Floating Clouds
Floating Clouds

Floating Clouds (1955) Japanese : Mikio Naruse ♥♥♥♥♡

(23/12/2024) รักครั้งนั้นที่ Đà Lạt, French Indochina หลงเหลือเพียงความขื่นขมหลังสงครามโลกครั้งที่สอง Masayuki Mori และ Hideko Takamine ต่างเฉี่ยวกันไป เฉี่ยวกันมา จะมีโอกาสอีกสักครั้งไหมหนา เราสองจักครองคู่รักกัน

Floating Clouds (1955) คือหนึ่งในภาพยนตร์แนว ‘เฉี่ยวรัก’ ละม้ายคล้ายกับ Brief Encounter (1945), Spring in a Small Town (1948), In the Mood for Love (2000) ฯ นำเสนอเรื่องราวความรักของคนหนุ่ม-สาว ต่างคนต่างมีเหตุและปัจจัย ทำได้แค่เพียงเฉี่ยวไปเฉี่ยวมา พบเจอ-พลัดพรากกันหลายครั้งครา โชคชะตาฟ้าไม่ได้ลิขิตมาให้เราครองคู่อยู่ร่วมกัน

มันเป็นความน่าพิศวงของภาพยนตร์แนวนี้ที่แม้เรื่องราวจะเกี่ยวกับความรักๆใคร่ๆ แต่มักสะท้อนผลกระทบจากสงคราม (Post-War) ความพ่ายแพ้ เศษซากปรักหักพัง การมาถึงของยุคสมัย Great Depression คือปัจจัยหลักที่ทำให้คนสองมิอาจครองคู่อยู่ร่วม … ไม่มีสักเรื่องจบลงอย่าง Happy Ending!

และความน่ามหัศจรรย์ที่สุดของแนว ‘เฉี่ยวรัก’ คือแทบทุกเรื่อง(ที่ยกตัวอย่าง)ล้วนได้รับการยกย่องกล่าวขวัญ หนึ่งในภาพยนตร์ยอดเยี่ยมตลอดกาลของประเทศนั้นๆ น่าจะเพราะการบันทึกประวัติศาสตร์ นำเสนอสภาพสังคม จิตวิทยาผู้คน ภายหลังช่วงเวลาเลวร้ายที่สุดแห่งมนุษยชาติ! … ลองดูอย่าง Floating Clouds (1955)

  • Kinema Junpo: Top 100 best Japanese movies ever made (1999) #ติดอันดับ 2
  • Kinema Junpo: Top 200 best Japanese movies ever made (2009) #ติดอันดับ 3
  • Sight & Sound: Critic’s Poll (2012) #ติดอันดับ 202 (ร่วม)
  • เทศกาลหนังเมือง Busan: Asian Cinema 100 Ranking (2015) #ติดอันดับ 38
  • BBC: The 100 greatest foreign-language films (2018) #ติดอันดับ 95

ผมเริ่มรู้จักผกก. Naruse ก็จากภาพยนตร์เรื่องนี้แหละ ตอนหามารับชมเมื่อหลายปีก่อน ยังเข้าไม่ถึงความลุ่มลึกล้ำ เหตุไฉนถึงได้รับการโหวตติดอันดับ Top 3 ภาพยนตร์สัญชาติญี่ปุ่นยอดเยี่ยมตลอดกาล? ยอดเยี่ยมกว่า Rashômon (1950), Tokyo Story (1953), Ugetsu (1953) ได้ยังไงกัน?

แนะนำเพิ่มเติมสำหรับคนที่อยากทำความเข้าใจหนังอย่างลึกซึ้ง! ควรไล่เรียงรับชมผลงานของผกก. Naruse เริ่มต้นยุคหลังสงคราม (Post-War) เลยก็ได้ Repast (1951), Lightning (1952), Sound of the Mountain (1954) ฯ แล้วจะพบเห็นความผิดแผกแตกต่างของ Floating Clouds (1955) คือการผลักดัน ‘สไตล์ Naruse’ ให้ถึงขีดสุด

อะไรคือสไตล์ Naruse? คำนิยามชัดเจนที่สุดก็คือ ‘cinema of walking’ เดินไปคุยไป ตลอดทั้งเรื่องไม่ทำอะไรอย่างอื่นนอกจากพูดคุยกัน แต่ความมหัศจรรย์ของ Floating Clouds (1955) คือการเลือกสถานที่พื้นหลัง มีการปรับเปลี่ยน ล่องลอยราวกับปุยเมฆ เฟดเข้า-เฟดออก (Fade-to-Black) กาลเวลาดำเนินไปอย่างไร้วัน-คืน

I recently saw ‘Floating Clouds,’ and I was very impressed. It’s a film that speaks deeply to adults. It’s a remarkable achievement. Naruse’s mastery in ‘Floating Clouds‘ is astonishing—he’s truly come into his own. He’s transformed from a director of shorter films into a major cinematic force. Of course, it’s not perfect, there are a couple of minor issues… but even with those, it’s one of the finest Japanese films ever produced. I was so taken by it that it’s actually set me back in my own schedule this year.

Yasujirô Ozu

เกร็ด: Floating Clouds (1955) ยังคือหนึ่งภาพยนตร์เรื่องโปรดของผู้กำกับ Akira Kurosawa รวมอยู่ในรายการ 100 favourite films of all time


Mikio Naruse, 成瀬 巳喜男 (1905-69) ผู้กำกับภาพยนตร์ สัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Tokyo ในตระกูลซามูไร Naruse Clan แต่ครอบครัวมีฐานะยากจน แถมบิดาพลันด่วนเสียชีวิต จึงจำต้องต่อสู้ดิ้นรนกับพี่ชายและพี่สาว ตอนอายุ 17 สมัครเข้าทำงานสตูดิโอ Shōchiku ไต่เต้าจากลูกจ้าง เป็นผู้ช่วยผู้กำกับ Yoshinobu Ikeda ก่อนก้าวขึ้นมาเป็นผู้กำกับหนัง(เงียบ)สั้นเรื่องแรก Mr. and Mrs. Swordplay (1930), ผลงานช่วงนี้ส่วนใหญ่เป็นแนว Comedy Drama ตัวละครหลักคือผู้หญิง ต้องต่อสู้ดิ้นรนในสภาพแวดล้อมทุกข์ยากลำบาก … น่าเสียดายที่ผลงานยุคหนังเงียบของ Naruse หลงเหลือมาถึงปัจจุบันแค่ไม่กี่เรื่องเท่านั้น

โดยปกติแล้วผู้ช่วยผู้กำกับในสังกัด Shōchiku เพียงสามสี่ปีก็มักได้เลื่อนขั้นขึ้น แต่ทว่า Naruse กลับต้องอดทนอดกลั้น ฝึกงานนานถึงสิบปีถึงมีโอกาสกำกับหนังเรื่องแรก (Yasujirō Ozu และ Hiroshi Shimizu เข้าทำงานทีหลัง แต่ได้เลื่อนขึ้นเป็นผู้กำกับก่อน Naruse) นั่นทำให้เขาตระหนักว่า Shōchiku ไม่ค่อยเห็นหัวตนเองสักเท่าไหร่ ไม่เคยมีห้องทำงานส่วนตัว ยื่นโปรเจคอะไรไปก็ไม่เคยได้รับการอนุมัติ เลยยื่นใบลาออกช่วงปลายปี ค.ศ. 1934 เพื่อย้ายไปอยู่ P.C.L. Studios (Photo Chemical Laboratories ก่อนกลายเป็นสตูดิโอ Toho) สรรค์สร้างภาพยนตร์ Wife! Be Like a Rose! (1935) ถือเป็นครั้งแรก(ในยุคก่อน Post-War)ได้รับคำชื่นชมอย่างล้นหลาม

แต่หลังจาก Wife! Be Like a Rose! (1935) ผลงานถัดๆมาของผกก. Naruse ล้วนถูกมองว่าเป็น ‘lesser film’ แนวตลาด คุณภาพปานกลาง ขายได้บ้าง เจ๊งเสียส่วนใหญ่ เสียงตอบรับไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ จนสตูดิโอ Toho เริ่มสูญเสียความไว้เนื้อเชื่อใจ กระทั่งการมาถึงของ Repast (1951) ดัดแปลงจากบทประพันธ์ของนักเขียนหญิง Fumiko Hayashi, 林 芙美子 (1903-51) ประสบความสำเร็จทั้งรายรับ และกวาดรางวัลในญี่ปุ่นมากมายนับไม่ถ้วน

เกร็ด: ผกก. Naruse ดัดแปลงบทประพันธ์ของ Fumiko Hayashi ทั้งหมด 6 ครั้ง ประกอบด้วย Repast (1951), Lightning (1952), Wife (1953), Late Chrysanthemums (1954), Floating Clouds (1955) และ A Wanderer’s Notebook (1962)

สำหรับ 浮雲 อ่านว่า Ukigumo ชื่ออังกฤษ Floating Clouds ต้นฉบับคือนวนิยาย(เขียนเสร็จ)เล่มสุดท้ายของ Fumiko Hayashi ตีพิมพ์เมื่อปี ค.ศ. 1951 ส่วนหนึ่งนำจากประสบการณ์ตรง ยังคงคร่ำครวญครุ่นคิดถึงรักครั้งแรก หัวใจก็แตกสลาย และช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง เคยเดินทางไปทำงานอยู่ Indochina (Singapore, Java และ Borneo)

ดัดแปลงบทภาพยนตร์โดย Yoko Mizuki, 水木 洋子 (1910-2003) ขาประจำของผู้กำกับ Tadashi Imai และ Mikio Naruse ผลงานเด่นๆ อาทิ Until We Meet Again (1950), Mother (1952), Husband and Wife (1953), Sound of the Mountain (1954), Floating Clouds (1955), A Story of Pure Love (1957), Kiku to Isamu (1959), Kwaidan (1965), Older Brother, Younger Sister (1976) ฯ


ช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง, เลขานุการสาว Yukiko Koda (รับบทโดย Hideko Takamine) มีโอกาสเดินทางไป Đà Lạt, French Indochina พบเจอกับเจ้าหน้าที่รัฐ Kengo Tomioka (รับบทโดย Masayuki Mori) ทำโปรเจคอะไรสักอย่างเกี่ยวกับกรมป่าไม้ แรกพบเจอไม่ถูกชะตาสักเท่าไหร่ แต่ไม่ทันไรทั้งสองก็ตกหลุมรัก สถานที่แห่งนี้กลายเป็นสรวงสวรรค์

แต่หลังสงครามสิ้นสุดเดินทางกลับญี่ปุ่น Kengo ปฏิเสธหย่าร้างภรรยา เพิกเฉยเฉื่อยชาต่อ Yukiko จนเธอต้องขายบริการทางเพศให้กับทหารอเมริกัน แต่พวกเขาก็ยังแวะเวียน เฉี่ยวไปเฉี่ยวมา นัดพบเจอกันอยู่บ่อยครั้งครา พานผ่านเหตุการณ์วุ่นๆวายๆ พบเห็นสันดานธาตุแท้กันและกัน ท้ายที่สุดทั้งสองจะมีโอกาสครองคู่อยู่ร่วมกันหรือไม่?


Masayuki Mori, 森 雅之 ชื่อจริง Yukimitsu Arishima, 有島 行光 (1911-73) นักแสดงสัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Sapporo เป็นบุตรคนโตของนักเขียนนวนิยาย Takeo Arishima พออายุได้สามขวบ มารดาล้มป่วยวัณโรค จึงย้ายมาปักหลักอยู่ Kojimachi, Tokyo แต่ก็เสียชีวิตตอนบุตรชายอายุได้ 5 ขวบ และบิดาฆ่าตัวตายตอน 12 ปี, อาศัยอยู่กับลุง โตขึ้นเข้าศึกษาคณะปรัชญา Kyoto Imperial University ก่อนลาออกมาเข้าร่วมคณะการแสดง Théâtre Comédie ต่อด้วย Bungakuza Theatre Company, ได้รับบทสมทบเล็กๆภาพยนตร์ Sanshiro Sugata Part II (1945) ของผู้กำกับ Akira Kurosawa ฉายแววโดดเด่นจึงชักชวนมาร่วมงาน Rashômon (1950) แจ้งเกิดโด่งดังโดยพลัน ผลงานเด่นๆ อาทิ The Idiot (1951), Ugetsu (1953), Love Letter (1953), Floating Clouds (1955), Princess Yang Kwei-Fei (1955), The Bad Sleep Well (1960), When a Woman Ascends the Stairs (1960) ฯ

เกร็ด: นิตยสาร Kinema Junpo จัดอันดับ Movie Star of the 20th Century ฝั่งนักแสดงชายของประเทศญี่ปุ่น Masayuki Mori #ติดอันดับ 3

รับบท Kengo Tomioka พนักงานรัฐ ทำงานกรมป่าไม้ ได้รับมอบหมายโปรเจคอะไรสักอย่างที่ Đà Lạt, French Indochina แรกพบเจอปากบอกไม่ชอบหญิงสาวแบบ Yukiko ทว่าพออยู่ด้วยกันสองต่อสองกลับฉกฉวยโอกาส ครอบครองเป็นเจ้าของ พร่ำพรอดบอกรัก สัญญาว่าหลังสงครามจะอยู่กินกับเธอ … แต่พอกลับญี่ปุ่น ปฏิเสธหย่าร้างภรรยา เพียงไปๆมาๆ แวะเวียนมาเติมเต็มตัณหา อยากตัดขาดความสัมพันธ์ ก็ยังติดตามหากันจนเจอ

ภาพลักษณ์ของ Mori ดูเป็นผู้ชายอ่อนแอ เปราะบาง แต่ฝีปากเก่ง ป้อยอจนสาวๆหลงคารม ‘เสือผู้หญิง’ การแอบคบหา Yukiko หลังสงครามกลับมาเกิดความขัดแย้งภายใน (รู้สึกผิดต่อภรรยาเลยปฏิเสธหย่าร้าง) แต่หลังจากภรรยาล้มป่วยก็เริ่มปล่อยตัวปล่อยใจ ระริกระรี้เมื่อพบเจอสาวคนใหม่ ไม่สามารถควบคุม(ตัณหา)ตนเอง จนก่อบังเกิดหายนะ (ความตายของชู้รัก Osei) และการเสียชีวิตของภรรยา ตกอยู่ในสภาพห่อเหี่ยวสิ้นหวัง แทบไม่หลงเหลือความหล่อเหลา

ตอนเล่นหนัง Rashômon (1950) บทบาทซามูไร/สามี แต่ละตอนจะมีการแสดง/บุคลิกภาพตัวละครแตกต่างออกไป เดี๋ยวหาญกล้า เดี๋ยวขลาดเขลา ขึ้นกับมุมมองของผู้เล่า ความหลากหลายดังกล่าวสำแดงถึงศักยภาพของ Mori ที่ถูกสานต่อมายัง Floating Clouds (1955) บางครั้งหล่อเหลา สำแดงความเข้มแข็ง, บางครั้งอ่อนแอ สำแดงความขี้ขลาดเขลา ผสมผสานคลุกเคล้ารวมอยู่ในตัว Kengo

ผมไม่สามารถพรรณาความซับซ้อนของตัวละครนี้ออกมาได้หมด มันเต็มไปด้วยมิติหลายชั้น พานผ่านสารพัดเหตุการณ์วุ่นๆวายๆ เดี๋ยวรัก-เดี๋ยวเบื่อ เดี๋ยวหลง-เดี๋ยวลืม ผันแปรเปลี่ยนไม่รู้จบสิ้น แต่สิ่งโดดเด่นที่สุดคือวิวัฒนาการความสัมพันธ์ระหว่าง Kengo กับ Yukiko แม้ไม่เคยให้อะไรเธอสักสิ่งอย่าง ครุ่นคิดว่าขาดกันได้เลยเฉี่ยวไปเฉี่ยวมา แต่วินาทีสุดท้ายเมื่อความตายพลัดพรากจากลา ทำให้เขาเพิ่งตระหนักว่าฉันขาดเธอไม่ได้จริงๆ


Hideko Takamine, 高峰 秀子 (1924-2010) นักแสดงสัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Hakodate, Hokkaido หลังจากมารดาเสียชีวิตตอนอายุ 4 ขวบ ย้ายมาอาศัยอยู่กับคุณป้าที่กรุง Tokyo เข้าตาแมวมองสตูดิโอ Shōchiku เข้าสู่วงการภาพยนตร์ตั้งแต่เด็ก Mother (Haha) (1929) จนได้รับฉายา ‘Japan’s Shirley Temple’ น่าเสียดายหลายๆผลงานสูญหายไปช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง, ช่วงทศวรรษ 50s-60s กลายเป็นนักแสดงฟรีแลนซ์ ร่วมงานขาประจำผู้กำกับ Keisuke Kinoshita และ Mikio Naruse ผลงานเด่นๆดังๆ อาทิ Lightning (1952), Twenty-Four Eyes (1955), Floating Clouds (1956), Time of Joy and Sorrow (1958), The Rickshaw Man (1958), When a Woman Ascends the Stairs (1960), Happiness of Us Alone (1961), A Wanderer’s Notebook (1962), Yearning (1964) ฯ

เกร็ด: นิตยสาร Kinema Junpo จัดอันดับ Movie Star of the 20th Century ฝั่งนักแสดงหญิงของประเทศญี่ปุ่น Hideko Takamine #ติดอันดับ 4

รับบท Yukiko Koda เลขาสาวหน้าใส เดินทางไป Đà Lạt, French Indochina แม้ไม่ชอบคำพูดเสียดสีถากถางของ Kengo กลับยินยอมศิโรราบให้กับเขา หลังสงครามพยายามทวงถามคำเคยพรอดรัก แต่สำแดงความเพิกเฉยเฉื่อยชา ต้องหาหนทางเอาตัวรอดด้วยการขายตัวให้ทหารอเมริกา ถึงอย่างนั้นก็ยังคงนัดพบเจออยู่เป็นระยะๆ พบเห็นความเจ้าชู้ประตูดิน เปลี่ยนหญิงสาวไม่ซ้ำ อยากจะตัดขาดความสัมพันธ์ ก็ยังติดตามหากันจนเจอ

เมื่อตอนอ่านบท Takamine เกิดความโล้เล้ลังเล ไม่แน่ใจในตนเอง “I can’t do such a great love story” จึงถ่ายทำการอ่านบททั้งหมดส่งให้ผกก. Naruse เพื่อบอกว่าตนเองไม่เหมาะสม แต่กลับถูกมองว่านั่นคือสัญลักษณ์ของความมุ่งมั่นตั้งใจ ต้องการจะเล่นบทบาทนี้ด้วยตนเอง! โดนติดตามตื้อจนยินยอมตอบตกลง

ผมไม่คิดว่ายุคสมัยนั้น จะมีใครเหมาะสมกับบทบาท Yukiko ไปมากกว่า Takamine แม้อายุย่าง 30 ยังดูน่ารักสดใส (เหมือนหญิงสาววัย 20) เธออาจไม่ได้สวยเลิศเลอ หน้าตาบ้านๆ แต่เมื่อหวีผมแต่งตัวแล้วมีเสน่ห์ชวนหลงใหล ใครเคยรับชม Lightning (1952) พบเห็นแววตามุ่งมั่น สีหน้าจริงจัง นั่นแหละคือความเปร่งประกาย จุดขาย ภาพจำหญิงสาวสมัยใหม่

ตัวละครของ Takamine มีความแตกต่างตรงกันข้าม Mori เริ่มต้นคือหญิงสาวน่ารักสดใส ละอ่อนวัย ไร้เดียงสา หลังจากตกหลุมรักครั้งแรก ก็มิอาจหลงลืม ปล่อยละวาง แม้ต้องทำงานขายบริการ หรือกลายเป็นภรรยาพี่เขย Sugio Ito (รับบทโดย Isao Yamagata) ก็ยังคงครุ่นคิดถึง ห่วงโหยหา รักเดียวใจเดียว ไม่เคยผันแปรเปลี่ยน ซื่อสัตย์มั่นคงตราบจนวันตาย

วีรกรรมของ Kengo มันก็ช่างเลวร้าย มากมาย จนหลายครั้งทำเอา Yukiko มิอาจกลั้นหลั่งธารน้ำตา การแสดงของ Takamine จึงเต็ฒไปด้วยความน่าสงสารเห็นใจ ถ่ายทอดอารมณ์หลากหลาย พบเห็นความแตกต่างก่อน-หลัง พานผ่านช่วงเวลาสุข-ทุกข์ สนุกสนานร่าเริง เศร้าโศกเสียใจ จนเข้าใจสันดานธาตุแท้อีกฝ่าย แต่เพราะรักจึงยอมทุกอย่าง ขอเพียงแวะเวียนมาหานานๆครั้ง มันช่างเป็นเงื่อนไข(ความรัก)ที่ทุกข์ทรมานใจยิ่งนัก

การลักขโมยเงิน Sugio คือโอกาสสุดท้ายที่ Yukiko พยายามซื้อใจ Kengo จนทำให้ทั้งสองต้องออกเดินทางสู่เกาะ Yakushima ก็นึกว่าพวกเขาจะได้มีความสุขบนสรวงสวรรค์ (แบบตอน Đà Lạt, French Indochina) แต่มันกลับกลายเป็นมุ่งสู่หายนะ ความตาย โชคชะตาฟ้าไม่ได้ลิขิตมาให้เราครองคู่อยู่ร่วมกัน


ถ่ายภาพโดย Masao Tamai, 玉井正夫 (1908-97) สัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Matsuyama ยังไม่ทันเรียนจบเข้าฝึกงานสตูดิโอ Teikoku Kinema Geijutsu ก่อนย้ายมา Ichikawa Utaemon Production จากนั้นกลายเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้ง Japanese Society Of Cinematographers (JSC) พอมาปักหลักอยู่ P.C.L./Toho กลายเป็นตากล้องขาประจำผู้กำกับ Mikio Naruse อาทิ Repast (1951), Beyond Love and Hate (1951), Sound of the Mountain (1954), Late Chrysanthemums (1954), Floating Clouds (1955), Flowing (1956), Summer Clouds (1958), When a Woman Ascends the Stairs (1960), นอกจากนี้ยังมีผลงานเด่น Godzilla (1954), Happiness of Us Alone (1961) ฯ

ในบรรดาผลงานของผกก. Naruse งานภาพของ Floating Clouds (1955) ถือว่ามีความงดงาม ตื่นตระการ เพลิดเพลินสายตาที่สุดแล้วกระมัง เพราะเกินกว่าครึ่งถ่ายทำภายนอกสตูดิโอ เลือกสถานที่พื้นหลังระหว่างเดินไปคุยไป ได้อย่างมีนัยยะสำคัญ พบเห็นความแตกต่างก่อน-หลัง สรวงสวรรค์ (Đà Lạt) ช่างระยิบระยับ ตรงกันข้ามกับโลกความจริงปกคลุมด้วยความมืดหมองหม่น

บทสัมภาษณ์ของ Hideko Takamine กล่าวถึงการร่วมงานผกก. Naruse บอกว่าเป็นคนเงียบๆ ขรึมๆ ไม่เคยให้คำแนะนำอะไร ไม่บอกด้วยซ้ำว่าเทคนี้ดีหรือไม่ดี “He was a completely unresponsive director.” ให้อิสระนักแสดงอย่างเต็มที่ (แต่ก็พูดคุยร่วมกันแล้วตั้งแต่ตอนพัฒนาบท) ซึ่งนั่นสอดคล้องเข้ากับ ‘สไตล์ Naruse’ ที่แทบไม่มีอะไรเกิดขึ้นในหนัง เพียงเดินไปคุยไป ให้อิสระผู้ชมครุ่นคิดจินตนาการเหตุการณ์บังเกิดขึ้นเอาเอง

Mr. Naruse was more than merely reticent: he was a person whose refusal to talk was downright malicious. Even during the shooting of a picture, he would never say if something was good or bad, interesting or trite. He was a completely unresponsive director. I appeared in about 20 of his films, and yet there was never an instance in which he gave me any acting instructions… so it was always up to me to decide how to act on my own.

Hideko Takamine

หนังเรื่องนี้ทุ่มทุนสร้างไม่น้อยทีเดียว นอกจากเดินทางไปถ่ายทำสถานที่จริงอย่าง Ikaho Onsen (Gunma), เกาะ Yakushima (Kagoshima), ยังเนรมิตกรุง Tokyo ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ค.ศ. 1946 เต็มไปความรกร้าง สภาพปรักหักพัง ย้อนแย้งกับคฤหาสถ์หรูที่ Đà Lạt (ไม่ได้เดินทางไปเวียดนาม ถ่ายทำยัง Izu, Shizuoka)


พื้นหลังของเรื่องราวปี ค.ศ. 1946 เพิ่งพานผ่านสงครามโลกครั้งที่สองมาไม่นาน แต่หนังถ่ายทำปี ค.ศ. 1954-55 เกือบทศวรรษให้หลัง มันอาจยังมีบางสถานที่ที่ถูกปล่อยทิ้งร้าง ไม่ได้รับการปรับปรุงฟื้นฟู แต่เศษซากปรักหักส่วนใหญ่น่าจะไม่หลงเหลือแล้วละ!

วิธีการของหนังจึงคือ พยายามมองหาสถานที่ห่างไกลความเจริญ ชุมชนสลัมที่มีความเสื่อมโทรม และก่อสร้างชุมชนเล็กๆ แทรกใส่รายละเอียดที่ดูเหมือนเศษซากปรักหักพัง … ภาพถ่ายขาว-ดำ อาจมองเห็นไม่ชัดนัก แต่ผมรู้สึกว่าบางช็อตเลือกถ่ายตอนท้องฟ้ามืดครึ้ม ก้อนเมฆเคลื่อนเข้าปกคลุม สร้างบรรยากาศทะมึน อึมครึมได้เป็นอย่างดี

Đà Lạt, French Indochina เป็นสถานที่ที่ดูหรูหรา ทันสมัยใหม่ เปรียบดั่งสรวงสวรรค์, ตรงกันข้ามกับญี่ปุ่นหลังพ่ายแพ้สงคราม หลงเหลือเพียงเศษซากปรักหักพัง ไม่แตกต่างจากขุมนรก!

สรวงสวรรค์แห่งนี้คือสถานที่แห่งความทรงจำของ Kengo & Yukiko แรกพบเจอแม้ไม่ค่อยถูกชะตา (Yukiko ยืนอยู่ท่ามกลางเงาบานเกล็ด) แต่ระหว่างออกเดินทาง (สัญญะของการพัฒนาความสัมพันธ์) ลัดเลาะผ่านขุนเขา (มีการใช้เทคนิค ‘Matte Painting’ วาดภาพพื้นหลังบนกระจก) เลี้ยงเข้าพงไพร (ดินแดนแห่งสันชาตญาณ) ก้าวข้ามลำธารเล็กๆ (มาถึงอีกฟากฝั่งความสัมพันธ์) ทั้งสองก็ตกหลุมรัก กลายเป็นของกันและกัน

ปล. ช็อตที่ Yukiko ยืนอยู่ท่ามกลางเงาบานเกล็ด ยังตีความถึงการจมปลัก/ถูกกักขังอยู่ในอดีต ช่วงเวลาแห่งความทรงจำนี้ที่ติดค้างใจ ไม่มีวันลบเลือนหาย … ตราบจนวันตาย

วินาทีที่ Kengo โน้มตัวกำลังจะจุมพิต Yukiko หนังตัดกลับมาปัจจุบัน พบเห็นทั้งสองถาโถมเข้าใส่ โอบกอดจูบ แต่แค่ไม่กี่เสี้ยววินาทีก็ถอยออกมา ผมเลือกภาพโคลสอัพใบหน้าหญิงสาวก่อน-หลัง ระหว่างอาศัยอยู่สรวงสวรรค์-ขุมนรก ความแตกต่างตรงกันข้าม สร้างความห่อละเหี่ยใจยิ่งนัก

เมื่อตอนที่ Kengo บอกว่าตนเองไม่สามารถหย่าร้างภรรยา ผิดคำมั่นสัญญาเคยให้ไว้ Yukiko ลุกขึ้นยืนหันหลัง กล้องถ่ายจากภายนอก ลอดผ่านกระจกที่มีการแบ่งแยก บน-กลาง-ล่าง จัดวางตำแหน่งภาพได้อย่างน่าประทับใจ

  • ชั้นบนสุดพบเห็นหลอดไฟส่องสว่าง
  • ชั้นกลาง Yukiko ยืนอยู่ท่ามกลางซี่กรงขัง ชีวิตไร้หนทางออก ยังไม่รู้จะทำอะไรต่อไป
  • และชั้นล่าง Kengo นั่งนิ่งเฉยอย่างไม่ยี่หร่าอะไร

Kengo สนทนากับภรรยา Kuniko ผมไม่อยากเรียกว่าภาพถ่าย ‘สไตล์ Ozu’ เพราะเคยพร่ำบ่นมาหลายครั้งแล้วว่า Naruse และ Ozu ต่างฝึกฝนภาพยนตร์จากที่เดียวกัน ณ สตูดิโอ Shōchiku แต่มันก็อดเปรียบเทียบไม่ได้ เพราะการจัดวางองค์ประกอบภาพให้นักแสดงอยู่ภายในกรอบประตู ห้อมล้อมหลายชั้น รวมถึงระดับความสูงของกล้องที่เรียกว่า Tatami Shot มันคือเอกลักษณ์อันโดดเด่นของผู้กำกับ Yasujirô Ozu

การถ่ายทำ ‘สไตล์ Ozu’ จะพบเห็นเพียงครั้งนี้ครั้งเดียวในหนัง นั่นเพราะผกก. Naruse ต้องการสะท้อนวิถีชาวญี่ปุ่นยุคก่อน(สงครามโลก) ภรรยาผู้ซื่อสัตย์ จงรักภักดี ปรนเปรอนิบัติสามี คอยเป็นช้างเท้าหลัง ดูแลงานบ้านงานเรือน … งานภาพสไตล์ Ozu สามารถสะท้อนวิถีชีวิตของชาวญี่ปุ่นที่ยึดถือปฏิบัติภายใต้ขนบกฎกรอบได้เป็นอย่างดี

ความสัมพันธ์ระหว่าง Yukiko กับพี่เขย Sugio (พี่สาวของ Yukiko แต่งงานกับพี่ชายของ Sugio) ถือว่ามีความแตกต่างตรงกันข้ามกับ Kengo

  • พี่เขย Sugio เคยข่มขืน Yukiko จนสูญเสียความบริสุทธิ์ทางร่างกาย
  • Yukiko ตกหลุมรักครั้งแรกกับ Kengo น่าจะถือเป็นการสูญเสียความบริสุทธิ์ทางจิตวิญญาณ

แซว: ในขณะที่การย้อนอดีตสรวงสวรรค์ของ Yukiko & Kengo มีความยาวหลายนาที ระยิบระยับด้วยแสงสว่าง, ผิดกับตอนถูกพี่เขย Sugio บุกเข้ามาข่มขืน ปรากฎแวบขึ้นไม่กี่เสี้ยววินาที ในห้องที่ปกคลุมด้วยความมืดมิด!

ผกก. Naruse มีความเชี่ยวชำนาญการกำกับสภาพอากาศ พายุ-ลมฝน ผมเคยกล่าวถึงตอน Sound of the Mountain (1954) หลังคารั่วไหลยามฝนตก สื่อถึงสถานะครอบครัวที่เต็มไปด้วยร่องรอยแตกร้าว สามี-ภรรยาเต็มไปด้วยความขัดแย้ง ใกล้เลิกราหย่าร้าง บ้านกำลังจะพังทลาย

ห้องเช่าโกโรโกโสของ Yukiko ก็แฝงนัยยะคล้ายๆกัน! ขณะนั้นไม่มีงาน ไม่เงินมี ถูกชายคนรักทอดทิ้ง หลังคารั่วไหลสะท้อนสภาพจิตใจหญิงสาว (ร่ำร้องไห้ภายใน) นั่นคือแรงผลักดันให้เธอต้องตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง ดีกว่าอยู่เฉยๆก้มหน้ายินยอมรับโชคชะตา

หนึ่งในความมหัศจรรย์ของ Floating Clouds (1955) คือลีลาการ Fade-in/out-Black ยกตัวอย่าง Yukiko หลังจับจ้องมองป้ายรับสมัครงาน Hostess จากนั้นทหารอเมริกันเข้ามาทักทาย เดินเคียงข้าง แล้วมีการ Fade-to-Black ไม่มีคำพูดอธิบายอะไรใดๆมาไปกว่านี้ แต่ผู้ชมสามารถครุ่นคิดจินตนาการ เตลิดเปิดเปิงไปไกล หญิงสาวขายตัวให้ทหารอเมริกัน นั่นหนทางเดียวที่จะทำให้สามารถเอาตัวรอดในช่วงเวลาหลังสงคราม

ภายนอกน่าจะกำลังจัดงานเทศกาลปีใหม่ คาคลั่งไปด้วยผู้คนมากมาย Kengo เดินทางมาเยี่ยมเยียน Yukiko ภายในห้องเช่าจากเคยว่างเปล่า เต็มไปด้วยสิ่งข้าวของเครื่องใช้ที่ดูทันสมัย ใหม่เอี่ยม เครื่องแต่งกายก็ขาวสะอาดสะอ้าน ใบหน้าเปร่งกาย ความเปลี่ยนแปลงบังเกิดขึ้นนี้ ย่อมต้องเกิดจากการขายบริการให้ทหารอเมริกัน! … เทศกาลปีใหม่คือฤกษ์ยามสำหรับการเริ่มต้นทำสิ่งใหม่ๆ ในบริบทนี้คงต้องการสื่อถึง Yukiko ที่ได้ค้นพบหนทางเอาตัวรอดของตนเอง

ครอบครัวของ Kengo กำลังเก็บข้าวของ หลังจากขายบ้าน เตรียมย้ายออกไปอยู่ต่างจังหวัด, พี่เขย Sugio ก็เดินทางมาเยี่ยมเยียน Yukiko ทวงคืนที่นอน ขนสิ่งข้าวของที่เธอเคยนำไปขายต่อ กลับคืนมาเป็นของตนเอง … การสูญเสียบ้านและที่นอน อาจสื่อถึงการสูญเสียที่พักพิงทางร่างกาย (บ้าน) จิตวิญญาณ (ที่นอน) ความสงบสุขช่วงสั้นๆหลังสงครามของ Kengo & Yukiko กำลังจะสิ้นสุดลง

หลังจาก Kengo ย้ายออกจากบ้าน & Yukiko สูญเสียที่นอน, ทั้งสองนัดพบเจอยังสถานีรถไฟ Sendagaya Station ระหว่างยืนรอหน้าสถานี พบเห็นกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงแรงงาน ก็ไม่รู้กำลังเรียกร้องอะไร แต่ระหว่างทั้งสองกำลังก้าวเดินไปคุยไป “Where are we going?” แม้คำตอบจะคือทริปสู่ออนเซน ทว่าเราสามารถมองคำถามนี้ในอีกแง่มุม ญี่ปุ่นหลังสงครามกำลังจะดำเนินไปยังทิศทางใด?

คำถามดังกล่าวบังเกิดขึ้นเพราะตั้งแต่หลังสงครามโลกสิ้นสุด แทนที่จะบังเกิดความสงบสุข กลับเต็มไปด้วยการชุมนุมประท้วง เรียกร้องสิทธิโน่นนี่นั่น ไม่ใช่แค่ภายในประเทศญี่ปุ่น แต่ทั่วทั้งโลกกำลังเต็มไปด้วยเหตุการณ์วุ่นๆวายๆ เฉกเช่นนั้นแล้ว “Where are we going?” อนาคตมันจะเป็นเช่นไร?

เวลากล่าวถึง Establishing Shot ภาพยนตร์ส่วนใหญ่มักถ่ายทิวทัศน์ ภาพมุมกว้าง พบเห็นรายละเอียดโดยรอบ แต่สำหรับผกก. Naruse ส่วนใหญ่มักเลือกบริเวณตรอกซอกซอย ถนนหนทางอันคับแคบ หน้าร้าน/สถานที่ที่ตัวละครกำลังจะเข้าใช้บริการ และมักมีตัวประกอบเดินสวนไปมา หรือทำอะไรสักสิ่งอย่าง

สาเหตุผลที่ Kengo ชักชวน Yukiko เดินทางมาท่องเที่ยวออนเซน เพราะชีวิตของเขาถึงคราวอับจน ไม่รู้จะทำอะไรยังไง เลยครุ่นคิดอยากจะฆ่าตัวตาย (แต่ไม่ได้ทำเพราะความขี้ขลาดเขลา) มันช่างย้อนรอยกับตอนตกอับของ Yukiko จนยินยอมขายตัวให้ทหารอเมริกา ขณะนั้นเขาพูดสอบถาม “Can’t I drop by once in a while?” มาคราวนี้เธอตอบกลับ “Visit me occasionally, and I’ll be happy.”

คงเพราะกินหรูอยู่สบาย จับจ่ายใช้สอยมากเกินไปหน่อย Kengo เลยจำต้องขายนาฬิกาเรือนโปรด ซื้อมาจากตอนอาศัยอยู่ Đà Lạt เคลือบแฝงนัยยะถึงการสูญเสียวันเวลาอันมีค่า (ที่เคยมีกับ Yukiko) … และขณะที่ตอบตกลงขายนาฬิกา Kengo ได้พบรักครั้งใหม่กับ Osei (มีนาฬิกาตั้งอยู่ข้างๆ สื่อถึงเธอคือ ‘เวลาอันมีค่า’ ใหม่สำหรับเขา) ภรรยาของผู้รับซื้อนาฬิกา Seikichi มันช่างเป็นโชคชะตาโดยแท้!

ตลอดทั้งซีเควนซ์ไม่มีการเอ่ยกล่าว อธิบายความสัมพันธ์ระหว่าง Kengo กับ Osei แต่มันมีความชัดเจนยิ่งกว่าชัดเจน จากสายตา ภาษากาย ชาย-หญิงแช่ตัวด้วยกันในออนเซน มันจะมีนัยยะอื่นได้อย่างไร? และอีกความน่าสนใจคือการสังเกตของ Yukiko พร้อมถ้อยคำเหน็บแนม ย้อนรอยกับตอน Kengo กระแหนะกระแหนถึงทหารอเมริกัน

  • Yukiko ขายบริการให้ทหาร G.I. จนกระทั่งอีกฝ่ายหมดหน้าที่ เดินทางกลับสหรัฐอเมริกา
  • Kengo แอบสานสัมพันธ์กับ Osei จนกระทั่งเธอถูกสามีฆาตกรรม

ย้อนรอยกับตอน Yikiko อาศัยอยู่ห้องเช่าโกโรโกโส, Kengo หลังจากขายบ้าน ภรรยาเข้าโรงพยาบาล ก็มาอาศัยอยู่กับชู้รักคนใหม่ Osei ในห้องเช่าโกโรโกโสยิ่งกว่า แต่มันก็มีความแตกต่างกันอยู่พอสมควร อาทิ

  • ทางเข้าห้องของ Yukiko ประตูติดกับตรอกซอกซอยภายนอก ขณะที่ Kengo อยู่ภายในอาคารหลังใหญ่
  • ห้องของ Yukiko เป็นไม้ทั้งหลัง สภาพผุๆพังๆ ส่วนของ Kengo เหมือนจะก่อสร้างด้วยอิฐ-ปูน แต่ก็เสื่อมสภาพตามกาลเวลา
  • ห้องของ Yukiko สามารถถ่ายภาพหน้าตรง มุมกล้องเดียวเห็นทั้งห้อง, แต่สำหรับ Kengo ต้องถ่ายเอียงๆ เฉียงๆ ไม่สามารถบันทึกภาพทั้งห้องได้ในช็อตเดียว
  • ห้องของ Yukiko มีหน้าต่างบานเล็กๆที่ไม่ได้มีความสลักสำคัญมากนัก, ผิดกับ Kengo มีหน้าต่างบานใหญ่ (พร้อมเหล็กดัด) สามารถมองเห็นสภาพอากาศภายนอก

หลังรับรู้ว่า Yukiko ตั้งครรภ์ ปฏิกิริยาของ Kengo แสดงสีหน้าเคร่งขรึม จริงจัง พยายามพูดโน้มน้าวให้เธอเก็บเด็กไว้ อยากจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่ทว่าหญิงสาวรับรู้จักสันดานธาตุแท้ฝ่ายชายเป็นอย่างดี ก็เหมือนขบวนรถไฟนี้ที่กำลังแล่นผ่าน เขาเป็นคนเลื่อนลอย ไร้หลักแหล่ง ไม่มีความมั่นคงในชีวิต (=ขาข้างหนึ่งได้รับบาดเจ็บ เดินเป๋ไปเป๋มา) มันเลยไม่มีทางที่เราสองจะสามารถเลี้ยงดูแลบุตร หรือมีครอบครัวสมบูรณ์

เกร็ด: การตัดสินใจของ Yukiko ละม้ายคล้ายกับ Kikuko (รับบทโดย Setsuko Hara) ภาพยนตร์ Sound of the Mountain (1954) หญิงสาวไม่มีความเชื่อมั่นฝ่ายชาย เลยไม่ต้องการให้กำเนิดบุตรในครอบครัวที่ใกล้แตกร้าว

หลังเสร็จจากการทำแท้ง Yukiko พบเห็นข่าวหนังสือพิมพ์ คดีฆาตกรรมหึงหวงระหว่าง Seikichi กับ Osei ทำให้เธอรีบลุยฝนมาหา Kengo ต่างพากันรำพันความเศร้าโศกเสียใจ

  • สภาพอากาศภายนอกฝนตกหนัก เปรียบดั่งการร่ำร้องไห้ในจิตใจของ Yukiko และ Kengo
  • ในทิศทางตรงกันข้าม เงาหน้าต่างอาบฉาบเรือนร่างของ Yukiko และ Kengo ทั้งสองราวกับถูกกักขัง ไร้หนทางออก ไม่รู้จะทำอะไรยังไงกับเหตุการณ์บังเกิดขึ้นนี้

เมื่อตอนที่ Yukiko เดินทางกลับบ้าน สวนทางหญิงสาววัยรุ่นคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง วินาทีนั้นทำให้ผู้ชมบังเกิดความเอะใจ ไอ้หมอนี่มันมีความสำนึก รับรู้ตัวตนเองบ้างรึเปล่า หรือทั้งหมดเป็นเพียงเล่นละคอนตบตา?

ไม่รู้วันคืนเคลื่อนผ่านนานเท่าไหร่ Yukiko อยู่กินกับพี่เขย Sugio มีบ้าน มีคนใช้ ชีวิตสุขสบาย, ตรงกันข้ามกับ Kengo ยังคงจมปลักอยู่ในห้องพักโกโรโกโส (กับหญิงสาววัยรุ่น) เดินทางมาเยี่ยมเยียน พร้อมปิดตาข้างหนึ่ง (สัญญะของชีวิตมืดบอด ไร้หนทางออก) เพื่อขอหยิบยืมเงินทำศพภรรยา Kuniko … แต่มันก็น่าครุ่นคิดว่าภรรยาตายจริงไหม? ตาข้างนั้นได้รับบาดเจ็บอะไร? หรือทั้งหมดเป็นแค่การเล่นละคอนตบตา?

ย้อนรอยกับตอนที่ Kengo ชักชวนไปท่องเที่ยวออนเซน, คราวนี้ Yukiko ส่งโทรเลข บีบบังคับขู่เข็นให้เขาเดินทางมา “Come, or I’ll die” ผมครุ่นคิดว่าสถานที่คือเมืองเดิม Ikaho Onsen (Gunma) แต่จากโรงแรมถูกๆเบื้องล่าง เปลี่ยนมาเป็นรีสอร์ทหรูตั้งอยู่บนภูเขา, หัวข้อการสนทนาที่ฝ่ายชายเคยพร่ำพูดอะไรไว้ มาคราวนี้ก็ถูกย้อนแย้งกลับโดยฝ่ายหญิงทั้งหมดทั้งสิ้น

แม้ว่า Yukiko จะย้อนรอยสารพัดคำพูดของ Kengo แต่ทว่าจิตใจของเธอแตกต่างจากเขา ไม่ได้มีความเข้มแข็ง ไม่สามารถหลอกตนเอง พยายามอ้อนวอน ร่ำร้องขอ ยินยอมพร้อมเสียสละทุกสิ่งอย่าง ขอเพียงให้ได้อาศัยอยู่เคียงชิดใกล้ … สังเกตว่า Yukiko พยายามแอบอิงพิงบ่าของ Kengo คือที่พึ่งพาทั้งทางร่างกายและจิตใจ

ระหว่างก้าวเดินสู่สถานีรถไฟ สังเกตว่าข้างทางคือบ้านไม้ที่ดูชำรุดทรุดโทรม นี่สามารถสะท้อนสภาพจิตใจของทั้งสอง Kengo & Yukiko ไม่ต่างจากเศษซากปรักหักพัง ตกอยู่ในความห่อเหี่ยว หมดเรี่ยวแรง ดำเนินไปอย่างไร้ชีวิตชีวา

พี่เขย Sugio สืบจนล่วงรู้ที่อยู่ของ Kengo & Yukiko จึงตัดสินใจออกเดินทางมุ่งสู่เกาะ Yakushima แต่พอมาถึง Kagoshima (ก่อนขึ้นเรือสำราญ) ปรากฎว่าฝนตกหนัก สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ทำให้ Yukiko เกิดอาการหนาวสั่น ล้มป่วยคาดว่าน่าจะวัณโรค (Tuberculosis) ทำเอาแอปเปิ้ลที่ Kengo แวะซื้อระหว่างเดินกินลมชมวิว รสชาติจืดชืด ไม่เอร็ดอร่อยอย่างที่ควรเป็น

บทเพลง Auld Lang Syne และการร่ำลาของฝูงชนระหว่างกำลังออกเรือโดยสาร มันราวกับ ‘Death Flag’ สำหรับ Yukiko เหมือนว่าเธอจะไม่มีโอกาสหวนกลับมา! … ฉากนี้ยังย้อนรอยกับตอนต้นเรื่องที่ Yukiko เพิ่งเดินทางกลับญี่ปุ่น, มาคราวนี้แม้เกาะ Yakushima จะคือส่วนหนึ่งของญี่ปุ่น แต่ถือเป็นการออกจากเกาะหลักทั้งสี่ จึงเหมารวมว่าเดินทางออกนอกญี่ปุ่น ก็ได้กระมังนะ!

屋久島, อ่านว่า Yaku-shima, เกาะยะคุ (คำว่า 島, Shima แปลว่าเกาะ) เป็นเกาะรูปทรงกลมที่ตั้งอยู่ในจังหวัด Kagoshima ห่างจากตัวเกาะ Kyūshū (ทางตอนใต้ญี่ปุ่น) ไปทางตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 60 กิโลเมตร ได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกโลก (UNESCO World Heritage Site) เมื่อปี ค.ศ. 1993

บ้านหลังสุดท้ายของ Kengo & Yukiko คือบ้านไม้เก่าๆ รายล้อมด้วยธรรมชาติ กำแพงดิน ต้นไม้รกรุงรัง มันช่างแตกต่างตรงกันข้ามกับตอนอาศัยอยู่ Đà Lạt ที่มีความหรูหรา ราวกับสรวงสวรรค์ … ผมไม่ค่อยอยากเรียกสถานที่แห่งนี้ว่าขุมนรก เพราะมันไม่ได้ดูเลวร้ายสักเท่าไหร่ สภาพดูดีกว่าห้องเช่าโกโรโกโสที่ทั้งสองตอนอยู่ Tokyo เสียอีก! แต่ในเชิงเปรียบเทียบจะมองแบบนั้นก็ไม่เป็นไร

แซว: ภาพทิวทัศน์ขุนเขา เมฆหมอกกำลังเคลื่อนคล้อย นี่น่าจะใกล้เคียงกับคำว่า Floating Clouds มากที่สุดแล้วกระมัง!

เมื่อตอนอยู๋ Đà Lạt วันหนึ่ง Yukiko ออกติดตาม Kengo เข้าไปในป่าพงไพร นั่นคือจุดเริ่มต้นได้ครองคู่กัน, แต่คราวนี้เธอล้มป่วย นอนซมซานอยู่บนเตียง ทำได้เพียงจับจองมองเขาออกไปทำงานครั้งสุดท้าย แล้วพอฝนตกหนัก พยายามลุกขึ้นไปปิดหน้าต่าง ทว่าอาการป่วยกลับทรุดหนัก ก่อนสิ้นใจตาย

ผมมองนัยยะเดียวกับหลังรั่วไหลตอนต้นเรื่อง ตอนนั้นแค่รูเล็กๆ สื่อถึงร่องรอยแตกร้าวในความสัมพันธ์, ขณะนี้หน้าต่างบานใหญ่ สายฝนเลยสาดเข้ามา เธอไม่สามารถลุกขึ้นไปปิด ก็เท่ากับชีวิตพังทลาย

ใครเคยรับชม Departures (2008) น่าจะมักคุ้นกับพิธีแต่งหน้าศพ Nōkanshi (納棺師) ซึ่งหนังเรื่องนี้จะพบเห็น Kengo ทาลิปสติก Yukiko แล้วหยิบตะเกียงที่ห้อยอยู่เบื้องบนลงมาสาดส่องใบหน้า (ใบหน้าหญิงสาว = แสงสว่างนำทางชีวิต) พบเห็นผู้ตายเหมือนยังมีชีวิต (มีการฉายภาพระลึกอดีต ครุ่นคิดถึงเธอตอนยังมีชีวิต) นั่นย่อมกลายภาพสุดท้ายที่เขาจะจดจำฝังใจ ไม่มีวันลืมเลือนรักแท้ เพิ่งตระหนักได้เมื่อสายเกินแก้ไข

แซว: บนผนังมีแผนที่เกาะ Yakushima ลักษณะรูปทรงกลม ดูไปดูมาละม้ายคล้ายก้อนเมฆ Floating Clouds

ตัดต่อโดย Eiji Ooi, แต่ขึ้นชื่อในเครดิต Hideji Ooi, 大井英史 ขาประจำผู้กำกับ Mikio Naruse ตั้งแต่ Wife (1953) จนถึง Scattered Clouds (1967)

หนังดำเนินเรื่องผ่านมุมมองตัวละคร Yukiko Koda เริ่มตั้งแต่เดินทางกลับญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ค.ศ. 1946 เพื่อพบเจอกับชายคนรัก Kengo Tomioka หวนระลึกความทรงจำแสนหวานเมื่อครั้งแรกพบเจอยัง Đà Lạt, French Indochina พยายามทวงคืนคำมั่นสัญญา เขากลับตอบปฏิเสธ ไม่อยากหย่าร้างภรรยา

เรื่องราวถัดจากนั้นคือการเฉี่ยวไปเฉี่ยวมา ต่างคนต่างมีชีวิตของตนเอง แต่ก็ยังแวะเวียนมาเยี่ยมเยียน พบปะพูดคุย พากันไปท่องเที่ยว ใช้เวลาสั้นๆอยู่ด้วยกัน จนกระทั่งครั้งสุดท้าย Yukiko ลักขโมยเงินพี่เขย Sugio Ito ทำให้ทั้งสองต้องออกเดินทางสู่เกาะ Yakushima ก็นึกว่าพวกเขาจะได้มีความสุขบนสรวงสวรรค์ หวนกลับสู่จุดเริ่มต้น แต่มันกลับมุ่งสู่ขุมนรก

  • แรกรักระหว่าง Yukiko Koda และ Kengo Tomioka
    • Opening Credit
    • Yukiko เดินทางกลับมาญี่ปุ่น แวะเวียนไปหา Kengo อาศัยอยู่กับภรรยา พามาโรงแรมระลึกความหลัง
    • (Flashback) เมื่อครั้น Yukiko แรกพบเจอ Kengo ที่ Đà Lạt, French Indochina ทีแรกไม่ถูกใจกันสักเท่าไหร่ แต่ความเหงาของคนสอง ทำให้พวกเขาตกหลุมรักใคร่
    • กลับมาปัจจุบัน Kengo ปฏิเสธหย่าร้างภรรยา ไม่สามารถเติมเต็มข้อเรียกร้องของ Yukiko
  • Yukiko ขายบริการให้ทหารอเมริกัน
    • ความเหินห่างระหว่าง Kengo กับภรรยา
    • Yukiko ย้อนความหลังกับพี่เขย Sugio
    • Yukiko จำยินยอมกลายเป็นผู้หญิงขายบริการให้ทหารอเมริกัน
    • Kengo แวะเวียนมาประชดประชันสภาพความเป็นอยู่ของ Yukiko
    • พี่เขย Yukiko แวะเวียนมาทวงคืนที่นอนของตนเอง
    • Kengo แวะเวียนมาเยี่ยมเยียน Yukiko ชักชวนไปท่องเที่ยวพักร้อน ณ Ikaho Onsen (Gunma)
  • Ikaho Onsen (Gunma) … ช่วงชีวิตรุ่งเรืองของ Kengo
    • มรสุมรุมล้อมชีวิต Kengo ครุ่นคิดอยากจะฆ่าตัวตาย (กับ Yukiko) แต่ไม่มีความหาญกล้าใดๆ
    • ระหว่างนำนาฬิกาไปจำนำ Kengo รับรู้จักกับเจ้าของร้าน Seikichi Mukai พูดคุยถูกคอ เลยชักชวนมาพักอาศัยร่วมกัน
    • Kengo ตกหลุมรักแรกพบ Osei ภรรยายังสาวของ Seikichi แอบไปสานสัมพันธ์กันลับหลัง
    • Yukiko & Kengo เดินทางกลับ Tokyo
    • หลายวันถัดมา Yukiko พยายามติดตามหา Kengo ปรากฎย้ายออกจากบ้านหลังเก่า
    • ติดตามมาจนพบเจอ Osei อาศัยอยู่กับ Kengo ในห้องเช่าโกโรโกโส (ส่วนภรรยาล้มป่วยอยู่โรงพยาบาล)
  • The House of the Sun God … ช่วงชีวิตรุ่งเรืองของ Yukiko
    • Yukiko เดินทางมาเยี่ยมเยียนพี่เขย Sugio กลายเป็นนักต้มตุ๋นหลอกลวงใน The House of the Sun God เพื่อขอหยิบยืมเงินไปทำแท้ง
    • แต่หลังจากทำแท้ง นอนพักในโรงพยาบาล พบเห็นข่าวฆาตกรรม Seikichi ลงมือเข่นฆ่าภรรยา
    • แวะเวียนมาเยี่ยมเยียน Kengo ถูกขับไล่ ผลักไสส่ง แต่ขากลับสวนทางกลับหญิงสาวอีกคน
    • Yukiko ตัดสินใจอยู่กินกับพี่เขย Sugio, วันหนึ่ง Kengo เดินทางมาเยี่ยมเยียน ขอหยิบยืมเงินไปทำศพภรรยา
    • Yukiko ลักขโมยเงินพี่เขย Sugio หลบหนีสู่ Ikaho Onsen เฝ้ารอคอยการมาถึงของ Kengo
    • พยายามโน้มน้าว เกี้ยวพาราสี Kengo ชักชวนหนีไปอยู่ด้วยกัน แต่อีกฝ่ายพยายามบอกปฏิเสธ
  • เดินทางสู่เกาะ Yakushima
    • หลังค้นพบว่า Sugio กำลังออกติดตามหา Yukiko, ทั้งสองจึงตัดสินใจออกเดินทางสู่เกาะ Yakushima
    • โดยสารรถไฟมาถึงเมืองท่า ระหว่างรอเรือข้ามฟาก Yukiko ล้มป่วยหนัก
    • อาการป่วยของ Yukiko ไม่ดีขึ้นสักเท่าไหร่ แต่จำต้องพากันขึ้นเรือข้ามไปเกาะ Yakushima
    • ระหว่างพักอาศัยอยู่บนเกาะ Yakushima อาการของ Yukiko ทรุดหนักลง จนกระทั่งเสียชีวิต

เทคนิคการเปลี่ยนฉากที่พบเห็นบ่อยคือ Fade-in/out-Black แทนกาลเวลาเคลื่อนพานผ่าน ‘Time Skip’ ที่ไม่มีการระบุวัน-เดือน-ปี แต่สร้างสัมผัสเหมือนก้อนเมฆล่องลอย เลื่อนไหล ชีวิตดำเนินไป มันคือสรวงสวรรค์ทุกครั้งที่ทั้งสองได้พบเจอกัน!


เพลงประกอบโดย Ichirō Saitō, 斎藤一郎 (1909-1979) นักไวโอลิน แต่งเพลง สัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Chiba ร่ำเรียนไวโอลินและแต่งเพลงจาก National Music School จากนั้นกลายเป็นนักแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์ ขาประจำผู้กำกับ Mikio Naruse อาทิ Mother (1952), Lightning (1952), Sound of the Mountain (1954), Late Chrysanthemums (1954), Floating Clouds (1955), Flowing (1956), Yearning (1964), ผลงานเด่นอื่นๆ The Flavor of Green Tea over Rice (1952), The Life of Oharu (1952), Ugetsu (1953), A Geisha (1953) ฯ

มันอาจฟังดูพิลึกพิลั่นที่เพลงประกอบ Floating Clouds (1955) คละคลุ้งกลิ่นอายดนตรี Middle East โดยเฉพาะเสียงขลุ่ยที่มีความ Exotic & Erotic สร้างสัมผัสยั่วเย้ายวน รันจวญใจ สามารถสะท้อนความสัมพันธ์รักๆใคร่ๆ คบชู้นอกใจระหว่าง Kengo & Yukiko เมื่อทั้งสองนัดพบเจอกัน บรรเลงคลอประกอบพื้นหลัง ตบท้ายด้วยเสียงเปียโนระยิบระยับ ราวกับ(ก้อนเมฆ)ล่องลอยอยู่บนสรวงสวรรค์

ออร์เคสตราของหนังก็มีความน่าจดจำไม่น้อยกว่าเสียงขลุ่ย โดยเฉพาะช่วงท้าย ความตายของ Yukiko ภายในห้องพักเหลือเพียง Kengo แต่งหน้าทาลิปสติก (พิธีแต่งหน้าศพ, Nōkanshi,納棺師) หวนระลึกความทรงจำ (แน่นอนว่าต้องมีเสียงขลุ่ยแทรกเข้ามา) มิอาจกลั้นหลั่งธารน้ำตา มันอาจฟังดูย้อนแย้งกับ ‘สไตล์ Naruse’ ที่มักไม่ค่อยสำแดงปฏิกิริยาใดๆ แต่ทว่าบทเพลงกลับค่อยๆไต่ไล่ระดับ บดขยี้อารมณ์ถึงจุดสูงสุด ใครกันจะไปอดรนทนไหว

Floating Clouds (1955) นำเสนอเรื่องราวรักๆใคร่ๆ คบชู้นอกใจ (Adultery) เสือผู้หญิงหลอกกินสาวบริสุทธิ์ สำเร็จกามกิจก็พร้อมจากไป แต่เธอพยายามฉุดเหนี่ยวรั้งเขาไว้ แม้มิอาจครองคู่อยู่ร่วม ขอเพียงเฉี่ยวไปเฉี่ยวมา นานๆครั้งแวะเวียนหาก็พึงพอใจ

ในขณะที่ฝ่ายชาย Kengo เป็นคนเจ้าชู้ประตูดิน จ้องแต่จะหลอกล่อ จับกินเหยื่อ ไม่เคยให้อะไรสักสิ่งอย่างกับหญิงสาว Yukiko แต่เธอกลับยินยอมพร้อมทำทุกสิ่งอย่างเพื่อเขา อยู่เคียงข้างในวันที่สุข-ทุกข์ ไม่หลงเหลือใครข้างกาย แม้ถูกขับไล่ ผลักไส ทำอะไรไม่พึงพอใจ ก็ยกโทษให้อภัยทุกสิ่งอย่าง! … ใครสักคนเคยกล่าวไว้ ผู้ชายเริ่มรักจากร้อยลดลงจนหมดสูญ ตรงกันข้ามกับผู้หญิงเริ่มต้นนับหนึ่งค่อยๆเพิ่มขึ้นเกินร้อย

ต้นฉบับนวนิยาย รวมถึงภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างขึ้นภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง (Post-War) ต่างพยายามเก็บบันทึกบรรยากาศยุคสมัย (มีคำเรียก Zeitgeist) ความพ่ายแพ้ของญี่ปุ่น ได้สร้างอิทธิพล ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่าง Kengo & Yukiko อะไรที่เคยคาดหวัง วาดฝัน คำมั่นสัญญาให้ไว้ มาวันนี้ไม่สามารถเติมเต็มสักสิ่งอย่าง ก่อบังเกิดความรู้สึกขัดแย้งภายใน ไม่รู้จะทำอะไรยังไงต่อไป

เกร็ด: Zeitgeist มาจากภาษาเยอรมัน Zeit = เวลา, Geist = จิตวิญญาณ, อาจแปลได้ว่า “จิตวิญญาณแห่งยุคสมัย” คำที่ใช้ในการอธิบายยุคสมัยผ่านบรรยากาศทางสังคม การเมือง วัฒนธรรม ภูมิปัญญาของคนรุ่นนั้นๆ

สงครามคือช่วงเวลาแห่งการชวนเชื่อ อุดมการณ์เพ้อฝัน จักรวรรดิญี่ปุ่นต้องยิ่งใหญ่เกรียงไกร! เปรียบเสมือนคำมั่นสัญญาที่ Kengo เคยมอบให้ไว้กับ Yukiko (เมื่อตอนแรกพบรักกันที่ Đà Lạt, French Indochina) ว่าหลังสงครามสิ้นสุดจะหย่าร้างภรรยา และครองคู่อยู่ร่วมกับเธอ

แต่ความพ่ายแพ้สงครามทำให้ฝันสลาย ทุกสิ่งอย่างพังทลาย ญี่ปุ่นกลายเป็นเมืองขึ้นสหรัฐอเมริกา = Kengo ไม่สามารถเติมเต็มคำมั่นสัญญาเคยให้ไว้กับ Yukiko และวิธีการที่เธอจะเอาตัวรอดในช่วงเวลาดังกล่าว ก็คือขายบริการทางเพศให้ทหารอเมริกัน (ขายบริการ = ตกเป็นเมืองขึ้น)

ผมมองตัวละคร Kuniko (ภรรยาของ Kengo) คือตัวแทนญี่ปุ่นสมัยก่อน ภรรยาผู้ซื่อสัตย์ จงรักภักดี แต่ความพ่ายแพ้สงครามทำให้สามีค่อยๆเหินห่าง จากนั้นเธอล้มป่วยหนัก (=ความเสื่อมของวิถีญี่ปุ่น) ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล ท้ายที่สุดก็เสียชีวิตลง (=จุดจบญี่ปุ่นสมัยก่อน)

ตรงกันข้ามกับ Osei (ภรรยายังสาวของ Seikichi) คือตัวแทนญี่ปุ่นสมัยใหม่ มีความระริกระรี้ ไม่ซื่อสัตย์ต่อสามี โหยหาอิสรภาพ สนเพียงกระทำสิ่งสนองใจอยาก จึงเลือกหนีตาม Kengo แต่ถูก(สามี)ติดตามจนพบเจอ ลงมือเข่นฆ่าด้วยความหึงหวง (=อนาคตของญี่ปุ่นที่เลือนลาง ตกอยู่ในความสิ้นหวัง)

ในขณะที่ชีวิตของ Kengo ดูสาละวันเตี้ยลง (สูญเสียภรรยา + ชู้รัก, ขายบ้านมาอยู่ห้องเช่าโกโรโกโส, อาชีพการงานไม่ค่อยก้าวหน้า ขัดสนเงินๆทองๆ) Yukiko กลับกินหรูอยู่สบาย (จากเคยขายตัวให้ทหารอเมริกัน เช่าห้องพักรูหนู ย้ายมาอยู่บ้านหรู ร่ำรวยเงินทอง) แต่เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นเพราะ …

  • Kengo ทำงานหน่วยงานรัฐ ญี่ปุ่นหลังสงครามอยู่ในสภาวะหยุดนิ่ง ถดถอยหลัง ไร้ความก้าวหน้าใดๆ
  • Yukiko เกาะกินพี่เขย Sugio นักหลอกลวงต้มตุ๋น The House of the Sun God หากินกับความเชื่อของผู้คน
    • เราอาจเปรียบเทียบ The House of the Sun God = สหรัฐอเมริกา เข้ามาเผยแพร่แนวคิดทุนนิยม ค่านิยมตะวันตก ทำให้วิถีชาวญี่ปุ่นปรับเปลี่ยนแปลงไป

แซว: Yukiko จากเคยขายร่างกายให้ทหารอเมริกัน ภายหลังขายจิตวิญญาณให้วิถีอเมริกัน

การเดินทางครั้งสุดท้ายของ Kengo และ Yukiko มุ่งสู่เกาะ Yakushima เป็นการย้อนรอยตอนต้นเรื่องที่ทั้งสองแรกพบเจอยัง Đà Lạt, French Indochina แต่ทว่าเริ่มต้น-สิ้นสุด ทุกสิ่งอย่างล้วนพลิกกลับตารปัตร จากสรวงสวรรค์กลายเป็นขุมนรก (ตอนต้นเรื่อง Kengo คือเสือหลอกกินสาว, มาคราวนี้ Yukiko ใช้เงินล่อซื้อ คือเหตุผลให้พวกเขาต้องเดินทางสู่ Yakushima) และผู้สร้างต้องการบอกว่าช่วงเวลาแห่งความสุข ญี่ปุ่นก่อนสงคราม ไม่มีวันหวนกลับคืนมา


Fumiko Hayashi ผู้บทประพันธ์นวนิยาย Floating Clouds ตั้งแต่เรียนอยู่มัธยมต้น ตกหลุมรักชายหนุ่ม Gunichi Okano ผู้ผลักดันให้เธอค้นพบความสามารถด้านการเขียน แต่ด้วยความแตกต่างทางสถานะสังคม (เขาบ้านรวย เธอบ้านจน) ถูกครอบครัวกีดกัน แถมยังโดนจับคลุมถุงชน … ความชอกช้ำรักครั้งนั้น ยังคงติดตราฝังใจ สะท้อนออกมาในหลายๆผลงานวรรณกรรม

Hayashi ยังเป็นคนชื่นชอบเดินทางท่องเที่ยวทั้งในญี่ปุ่นและต่างประเทศ, ช่วงต้นสงครามโลกครั้งที่สอง ทำงานแผนก Army Press Department (陸軍報道部発) จึงมีโอกาสไปทำงาน Singapore, Java (เกาะชวา) และ Borneo (เกาะบอร์เนียว) และเมื่อปี ค.ศ. 1950 ระหว่างเดินทางไปบรรยายที่เกาะ Yakushima ล้มป่วยเพราะโหมงานหนัก

(อาการป่วยครั้งนั้นอาจเป็นสัญญาณเตือนภัยของ Hayashi แต่พอรักษาหายดีกลับยังคงโหมงานหนัก ร่างกายสะสมความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า จนท้ายที่สุดเสียชีวิตจากหัวใจล้มเหลว เดือนมิถุนายน ค.ศ. 1951 สิริอายุเพียง 47 ปี)

Floating Clouds คือนวนิยายเล่มสุดท้ายที่ Hayashi เขียนเสร็จ ตีพิมพ์ก่อนพลันด่วนเสียชีวิต (จริงๆกำลังเขียนอีกเรื่อง Meshi แต่ไม่ทันเสร็จ ได้รับการดัดแปลงภาพยนตร์ Repast (1951) โดยผกก. Naruse) โดยไม่รู้ตัวมันคือคำรำพันครั้งสุดท้าย ถึงชายคนที่เธอเคยตกหลุมรัก และยังคงรักมากๆ ไม่มีวันผันแปรเปลี่ยน ตราบจนวันตาย

ผกก. Naruse ก็มีชะตาชีวิตไม่แตกต่างจาก Hayashi ผมเคยเขียนถึงตอน Wife! Be Like a Rose! (1935) ตกหลุมรัก แต่งงานกับนักแสดงสาว Sachiko Chiba แต่ด้วยความแตกต่างทางสถานะชนชั้น (เธอบ้านรวย เขาบ้านจน) ถูกครอบครัวฝ่ายหญิงกีดกัน ผลักไส ท้ายที่สุดจำต้องเลิกราหย่าร้าง … ความชอกช้ำรักครั้งนั้น ยังคงติดตราฝังใจ สะท้อนออกมาในหลายๆผลงานภาพยนตร์

แซว: Sachiko Chiba เป็นนักแสดงที่ใครๆในสตูดิโอ P.C.L. Studios ต่างเอ็นดูรักใคร่ ยกเว้นเพียงผกก. Naruse ในกองถ่าย Wife! Be Like a Rose! (1935) เคยทำเธอร้องไห้ … แต่ก็แบบ Kengo & Yukiko ร้ายเลยรัก

โดยปกติแล้วผกก. Naruse มักสรรค์สร้างภาพยนตร์ดราม่าครอบครัว แต่สำหรับ Floating Clouds กลับเป็นเรื่องรักๆใคร่ๆ คบชู้นอกใจ โหยหาคนรักจากอดีต มันราวว่าเขาสร้างหนังเรื่องนี้เพื่อเป็นจดหมายรัก บอกกับอดีตภรรยา Chiba ขอโอกาส อยากให้หวนกลับมา เฉี่ยวไปเฉี่ยวมาก็ยังดี

แซว: ผมพบเจออีกว่าตอนผกก. Naruse หย่าร้างภรรยา Chiba เคยบอกว่ามารดาของเธอตายจากไปเมื่อไหร่ เราสองค่อยหวนกลับมาแต่งงานกันใหม่ก็ได้ … คำพูดนี้ทำให้ผมครุ่นคิดว่าความสัมพันธ์ของทั้งสอง อาจมีลักษณะ ‘เฉี่ยวรัก’ ไม่ต่างจากภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เป็นได้

เกร็ด: ชื่อหนังภาษาญี่ปุ่น 雲 อ่านว่า Ukigumo ชวนให้ผมนึกถึงภาพศิลปะ 世 อ่านว่า Ukiyo แปลว่า Floating World, โลกที่ล่องลอย ไม่จีรังยั่งยืน เป็นคำเกิดขึ้นในยุคสมัย Edo Period (ค.ศ. 1600-1867) เมื่อผู้คนเริ่มมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น หลายคนจึงหันมาใช้ชีวิตอย่างบันเทิงเริงรมย์แทนที่จะเคร่งครัดในศาสนาอย่างกาลก่อน โดยมองว่าเมื่อโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน ก็ควรปล่อยตัวปล่อยใจไปกับสิ่งสร้างบันเทิงเริงกามารย์ คำนี้จึงใช้เพื่อแสดงถึงการปล่อยตัวปล่อยใจไปกับสิ่งบันเทิงต่างๆ … สอดคล้องเข้ากับเรื่องราวรักๆใคร่ๆของหนังได้เป็นอย่างดี!


เมื่อตอนออกฉายได้เสียงตอบรับดีล้นหลาม และมีรายงานว่าเป็นภาพยนตร์ประสบความสำเร็จทำเงินสูงสุดในบรรดาผลงานของผกก. Naruse นอกจากนี้ยังกวาดรางวัลใหญ่อีกนับไม่ถ้วนในประเทศญี่ปุ่น (สมัยนั้นประกาศแต่ผู้ชนะ ไม่มีรายชื่อผู้เข้าชิง)

  • Kinema Junpo Award
    • Best Film
    • Best Director
    • Best Actor (Masayuki Mori)
    • Best Actress (Hideko Takamine)
  • Mainichi Film Award
    • Best Film
    • Best Director
    • Best Actress (Hideko Takamine)
    • Best Sound Recording
  • Blue Ribbon Award
    • Best Film

แผ่น Blu-Ray ล่าสุดของค่าย BFI Video เมื่อปี ค.ศ. 2024 มีขึ้นข้อความ “Newly Restored” แต่ไม่ได้ลงรายละเอียดใดๆเพิ่มเติม ถึงอย่างนั้นเมื่อเปรียบเทียบกับบ็อกเซ็ตดีวีดี BFI: Mikio Naruse Collection (Late Chrysanthemums, Floating Clouds และ When a Woman Ascends the Stairs) คุณภาพดีขึ้นหลายเท่าตัว ไร้ริ้วรอยขีดข่วน ของแถมก็น่าซื้อเก็บยิ่งนัก!

ส่วนตัวมีความหลงใหลคลั่งไคล้กับภาพยนตร์แนวเฉี่ยวรัก ความรักที่ไม่มีวันได้ครอบครอง Floating Clouds (1955) อาจแตกต่างจากเรื่องอื่นที่คนสองเคยมีช่วงเวลาแห่งความสุขกระสันต์ แต่กาลเวลาทำให้หลงเหลือแค่เพียงความทรงจำ โหยหา คร่ำครวญ เจ็บปวดรวดร้าวทรวงใน มิอาจควบคุมธารน้ำตาไม่ให้เอ่อไหลนอง

Floating Clouds (1955) ไม่ใช่หนังที่คนทั่วไปรับชมแล้วจะสามารถเข้าใจเหตุผล ทำไมถึงได้รับการยกย่องกล่าวขวัญ หนึ่งในภาพยนตร์ญี่ปุ่นยอดเยี่ยมตลอดกาล? มันอาจต้องใช้ประสบการณ์ การครุ่นคิดวิเคราะห์ ศึกษาผลงานอื่นๆของผกก. Naruse แล้วจะพบเห็นความเฉี่ยวรักที่ล่องลอยสู่ความเป็นนิรันดร์

ถ้าคุณสามารถทำความเข้าใจได้ว่า Brief Encounter (1945) ยิ่งใหญ่กับชาวอังกฤษอย่างไร? Spring in a Small Town (1948) ยิ่งใหญ่กับชาวจีนอย่างไร? Floating Clouds (1955) ก็ยิ่งใหญ่กับชาวญี่ปุ่นเช่นนั้นแล!

จัดเรต 13+ กับการคบชู้นอกใจ

คำโปรย | Floating Clouds ความรักที่เฉี่ยวกันไป เฉี่ยวกันมาระหว่าง Masayuki Mori และ Hideko Takamine ทำให้ผู้กำกับ Mikio Naruse ล่องลอยสู่ความเป็นนิรันดร์
คุณภาพ | ร์พี
ส่วนตัว | เฉี่ยวรัก


Floating Clouds

Floating Clouds (1955) Japanese : Mikio Naruse ♥♥♥♥

(21/6/2016) Ukigumo ผลงาน masterpiece ของผู้กำกับ Mikio Naruse ที่น้อยคนอาจรู้จัก, นี่เป็นหนังที่นักวิจารณ์ในญี่ปุ่น จัดอันดับภาพยนตร์ญี่ปุ่นยอดเยี่ยมตลอดกาลครั้งล่าสุด (Kinema Jumpo ปี 2009) โดยให้ Floating Clouds ติดอันดับ 3 (เป็นรองเพียง Tokyo Story และ Seven Samurai), เรื่องราวของหญิงสาวคนหนึ่งหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 เธอดิ้นรนค้นหาสถานที่ที่เป็นของตก แต่กลับไม่ค้นหาไม่พบ ลงเอยด้วยการล่องลอยไปมา (floating endless) จนกระทั่งเสียชีวิต

นี่เป็นหนัง melodrama ที่โคตรน้ำเน่าเรื่องหนึ่ง หญิงสาวที่ตกอยู่ในห้วงของความรัก และชายหนุ่มที่ตัดสินใจไม่ใช้ชีวิตอยู่แต่ในความฝัน หนังให้คำนิยาม ‘ความรัก’ บน ‘ความจริง’ เป็นไปได้หรือไม่ ที่คนเราจะใช้ชีวิตอยู่บนความฝันในโลกความจริงที่โหดร้าย, ถ้าคุณเป็นวัยรุ่นหนุ่มสาวที่ชอบเพ้อฝัน และเชื่อในรักแท้ หนังเรื่องนี้น่าจะช่วงตอกย้ำในความคิดของคุณ มองความรักเป็นสิ่งจำเป็นและขาดไม่ได้, สำหรับวัยผู้ใหญ่ หนังเรื่องนี้อาจทำให้คุณเกิดความรู้สึก Nostalgia กับความรัก และหนังสะท้อนความจริงที่เจ็บปวดว่า โลกมันไม่ได้สวยงามดั่งเราเคยฝันไว้

Mikio Naruse เป็นผู้กำกับรุ่นเดียวกับ Akira Kurosawa, Yasujirō Ozu และ Kenji Mizoguchi แต่เพราะญี่ปุ่นมีปรมาจารย์ชื่อดังถึง 3 คนแล้ว ทำให้ชื่อของ Mikio Naruse ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักนอกญี่ปุ่นนัก ทั้งๆที่ผลงานของ Naruse ได้รับการยอมรับในญี่ปุ่นเทียบเท่ากับ Kursawa และ Ozu เลยด้วยซ้ำ, สไตล์ของ Naruse ขึ้นชื่อเรื่องการสร้างหนังให้มีความเยือกเย็น มืดมัวและมองโลกในแง่ร้าย (bleak and pessimistic outlook) ชอบทำหนังแนว Shomin-Geki (Working-Class Drama) โดยมีผู้หญิงเป็นตัวดำเนินเรื่อง, ผลงานของ Naruse มักได้รับการเปรียบเทียบกับ Ozu บ่อยครั้ง เพราะหลายเรื่องมีแนวคิดสอดคล้องกัน ใครที่ชอบหนังของ Ozu แนะนำให้ลองหาผลงานของ Naruse มาดูด้วยนะครับ

ผลงานเอกของ Naruse ประกอบด้วย Late Chrysanthemums (1954), Floating Clouds (1955) และ When a Woman Ascends the Stairs (1960) ซึ่งในบรรดา 3 เรื่องนี้ Floating Clouds ได้รับการยกย่องและพูดถึงมากที่สุด เป็นหนังที่ประสบความสำเร็จที่สุดของ Naruse อีกด้วย ซึ่งสามารถคว้ารางวัล
– Blue Ribbon Awards สาขา Best Film
– Kinema Junpo Award ได้ 4 รางวัล Best Film, Best Director, Best Actor และ Best Actress
– Mainichi Film ได้ 4 รางวัล Best Film, Best Director, Best Actress และ Best Sound Recording
สมัยนั้นยังไม่มี Japan Academy Prize นะครับ (เริ่มครั้งแรกปี 1978) ซึ่งการที่หนังกวาดเรียบ จากงานประกาศรางวัลทั้ง 3 ของญี่ปุ่น ในยุคที่หนังของ Kurosawa และ Ozu กำลังมีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลก แสดงให้เห็นว่า Mikio Naruse ถือว่ามีความยอดเยี่ยมยิ่งใหญ่ไม่แพ้ปรมาจารย์ทั้งสองเลยทีเดียว

ครั้งหนึ่ง Kurosawa พูดชมถึงสไตล์ Melodrama ของ Naruse ว่า ‘เปรียบเสมือนแม่น้ำสายใหญ่ ที่เบื้องบนดูสงบนิ่ง แต่ลึกลงไปมีกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก’, Yasujirō Ozu เมื่อได้ชม Floating Clouds ในปี 1955 เรียกหนังเรื่องนี้ว่า “a real masterpiece”

สร้างจากนิยายในชื่อเดียวกันของผู้แต่ง Fumiko Hayashi ที่เขียนเสร็จก่อนเสียชีวิตเมื่อปี 1951 ดัดแปลงเป็นบทภาพยนตร์โดย Yōko Mizuki, หนังของ Naruse ดัดแปลงมาจากผลงานของ Hayashi หลายเรื่องเลยละ เพราะผลงานของเธอขึ้นชื่อเรื่องมีความ Feminist สูงมากๆ ซึ่งตรงกับความสนใจของ Naruse (เห็นว่าทั้งสองรู้จักกันด้วยนะครับ Naruse ชื่นชอบผลงานของ Hayashi และ Hayashi ชื่นชอบผลงานของ Naruse) สำหรับ Floating Clouds มีพื้นหลังในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 (Post-Wars) ตัวละครหญิงดิ้นรนค้นหาสถานที่ที่เป็นของเธอ แต่ไม่สามารถค้นพบ ลงเอยด้วยการล่องลอยไปมา (floating endless) เหมือนกับก้อนเมฆ ไม่มีที่พักพิงทางจิตใจ จนกระทั่งเสียชีวิตในตอนจบ

The female main character struggles to find where she belongs in post-war Japan, and ends up floating endlessly until her death at the novel’s end.

นำแสดงโดย Hideko Takamine ในบท Yukiko Koda หญิงสาวที่เชื่อในรักแท้ แต่เพราะโลกความจริงมันช่างโหดร้าย ทำให้เธอต้องเปิดใจยอมรับกับทุกสิ่งทุกอย่าง กลายเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย ชอบการเสียดสี ซ้ำเติม แต่เบื้องลึกในใจ ยังคงจมอยู่ในอดีตที่แสนหวาน ในความฝันที่วาดไว้ว่า สักวันอดีตเหล่านั้นคงกลับมาหาเธอ, Takamine เป็นหนึ่งในนักแสดงชื่อดังแห่งยุคทองของญี่ปุ่น การแสดงของเธอโดยเฉพาะกับหนังเรื่องนี้ ถือว่าเป็นจุดสูงสุดในชีวิตเลยละ ทำเงินมากมาย กวาดรางวัลนับไม่ถ้วน, นิตยสาร Kinema Jumpo จัดอันดับ Japanese Movie Star แห่งศตวรรษที่ 20 ชื่อของ Hideko Takamine ติดอันดับนักแสดงหญิงผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในญี่ปุ่นลำดับที่ 4 ใครเป็นคอหนังญี่ปุ่น ควรจะต้องรู้จักชื่อของเธอไว้ด้วยนะครับ

Masayuki Mori รับบท Kengo Tomioka คนรักของ Yukiko Koda ตั้งแต่สมัยสงครามโลก พบรักกันที่ Da-Lat, Vietnam แต่พอสงครามจบ Tomioka ต้องกลับมาหาภรรยา และใช้ชีวิตอยู่บนความพ่ายแพ้สงครามของญี่ปุ่น, ตัวละครนี้เป็นผู้ชายประเภท ต้องการทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ไม่ยอมสูญเสียอะไรสักอย่าง นี่เป็นความมักมากประเภทหนึ่ง ที่พอเขาเริ่มควบคุมการสูญเสียไม่ได้ เขาก็จะสูญเสียทุกอย่าง, การปรากฏตัวของตัวละครนี้เปรียบเสมือนสายลม ที่เดี๋ยวพัดไปพัดมา เดี๋ยวรัก เดี๋ยวหลง ปากอย่าง-คิดอย่าง-ใจอย่าง-และทำอีกอย่าง คงมีแค่รักแท้อย่าง Yukiko Koda เท่านั้นที่สามารถเข้าใจความคิด ความรู้สึก ความต้องการของเขาได้

ผมจำหน้าของ Masayuki Mori ได้ตั้งแต่ตอนเขาเล่น Rashomon และ Ugetsu นะครับ จะว่าตัวละคร Tomioka ในเรื่องนี้ ดูคล้ายกับบทที่เขาเล่นใน Ugetsu มากๆ ตรงที่นอกใจภรรยาไปชอบผู้หญิงที่สวยกว่า อ่อนวัยกว่า แต่สุดท้ายก็ซมซานกลับมาหาคนรักเก่า, ไม่รู้ตัวจริงพี่แกเป็นแบบนี้ด้วยหรือเปล่า ถึงได้รับบทคล้ายๆกันนี้อยู่เรื่อยๆ, Masayuki Mori ก็ถือเป็นนักแสดงชายที่ทรงอิทธิพลที่สุดในญี่ปุ่นคนหนึ่งนะครับ นิตยสาร Kinema Jumpo จัดลำดับ 3 เป็นรองเพียง Toshiro Mifune และ Yujiro Ishihara เท่านั้น

ถ่ายภาพโดย Masao Tamai, ผมรู้สึกงานถ่ายภาพจะค่อนข้างคล้ายกับงานภาพยุคแรกๆของ Yasujirō Ozu นะครับ คือมีการถ่ายมุมเงยระดับต่ำกว่าสายตา และชอบแช่ภาพถ่ายทิ้งไว้นานๆ และตอนที่กล้องเคลื่อนไหว ก็มักเคลื่อนตามตัวละคร (ให้ตัวละครเป็นจุดศูนย์กลาง) ให้ความรู้สึกเหมือนกับภาพนิ่งที่มีฉากหลังเคลื่อนไหว มากกว่าเห็นตัวละครเคลื่อนไหว, ซึ่งแนวทางนี้ก็ไม่เชิงเรียกว่าสไตล์ Ozu นะครับ เป็นวิวัฒนาการที่ได้มาจากยุคหนังเงียบของญี่ปุ่น ทำให้รู้สึกเหมือนมีความคล้ายกันแต่จริงๆต่างกันเยอะอยู่, งานภาพของหนังเรื่องนี้ผมลองวิเคราะห์ดู ไม่ได้มีการจัดวางองค์ประกอบแบบเดียวกับหนังของ Ozu แถมเราจะได้เห็นมุมกล้องแปลกๆ ซึ่ง Ozu มักจะหน้าตรงเท่านั้น แต่กับหนังเรื่องนี้มีถ่ายจากฝั่งซ้าย ฝั่งขวา เห็นเป็น Isometric ไม่ใช่ Oblique

ตัดต่อโดย Hideshi Ohi นี่ถือว่าเด่นมากๆนะครับ ช่วงแรกมีการตัดสลับระหว่างอดีตกับปัจจุบัน อดีตเป็นภาพ Flashback ย้อนเล่าเรื่องให้เราเข้าใจพื้นหลังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น (ช่วงสงครามโลก) พอหมดช่วงแล้วก็ดำเนินเรื่องไปข้างหน้า โดยใช้เทคนิคการกระโดด ไม่ใช่ jump-cut นะครับ แต่เป็น scene jump-cut คือพอจบฉากหนึ่ง ก็กระโดดข้ามช่วงเวลาไปอนาคตข้างหน้าเลย ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปมากน้อยเท่าไหร่ เป็นแบบนี้ตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งหนังมักไม่ค่อยมีฉากที่ช่วงเวลาต่อเนื่องกันยาวนัก, กระนั้นการกระโดดนี้ข้ามช่วงเวลาแบบนี้กลับดูลื่นไหลต่อเนื่องเหมือนดั่งสายน้ำไหล ผมเรียกการตัดต่อแบบนี้ว่า time jump ข้ามช่วงเวลาที่ไม่สำคัญไป นำเสนอเฉพาะช่วงเวลาที่มีความสำคัญต่อตัวละครและเนื้อเรื่องเท่านั้น เราจึงเห็นใจความของหนังมีความต่อเนื่อง แม้เรื่องราวจะไม่ต่อเนื่องกันเลยก็เถอะ

เพลงประกอบโดย Ichirō Saitō เจ้าของเพลงประกอบสุดหลอนจาก The Life of Oharu, ตอนเพลง intro ดังขึ้น ความคิดแวบแรกที่เข้ามาในหัว คือเหมือนเพลง Arab (คล้ายๆ Lawrence of Arabia) มีเสียงขลุ่ยที่เด่นมาก และเสียงกลอง ฟังช่วงแรกๆอาจรู้สึกไม่ค่อยเข้ากับหนังเท่าไหร่ แต่พอสักกลางเรื่องก็จะเริ่มคุ้น เพราะบรรยากาศของเพลงมันจะดูลึกลับ หลอนๆ ซึมเศร้า และหดหู่, การเลือกขลุ่ยและกลอง หนังใช้เป็นตัวแทนของป่าที่ลึกลับซับซ้อน เหมือนกับจิตใจ เป็นที่หลบซ่อนของความต้องการของตัวละครทั้งหลาย, ใน Da-Lat ที่เป็นรังรักของคู่พระนาง ที่พอทั้งสองกลับจากสงคราม ผู้หญิงนั้นไม่อาจลืมเลือนรสชาติรัก ที่นั่นคือโลกความจริงของเธอ, แต่ผู้ชายกลับต้องการลืมเพราะที่นั่นเป็นเหมือนแค่ความฝัน ไม่ใช่ความจริงสำหรับเขา

ผมชอบโปสเตอร์หนังที่เลือกมามากนะครับ
ผู้ชายยืนอยู่ แสดงถึงอิทธิพล ผู้นำ ตำแหน่งที่อยู่สูงกว่าผู้หญิง
นางเอกนั่งอยู่ แสดงถึงเบี้ยล่าง ผู้ตาม ที่อยู่ต่ำกว่าผู้ชาย
และผู้หญิงอีกคนที่อยู่นอกกรอบ คือคนที่นอก (ชู้) ที่ระดับต่ำกว่านางเอกเสียอีก

หญิงสาวไม่สามารถตัดใจลืมเลือนช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของเธอได้ สิ่งที่เธอต้องการแม้รู้ว่าวันคืนเหล่านั้นไม่สามารถย้อนคืนกลับมาได้ ก็คือนานๆครั้งก็ยังดีที่ทำให้ระลึกได้ถึงช่วงเวลานั้น การได้อยู่กับเขาแค่เพียงเสี้ยวนาที ก็ทำให้เธอมีความสุข, สำหรับผู้ชายนี่ดูเป็นสิ่งที่ขอมากไป แต่กับพระเอกในเรื่อง เขาก็ต้องการเช่นนั้นเหมือนกัน เพื่อเป็นการหนีออกจากโลกที่โหดร้าย การอยู่ด้วยกันคือช่วงเวลาแห่งความสุขของทั้งคู่ แต่เขาก็ corrupt เธอ เพราะต่างก็เข้าใจกันดี รู้ว่าไม่ว่าทำอะไรเธอต้องให้อภัยเขาได้ การอยู่กับเธอจึงแทนที่จะเหมือนคู่รัก แต่เหมือนคู่เล่นเสียมากกว่า

บอกตามตรง ผมว่าหนังเรื่องนี้มันน้ำเน่านะ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทนดูไปได้ยังไง คงเพราะอยากรู้ว่าจุดจบ โชคชะตาจะเล่นตลกอะไร, ซึ่งกลับผิดคาดเลยละ ตอนจบกลับเป็นอะไรที่สวยงามมากๆ ขณะที่ทั้งสองกำลังจะได้กลับไปอยู่ในป่าอีกครั้ง (คราวนี้เป็นป่า Hokkaido) ที่นั่นกำลังจะกลายเป็นรังรักใหม่ของทั้งคู่ แต่โชคชะตาเล่นตลกที่ทำให้เธอเจ็บป่วยใกล้ตาย ซึ่งทำให้พระเอกรู้สึกตัวว่า สิ่งที่เขาต้องการที่สุดคืออะไร หลังจากไม่รู้กี่ปีที่เลี่ยงไม่คิดถึง ไม่แสดงออกมา การอยู่ด้วยกันช่วงสุดท้ายนี้ทำให้รู้ว่า ตัวเขาขาดเธอไม่ได้ ผู้หญิงที่เข้าใจเขาที่สุด, และเมื่อเธอจากไปก็ทำให้เขาเศร้าโศกเสียใจที่สุด นี่เป็นภาพที่สวยงามมากๆ วินาทีที่พระเอกระลึกความจริงได้ ความตายก็พรากความสุขที่สุดในชีวิตของเขาไปแล้ว

ประโยคหนึ่งในหนังที่เจ๋งมากๆ You can’t fight FATE. ไม่มีใครสามารถต่อสู้กับโชคชะตาได้ แต่เราสามารถทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้, ผมเชื่อว่าก่อนหน้าสงคราม พระเอกน่าจะเป็นคนที่รักภรรยามากๆ แต่งงานโดยไม่คิดนอกใจเธอแน่ๆ แต่เพราะสงครามทำให้เขาต้องออกจากบ้าน เดินทางไกล เกิดความเหงา อ้างว้าง โดดเดี่ยวเดียวดาย และบังเอิญได้พบกับหญิงสาววัยรุ่นสวยสะคราญ ทำให้เขาไม่ฝืนต่อโชคชะตาความต้องการของตน, พอสงครามจบกลับมาบ้านเกิด อะไรๆก็เปลี่ยนไป โชคชะตาพลิกผัน ความคิดเปลี่ยนไป โลกเปลี่ยนไป สังคมเปลี่ยนไป แต่ความต้องการของมนุษย์ยังคงเหมือนเดิม แม้เขาจะพยายามเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่โชคชะตาก็นำพาเขากลับสู่เข้าวิถีเดิม, ในหนังเราจะรู้สึกพระเอกไม่สามารถเอาชนะโชคชะตา(ความต้องการ)ของตัวเองได้เลย แต่เราสามารถทำความเข้าใจเขาได้นะครับ ว่าทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ อะไรคือสาเหตุ และอะไรคือปัญหา

ประเด็น Feminist ในหนัง แสดงถึงผลกระทบของสงครามต่อผู้หญิง เพราะความที่ผู้ชายมักจะเปลี่ยนไป(หลังจากสงคราม) แต่ผู้หญิงซึ่งไม่ได้ออกไปรบก็จะไม่เข้าใจว่าทำไม เกิดอะไรขึ้น?, กับคนที่ได้รับผลกระทบจากสงครามอย่างเต็มๆ โอกาสที่เขาจะกลับเป็นปกติน้อยมากๆ มีความเป็นไปได้ที่จะเลิกรากับผู้หญิงที่เคยคบกันหรือแต่งงานกันแล้ว, ในสมัยนั้นผู้หญิงที่ถูกทิ้งมักไม่มีตัวเลือกในการใช้ชีวิตเหลืออยู่มาก ถ้าไม่กลายเป็นโสเภณี ก็กลายเป็นคนบ้า ติดยา ขอทานอยู่ข้างถนน สังคมไม่เหลียวแล, ต้องถือว่านางเอกในหนังเรื่องนี้ โชคดีที่เอาตัวรอดได้ (จริงๆก็น่าจะพอเดาได้อยู่ว่าเธอทำงานอะไร) ที่ภายหลังโชคดีได้แต่งงานกับผู้ชายรวยๆ, การจะรวยในสมัยนั้น ถ้าไม่โชคดี ฉลาด ก็ต้องแกมโกง, หนังต้องการนำเสนอว่า สงครามก็มีผลกระทบต่อผู้หญิงไม่น้อยกว่าผู้ชาย

นี่ไม่ใช่หนังที่เหมาะกับเด็กแน่นอน แม้จะไม่มีฉาก love scene ที่โจ่งแจ้ง แต่คำพูดและการกระทำ ที่เราสามารถจินตนาการไปต่างๆนานาได้เอง โดยไม่ต้องมีฉากพวกนี้ปรากฏอยู่เลย แต่รู้ได้เพราะเรื่องราวมันสื่อไปทางนั้นจริงๆ, นี่ทำให้ผมรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้เจ๋งมากๆ เพราะมีความคลุมเคลือ ไม่ได้บอกเราหรือนำเสนอทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกขั้นทุกตอน การกระโดดข้าม Time Jump ทำให้เราต้องคิดค้นหาคำตอบเอาเองว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงเวลาที่หายไป มันจึงมีความพิศวงน่าค้นหา มีมิติที่แล้วแต่ใครจะคิดจินตนาการ เข้าใจได้

ถ้าคุณไม่รู้จะหยิบหนังเรื่องใดของ Mikio Naruse มาดู หรือถ้ามีโอกาสเลือกดูได้แค่เรื่องเดียว ผมแนะนำให้เลือก Floating Clouds มาดูนะครับ นี่คือผลงานที่เป็นตัวแทนของ Naruse ดูเรื่องเดียวเข้าใจสไตล์ของเขาเลย และถือเป็นผลงานที่ดีที่สุด ประสบความสำเร็จที่สุด ได้รับการยอมรับที่สุดของเขาด้วย

แนะนำกับคอหนังญี่ปุ่น, หนังคลาสสิคเจ๋งๆ, แฟนหนังของ Ozu แนะนำให้หาหนังของ Naruse มาดูนะครับ, จัดเรต 13+ กับเรื่องราวที่สามารถจินตนาการเตลิดเปิดเปิงไปไกลได้

TAGLINE | “Floating Clouds ผลงาน Masterpiece ของ Mikio Naruse ที่จะทำให้คุณล่องลองเหมือนก้อนเมฆ ตามหาจุดเชื่อมกันระหว่างความฝันกับความจริง”
QUALITY | RARE-GENDARY
MY SCORE | LIKE

Leave a Reply

avatar

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

  Subscribe  
Notify of
%d bloggers like this: