
Himiko (1974)
: Masahiro Shinoda ♥♥♥♡
ย้อนเวลากลับไปยุคสมัยญี่ปุ่นโบราณ (Ancient Japan) หมอผี/คนทรง Himiko (รับบทโดย Shima Iwashita) มีความสามารถได้ยินพระวจนะของเทพสุริยัน (Sun God) มักจะทำนายทายทัก กำหนดทิศทางอาณาจักร แต่เธอมีพลังพิเศษนั้นจริงๆนะหรือ?
เรื่องราวของ Himiko, 卑弥呼 ประมาณการณ์ว่ามีชีวิตอยู่ช่วงระหว่าง Yayoi Period, 弥生時代 (300 BC – 300 AD) คือชาวญี่ปุ่นเก่าแก่ที่สุดเคยถูกบันทึกไว้ใน Wei zhi, 魏志 (297 CE) แปลว่า Records of Wei, กล่าวถึงราชินีหมอผีจากแคว้น Yamatai ปกครองอาณาประชาราษฎร์ด้วยเวทมนตร์ ได้ส่งคณะทูตมาเจริญสัมพันธไมตรีกับราชวงศ์เว่ยของประเทศจีน
The Japanese people of Wa [倭人] dwell in the middle of the ocean on the mountainous islands southeast of [the prefecture of] Tai-fang. They formerly comprised more than one hundred communities. During the Han dynasty, [Wa envoys] appeared at the Court; today, thirty of their communities maintain intercourse [with us] through envoys and scribes.
The country formerly had a man as ruler. For some seventy or eighty years after that there were disturbances and warfare. Thereupon the people agreed upon a woman for their ruler. Her name was Himiko [卑弥呼]. She occupied herself with magic and sorcery, bewitching the people. Though mature in age, she remained unmarried. She had a younger brother who assisted her in ruling the country. After she became the ruler, there were few who saw her. She had one thousand women as attendants, but only one man. He served her food and drink and acted as a medium of communication. She resided in a palace surrounded by towers and stockades, with armed guards in a state of constant vigilance.
Herein we address Himiko, Queen of Wa, whom we now officially call a friend of Wei. […Your envoys] have arrived here with your tribute, consisting of four male slaves and six female slaves, together with two pieces of cloth with designs, each twenty feet in length. You live very far away across the sea; yet you have sent an embassy with tribute. Your loyalty and filial piety we appreciate exceedingly. We confer upon you, therefore, the title “Queen of Wa Friendly to Wei,” together with the decoration of the gold seal with purple ribbon. The latter, properly encased, is to be sent to you through the Governor. We expect you, O Queen, to rule your people in peace and to endeavor to be devoted and obedient.
When Himiko passed away, a great mound was raised, more than a hundred paces in diameter. Over a hundred male and female attendants followed her to the grave. Then a king was placed on the throne, but the people would not obey him. Assassination and murder followed; more than one thousand were thus slain. A relative of Himiko named Iyo [壹與], a girl of thirteen, was [then] made queen and order was restored. Chêng issued a proclamation to the effect that Iyo was the ruler.
LINK: Wikipedia/Himiko จะมีแปลข้อความจากบันทึก Wei zhi ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Records of the Three Kingdoms, 三國志 (297) ที่คนไทยรู้จักกันในชื่อสามก๊ก
จากรายละเอียดแค่ไม่กี่บรรทัด เชื่อได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ ผกก. Shinoda นำเอาข้อมูลเหล่านั้นมาปรุงปั้นแต่ง สร้างเรื่องราวเป็นตุเป็นตะ ทำออกมาในสไตล์ Avant-Garde ที่มีความแปลกพิศดารทั้งภาพและเสียง (เพลงประกอบโดย Tōru Takemitsu) มักได้รับการเปรียบเทียบ The Holy Mountain (1973) ของผกก. Alejandro Jodorowsky … การันตีความยากในการรับชมระดับ Veteran
และถ้าคุณต้องการทำความเข้าใจ Himiko (1974) ให้ถึงแก่นสาระแท้จริง แนะนำว่าควรพานผ่านหลายๆผลงานของผกก. Shinoda ยกตัวอย่าง Assassination (1964), Double Suicide (1969), Silence (1971) ฯ แล้วจักพบเห็นความเชื่อมโยงอะไรบางอย่าง ชักชวนให้ผู้ชมตั้งคำถาม ความสัมพันธ์ระหว่างการเมือง vs. เรื่องส่วนตัว? เทพสุริยันมีจริงหรือไม่? ใครคือผู้อยู่เบื้องหลัง เป็นเจ้าของอำนาจแท้จริง?
Masahiro Shinoda, 篠田 正浩 (1931-2025) ผู้กำกับภาพยนตร์ สัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Gifu หลังสงครามโลกครั้งที่สองเข้าศึกษาคณะการละคอน Waseda University แต่พอมารดาเสียชีวิตจำต้องทอดทิ้งการเรียน ได้เข้าทำงานสตูดิโอ Shōchiku เคยเป็นผู้ช่วยผู้กำกับ Yasujirô Ozu เรื่อง Tokyo Twilight (1957), กำกับภาพยนตร์เรื่องแรก One-Way Ticket to Love (1960), Pale Flower (1964), Assassination (1964), With Beauty and Sorrow (1965), Samurai Spy (1965), จากนั้นออกมาก่อตั้งสตูดิโอโปรดักชั่นของตนเอง สรรค์สร้างผลงานชิ้นเอก Double Suicide (1969), Silence (1971), Himiko (1974), Under the Blossoming Cherry Trees (1975), Ballad of Orin (1977), Demon Pond (1979), Gonza the Spearman (1986), Childhood Days (1990), Sharaku (1995), Owls’ Castle (1999) ฯ
ผกก. Shinoda มีความสนใจในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นมาแต่ไหนแต่ไร เรื่องราวของ Himiko ก็น่าจะเฉกเช่นเดียวกัน คือบุคคลเก่าแก่ที่สุดที่มีการจดบันทึกลายลักษณ์อักษร แม้จะไม่มีรายละเอียดอะไรมาก และเนื้อหาฟังดูเหนือธรรมชาติ นั่นคือพื้นที่ว่างสำหรับพัฒนาเรื่องราวให้สอดคล้องวิสัยทัศน์ของผู้สร้าง
ร่วมพัฒนาบทหนังกับนักเขียนขาประจำ Taeko Tomioka (Double Suicide, Under the Blossoming Cherry Trees) สร้างเรื่องราวที่สามารถสะท้อนเข้ากับยุคสมัยปัจจุบัน(นั้น)
In my films, I have tried to show the present through the past and history, coming around to the truth that all Japanese culture flows from imperialism and the emperor system. What characterizes Japan is the imposition upon the people of absolute power and authority without the right to question and debate… I find, however, that politics leads to nothing, and that power politics remain empty.
Masahiro Shinoda
เรื่องราวของหมอผี/คนทรง Himiko (รับบทโดย Shima Iwashita) ผู้อ้างว่ามีความสามารถได้ยินพระวจนะของเทพสุริยัน ปกครองอาณาจักรพระอาทิตย์ให้มีความยิ่งใหญ่ แต่การมาถึงของลูกพี่ลูกน้อง/นักเดินทาง Takehiko (รับบทโดย Masao Kusakari) เรื่องเล่าจากต่างแดนทำให้เธอเกิดความลุ่มหลงใหล ตกหลุมรักใคร่ ลักลอบสานสัมพันธ์ชู้รัก จนสร้างความเคลือบแคลงสงสัยให้เจ้าชาย Mimaki สนทนากับพระบิดา King Ohkimi ครุ่นคิดว่า Himiko อาจสูญเสียพลังพิเศษ (เนื่องจากตกหลุมรักคนนอก) ไม่สามารถสื่อสารกับเทพสุริยันได้อีกต่อไป
แต่ทว่า Nashime (รับบทโดย Rentarō Mikuni) คนรับใช้ของ Himiko พอได้ยินคำสนทนาดังกล่าว จึงทำการลอบสังหาร King Ohkimi แต่งตั้งเธอขึ้นเป็น Queen Himiko แล้วคอยแอบชักใยบงการอยู่เบื้องหลัง
Shima Iwashita, 岩下志麻 (เกิดปี ค.ศ. 1941) นักแสดงสัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Tokyo ทั้งบิดา-มารดาต่างเป็นนักแสดงละคอนเวที ช่วงระหว่างเรียนมัธยมได้รับเลือกแสดงซีรีย์โทรทัศน์ เข้าศึกษาสาขาวรรณกรรม Seijo University แต่ยังไม่ทันเรียนจบเข้าร่วมสตูดิโอ Shōchiku แสดงภาพยนตร์เรื่องแรก The River Fuefuki (1960), Harakiri (1962), An Autumn Afternoon (1962), Sword of the Beast (1965), จากนั้นร่วมงานขาประจำ และกลายเป็นภรรยาผกก. Masahiro Shinoda อาทิ Double Suicide (1969), Silence (1971), Himiko (1974), Ballad of Orin (1977) ฯ
เกร็ด: นิตยสาร Kinema Junpo จัดอันดับ Movie Star of the 20th Century ฝั่งนักแสดงหญิงของประเทศญี่ปุ่น Shima Iwashita #ติดอันดับ 10
รับบทหมอผี/คนทรง Himiko อ้างว่าได้ยินพระวจนะของเทพสุริยัน จึงสามารถทำนายทายทักอนาคตอาณาจักร แต่หลังจากตกหลุมรักนักเดินทาง Takehiko แล้วสูญเสียเขาไป เธอแสดงอาการคลุ้มบ้าคลั่ง เศร้าโศกเสียใจอย่างรุนแรง Nashime จึงกักขังเธอไว้ แล้วยกสถานะราวกับพระเจ้า พอหมดประโยชน์ก็กำจัดทิ้ง แล้วแต่งตั้งราชินีองค์ใหม่
การแสดงของ Iwashita ทั้งกิริยาท่าทาง ปั้นแต่งสีหน้า รวมถึงน้ำเสียงสนทนา ล้วนเต็มไปด้วยการประดิษฐ์ประดอย ปรุงปั้นแต่งให้ดูเหนือจริง (ผมรู้สึกค่อนไปทางสไตล์หนังเงียบมากกว่าจะเรียกว่า Over-Acting) เหตุผลก็เพราะว่าตัวละครนี้คือหมอผี/คนทรง ต้องทำตัวให้ดูสูงส่ง มากด้วยพิธีการ และผสมผสานการร่ายรำ
ในเรื่องการแสดงออกทางอารมณ์ของ Iwashita ต้องถือว่าไม่เป็นสองรองใคร ใช้มารยาหญิงยั่วเย้าชายคนรัก พอถูกเขาทรยศหักหลังก็เต็มไปด้วยอารมณ์เกรี้ยวโกรธ ขณะพิพากษาตัดสินพยายามเก็บซ่อนความรู้สึก ก่อนตกอยู่ในความห่อเหี่ยวสิ้นหวัง ปล่อยตัวปล่อยใจ หลงเหลือเพียงกระทำสิ่งตอบสนองตัณหาความใคร่

ถ่ายภาพโดย Tatsuo Suzuki, 鈴木 達夫 (เกิดปี ค.ศ. 1935) ตากล้องสัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Fukuoka, เข้าสู่วงการภาพยนตร์จากถ่ายทำสารคดี Iwanami Productions ก่อนออกมาเป็นช่างภาพฟรีแลนซ์ เคยร่วมงานผกก. Matsumoto ตั้งแต่สารคดีสั้น For My Crushed Right Eye (1968), ภาพยนตร์ขนาดยาว Funeral Parade of Roses (1969), Demons (1971), Dogra Magra (1988), ผลงานเด่นอื่นๆ อาทิ A Story Written with Water (1965), Woman of the Lake (1966), Himiko (1974), Lady Snowblood 2: Love Song of Vengeance (1974), Pastoral: To Die in the Country (1974), Under the Blossoming Cherry Trees (1975), The Man Who Stole the Sun (1979), Farewell to the Ark (1984), Childhood Days (1990), Sharaku (1995), Owls’ Castle (1999) ฯ
งานภาพของหนังอาจไม่ได้มีลูกเล่นภาพยนตร์อะไรมากมาย ส่วนใหญ่ตั้งกล้องไว้เฉยๆ นานๆครั้งถึงมีการขยับเคลื่อนไหว แต่รายละเอียดภายในภาพ เหตุการณ์พบเห็นช่างมีความแปลกพิศดาร ท้าทายข้อห้าม (Taboo) เต็มไปด้วยสิ่งข้าวของโน่นนี่นั่นที่ไม่เหมือนญี่ปุ่นโบราณ บางสิ่งอย่างช่างดูทันสมัยใหม่ เอาว่านั่นคือลักษณะของ Avant-Garde ผู้ชมต้องคอยสังเกต ขบครุ่นคิดหาคำตอบด้วยตนเอง
ในขณะที่ฉากภายในมีอะไรให้ต้องขบครุ่นคิดมากมาย ตรงกันข้ามกับฉากภายนอก เทือกเขาสูงใหญ่ ป่าเขาลำเนาไพร แสงอาทิตย์ลอดผ่านแมกไม้ ฯ ทิวทัศน์ธรรมชาติช่วยสร้างความผ่อนคลาย ราวกับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ต้องมนต์ขลัง ยังไม่ถูกมนุษย์เข้ามาทำให้แปดเปื้อน … หนังของผกก. Shinoda ที่มีการถ่ายภาพธรรมชาติ มักทำออกมาได้อย่างสวยงามมากๆ
คล้ายๆแม่ชีของศาสนาคริสต์ที่มีคำเรียก “Brides of Christ” ต้องครองพรหมจรรย์ อุทิศทั้งชีวิตให้กับพระศาสนา, หมอผี/คนทรง Himiko ฉากแรกของหนังประกอบพิธีกรรมในป่า นอนลงบนพื้น เริงระบำ/แสดงออกด้วยท่วงท่าเหมือนการร่วมรัก เพศสัมพันธ์กับแสงอาทิตย์ = เทพสุริยัน


ชายคนหนึ่งนับถือเทพภูเขา (Mountain God) ขุดพบเจอโบราณวัตถุ ก่อนถูกเข่นฆ่าโดย Mimaki ที่นับถือเทพสุริยัน (Sun God) นี่แสดงถึงความสุดโต่งในสมัยโบราณกาล เพียงความเชื่อศรัทธาต่อพระเจ้าที่แตกต่าง จักคือศัตรูคู่อาฆาต บุคคลนอกรีต ต้องกำจัดให้สิ้นซาก


การมาถึงของ Takehiko เดินลัดเลาะผ่านภูเขา มาจนพบเจอคนกลุ่มนี้ หนังไม่มีคำอธิบายว่าพวกเขาคือใคร? ภูติผีปีศาจ? นับถือเทพเจ้าองค์ใด? แต่เราสามารถเหมารวมเป็นพวกนอกรีต (ที่ไม่ได้นับถือเทพสุริยัน) นำพาชายหนุ่มไปพบเจอกับสมาชิกที่นับถือเทพภูเขา (Mountain God) … หรือจะมองว่าพวกเขาคือสมาชิกของเทพภูเขาก็ได้กระมัง
คนกลุ่มนี้ถือว่ามีบทบาทพอสมควร หลังจากนี้ยังคอยให้ความช่วยเหลือ Takehiko ตอนถูกเนรเทศออกจากอาณาจักรพระอาทิตย์ เข้าร่วมสู้รบสงคราม ถูกจับกุม และช่วงท้ายยังลงมือเข่นฆ่า Himiko … พวกเขาเหล่านี้คือนักเต้น Butoh Dance ที่เดี๋ยวผมจะอธิบายต่อไป

การถัก-สาน-ทอผ้า (Weaving, Spinning, Threading) โดยปกติแล้วมักสื่อโชคชะตาชีวิต (Fate and Destiny) ถักทออนาคตด้วยมือของตนเอง แต่ในปรับปราญี่ปุ่น Amaterasu (天照大) เทพีแห่งดวงอาทิตย์ของศาสนาชินโต เจ้าของฉายา The Heavenly Weaving Maiden ทำงานในห้องโถง Pure Weaving Hall (忌服屋 อ่านว่า Imi Hata Ya) ถักเส้นด้าย (ตัวแทนความวุ่นวาย Chaos) มาสาน-ทอผ้าให้มีระบบระเบียบ (Order) … Sun God ในหนังกับ Amaterasu ถือเป็นเทพคนละองค์ ผกก. Shinoda คงได้แรงบันดาลใจมากระมัง
เกร็ด: เท่าที่ผมอ่านเจอการเปรียบเทียบ Sun God (日の神 อ่านว่า Hi no Kami) ในหนัง Himiko (1974) ถือเป็นเพียง Pagan, Primal Deity ผิดกับ Amaterasu Ōmikami ในปรัมปราชินโตถือเป็น Supreme Goddess ปกครองอาณาจักรบนสรวงสวรรค์ (Celestial Plain)

เรื่องราวของหนังมีพื้นหลัง Yayoi Period, 弥生時代 (300 BC – 300 AD) คือยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ไม่มีใครบอกได้ว่าคนยุคนั้นใช้ชีวิตกันอย่างไร? ผกก. Shinoda จึงครุ่นคิดจินตนาการ ออกแบบฉากในลักษณะ Abstract Art สิ่งข้าวของในห้องโถง Pure Weaving Hall ช่างมีความใหม่ ทันสมัย พยายามทำออกมาให้เรียบง่าย (Minimalist) ขัดแย้งกับสภาพความจริง สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์ยุคสมัย


ตอนต้นเรื่องที่ Himiko ร่วมรักกับเทพสุริยัน กล้องมักถ่ายจากเบื้องบน หรือแหงนมองพระอาทิตย์, คราวนี้เมื่อเธอร่วมรักกับ Takehiko กล้องเคลื่อนเลื่อนแนวราบขนานกับภาคพื้น จากศีรษะสู่ปลายเท้าแล้วหวนกลับมาศีรษะ (เหมือนจังหวะการแทงเข้า-ออก) สังเกตมือกวัดแกว่งของหญิงสาว ดูราวกับชักใย ถักทอ ในบริบทนี้อาจคือการบงการชีวิตของตนเองกระมัง

การได้รับฟังเรื่องเล่าการเดินทางของ Takehiko สร้างความสนอกสนใจให้ Himiko อยากรู้อยากเห็นโลกภายนอก สิ่งอยู่ไกลจากท้องฟ้า มหาสมุทร จึงออกคำพยากรณ์ให้ King Ohkimi สานสัมพันธ์กับอาณาจักรรอบข้าง ให้การยินยอมรับเทพเจ้าองค์อื่น
แต่นั้นสร้างความสับสน ร้อนรน กระวนกระวายใจให้กับ King Ohkimi และบรรดารัชทายาทต่างเดินวนไปวนมา อาบฉาบแสงสีเหลืองน่าจะช่วงเวลาพระอาทิตย์ใกล้ตกดิน แสดงเจตจำนงค์ว่าขอเลือกทำสงครามแทนที่จะก้มหัวศิโรราบต่อเทพเจ้าอื่นใด และครุ่นคิดวางแผนกำจัด Himiko ให้พ้นภัยทาง (แสงสีเหลืองเลยกลายเป็นว่าสื่อถึงช่วงเวลาของ King Ohkimi ที่ใกล้สิ้นสุดลง)

Nashime คนรับใช้ของ Himiko เป็นบุคคล(เดียว)ที่มีความเชื่อมั่นศรัทธาอย่างแรงกล้า (จนถึงระดับคลุ้มคลั่ง Fanatic) มุมกล้องซีเควนซ์นี้จับจ้องเขาราวกับจุดศูนย์กลางจักรวาล ระหว่างก้าวเดิน พร่ำพูดแสดงความคิดเห็น “The ruler of the kingdom shall be Himiko when king passes on.”

ผมนำภาพสองช็อตนี้ที่อยู่ติดกันมาอธิบายให้เห็นความสัมพันธ์, Nashime ยืนอยู่บนยอดเขา เหม่อมองท้องฟ้า ทิวทัศน์กว้างใหญ่ หรือคืออาณาบริเวณของอาณาจักรเทพสุริยัน แล้วพอตัดมาห้องทำพิธี ตำแหน่งของเขาช่างพอดิบพอดีกับดินศักดิ์สิทธิ์ สัญลักษณ์แทนอาณาจักรสุริยัน … นี่ก็แปลว่า Nashime ได้แต่งตั้งตนเองขึ้นเป็นตัวแทนอาณาจักรสุริยัน


เท่าที่ผมสังเกตได้จากการทำพิธีเข้าทรงของหมอผี เริ่มต้นจากการใช้แผ่นทองแดงสะท้อนแสงอาทิตย์ แล้วอ้าปากกว้างเพื่อโอบรับเทพสุริยันเข้ามาในกาย จากนั้นทำการร่ายรำบนพื้นทรายขาว King Ohkimi จะทำการดีดพิณ Koto (箏 หรือ 琴) เพื่อสอบถามคำพยากรณ์


ความตายของ King Ohkimi ไม่ได้เกิดจากพลังเหนือธรรมชาติของ Himiko (หรือเทพสุริยัน) แต่คือการลงมือลอบสังหารของ Nashime คนรับใช้ผู้มีความคลั่งศรัทธา ไม่ยินยอมให้ใครมาลบหลู่ ต่อกรอำนาจเด็ดขาด กำจัดบุคคลเห็นต่างให้พ้นภัยทาง … นี่สามารถสะท้อนสถานการณ์การเมืองที่ใครไม่ใช่พวกย่อมคือศัตรู ฝั่งซ้ายไม่สามารถประณีประณอมฝั่งขวา เปลี่ยนจากฆ่าให้ตายมาเป็นตัดสิทธิ์ทางการเมือง (หรือที่กันเรียกกว่าการประหารชีวิตทางการเมือง)
ปล. ลักษณะการคลุมผ้าฆ่า King Ohkimi พยายามทำออกมาให้มีลักษณะเหมือนก้อนกรวย ดินศักดิ์สิทธิ์ ฉันนี่แหละคืออาณาจักรสุริยัน

หลายคนพอพบเห็นภาพนี้ย่อมต้องครุ่นคิดถึงภาพยนตร์ Double Suicide (1969) แต่มันเกี่ยวเนื่องอะไร? เรื่องนั้นคือภาพหลังจากการฆ่าตัวตายคู่ (Double Suicide) ผมครุ่นคิดว่าอาจสื่อถึงจุดจบความสัมพันธ์ เพราะหลังจากนี้ Takehiko จะแอบไปสานสัมพันธ์กับ Adahime

ในขณะที่ฉากร่วมรักระหว่าง Takehiko กับ Himiko ต้องคอยหลบๆซ่อนๆอยู่ในห้องโถง Pure Weaving Hall, เพศสัมพันธ์กับ Adahime ยังโลกภายนอก มีการปรับเปลี่ยนสถานที่ ท่วงท่า ขอนไม้ริมทะเลสาป (Man on Top), โขดหินข้างลำธาร (ลิงอุ้มแตง), พื้นทรายติดเนินเขา (Doggy) เหล่านี้สามารถสื่อถึงอิสรภาพทางเพศ (Sexual Freedom) อยากทำอะไรที่ไหนก็ได้ตามใจ



ทายาทของ King Ohkimi ประกอบด้วย Mimaki และ Ikume ฉากนี้ทั้งสองกำลังซักซ้อมการยิงธนู แต่เป็น Mimaki ที่แม่นยำทั้งการยิง และสามารถทำนายทายทักเป้าหมายแท้จริงของ Takehiko … ไม่ใช่แค่เหตุการณ์นี้แต่หลายๆครั้ง Mimaki สามารถอ่านเกมการเมือง มีความแม่นยำยิ่งกว่า Himiko เสียอีก!

ผมเรียกซีเควนซ์นี้ว่าการถือกำเนิดหมอผี/คนทรงคนใหม่ เด็กหญิงอายุสิบสามชื่อ Toyo ลุกขึ้นยืนท่ามกลางท้องทุ่ง จากนั้นออกวิ่งไปตามทาง ส่งเสียงตะโกนพยากรณ์ “Mimaki will perish!”, “Mimaki will fall!” วนซ้ำไปซ้ำมา (ภาพถ่ายก็ฉากซ้ำไปซ้ำมา) และยังภาพฝูงนกโบยบิน ก่อนได้ยินถึงหู Nashime … แต่ก็ไม่เห็นว่า Mimaki จะพ่ายแพ้หรือไร? สรุปว่าคำพยากรณ์ผิดพลาด ถึงอย่างนั้นเธอกลับยังได้กลายเป็นหมอผี/คนทรงถัดจาก Himiko ในกาลต่อไป


ระหว่างที่ Nashime สนทนากับพันธมิตรเกี่ยวกับคำพยากรณ์ของ Toyo มันจะมีช็อตหนึ่งถ่ายย้อนแสง พบเห็นเขาปกคลุมอยู่ในความมืดมิด ขณะกำลังพาดพิงถึง Mimaki นำพาอาณาจักรสู่ความมืดมิด … มันไม่ใช่ว่า Nashime เองหรอกหรือที่ทำให้อาณาจักรสุริยันจมปลักอยู่ในความมืดมิด?

หลังตระหนักว่า Takehiko นอกใจตนเอง แอบคบชู้กับ Adahime ทำให้ Himiko แสดงอาการคลุ้มคลั่ง (Hysteria) มิอาจทอผ้าต่อได้ลง ลุกขึ้นเดินวนไปวนมา สังเกตมือไม้ยกขึ้นๆลงๆ อยากจะกรีดกรายแต่พยายามเก็บกดเอาไว้ ช่างเป็นการแสดงออกภาษากายที่แปลกประหลาด แต่แอบดูเหมือนท่าทางการถักทอผ้าอยู่เล็กๆ

แม้จะเคยรักใคร่ แต่เพราะ Takehiko ทรยศหักหลังทั้งเธอและอาณาจักร Himiko จึงออกคำสั่งให้ดึงเล็บ เขียนรอยสัก (สัญลักษณ์ของความไม่บริสุทธิ์) ก่อนถูกเนรเทศจะมีพิธีชำระล้างความสกปรกด้วยคนโง่ (Fools) ไก่ (Cocks) และสุนัข (Dogs) เข้ามาเริงระบำ ร่วมรักกันอย่างคลุ้มบ้าคลั่ง … ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสิ่งเหล่านั้นมันปัดเป่าเสียดจัญไรในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ได้อย่างไร? ดูแล้วมันน่าจะเละเทะยิ่งกว่าเดิมไม่ใช่ฤา?
- ไก่โดยเฉพาะตัวผู้ (Rooster) เสียงขันยามเช้าสามารถปัดเป่าความมืดมืด การมาถึงของรุ่งอรุณ เช้าวันใหม่
- สุนัขมักถูกเรียกว่า Komainu (Guardian Dogs) คอยปัดเป่าวิญญาณชั่วร้าย ปกป้องสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
- ส่วนคนโง่ Fools ผมสอบถามจาก AI มันบอกว่าอาจแปลบิดเบือนมาจากภาษาญี่ปุ่น Hitogata (人形) แปลว่ากระดาษมนุษย์ (Human-shaped paper doll) ซึ่งสามารถเขียนชื่อแซ่ และใช้เป็นสิ่งรองรับความโชคร้าย ปัดเป่าสิ่งไม่บริสุทธิ์ออกจากร่างกาย

ผมไม่ค่อยแน่ใจเรื่องราวของเธอคนนี้สักเท่าไหร่ น่าจะเป็นหนึ่งในคนรับใช้ Himiko ระหว่างเดินทางมาธารน้ำตก แสดงอาการคลื่นเหียร วิงเวียน เลือดไหลราวกับตกลูก ก่อนถูกคนป่าพวกนี้ลักพาตัว ห้อยหัวลงกับพื้น แล้วดื่มเลือดที่รินไหล (เห็นริมฝีปากเปื้อนเลือด)
ถ้ามองในเรื่องเหนือธรรมชาติ เธอคนนี้คงถูกเทพสุริยันลงทัณฑ์ แต่ถ้าเราไม่เชื่อเรื่องพรรค์นั้น ยัยนี่อาจคือคนทรยศ ร่วมรักกับคนต่างชนเผ่าจนตั้งครรภ์ แท้งลูก และนี่คือพิธีศพ … อันนี้คือผมมโนเองล้วนๆนะครับ หนังไม่ได้อธิบายอะไรเลย ให้อิสระผู้ชมในการครุ่นคิดจินตนาการ

งู สัตว์สัญลักษณ์แทนสิ่งชั่วร้าย ค่อยๆเลื้อยเลี้ยวเคี้ยวคด ตรงไปยังเนินดินศักดิ์สิทธิ์ นี่เป็นการสื่อถึงหายนะกำลังคืบคลานเข้าหาอาณาจักรสุริยัน ทั้งกองทัพศัตรู (ที่นับถือเทพเจ้าองค์อื่น) รวมถึง Adahime ที่อีกไม่กี่ฉากถัดไปจะทำการลักขโมยดินศักดิ์สิทธิ์

เพราะความคลั่งรักของ Himiko ต่อ Takehiko แม้จะเนรเทศอีกฝ่ายออกจากอาณาจักรไปแล้ว แต่เธอยังพยายามแสร้งทำเป็นเจ้าเข้า สรรหาสรรพข้ออ้างเพื่อยกโทษให้อภัยเขา จักเดินทางกลับมาปกป้องดินแดนแห่งนี้ … แต่การเล่นละคอนครั้งนี้ของเธอไม่มีใครเห็นชอบด้วย เลยถูกจับกุม ควบคุมขัง ไม่มีโอกาสเห็นเดือนเห็นตะวันอีกต่อไป

ระหว่างการสู้รบสงคราม ฟากฝั่งเทพภูเขาได้ส่งปีศาจวัว (牛鬼 อ่านว่า Ushi Oni) ตำนานจากฝั่งตะวันตกของญี่ปุ่น ส่วนหัวมีลักษณะคล้ายวัว ส่วนลำตัวจะมีหลายรูปแบบ บางครั้งเป็นปีศาจ บางครั้งเป็นแมงมุม เป็นปูก็มี ฯ อาศัยอยู่ใกล้แหล่งน้ำ นิสัยโหดร้ายและป่าเถื่อน ชอบกินมนุษย์และสัตว์เป็นอาหาร
เกร็ด: เทศกาล Uwajima Ushi-oni Festival (宇和島牛鬼祭り อ่านว่า Uwajima Ushi-oni matsuri) จัดขึ้นระหว่าง 22-24 กรกฎาคมของทุกปีที่ Uwajima, Ehime เป็นพิธีสำหรับขจัดปัดเป่าวิญญาณชั่วร้าย นำพาความโชคดีให้มาถึง และวันสุดท้ายจะมีการเดินขบวนพาเรด (Ushi-oni Parade) ซึ่งจะมีปีศาจวัว รูปร่างหน้าตาแบบเดียวกันเป๊ะกับที่ใช้ในหนัง ลองค้นหาใน Google ก็พบเจอนะครับ

Nashime ไม่เพียงกักขัง Himiko ไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวัน เขายังฉกฉวยโอกาส สำแดงอำนาจบาดใหญ่ บีบบังคับให้เธอกระทำสิ่งตอบสนองตัณหาความใคร่ และภาพช็อตนี้ทำออกมาคล้ายๆตอนลอบสังหาร King Ohkimi คือเอาผ้าคลุมโอบอุ้ม Himiko (เพื่อให้เธอใช้ปากสำเร็จความใคร่) ลักษณะเหมือนก้อนกรวย ดินศักดิ์สิทธิ์ = ฉันนี่แหละคืออาณาจักรสุริยัน คอยบงการทุกสิ่งอย่างอยู่เบื้องหลัง

Mimaki เป็นบุคคลที่ตระหนักถึงความเชื่อเรื่องเทพเจ้า ในยุคสมัยนั้นคือสิ่งจำเป็นสำหรับปกครองอาณาประชาราษฎร์ ในเมื่อ Himiko ไม่สามารถควบคุมได้อีกต่อไป หมดประโยชน์เลยต้องถูกกำจัดทิ้ง ร่วมมือกับ Nashime แต่งตั้งหมอผี/คนทรงคนใหม่ … สังเกตว่าช็อตนี้ถ่ายทำทั้งสองสนทนากันในมุมแอบๆ หลบข้างเสา เรื่องลับๆของเราสองคน ประชาชนไม่มีวันล่วงรู้
ปล. ผมขี้เกียจแคปรูปตอน Nashime หัวเราะอย่างคลุ้มบ้าคลั่ง (หลังส่งมอบไม้เท้าที่เป็นสัญลักษณ์แทนรัฐบุรุษให้กับ Mimaki) นั่นคือหนึ่งในลายเซ็นต์ผกก. Shinoda พบเห็นอยู่เป็นประจำ

มีหลายฉากของหนังที่ผสมผสาน 舞踏, Butoh Dance การเต้นสไตล์ Avant-Garde กำลังได้รับความนิยมในญี่ปุ่นช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ริเริ่มโดยสองผู้ก่อตั้ง Tatsumi Hijikata และ Kazuo Ohno ให้คำนิยามการเต้น “Risist Fixity” โดยมักพยายามแต่งหน้าแต่งตาให้ดูอัปลักษณ์ (grotesque) เสื้อผ้าขาดแหว่ง กระทำสิ่งน่าขยะแขยง สารพัดสิ่งต้องห้าม (Taboo) ด้วยการขยับเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า รุนแรง และแปลกพิศดาร … วัตถุประสงค์หลักๆคือเพื่อสร้างสไตล์การเต้นสมัยใหม่ที่ไม่ยึดติดกันอดีต หรืออิทธิพลชาติตะวันตก และสอดคล้องรับกับบาดแผลทางใจ (Trauma) หลังสงครามโลกครั้งที่สอง
ผมเลือกซีเควนซ์ความตายของ Himiko ถูกทรยศหักหลังโดย Nashime โดยนักเต้นกลุ่มนี้คือพวกนอกรีต (ที่ไม่ได้นับถือเทพสุริยัน) ค่อยๆย่องย่างกราย รายล้อมรอบ ต้อนจนมุม จับขึงพืด จากนั้นเอากระสวยจากเครื่องทอผ้า มากระทำการ … ลองรับชมดูเองแล้วกันนะครับ
Mimaki ต่อสู้เข่นฆ่าพี่ชาย Ikume เพื่อแห่งแย่งราชบัลลังก์ แต่งตั้งตนเองเป็นกษัตริย์ รวมถึง Toyo กลายเป็นหมอผี/คนทรงคนใหม่ แต่เด็กคนนี้ยังไม่ทันไรก็พูดเพ้อเจ้อ อะไรก็ไม่รู้ สร้างความผิดหวังให้ทั้ง Mimaki และ Nashime … แต่คำกล่าวของเธอคือคำพยากรณ์จริงๆ กล่าวถึงจีนแผ่นดินใหญ่สมัยราชวงศ์เว่ย คืออาณาจักรที่ควรเจริญสัมพันธไมตรี ไม่ใช่สำแดงการต่อต้านขัดขืน

การปรากฎขึ้นของภาพพระอาทิตย์กำลังเคลื่อนคล้อยใกล้ตกดิน สามารถสื่อได้ทั้งจุดตกต่ำของอาณาจักรสุริยัน หรือจะเหมารวมถึงญี่ปุ่นยุคสมัยนั้น ที่หนังกระโดดข้ามกาลเวลาสู่ปัจจุบัน (ช่วงทศวรรษ 1970s) ความเป็นชาติญี่ปุ่นใกล้ล่มสลาย ไม่ใช่ทางกายภาพนะครับ แต่จากการมาถึงของอิทธิพลตะวันตกเข้ามาปรับเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต ประเพณีวัฒนธรรม และอะไรๆหลายสิ่งอย่าง
หนังทำเหมือนว่า Nashime ยังมีชีวิตอยู่ถึงปัจจุบัน สามารถมองได้ทั้งเรื่องเหนือธรรมชาติ (สภาพแก่ใกล้ตาย = ญี่ปุ่นปัจจุบันใกล้ล่มสลาย) และการเลือนลางระหว่างเหตุการณ์จริง vs. การละคอน, ซ้อนทับอดีต vs. ปัจจุบัน

Closing Credit มีการร้องเรียงภาพมุมสูงจากเฮลิคอปเตอร์ ฉายภาพบริเวณที่มีชื่อว่า Zenpokoenfun (前方後円墳) บริเวณที่มีการปลูกต้นไม้ หรือเนินดิน มีลักษณะเหมือนรูกุญแจ (Keyhold-Shaped) สร้างขึ้นสำหรับใช้เป็นหลุมฝังศพ บุคคลระดับสูงในยุคสมัย Kofun Period, 古墳時代 (300-538 AD) คล้ายๆกับพีระมิดของอิยิปต์โบราณ ซึ่งก็มีความเชื่อกันว่าหนึ่งในนั้นอาจเป็นสุสานของ Queen Himiko
ความเชื่อดังกล่าวเกิดจากบันทึกของ Wei zhi ที่ระบุไว้ว่า Queen Himiko น่าจะเสียชีวิตปี 248 AD ใกล้เคียงกับสร้างสุสาน Hashihaka Kofun (箸墓古墳) เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น และสถานที่ฝังศพของเธอมีเนินดินสูงขึ้นกว่าร้อยเมตร (สอดคล้องกับลักษณะของ Zenpokoenfun)
When Himiko passed away, a great mound was raised, more than a hundred paces in diameter. Over a hundred male and female attendants followed her to the grave. Then a king was placed on the throne, but the people would not obey him. Assassination and murder followed; more than one thousand were thus slain. A relative of Himiko named Iyo [壹與], a girl of thirteen, was [then] made queen and order was restored. Chêng issued a proclamation to the effect that Iyo was the ruler.



นั่นทำให้ผมต้องหวนย้อนนำเอาภาพสถานที่ฝังศพของ Himiko พวกคนนอกรีตวางเธอไว้ยังบริเวณหุบเขา กล้องซูมออก เลื่อนขึ้น และซูมเข้าหา Nashime เดินอยู่บนยอดเขา สร้างสัมผัสราวกับว่าสุสานแห่งนี้กำลังยกตัวขึ้นสูงหลายร้อยเมตร … ตามข้อความจดบันทึก “When Himiko passed away, a great mound was raised, more than a hundred paces in diameter.”

ตัดต่อโดย Sachiko Yamaji, 山地早智子 ขาประจำผกก. Masahiro Shinoda ร่วมงานกันตั้งแต่ The Petrified Forest (1973), Himiko (1974), Under the Blossoming Cherry Trees (1975), Ballad of Orin (1977) ฯ
เรื่องราวของหนังดำเนินไปโดยมี Himiko คือจุดศูนย์กลาง เริ่มต้นจากการมาถึงของนักเดินทาง Takehiko ทำให้เธอตกหลุมรัก จากนั้นทรยศหักหลัง เลยถูกไล่ล่า เข่นฆ่า ทำให้ราชินีผู้ยิ่งใหญ่ตกอยู่ในความห่อเหี่ยวสิ้นหวัง
- การมาถึงของนักเดินทาง Takehiko
- Himiko ทำพิธีร่วมรักกับเทพสุริยัน
- Mimaki จับกุมบุคคลลักลอบขุดสมบัติ กำจัดบุคคลนอกอาณาจักร
- การมาถึงของ Takehiko พบเจอกลุ่มคนภูเขา (ที่ไม่ได้นับถือเทพสุริยัน)
- Himiko กำลังถักทอผ้า พูดคุยสนทนากับ Adahime เล่าถึงข่าวลือเกี่ยวกับ Takehiko
- งานเลี้ยงของ King Ohkimi พูดคุยถึงรัชทายาท
- Takehiko แวะเวียนเข้ามาในป่าศักดิ์สิทธิ์ พบเจอโดย Himiko เหมือนจะตกหลุมรักแรกพบ
- Himiko สั่งให้ Nashime นำพา Takehiho มาหา
- Himiko ยินยอมพลีกายถวาย Takehiho
- ความรักทำให้ตาบอด
- Mimaki พูดเล่าความเคลือบแคลงสงสัยต่อ Himiko ให้กับ King Ohkimi
- พิธีทรงเจ้าของ Himiko กำจัด King Ohkimi ให้พ้นภัยทาง
- Takehiko แอบสานสัมพันธ์กับ Adahime
- เด็กหญิง Toyo ป่าวประกาศคำทำนายใหม่
- Himiko รับรู้การทรยศหักหลังของ Takehiko ออกคำสั่งเนรเทศออกจากอาณาจักร
- สงคราม การเมือง และผลประโยชน์
- Himiko พยายามจะให้อภัย Takehiko แต่ไม่มีใครเอาด้วย
- Adahime แอบลักขโมยดินศักดิ์สิทธิ์ แล้วหนีตาม Takehiko
- Takehiko รวบรวมสมัครพรรคพวกทำสงครามกับผู้รุกราน
- Nashime กักขัง Himiko ไม่ให้ออกไปเผชิญหน้าผู้ใด
- Takehiko และ Adahime ถูกไล่ล่า เข่นฆ่า
- หลังเสร็จศึก Nashime ตัดสินใจกำจัด Himiko
- และแต่งตั้ง Toyo ขึ้นเป็นราชินีองค์ใหม่
เพลงประกอบโดย Tōru Takemitsu, 武満 徹 (1930-96) คีตกวีสัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Hongō, Tokyo ก่อนย้ายไปเติบโตยัง Dalian, Liaoning (ประเทศจีน) ถูกบังคับเกณฑ์ทหารตั้งแต่อายุ 14 แม้ได้รับประสบการณ์อันขมขื่น แต่ทำให้มีโอกาสรับฟังเพลงตะวันตก, หลังสงครามโลกกลับมาญี่ปุ่น ทำงานในกองทัพสหรัฐ (ที่เข้ามายึดครองชั่วคราว) แม้ไม่เคยฝึกฝนการเล่นดนตรี แต่เริ่มแต่งเพลงเมื่ออายุ 16 โอบรับแนวคิดเครื่องดนตรีไฟฟ้า แนวทดลอง สไตล์ Avant-Garde ร่วมก่อตั้งกลุ่ม Experimental Workshop (実験工房 อ่านว่า Jikken Kōbō) ที่พยายามผสมผสานไม่ใช่แค่ดนตรี แต่ยังสรรพเสียง และศิลปะแขนงอื่นๆคลุกเคล้าเข้าด้วยกัน ทำให้มีโอกาสรับรู้จัก Kōbō Abe และ Hiroshi Teshigahara ที่ต่างก็แนวคิดทิศทางเดียวกัน โด่งดังกับระดับนานาชาติกับผลงาน Requiem for String Orchestra (1957), ทำเพลงประกอบภาพยนตร์มากมายนับไม่ถ้วน Harakiri (1962), Pitfall (1962), Pale Flower (1964), Kwaidan (1964), Woman in the Dunes (1964), The Koumiko Mystery (1965), The Face of Another (1966), Samurai Rebellion (1967), Scattered Cloud (1967), Double Suicide (1969), Dodes’ka-den (1970), Under the Blossoming Cherry Trees (1975), Ballad of Orin (1977), Empire of Passion (1978), Ran (1985), Black Rain (1989) ฯ
Takemitsu ขึ้นชื่อเรื่องการรังสรรค์เพลงประกอบสไตล์ Avant-Grade ที่มีความแปลกประหลาด ไม่สามารถคาดเดา! ซึ่งสำหรับ Himiko (1974) นำเอาเครื่องดนตรีพื้นบ้านจากหลากหลายประเทศ (เรื่องนี้ยังมีเสียงสังเคราะห์ เครื่องดนตรีไฟฟ้า) มาทำเป็น Soundscape ท่วงทำนองสั้นๆ ดังขึ้นแล้วเงียบหาย สร้างบรรยากาศให้มีความสอดคล้องเรื่องราว+ภาพพบเห็น ญี่ปุ่นโบราณที่มีความลึกลับ เต็มไปด้วยสิ่งเหนือธรรมชาติจับต้องไม่ได้
เกร็ด: เครื่องดนตรีที่ใช้ในหนัง อาทิ Angklung (จาก Indonesia), Tam-Tam, Gong, Cowbell, Boo-Bam, Bells, Flute, Bird Whistle, Fudechiku, Biwa, Koto, Sarangi (เครื่องสายจาก India), Native American Flute, Jaw Harp, Seashell ฯ
บทเพลงสุดท้ายของหนังมีการบรรเลงด้วยเครื่องดนตรีไฟฟ้าและอุปกรณ์สังเคราะห์เสียง สร้างสัมผัสถึงโลกอนาคตห่างไกล หรือก็คือฉายภาพปัจจุบัน(นั้น) ร้อยเรียงภาพถ่าย Helicopter’s Shot ถ่ายจากเบื้องบนหลุมศพ Zenpokoenfun (前方後方墳) ที่เชื่อกันว่าอาจคือสุสานฝัง Queen Himiko
ยุคสมัยโบราณที่มนุษย์ยังไม่สามารถทำความใจสรรพสิ่งต่างๆ จึงเกิดความครุ่นคิดว่ามันอาจต้องมีใครบางคน บางสิ่งอย่าง พระเจ้าสร้างโลก อาศัยอยู่เบื้องบนสรวงสวรรค์ ชนชั้นผู้นำจึงมักนำเอาความเชื่อศรัทธาเหล่านั้นมาใช้เป็นข้ออ้างในการปกครองอาณาประชาราษฎร์ หมอผี/คนทรงสามารถติดต่อสื่อสาร ได้ยินพระวนจนะของเทพเจ้าเหล่านั้น
หมอผี/คนทรง Himiko อ้างว่าตนเองมีความสามารถได้ยินพระวจนะของเทพสุริยัน สิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติที่ชาวญี่ปุ่นโบราณให้การเคารพนับถือ ก้มหัวศิโรราบ ปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด ใครเห็นต่างต้องถูกกำจัดให้พ้นภัยทาง ไม่เว้นแม้แต้ King Ohkimi ก็ยังมิอาจโต้แย้งขัดขืน … แต่เธอมีความสามารถนั้นจริงๆนะหรือ?
มันเหมือนว่าหนังพยายามสร้างความคลุมเคลือต่อพลังพิเศษเหนือธรรมชาติของ Himiko แต่เราสามารถมองว่าเธอคือหญิงสาวธรรมดาๆ ได้รับการแต่งตั้งโดยคนรับใช้ Nashime คอยชักใยบงการอยู่หลัง อยากให้ใครตายก็พร้อมปฏิบัติตามคำสั่ง หรือหมดประโยชน์ก็พร้อมเปลี่ยนตัว แต่งตั้งเด็กหญิงคนใหม่ขึ้นมาดำรงตำแหน่งเดียวกัน
ตรรกะความเชื่อของคนสมัยนั้น หมอผี/คนทรง เหมือนว่าต้องรักษาพรหมจรรย์ เพียงร่วมรักกับเทพสุริยัน แต่สำหรับ Himiko ตกหลุมรักหนุ่มลูกพี่ลูกน้อง/นักเดินทาง Takehiko พร้อมพลีกายถวาย ร่วมรักหลับนอน พอสูญเสียความบริสุทธิ์ ย่อมต้องไม่สามารถติดต่อสื่อสารเทพเจ้าได้อีก! … แต่เธอกลับทำเหมือนไม่เคยมีอะไรบังเกิดขึ้น ใช้ประโยชน์จากความโง่งมงายเชื่อศรัทธาของผู้คน ยังคงออกคำสั่งโน่นนั่น กระทำสิ่งต่างๆตามใจฉัน
In my films, I have tried to show the present through the past and history, coming around to the truth that all Japanese culture flows from imperialism and the emperor system. What characterizes Japan is the imposition upon the people of absolute power and authority without the right to question and debate.
Masahiro Shinoda
ความสนใจของผกก. Shinoda ถือเป็นการหวนกลับหารากเหง้า Himiko บุคคลเก่าแก่ที่สุดที่น่าจะมีตัวตน จดบันทึกอยู่ในหนังสือประวัติศาสตร์ จริงหรือเท็จย่อมไม่มีใครตอบได้ แต่แสดงให้ว่าชนชาวญี่ปุ่นได้รับการปลูกฝังความเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติ รวมถึงปกครองโดยผู้นำเผด็จการมาตั้งแต่โบราณกาล
ในขณะที่ Silence (1971) เป็นการเผชิญหน้าระหว่างพุทธ vs. คริสต์ ที่ต่างฝ่ายต่างยึดถือมั่นในหลักคำสอนศาสนาของตนเอง ปฏิเสธ ปิดกั้น ไม่ยอมรับการโต้เถียงของฝั่งฝ่ายตรงข้าม, เรื่องราวของ Himiko (1974) ก็ไม่ได้แตกต่างกันนัก อาณาจักรพระอาทิตย์นับถือเทพสุริยัน เป็นปรปักษ์กับเทพเจ้าองค์อื่นๆ พร้อมสู้รบทำสงคราม ใครทรยศหักหลังจักถูกลงทัณฑ์ให้สาสม
ความหน้ามืดตามัวของความเชื่อ ศรัทธา ศาสนา ไม่แตกต่างจากการเมืองญี่ปุ่น (ทั้งตอนสร้างหนังเรื่องนี้ ดำเนินต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน) ชนชั้นผู้นำพยายามสร้างภาพให้ดูดี ลับหลังล้วนเป็นพวกลุ่มหลงในอำนาจ ชื่อเสียง เงินทอง (Absolute Power and Authority) ถ้าไม่สามารถขึ้นปกครองก็สร้าง(รัฐบาล)หุ่นเชิดขึ้นมาชักใยอยู่เบื้องหลัง คอยกำจัดบุคคลเห็นต่าง ไม่ต้องการให้ประชาชนตั้งคำถาม โต้ถกเถียง สำแดงอารยะขัดขืนใดๆออกมา … ประเทศสารขัณฑ์ก็ไม่แตกต่างกัน
I find, however, that politics leads to nothing, and that power politics remain empty.
Masahiro Shinoda
อีกสิ่งหนึ่งที่ผมอยากกล่าวถึงก็คือวิสัยทัศน์ของ Himiko ก่อนหน้าจะเป็นราชินี ย่อมต้องมีกษัตริย์ขึ้นครองราชย์ก่อนเธอมากมาย แต่เหตุผลที่ยังคงได้รับการจดจำมาจนถึงปัจจุบันนี้ เพราะต้องการติดต่อโลกภายนอก ส่งสาสน์มาเจริญสัมพันธไมตรีกับกับราชวงศ์เว่ยของประเทศจีน ทั้งๆไม่เคยพบเจอ หรือเดินทางไปมาหาสู่ กลับกลายเป็นเพื่อนทางจดหมาย (Penfriends) ได้รับการจดบันทึก … อาจเรียกว่าเป็นผู้นำญี่ปุ่นคนแรกที่เปิดประเทศ มองเห็นสิ่งที่อยู่ไกลกว่าขอบฟ้า มหาสมุทร
You live very far away across the sea; yet you have sent an embassy with tribute. Your loyalty and filial piety we appreciate exceedingly. We confer upon you, therefore, the title “Queen of Wa Friendly to Wei.”
ดูจากคุณภาพหารับชมที่ Criterion Channel (หรือตามเว็บ Streaming ทั่วๆไป) ผมคาดเดาว่าหนังน่าจะได้รับการบูรณะเรียบร้อยแล้ว สีสันสวยสดใส ไร้ริ้วรอยขีดข่วน แต่ไม่สามารถหารายละเอียดอะไรใดๆ
ส่วนตัวชื่นชอบความท้าทายของหนัง มีอะไรให้รู้สึกแปลกประหลาดใจ คาดไม่ถึงอยู่ตลอดเวลา เรื่องราวอาจไม่ได้ซับซ้อน แต่ก็แอบรู้สึกว่ารายละเอียดมันซ่อนเงื่อนเกินไปหน่อย และผู้ชมต้องรับรู้จักผกก. Shinoda ถึงสามารถเข้าถึงแก่นสาระแท้จริงของ Himiko (1974)
จัดเรต 18+ กับความแปลกพิศดาร เต็มไปด้วยตรรกะที่คนสมัยใหม่ยินยอมรับไม่ได้
Leave a Reply