
Hate (1995)
: Mathieu Kassovitz ♥♥♥♥
สามหนุ่มชายขอบฝรั่งเศส (Black-Blanc-Beur) เต็มไปด้วยความเก็บกด อัดอั้น เกลียดชังตำรวจใช้ความรุนแรงกับพวกพ้อง ต้องการโต้ตอบเอาคืน แต่กลับนำไปสู่โศกนาฎกรรมคาดไม่ถึง!
Hate begets hate; violence begets violence; toughness begets a greater toughness. We must meet the forces of hate with the power of love.
Martin Luther King Jr.
ฝรั่งเศสเป็นประเทศที่(แอบ)อ้างว่าคือดินแดนแห่งเสรีภาพ-เสมอภาค-ภราดรภาพ (Liberté, Égalité, Fraternité) แต่แท้จริงแล้วอุดมการณ์ดังกล่าวเฉพาะคนขาว-ชาวยุโรป-และผู้มีฐานะเงินทอง ไม่ค่อยรวมถึงพวกชายขอบ ผู้อพยพผิวสี-ยิว-อาหรับ (Black = ผิวสี, Blanc = คนขาวชาวยิว, Beur = ผู้อพยพมุสลิม/อาหรับ/แอฟริกาเหนือ) ที่มักคอยสร้างปัญหาวุ่นๆวายๆ ชุมนุมประท้วง เรียกร้องโน่นนี่นั่น ตำรวจต้องใช้กำลังเข้าควบคุม กลุ่มผู้ต่อต้านก็เอาคืนด้วยความรุนแรง โต้ตอบกันไปมา กลายเป็นวัฏจักรความเกลียด เวียนวนไม่มีวันจบสิ้น!
La Haine (1995) นำเสนอผ่านมุมมองสามหนุ่มชายขอบ ผู้อพยพผิวสี-ยิว-อาหรับ สะท้อนโลกอีกด้านของฝรั่งเศสที่ไม่ได้สวยหรูหรา งดงามตา ภาพขาว-ดำสร้างสัมผัสดิบๆ บรรยากาศสมจริง วิถีชีวิตที่ต้องต่อสู้ดิ้นรน เรียกร้องการมีตัวตนในสังคม ก่อเกิดความขัดแย้งระหว่างชนชั้น แต่ท้ายที่สุดลงเอยด้วยโศกนาฎกรรม
ผมแอบแปลกใจที่ La Haine (1995) คือภาพยนตร์ฝรั่งเศส! รู้สึกเหมือนกำลังรับชมผลงานของ Spike Lee หรือบรรดาผู้กำกับผิวสีเชื้อสาย African-American ที่เต็มไปด้วยความเก็บกด อัดอั้น รังเกียจชังพวกคนขาว แต่พอเป็นหนังฝรั่งเศสที่เลื่องชื่อใน ‘intelligent film’ (ไม่ได้จะสื่อว่าหนังของ Spike Lee ไร้สาระหรืออย่างไร แต่เฮียแกมุ่งเน้นถ่ายทอดอารมณ์ตนเองออกมามากกว่า) มันจึงมีความลุ่มลึกล้ำ ชักชวนให้ผู้ชมครุ่นคิดตั้งคำถาม และมีรายละเอียดครอบจักรวาลมากกว่า (คือไม่ได้จำเพาะแค่คนผิวสี ยังเหมารวมกลุ่มชายขอบและผู้อพยพทั้งหมด)
มันก็อดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบกับ Do the Right Thing (1989) แต่เรื่องนั้นเป็นการสะสมความโกรธเกลียดเคียดแค้น แล้วระเบิดระบายอารมณ์อัดอั้นออกมาตอนไคลน์แม็กซ์! La Haine (1995) เริ่มต้นด้วยฟุตเทจการปะทะระหว่างตำรวจ-ประชาชน แล้วนำเสนอผลกระทบหลังจากนั้น (Aftermath) หนึ่งวันหายนะ
Do the Right Thing‘s a film often seen as of a piece with La Haine because of the way they both deal with racial tensions and urban rioting – though while Lee deals with events leading up to a riot, Kassovitz is more concerned with the aftermath. What’s more, while Do the Right Thing, which shows the fractures and reverberations within a neighbourhood, is a magnificent, sprawling ensemble piece, La Haine channels its rage more tightly through its three lead figures. Iconic rebels for the late 20th Century, they became a template for how to depict rebellious characters to a whole new generation of filmmakers around the world.
นักวิจารณ์ Kaleem Aftab จาก BBC
Mathieu Kassovitz (เกิดปี ค.ศ. 1967) นักแสดง/ผู้กำกับภาพยนตร์ สัญชาติฝรั่งเศส เกิดที่ Paris, Île-de-France บุตรของนักแสดง/ผู้กำกับ Peter Kassovitz เป็นชาว Hungarian Jew อพยพสู่ฝรั่งเศสช่วงระหว่าง Hungarian Revolution 1956, ตั้งแต่เด็กหลังจากรับชม Do the Right Thing (1989) ค้นพบความหลงใหลในสื่อภาพยนตร์ เริ่มต้นจากเป็นนักแสดง กำกับหนังสั้น ภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องแรก Métisse (1993), โด่งดังระดับนานาชาติกับ La Haine (1995), The Crimson Rivers (2000), Gothika (2003) ฯ
สำหรับ La Haine แปลตรงตัว Hatred มีจุดเริ่มต้นวันที่ 6 เมษายน ค.ศ. 1993 ระหว่างผกก. Kassovitz กำลังขับรถเล่น ได้ยินข่าวจากวิทยุไม่ห่างไกลจากสถานที่เกิดเหตุ เด็กหนุ่มผิวสีวัยสิบเจ็ด Makomé M’Bowole ผู้อพยพชาว Zairian (สาธารณรัฐซาอีร์) ทั้งๆโดนตำรวจจับกุม สวมใส่กุญแจมือ กลับยังถูกยิงเสียชีวิต แล้วอ้างว่าทำปืนลั่น
It was a riot in Paris. I heard on the radio that a kid [Makomé M’Bowolé] got shot by police in the 18th arrondissement [on 6 April 1993]. I went there because I used to hang out in that neighbourhood. When I arrived, there were people, not protesting, more like mourning – it was the parents of the victim, of the kid. I began to think about how that cop could get a gun out and shoot a kid in the head while he was handcuffed. He didn’t execute him, he tried to scare him, and then the gun went off. But whether it was intentional or not, the cop got so mad that he got the gun out and it ended with him taking the kid’s life. What happened to that kid from the start of the day for it to end up like that? I decided to show the story from the kids’ point of view because nobody knew the kids, especially back in 1995 – or ’93 as it was. I knew those kids because I used to hang out with them; they have a voice, there is a reason why they’re like that, and there is a reason why the interaction with the police is like that. We needed to expose it so that people could understand it.
Mathieu Kassovitz
เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความไม่พึงพอใจให้ผกก. Kassovitz หลังจากเข้าร่วมชุมนุมประท้วง กลับมาบ้านลงมือร่างบทหนัง นำเอาประสบการณ์ตรง ผสมเรื่องราวที่ก่อนหน้านี้ก็เคยมีข่าว Malik Oussekine นักศึกษาชาว Algerian อายุ 22 ปี ไม่ได้มีส่วนร่วมการชุมนุมประท้วง แค่เพียงเดินผ่านสถานที่เกิดเหตุแล้วถูกตำรวจรุมกระทำร้ายจนเสียชีวิต วันที่ 6 ธันวาคม ค.ศ. 1986
เกร็ด: ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1981 (น่าจะนับจนถึง ค.ศ. 1995) เกิดเหตุการณ์ที่ตำรวจฝรั่งเศสพลั้งพลาด (Slipups) ใช้ความรุนแรงกับบุคคลไม่ได้กระทำความผิดกว่า 300 ครั้ง! แต่กลับมีออกข่าวสู่สาธารณะไม่ถึงสิบครั้ง
เกร็ด: สำหรับชื่อหนังผกก. Kassovitz ยืนกรานจะใช้ La Haine แปลว่า Hates แต่ทว่าตอนติดต่อขอใช้สถานที่ถ่ายทำ กลับไม่มีใครอนุญาตเพราะชื่อหนังฟังดูหมิ่นเหม่ สร้างความขัดแย้ง (Controversial) เลยจำต้องเปลี่ยนมาใช้ชื่อชั่วคราว Droit de cité แปลว่า Right of Citizenship
หนังเริ่มต้นด้วยการร้อยเรียงฟุตเทจ ภาพการจราจล ณ Chanteloup-les-Vignes ปะทะกันระหว่างตำรวจและประชาชน ทำให้วัยรุ่นหนุ่ม Abdel Ichaha ได้รับบาดเจ็บสาหัส และปืนกระบอกหนึ่ง(ของตำรวจ)สูญหายไป, จากนั้นนำเสนอเรื่องราวของสามหนุ่มชายขอบ ภายหลังเหตุการณ์เมื่อค่ำคืนในระยะเวลา 24 ชั่วโมงสุดท้าย
- Vinz (รับบทโดย Vincent Cassel) ชายหนุ่มชาวยิว เป็นคนหัวร้อน เจ้าอารมณ์ ชอบพูดคำดูถูกเหยียดหยาม เต็มไปด้วยความโกรธเกลียดเคียดแค้นตำรวจที่กระทำร้าย Abdel จนได้รับบาดเจ็บสาหัส ระหว่างการจราจลเมื่อค่ำคืนก่อน แอบลักขโมยปืน ตั้งใจจะโต้ตอบเอาคืน แต่สุดท้ายก็มิอาจลงมือทำได้ลง
- Hubert (รับบทโดย Hubert Koundé) ชายผิวสีจาก Beninese ร่างกายกำยำ บึกบึน ชื่นชอบการชกมวย แม้เป็นคนดูมีเหตุมีผล บ่อยครั้งพยายามพูดเตือนสติเพื่อนฝูง แต่เหตุการณ์เมื่อค่ำคืนทำให้ยิมถูกทำลาย ไร้สถานที่ระบายอารมณ์อัดอั้น ไม่แน่ว่าถ้าปืนอยู่ในมือก็อาจพร้อมเหนี่ยวไกได้ทุกเวลา
- Saïd (รับบทโดย Saïd Taghmaoui) ชาวมุสลิมจากแอฟริกาเหนือ เป็นนักเล่าเรื่อง ปากเก่ง ชื่นชอบงานเลี้ยงสังสรรค์ แต่ไม่อารมณ์ร้อนเท่า Vinz หรือเฉลียวฉลาดเหมือน Hubert อยู่กึ่งกลางระหว่างเพื่อนทั้งสอง คอยเป็นตัวกลางประสานความขัดแย้ง พึ่งพาอาศัยกันและกัน
ในบรรดานักแสดงนำทั้งสาม ผมขอกล่าวถึงเพียง Vincent Cassel (เกิดปี ค.ศ. 1966) นักแสดงสัญชาติฝรั่งเศส เกิดที่กรุง Paris บิดาคือโคตรนักแสดง Jean-Pierre Cassel ติดตามรอยเท้าเข้าสู่วงการ แจ้งเกิดกับผลงาน La Haine (1995), L’Appartement (1996), โกอินเตอร์เล่นหนังภาษาอังกฤษเรื่องแรก Elizabeth (1998), ผลงานเด่นๆ อาทิ Ocean’s Twelve (2004), Eastern Promises (2007), Mesrine (2008), Black Swan (2010), It’s Only the End of the World (2016), Jason Bourne (2016) ฯ
รับบท Vinz ชายชาวยิว ไม่เห็นทำการทำงาน อาศัยอยู่กับยาย มารดา และน้องสาว เป็นคนอารมณ์ร้อน หัวรุนแรง แสดงออกโดยสันชาตญาณ ใฝ่ฝันอยากเป็นฮีโร่แบบ Travis Bickle ภาพยนตร์ Taxi Driver (1976), เมื่อค่ำคืนก่อนแอบลักขโมยปืนตำรวจ ครุ่นคิดจะโต้ตอบเอาคืน แต่ก็มิอาจฝืนใจทำได้ลง
นี่ถือเป็นบทบาทแจ้งเกิด Cassel โดดเด่นไม่ใช่แค่ท่าทางนักเลง ห้าวเป้ง เลียนแบบ Robert De Niro แต่ยังอุปนิสัยใจคอ เต็มไปด้วยความลุกรี้ร้อนรน แทบไม่เคยพบเห็นหยุดอยู่นิ่ง ดิ้นไปดิ้นมา ชอบพูดท้าต่อยตี ปากหาเรื่องทะเลาะวิวาท ขัดแย้งใครต่อใครไปทั่ว (แสร้งทำเป็น)ไม่หวาดกลัวแม้เจ้าหน้าที่ตำรวจ
เมื่อตอนที่ Vinz แอบพกปืนเข้าไปในโรงพยาบาล (ตั้งใจจะเยี่ยมเยียน Abdel Ichaha) เผชิญหน้าตำรวจเฝ้ายาม แล้วเดินทางต่อไปยังโรงพัก แx่เx็ด ผมละเสียวสันวาป สังเกตตัวละครพยายามปั้นแต่งสีหน้า แสร้งทำเหมือนไม่มีห่าเหวอะไร แต่ถ้าเกิดถูก(ตำรวจ)ตรวจค้น คงได้ตายโหงตานห่า โชคยังดีสามารถเอาตัวรอดออกมาได้อย่างหวุดหวิด!
แต่ไฮไลท์การแสดงต้องยกให้ตอนไคลน์แม็กซ์ แม้ถูกเพื่อนกรอกหู ยิงเลย! ฆ่าแม้งให้ตาย! อวดเก่งมาตลอดทั้งเรื่อง สุดท้ายกลับหมาเห่าใบตองแห้ง พ่ายแพ้ใจตนเอง นั่นแสดงถึงการยังมีความเป็นมนุษย์หลงเหลือ โศกนาฎกรรมตอนจบจึงทำให้ผู้ชมรู้สึกสงสารเห็นใจ … ทั้งภาพลักษณ์ พฤติกรรมห้าวเป้ง ถ้อยคำพูดปากเก่ง กล้าพกปืนเข้าไปในโรงพัก ล้วนล่อหลอกให้ผมหลงเชื่อสนิทใจ หมอนี่ต้องสามารถเหนี่ยวไก แต่พอทำไม่ได้ มันเลยกลายเป็นการหักมุมอย่างคาดไม่ถึง!

ถ่ายภาพโดย Pierre Aïm (เกิดปี ค.ศ. 1959) สัญชาติฝรั่งเศส ผลงานเด่นๆ อาทิ Métisse (1993), La Haine (1995), Polisse (2011) ฯ
ด้วยทุนสร้างจำกัดจึงเลือกใช้กล้อง Hand-Held ที่มีน้ำหนักเบา สามารถแบกขึ้นบ่า เดินไปเดินมา (แต่พยายามทำให้กล้องไม่ส่ายสั่นรุนแรงจนปวดเศียรเวียนเกล้า) เดินทางไปถ่ายทำยังสถานที่ต่างๆโดยสะดวก และที่เห็นภาพขาว-ดำ แท้จริงแล้วถ่ายทำด้วยฟีล์มสี (ทำให้ภาพถ่ายดูมีมิติมากขึ้นกว่าปกติ)
เกร็ด: จริงๆแล้วผกก. Kassovitz ตั้งใจจะถ่ายทำหนังขาว-ดำ ทว่าถูกโปรดิวเซอร์ทัดทาน แนะนำให้ใช้ฟีล์มสีเพื่อลดต้นทุนและความเสี่ยง แม้ยินยอมทำตามแต่ระหว่าง Post-Production จงใจล้างฟีล์มขาว-ดำ แล้วทำข้อตกลงว่าถ้าหนังไม่ประสบความสำเร็จ ค่อยนำฉบับฟีล์มสีออกฉายใหม่ … โชคดีว่าเหตุการณ์ดังกล่าวไม่เกิดขึ้น
When you look at black-and-white footage from the war, it changes when you see that footage put in colour. I did the voiceover for Apocalypse, a fantastic documentary series covering wars, for which they colourised all these black-and-white images and rendered them in HD. In colour, all of a sudden the footage becomes very personal – you see your grandfathers there, it’s not just ghosts or an artistic image, it could be today. What black and white does is bring poetry into reality. That’s why when you do a movie about poverty where you don’t have control over the environment and things are supposed to be ugly, it’s very difficult. It costs a lot of money to make it look good. But it doesn’t cost anything to make it look good in black and white. If I showed you La Haine in colour, it’s horrible.
Mathieu Kassovitz
ภาพถ่ายขาว-ดำ ช่วยสร้างบรรยากาศเหมือนฟุตเทจสงคราม สามารถตีความได้ทั้งด้านมืดบุคคล และบรรยากาศหมองหม่นของฝรั่งเศส แต่ละซีเควนซ์จะมีลีลานำเสนอ ลูกเล่นภาพยนตร์ที่หลากหลาย สะท้อนวิถีวัยรุ่นคนหนุ่มอารมณ์ร้อน ดิบๆเถื่อนๆ ดำเนินชีวิตอย่างเรื่อยเปื่อย คาดเดาอะไรไม่ค่อยได้ เต็มไปด้วยความว้าวุ่นวาย หายนะกำลังคืบคลานเข้ามา
การถ่ายทำในสลัมกรุง Paris ยุคสมัยนั้นความเสี่ยงค่อนข้างสูง แถมประเด็นของหนังก็หมิ่นเหม่ สุ่มเสี่ยง เลยไม่ค่อยมีหน่วยงานไหนอนุญาตให้ใช้สถานที่ เลยต้องออกมาต่างจังหวัด Chanteloup-les-Vignes, Yvelines ทางตอนเหนือฝรั่งเศส โดยทีมผู้สร้างและนักแสดงเดินทางมาปักหลักอาศัย ตระเตรียมงานสร้าง (Pre-Production) ล่วงหน้าถึงสามเดือน สร้างความคุ้นเคยชาวบ้านละแวกนั้น เพื่อระหว่างการถ่ายทำเดือนกันยายน – พฤศจิกายน ค.ศ. 1994 ดำเนินไปอย่างราบรื่น ไม่มีปัญหาวุ่นวายใดๆ
ให้ข้อสังเกตอีกนิดนึงว่า ฉากถ่ายทำต่างจังหวัด Chanteloup-les-Vignes มักใช้เลนส์มุมกว้าง ระยะไกล ทิวทัศน์กว้างใหญ่ นักแสดงตัวเล็กกระจิดริด, แต่เมื่อเดินทางเข้ามาในกรุง Paris เต็มไปด้วยฉากภายใน ระยะกลาง-ใกล้ ใบหน้านักแสดงเด่นชัด สร้างความแออัดคับแคบ มองไปทางไหนถ้าไม่พบเจอผนังกำแพงก็อาคารสูงใหญ่
The first part of the film is shot with shorter and wider lenses and with quite formal composition. The contra zoom is the gateway to using longer lenses and more fragmented composition. The characters are less comfortable in this environment.
It’s about a guy who falls off a skyscraper. On his way down past each floor, he keeps telling himself, “So far so good… so far so good… so far so good.” But it’s not how you fall that matters. It’s how you land.
คำบรรยายกล่าวถึงชายตกลงจากตึกสูง แต่ฉายภาพลูกโลกแล้วระเบิดขวดตกลงมา เปลวเพลิงมอดไหม้ สัญลักษณ์ของหายนะ การทำลายล้าง … คำอธิบายประโยคนี้จะถูกกล่าวถึงอีกครั้งช่วงท้ายของหนัง
It’s about a society on its way down, and as it falls, it keeps telling itself, “So far so good… so far so good… so far so good.” It’s not how you fall that matters. It’s how you land.
นั่นแสดงว่าสิ่งที่ผกก. Kassovitz ต้องการสื่อถึงในภาพนี้ ทำการเปรียบเทียบถึงฝรั่งเศส เหมารวมมนุษยชาติ กำลังอยู่ในช่วงทิ้งดิ่ง ตกลงมาจากเบื้องบน คนส่วนใหญ่ไม่รับรู้ตัวเองด้วยซ้ำว่าทิศทางโลกใบนี้กำลังมุ่งสู่หายนะ ภัยพิบัติ โลกาวินาศเกิดจากเงื้อมมือมนุษย์ด้วยกันเอง
Because the film deals with a global problem. The joke, in the beginning, talks about the man who falls from the building. The same joke at the end is a society that falls.
Mathieu Kassovitz

ช่วงแรกๆของหนังมีการร้อยเรียง Archive Footage ภาพเหตุการณ์ชุมนุมประท้วง การปะทะกันระหว่างตำรวจ vs. ประชาชน โดยนำจากสารคดี รายการข่าวโทรทัศน์ ระหว่างปี ค.ศ. 1986-95 และมันจะมีภาพหนึ่งขึ้นข้อความ Que Justice Soit Faite Pour Mako แปลว่า Let Justice Be Done for Mako หรือก็คือ Makomé M’Bowolé ผู้เสียชีวิตที่เป็นแรงบันดาลใจให้ผกก. Kassovitz สรรค์สร้างภาพยนตร์เรื่องนี้



เช้าวันถัดมา Saïd ยืนอยู่ด้านล่างอพาร์ทเม้นท์ จากนั้นตะโกนเรียกหา Vinz แล้วเพื่อนบ้านฝั่งตรงข้ามก็โต้ตอบกลับลงมาด้วยคำพร่ำบ่น นี่อาจดูเหมือนแค่ความวุ่นๆวายๆยามเช้า แต่ทิศทางของอพาร์ทเม้นท์ทั้งสอง สามารถสะท้อนมุมมองตำรวจ vs. ประชาชน โต้ตอบกัน(ด้วยวาจา)ไปมา ถกเถียงไม่รู้จักจบจักสิ้น
เมื่อเรื่องราวดำเนินไป ผู้ชมจะเกิดความเข้าใจว่า Saïd คือบุคคลอยู่กึ่งกลางระหว่าง Vinz และ Hubert คอยเป็นตัวกลางประสานความขัดแย้งของทั้งสอง ก็เหมือนภาพนี้ที่เขายืนอยู่กึ่งกลางด้านล่างอพาร์ทเม้นท์ ตะโกนโหวกเหวกคุยฝั่งซ้ายที ฝั่งขวาที (สองฝั่งต่างก็อยู่ชั้นบน อีโก้สูงลิบลิ่ว ไม่ต่างจาก Vinz และ Hubert)

เนื่องจากผมเป็นแฟนมวยปล้ำ เลยแอบประหลาดใจไม่น้อยที่ภายในอพาร์ทเม้นท์ของ Vinz มีรูปภาพของ Bret Hart (สองรูปเลยนะ) หนึ่งในนักมวยปล้ำผู้ยิ่งใหญ่ตลอดกาล คงเพราะฉายาในวงการ “the Hitman” ไม่ได้หมายถึงนักฆ่า หรือเคยยิงใครตาย แต่เป็นบุคคลที่สไตล์การปล้ำมีความแม่นยำ เวลาโปรโมทก็มักพูดแทงใจดำ คำนวณทุกสิ่งอย่างมาพร้อมสรรพ และยังตั้งชื่อท่าไม้ตาย Sharpshooter … อธิบายมาขนาดนี้พอเห็นความสัมพันธ์ระหว่าง Vinz กับ Bret Hart ไหมเอ่ย?


เชื่อว่าหลายคนอาจครุ่นคิดเข้าใจผิด ผมก็นึกว่าฉากนี้มีการใช้ CGI ถึงสามารถลบภาพสะท้อน(กล้อง)ในกระจก ก่อนค้นพบว่านี่ไม่ใช่กระจก คนที่ยืนหันหลังคือนักแสดงแทน เลียนแบบท่าทาง Vincent Cassel อยู่ฟากฝั่งตรงข้ามกำแพง!
“You talkin’ to me?” ประโยคสุดคลาสิกของ Robert De Niro ภาพยนตร์ Taxi Driver (1976) ซึ่งทำการ “Breaking the Fouth Wall” สนทนากับตนเอง ไม่ต่างจากสอบถามความเห็นผู้ชมถึงการมีตัวตน? ตั้งคำถามว่าฉันคือใคร? ต้องการทำอะไรต่อไป? แบบเดียวกับหนังเรื่องนี้ Vinz อยู่ในช่างกำลังครุ่นคิดค้นหาเป้าหมายชีวิต?

Hubert คือนักมวย ใช้กีฬาชนิดนี้ระบายสิ่งอัดอั้น ความคลุ้มคลั่งภายใน กลายเป็นคนอ่อนไหว ใจเย็น บังเกิดสติปัญญา สามารถควบคุมตนเอง แต่เหตุการณ์เมื่อค่ำคืนทำให้ทุกสิ่งอย่างมอดไหม้วอดวาย ไม่หลงเหลืออะไร นั่นทำให้เขาเต็มไปอารมณ์เกรี้ยวกราด ใกล้ที่จะสูญเสียการควบคุมตนเอง

บรรดาวัยรุ่น คนหนุ่ม ชายขอบทั้งหลาย เลือกสถานที่ชั้นบนดาดฟ้าตึกร้างสำหรับสุงสิง สังสรรค์ ปิ้งย่างฮอทดอก แต่การมาถึงของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ออกคำสั่งขับไล่ เข้ามาบังคับใช้กฎหมาย กลายเป็นความขัดแย้ง โชคยังดีไม่มีการปะทะกันรุนแรง … ผมให้ข้อสังเกตว่าหนังจะค่อยๆไล่ระดับความขัดแย้งระหว่างคนสองกลุ่ม (ไม่นับอารัมบท Archive Footage) เริ่มต้นจาก Saïd ตะโกนโหวกเหวก โต้เถียงกับอพาร์ทเม้นท์สองฟากฝั่ง, ครั้งนี้ตำรวจขึ้นมาเผชิญหน้า บังคับใช้กฎหมาย และต่อจากนี้มันจะค่อยๆทวีความรุนแรงต่อไป
ปล. สิ่งน่าอัศจรรย์ของซีเควนซ์นี้ก็คือใช้กล้อง Hand-Held ถ่ายทำแบบ ‘Long Take’ ก็ไม่รู้นานกี่นาที เดินวกไปวนมาราว เพื่อสื่อถึงอิสรภาพในการถ่ายภาพ (Unchained Camera) และใช้ชีวิตของวัยรุ่น คนหนุ่ม-สาว

หลังถูกขับไล่ที่จากบนดาดฟ้า สามหนุ่มมานั่งเหี่ยวอยู่บริเวณสวนเด็กเล่น ผมไม่ค่อยแน่ใจว่ามันคือฮิปโปหรือเปล่า? เบื้องต้นคาดว่าต้องการสื่อถึงแฟนสาวของ Saïd คุยโวโอ้อวดว่า “I fucked her like animal.” แต่ในความเป็นจริงนั่นคือความฝัน (มันจะมีแสงแฟลชปรากฎขึ้นแวบหนึ่งก่อนเริ่มการสนทนา) นั่นเพราะ Vinz เปิดเผยว่าเธอคนนั้นติดโรค AIDS
จากนั้นนักข่าวช่องห้า ขับรถมาตะโกนขอสัมภาษณ์เหตุการณ์เมื่อค่ำคืน สร้างความหงุดหงิดหัวเสีย เพราะสื่อโทรทัศน์มักทำการบิดเบียนข้อมูลข่าวสาร มันไม่มีหรอกช่องที่เป็นกลาง ถ้าไม่ฝั่งซ้ายก็ขวา เลวร้ายหน่อยก็ของรัฐบาล/รัฐวิสาหกิจ จากนั้น Vinz มีการพูดเปรียบเทียบ Château de Thoiry สวนสัตว์ในเมือง Thoiry ที่สามารถขับรถเข้าเยี่ยมชม … กล่าวคือเป็นพวกนักข่าวปฏิบัติต่อสามหนุ่มไม่ต่างจากสัตว์ในกรง!


สามหนุ่มแวะเวียนมายังห้องของเพื่อนคนหนึ่ง เต็มไปด้วยเครื่องเล่น วิทยุ เครื่องเสียงยี่ห้อ Kenwood นอกจากนี้ Vinz ยังมีการปรับเสาอากาศ สัญญาณโทรทัศน์ เหล่านี้เคลือบแฝงนัยยะถึงการสื่อสาร ความเข้าใจไม่ตรงกันระหว่างคนสองกลุ่ม พยายามปรับจูนแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ

เรื่องเล่ารายการโชว์ Candid Camera จะมีการติดตั้งกล้องสำหรับแอบถ่ายระหว่างกลั้นแกล้งผู้อื่น (ระหว่างการเล่าเรื่อง Saïd ก็แอบกลั่นแกล้งเด็กชายคนนั้น โยนหินเข้าข้างหลัง) จนกระทั่งมีใครคนหนึ่งไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ถูกกลั่นแกล้งแล้วรู้สึกไม่พึงพอใจ ทำให้เกิดการชกต่อยจนตากล้องต้องเข้ามาห้ามปราม … ฟังดูละม้ายคล้ายเรื่องราวของหนัง ตำรวจกระทำร้ายบุคคลไม่ได้เกี่ยวข้อง พลั้งพลาดฆาตกรรมผู้บริสุทธิ์
ผมครุ่นคิดอยู่นานว่าทำไมถึงเลือกใช้สถานที่แห่งนี้? ต้องการหลบมุมไม่ให้ถูกแอบถ่าย? (จะว่าไปไอ้คนที่ขี่จักรยานล้อเดียวโชว์ ก็เพื่อล้อรายการ Candid Camera เช่นกัน) กระทั่งหนังแทรกภาพ Hubert ใช้เท้าเขี่ยเข็มฉีดยาบนพื้น แสดงว่านี่คือสถานที่มั่วสุม ท่ามกลางชุมชน (รายล้อมด้วยอพาร์ทเม้นท์) … โดยปกติแล้วสถานที่มั่วซุมมันควรเป็นอาการปิด แต่การออกแบบสถานที่แห่งนี้แม้อยู่กลางแจ้ง กลับสามารถหลบซ่อน มั่วสุม โดยไม่มีใครพบเห็น


Vinz แอบลักขโมย .44 Magnum มาจากตำรวจระหว่างเหตุจราจลเมื่อค่ำคืน เก็บซ่อนไว้ในรังลับ นี่ดูไม่ค่อยเหมือนตู้ไปรษณีย์ เหมือนตู้อบอะไรสักอย่าง แต่ทั้งซีเควนซ์ปกคลุมด้วยความมืดมิด สื่อถึงสิ่งชั่วร้าย ด้านมืดจิตใจ … และเหมือนว่า Hubert จะแอบบอกใบ้ผ่านคำพูดถึง Vinz ว่า “You pussy! You’re fuckin’ up.” รู้ล่วงหน้าว่าอีกฝ่ายไม่มีทางเข่นฆ่าใครได้ลง

ด้วยความที่ผู้ชมรับรู้ว่า Vinz แอบพกปืนติดตัวมาด้วย พอมาถึงโรงพยาบาล ต่อด้วยขึ้นรถไปโรงพัก มันจึงเกิดความหวาดเสียว ลุ้นระทึก กิริยาท่าทาง สายตาช่างดูวอกแวก ลุกรี้ร้อนรน พยายามกวาดตามอง กล้องแพนนิ่งโดยรอบ รายล้อมตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบ ชิบหายละกรู ถ้าเกิดจู่ๆใครขอตรวจค้น คงได้ตายโหงอย่างแน่นอน!

ห้องนอนของ Hubert เต็มไปด้วยอุปกรณ์ต่อยมวย รูปภาพ Muhammad Ali แต่ที่น่าสนใจสุดคือ Tommie Smith และ John Carlos สวมถุงมือดำ ชูกำปั้นเหนือศีรษะ Black Power Salute ระหว่างขึ้นรับเหรียญทอง-ทองแดง การแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 1968 Mexico City

เมื่อตอน DJ Cut Killer ทำการแสคชเพลง Nique La Police แปลว่า Fuck the Police กล้องเคลื่อนเลื่อนจากภายนอกนอกหน้า ล่อยลอย โบยบิน (สัญญะแทนอิสรภาพในการแสดงออก) เคลื่อนผ่านอพาร์ทเมนท์จัดสรร นี่เป็นการเคารพคารวะภาพยนตร์ Soy Cuba (1964) หรือ I Am Cuba ของผกก. Mikhail Kalatozov ที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ภายหลัง 1959 Cuban Revolution โค่นล้มผู้นำเผด็จการ Fulgencio Batista เปลี่ยนมาฝักใฝ่สหภาพโซเวียต
เมื่อตอน Soy Cuba (1964) ตากล้อง Sergey Urusevsky ทำการติดตั้งกล้องบนสลิงแล้วค่อยๆเคลื่อนเลื่อนออกไปภายนอกตึก, สำหรับ La Haine (1996) ยุคสมัยนั้นยังไม่มีโดรน เลยใช้เฮลิคอปเตอร์ขนาดเล็กที่ควบคุมโดยรีโมทคอนโทรล ภาพเลยออกมาส่ายๆสั่นๆ ควบคุมไม่ง่ายสักเท่าไหร่

Vinz หันไปเห็นวัว? ตอนต้นเรื่องที่ตื่นขึ้นมาพูดคุยกับ Saïd ก็ครุ่นคิดว่ามันคือภาพหลอนจากการเสพยา? แต่พอกลางวันแสกๆเห็นวัวตัวเป็นๆเดินผ่าน พยายามเรียกเพื่อนให้หันมามองกลับถูกย้อน “You’re the cow!” นั่นก็น่าจะคือนัยยะของสัตว์ชนิดนี้ … ผมครุ่นคิดว่าหนังต้องการเปรียบเทียบ Vinz = Cow ซึ่งตรงกับคำว่า Coward ขี้ขลาดตาขาว

ปกติแล้วการตัดผมมักจะคือสัญญะของการเริ่มต้นใหม่ แต่ทว่าครั้งนี้ Vinz พลั้งพลาด(บางคนอาจมองว่าจงใจ)ปัตตาเลี่ยนไถด้านข้าง Saïd จนเห็นร่องขาว (ถ้าเป็นเมืองไทย นี่คือวิธีลงโทษนักเรียนไม่ยอมตัดผม) … เหตุการณ์ดังกล่าวน่าจะล้อกับการกระทำของตำรวจ พลั้งพลาดหรือจงใจปืนลั่น ก็แล้วแต่จะครุ่นคิดจินตนาการ

ช่วงเวลาเย็นๆหลังเลิกงาน วัยรุ่น คนหนุ่มสาว ก็รวมกลุ่มกันภายในตึกร้าง คราวนี้พบเห็นการเต้นเบรกแดนซ์ (Breakdance) แต่แทบทั้งหมดล้วนมีลักษณะคล้ายๆกันคือเวียนวงกลม หมุนรอบจุดศูนย์กลาง นี่อาจจะสื่อถึงโลกหมุนรอบตัวฉัน หรือวัฏจักรความรุนแรง+เกลียดชัง โต้ตอบกันไปมาระหว่างสองฝั่งขั้วตรงข้าม

ผมไม่แน่ใจว่าพี่หรือน้องของ Abdel Ichaha (คำว่า Brother มันไม่ได้ระบุว่าอายุมากกว่าหรือน้อยกว่า) ด้วยความโกรธเกลียด ต้องการล้างแค้นตำรวจ โชคดีที่ไม่มีใครเสียชีวิต แต่เขาถูกล้อมจับกุม และเหตุการณ์เกือบบานปลายเพราะมีผู้พบเห็นมากมายเข้ามารุมล้อม พร้อมจะใช้ความรุนแรงโต้ตอบ ก่อนต้องเผ่นแน่บเมื่อกำลังเสริม(ตำรวจ)มาถึง … โชคดีว่าสามหนุ่มสามารถวิ่งหลบหนีได้ทัน

สามหนุ่มขึ้นรถไฟมุ่งสู่กรุง Paris ระหว่างทางพบเห็นป้ายโฆษณา Le monde est à toi แปลว่า The world is yours. [ใครเคยรับชม Scarface (1983) ก็น่าจะมักคุ้นประโยคดังกล่าว] จากนั้น Hubert หลับตาปี้ ได้ยินเสียงเบรครถไฟเสียดสี สามารถตีความได้ทั้งไม่อยากรับฟังคำคุยโวโอ้อวดของ Vinz (ที่บอกว่าถ้า Hubert ไม่ขวางไว้ ก็คงยิงตำรวจไส้แตก) และไม่เห็นด้วยกับข้อความ The world is not Paradise!
ปล. นี่คือลูกโลกเดียวกับตอนต้นเรื่องที่ถูกระเบิดขวดเขวี้ยงขว้าง/ตกหล่นใส่ ไฟลุกไหม้ และเคลือบแฝงนัยยะเดียวกันคือไม่เห็นด้วยกับประโยค The world is yours.


พอสามหนุ่มมาถึงกรุง Paris ยืนอยู่บนชั้นดาดฟ้าห้างสรรพสินค้า Galeries Lafayette, Boulevard Montparnasse (ปัจจุบันกลายเป็นศูนย์วัฒนธรรม Les Galeries Montparnasse) มองเห็นถนน rue de Rennes จากนั้นโชว์ภาพถ่าย Dolly Zoom หรือ Vertigo Shot หรือ Jaws Effect กล้องเคลื่อนถอยหลังแล้วซูมเข้าหา ในบริบทนี้ผมมองว่าสร้างสัมผัสเวิ้งว้าง ว่างเปล่า อุตส่าห์มาถึงกรุง Paris แล้วไม่รู้จะทำอะไรยังไงต่อไป

สามหนุ่มแวะมาเข้าห้องน้ำสาธารณะ แต่หลากหลายมุมกล้องถ่ายภาพสะท้อนกระจก ต่างคนต่างยืน หันคนละทิศละทาง ไม่รู้จะทำอะไรยังไง อุตส่าห์มาถึง Paris ชีวิตกลับไร้จุดหมาย, Saïd จึงโทรศัพท์ติดต่อหาเพื่อน ต้องการที่อยู่ของ Astérix เพื่อจะทวงเงิน 500 ฟรังก์ฝรั่งเศส
“Nothing like good shit!” คำกล่าวแรกของชายชาว Polish เพิ่งถ่ายท้องเสร็จออกจากห้องส้วม คงได้ยินการสนทนาทั้งหมดของสามหนุ่ม จึงพูดเล่าความหลังเมื่อครั้นตนเองเคยเป็นนักโทษ ระหว่างถูกส่งตัวไปค่ายแรงงาน Gulag สภาพอากาศหนาวเหน็บ จะถ่ายท้องได้เฉพาะตอนรถไฟหยุดจอด แถมบริเวณนั้นไม่มีห้องน้ำห้องท่า เพียงยื่นก้นออกนอกโบกี้รถไฟ แล้วมีชายคนหนึ่ง Grunwalski อธิบายง่ายๆก็คือไม่ยอมขี้ต่อหน้าผู้อื่น ลงไปถ่ายหลังพุ่มไม้แล้วกลับขึ้นรถไฟไม่ทัน แข็งตายอยู่ตรงนั้น … ผมเปรียบเทียบการถ่ายท้อง = ระบายอารมณ์อัดอั้น คือถ้าสามหนุ่มกระทำสิ่งขัดต่อข้อกำหนด กฎหมายบ้านเมือง อย่างยิงตำรวจ ล้างแค้นให้กับ Abdel Ichaha ย่อมต้องถูกหมายหัว สูญเสียอนาคต ไม่สามารถหวนกลับขึ้นรถไฟ แข็งตายอยู่นอกขบวน


Astérix (บางฉบับตั้งชื่อใหม่ Snoopy) อาศัยอยู่อพาร์ทเม้นท์ค่อนข้างหรูกลางกรุง Paris แต่แท้จริงแล้วเป็นพ่อค้ายา ท่าทางมึนเมา ไม่สวมใส่เสื้อผ้า จู่ๆลุกขึ้นโชว์วิทยายุทธ เล่นไม้กระบองสองท่อน (Nunchaku) และขอดูปืนของ Vinz มาท้าเล่น Russian Roulette จากภาพยนตร์ The Deer Hunter (1978) … ผมเคยเขียนอธิบายไปว่า Russian Roulette คือเกมเชิงสัญญะที่สื่อถึงสงคราม ทหารไปรบไม่ต่างจากเอาปืนจ่อศีรษะตนเอง วัดดวงว่ามีกระสุน-ไม่มีกระสุน จะรอดหรือตาย
เฉกเช่นเดียวกับการชุมนุมประท้วง เหตุจราจล ตำรวจ vs. ประชาชน ก็ไม่ต่างจากสนามรบ สงคราม เต็มไปด้วยความเสี่ยง ผู้เข้าร่วมไม่ต่างจากเอาปืนจ่อศีรษะตนเอง วัดดวงว่าจะรอดหรือตาย … แต่ทว่าเกมที่ Astérix ท้าเล่นนั้นเลียนแบบจากนักมายากล Gérard Majax รับรู้วิธีเอากระสุนออกก่อน ทำไมฉันต้องเอาตนเองไปเสี่ยงกับความเป็น-ตาย ใช้ชีวิตกินหรูอยู่สบายใจ ตามวิถีชนชั้นกลางเสียยังดีกว่า!

ในขณะที่สามหนุ่มคือตัวแทนชนชั้นระดับล่าง (Lower Class) กลุ่มคนชายขอบ (Marginal People) เมื่อได้พบเจอ Astérix ที่ใช้ชีวิตอย่างชนชั้นกลาง (Middle Class) พวกเขาจึงเกิดความขัดแย้ง ครุ่นคิดเห็นแตกต่าง ซึ่งพอพวกเขาเดินลงบันได กล้องเคลื่อนหมุนวนกลม จึงแทนความสับสน วกวน ดูแล้วมึนงง ไม่เข้าใจกันและกัน

ด้วยความที่ลงบันไดมาช้ากว่าผองเพื่อน Vinz เลยไม่ถูกตำรวจควบคุมตัว แล้วสามารถวิ่งหลบหนี รอดพ้นการถูกทรมานได้สำเร็จ จึงแวะเวียนเข้าโรงภาพยนตร์ แม้หนังไม่ฉายภาพบนหน้าจอ แต่แค่เพียงเสียงหลายคนก็อาจคาดเดาได้ว่าประกอบด้วย Sudden Impact (1983), The Texas Chain Saw Massacre (1974) (ได้ยินเสียงเลื่อยยนต์), The Thing (1982)

ตอนออกค้นหาอพาร์ทเม้นท์ของ Astérix สร้างความประหลาดใจให้ Saïd ตำรวจดี พูดจาสุภาพก็มีด้วยเหรอ? นั่นคือสิ่งที่ผกก. Kassovitz พยายามนำเสนอว่าในองค์กรตำรวจ คนดีก็มี ไม่ใช่มีแต่คนเลวเสียหมด การที่สามหนุ่มเดินทางสู่ Paris ก็เพื่อเปิดมุมมองโลกทัศน์ดังกล่าว
Back in the day, when there was a bunch of kids like that in the streets, people wondered who they were: “Are they dangerous or not?” And the kids, when they came to Paris, they were like, “Why the fuck are they looking at us like that?”
Mathieu Kassovitz
หรือปฏิกิริยาของนายตำรวจใหม่ ดูไม่พึงพอใจ แทบมิอาจอดรนทนเมื่อพบเห็นเพื่อนตำรวจทัณฑ์ทรมาน Hubert และ Saïd แถมยังพยายามเสี้ยมสอน “You can’t go too far.” แต่อะไรคือขอบเขต เรื่องพรรค์นี้มันควบคุมกันได้เสียที่ไหน?


หลังดูหนัง รับชมการต่อยมวย Vinz ติดตามเพื่อนใหม่ไปยังคลับส่วนตัวแห่งหนึ่ง แต่พอไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร้าน ก็มีใครบางคนชักปืนขึ้นมายิงพนักงาน ภาพช็อตนี้ทีแรกผมนึกว่าใช้เลนส์ Split-Focus Diopter กลับแค่การซ้อนภาพธรรมดาๆ เพื่อให้เห็นปฏิกิริยาสีหน้า อาการตื่นตระหนก ตกอกตกใจ (ตอนยิงปืนจะมีแสงแฟรชแวบขึ้นมาบนใบหน้า)
ผมมองว่า Vinz เป็นบุคคลมีความขลาดเขลาประมาณหนึ่ง แต่เหตุการณ์นี้มันคงติดตราฝังใจ มองย้อนกลับหาตนเอง ถ้าสักวันฉันต้องลั่นไก … มันคือวินาทีบังเกิดความหวาดกลัวจับใจ

เที่ยงคืนสี่สิบนาที รถไฟขบวนสุดท้ายออกจากสถานี Gare Saint-Lazare, 13 Rue d’Amsterdam สามหนุ่มหวนกลับมาพบเจอกัน ก้าวออกเดินในโถงเวิ้งว้างว่างเปล่า (สะท้อนเข้าชีวิตของหนุ่มๆทั้งสาม ดำเนินไปอย่างเปล่าเปลี่ยว ไร้จุดหมาย) ไม่รู้จะทำอะไรยังไงต่อไป เหตุการณ์วุ่นๆวายๆเกิดขึ้นเพราะเงินเพียง 500 ฟรังก์ฝรั่งเศส (=$100 ดอลลาร์)

ระหว่างเดินไปคุยไป มีการถกเถียงถึง Spiff and Hercules (1989-90) ถ้าเอา Spiff the Dog และ Hercules the Cat มาวิ่งแข่งกันใครจะเป็นผู้ชนะ … แล้วพอทั้งสามเข้าเยี่ยมชมนิทรรศการศิลปะ (ดึกขนาดนั้นยังมีเปิดให้บริการอีกเหรอ?) พบเห็นผลงานย้อมขาว Spiff the Dog ขนาดเล็กจิ๋วจัดแสดงอยู่บนฝาผนัง
ผมพอจะทำความเข้าใจนัยยะของนิทรรศการศิลปะ (Art gallery) คือสิ่งที่สามหนุ่มชนชั้นล่าง กลุ่มชายขอบ ไม่มีทางเข้าถึงความงดงาม(ทางศิลปะ) แต่ในตัวผลงานอย่างย้อมขาว Spiff the Dog ขนาดเล็กจิ๋ว ยังขบคิดไม่ออกว่าต้องการสื่อถึงอะไร?
ปล. ตอนฉายภาพนี้แล้วมีคนเดินผ่านหน้า ทีแรกผมนึกว่าคือผู้รังสรรค์ผลงาน แท้จริงแล้วบุคคลนั้นคือ Peter Kassovitz บิดาของผู้กำกับ Mathieu Kassovitz

การอ้างอิงถึงภาพยนตร์ Night of the Living Dead (1968) นี่ก็น่าสนใจ เพราะระหว่างสามหนุ่มกำลังลักขโมยรถ ชายขี้เมาคนหนึ่งก็เดินมาเคาะประตู สร้างความตกอกตกใจ นึกว่าซอมบี้! … แต่ผมมองซอมบี้ (Zombie) ในบริบทนี้คือเจ้าหน้าที่ตำรวจเสียมากกว่า เพราะทำการออกไล่ล่า เข่นฆ่า จับกุมคนร้าย สามหนุ่มต้องรีบเผ่นหนี เอาชีวิตรอดตายได้อย่างหวุดหวิด!

มันมีหนังเป็นร้อย-พัน-หมื่นๆเรื่องที่ถ่ายทำหอไอเฟล แต่ผมไม่เคยเห็นหนังเรื่องไหนเคยขออนุญาตปิดไฟยามค่ำคืน หรือเกิดจากกระบวนการหลังถ่ายทำ? ส่วนนัยยะฉากนี้ ผมมองต่อจากบทสนทนาของ Hubert เล่าเรื่องบุคคลตกจากที่สูง “So far, So good” ฤาว่าใครบางคนกระโดดหอไอเฟล? และถ้าเราตีความหอไอเฟล = ตัวแทนฝรั่งเศส เหตุการณ์ไฟดับสามารถสื่อถึงหายนะ จุดตกต่ำของประเทศ “society that falls”
เกร็ด: เรื่องราวชายตกจากอาคารสูงแล้วพูดว่า “so far, so good” นำจากภาพยนตร์ The Magnificent Seven (1960) เล่าโดยตัวละครของ Steve McQueen

Saïd พ่นสีป้ายโฆษณาเปลี่ยนข้อความ Le monde est à vous (แปลว่า The world is yours.) กลายมาเป็น Le monde est à nous (แปลว่า The world is ours.) จากโลกใบนี้ที่เป็นของทุกคน (vous=you) กลับกลายเป็นโลกใบนี้เป็นของฉันและพวกพ้อง บุคคลที่ออกกฎหมาย ทำป้ายโฆษณา (nous=us)
การเปลี่ยนข้อความดังกล่าว สะท้อนมุมมองคิดเห็นของทั้งสามหนุ่ม เพราะพวกเขาถูกตำรวจกดขี่ข่มเหง ใช้ความรุนแรง รับรู้ถึงความไม่เสมอภาคเท่าเทียมในสังคม เช่นนั้นแล้วคำโปรย ‘โลกเป็นของทุกคน’ มันจะจริงได้อย่างไร? เพียงคำโฆษณา ชวนเชื่อ ลวงโลกของคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้นเอง!

ดึกดื่นสามหนุ่มมานั่งเล่นตรงตรง Les Halles (แปลว่า The Halls) ตั้งอยู่ย่าน 1st arrondissement of Paris ในอดีตเคยเป็นตลาดสด ปัจจุบันรีโนเวทใหม่กลายเป็นห้างสรรพสินค้าใต้ดิน ออกแบบให้ดูหรูหรา ทันสมัย พร้อมเปลี่ยนชื่อเป็น Westfield Forum des Halles
การเลือกสถานที่ที่ดูหรูหรา ห้างสรรพสินค้าคนเดินผ่านไปผ่านมา (แต่ตอนดึกๆไม่มีผู้คน) สำหรับรายงานข่าวการเสียชีวิตของ Abdel Ichaha นั่นแสดงว่าความตายของนายคนนี้ ไม่ได้อยู่ในความสนใจ ไม่ได้มีความสลักสำคัญใดๆต่อคนส่วนใหญ่ในฝรั่งเศส ก็แค่ชายคนหนึ่งเท่านั้นเอง

เมื่อขึ้นบันไดเลื่อนพบเห็นตำรวจ Vinz ก็ครุ่นคิดจินตนาการ ฉายภาพขณะลั่นไกปืน ฆ่าล้างแค้นแทน Abdel Ichaha กระเด็นกระดอนพุ่งชนกระจกแตกอย่างเว่อวังอลังการ … นี่ถือเป็นการบอกใบ้ครั้งสุดท้าย Vinz ไม่สามารถลั่นไก เข่นฆ่าใครตายได้ในชีวิตจริง
วินาทีที่ตัดสลับระหว่างโลกความจริง vs. จินตนาการของ Vinz จะใช้การเคลื่อนกล้องเข้า-ออก และในเสี้ยววินาทีเกิดการ ‘Jump Cut’ หน้านิ่งๆกลายเป็นขมวดคิ้ว แล้วพอฝันจบ ถูกตบกระโหลก หวนกลับสู่โลกปกติ

Hubert และ Saïd ต่างรำคาญในคำโอ้อวดของ Vinz บอกว่าจะล้างแค้นให้กับ Abdel Ichaha แต่เอาเข้าจริงกลับไม่เห็นทำอะไร เต็มไปด้วยความเบื่อหน่าย เดินออกมาถึงรูปปั้นแกะสลักหินทราย Écoute (แปลว่า Listen) แต่เลือกถ่ายมุมกล้องที่มือบดบังหูข้างหนึ่ง เหมือนไม่อยากรับฟังข้อแก้ต่างใดๆ
เกร็ด: Écoute (1986) ผลงานแกะสลักของ Henri de Miller (1953-99) ตั้งอยู่บริเวณจตุรัส Jardin des Halles (Halles Garden) เหนือห้างสรรพสินค้า Forum des Halles หน้าโบสถ์ Church of St-Eustache, จริงๆแล้วความหมายของรูปแกะสลักนี้ก็ตามชื่อ คือการเปิดใจรับฟัง ให้ความสนใจทุกสรรพสิ่งอย่าง (แนบหูกับพื้น ได้ยินสรรพเสียงโดยรอบ) น้อมนำความคิดเห็นของผู้อื่นมาปรับปรุงพัฒนาตนเอง

สามหนุ่มเกิดการทะเลาะวิวาทกับกลุ่มนักเลงสกินเฮด Vinz จึงชักปืนขึ้นมาจ่อศีรษะ สองจิตสองใจว่าจะลั่นไกดีไหม Hubert เข้ามาพูดกรอกหู แน่จริงก็ยิงเลย แต่นั่นเพราะเขารับรู้ว่าอีกฝ่ายต้องปอดแหก ขลาดเขลา ไม่สามารถลงมือทำได้จริง
หลังจาก Vinz มิอาจลั่นไก เขาเดินแยกออกจากวง ก้มหน้า ปิดตา ขณะที่ Hubert & Saïd ต่างยืนหันหลังให้ และสังเกตว่าใบหน้าของ Saïd ยังปกคลุมอยู่ในเงามืดมิด นั่นแสดงถึงความผิดหวังในตัว Vinz คุยโวโอ้อวดเก่งมาตั้งแต่เช้า วินาทีนี้กลับแสดงอาการขลาดเขลา


พอรถไฟเปิดให้บริการรอบเช้า ทั้งสามต่างแยกกันนั่ง คนละทิศละทาง บนขบวนว่างเปล่าไร้ผู้โดยสาร นี่เป็นภาพที่สะท้อนบรรยากาศ+ความรู้สึกของพวกเขาอย่างชัดเจน
- Vinz รู้สึกผิดหวังในตนเองที่มิอาจลั่นไกปืน ตอนนี้เลยสงบเสงี่ยมเจียมตน ไม่กล้าคุยโวโอ้อวดเก่งอีกต่อไป
- Hubert เพราะรับรู้อยู่แล้วว่า Vinz มิอาจลั่นไกปืน ตอนนี้จึงไม่จำเป็นต้องพูดโอ้อวดอะไร
- Saïd คงรู้สึกผิดหวัง สิ้นศรัทธาในตัว Vinz ตอนนี้เลยไม่อยากสนทนากับคนขี้ขลาด

สถานที่สุดท้ายของหนัง มันมีภาพวาดชายสองคนอยู่บนผนัง คือมันโดดเด่นจนผมต้องพยายามค้นหาข้อมูล ก่อนค้นพบว่าคือ Arthur Rimbaud (1854-91) และ Charles Baudelaire (1821-67) ทั้งสองต่างเป็นนักปฏิวัติ ต่อต้านสังคม ผู้เปลี่ยนแปลงวงการกวีฝรั่งเศสเข้าสู่ยุคสมัยใหม่
ผมไม่ได้มักคุ้นนักกวีทั้งสอง จึงอธิบายไม่ได้ว่ามีความเชื่อมโยงอะไรกับเหตุการณ์ตอนจบ (ทั้งสองก็ไม่ได้ถูกใครพลั้งมือฆาตกรรม) แต่เรื่องเล่าสุดท้ายของ Saïd เกี่ยวกับแม่ชีถูกกระทำร้ายเพราะครุ่นคิดว่าอีกฝ่ายคือ Batman สะท้อนเข้ากับการที่พวกเขาถูกตำรวจจับกุม เกิดจากความเข้าใจผิดล้วนๆ แล้วพลั้งพลาดปืนลั่น นำสู่โศกนาฎกรรม


ขณะกำลังแยกย้าย Vinz และ Saïd ถูกตำรวจควบคุมตัว จากนั้นปืนลั่นใส่ Vinz เสียชีวิต! Hubert ชักปืนขึ้นจ่อ พร้อมเสียงบรรยาย (น่าจะของ Hubert) กล่าวประโยคคล้ายๆเดียวกับตอนต้นเรื่อง ก็เพื่อจะสื่อว่านี่คือหนทางสู่หายนะ สาละวันเตี้ยลง สังคมตกต่ำ สักวันหนึ่งคงพังทลาย
It’s about a society on its way down, and as it falls, it keeps telling itself, “So far so good… so far so good… so far so good.” It’s not how you fall that matters. It’s how you land.
วินาทีสุดท้ายได้ยินเสียงนาฬิกาดัง Tick-Tick สร้างแรงกดดัน เวลา(ชีวิต/ฝรั่งเศส)นับถอยหลัง กล้องเคลื่อนเลื่อนเข้าหา Saïd หลับตาปี๋ ก่อนเสียงปืนลั่น คาดกันว่าคนลั่นไกน่าจะคือ Hubert สื่อถึงจุดแตกหักของบุคคลผู้มีความเฉลียวฉลาด จากเคยรู้จักยับยั้งชั่งใจ แต่เหตุการณ์บังเกิดขึ้นใครกันจะอดกลั้นต่อความอยุติธรรมสังคม … ถ้าคนอย่าง Hubert ใช้ความรุนแรงกับใคร นั่นหมายถึงสถานการณ์เลวร้ายขีดสุด ย่ำแย่เกินเยียวยา

ตัดต่อโดย Mathieu Kassovitz และ Scott Stevenson,
เกาะติดสามหนุ่มชายขอบฝรั่งเศส Vinz, Hubert และ Saïd ดำเนินเรื่องภายในระยะเวลา 1 วัน หลังจากเหตุการณ์จราจลเมื่อค่ำคืน พวกเขาต่างใช้ชีวิตอย่างร่อนเร่เตร็ดเตร่ และต้องเผชิญหน้ากับผลกระทบติดตามมา
- Opening Credit, ร้อยเรียง Archive Footage การปะทะระหว่างตำรวจ vs. ประชาชน
- วันๆของสามสหาย
- Saïd เดินทางกลับมาอพาร์ทเม้นท์ ตะโกนเรียก Vinz ปลุกตื่นเช้าวันใหม่
- Vinz และ Saïd เดินทางไปที่ยิมของ Hubert กำลังซ้อมชกมวย แต่สถานที่แห่งนี้เพิ่งถูกตำรวจกวาดล้างเมื่อค่ำคืน
- Vinz, Saïd และ Hubert ขึ้นไปบนดาดฟ้า พบปะเพื่อนฝูง ก่อนถูกตำรวจขับไล่
- ระหว่างทั้งสามนั่งเล่นสวนสาธารณะ มีนักข่าวพยายามสัมภาษณ์ถามเหตุการณ์เมื่อคืน
- เดินทางไปหาเพื่อนอีกคน แต่ถูกขับไล่ออกมานั่งเรื่อยเปื่อยในสวนสาธารณะ
- เดินทางไปเยี่ยม Abdel Ichaha ที่โรงพยาบาล
- Vinz เปิดเผยว่าตนเองลักขโมยปืนของตำรวจ
- Vinz, Saïd และ Hubert ตั้งใจตะเดินทางไปเยี่ยม Abdel Ichaha ที่โรงพยาบาล แต่ถูกตำรวจกีดขวาง พร้อมจับกุม Saïd
- Vinz, Hubert และเพื่อนตำรวจเดินทางไปโรงพัก ประกันตัว Saïd
- Vinz เปิดเผยว่าพกปืนติดตัวมาด้วย เอาตัวรอดมาอย่างหวุดหวิด
- Hubert กลับมาอพาร์ทเม้นท์
- Vinz, Saïd แอบลักขโมยสิ่งของจากร้านขายของชำ
- Vinz ตัดผมให้ Saïd
- เดินทางสู่กรุง Paris
- Vinz, Saïd และ Hubert พบเจอกันภายในตึกร้างแห่งหนึ่ง ก่อนถูกตำรวจไล่จับ
- เลยขึ้นรถไฟเดินทางสู่กรุง Paris
- ในห้องน้ำสาธารณะ สามหนุ่มพบเจอชายสูงวัยชาว Polish ผู้รอดชีวิตจาก Gulag เล่าเรื่องแฝงข้อคิด
- Vinz, Saïd และ Hubert เดินทางไปทวงเงิน Astérix
- พอลงจากอพาร์ทเม้นท์ Saïd และ Hubert ถูกตำรวจควบคุมตัว, Vinz วิ่งหนีเอาตัวรอดได้หวุดวิด
- Saïd และ Hubert ถูกตำรวจทรมาน จับขัง
- Vinz หนีไปดูหนัง รับชมการต่อยมวย
- ดึกดื่น มุมมืดของฝรั่งเศส
- เที่ยงคืนสามหนุ่มกลับไม่ทันขึ้นรถไฟเที่ยวสุดท้าย
- เที่ยวเล่นในงานแสดงศิลปะรอบดึก
- พยายามลักขโมยรถแต่ไม่สำเร็จ
- สูบบุหรี่บนดาดฟ้า นั่งรับชมหอไอเฟล
- นั่งรอเวลาหน้าห้างสรรพสินค้า
- เผชิญหน้ากลุ่มนักเลงสกินเฮด Vinz เอาปืนจ่อศีรษะ
- ยามเช้าขึ้นรถไฟกลับบ้าน
- Vinz มอบปืนให้กับ Hubert ขณะกำลังแยกย้ายถูกตำรวจล้อมจับ ปืนลั่น
หนังดำเนินเรื่องแบบเส้นตรง (Linear Narratives) จากเหตุการณ์หนึ่งสู่เหตุการณ์หนึ่ง ใช้เพียงข้อความขึ้นบอกเวลา แต่แลดูเหมือนการนับถอยหลัง(เวลา)ชีวิต หายนะกำลังคืนคลาบเข้ามา
เกร็ด: ผกก. Kassovitz พยายามควบคุมตนเองให้ถ่ายทำซีนละไม่เกิน 4 เทค (ประหยัดงบประมาณ) ทำให้มีฟุตเทจทั้งหมดเพียง 10 ชั่วโมง ใช้เวลาสิบกว่าวันก็ตัดต่อได้ความยาว 98 นาที
ในส่วนของเพลงประกอบ นอกจาก Opening-Closing Credit ทั้งหมดล้วนมีลักษณะ ‘diegetic music’ จากศิลปินมีชื่อ (ส่วนใหญ่เป็นศิลปินชาวฝรั่งเศส แต่ก็มีระดับนานาชาติอยู่นิดหน่อย) ได้ยินจากเครื่องเล่น วิทยุ โทรทัศน์ ดังล่องลอยมาจากสักแห่งหนหนึ่ง ผกก. Kassovitz พยายามคัดเลือกบทเพลงที่เนื้อคำร้องสอดคล้องเข้ากับเหตุการณ์ขณะนั้นๆ
Opening Credit ได้ยินบทเพลง Burnin’ and Lootin’ (1973) แต่ง/ขับร้องโดย Bob Marley ท่วงทำนอง Reggae มันอาจฟังดูขัดแย้งกับภาพการชุมนุมประท้วง ปะทะต่อสู้ระหว่างตำรวจ vs. ประชาชน แต่ให้ลองอ่านเนื้อคำร้อง ไม่มีเพลงไหนสอดคล้องเข้ากับหนังไปมากกว่านี้แล้วนะ
This morning I woke up in a curfew
Oh, God, I was a prisoner, too, yeah
Could not recognize the faces standing over me
They were all dressed in uniforms of brutality, heyHow many rivers do we have to cross
Before we can talk to the boss? Yeah
All that we got, it seems we have lost
We must have really paid the costBurnin’ and a-lootin’ tonight
(Say we gonna burn and loot)
Burnin’ and a-lootin’ tonight (one more thing)
Burnin’ all pollution tonight (oh, yeah, yeah)
Burnin’ all illusion tonight
Oh, stop them!Give me the food and let me grow
Let the roots man take a blow, eh
All them drugs gonna make you slow now
It’s not the music of the ghetto, ehyWeeping and a-wailin’ tonight
(Who can stop the tears?)
Weeping and a-wailin’ tonight
(We’ve been suffering these long, long-a years)
Weeping and a-wailin’ tonight
(Will you say cheer?)
Weeping and a-wailin’ tonight (but where?)Give me the food and let me grow
Let the roots man take a blow, eh, I say
All them, all them drugs gonna make you slow
It’s not the music of the ghettoWe gonna be burning and a-looting tonight
(To survive, yeah)
Burning and a-looting tonight
(Save your baby lives)
Burning all pollution tonight
(Pollution, yeah, yeah)
Burning all illusion tonight
(Lord-a, Lord-a, Lord-a, Lord)Burning and a-looting tonight
Burning and a-looting tonight
Burning all pollution tonight
ด้วยความที่บทเพลงส่วนใหญ่เป็นภาษาฝรั่งเศส ผมฟังเนื้อร้องไม่รู้เรื่องเลยไม่ค่อยอยากเขียนถึงสักเท่าไหร่ แต่มันมีบทเพลงหนึ่งที่โคตรๆติดหู Nique La Police แปลว่า Fuck the Police แต่ง/ขับร้องโดย DJ Cut Killer สัญชาติ Moroccan-French ซึ่งมารับเชิญเล่นดีเจ โชว์ลีลาแสครช และระหว่างกล้องกำลังล่องลอยโบยบินไป มีการแทรกใส่บทเพลง Non, je ne regrette rien (1956) [แปลว่า No, I don’t regret anything] ของ Edith Piaf ประมาณว่าฉันไม่เสียใจที่ได้ทำ(ต่อต้านตำรวจ)
มนุษย์ทุกคนล้วนมีความแตกต่าง ก็เหมือนการเมืองซ้าย-ขวา คอมมิวนิสต์-ประชาธิปไตย รัฐบาล-ประชาชน สถานะทางสังคมสูง-กลาง-ต่ำ ทุนนิยมแบ่งชนชั้นรวย-จน ชุมชนเมือง-ชนบท ชาวฝรั่งเศสพื้นเมืองผิวขาว-ผู้อพยพหลายชาติหลากสี ฯ สิ่งเหล่านี้ล้วนก่อให้เกิดความขัดแย้ง โต้ถกเถียง ใช้กำลังรุนแรง … เป็นเรื่องปกติสามัญ!
หนังไม่ได้อธิบายจุดเริ่มต้น ชุมนุมประท้วงเรียกร้องอะไร? เพียงเหมารวมเหตุจราจล การปะทะระหว่างตำรวจ (ตัวแทนรัฐ) vs. ประชาชน นั่นเพราะผู้ชม(ฝรั่งเศส)สามารถรับรู้ได้อยู่แล้ว แทบจะเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต เรื่องปกติในประเทศประชาธิปไตย ประชาชนมีสิทธิ์เสียง เรียกร้องโน่นนี่นั่น ไม่พึงพอใจอะไรก็รวมกลุ่มลงถนน
(ทัศนคติของคนฝั่งซ้าย-ขวา ในเรื่องการชุมนุมประท้วงมีความแตกต่างตรงกันข้าม! เสรีชนยินยอมรับได้เพราะมันคือการเรียกร้องสิทธิ เสรีภาพของประชาชน, ตรงกันข้ามกับฟากฝั่งเผด็จการ+อนุรักษ์นิยม มองว่ามันเป็นเหตุการณ์วุ่นวาย บ่อนทำลายความสงบสุข สร้างความเสียหายให้ประเทศชาติ ต้องควบคุมจัดการขั้นเด็ดขาด)
ปัญหาคือเหตุจราจล การปะทะระหว่างตำรวจ vs. ประชาชน เมื่อฟากฝั่งไหนเอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง ใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุ ทำให้มีผู้บาดเจ็บ-ล้มตาย นั่นคือที่สังคมยินยอมรับไม่ได้!
ความสนใจของผกก. Kassovitz ไม่ใช่เรื่องการชุมนุมประท้วง หรือต้องการจุดชนวนความขัดแย้งระหว่างตำรวจ (ตัวแทนรัฐ) vs. ประชาชน, แต่คือผลกระทบติดตามมา (Aftermath) ที่จักก่อบังเกิดวัฏจักรความรุนแรง (Violence begets Violence) รังเกียจชัง (Hate begets Hate) ตำรวจกระทำร้ายประชาชน ประชาชนกระทำร้ายตำรวจ โต้ตอบกันไปมาไม่รู้จักจบจักสิ้น นั่นคือหนทางสู่หายนะ จุดตกต่ำของมนุษยชาติ
When Makomé died in Paris, the victim of police brutality, I asked myself, ‘How does one get into this vicious cycle of hatred where the young insult the cops who insult the young?’ You can be sure that there’s a bad ending each time. But since it’s the cops who are armed, they’re the ones liable to push things too far.
I wanted to make a provocative film [that] is definitely a statement against the cops. I clearly wanted people to see it that way, even if I show some good guys among the cops and some dirty bastards among the youth.
Mathieu Kassovitz
La Haine radically moved its conception of rebellion far away from the Hollywood stereotype, created in the 1950s and 1960s.
นักวิจารณ์ Kaleem Aftab จาก BBC
ผมสนใจบทความของ BBC กล่าวถึงเหตุผลที่ La Haine (1995) คือหมุดไมล์ของวงการภาพยนตร์(ฝรั่งเศส) ลองนึกถึง Marlon Brando, James Dean, Denis Hooper ภาพยนตร์อย่าง The Wild One (1953), Rebel Without a Cause (1955), Easy Rider (1969) ฯ เหตุผลของวัยรุ่นหัวขบถในยุค 50s-60s เพราะถูกครอบครัว/สังคมกดทับ บีบบังคับให้ทำโน่นนี่นั่น พวกเขาจึงโหยหาอิสรภาพ ต้องการดำเนินชีวิตตามใจฉัน
แต่เมื่อกาลเวลาเคลื่อนผ่าน วัยรุ่นหัวขบถตั้งแต่ทศวรรษ 70s, 80s ไม่ได้แค่โหยหาอิสรภาพของตนเองเพียงอย่างเดียว พวกเขามักครุ่นคิดถึงพวกพ้อง ผองเพื่อน ครอบครัว ประเทศชาติ เวลาสำแดงพฤติกรรมต่อต้านสิ่งใด ต้องการโค่นล้ม ทำลายล้าง เปลี่ยนแปลงทั้งระบบ … กล่าวคือคนรุ่นใหม่ใน Taxi Driver (1976), Norma Rae (1979) ฯ ต่างแสวงหาอุดมการณ์ชีวิต ต้องการทำบางสิ่งอย่างเพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมรอบข้าง “Rebel With Cause”
Rebellion was no longer about personal freedom but about overthrowing the power elites.
และเมื่อกาลเวลาเคลื่อนพานผ่านทศวรรษ 90s, 2000s จนถึงปัจจุบัน คนหนุ่มสาวแม้ยังคงเต็มไปด้วยอุดมการณ์ แต่ก็เริ่มค้นพบว่าความพยายามเหล่านั้นล้วนไร้ค่า เปล่าประโยชน์ ไม่ทางที่ประชาชนตาดำๆจะสามารถเปลี่ยนแปลงอะไร ต่อให้ออกมาชุมนุมเรียกร้อง กดดันจนยุบสภา เปลี่ยนผู้นำประเทศ แต่อีกประเดี๋ยวพวกนักการเมืองคอรัปชั่นรุ่นใหม่ก็หวนกลับมา เวียนวนอยู่เช่นเดิมไม่จบไม่สิ้น ท้ายที่สุดเหลือเพียงโศกนาฎกรรม นำไปสู่การล่มสลายของมนุษยชาติ
You don’t change society in 25 years. You need society to go all the way and collapse, and then you change it. You can’t change a machine that is perfect: capitalism. It’s not good, but it’s perfect.
It’s the last call for our society. If we fuck this up, I give us 50 years max. Fifty horrible years.
Mathieu Kassovitz
เข้าฉายรอบปฐมทัศน์ยังเทศกาลหนังเมือง Cannes เสียงตอบรับดียอดเยียม ได้รับการยืนปรบมือ (Standing Ovation) สามารถคว้ารางวัล Best Director รวมยอดจำหน่ายตั๋วในฝรั่งเศส 2,042,070 ใบ ประมาณรายรับทั่วโลก $15.3 ล้านเหรียญ น่าจะได้กำไรพอสมควร
แม้จะไม่ได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนฝรั่งเศสลุ้นรางวัล Oscar (เรื่องที่ถูกส่งไปคือ French Twist (1995) ไม่ได้ผ่านเข้ารอบใดๆ) แต่สามารกวาดรางวัล César Awards มาหลายสาขา รวมถึงภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแห่งปี
- Best Film **คว้ารางวัล
- Best Producer **คว้ารางวัล
- Best Director
- Best Screenplay
- Best Cinematography
- Best Editing **คว้ารางวัล
- Best Sound
- Most Promising Actor (Vincent Cassel)
- Most Promising Actor (Hubert Koundé)
- Most Promising Actor (Saïd Taghmaoui)
จนถึงปัจจุบัน La Haine (1995) ยังคงอยู่เหนือกาลเวลา เมื่อครั้นตำรวจฆาตกรรม George Floyd ติดกระแส #Black Lives Matter ยิ่งช่วยผลักดัน ยกย่องกล่าวขวัญ หนึ่งในหมุดไมล์วงการภาพยนตร์ฝรั่งเศส
- Empire: The 100 Best Films of World Cinema (2010) ติดอันดับ #32
- Paste Magazine: The 100 Best French Movies of All Time (2023) ติดอันดับ #50
- Forbes: The 30 Greatest French Films Of All Time (2024) ติดอันดับ #25
- TIMEOUT: The 100 Best French Films (2025) ติดอันดับ #40
เกร็ด: ผมยังไม่เคยรับชม Les Misérables (2019) ของ Ladj Ly แต่ได้ยินว่าคือ ‘Spiritual Successor’ ของ La Haine (1995) ไม่รู้จะมีโอกาสเขียนถึงหรือเปล่านะ
ปัจจุบันหนังได้รับการบูรณะ 4K Ultra HD ผ่านการดูแลของตากล้อง Pierre Aïm และอนุมัติโดยผกก. Kassovitz สามารถหาซื้อ Blu-Ray ของค่าย Studio Canel (2020), Criterion Collection (2024) และ BFI Video (2025) … ในวงเล็บคือปีที่จัดจำหน่าย
ส่วนตัวไม่ค่อยชอบหนังที่มีความรุนแรง เต็มไปด้วยความรังเกียจเคียดแค้น ระหว่างรับชมก็หน้านิ่วจนเกิดรอยตีนการะหว่างคิ้ว แต่พอถึงไคลน์แม็กซ์ที่ตัวละครของ Vincent Cassel ทำไม่ลง! มันเป็นเหตุการณ์เปลี่ยนโลกทัศน์ของผมต่อหนังโดยสิ้นเชิง!
ในขณะที่ Do the Right Thing (1989) คือตรรกะบิดๆเบี้ยวๆที่ทั่วโลกต่างตั้งคำถาม เพียงชาวผิวสี African-American ครุ่นคิดว่าตนเองทำในสิ่งถูกต้อง! La Haine (1995) แม้จบลงด้วยโศกนาฎกรรม แต่การกระทำของ Vinz มันคือ ‘Do the Right Thing’
จัดเรต 18+ กับอาชญากรรม ความรุนแรง สภาพสลัม สังคมเสื่อมทราม
พูดถึงประโยค “The world is yours.” แล้วก็คิดได้ว่า เพจนี้ยังไม่เคยเขียนถึง “Scarface” (1983) กับหนังของ “Brian De Palma” เลย มีแค่ Carrie (1976) ที่เขียนไว้นานมาแล้ว
(เรื่องที่น่าสนใจ คือ Carrie (1976) (Revisit ใหม่), Dressed to Kill (1980), Blow Out (1981) ***, Scarface (1983) ***, Body Double (1984) ***, แล้วก็ The Untouchables (1987) เป็นหลัก)
นอกจากนี้ยังชวนให้นึกถึงประโยคดัง “Made it, Ma! Top of the world!” จากหนังแก๊งสเตอร์ อาชญากรรม ฟิล์มนัวร์ “White Heat” (1949) ของ Raoul Walsh แสดงโดย James Cagney กับ Margaret Wycherly ก็เป็นหนังที่น่าเขียนถึงไม่น้อย