I Never Sang for My Father

I Never Sang for My Father (1970) hollywood : Gilbert Cates ♥♥♥♡

ภาพยนตร์ดราม่าครอบครัวที่อาจดูเก่าไปสักหน่อย แต่ปัญหาช่องว่างระหว่างวัย ความขัดแย้งระหว่างบิดา (Melvyn Douglas) และบุตรชาย (Gene Hackman) ยังคงคลาสสิกเหนือกาลเวลา, “ต้องดูให้ได้ก่อนตาย”

ช่องว่างระหว่างวัย (Generation Gap) คือคำที่ใช้อธิบายความแตกต่างทางความคิด ทัศนคติ และพฤติกรรมระหว่างคนต่างรุ่น ซึ่งมักนำไปสู่ความขัดแย้งหรือไม่เข้าใจกัน โดยสาเหตุหลักมักมาจากประสบการณ์ชีวิต การเลี้ยงดู เติบโตขึ้นในสภาพแวดล้อม สังคมที่แตกต่าง

มันเป็นเรื่องปกติสามัญที่บิดา-มารดา และลูกหลาน จักบังเกิดความขัดแย้ง ครุ่นคิดเห็นต่าง ไม่สามารถปรับความเข้าใจกันและกัน วิธีแก้ปัญหาง่ายๆคือพูดคุยเปิดอก เรียนรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา มองหาทางออกกึ่งกลาง แต่ในทางปฏิบัติมันช่างยากเย็นแสนเข็น เพราะ(มิจฉา)ทิฐิ เย่อหยิ่งอหังกา (Pride) ทำให้มนุษย์จมปลักอยู่ในภาพมายา มิอาจปล่อยละวาง ยินยอมรับสังขารา

ผมไม่เคยรู้จัก I Never Sang for My Father (1970) เพิ่งเห็นว่า Gene Hackman ได้เข้าชิง Oscar: Best Supporting Actor เลยตัดสินใจลองหามารับชม อาจเป็นหนังที่ไม่มีลูกเล่นการนำเสนออะไร โปรดักชั่นดูเก่า ตกยุคสมัย แต่ปัญหาช่องว่างระหว่างวัย Lost Generation vs. Silent Generation สามารถเปรียบเทียบยุคสมัยนี้ที่ใครต่อใครเต็มไปด้วยอคติต่อ Baby Boomer

และสิ่งที่ถือเป็นไฮไลท์คือการแสดงของ Melvyn Douglas ในบทบิดาสูงวัย ผู้มีความดื้อรั้น ดึงดัน เย่อหยิ่งอหังกา (เข้าชิง Oscar: Best Actor) และโดยเฉพาะ Gene Hackman บุตรชายวัยกลางคนที่เต็มไปด้วยความเก็บกด อดกลั้น ไม่รู้จะทำอะไรยังไง ใจหนึ่งยังรัก แต่อีกใจโหยหาอิสรภาพ … ผมเคยรับชมแต่ Hackman ระเบิดระบายอารมณ์ ไม่สนห่าเหวอะไรใคร บทบาทนี้ที่เต็มไปด้วยความอัดอั้นทรวงใน (แล้วค่อยไปปะทุเอาตอนท้าย) มันจึงเป็นการแสดงที่น่าอึ่งทึ่ง สร้างความประทับใจอย่างล้นหลาม


Gilbert Cates ชื่อเกิด Gilbert Katz (1934-2011) โปรดิวเซอร์/ผู้กำกับภาพยนตร์ สัญชาติอเมริกัน เกิดที่ New York City ในครอบครัวเชื้อสาย Jewish ช่วงระหว่างเรียนเตรียมแพทย์ Syracuse University เข้าร่วมชมรมฟันดาบ แล้วมีโอกาสสอนเพื่อนชมรมการแสดง โปรดักชั่นละคอนเวที Richard III ก่อนค้นพบความสนใจด้านนี้ เลยเปลี่ยนสาขามาร่ำเรียนการละคอน จบออกมาเริ่มทำงานฝากฝั่งละคอนเวที สรรค์สร้างรายการโทรทัศน์ กำกับสารคดี Rings Around the World (1966)

เมื่อปี ค.ศ. 1968, Cates คือหนึ่งในโปรดิวเซอร์ละคอนเวที I Never Sang for My Father กำกับโดย Alan Schneider, จากบทของ Robert Woodruff Anderson, นำแสดงโดย Alan Webb, Lillian Gish และ Hal Holbrook ทำการแสดง ณ Longacre Theatre ระหว่างวันที่ 25 มกราคม – 11 พฤษภาคม ค.ศ. 1968 จำนวน 124 รอบ แต่กลับขาดทุนกว่า $190,000 เหรียญ

แม้ฉบับละคอนเวทีขาดทุนย่อยยับ แต่ทว่า Cates สนใจดัดแปลงสร้างภาพยนตร์ สามารถของบประมาณได้จาก Columbia Pictures ที่เคยออกทุนสร้างสารคดี Rings Around the World (1966)

I’d made somewhat of a small name at Columbia because Don Ameche and I were partners in Rings Around the World, a documentary about circuses around the world. The budget was $300,000, but it came in at $320,000. So, being an honorable kid from the Bronx, and Don being a very straight shooter, we each put in $10,000 and actually handed Columbia a check for the $20,000. I must say now, looking back, I can imagine those guys must have been beside themselves laughing, ‘Here’s the first schmuck in the history of the movie business who went over budget and gave back the overage!’

As time went on, a kind of small legend at Columbia grew out of that. Several years later, Columbia President Stanley Schneider agreed to make I Never Sang for My Father. I negotiated a salary of $75,000 to produce and direct, but when the contract came back, it was for $100,000. It seemed as if Schneider wanted to reimburse me for that earlier overage payment, which I always felt was very sweet.

Gilbert Cates

เกร็ด: บทละคอน/บทหนังเรื่องนี้เป็นเสี้ยวอัตชีวประวัติ (Quasi-Autobiographical) ของผู้เขียนบท Robert Woodruff Anderson


เรื่องราวของชายวัยกลางคน Gene Garrison (รับบทโดย Gene Hackman) หลังสูญเสียภรรยาไปหลายปี ครุ่นคิดอยากแต่งงานใหม่ แต่ทว่ายังคงห่วงในบิดา Tom (รับบทโดย Melvyn Douglas) แม้ไม่ค่อยชอบหน้า รำคาญการพร่ำบ่น ชายสูงวัยเต็มไปด้วยเย่อหยิ่ง ทะนงตน ไม่รู้จักเจียมสังขารตนเอง

หลังการจากไปของมารดา Gene ถึงเวลาต้องเลือกระหว่างแต่งงานใหม่ หรือจมปลักอยู่กับบิดาที่ปฏิเสธข้อเสนอแนะทุกสิ่งอย่าง อวดอ้างว่าฉันสามารถพึ่งพาตนเอง ด่าทอบุตรชายไม่รู้สำนึกบุญคุณ นั่นคือจุดแตกหักที่ทำให้พ่อ-ลูก มองหน้ากันไม่ติด


Melvyn Douglas ชื่อจริง Melvyn Edouard Hesselberg (1901-81) นักแสดง ‘Triple Crown of Acting’ สัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Macon, Georgia ในครอบครัวเชื้อสาย Jews อพยพจาก Latvia (สมัยนั้นเป็นส่วนหนึ่งของ Russia Empire) บิดาเป็นนักดนตรี/แต่งเพลง แต่บุตรชายมีความสนใจด้านการแสดง หลังกลับจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เข้าสู่วงการละคอนเวที แจ้งเกิดกับภาพยนตร์ The Old Dark House (1932), Captains Courageous (1937), Ninotchka (1939), I Never Sang for My Father (1970), The Changeling (1970), คว้ารางวัล Oscar: Best Supporting Actor สองครั้งจาก Hud (1963), Being There (1979)

รับบทบิดา Tom Garrison อดีตเคยเป็นนายกเทศมนตรี ได้รับนับหน้าถือตาจากผู้คน แต่พอกลับมาบ้านเป็นเพียงชายสูงวัย นิสัยดื้อรั้น เห็นแก่ตัว เอาแต่ใจ พยายามควบคุมครอบงำบุตรชาย ขนาดขับรถกลับบ้านยังต้องบอกเลี้ยวซ้าย-ขวา ทำตัวราวกับพระราชา โลกต้องหมุนรอบตัวฉัน ปฏิเสธโอนอ่อนผ่อนปรน ไม่รู้จักเจียมสังขารตนเอง

เกร็ด: มีนักแสดงหลายคนที่ผกก. Cates พยายามติดต่อหา Edward G Robinson, Fredric March, Spencer Tracy รวมถึง Alan Webb ที่รับบทฉบับละคอนเวที แต่สุดท้ายกลับเลือก Melvyn Douglas ไม่ทราบสาเหตุเหมือนกัน

Douglas ยิ่งแก่ยิ่งเก๋า ราวกับพระราชาผู้ยิ่งใหญ่ ใช้น้ำเสียงหนักแน่น กิริยาท่าทางผ่านการปรุงปั้นแต่ง อกผายไหล่ผึ่ง เชิดหน้าชูตา เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจในตนเอง ขณะเดียวกันมันคือความเย่อหยิ่ง ทะนงตน ผู้ชมสัมผัสได้ถึงความพยายามควบคุมครอบงำ (Manipulate) เวลาเล่าเรื่องแต่ละครั้งต้องวางท่า กล้องเคลื่อนเข้าหา สามารถดึงดูดความสนใจผู้ชม พลังดาราถือว่าเหลือล้น

ในกองถ่าย Douglas เหมือนจะไม่ชอบใจ Gene Hackman พยายามล็อบบี้นักแสดงอีกคน พอไม่สำเร็จก็รักษาระยะห่าง ปฏิเสธร่วมวงสังฆกรรม แต่นั่นช่วยทำให้บรรยากาศหนังดูตึงเครียด ซีเรียส พ่อ-ลูกเกลียดขี้หน้ากันจริงๆ

The opposite. I had admired Melvyn so much as an actor, but he didn’t like me. During the filming, I inadvertently found out that he had actually warned someone else. This hurt me, but it certainly added to the tension in the film. We kept away from each other, rarely spoke.

Gene Hackman กล่าวถึงการร่วมงาน Melvyn Douglas

Eugene Allen Hackman (1930-2025) นักแสดงสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ San Bernardino, California ครอบครัวหย่าร้างเมื่ออายุ 13 ปี สามปีให้หลังจึงหนีออกจากบ้าน โกงอายุสมัครเข้าทหารเรือ ทำงานหน่วยสื่อสาร ประจำการอยู่ประเทศจีนในช่วง Communist Revolution ต่อด้วย Hawaii และญี่ปุ่น จนปลดประจำการเมื่อปี ค.ศ. 1951 แล้วลงหลักปักฐาน New York ดิ้นรนหางานทำไปเรื่อยๆ จนเกิดความสนใจด้านการแสดง กลายเป็นเพื่อนร่วมห้อง Dustin Hoffman และ Robert Duvall รับบทเล็กๆในซีรีย์โทรทัศน์ แสดงละครเวที Off-Broadway โด่งดังทันทีจากบทสมทบ Bonnie and Clyde (1967)**เข้าชิง Oscar: Best Supporting Actor, ผลงานเด่นๆ อาทิ The French Connection (1971)**คว้ารางวัล Oscar: Best Actor, The Poseidon Adventure (1972); The Conversation (1974), Superman: The Movie (1978), Mississippi Burning (1988), Unforgiven (1992)**คว้ารางวัล Oscar: Best Supporting Actor, The Royal Tenenbaums (2001) ฯ

รับบทบุตรชาย Gene Garrison อาจารย์สอนมหาวิทยาลัย สูญเสียภรรยาไปเมื่อหลายปีก่อน พบเจอรักครั้งใหม่กับหญิงหม้าย Dr.Peggy ซึ่งถ้าเขาตัดสินใจแต่งงาน ก็วางแผนย้ายไปอยู่กับภรรยาที่ California แต่ติดปัญหาบิดาไม่มีใครคอยดูแล พยายามโน้มน้าวก็ถูกปฏิเสธ ขับไล่ด่าทอ ไอ้ลูกไม่รักดี ใครกันจะอดรนทนไหว

โดยปกติแล้ว Hackman มักได้รับบทตัวละครที่พร้อมระเบิดระบายอารมณ์ นิสัยกร้าวร้าว พูดจาหยาบคาย ไม่ค่อยสนห่าเหวอะไรใคร! แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้กลับเต็มไปด้วยความเกรงอกเกรงใจ คงเพราะอีกฝ่ายคือบิดา โหยหาความรัก ต้องการ(การ)ยินยอมรับ จึงพยายามประณีประณอม อ่อนน้อมถ่อมตน จนขีดสุดถึงมิอาจอดกลั้นฝืนทน หยุดยับยั้งตนเองได้อีกต่อไป

The character I played was actually similar to my own father who, as opposed to Melvyn’s character, was not a real strong guy. So it was strange. At a tribute last month in Las Vegas, I avoided looking at a clip from the picture.

Gene Hackman

มันช่างเป็นความ ‘ironic’ ของ Hackman ที่บทบาทนี้มีความละม้ายคล้ายบิดาแท้ๆของตนเอง เป็นคนอ่อนแอ ขลาดเขลา ไม่กล้าเผชิญหน้าความจริง เลยทอดทิ้งครอบครัว (เมื่อตอน Hackman อายุ 13 ปี) นั่นคงทำให้เขาเริ่มครุ่นคิด เข้าใจเหตุผลของบิดา … กระมัง

และอีกความ ‘ironic’ ในทิศทางกลับตารปัตร ตัวจริงของ Hackman ที่กลายเป็นภาพจำในวงการภาพยนตร์ แทบไม่แตกต่างจากบิดา/ตัวละครของ Melvyn Douglas นิสัยก้าวร้าว หยาบคาย เรื่องมาก เอาแต่ใจ ไม่ค่อยถูกชะตากับใคร … ยกตัวอย่างภาพยนตร์ Scarcrows (1973) ก็ไม่ค่อยถูกกับ Al Pacino ย้อนรอย Douglas ที่ไม่ชอบขี้หน้า Hackman


ถ่ายภาพโดย Morris Hartzband (1911-70) และ George Stoetzel (1902-76)

ผกก. Cates มาจากสายละคอนเวที ไม่ได้มีประสบการณ์ภาพยนตร์มากนัก งานภาพของหนังเลยแทบไม่มีลูกเล่นสักเท่าไหร่ นอกจากตอนฉายภาพซ้ำๆสถานคนชรา และขณะบิดาทำการเล่าเรื่องอะไรบางอย่าง กล้องจะค่อยๆเคลื่อนเลื่อนไหลเข้าไปที่ใบหน้า สร้างแรงดึงดูด ชวนให้ติดตาม … แต่ขณะเดียวกันก็มักเบี่ยงเบนความสนใจจากหัวข้อที่กำลังสนทนาอยู่

หนังถ่ายทำยังสถานที่จริงทั้งหมดในย่าน New York City, สนามบิน JFK International Airport, โรงพยาบาล Fordham Hospital (ปิดให้บริการเมื่อปี ค.ศ. 1976), สถานคนชรา Mount Pleasant Nursing Home ฯ


ภาพยนตร์คาวบอยที่บิดารับชมในโทรทัศน์ก็คือ Stagecoach (1939) กำกับโดย John Ford, นำแสดงโดย John Wayne

Alice พี่สาวของ Gene ถูกบิดาไล่ออกจากบ้านเพราะแต่งงานกับสามีชาว Jewish รับบทโดย Estelle Parsons (1927-) ก่อนหน้านี้เคยเล่นเป็นภรรยาของ Gene Hackman ภาพยนตร์ Bonnie and Clyde (1967) และคว้ารางวัล Oscar: Best Supporting Actress ด้วยนะ!

สมัยยังเด็ก Gene ชื่นชอบการร้องเพลง เล่าว่าบิดาเคยขอให้ขับร้อง “When I Grow Too Old To Dream” แต่ไม่เคยสักครั้งร้องเพลงนี้ให้บิดา นั่นคือที่มาของชื่อหนัง I Never Sang for My Father ซึ่งสามารถเหมารวมถึงการไม่เคยทำอะไรสักอย่างให้กับบิดา อาจเพราะไม่เคยได้รับ หรือเต็มไปด้วยอคติต่อต้าน จึงไม่สามารถตอบแทนคุณ ปฏิเสธกระทำสิ่งสร้างความพึงพอใจต่ออีกฝ่าย

เกร็ด: When I Grow Too Old to Dream แต่งโดย Sigmund Romberg, คำร้องโดย Oscar Hammerstein II สำหรับประกอบภาพยนตร์ The Night Is Young (1935) ขับร้องโดย Evelyn Laye & Ramon Novarro

When I grow too old to dream
I’ll have you to remember
When I grow too old to dream
Your love will live in my heart

So, kiss me my sweet
And so let us part
And when I grow too old to dream
That kiss will live in my heart

And when I grow too old to dream
I’ll have you to remember
When I grow too old to dream
Your love will live in my heart

So, kiss me my sweet
And so let us part
And when I grow too old to dream
That kiss will live in my heart

ตัดต่อโดย Angelo Ross (1911-89) สัญชาติอเมริกัน ผลงานเด่นๆ อาทิ I Never Sang for My Father (1970), Smokey and the Bandit (1977) ฯ

หนังดำเนินเรื่องโดยมีครอบครัว Garrison คือจุดศูนย์กลาง แต่ส่วนใหญ่นำเสนอผ่านมุมมองบุตรชาย Gene Garrison ในช่วงเวลาสุดท้ายที่จะได้พบเจอบิดา-มารดา

  • ครอบครัว Garrison
    • Gene เดินทางไปรับบิดา-มารดา กลับจากท่องเที่ยว Florida
    • พาไปรับประทานอาหารร่วมกัน (ครั้งสุดท้าย)
    • ร่ำลาก่อนกลับบ้าน
    • พอกลับถึงบ้านติดต่อหาคู่ขา Norma พร่ำบ่นถึงความสัมพันธ์กับบิดา
  • ความตายของมารดา
    • วันถัดมา Gene ได้รับโทรศัพท์จากโรงพยาบาล แจ้งข่าวมารดาหัวใจล้มเหลว (Heart Attack)
    • เดินทางไปโรงพยาบาล บิดาชักชวนไปทานอาหารยัง Rotary Club
    • Gene และบิดา เดินทางไปเลือกโลงศพ
    • พี่สาว Alice เดินทางมาช่วยงานศพมารดา รับฟังคำพร่ำบ่นของ Gene
    • หลังงานศพ Alice ช่วยพูดโน้มน้าวบิดา แต่ได้รับคำตอบปฏิเสธ
  • Gene เผชิญหน้าบิดา
    • Gene เดินทางไปยังสถานคนชรา เห็นสภาพแล้วห่อเหี่ยวใจ
    • Gene พาแฟนสาว Dr. Peggy มาแนะนำตัวกับบิดา
    • Gene พยายามโน้มน้าวบิดาครั้งสุดท้าย ก่อนถูกขับไล่ ผลักไส ได้รับคำตอบปฏิเสธ

เพลงประกอบโดย Al Gorgoni (1939-) และ Barry Mann (1939-)

งานเพลงของหนังมีบรรยากาศเศร้าๆ เหงาๆ รำพันความรู้จักเจ็บปวดรวดร้าว ขัดแย้งภายในจิตใจของ Gene โหยหาความรัก ได้รับการยินยอมรับจากบิดา แต่อีกฝ่ายกลับสร้างกำแพงขึ้นมากีดกั้นขวาง เอาแต่ชี้นิ้วออกคำสั่ง ทำตัวสูงส่งเกินอาจเอื้อมถึง

บทเพลง Stranger คำร้องโดย Cynthia Weil, ขับร้องโดย Roy Clark, ดังขึ้นตอน Gene พาบิดา-มารดากลับมาถึงบ้าน เดินไปไขประตู เปิดหน้าต่าง ดึงผ้าคลุมเฟอร์นิเจอร์ ตรวจเช็คความเรียบร้อยก่อนเข้าอยู่อาศัย

Across the miles
From heart to heart
We’re born alone
We live apart

And time slips by
Like sifting sand
So reach out, stranger
If you can

And take a stranger’s hand
If each of us could find a way
To speak beyond
The words we say

To touch each other openly
To feel that we are
More than strangers
That’s where love may be.

I Never Sang for My Father (1970) นำเสนอความสัมพันธ์ระหว่างคนสองรุ่น (Parent) บิดา-มารดา vs. (Children) บุตรชาย-สาว มันเป็นเรื่องปกติที่จะเกิดความขัดแย้ง ครุ่นคิดเห็นต่าง ความแตกต่างระหว่างวัย (Generation Gap) ซึ่งวิถีชาวตะวันออก-ตก ก็ยังมีการแสดงออกแตกต่างกันไป

  • มุมมองชาวตะวันตกที่ยึดถือในลัทธิปัจเจกนิยม (Individualism) เมื่อลูกๆเติบใหญ่มักขนย้ายข้าวของออกจากบ้าน ต้องเรียนรู้จึกพึ่งพาตนเอง ไม่จำเป็นต้องหวนกลับมาเลี้ยงดูแลบิดา-มารดาเมื่อเติบใหญ่
  • ตรงกันข้ามกับชาวตะวันออกที่ยึดถือคติรวมหมู่ (Collectivism) พึ่งพาอาศัยอยู่ร่วมกันในครอบครัวใหญ่ ปู่-ย่า-ตา-ยาย ลุง-ป้า-น้า-อา บิดา-มารดา ลูก-หลาน-เหลน-โหลน ตั้งแต่เล็กถูกเสี้ยมสอนจิตสำนึก กตัญญูรู้คุณ ให้ความเคารพ/ดูแลผู้สูงวัย

เหตุผลที่ทั้งโปรดักชั่นละคอนเวที และภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ต่างขาดทุนย่อยยับ เพราะการตั้งคำถามต่อวิถีชาวตะวันตก Gene Garrison อยากเป็นอภิชาตบุตร แต่บิดากลับปฏิเสธความปรารถนาดี สำแดงพฤติกรรมเย่อหยิ่ง อหังกา ครุ่นคิดว่าฉันสามารถพึ่งพาตนเอง นั่นคือแนวคิดของลัทธิปัจเจกนิยม หนทางออกง่ายๆ(ในมุมชาวตะวันตก)คือช่างหัวแม้ง ไม่จำเป็นต้องไปต่อล้อต่อเถียง ก้าวออกมาเสียก็หมดปัญหา! … ความพยายามประณีประณอมของ Gene มันจึงน่ารำคาญชิบหาย!

แต่สำหรับชาวตะวันออก เรื่องราวของหนังย่อมสร้างความสั่นสะท้านทรวงใน คือเราให้ความสำคัญกับครอบครัว บิดา-มารดา เทิดทูนบุคคลผู้มีความกตัญญูกตเวที จึงบังเกิดความสงสารเห็นใจ Gene เข้าใจอารมณ์ขัดแย้ง ขื่นขม ระทมทุกข์ทรมาน อยากพูดออกมาตรงๆก็กลัวถูกตีตราอวชาตบุตร

สิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือสร้างความตระหนักต่อตนเอง เมื่อฉันแก่ตัวต้องไม่หัวรั้น ดื้อดึงดัง สำแดงพฤติกรรมเห็นแก่ตัวเหมือนอย่างบิดา กล้าพูดคุยเปิดอกกับลูกหลาน ไม่ปิดกั้นความคิดเห็น และที่สำคัญคือยินยอมความเปลี่ยนแปลง และสังขารของตนเอง … ถ้าเราตระหนักถึง ‘สังขารไม่เที่ยง’ ได้เร็วเพียงใด ก็จักสามารถเปิดใจต่อสิ่งต่างรอบข้างได้ง่ายขึ้น

เรื่องราวของหนังอาจอยู่ภายใต้บริบทครอบครัว (Family Drama) บิดาผู้มีความเย่อหยิ่งอหังกา ไม่เคยแสดงความรักต่อบุตร, แต่เราสามารถขยับขยาย จุลภาคสู่มหภาค เปรียบเทียบกับสังคม การเมือง ทุกระบบการบริหารที่มีผู้นำ-ผู้ตาม หัวหน้า-ลูกน้อง กษัตริย์-ประชาชน … ยุคสมัยนี้ (Baby) Boomer คือคำด่าของคนรุ่นใหม่ๆ ถึงผู้สูงวัยยึดติดในอำนาจ อวดอ้างบารมี แก่แล้วไม่รู้จักเจียมสังขาร

ความตายมันอาจคือจุดจบชีวิต แต่ไม่ใช่ที่สิ้นสุดความสัมพันธ์ = บิดาลาจากโลกนี้ไป ทอดทิ้งความขื่นขมให้กับบุตรชาย นั่นคือสิ่งที่จักติดตราฝังอยู่ภายใจจิตใจตราบจนวันตาย … นี่เป็นเรื่องที่ชาวตะวันตกไม่ค่อยแยแสสักเท่าไหร่ แต่ฟากฝั่งตะวันออก คนไทยเวลาเยี่ยมเยียนคนป่วยหนัก หรือเดินทางร่วมงานศพ มักมีการขออโหสิกรรม กรวดน้ำให้เจ้ากรรมนายเวร เพราะไม่ต้องการให้สิ่งเลวร้ายเคยทำติดตัวสู่ชาติภพถัดไป

I Never Sang for My Father has the courage to remain open-ended; the father dies, but the problems between father and son remain unresolved. That is really more tragic than the fact of death, because death is natural, but human nature cries out that parents and children should understand each other.

นักวิจารณ์ Roger Ebert ให้คะแนน 4/4

แม้หนังไม่ประสบความสำเร็จด้านรายรับ เสียงตอบรับก็มีทั้งชื่นชอบและส่ายหัว แต่ทุกสำนักล้วนกล่าวชื่นชมการแสดงของ Melvyn Douglas และ Gene Hackman ได้เข้าชิง Oscar ถึงสามสาขา

  • Academy Award
    • Best Actor (Melvyn Douglas) พ่ายให้กับ George C. Scott ภาพยนตร์ Patton (1970)
    • Best Supporting Actor (Gene Hackman) พ่ายให้กับ John Mills ภาพยนตร์ Ryan’s Daughter (1970)
    • Best Adapted Screenplay
  • Golden Globe Award
    • Best Motion Picture – Drama
    • Best Actor – Drama (Melvyn Douglas)

ปัจจุบันหนังได้รับการสแกนใหม่ ‘digital transfer’ คุณภาพ High-Definition คุณภาพค่อนข้างดี รวมอยู่ในบ็อกเซ็ต Film Focus: Gene Hackman (2023) ของค่าย Imprint ประกอบด้วย I Never Sang for My Father (1970), Bite the Bullet (1975), The Domino Principle (1977) และ March or Die (1977)

ส่วนตัวชื่นชอบหนังเรื่องนี้มากๆ แม้มันจะคนละยุคสมัย แต่ยังมีความใกล้ตัวเอง และสะท้อนโลกปัจจุบันนี้ที่คนรุ่น Baby Boomer สร้างปัญหามากมายให้ลูกหลาน ไม่อยากนับญาติ มีแต่จะสาปส่งให้ตายไวๆ

“ต้องดูให้ได้ก่อนตาย” เรียนรู้จากภาพยนตร์เรื่องนี้ว่าทิฐิ ความเย่อหยิ่งอหังกา (Pride) เป็นสิ่งที่เราควรลดละ ปล่อยวาง เปิดใจให้ลูกหลาน ยินยอมรับสังขาร อย่าให้ความขัดแย้งติดตัวไปจนวันตาย

จัดเรต 13+ กับทิฐิของบิดา vs. บุตรชาย

คำโปรย | I Never Sang for My Father ภาพยนตร์ดราม่าครอบครัวที่อาจดูเก่าไปสักหน่อย แต่เรื่องราวความขัดแย้งระหว่างรุ่น บิดา-บุตรชาย ยังคงคลาสสิกเหนือกาลเวลา
คุณภาพ | ดราม่าครอบครัว
ส่วนตัว | ชื่นชอบมากๆ

Leave a Reply

avatar

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

  Subscribe  
Notify of
%d bloggers like this: