Good Bye Lenin!

Good Bye, Lenin! (2003) German : Wolfgang Becker ♥♥♥♡

มารดาผู้ฝักใฝ่ระบอบสังคมนิยมในเยอรมนีตะวันออก (East Germany) วันหนึ่งหัวใจวาย อาการโคม่า นอนสลบไสลพานผ่านช่วงการล่มสลายของกำแพงเบอร์ลิน ค.ศ. 1989 พอฟื้นตื่นทุกสิ่งอย่างได้ผันแปรเปลี่ยนไป บุตรชายพยายามทำเหมือนไม่เคยมีอะไรบังเกิดขึ้น ปกปิดความจริงเพื่อไม่ให้อาการป่วยของเธอทรุดหนักลงกว่าเดิม

ระหว่างรับชม Good Bye, Lenin! (2003) ชวนให้ผมนึกถึงภาพยนตร์ Life Is Beautiful (1997) ของ Roberto Benigni บิดาพยายามทำทุกสิ่งอย่าง เล่นละคอนตบตา เพื่อไม่ให้บุตรชายได้รับบาดแผลทางใจ (War Trauma) ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง

ในทิศทางตรงกันข้าม Good Bye, Lenin! (2003) นำเสนอเรื่องราวของบุตรชาย(โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว)พยายามทำทุกสิ่งอย่าง เล่นละคอนตบตา เพื่อไม่ให้มารดาผู้ฝักใฝ่คอมมิวนิสต์ รับรู้การล่มสลายของกำแพงเบอร์ลิน (และสหภาพโซเวียต) เพราะกลัวว่าจะทำให้เธอเกิดอาการช็อค หัวใจวาย ยินยอมรับความจริงไม่ได้

แต่ทั้ง Life Is Beautiful (1997) และ Good Bye, Lenin! (2003) ต่างถูกตั้งคำถามถึงความถูกต้องเหมาะสม เพราะวิธีการดังกล่าวมันคือการลวงหลอกตนเอง สร้างภาพโลกสวย บิดเบือนข้อเท็จจริง จิตใจมนุษย์มีความอ่อนแอขนาดนั้นเชียวหรือ? ถึงขนาดไม่สามารถยินยอมรับความจริง? … โลกทัศน์คนสมัยนี้ การโกหกหลอกลวงกลายเป็นเรื่องสามัญไปแล้วหรือไร?

Good Bye, Lenin! (2003) เป็นภาพยนตร์ที่ถือว่าทรงคุณค่าต่อชาวเยอรมันอย่างมากๆ แต่อาจไม่ใช่สำหรับผู้ชมต่างชาติอย่างเราๆ ส่วนใหญ่เห็นเป็นหนังครอบครัวที่มีความซาบซึ้งกินใจ ผมแนะนำให้ศึกษาความรู้ประวัติศาสตร์สักเล็กน้อย เกี่ยวกับการล่มสลายของกำแพงเบอร์ลิน (1989) และการรวมประเทศเยอรมนี (1990) จะช่วยเพิ่มเข้าใจหนังได้หลายเท่าตัว!


จุดเริ่มต้นของ Good Bye, Lenin! (2003) มาจากนักเขียน Bernd Lichtenberg (เกิดปี ค.ศ. 1966) สัญชาติ German เกิดที่ Leverkusen, West German แล้วมาเติบโตยัง Bergisch Gladbach ตั้งแต่เรียนมัธยมทำงานเป็นนักเขียนให้รายการวิทยุ สถานีโทรทัศน์ WDR (Westdeutscher Rundfunk Cologne)จากนั้นเข้าเรียนปรัชญา-ศาสนา ก่อนเข้าศึกษาภาพยนตร์ Kunsthochschule für Medien Köln (Academy of Media Arts Cologne) พัฒนาบทหนังคว้ารางวัล North Rhine Westphalia Culture Ministry Screenwriting Award

หลังจากการรวมประเทศ Lichtenberg เคยมีโอกาสเดินทางไปทำงานฟากฝั่ง East Berlin ช่วงปี ค.ศ. 1991 นำเอาประสบการณ์ตรงจากเคยพบเห็นชาว East German ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับยุคสมัยใหม่, รวมถึงแรงบันดาลใจบั้นปลายชีวิต Vladimir Lenin สภาพร่างกายทรุดโทรม เกิดอาการโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) จนไม่สามารถออกไปไหน Joseph Stalin จึงเซนเซอร์ข่าวสารการเมือง อนุญาตเพียงหนังสือพิมพ์ฉบับเดียวบิดเบือนข้อเท็จจริง เพื่อไม่ให้ Lenin ได้รับผลกระทบต่อสุขภาพ

หลังจากพัฒนาบทร่างแรก นำไปยื่นเสนอขอทุนสร้างจากสถานีโทรทัศน์ ARD แต่ได้รับคำตอบปฏิเสธ เพราะมันอาจเร็วเกินไปที่สรรค์สร้างเรื่องราวลักษณะนี้

I had the feeling that it simply wasn’t the right time yet.

Bernd Lichtenberg

โปรเจคถูกเก็บใส่ลิ้นชักไว้นานหลายปี จนกระทั่ง Lichtenberg มีโอกาสรับชมภาพยนตร์ Life Is All You Get (1997) กำกับโดย Wolfgang Becker รู้สึกว่าเป็นบุคคลที่ใช่ เลยติดต่อเข้าหา ยื่นเสนอบทหนัง ร่วมกันปรับปรุงแก้ไข

Wolfgang Becker (1954-2024) ผู้กำกับภาพยนตร์ สัญชาติ German เกิดที่ Hemer, West Germany โตขึ้นร่ำเรียนประวัติศาสตร์ ภาษาเยอรมัน และอารยธรรมอเมริกัน ณ Free University of Berlin จากนั้นเข้าศึกษาต่อภาพยนตร์ German Film and Television Academy (DFFB) โปรเจคจบ Schmetterlinge (1986) สามารถคว้ารางวัล Student Academy Award และ Golden Leopard จากเทศกาลหนังเมือง Locarno, จากนั้นกำกับดราม่าโทรทัศน์ สารคดี ร่วมกับ Tom Tykwer, Stefan Arndt และ Dani Levy ก่อตั้งสตูดิโอโปรดักชั่น X Filme Creative Pool, กำกับภาพยนตร์ Life Is All You Get (1997), โด่งดังระดับนานาชาติกับ Good Bye, Lenin! (2003)

Bernd is from Cologne, but he moved to East Berlin in 1991 for almost a year. In this period, he had the idea for the film. ARD, the television channel that ended up coproducing it, was not interested when he went to them in 1992. It was exactly the same guy who coproduced the film seven years later! He couldn’t even remember that he refused the subject. It’s completely understandable. The time was not right for it then.

Wolfgang Becker

ผกก. Becker เป็นบุคคลโหยหาความสมบูรณ์แบบ (Perfectionist) ใช้เวลาหลายเดือนในการแก้ไขบทหนังร่วมกับ Lichtenberg เปลี่ยนแปลงโน่นนั่นถึงหกฉบับกว่าจะพึงพอใจ! และระหว่างโปรดักชั่นก็ยังขอให้มาเป็นที่ปรึกษา ช่วงปรับแก้ไขรายละเอียดจนกว่าจะสิ้นสุดการถ่ายทำ


เรื่องราวมีพื้นหลัง East Berlin เริ่มต้นเมื่อปี ค.ศ. 1978 หลังจากบิดาทอดทิ้งครอบครัว ปล่อยให้มารดา Christiane Kerner (รับบทโดย Katrin Sass) ต้องเลี้ยงดูแลบุตรชาย-สาวโดยลำพัง เธอตัดสินใจสมัครเข้าร่วมพรรคเอกภาพสังคมนิยม (Socialist Unity Party) อุทิศตนให้กับ East Germany จนกระทั่งปี ค.ศ. 1989 ระหว่างกำลังเดินทางไปรับเหรียญเกียรติยศ พบเห็นบุตรชาย Alex (รับบทโดย Daniel Brühl) เข้าร่วมชุมนุมประท้วงต่อต้านรัฐบาล กำลังถูกตำรวจรุมซ้อม จับกุมขึ้นรถ ทำให้เธอเป็นลมล้มพับ หัวใจวาย (Heart Attack) อาการโคม่า นอนสลบไสลไม่รับรู้ตนเอง

มารดาอาการโคม่านาน 8 เดือน ก่อนฟื้นคืนชีพขึ้นมา หมอให้แนะนำว่าไม่ควรทำให้เธอเกิดอาการเคร่งเครียด ตกใจ Alex จึงครุ่นคิดสร้างเรื่อง เล่นละคอนตบตา ทำเหมือนว่าไม่เคยมีอะไรบังเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ผ่านมา แต่เขาจะปกปิดความจริงได้นานเพียงไหน เพราะสรรพสิ่งรอบข้างกำลังเปลี่ยนแปลงไปหลังจากกำแพงเบอร์ลินพังทลาย สหภาพโซเวียตใกล้ล่มสลาย เยอรมนีตะวันออก-ตก กำลังจะรวมประเทศกลับมาเป็นหนึ่งเดียวกัน


Daniel César Martín Brühl González (เกิดปี ค.ศ. 1978) นักแสดงสัญชาติ German-Spanish เกิดที่ Barcelona บิดาคือ Hanno Brühl ผู้กำกับสารคดี/รายการโทรทัศน์สัญชาติ German, หลังเกิดไม่นานย้ายมาเติบโตที่ Cologne สามารถสื่อสารภาษา German, Spanish, Catalan, Portuguese และ French, เริ่มเป็นนักแสดงตั้งแต่เด็ก ละคอนเวที ซีรีย์โทรทัศน์ พากย์เสียงการ์ตูน ภาพยนตร์เรื่องแรก Paradise Mall (1999), No More School (2000), เริ่มมีชื่อเสียงกับ The White Sound (2001), โด่งดังระดับนานาชาติ Good Bye, Lenin! (2003), Inglourious Basterds (2009), Rush (2013), Captain America: Civil War (2016) ฯ

รับบท Alexander ‘Alex’ Kerner จากชายหนุ่มต่อต้านระบอบสังคมนิยม เข้าร่วมการเดินประท้วงรัฐบาล แต่หลังจากมารดาหัวใจวาย อาการโคม่า สลบไสลแปดเดือนแล้วฟื้นตื่นขึ้นมา ยินยอมทำทุกสิ่งอย่างเพื่อปกปิดความเปลี่ยนแปลง ไม่ให้เธอต้องตื่นตระหนกตกใจต่อการล่มสลายของเยอรมนีตะวันออก

ในตอนแรกผกก. Becker อยากได้นักแสดงจากฟากฝั่ง East Berlin แต่เพราะไม่สามารถคัดเลือกหาบุคคลเหมาะสม ก่อนพบเจอ Daniel Brühl สังเกตเห็นใบหน้า-แววตาอ่อนโยน สามารถถ่ายทอดความรู้สึกห่วงโหยหามารดาได้อย่างน่าเชื่อถือ

Brühl คือพ่อหนุ่มน้อยหน้าใส ละอ่อนเยาว์วัย ไม่เคยเข้าเรียนสถาบันไหน แต่สามารถถ่ายทอดการแสดงได้อย่างเป็นธรรมชาติ ผู้ชมสัมผัสถึงความมุ่งมั่น พยายามจัดแจงโน่นนี่นั่น สรรหาสิ่งข้าวของเครื่องใช้ (ที่เคยเป็นของ East Germany) ครุ่นคิดสารพัดเรื่องโป้ปดหลอกลวง ยินยอมทำทุกสิ่งอย่างเพื่อปิดบังความจริง … อาจเพราะถูกบิดาทอดทิ้งตั้งแต่เด็ก หลงเหลือเพียงมารดาเป็นที่พึ่งพักพิง จึงมีความห่วงใย เอาใจใส่ เพราะรักจึงไม่อยากสูญเสียเธอไป

สิ่งน่าประทับใจของ Brühl คือความดื้อดึงดันของตัวละคร เพราะมันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะโกหกหลอกลวง มันมีปัจจัยแวดล้อมมากมาย ความเปลี่ยนแปลงภายนอก แรงกดดันจากคนรอบข้าง (พี่และแฟนสาว) บีบบังคับให้เขาต้องครุ่นคิด สรรหาวิธีการน่าเชื่อถือ เพื่อให้มารดาสามารถยินยอมรับความจริงบังเกิดขึ้น


Katrin Sass หรือ Katrin Saß (เกิดปี ค.ศ. 1956) นักแสดงสัญชาติ German เกิดที่ Schwerin, East Germany เป็นบุตรของนักแสดง Marga Heiden (1921-2013) ดำเนินตามรอยเท้ามารดาเข้าสู่แวดวงละคอนเวที เข้าฝึกฝนการแสดงยัง Hochschule für Schauspielkunst Ernst Busch มีผลงานภาพยนตร์ อาทิ Bürgschaft für ein Jahr (1981) **คว้ารางวัล Silver Bear for Best Actress, Good Bye, Lenin! (2003) ฯ

รับบท Christiane Kerner หลังถูกสามีทอดทิ้ง ตกอยู่ในสภาพสิ้นหวัง ถึงขนาดต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลจิตเวช กลับออกมาปรับเปลี่ยนตนเองจากหน้ามือเป็นหลังมือ ฝักใฝ่พรรคเอกภาพสังคมนิยม อุทิศตนให้ East Germany จนกระทั่งพบเห็นบุตรชายถูกตำรวจกระทำร้าย หัวใจวาย อาการโคม่า นอนสลบไสลยาวนานแปดเดือน!

Sass คือตัวเลือกแรก ตัวเลือกเดียว นักแสดงจาก East Berlin คนเดียวที่ผกก. Becker รับรู้จักจากภาพยนตร์ Bürgschaft für ein Jahr (1981) สามารถถ่ายทอดความเข้าใจวิถีเยอรมนีตะวันออกได้อย่างชัดเจน

ภาพภายนอกของ Sass คือหญิงแกร่ง ทำตัวเข้มแข็ง บ้าอุดมการณ์ (Idealist) อุทิศตนเองให้ระบอบสังคมนิยม แต่แท้จริงแล้วทั้งสภาพร่างกาย-จิตใจกลับมีความอ่อนแอ เปราะบาง อาจเพราะตรากตรำงานหนักมานาน เหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า เมื่อพบเห็นภาพบาดตาบาดใจ (บุตรชายถูกตำรวจกระทำร้ายร่างกาย) คงตื่นตระหนัก ตกอกตกใจ หัวใจวาย พานผ่านประสบการณ์เฉียดตาย

แท้จริงแล้วบิดาไม่ได้ทอดทิ้งครอบครัวไป แต่เพราะสถานการณ์การเมืองบีบบังคับให้เธอต้องเลือกปกป้องลูกๆ ยินยอมเสียสละตนเอง แสร้งว่าล้มป่วยเป็นผัก แล้วเข้าร่วมพรรคเอกภาพสังคมนิยม อุทิศตนให้ East Germany คาดหวังทำให้ครอบครัวมีชีวิตสุขสบาย … วินาทีเปิดเผยเบื้องหลังความจริง ราวกับปลดเปลื้องภาระทุกสิ่ง เหลือเพียงอย่างสุดท้ายร้องขอบุตรชาย อยากมีโอกาสพบเจอหน้าสามีอีกสักครั้ง

ไฮไลท์การแสดงของ Sass คือหลังจากรับรู้ความจริงทั้งหมดจาก Lara (แฟนสาวของ Alex) แล้วบุตรชายนำวีดิโอม้วนสุดท้ายเกี่ยวกับการล่มสลายกำแพงเบอร์ลินมาเปิดให้มารดา ปฏิกิริยาสีหน้าขณะจับจ้องมอง พร้อมคำกล่าว Amazing! มันช่างซาบซึ้งกินใจ … คือเธอเข้าใจเหตุผลการกระทำของบุตรชาย มันช่างละม้ายคล้ายกับสิ่งที่ตนเองทำเพื่อลูกๆ จึงไม่ได้ถือโทษโกรธเคือง สำแดงความเอ็นดูห่วงใย ประทับใจ คาดไม่ถึง

Sass กล่าวถึงการร่วมงานผกก. Becker ว่ามีความ “very, very exhausting” เพราะอีกฝ่ายโหยหาความสมบูรณ์แบบ (Perfection) ต้องทำการแสดงให้ได้ตามความต้องการของเขาเป๊ะๆ

[Becker] always gives 100%, follows his line, concrete and precise, obsessed with his work and his vision. He wants to make the best possible film. That was very demanding: As an actor, you have to go along with it, whether you’re still capable or not. I prefer directors like that a thousand times more to those who always think everything is wonderful, but in the end, a film comes out that disappoints you immensely.

Katrin Sass

ถ่ายภาพโดย Martin Kukula (1957-2013) สัญชาติ German ร่ำเรียนการถ่ายภาพยัง Universität der Künste Berlin เข้าสู่วงการภาพยนตร์ช่วงต้นทศวรรษ 1980s แล้วมีโอกาสเป็นผู้ช่วยตากล้องภาพยนตร์ A Tooth for a Tooth (1985), Dr. M (1990), กลายเป็นขาประจำร่วมงานผกก. Wolfgang Becker ตั้งแต่โปรเจคนักศึกษา Schmetterlinge (1986) จนถึงภาพยนตร์ Good Bye, Lenin! (2003)

งานภาพของหนังรับอิทธิพลไม่น้อยจากผลงานของ Stanley Kubrick (โดยเฉพาะ Time-Lapse), Federico Fellini, Billy Wilder ฯ ผสมผสานระหว่างฟีล์มเก่า-ใหม่ & Archive Footage & วีดิโอเทป, โทนหลักคือสีเหลือง-ทอง (Autumn) สร้างสัมผัสหวนระลึก อดีตที่ยังครุ่นคิดถึง (Nostalgia) แต่เมื่อไหร่เปลี่ยนเป็นแดงหรือน้ำเงิน แทนสัญญาณอันตราย หนาวเหน็บทรวงใน

นอกจากบ้านพักตากอากาศ (มีคำเรียกว่า Dasha) ที่เมือง Finsterwalde ตั้งอยู่ยัง Elbe-Elster, Brandenburg หนังปักหลักถ่ายทำ ณ กรุง Berlin (ในย่าน East Berlin) โดยอพาร์ทเม้นท์ครอบครัว Kerner ตั้งอยู่ Berolinastraße 21, Berlin-Mitte (ผมลองค้นใน Google Map อาคารดังกล่าวยังคงตั้งตระหง่าน)

เกร็ด: หนังเปิดกล้องวันที่ 6 กันยายน – 30 พฤศจิกายน ค.ศ. 2001 ล่าช้ากว่ากำหนดสองสัปดาห์ เพราะนักแสดงล้มป่วย และสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย


Sigmund Werner Paul Jähn (1937-2019) นักบินชาวเยอรมันคนแรกที่ออกเดินทางสู่ห้วงอวกาศ ปฏิบัติภารกิจ Soyuz 31 ร่วมกับนักบินอีกคน Valery Bykovsky เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม ค.ศ. 1978 เดินทางสู่สถานีอวกาศ Salyut 6 ปฏิบัติภารกิจระยะเวลา 7 วัน 20 ชั่วโมง 49 นาที วนรอบโลกทั้งหมด 124 รอบ พอกลับลงมาก็ได้รับประดับเกียรติยศ Hero of the German Democratic Republic

เกร็ด: ผกก. Becker พยายามโน้มน้าว Jähn มาร่วมแสดงหนัง แต่อีกฝ่ายอนุญาตเพียงใช้นักแสดงแทน Stefan Walz รับบทคนขับแท็กซี่ และในวีดิโอม้วนสุดท้ายสวมบทบาทผู้นำคนใหม่ East German กล่าวสุนทรพจน์เปิดพรมแดน ทลายกำแพงเบอร์ลิน (=ขับยานอวกาศออกนอกชั้นบรรยากาศโลก)

ช่วงกลางเรื่องเพื่อนนักตัดต่อ Denis Domaschke มีการกล่าวถึง 2001: A Space Odyssey (1968) ลิงโยนกระดูกข้ามสหัสวรรษ นำมาเปรียบเทียบลีลาตัดต่อวีดิโอแต่งงาน เจ้าสาวโยนดอกไม้แล้วตัดภาพก้อนเค้ก

ก่อนหน้านี้ตอนต้นเรื่อง Alex ก็เคยจุดจรวด (Pioneer Rocket) พุ่งทะยานขึ้นท้องฟ้า แล้วกล้องเคลื่อนลงมา Time Skip จากเด็กเป็นผู้ใหญ่ ค.ศ. 1978 มาเป็น ค.ศ. 1989 … นี่ก็เป็นการอ้างอิงถึง 2001: A Space Odyssey (1968) เช่นเดียวกัน

วันที่ 7 ตุลาคม ค.ศ. 1989 คือวันเฉลิมฉลองการก่อตั้ง German Democratic Republic (GDR) ครบรอบ 40 ปี (ก่อตั้งเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ค.ศ. 1949) จึงมีกิจกรรมสวนสนาม ประดับตกแต่งอาคารบ้านเรือน พอดิบพอดีผ้าแดงผืนใหญ่บดบังหน้าต่าง ทำให้ภายในอพาร์ทเม้นท์ครอบครัว Kerner อาบฉาบด้วยแสงสีแดง ดูราวกับสัญญาณเตือนภัย หายนะกำลังจะบังเกิดขึ้นในอีกไม่ช้านาน

ค่ำคืนนั้นมีการชุมนุมต่อต้านรัฐบาล ประชาชนร่วมกันเดินขบวนไปตามท้องถนน เพื่อสำแดงเจตจำนงค์เสรีภาพไร้พรมแดน สังเกตว่าหนังทำการย้อมแสงสีเหลือง-ทอง ซึ่งตัดกับชุดสีแดงของมารดา ตอนเธอหัวใจวาย เป็นลมล้มพับ ทำให้มองเห็นชัด ดูโดดเด่นขึ้นมา

เกร็ด: ผมเพิ่งสังเกตว่าดำ-แดง-เหลืองทอง (Schwarz-Rot-Gold) คือสีของธงชาติเยอรมัน German แต่ความหมายสามสีได้รับการตีความแตกต่างออกไป ยุคสมัยนโปเลียนให้คำนิยาม “Out of the blackness (of servitude) through bloody (red) battles to the golden (light of freedom)” แต่ถ้าเอาตามความหมายสมัยใหม่ Black คืออดีตอันมืดดำ, Red สีแดงเลือด การต่อสู้ เข้มแข็ง ห้าวหาญ, Gold คืออนาคต แสงสว่าง และเสรีภาพ

หลังได้รับการปล่อยตัว Alex เดินทางมาโรงพยาบาล รับทราบอาการโคม่ามารดา ก้าวออกมาตรงระเบียง จากนั้นกล้องเงยขึ้นท้องฟ้า (Tilt Up) พอดิบพอดีพบเห็นเครื่องบินแล่นผ่าน … จริงๆเสียงบรรยายได้อธิบายนัยยะการนำเสนอภาพช็อตนี้ได้อย่างชัดเจน

In her deep, never-ending sleep… she circled like a satellite around the events happening… on our little planet in our even smaller republic.

Alex Kerner

เมื่อครั้น Erich Honecker (1912-1994) ประมุขแห่งรัฐของประเทศเยอรมนีตะวันออก (ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ปี ค.ศ. 1976) ประกาศลาออกจากตำแหน่งวันที่ 18 ตุลาคม ค.ศ. 1989, Alex นำเอารูปภาพท่านผู้นำออกไปโยนทิ้งข้างถนน ท่ามกลางพายุฝน แสงสีทองเหลืองอร่าม แต่สร้างสัมผัสสภาพแวดล้อมเสื่อมโทรมทราม … อธิบายง่ายๆก็คือเหมือนโยนทิ้งกองขยะ

Alex แรกพบเจอ Lara ระหว่างตอนเดินชุมนุมประท้วงต่อต้านรัฐบาล โชคชะตานำพาให้ทั้งสองมาพบเจออีกครั้งระหว่างเฝ้ามารดา มุมกล้องภาพนี้มีการจัดแสงไว้ด้านหลัง สร้างสัมผัสประกายความหวัง แลดูอบอุ่น ชุ่มชื่นหัวใจ

Alex & Lala นัดเดทกันมายังบาร์แห่งหนึ่ง สถานที่ที่บรรดาศิลปิน/ผู้คนต่างทำการปลดปล่อยตนเอง ตกแต่งสถานที่อย่างหลุดโลก แปลกประหลาดตา และหนุ่ม-สาวมานั่งอยู่ขอบตึกไร้ผนังกำแพง สื่อถึงอิสรภาพ โลกที่เปิดกว้าง ชีวิตไม่ถูกจำกัดกฎกรอบอีกต่อไป

หนังทั้งเรื่องมีเพียงฉากนี้ที่ทำให้ผมหลุดหัวเราะ น่าจะตลกขบขันที่สุดแล้ว Alex กำลังจุมพิตกับ Lala (ถ่ายติดดอกทานตะวันเบ่งบาน) แล้วจู่ๆมารดาฟื้นคืนชีพขึ้นมาขัดจังหวะ มันช่างเป็นช่วงเวลาพอดิบพอดี เหมือนจะบอกว่าเธอไม่อนุญาต … คงประมาณว่าวิถีเยอรมนีตะวันออก ต้องแต่งงานกันก่อนเพศสัมพันธ์รึเปล่า?

แปดเดือนที่มารดานอนสลบไสลเป็นเจ้าหญิงนิทรา โลกภายนอกได้ปรับเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง ซึ่งพอเธอฟื้นตื่น Alex ไม่ต้องการให้ตื่นตระหนกตกใจต่อความเปลี่ยนแปลง จึงจัดแจงโน่นนี่นั่น ตกแต่งห้องนอนให้กลับมาเหมือนเก่า … ซีนนี้มีการเร่งความเร็ว พร้อมบทเพลง Gioachino Rossini: William Tell Overture (1829) ละม้ายคล้ายภาพยนตร์ A Clockwork Orange (1971)

เปรียบเทียบห้องนอนของมารดา vs. ห้องไอซียูในโรงพยาบาล ช่างมีบรรยากาศแตกต่างตรงกันข้าม

  • ห้องนอนมารดา โทนสีเหลืองอบอุ่น เต็มไปด้วยภาพถ่ายความทรงจำ แม้ทั้งหมดคือการสร้างภาพของบุตรชาย แต่ตลบอบอวลด้วยความรัก
  • ห้องไอซียูในโรงพยาบาล โทนสีหม่นๆ มอบสัมผัสหนาวเหน็บ เยือกเย็นชา ไร้ชีวิตชีวิตชีวา ความจริงที่โหดร้าย มารดาใกล้ลาจากโลกนี้ไป

วันเกิดมารดา Alex พยายามจัดแจงทุกสิ่งอย่างให้ราวกับว่ายังคือ East Germany แต่ทว่านอกหน้าต่างกลับกำลังมีการติดป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ Trink Coca Cola แปลว่า Drink Coca Cola … ไม่มีทางที่จะสามารถต่อต้านทานการเปลี่ยนแปลงของโลกภายนอก

แซว: ตอนต้นเรื่องผ้าสีแดงผืนใหญ่บดบังหน้าต่างอพาร์ทเม้นท์ แต่คราวนี้พบเห็นฟากฝั่งตรงข้ามป้ายโฆษณาสีแดง … นั่นกระมังคือเหตุผลการเลือกสปอนเซอร์ Coca Cola ไม่ใช่ Pespi (ชาวเยอรมันชอบดื่มโค้กมากกว่าเป็ปซี่)

ผมต้องพึ่งพา AI ในการค้นหาข้อมูลการแลกเปลี่ยนเงินตรา Ostmark (East German Marks) มาเป็น Deutsche Marks (West German Marks) ภายในวันที่ 1-6 กรกฎาคม ค.ศ. 1990 ด้วยอัตราแลกเปลี่ยนแตกต่างกันไป

  • อัตราแลกเปลี่ยน 1:1 ในกรณี
    • เด็กอายุต่ำกว่า 14 แลกได้ DM 2,000 มาร์คเยอรมัน
    • อายุ 15-59 แลกได้ DM 4,000 มาร์คเยอรมัน
    • อายุเกิน 60 แลกได้ DM 6,000 มาร์คเยอรมัน
  • นอกนั้นจะได้อัตราแลกเปลี่ยน 2:1 (DDM 2 แลกได้ DM 1)
  • และสำหรับชาว East German ที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในประเทศ จะได้อัตราแลกเปลี่ยน 3:1

ผมอ่านเจอว่าซีเควนซ์นี้ถ่ายทำวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2001 (เหตุการณ์ 9/11) อารมณ์ที่นักแสดงระบายออกบนดาดฟ้ายามค่ำคืน Daniel Brühl บอกเองเลยว่าไม่รู้นั่นคือการแสดง หรือความรู้สึกถ่ายทอดออกมาจริงๆ

ผมแอบเสียดายที่ชัยชนะฟุตบอลโลกของทีมชาติ West Germany ไม่ได้เคลือบแฝงนัยยะอะไรไปมากกว่าการอ้างอิงประวัติศาสตร์ และแสดงให้เห็นว่าชาว East German ที่แม้ขณะนั้นยังไม่ได้รวมประเทศ (ต้องรอคอยเดือนตุลาคม) ต่างส่งใจเชียร์เพื่อนร่วมชาติเดียวกัน

เกร็ด: รอบชิงชนะเลิศวันที่ 8 กรกฎาคม ค.ศ. 1990 ณ สนาม Stadio Olimpico (Rome, Italy) ประเทศ West German สามารถเอาชนะอดีตแชมป์โลก Argentina (ชุดที่มี Diego Maradona) ด้วยประตูจุดโทษของ Andreas Brehme นาทีที่ 85 คว้าแชมป์โลกสมัยที่สามอย่างหักปากกาเซียน

เมื่อตอนพี่สาว Ariane บอกกับ Alex ว่าเหมือนจะพบเจอบิดาที่ทอดทิ้งครอบครัวไป หลายฉากถัดๆมาเป็นการสะท้อนความรู้สึกตัวละคร

  • Ariane เลือดกำเดาไหล นั่นแสดงถึงความเครียด กดดัน ไม่รู้จะทำอะไรยังไง
  • Alex ในห้องปกคลุมด้วยความมืด (=สภาพจิตใจหมองหม่น) ครุ่นคิดจินตนาการบิดาคือชายร่างอวบอ้วนรับประทานชีสเบอร์เกอร์
  • Lara เตรียมสอบพยาบาลด้วยการเข้าเฝือก Alex (=สภาพจิตใจเหมือนถูกเข้าเฝือก ไม่สามารถขยับเคลื่อนไหว ไม่รู้จะมีปฏิกิริยาใดๆถ้าต้องพบเจอบิดา)

ถือเป็นฉาก ‘Iconic’ ตรงกันชื่อหนัง Good Bye, Lenin! น่าจะได้แรงบันดาลใจภาพยนตร์ La Dolce Vita (1960) เปลี่ยนจากรูปปั้นพระเยซูคริสต์มาเป็น Vladimir Lenin คาดว่าคงเอาไปทิ้ง ทุบทำลาย เพราะสังคมนิยม/คอมมิวนิสต์ และเยอรมนีตะวันออกกำลังจะล่มสลาย

มันยังมีภาพยนตร์อีกเรื่อง Ulysses’ Gaze (1995) สร้างโดย Theo Angelopoulos ผู้กำกับสัญชาติกรีก ที่ทำการแยกชิ้นส่วนรูปปั้น Lenin ยกขึ้นเรือ ล่องไปตามแม่น้ำ Danube สัญลักษณ์ของการร่ำลาจากสังคมนิยม/คอมมิวนิสต์เฉกเช่นเดียวกัน

ระหว่างเดินทางไปบ้านชนบท มารดาพูดเล่าความจริงทั้งหมด จากนั้น Alex เดินไปนั่งริมสระน้ำ แม้มันคือความรู้สึกขัดแย้งภายใน แต่ภาพถ่ายย้อนแสงสีทอง (Golden Hour) มอบสัมผัสละมุน อบอุ่น ตลบอบอวลด้วยความรัก หลังจากแฟนสาวเข้ามาปลอบประโลม คงทำให้เขาสงบสติอารมณ์ บังเกิดความตระหนักถึงบางสิ่งอย่าง … สิ่งที่ตนเองกระทำอยู่นี้ (ปกปิดบังการล่มสลายของเยอรมนีตะวันออก) ไม่แตกต่างจากมารดา (ปกปิดบังการจากไปของบิดา)

การสารภาพความจริงของมารดา ทำให้เธอหัวใจวาย แม้ไม่ถึงขั้นโคม่า แต่ถือว่าเลวร้ายรุนแรง เหลือเวลาชีวิตอีกไม่มาก ภาพช็อตนี้แทนความรู้สึกของทั้ง Alex และพี่สาว Ariane หันหลังให้แสงสว่าง ใบหน้าปกคลุมอยู่ในความมืดมิด สภาพจิตใจก็เฉกเช่นเดียวกัน

Alex ยินยอมทำตามคำร้องขอ(สุดท้าย)ของมารดา เดินทางมาติดตามหาบิดา วันนั้นกำลังจัดงานเลี้ยงอะไรสักอย่าง พบเห็นเขาแต่งงานใหม่ มีบุตรชาย-สาว กำลังรับชมอนิเมชั่น Unser Sandmännchen (แปลว่า Our Little Sandman) เกี่ยวกับนักบินอวกาศ เดินทางสู่ดวงจันทร์ รื้อฟื้นความทรงจำสมัยเด็ก ย้อนรอยอารัมบทที่ Alex และพี่สาว Ariane เคยนั่งดูนักบินอวกาศ Sigmund Jähn ออกนอกโลก!

เกร็ด: Unser Sandmännchen อนิเมชั่น Stop-Motion นิทานแฟนตาซีก่อนนอนสำหรับเด็ก ได้แรงบันดาลใจจากตัวละคร Ole Lukøje ในวรรณกรรมของ Hans Christian Andersen สร้างโดย Gerhard Behrendt ในประเทศ East German ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1959 หลังรวมประเทศ ค.ศ. 1990 ก็ยังคงออกฉายอยู่จนถึงปัจจุบัน

แต่สิ่งที่ผมสนใจคือภาพวาด Surrealist ด้านหลัง ใบหน้าบิดๆเบี้ยวๆสามารถสะท้อนความรู้สึกของ Alex คาดไม่ถึงว่าบิดาจะได้ดิบได้ดี มันช่างแตกต่างตรงกันข้ามกับจินตนาการตนเอง (ที่เคยครุ่นคิดว่าเขาคงคือชายอวบอ้วน ชื่นชอบรับประทานชีสเบอร์เกอร์) … นี่เคลือบแฝงนัยยะการเปิดประเทศได้เช่นกัน ชาว East German ไม่ต่างจากกบในกะลา ครุ่นคิดว่าตนเองยิ่งใหญ่ แต่พอกำแพงเบอร์ลินพังทลาย ชาติตะวันตกไม่เห็นเหมือนที่จินตนาการไว้

แม้การอำลารูปปั้น Lenin จะกลายเป็น Iconic แต่ผมชื่นชอบช็อตนี้มากที่สุด! มารดาแอบมองบุตรชายแทนที่จะสนใจรายการข่าว นั่นเพราะเธอรับรู้ความจริงทั้งหมดจาก Lara เข้าใจเหตุผลการกระทำ จับจ้องด้วยสายตาเอ็นดูห่วงใย ซาบซึ้งกินใจ ยินยอมเล่นละคอนตบตาอีกครั้งสุดท้าย Amazing! ไม่ได้จะชื่นชมสุนทรพจน์ หรือการล่มสลายกำแพงเบอร์ลิน แต่คือความกตัญญูกตเวที อภิชาตบุตรผู้ยินยอมทำทุกสิ่งอย่างเพื่อตนเองตลอดเวลาหลายเดือนผ่านมา

นี่ไม่เพียงเป็นคำกล่าวสุนทรพจน์ยอดเยี่ยมที่สุดของ Socialist แต่ยังคนขับแท็กซี่ (ที่หน้าตาละม้ายคล้ายนักบินอวกาศ Sigmund Jähn) สวมบทบาทผู้นำคนสุดท้ายของเยอรมนีตะวันออก (สะท้อนอุดมการณ์สังคมนิยมที่แท้จริง ทุกคนมีความเสมอภาคเท่าเทียม คนขับแท็กซี่=นักบินอวกาศ แม้มันจะไม่เป็นเช่นนั้นในทางปฏิบัติก็ตามเถอะ) เมื่อมองจากนอกโลกมนุษย์มีขนาดเล็กเพียงเศษฝุ่น ผืนแผ่นดินไม่มีพรมแดนขวางกั้น

Dear citizens of the German Democratic Republic. If you’ve lived to see the wonder of watching our blue planet from the depths of the cosmos, you see things differently. Up there, in the depths of space, the people’s lives seem small and insignificant. You ask yourself what humanity has accomplished. Which objectives did we set, which objectives did we realize?

Today is our country’s anniversary. It’s a very little country, seen from the cosmos. But still thousands of people came to us last year. People who we looked to as enemies and who want to live here with us today. We know our country is not perfect. But what we believe in, inspired a lot of people in the whole world. Maybe we have drifted off course from time to time. But we collected ourselves. Socialism doesn’t mean living behind a wall. Socialism means reaching out to others and living with others. Not just to dream about a better world, without making it come true.

แซว: ผมแอบสงสัยว่าประโยค Socialism means reaching out to others and living with others. คือแรงบันดาลใจภาพยนตร์ The Lives of Others (2006) หรือเปล่านะ?

Alex นำวีดิโอม้วนสุดท้ายที่ฉายกำแพงเบอร์ลินพังทลาย พอดิบพอดีในวันที่เยอรมนีรวมประเทศ (German reunification) 3 ตุลาคม ค.ศ. 1990 ทำให้มีการจุดพลุ เฉลิมฉลอง แสงสีแดงสาดส่องเข้ามาในห้อง (ย้อนรอยตอนต้นเรื่องที่ผ้าแดงผืนใหญ่ ทำให้อพาร์ทเม้นท์อาบฉาบสีแดง) นี่เป็นการบอกใบ้ความตายของมารดา ก่อนเสียชีวิตสามวันถัดมา

เมื่อตอนต้นเรื่องผ้าผืนใหญ่สีแดง คือตัวแทน East Germany ที่มีอิทธิพลครอบงำประชาชน, ตรงกันข้ามกับคราวนี้ที่แสงสีแดงเกิดจากพลุ เฉลิมฉลองการรวมประเทศ สำแดงถึงอิสรภาพไร้ขอบเขต

หลังจรวดอัฐิพุ่งทะยานสู่ท้องฟากฟ้า ภาพชุดสุดท้ายคือการย้อนเวลา (ตรงกันข้ามตอนต้นเรื่องที่ ‘Time Skip’ สู่อนาคต) เสียงบรรยายรำพันถึง East Germany กลายเป็นประเทศในอดีต เพียงหลงเหลืออยู่ในภาพถ่าย ความทรงจำ และมารดาผู้ล่วงลับ … มาถึงจุดๆนี้ก็น่าจะเข้าใจการเปรียบเทียบมารดา Christiane Kerner = East Germany

ตัดต่อโดย Peter R. Adam (1957-2023) สัญชาติ German เกิดที่ Pirmasens, West German เริ่มต้นจากเป็นวิศวกรเสียง The Noah’s Ark Principle (1984) กำกับโดย Roland Emmerich ก่อนเปลี่ยนสายงานเป็นนักตัดต่อ An American Werewolf in Paris (1997), The Tunnel (2001), Good Bye, Lenin! (2003), Anonymous (2011) ฯ

หนังดำเนินเรื่องผ่านมุมมอง+เสียงบรรยายของบุตรชาย Alexander ‘Alex’ Kerner ตั้งแต่เมื่อปี ค.ศ. 1978 ขณะอายุเพียง 11 ขวบ เริ่มรับรู้ประสีประสา พบเห็นนักบินอวกาศชาวเยอรมันคนแรก = บิดาทอดทิ้งครอบครัวสู่ West Germany ทำให้มารดาตกอยู่ในสภาพสิ้นหวัง หลังกลับจากโรงพยาบาลเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลัง

เรื่องราวดำเนินมาจนถึงปี ค.ศ. 1989 เมื่อ Alex เติบโตเป็นผู้ใหญ่ มารดาล้มป่วยหัวใจวาย อาการโคม่า สลบไสลยาวนานกว่าแปดเดือน แล้วพอเธอฟื้นตื่นขึ้นมา สถานการณ์การเมืองได้เปลี่ยนแปลงไป เขาจึงพยายามทำทุกสิ่งอย่างเพื่อปกป้องมารดาไม่ให้ตื่นตระหนก ตกอกตกใจ ทำเสมือนว่าทุกสิ่งอย่างยังคงเหมือนเดิม

  • อารัมบท, Alex วัยเด็ก
    • Opening Credit
    • Alex และพี่สาว Ariane นั่งชมยานอวกาศทะยานขึ้นท้องฟ้า
    • ขณะเดียวกันมารดาตกอยู่ในความสิ้นหวัง หลังบิดาทอดทิ้งครอบครัวสู่ West Germany
    • หลังกลับจากโรงพยาบาล มารดาเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ อุทิศตนเองให้พรรคอกภาพสังคมนิยม
  • มารดาหัวใจวาย อาการโคม่า
    • Alex เข้าร่วมชุมนุมต่อต้านรัฐบาล ขณะถูกตำรวจรุมซ้อม กำลังถูกจับกุม พบเห็นมารดาทรุดล้มลง หัวใจวาย นอนสลบไสลเป็นเจ้าหญิงนิทรา
    • ช่วงเวลากำแพงเบอร์ลินล่มสลาย ชีวิตของ Alex & Ariane ได้ปรับเปลี่ยนแปลงไป
    • Ariane ทำงาน Burger King แต่งงานมีบุตรกับผู้จัดการ Rainer ย้ายเข้ามาอาศัยในอพาร์ทเม้นท์
    • Alex ทำงานขายจอรับสัญญาณโทรทัศน์ ร่วมกับเพื่อนสนิท Denis Domaschke ที่วาดฝันอยากเป็นผู้กำกับภาพยนตร์
    • ระหว่างนอนเฝ้ามารดา Alex พบเจอแฟนสาว Lara
    • แล้วมารดาก็ฟื้นตื่นขึ้นมา เรียกร้องอยากกลับบ้าน
  • แผนการลวงโลก
    • Alex จัดแจงทำทุกสิ่งอย่างให้เหมือนว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงก่อนพามารดากลับบ้าน
    • มารดาเรียกร้องอยากทานอาหารแบรนด์ East German แต่แทบทั้งหมดถูกยกเลิกการผลิต
    • มารดาเรียกร้องอยากรับชมโทรทัศน์ Alex มอบหมายให้เพื่อนสนิท Denis ช่วยตัดต่อวีดิโอเทป
    • Alex จัดแจงงานเลี้ยงวันเกิดมารดา
    • เรื่องวุ่นๆของป้ายโฆษณา Coca Cola
    • วันหนึ่งมารดาสามารถลุกขึ้นเดิน ลงจากอพาร์ทเม้นท์ พบเห็นสิ่งรอบข้างเปลี่ยนแปลงไป
  • ความจริงที่ถูกซ่อนเร้น
    • มารดาเรียกร้องอยากหวนกลับไปบ้านพักตากอากาศ
    • พอมาถึงบ้านพักตากอากาศ มารดาสารภาพเรื่องบิดา
    • มารดาหัวใจวายอีกรอบ นอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล
    • Alex ออกติดตามหาบิดา โน้มน้าวให้เขากลับมาเยี่ยมเยียน
    • Alex ฉายวีดิโอม้วนสุดท้าย เกี่ยวกับการล่มสลายของกำแพงเบอร์ลิน ฉายในค่ำคืนรวมประเทศเยอรมนี
    • หลังการเสียชีวิตมารดา จุดจรวดให้อัฐิล่องลอยบนท้องฟ้า

ฉบับตัดต่อแรกของหนังความยาว 164 นาที แน่นอนว่ายาวเกินไป ผกก. Becker จึงของความช่วยเหลือจากเพื่อนผู้กำกับ Tom Tykwer ช่วยกันเล็มโน่นนี่นั่นจนเหลือความยาว 121 นาที … แต่ผมยังรู้สึกว่าเนิ่นนานไปอยู่ดี

การตัดต่อของ Good Bye, Lenin! (2003) พยายามทำออกมาคล้ายๆ ‘สไตล์ Scorsese’ เล่าเรื่องผ่านเสียงบรรยาย เหตุการณ์กระโดดไปกระโดดมา แต่ทว่าหนังกลับไม่สามารถสร้างพลังในการเล่าเรื่อง ช่วงแรกๆดำเนินไปอย่างเอื่อยเฉื่อย ต้องจนกว่ามารดาจะฟื้นคืนชีพ เรื่องราวถึงมีความน่าสนใจเพิ่มขึ้นนิส


เพลงประกอบโดย Yann Pierre Tiersen (เกิดปี ค.ศ. 1970) นักแต่งเพลง สัญชาติฝรั่งเศส เกิดที่ Brest, Brittany ทางตะวันตกเฉียงเหนือของฝรั่งเศส เริ่มเรียนเปียโนตอนสี่ขวบ ไวโอลินตอนหกขวบ พออายุ 13 รับอิทธิพลจาก Punk Rock เปลี่ยนมาเล่นกีตาร์ไฟฟ้า แต่งเพลงจากอุปกรณ์สังเคราะห์เสียง ทำเพลงประกอบหนังสั้น ออกอัลบัมแรก La Valse des monstres (1995) นำแรงบันดาลใจจากภาพยนตร์ Freaks (1932) จากนั้นได้รับโอกาสทำเพลงประกอบภาพยนตร์จริงๆ อาทิ The Dreamlife of Angels (1998), Amélie (2001), Good Bye, Lenin! (2003) ฯ

ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ผกก. Becker จะติดต่อหา Yann Tiersen เงียบหายไปหลายเดือนเพราะออกทัวร์คอนเสิร์ต พอตอบตกลงก็ติดต่อไม่ได้เพราะต้องการทำเพลงอย่างสงบ ต้องรอคอยจนกระทั่งปลายปี ค.ศ. 2002 เริ่มการบันทึกเสียงที่ Paris ถึงได้รับฟังเพลงประกอบตรงตามใจ

แต่งานเพลงของ Tiersen ช่างมีความละม้ายคล้าย คละคลุ้งกลิ่นอาย Amélie (2001) [ตอนออกเดินทางสู่บ้านพักตากอากาศ ได้ยินบทเพลง Comptine d’un autre été, l’après-midi นำจาก Amélie (2001) ตรงๆเลยละ] บรรเลงเปียโนเบาๆ ซ้ำๆ เวียนวนไปวนมา ในสไตล์เรียกว่า Minimalist สร้างสัมผัสหวนระลึก อดีตที่ยังครุ่นคิดถึง (Nostalgia) ฟังดูเศร้าๆ เหงาๆ ภายในเวิ่งว่างเปล่า โหยหาใครสักคนสำหรับพึ่งพักพิงทางใจ

Goodbye Lenin! น่าจะถือเป็นบทเพลงตราตรึงที่สุดของหนัง เริ่มต้นจากมารดาลุกจากเตียง สามารถก้าวเดิน จึงตัดสินใจออกนอกอพาร์ทเม้นท์ แล้วพบเห็นสิ่งผิดแปลกประหลาดมากมาย และเฮลิคอปเตอร์บรรทุกรูปปั้น Lenin กำลังบินโฉบลงมา ความรู้สึกของเธอคงเต็มไปด้วยปริศนา มันบังเกิดเหตุการณ์ห่าเหวอะไรขึ้น?

แต่ในมุมของผู้ชมจะครุ่นคิดว่า นี่(อาจ)คือช่วงเวลาที่มารดาได้เรียนรู้ความจริง พบเจอโลกใบใหม่ (ดนตรีจะค่อยๆเร่งความเร็ว ไต่ไล่ระดับ) รูปปั้น Lenin กำลังโบกมืออำลา สัญลักษณ์การล่มสลายคอมมิวนิสต์/สังคมนิยม และเยอรมนีตะวันออก

Good bye, Lenin! ไม่ใช่ว่า Vladimir Lenin เสียชีวิตไปตั้งแต่ปี ค.ศ. 1924 หรอกหรือ? แต่ทว่าอุดมการณ์ แนวคิดของผู้ก่อตั้งระบบสังคมนิยม (Socialism) “สังคมเป็นเจ้าของ” ยังคงเป็นรากฐานให้กับคนรุ่นหลัง สหภาพโซเวียต หลายๆประเทศคอมมิวนิสต์ และเยอรมนีตะวันออก (East Germany)

แต่ทว่าแนวคิด “สังคมเป็นเจ้าของ” ไม่ใช่สิ่งที่หลายๆประเทศเมื่อนำมาทดลองใช้แล้วจะประสบความสำเร็จ พันธมิตรสหภาพโซเวียตจึงค่อยๆอ่อนกำลังลง จนรัฐบาลเยอรมนีตะวันออกต้องยินยอมผ่อนปรน กำแพงเบอร์ลินพังทลายลง (Fall of the Berlin Wall หรือ Mauerfall) วันที่ 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1989 และรวมประเทศเยอรมัน (German Reunification หรือ Deutsche Wiedervereinigung) วันที่ 3 ตุลาคม ค.ศ. 1990

สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้เริ่มต้นปี ค.ศ. 1978 เมื่อครั้นบิดาทอดทิ้งครอบครัวหลบหนีไป West Germany = Sigmund Jähn (1937-2019) นักบินชาวเยอรมันคนแรกที่ออกเดินทางสู่อวกาศ … สังเกตเห็นความสัมพันธ์นี้ไหมเอ่ย? บิดาทอดทิ้งครอบครัว = นักบินอวกาศออกนอกโลก

มารดาพยายามปกปิดการจากไปของบิดา เล่นละคอนตบตาด้วยการอุทิศตนเองให้ East Germany เพื่อลูกๆมีชีวิตสุขสบาย ไม่ต้องต่อสู้ดิ้นรนในระบบสังคมนิยม = บุตรชายพยายามปิดบังความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง การล่มสลายของกำแพงเบอร์ลิน เพราะไม่ต้องการให้มารดาตื่นตระหนก ตกอกตกใจ แล้วหัวใจวายอีกรอบ … นี่อีกเช่นกัน แม่-ลูกต่างโกหกตนเอง ปิดบังความจริง เพื่อปกป้องบุคคลที่ตนเองรัก

(ตอนถูกบิดาทอดทิ้ง มารดาแน่นิ่งเป็นผัก เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลจิตเวชหลายเดือน = ช่วงระหว่างกำแพงเบอร์ลินล่มสลาย มารดาหัวใจวาย อาการโคม่า สลบไสลนานกว่าแปดเดือนก่อนฟื้นตื่นขึ้นมา)

ผมกล้าพูดอย่างตรงไปตรงมาอย่างไม่หลอกตนเอง ยุคสมัยนี้การโกหกถือเป็นทักษะอย่างหนึ่งที่เราต้องมีติดตัว (เหมือนทักษะภาษาอังกฤษ, โทรศัพท์มือถือ, คอมพิวเตอร์, อนาคตก็อาจมีการใช้งาน AI ฯ) ถ้าต้องการอยู่รอดในสังคมก็ต้องรู้จัก-รู้ทัน โกหกให้เป็น (โดยเฉพาะนักการเมือง ถือเป็นนักโกหกมืออาชีพ!) นั่นทำให้มุมมองคนรุ่นใหม่ต่อการโกหกหลอกลวงเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง

ภาพยนตร์อย่าง Life Is Beautiful (1997) และ Good Bye, Lenin! (2003) ในอดีตย่อมถูกตั้งคำถามถึงความถูกต้องเหมาะสม การโกหกเป็นสิ่งไม่ดี ผิดศีลธรรม สังคมไม่ให้การยินยอมรับ ไม่ควรลอกเลียนแบบอย่าง, แต่เมื่อยุคสมัยผันเปลี่ยนแปลง เรื่องพรรค์นี้กลับกลายเป็นความถูกต้องชอบธรรม เพราะทำด้วยจุดประสงค์ ปกป้องครอบครัว และบุคคลที่รัก

ผมมองว่า Good Bye, Lenin! (2003) ทำออกมาคล้ายๆจดหมายอำลาอาลัย (Eulogy) เพ้อรำพัน หวนระลึก ครุ่นคิดถึงอดีต (Nostalgia) และอุทิศให้กับมารดาผู้ล่วงลับ, แต่สำหรับผกก. Becker แสดงความคิดเห็นว่าหนังเรื่องนี้เปรียบดั่งงานศพของ East Germany ถึงเวลาที่คนรุ่นเก่าจะต้องยินยอมรับความเปลี่ยนแปลงเสียที!

A lot of East Germans still have this inferiority complex, so how could they get along with their own history? With their own past? It was hard for them even to say, “I had a wonderful childhood because my parents loved me and I loved my parents. My first kiss was just perfect, and my first sex was perfect, and I have so many wonderful memories, although these memories took place in a country which was a feelgood dictatorship.” The film is a symbolic funeral in dignity to all that, I think. It hit a nerve.

Wolfgang Becker

เข้าฉายรอบปฐมทัศน์ยังเทศกาลหนังเมือง Berlin เสียงตอบรับจากนักวิจารณ์ชาวเยอรมันค่อนสงวนท่าที (ใช้คำว่า Largely Reserved) แต่ยังสามารถคว้ารางวัล Der Blaue Engel (Blue Angel) สำหรับภาพยนตร์จากยุโรป (รางวัลนี้เริ่มต้นปี ค.ศ. 1996 แล้วกระโดดมา 1999-2005 ก่อนล้มเลิกไป)

กระแสปากต่อปากของผู้ชม ด้วยทุนสร้าง DM 9.6 ล้านมาร์คเยอรมัน (=$6.5 ล้านเหรียญสหรัฐ) สามารถทำเงินในประเทศ DM 83 ล้านมาร์คเยอรมัน (=$41.45 ล้านเหรียญ) รวมทั่วโลกประมาณ $79 ล้านเหรียญสหรัฐ ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม!

นั่นทำให้หนังได้กลายเป็นตัวแทนประเทศเยอรมัน ส่งลุ้นรางวัล Oscar: Best Foreign Language Film แม้ไม่ผ่านเข้ารอบใดๆ แต่ก็ยังได้ลุ้นรางวัลอื่นๆอีกมากมาย

  • Golden Globes: Best Foreign Language Film พ่ายให้กับ Osama (2003)
  • BAFTA Award: Best Film Not in the English Language พ่ายให้กับ In This World (2002)
  • César Awards: Best Film from the European Union **คว้ารางวัล
  • Goya Awards: Best European Film **คว้ารางวัล
  • European Film Awards
    • Best Film **คว้ารางวัล
    • Best Director
    • Best Actor (Daniel Brühl) **คว้ารางวัล
    • Best Actress (Katrin Sass)
    • Best Screenwriter **คว้ารางวัล

และสำหรับประเทศเยอรมัน สามารถกวาดรางวัล German Film Award จำนวนถึง 8 สาขา

  • Best Fiction Film **คว้ารางวัล
  • Best Director **คว้ารางวัล
  • Outstanding Actor (Daniel Brühl) **คว้ารางวัล
  • Outstanding Actress (Katrin Sass)
  • Outstanding Supporting Actor (Florian Lukas) **คว้ารางวัล
  • Outstanding Supporting Actress (Maria Simon)
  • Outstanding Screenwriter **คว้ารางวัล
  • Outstanding Production Design **คว้ารางวัล
  • Outstanding Editing **คว้ารางวัล
  • Outstanding Music **คว้ารางวัล

Good Bye, Lenin! (2003) เคยเข้าฉายจำกัดโรงในเมืองไทย (Lido & Major รัชโยธิน) ใช้ชื่อ คุณแม่จู้จี้ คุณลูกขี้จุ๊ น่าจะยังพอหาซื้อ DVD เก่าๆได้อยู่กระมัง … ผมเห็นสถาบัน Goethe และหอภาพยนตร์นำกลับมาฉายบ่อยๆ ใครว่างๆก็ลองหาโอกาสดูนะครับ

ผมค่อนข้างโอเคกับ Life Is Beautiful (1997) เพราะแนวทางของผู้กำกับ Roberto Benigni ชัดเจนว่าเป็นหนังเศร้าปนตลก (TragiComedy) แต่ไม่ใช่สำหรับ Good Bye, Lenin! (2003) ที่ออกไปทางดราม่าครอบครัว หลายสิ่งอย่างมีความเฉพาะเยอรมนีตะวันออก สร้างสัมผัสหวนระลึก ครุ่นคิดถึงอดีต (Nostalgia) ผู้ชมต่างชาติจึงมักเข้าไม่ถึงรายละเอียดดังกล่าว

มันอาจเพราะผมเพิ่งรับชม Run Lola Run (1998) มาเมื่อวันก่อนด้วยกระมัง เลยรู้สึกว่าวิธีการเล่าเรื่องของ Good Bye, Lenin! (2003) ไม่ได้สะท้อนความเปลี่ยนแปลงยุคสมัยสักเท่าไหร่ เต็มไปด้วยความเอื่อยเฉื่อย น่าเบื่อหน่าย แต่สำหรับชาวเยอรมัน ภาพยนตร์เรื่องนี้ต้องถือว่าซาบซึ้งกินใจ มีความทรงคุณค่ามากล้น บันทึกประวัติศาสตร์การล่มสลายกำแพงเบอร์ลิน

จัดเรต 15+ ภาพชุมนุมประท้วง การหลอกตัวเอง

คำโปรย | Good Bye, Lenin! จดหมายอำลามารดา และเยอรมนีตะวันออกก่อนการรวมประเทศ
คุณภาพ | ลาก่อน
ส่วนตัว | เอื่อยเฉื่อย

Leave a Reply

avatar

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

  Subscribe  
Notify of
%d bloggers like this: