด กล้าแสดงออก กล้ากระทำสิ่งตอบสนอบความพึงพอใจ และกล้าพูดสารภาพรักออกไป
- น้องสาว Yaeko Hattori ยังเรียนอยู่มัธยมปลาย มีความแก่นแก้ว ไร้เดียงสา ทีแรกไม่ได้ครุ่นคิดจริงจังอะไรกับ Keitarō แต่หลังจากถูกเพื่อนหยอกล้อ และการกลับมาของพี่สาวทำให้เกิดความหึงหวง เล่นตัว งอนตุ๊บป่อง ยังไม่รับรู้ตนเองว่าแอบชื่นชอบ ตกหลุมรักเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
เรื่องราวของหนังอาจไม่ได้ดูมีเนื้อหาสาระอะไร เพียงนำเสนอเรื่องราวชีวิต ร้อยเรียงกิจวัตรประจำวัน (Slice-of-Life) สร้างเสียงหัวเราะ สนุกสนานเพลิดเพลิน ไร้มลพิษภัย สามารถเยียวยารักษาบาดแผลหัวใจ (Healing) ผ่อนคลายความตึงเครียดจากสถานการณ์โลกภายนอกอันวุ่นวาย (Escapist)
ญี่ปุ่นในช่วงต้นทศวรรษ 1930s คือช่วงเวลาแห่งความวุ่นๆวายๆ Shōwa Depression (1930-32) ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว ผู้คนตกงาน ทหารขึ้นมาบริหารประเทศ ส่งทหารไปรุกรานแมนจูเรียตั้งแต่ปี ค.ศ. 1931 ฯ ภาพยนตร์ส่วนใหญ่ในทศวรรษนี้ล้วนสะท้อนบรรยากาศมืดหมองหม่น แต่ไม่ใช่สำหรับ Our Neighbor, Miss Yae (1934) พยายามสร้างความร่าเริงสดใส
มันอาจฟังดูไม่เกี่ยวอะไร แต่ผมรู้สึกว่าผกก. Shimazu เคลือบแฝงใจความต่อต้านสงคราม (Anti-War) มองผ่านๆอาจดูเหมือนไม่มีการกล่าวอ้างถึง แต่ชื่อหนังมีคำว่า “เพื่อนบ้าน” มันสามารถสื่อถึงเกาหลี จีน/แมนจูเรีย แทนที่เราจะไปรุกรานประเทศอื่น ไม่สู้พึ่งพาอาศัย ไปมาหาสู่ แล้วจากเพื่อนบ้านอาจกลายเป็นสมาชิกครอบครัวเดียวกัน!
ปัจจุบันหนังยังไม่ได้รับการบูรณะ เพียงวางจำหน่ายแผ่น DVD แต่เชื่อว่าในอนาคต(ก็ไม่รู้เมื่อไหร่)น่าจะมีโอกาสนั้น ใครรอไม่ไหวหารับชมออนไลน์ทาง Youtube กลายเป็นสมบัติสาธารณะนานแล้ว
เกร็ด: Our Neighbor, Miss Yae (1934) คือหนึ่งในหนังเรื่องโปรดของผู้กำกับ Akira Kurosawa รวมอยู่ใน 100 Favourite Films of All Time
หนังญี่ปุ่นในช่วงต้นทศวรรษ 30s หลายสิบเรื่องที่ผมรับชมเรื่อยๆมาเรียงๆ แทบทั้งนั้นจะมีความตึงเครียดที่สะท้อนบรรยากาศเศรษฐกิจ สงคราม การเมือง (ของญี่ปุ่น) แล้วพอมารับชม Our Neighbor, Miss Yae (1934) มันเกิดความผ่อนคลาย เยียวยารักษาแผลใจ ดูไปก็อมยิ้มไป ไม่จืดชืดไร้สาระเหมือน The Neighbor’s Wife and Mine (1931)
และการที่หนังไม่มีลูกเล่นภาพยนตร์ใดๆ มันอาจเพราะข้อจำกัดยุคสมัย แต่กลับช่วยเสริมความบริสุทธิ์ของเรื่องราวและตัวละคร … นี่ไม่ใช่ Pure Cinema ในแง่ของศิลปะภาพยนตร์ แต่มันคือความบริสุทธิ์ของการนำเสนอ เพียงความเรียบง่าย สโลว์ไลฟ์ ก็สามารถสร้างความประทับใจไม่รู้ลืม
จัดเรตทั่วไป รับชมได้ทุกเพศวัย
Leave a Reply