
Days of Youth (1929)
: Yasujirô Ozu ♥♥♥♡
ผลงานเก่าแก่ที่สุดหลงเหลือถึงปัจจุบันของผู้กำกับ Yasujirô Ozu, นำเสนอเรื่องราวโรแมนติก-คอมเมอดี้ของสองเพื่อนสนิทตกหลุมรักหญิงสาวคนเดียวกัน พยายามเกี้ยวพาราสี ขายขนมจีบ ชักชวนไปเล่นสกี สุดท้ายแล้วเธอจะเลือกใคร?
ผกก. Ozu กำกับภาพยนตร์เรื่องแรก Sword of Penitence (1927) และเมื่อปี ค.ศ. 1928 สร้างหนังสั้น-ยาวอีก 5 เรื่อง ทั้งหมดล้วนสูญหาย (Lost Film) คาดว่าถ้าไม่เพราะฟีล์มเสื่อมสภาพ ก็น่าจะถูกไฟไหม้ (ฟีล์มไนเตรตสมัยก่อนติดไฟง่าย) ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง
Days of Youth คือหนึ่งในสองเรื่อง [อีกเรื่องคือหนังสั้น A Straightforward Boy] ออกฉายปี ค.ศ. 1929 แล้วหลงรอดมาจนถึงปัจจุบัน [จริงๆยังมี Fighting Friends Japanese Style เหลือรอด 14 นาที และ I Graduated, But… อีกสิบนาที] ถือเป็นโอกาสยากยิ่งรับชมผลงานยุคแรกๆของผกก. Ozu ก่อนวิวัฒนาการสไตล์ลายเซ็นต์ พบเห็นอิทธิพลจากหนังตะวันตก 7th Heaven (1927), Harold Lloyd และ Ernst Lubitsch
One of the joys of watching this film is just to observe how Ozu’s trademark style and themes had not yet developed in his earliest features. While underneath the surface you can discover some of the roots, this film heavily contrasts his most familiar and memorable masterworks.
ความคิดเห็นจาก ozusan.com
ทีแรกผมตั้งใจจะข้ามไปเขียนถึง Tokyo Chorus (1931) ผลงานที่ถือเป็น ‘Mature Film’ เรื่องแรกของผกก. Ozu แต่หลังจากพบเห็นชาร์ทภาพยนตร์ The best Japanese film of every year – from 1925 to now (2020) ของนิตยสาร Sight & Sound (BFI.co.uk) เลือกเอา Days of Youth คือผลงานยอดเยี่ยมที่สุดของปี ค.ศ. 1929 เลยเกิดความฉงนสงสัย ลองหามารับชมสักหน่อยก็แล้วกัน
ระหว่างรับชมทำให้ผมตระหนักว่า Days of Youth (1929) ไม่ใช่แค่เรื่องราวรักๆใคร่ๆ ความละอ่อนวัยของคนหนุ่มสาว แต่ยังผกก. Ozu ที่ยังมีความบริสุทธิ์ทางภาพยนตร์ อยู่ในช่วงทดลองผิดลองถูก นำเสนอสิ่งที่ตนเองชื่นชอบหลงใหล แสดงออกอิทธิพลชาติตะวันตกอย่างตรงไปตรงมา … สิ่งเหล่านี้เมื่อเขาเติบโตขึ้น มันจะค่อยๆเลือนหายและสาปสูญโดยไม่รู้ทำไม?
Yasujirô Ozu (1903-63) ผู้กำกับภาพยนตร์ สัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Fukagawa, Tokyo เป็นบุตรที่สองจากพี่น้อง 5 คน ตอนเด็กๆชอบโดดเรียนไปดูหนัง Quo Vadis (1913), The Last Days of Pompeii (1913) กระทั่งรับชม Civilization (1918) เกิดความมุ่งมั่นต้องการทำงานผู้สร้างภาพยนตร์, เรียนจบมัธยมอย่างยากลำบากเพราะเป็นเด็กหัวช้า สอบเข้ามหาวิทยาลัยแห่งไหนก็ไม่ติด โชคดีมีลุงเป็นนักแสดงสตูดิโอ Shochiku Film Company ได้ทำงานผู้ช่วยตากล้อง ไต่เต้าขึ้นเป็นผู้ช่วยผู้กำกับ ไม่นานได้กำกับหนังเงียบเรื่องแรก Sword of Penitence (1927) น่าเสียดายฟีล์มสูญหายไปแล้ว
การมาถึงของวิกฤตการณ์การเงิน Shōwa Financial Crisis (1927) ทำให้ Shiro Kido ผู้บริหารสตูดิโอ Shōchiku ตัดสินใจรัดเข็มขัด ปรับเปลี่ยนทิศทางภาพยนตร์ มุ่งเน้นสร้างหนังสั้นคอมเมอดี้ (Short Comedy) โดยใช้เพียงนักแสดงสมัครเล่น เพื่อประหยัดงบประมาณ ออกฉายได้อย่างรวดเร็ว
ผกก. Ozu ที่เพิ่งไต่เต้าขึ้นมาเป็นผู้กำกับก็ทำตามวิสัยทัศน์ดังกล่าว โดยผลงานช่วงแรกๆร่วมงานขาประจำนักเขียน Akira Fushimi, 伏見晁 (1900-70) ค่ำมืดเมื่อไหร่ชวนกันไปนั่งดื่มแถวๆ Ginza พูดคุยแลกเปลี่ยน เล่าให้ฟังถึงประสบการณ์มหาวิทยาลัย (Fushimi เคยเข้าเรียน Meiji University แต่ไม่นานก็ลาออกมา) นำมาเป็นแรงบันดาลใจสร้างพล็อตเรื่องราวโรแมนติก-คอมเมอดี้
In those days, Akira Fushimi and I were always making up stories like that. Many of my work of that period were collaborations with Fushima. When dusk falls, we would walk around Ginza, drink and have dinner, then talk about our script as we made our way to my home in Fukagawa. Then, we would chat, listen to music and brew some English tea. We’d stay up all night like this, and by the crack of dawn, we’d have the outlines of the story. Somehow, we always managed to come up with a script in one night. Looking back, it really amazes me.
Yasujirô Ozu
ช่วงระหว่างที่ผกก. Ozu ยังเป็นเด็กฝึกงานภายใต้ผู้กำกับ Okubo Tadamoto เป็นคนชื่นชอบการเล่นสกีอย่างมากๆ ฤดูหนาวมาถึงทีไรก็พาลูกน้องออกเดินทางสู่ Akakura แล้วเข้าพักยัง Hotel Takadaya (เจ้าของโรงแรมคือญาติของตากล้อง Hideo Shigehara) จนแทบจะกลายเป็นสาขาย่อยสตูดิโอ Shōchiku ช่วงฤดูหนาว!
ผมอ่านเจอเหตุผลจริงๆที่ครึ่งหลังของหนังนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับการเล่นสกี เพราะสตูดิโอคู่แข่ง Nikkatsu ก่อนหน้านี้ไม่นานสร้างหนังเกี่ยวกับการเล่นสกี Suki Moshin (1929) แล้วทำเงินได้ไม่น้อย บรรดาโปรดิวเซอร์และผู้กำกับของ Shōchiku เลยไม่ยอมน้อยหน้า!
เกร็ด: Working Title แรกสุดของหนังคือ 思い出 อ่านว่า Omoide แปลว่า Memory คงต้องการจะสื่อถึงความทรงจำสมัยวัยรุ่น/นักศึกษามหาวิทยาลัย, ขณะชื่อหนังใหม่ 学生ロマンス 若き日 อ่านว่า Gakusei Romance: Wakaki Hi แปลตรงตัว Student Romance: Days of Youth
สองนักศึกษามหาวิทยาลัย Watanabe (รับบทโดย Ichirō Yūki) และ Yamamoto (รับบทโดย Tatsuo Saitō) แอบตกหลุมรักหญิงสาวคนเดียวกัน Chieko (รับบทโดย Junko Matsui) หลังสอบปลายภาคเสร็จสิ้น ทั้งสองจึงตัดสินใจเดินทางสู่ Akakura เพื่อร่วมเล่นสกี แข่งขันกันเกี้ยวพาราสี สุดท้ายแล้วเธอจะตัดสินใจเลือกใคร
Ichirō Yūki, 結城一朗 ชื่อจริง Tatsuo Matsuzaki, 松崎 龍雄 (1904-88) นักแสดงสัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Tokyo, บิดาเคยประธานธนาคาร Fuso Bank (ก่อนเปลี่ยนชื่อเป็น Shinkoku Bank แล้วล้มละลายปี ค.ศ. 1918) โตขึ้นเข้าเรียนภาคค่ำคณะบริหารธุรกิจ Nihon University ส่วนตอนกลางวันทำงานเขียนซับไตเติ้ลสตูดิโอ Kokusai Film Studios, หลังเรียนจบเมื่อปี ค.ศ. 1924 เข้าร่วมสตูดิโอ Shōchiku จับพลัดจับพลูกลายมาเป็นนักแสดง แจ้งเกิดกับ Days of Youth (1929), No Blood Relation (1932), Street Without End (1934) ฯ
รับบท Bin Watanabe นักศึกษาหนุ่มหล่อ แม้เป็นคนเฉลียวฉลาด แต่มีนิสัยขี้เกียจสันหลังยาว วันๆแทนที่จะอ่านหนังสือกลับครุ่นคิดแผนจีบสาว เขียนป้ายให้เช่าห้องพัก จนกว่าจะพบเจอคนถูกใจถึงยินยอมย้ายออก แล้วมาสิงสถิตอยู่ห้องเพื่อนสนิท Yamamoto พอรับรู้ว่าอีกฝ่ายชื่นชอบหญิงสาวคนเดียวกัน ก็พยายามทุกสิ่งอย่างเพื่อกลั่นแกล้ง กีดขวางกั้น
นี่คือผลงานแจ้งเกิดของ Yūki พระเอกหนุ่มหล่อ แม้มีความเฉลียวฉลาด เล่นสกีไม่นานก็เก่งกาจ แต่อุปนิสัยแตกต่างจากหน้าตา โคตรจะเห็นแก่ตัว เอาแต่ใจ กลั่นแกล้ง(บูลลี่)ได้กระทั่งเพื่อนสนิท ไร้เกียรติ ไร้ศักดิ์ศรี บุคคลพรรค์นี้ไม่น่าคบหาเลยสักนิด! แต่เพราะนี่คือหนังคอมเมอดี้ ตัวละครวัยรุ่นอารมณ์ร้อน มันเลยสร้างเสียงหัวเราะฮาเฮ … แต่ผู้ชมสมัยนี้บางคนอาจหัวร่อไม่ออกสักเท่าไหร่
แซว: ในหนังตัวละคร Watanabe แม้เพิ่งฝึกหัดกลับสามารถเล่นสกีได้เก่งมากๆ แต่ตัวจริงของ Yūki เล่นแย่ที่สุดในกลุ่ม! ตรงกันข้ามกับตัวละคร Yamamoto ที่ควรเล่นได้แย่ Saitō พอมีฝีไม้ลายมือไปวัดไปวา! เทพสุดต้องยกให้ตากล้อง Hideo Shigehara (ก็แน่ละญาติเป็นเจ้าของโรงแรม เล่นสกีมาตั้งแต่เด็ก) มันจะมีฉากที่เพื่อนนักศึกษาโชว์ความสามารถ คนแสดงก็คือเขาคนนี้นี่แหละ!
Tatsuo Saitō, 斎藤 達雄 (1902-68) นักแสดงสัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Sagacho, Tokyo บิดาเป็นพ่อค้าขายข้าว แต่มีความหลงใหลด้านการแสดง ให้เงินทุนสนับสนุนคณะทัวร์การแสดงจนหมดเนื้อหมดตัว จำต้องย้ายบ้านไปอาศัยอยู่ Sotokanda การมาถึงของสื่อภาพยนตร์ ร่วมทุนเปิดโรงหนังที่ Asakusa ทำให้บุตรชายมีความหลงใหลคลั่งไคล้ ใฝ่ฝันอยากเป็นนักแสดง โตขึ้นเริ่มจากเข้าร่วมสตูดิโอ Nikkatsu ก่อนย้ายมา Shōchiku โด่งดังกับผลงาน Days of Youth (1929), Tokyo Chorus (1931), I Was Born, But… (1932), Every-Night Dreams (1933), Burden of Life (1935), What Did the Lady Forget? (1937), Ornamental Hairpin (1941) ฯ
รับบท Shūichi Yamamoto นักศึกษาหนุ่มแว่น ร่างกายสูงใหญ่ ทำเหมือนตั้งใจร่ำเรียนหนังสือ ถึงอย่างนั้นคะแนนสอบกลับออกมาไม่ค่อยดี แสดงว่าเป็นคนทึมทื่อ ซื่อบื้อ ไม่ค่อยทันคน อุตส่าห์ตั้งใจเก็บหอมรอมริด ปิดเทอมวางแผนไปเล่นสกีกับ Chieko แต่ถูกเพื่อนสนิทกลั่นแกล้ง ทรยศหักหลัง จนมองหน้ากันแทบไม่ติด
หน้าตาของ Saitō พอสวมใส่แว่นช่างละม้ายคล้าย Harold Lloyd ดูทึ่มทื่อ ซื่อบื้อ ไม่ค่อยรับรู้ประสีประสา ชอบทำอะไรๆผิดพลาด สร้างเสียงหัวเราะขบขัน เลยมักโดนกลั่นแกล้ง/บูลลี่ ยิ่งตอนถูกแย่งแฟนสาว เพื่อนสนิททรยศหักหลัง บางคนอาจรู้สึกสงสารเห็นใจ บางคนอาจขำไม่ออกสักเท่าไหร่
ทั้ง Yūki และ Saitō ต่างเป็นนักแสดงอนาคตไกล ฝีไม้ลายมือถือว่าจัดจ้านพอๆกัน แต่บังเอิญว่า Saitō ได้เล่นหนังระดับตำนาน(ที่หลงเหลือมาถึงปัจจุบัน)หลายเรื่องติดๆ เลยได้การจดจำมากกว่า!
Junko Matsui, 松井潤子 ชื่อจริง Junko Mizuhara, 水原 潤子 (1906-89) นักแสดงสัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Asakusa, Tokyo หลังเรียนจบมัธยม เริ่มต้นจากเป็นนักแสดงละคอนเวที Geijutsuza Theater ก่อนเข้าร่วมสตูดิโอ Kokusai Katsuei Film Studio แล้วย้ายมา Shōchiku พร้อมกับพี่สาว Chieko Matsui ผลงานเด่นๆ อาทิ Days of Youth (1929) ฯ
รับบท Chieko นักศึกษาสาวหน้าใส ละอ่อนวัย กำลังมองหาหอพักแห่งใหม่ หลังสอบปลายภาคก็วางแผนไปเล่นสกี สร้างความวุ่นๆวายๆให้สองหนุ่ม Watanabe & Yamamoto คอยติดตาม เกี้ยวพาราสี ปรนเปรอนิบัตอย่างดี แต่แท้จริงแล้วเธอมีจุดประสงค์อื่นเคลือบแอบแฝง
ตอนอยู่ Tokyo สวมใส่กิโมโน Matsui ดูเหมือนสาวเรียบร้อย ตั้งใจร่ำเรียน โตขึ้นเป็นแม่ศรีเรือน แต่พอเดินทางมาเล่นสกียัง Akakura สวมใส่เสื้อผ้าทะมัดทะแมง (แทบจำหน้าไม่ได้) พูดคุยเล่นสนุกสนาน ดูไม่ออกว่าเธอมีใจให้ใคร จนกระทั่งเบื้องหลังความจริงเปิดเผย บางคนอาจตบโต๊ะด้วยความสะใจ!
แม้บทบาทนี้จะไม่ได้เน้นขายการแสดง แต่บุคลิกภาพ กิริยาท่าทาง รอยยิ้มของ Matsui ดูเป็นสาวสมัยใหม่ กล้าพูดกล้าแสดงออก เปิดโอกาสให้กับสองหนุ่มได้ขายขนมจีบ เกี้ยวพาราสี ก่อนบดขยี้หัวใจแหลกละเอียด นี่มันสวยอันตราย (Femme Fatale) แต่เธอก็ไม่ได้ทำอะไรเลยสักสิ่งอย่าง มีแค่พวกเขา (และผู้ชม) คิดเองเออเองเสียหมด
และบุคคลที่ขาดไม่ได้ Chishū Ryū รับบทรุ่นพี่ชมรมสกี นักแสดงขาประจำของผกก. Ozu ในผลงานยุคแรกๆมักเพียงมารับเชิญ (Cameo) ปรากฎตัวแค่ไม่กี่วินาที แต่เรื่องพบเห็นหลายฉากอยู่ คาบไปป์อย่างเท่ห์ (ตัวละครสูบบุหรี่ คาบไปป์ ก็ถือเป็นอีกลายเซ็นต์ของผกก. Ozu)

ถ่ายภาพ/ตัดต่อโดย Hideo Shigehara, 茂原英雄 (1905-67) สัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Myoko City, Niigata Prefecture ครอบครัวเป็นเจ้าของกิจการโรงแรม พออายุ 17 เดินทางสู่กรุง Tokyo เข้าร่วมสตูดิโอ Shochiku แล้วกลายเป็นตากล้องขาประจำของผู้กำกับ Yasujirô Ozu ตั้งแต่ Dreams of Youth (1928) จนถึง What Did the Lady Forget? (1937) ก่อนรีไทร์จากวงการภาพยนตร์
ผลงานยุคแรกๆของผกก. Ozu ยังเป็นการทดลองผิดลองถูก รับอิทธิพลจากชาติตะวันตก (ยุโรป+สหรัฐอเมริกา) กำลังพัฒนาลายเซ็นต์ของตนเอง แต่ก็มีหลายสิ่งอย่างพอพบเห็นเค้าเลือนลาง ต้องรอคอยจนกว่า Tokyo Chorus (1931) ที่ถือเป็น ‘Mature Film’ ถึงมองผ่านๆแล้วบอกได้ว่านั่นคือ ‘สไตล์ Ozu’
ตั้งแต่เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ค.ศ. 1923 (Great Kantō Earthquake) ทำให้สตูดิโอภาพยนตร์หลายๆแห่งในกรุง Tokyo ราบเรียบเป็นหน้ากอง Shōchiku ตั้งอยู่ที่ Kamata ก็เฉกเช่นเดียวกัน! แม้จะสามารถเปิดกิจการใหม่ปีถัดมาแต่ก็หลงเหลือเพียงแค่โรงถ่ายเดียว ช่วงทศวรรษนั้นจึงนิยมใช้สถานที่จริงในการถ่ายทำ! Days of Youth (1929) ก็เฉกเช่นเดียวกัน นอกจากที่กรุง Tokyo, ฉากเล่นสกีเดินทางไป Akakura (ตั้งอยู่ยัง Myoko City, Niigata Prefecture) และเข้าพักยัง Hotel Takadaya
ภาพแรกและสุดท้ายของหนัง พบเห็นการแพนนิ่ง (Panning) กล้องหมุนรอบเกือบจะ 360 องศา (ตอนต้น-ท้ายเรื่อง กล้องจะหมุนทิศทางตรงกันข้าม) บันทึกภาพทิวทัศน์โดยรอบหอพัก มหาวิทยาลัยอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน เพียงระบุว่าตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของกรุง Tokyo … นี่อาจเรียกว่าเป็นการทดลองผิดลองถูกของผกก. Ozu ที่จักสูญหายไปในผลงานยุคหลังๆ

ในห้องพักของ Watanabe จะเต็มไปด้วยรูปภาพนักแสดงสาวสวยอย่าง Janet Gaynor, Louise Brooks ฯ และโปสเตอร์หนัง 7th Heaven (1927) กำกับโดย Frank Borzage นำแสดงโดย Janet Gaynor ** นักแสดงหญิงคนแรกคว้ารางวัล Oscar: Best Actress
(ข้อความ Diane บนโปสเตอร์ด้านหลังคือชื่อตัวละครของ Janet Gaynor ในภาพยนตร์ 7th Heaven (1927))

สไตล์คอมเมอดี้ของผกก. Ozu มีทั้งที่เป็น Slapstick (ล้มกลิ้งขณะเล่นสกี) แต่ส่วนใหญ่ทำออกมาคล้ายๆ Lubitsch Touch คือการสร้างสถานการณ์ (Situational Comedy) ยกตัวอย่าง Yamamoto บังเอิญเอามือไปสัมผัสเสาที่เพิ่งทาสีใหม่จนเปลอะเปลือน พยายามหลบซ่อน ปิดบังจาก Chieko แล้วพอเข้าร้านดื่มชา ครั้งแรกเกือบเผลอเท้าคาง แต่ไม่นานก็เอามือจับแก้ว และท้ายที่สุดก็ประทับเข้าเต็มแก้ม
แล้วเจ้านกในกรงมันเกี่ยวอะไร? ผมครุ่นคิดว่าสะท้อนถึงสถานการณ์นี้ที่ Yamamoto ไม่สามารถดิ้นหลบหนีโชคชะตากรรม มือข้างนั้นต้องพลั้งพลาดทำอะไรสักอย่าง!

มีอยู่สองสามครั้งที่ Watanabe & Yamamoto เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ผมครุ่นคิดอยู่นานว่าพวกเขาจับจ้องมองอะไร? ก่อนตระหนักว่ามันคือการสังเกตทิศทางของลม ร้อยเรียงภาพกังหันหมุนแรงมาก แสดงว่าพายุกำลังเข้า หิมะใกล้ตก ต้องได้เล่นสกีอย่างแน่นอน!
นั่นแปลว่าสิ่งที่พวกเขาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง สามารถสื่อนัยยะแทนความหวัง วาดฝัน จินตนาการถึงสรวงสวรรค์ ยกเว้นครั้งสุดท้ายหลังพวกเขากลับจาก Akakura น่าจะเปลี่ยนเป็นการหวนระลึกความทรงจำ (ถึงความสุขช่วงสั้นๆเบื้องบนนั้น)

ทีแรกผมครุ่นคิดว่า 7th Heaven (1927) จะอ้างอิงถึงห้องพักชั้นบน (เพราะหนังเงียบเรื่องนั้นห้องพักอยู่ชั้นเจ็ด!) แต่พอครุ่นคิดไปมาก็ตระหนักว่างสถานที่เล่นสกี ณ Akakura ต่างหากสามารถสื่อถึงสวรรค์ชั้นเจ็ด เพราะหนุ่มๆต้องตะเกียกตะกาย ปีนป่ายขึ้นไปถึงจุดสูงสุดบนเนินเขา เกี้ยวพาราสีหญิงสาว ก่อนไถลสกีกลับลงมาเบื้องล่าง
ตอนขาไป รวมถึงตลอดสองสามวันอาศัยอยู่ Akakura ท้องฟ้าปลอดโปร่ง แสงอาทิตย์สาดส่อง แต่วันที่สองหนุ่มเดินทางกลับ พอดิบพอดีกับพายุโหมกระหน่ำ ซึ่งสามารถสะท้อนถึงสภาพจิตใจของพวกเขา ทั้งความขัดแย้ง(ระหว่างกัน) และผิดหวังที่ไม่ได้ครองรักหญิงสาว!

ผมไม่ค่อยแน่ใจความสัมพันธ์ระหว่างหนังเรื่องนี้กับการอ้างอิงถึง Don Quixote (1605, 1615) ของ Miguel de Cervantes ต่างเป็นตัวละครประเภท Idealism คล้ายๆกันกระมัง? แต่ตัวอักษรเขียนหลังปก M.K คือชื่อย่อของ Kenji Mizoguchi ผู้กำกับจากสตูดิโอคู่แข่ง Nikkatsu

ช่วงท้ายของหนังระหว่าง Hatamoto แต่งองค์ทรงเครื่องเพื่อไปพบเจอว่าที่เจ้าสาว มีการนำเอาภาพของ Charles Farrell นักแสดงนำภาพยนตร์ 7th Heaven (1927) ที่ได้แต่งงานกับตัวละครของ Janet Gaynor … นี่ก็เป็นการเปรียบเทียบ Chieko = Diane

เดี๋ยวนะ! Hutte Arlberg หรือข้อความ Wengen Schweiz (ชื่อหมู่บ้านของ Switzerland) มันเป็นภาษา German ไม่ใช่เหรอ? เหตุไฉนถึงมาปรากฎอยู่ในร้านขายชาของญี่ปุ่น? นี่อาจต้องการอ้างอิงถึง Mountain Film แนวหนังเงียบที่เคยได้รับความนิยมในสาธารณรัฐไวมาร์ (Weimar Republic) [หรือก็คือ Germany นะแหละ] อาทิ The Holy Mountain (1926), The White Hell of Pitz Palu (1929), The White Ecstasy (1931) ฯ
(จะว่าไปผมเคยเขียนถึง The White Hell of Pitz Palu (1929) กำกับโดย Arnold Fanck & G. W. Pabst, นำแสดงโดย Leni Riefenstahl)

หนังไม่มีเครดิตตัดต่อ, ดำเนินเรื่องผ่านมุมมองสองเพื่อนสนิท Watanabe & Yamamoto ตัดสลับกลับไปกลับมา ผลัดกันขายขนมจีบ เกี้ยวพาราสี แข่งกันว่าใครจะเป็นผู้ชนะ ได้กลายเป็นคนรักของ Chieko
- ย้ายเข้าหอพัก
- Watanabe เขียนข้อความห้องว่างให้เช่า ล่อหลอกคนมาติดต่อจนกระทั่งพบเจอกับ Chieko
- ระหว่างทางกลับ Chieko พบเจอ Yamamoto พากันไปจิบชา
- Chieko ขนข้าวของมาถึงห้องพักของ Watanabe ยังไม่ได้เก็บข้าวของเลยด้วยซ้ำ
- Watanabe พยายามออกค้นหาห้องเช่าแห่งใหม่ จนสุดท้ายมาพึ่งใบบุญเพื่อนสนิท Yamamoto
- เรื่องวุ่นๆของการสอบปลายภาค
- แทนที่จะอ่านหนังสือเตรียมสอบ Watanabe แวะเวียนไปหา Chieko รับรู้แผนการเล่นสกีหลังสอบเสร็จ
- กลับมาห้องพักพบเห็น Yamamoto อ่านหนังสืออย่างเคร่งเครียด เตรียมการหลังสอบเสร็จไว้พร้อมสรรพ
- เรื่องวุ่นๆของวันสอบปลายภาค
- Watanabe แวะเวียนมาหา Chieko แต่เธอออกเดินทางสู่ Akakura ล่วงหน้าก่อนแล้ว
- Yamamoto ระหว่างขึ้นรถปรากฎว่ากระเป๋าสตางค์ตกหล่นหาย หวนกลับมาห้องพัก
- Watanabe นำเอาสิ่งข้าวของไปจำนำเพื่อซื้ออุปกรณ์เล่นสกี แล้วขึ้นรถไฟออกเดินทางสู่ Akakura
- สกีหรรษา
- เดินทางมาถึงสถานีรถไฟ Taguchi แล้วต้องเดินเท้าอีกหลายกิโลกว่าจะถึง Akakura
- Watanabe & Yamamoto ฝึกเล่นสกี
- Yamamoto พบเจอ Chieko จึงเข้าไปเกี้ยวพาราสี
- วันถัดมาเป็นคิวของ Watanabe กลั่นแกล้ง Yamamoto เพื่อจะได้ดื่มชา อยู่สองต่อสองกับ Chieko
- ค่ำคืนนี้ Yamamoto ดูจะไม่พอใจการกระทำของ Watanabe แต่ก็ดื่มสุรามึนเมามาย
- หมดเวลาสนุกแล้วสิ!
- วันถัดมาใครต่อใครต่างแต่งองค์ทรงเครื่อง Hatamoto เห็นว่ามีคิวดูตัวเจ้าสาว
- Yamamoto วันนี้ขอไม่เล่นสกี, Watanabe พยายามจะเกี้ยวพาราสี Chieko แต่พอรับรู้ว่าเธอหมั้นหมายอยู่กับ Hatamoto เลยล้มเลิกความตั้งใจ
- Watanabe & Yamamoto เก็บข้าวเก็บของ เตรียมตัวออกเดินทางกลับ
- บุกฝ่าพายุหิมะ กลับรถไฟขบวนเดียวกับอาจารย์ เห็นคะแนนสอบแล้วอเนจอนาถใจ
- พอกลับมาถึงห้องพัก Watanabe เริ่มต้นหาสาวคนใหม่ด้วยการแปะป้ายข้อความห้องว่างให้เช่า
การเล่นสกี (Skiing) คือการใช้สกีร่อนไปบนหิมะเพื่อการเดินทาง กิจกรรมสันทนาการ กิจกรรมพักผ่อนหย่อนใจ, ผมมองนัยยะของกีฬานี้คืออิสรภาพชีวิต การปลดปล่อยตนเอง ปีนป่ายไปถึงจุดสูงสุดแล้วไถลลงสู่เบื้องหลัง ให้แรงโน้มถ่วงนำพากลับสู่จุดเริ่มต้น … คิดแบบเสื่อมๆมันก็คือการปลดปล่อย … สองหนุ่มพยายามเกี้ยวพาราสีหญิงสาวก็เพื่อ … 7th Heaven (1927)
Days of Youth (1929) นำเสนอเรื่องราวว้าวุ่นของสองหนุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัย ฮอร์โมน(เพศ)กำลังพลุกพล่าน ตกหลุมรักหญิงสาวคนเดียวกัน ต่างพยายามขายขนมจีบ เกี้ยวพาราสี กลายเป็นเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด ชิงไหวชิงพริบ ใครจักได้ครอบครอง ผู้ชนะได้เป็นแฟนเธอ แต่ผลปรากฎว่า …
สองหนุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัย Watanabe & Yamamoto ชวนให้ผมนึกถึงตลกอ้วน-ผม Laurel and Hardy (แต่ภาพลักษณ์ของ Yamamoto สวมใส่แว่นแล้วดูเหมือน Harold Lloyd) คนหนึ่งเฉลียวฉลาด เลยมักฉกฉวยโอกาส กลั่นแกล้ง (บูลลี่) อีกคนที่ดูทึ่มทื่อ ท่าทางซื่อบื้อ ไม่เก่งอะไรสักอย่าง ทำสิ่งต่างๆผิดพลาดพลั้งอยู่ตลอดเวลา … เพื่อนทั้งสองแม้มีความแตกต่างตรงกันข้าม แต่สามารถเติมเต็มกันและกัน
ผกก. Ozu ไม่เคยมีโอกาสร่ำเรียนมหาวิทยาลัย แต่หลังจากรับฟังเรื่องเล่าของเพื่อนนักเขียน Akira Fushimi คงเกิดความสนอกสนใจ โหยหาประสบการณ์ดังกล่าว เห็นสรรค์สร้างผลงานไม่รู้กี่เรื่อง(มีหลงเหลือถึงปัจจุบัน 3+1 เรื่อง แล้วที่สูญหายไปอีกละ?)เกี่ยวกับนักศึกษา เรื่องว้าวุ่นในมหาวิทยาลัย รวมถึงช่วงสำเร็จการศึกษาด้วยนะครับ
จะว่าไปเราสามารถเปรียบเทียบแทนผกก. Ozu & นักเขียน Fushimi = Watanabe & Yamamoto นี่ไม่ได้จะสื่อว่าพวกเขาเคยพานผ่านเหตุการณ์แบบเดียวกับในหนัง แต่คือสะท้อนถึงความสัมพันธ์มิตรสหาย เพื่อนร่วมงาน พัฒนาหนังเรื่องนี้ตั้งใจไปเที่ยว เล่นสกี หลีสาว แล้วได้งานกลับมา
ปัจจุบันหนังยังไม่มีข่าวคราวการบูรณะ แต่สามารถหาซื้อ DVD รวมอยู่ใน The Ozu Collection: The Student Comedies (1929-32) ของค่าย BFI Video วางจำหน่ายเมื่อปี ค.ศ. 2012 ประกอบด้วย Days of Youth (1929), I Graduated, But . . . (1929) [บางส่วน], I Flunked, But . . . (1930), The Lady and the Beard (1931), Where Now Are the Dreams of Youth (1932)
ผมเห็นหลายคนพยายามเปรียบเทียบ Days of Youth (1929) กับผลงานยุคหลังๆของผกก. Ozu นี่มันไม่ใช่สิ่งสามารถเปรียบเทียบกันได้เลยสักนิด! เราควรปิดตาชื่อผู้สร้าง ชื่นชมหนังที่ตัวหนัง แล้วจะค้นพบว่าคุณภาพโดยรวมไม่ได้ย่ำแย่ขนาดนั้น มีความสนุกสนานฮาเฮ ตามประสาวัยรุ่นหนุ่มสาว
จัดเรต pg กับพฤติกรรมบูลลี่
Leave a Reply