
What Made Her Do It? (1930)
: Shigeyoshi Suzuki ♥♥♥♥
เปรียบดั่งประติมากรรมแกะสลัก Venus de Milo แม้สูญเสียแขนสองข้าง แต่ยังมีความงามสมบูรณ์แบบ! What Made Her Do It? (1930) คือโคตรหนังเงียบที่หลายๆฉากสูญหาย แต่ยังมีความทรงพลังตราตรึง แรงระเบิดจากการถูกกดขี่ข่มเหง แผดเผาทำลายทุกสิ่งอย่างราบเรียบหน้ากลอง
ช่วงปลายทศวรรษ 1920s หลังวิกฤตการณ์การเงิน Shōwa Financial Crisis (1927) การเมืองของญี่ปุ่นค่อนไปทางฝั่งขวา อนุรักษ์นิยม กองทัพเข้ามาบริหารประเทศ เตรียมความพร้อมเข้าสู่สงครามแมนจูเรีย ค.ศ. 1931 แม้ฟากฝั่งซ้ายแทบจะไม่สามารถโต้ตอบอะไร แต่ก็มีผู้กำกับภาพยนตร์กลุ่มหนึ่งลุกขึ้นสรรค์สร้างหนังแนว 傾向映画 อ่านว่า Keikō-Eiga แปลอังกฤษ Tendency Film หรือ Proletarian Films
Tendency Film มักเป็นหนังแนว Melodrama นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับชนชั้นล่าง (Lower Class) กรรมกรแรงงาน (Working Class) ต้องต่อสู้ดิ้นรน ทนทุกข์ทรมาน ไร้งาน ไร้เงิน ไร้บ้านพักอาศัย ถูกกดขี่ข่มเหงจากชนชั้นสูงกว่า เต็มไปด้วยความเก็บกด อัดอั้น พร้อมระเบิดระบายอารมณ์คลุ้มบ้าคลั่ง ต่อต้านระบบสังคมญี่ปุ่นสมัยนั้น … เมื่อตอนออกฉาย What Made Her Do It? (1930) เห็นว่าสร้างความเกรี้ยวกราดให้ผู้ชม ถึงขนาดมีการลุกฮือ ก่อการจราจล คล้ายๆแบบเดียวกับ Battleship Potemkin (1925) และ Mother (1926)
น่าเสียดายที่หนังแนว Tendency Film ส่วนใหญ่ล้วนหายสาปสูญ (Lost Film) อาทิ A Living Puppet (1929) กำกับโดย Tomu Uchida, Tokyo March (1929) & Metropolitan Symphony (1929) กำกับโดย Kenji Mizoguchi, Behold This Mother (1930) กำกับโดย Tomotaka Tasaka, แต่โชคยังดีที่ผลงานได้รับการยกย่องกล่าวขวัญ ประสบความสำเร็จสูงสุดอย่าง What Made Her Do It? (1930) หลงเหลือรอดมาจนถึงปัจจุบัน
จริงๆแล้ว What Made Her Do It? (1930) ก็เคยหายสาปสูญ (Lost Film) เนื่องจากสตูดิโอผู้สร้าง Teikoku Kinema Engei ถูกไฟไหม้วอดวายเมื่อเดือนกันยายน ค.ศ. 1930 ทำให้ฟีล์มเนกาทีฟต้นฉบับไม่หลงเหลือเศษซากชิ้นดี (ฟีล์มไนเตรตสมัยก่อนติดไฟง่าย) แล้วพอสตูดิโอล้มละลายปีถัดมา ฟีล์มหลงเหลือไม่มีใครเก็บรักษา หลังสงครามโลกครั้งที่สองก็ไม่สามารถติดตามหาหนังได้อีกต่อไป
จนกระทั่งปี ค.ศ. 1992 มีการค้นพบเจอฟีล์มหนังเรื่องนี้อยู่ในคลังเก็บ Gosfilmofond ณ กรุง Moscow แต่เพราะมีการตัดต่อใหม่ (ให้เหมาะกับผู้ชมชาวรัสเซีย) มันจึงหลงเหลือไม่ครบหมด ถึงอย่างนั้นก็เพียงพอให้คนรุ่นหลังมีโอกาสชื่นเชยชมผลงาน (Almost) Lost Masterpiece
เกร็ด: โปสเตอร์หนังผมใช้ Google AI Studio ปรับปรุงคุณภาพให้ดูดีขึ้น และถ้าคุณอ่านภาษาญี่ปุ่นออก มันจะมีมีข้อความสปอยเอาไว้พอสมควร
Based on a classic novel… What drove her to impulse? It calls out to society… Ah, fateful! Born under grim reality, she lived a life of agony and swirling torment. One after another, events bewildered her towards her fate… What made her do it?
Shigeyoshi Suzuki, 鈴木重吉 (1900-76) ผู้กำกับภาพยนตร์ สัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Tokyo สำเร็จการศึกษาจาก Meiji University แล้วเข้าทำงานสตูดิโอ Shōchiku เริ่มจากพัฒนาบทหนัง กำกับภาพยนตร์เรื่องแรก Tsuchi ni kagayaku (1926) [สูญหายไปแล้ว], ก่อนย้ายมา Teikoku Kinema Engei เมื่อปี ค.ศ. 1929
ความสำเร็จของ A Living Puppet (1929) และ Metropolitan Symphony (1929) หนังแนว Tendency film ของสตูดิโอ Nikkatsu สร้างความสนอกสนใจให้โปรดิวเซอร์ Yoshitaro Yamakawa, 山川 吉太郎 ผู้ก่อตั้งสตูดิโอ Teikoku Kinema Engei, 帝国キネマ演芸 อยากสร้างภาพยนตร์ที่มีลักษณะเคลือบแฝงประเด็นการเมืองฝั่งซ้าย (Leftism) อุดมคติสังคมนิยม (Socialist Ideology)
ผกก. Suzuki จึงเลือกดัดแปลงบทละคอนหกองก์ 何が彼女をそうさせたか อ่านว่า Nani ga Kanojo o sō Saseta ka ชื่ออังกฤษ That Girl Sumiko, What Made Her Do It? ตีพิมพ์ลงนิตยสาร Kaizo ระหว่างเดือนมกราคม – เมษายน ค.ศ. 1927 และทำการแสดงรอบปฐมทัศน์ ณ Tsukiji Little Theater วันที่ 15 เมษายน ค.ศ. 1927
เรื่องราวของหญิงสาวแรกรุ่น Sumiko Nakamura (รับบทโดย Keiko Takatsu) ถูกมารดาทอดทิ้ง บิดาส่งตัวให้ไปอยู่กับลุงโดยไม่บอกกล่าวว่าจะกระทำอัตวินิบาต พอมาถึงจึงถูกขายต่อให้คณะละครสัตว์ บีบบังคับใช้แรงงานหนัก เลยตัดสินใจหลบหนีพร้อมเพื่อนชายรุ่นราวคราวเดียวกัน Shintarō ก่อนมีเหตุให้ต้องพลัดพราก กลายเป็นหัวขโมย ตำรวจจับกุมตัว ส่งไปพำนักสถานสงเคราะห์ ทำงานสาวใช้บ้านเทศมนตรี เกือบถูกครูสอนดนตรีข่มขืนกระทำชำเรา ฯ ชีวิตพานผ่านสารพัดเหตุการณ์เลวร้าย โชคชะตานำพาให้หวนกลับมาพบเจอ Shintarō วางแผนฆ่าตัวตายคู่ บังเอิญรอดชีวิต ส่งตัวเข้าพึ่งพาเยซูคริสต์ แล้วจุดไฟเผาโบสถ์มอดไหม้วอดวาย
Keiko Takatsu, 高津慶子 ชื่อจริง Motoko Ikeda, 池田 本子 (1912-) นักแสดงสัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Osaka พออายุหกขวบครอบครัวย้ายมา Tokyo วัยเด็กชื่นชอบการเต้น ฝึกฝนสไตล์ Hanayagi (花柳) โตขึ้นเข้าร่วมคณะการแสดง Osaka Shochiku Revue Company (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น Osaka Shochiku Girls’ Theater Company (OSSK)) แล้วมีโอกาสเซ็นสัญญาสตูดิโอ Teikoku Kinema Engei แสดงหนังเรื่องแรก Koi no Jazz (1929), ก่อนโด่งดังพลุแตกกับ What Made Her Do It? (1930)
รับบท Sumiko Nakamura โดยไม่รู้ตัวถูกบิดาทอดทิ้ง กลายเป็นเด็กกำพร้า สูญเสียโอกาสทางการศึกษา ใครต่อใครต่างกดขี่ข่มเหง ควบคุมครอบงำ บีบบังคับให้ทำโน่นนี่นั่น เต็มไปด้วยความเก็บกด อัดอั้น เคยพยายามฆ่าตัวตายกลับรอดชีวิตมาได้ เมื่อถึงขีดสุดความอดกลั้น จึงระเบิดระบายอารมณ์คลุ้มบ้าคลั่ง เผาทำลายทุกสิ่งอย่างมอดไหม้วอดวาย
ใบหน้าของ Takatsu ปกคลุมด้วยความซึมเศร้า หม่นหมอง ไร้ความสดใส เต็มไปด้วยความอึดอัดอั้นตันใจ ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงประสบพบเจอเรื่องร้ายๆ หลายครั้งเข้าจึงเกิดความเหนื่อยหน่าย อ่อนล้าทั้งร่างกาย-จิตใจ จนไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป
การแสดงของ Takatsu ชวนให้ผมนึกถึง Lilish Gish (Broken Blossoms (1919), Way Down East (1920), Orphans of the Storm (1921) ฯ) ต่างเป็นหญิงสาวตัวเล็กๆ บริสุทธิ์ไร้เดียงสา ไม่เคยกระทำสิ่งชั่วร้ายใดๆ แต่ถูกกดข่มเหงจากทุกสรรพสิ่งอย่างรอบข้าง ผู้ชมสัมผัสได้ถึงอารมณ์อัดอั้น ลุ่มร้อนทรวงใน ก่อนมอดไหม้วอดวาย ตั้งคำถามทำไมโลกใบนี้ช่างโหดร้าย?
ความสำเร็จในชั่วข้ามคืนน่าจะทำให้ Takatsu กลายเป็นนักแสดงระดับซุปตาร์ แต่ทว่าผลงานส่วนใหญ่ของเธอล้วนสูญหาย (Lost Film) และพอแต่งงานก็ค่อยๆเลือนหายจากวงการ หลงเหลือเพียงตำนานลือเล่าขาน … ถึงขนาดไม่มีใครรับรู้ว่าเธอเป็นตายร้ายดี ยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า แต่ก็น่าจะเสียชีวิตไปแล้วละ
ถ่ายภาพโดย Seiji Tsukakoshi, 塚越成治
งานภาพของหนังแพรวพราวด้วยลูกเล่นภาพยนตร์ เต็มไปด้วยมุมก้ม-เงย เอียงๆเฉียงๆ กล้องเคลื่อนเข้า-ออก แพนนิ่ง วิปแพน และที่พบเห็นบ่อยคือการร้อยเรียงชุดภาพเหตุการณ์จากทิศทางต่างๆ รับอิทธิพลจาก Soviet Montage มาไม่น้อยทีเดียว (แต่หนังจากสหภาพโซเวียตอย่าง Battleship Potemkin (1925) และ Mother (1926) ถูกแบนห้ามฉายในญี่ปุ่น นอกเสียจากลักลอบแอบนำเข้ามา)
เรื่องราวของ Sumiko ไม่ใช่ว่าเธอประสบเหตุการณ์ร้ายๆตลอดเวลา พบเจอคนดีๆก็พอมีอย่างคนขับรถเจ๊ก (Ricksaw) ให้ทั้งอาหาร สถานที่ซุกหัวนอน แอบยัดเงินใส่กระเป๋า และขับรถลากพาไปส่งถึงเป้าหมายปลายทาง … แต่เหตุการณ์นี้เหมือนลูบหัวแล้วตบหลัง เริ่มต้นด้วยมนุษย์ธรรมสูงส่ง ก่อนมาถึงทางแยกสรวงสวรรค์-ขุมนรก


ในตอนแรกสองลุงป้า ทำหน้าเบ้เมื่อพบเห็น Sumiko นี่ฉันต้องเลี้ยงลูกอีกคนหรือนี่? แต่พอเห็นเงินหล่นจากซองจดหมายก็ตาลุกโพลง เกิดการต่อสู้แก่งแย่ง (ตัดสลับกับภาพทารกร้องลั่น ช่างเป็นหนังเงียบที่ดังกึกก้อง) จากนั้นแสร้งทำเป็นยินดีต้อนรับหลานสาว ก่อนสำแดงสันดานธาตุแท้
ปล. ลีลาการตัดต่อซีเควนซ์นี้ ใครรู้จัก Kuleshov effect ก็น่าจะทำความเข้าใจภาษาภาพยนตร์ได้ไม่ยาก

หลังถูกขายต่อคณะละครสัตว์ Sumiko กลายเป็นเป้านิ่งสำหรับขว้างมีดบิน (น่าจะเป็น Reverse Motion ไม่ได้เขวี้ยงขว้างกันจริงๆ) ไม่สามารถขยับเคลื่อนไหว ครุ่นคิดทำอะไรๆได้ด้วยตนเอง พยายามไหว้วานร้องขอให้เจ้าของคณะพากลับบ้าน กล้องถ่ายเอียงๆเฉียงๆ มุมก้ม-เงย สำแดงความมีอำนาจบาดใหญ่ และบุคคลอยู่ภายใต้อาณัติ
ไม่ใช่แค่ระหว่างนายจ้าง-ลูกจ้าง แต่ยังเพื่อนสมาชิกด้วยกันเองยังมีแบ่งพรรคแบ่งพวก นักแสดงคนนี้ทำกระเป๋าสตางค์หล่นหาย ครุ่นคิดว่าเด็กใหม่ Sumiko เป็นคนลักขโมยจึงลงโทษทัณฑ์ ฉันมีหัวหน้าคณะคอยหนุนหลัง เลยไม่หวาดกลัวเกรงอะไรใครทั้งนั้น




ยุคสมัยนั้นไม่แน่ใจว่ามีคำเรียก ‘Rat Race’ แล้วหรือยัง? แต่เจ้าหนูวิ่งอยู่ในวงล้อ แล้วต่อด้วยภาพการแสดงกายกรรมกระโดดม้วนตัว นี่เป็นการเปรียบเทียบชีวิตเวียนวนกลม จมปลักอยู่ในวังวน (ของชนชั้นแรงงาน/รากหญ้า) จำต้องต่อสู้ดิ้นรน ไร้หนทางออกสู่อิสรภาพ แบบเดียวกับหญิงสาว Sumiko แม้สามารถหลบหนีจากคณะละครสัตว์ กลับยังมีเรื่องราวลักษณะคล้ายๆกันนี้เกิดขึ้นเวียนวน ไม่รู้จักจบจักสิ้น

ภาพนี้ที่ดูมืดๆเพราะฟีล์มเสื่อมสภาพ แต่มันกลับช่วยสร้างบรรยากาศการร่ำลาระหว่าง Sumiko นั่งพักข้างทาง แล้วเพื่อนชายที่ร่วมหลบหนี Shintarō บอกว่าจะไปแค่แปปเดียว แต่การตั้งกล้องแล้วเขาวิ่งห่างออกไป สร้างสัมผัสการร่ำลาจากไกล ไม่รู้จะมีโอกาสพบเจอกันอีกเมื่อไหร่ … ซึ่งมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ

ซับไตเติ้ลใช้คำว่า Poor House แต่ผมขอเรียกสถานสงเคราะห์ดีกว่า บุคคลที่ถูกส่งมาอาศัยอยู่มักคือผู้หญิงและผู้สูงวัย ซึ่งก็ไม่ใช่ว่าอยู่เฉยๆ ต้องทำงานแพ็กของใส่กล่อง มันจะมีต้องกล้อง Whip Pan แล้วเคลื่อนเลื่อนเข้าหาชายคนหนึ่ง นั่นน่าจะคือผู้ดูแล/รักษาความปลอดภัย ไม่ให้ใครเข้าออก นี่มันต่างอะไรกับห้องขัง/เรือนจำ

Sumiko ถูกส่งไปทำงานเป็นสาวใช้ของ Yoshio Akiyama บุตรสาวของเทศมนตรี (Town Councillor) ด้วยความที่เพิ่งมาใหม่ เลยยังไม่รู้การรู้งานอะไร ตกเป็นแพะรับบาปว่าไม่ได้แกะก้างปลา ซึ่งระหว่างก้างติดคอนายจ้าง มีการร้อยเรียงภาพพระสังกัจจายน์ อรหันต์แห่งความอุดมสมบูรณ์ แต่รูปร่างอ้วนท้วนยังสามารถสื่อถึงการบริโภคที่ไม่รู้จักขอบเขต หรือการโกยกิน(คอรัปชั่น)จนอิ่มหนำสำราญ


ดูแล้วน่าจะเพิ่งเริ่มทำงานไม่ถึงวัน Sumiko ก็ถูกส่งตัวกลับสถานสงเคราะห์ นั่งอยู่ตัวคนเดียวในห้อง กล้องค่อยๆเคลื่อนถอยหลัง จากนั้นบานประตูเลื่อนปิด (นี่น่าจะเป็นห้องขัง) ภายนอกหิมะตกหนัก อากาศหนาวเหน็บ สภาพจิตใจเธอก็คงเฉกเช่นเดียวกัน!

ซีเควนซ์ที่ Sumiko ทำงานที่บ้านครูสอนดนตรี มีการละเล่นกับกรอบห้อมล้อม ประตู/หน้าต่าง ดูมีความลับๆล่อๆ เหมือนต้องการปกปิดซ่อนเร้นอะไรบางอย่าง และการมาถึงของ Shintarō สร้างความอิจฉาริษยาให้เจ้าของบ้าน ล็อกกุญแจทางเข้า ทำเหมือนพยายามจะข่มขืนกระทำชำเรา … ผมครุ่นคิดถึงบรรดาลูกเล่นภาพยนตร์เหล่านี้ เหมือนต้องการซุกซ่อนความสัมพันธ์แท้จริงระหว่าง Sumiko กับครูสอนดนตรี มีความเป็นไปได้ว่าทั้งสองอาจอยู่กินฉันท์สามี-ภรรยา
(ยุคสมัยนั้นมันกล่าวถึงประเด็นนี้ตรงๆไม่ได้ เลยใช้ลูกเล่นเหล่านี้ซุกซ่อนบางสิ่งอย่างให้ผู้ชมขบครุ่นคิดจินตนาการ)



ค่ำคืนนี้ที่มีโอกาสหวนกลับมาพบเจอ Shintarō และหลังจากครูสอนดนตรีพยายามจะข่มขืนกระทำชำเรา Sumiko จึงตัดสินใจหนีออกจากบ้าน โทรศัพท์หาเขา นั่งคุยกันจนเช้า จากฝนตกหนักกลายมาเป็นฟ้าแลบ มันเหมือนสภาพอากาศ/สรวงสวรรค์ไม่เต็มใจให้ทั้งสองได้(มีความสุข)ร่วมกัน

การได้อาศัยอยู่กับ Shintarō คงเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขที่สุดแล้วกระมังของ Sumigo ตระเตรียมอาหาร เหม่อมองเห็นหญิงสาวสวมใส่ชุดแต่งงานฟากฝั่งตรงข้าม แต่นั่นคือการหลอกลวงผู้ชม (ลูบหัวแล้วตบหลัง) พอกล้องเคลื่อนถอยหลัง เขากลับมาถึงห้องด้วยข่าวร้าย ไม่มีใครว่าจ้างงาน … ความสุขเล็กๆแปรสภาพเป็นทุกข์ทรมานโดยพลัน!


ถ้าไม่มีข้อความ moonlit (แปลว่าแสงจันทร์) ผมคงครุ่นคิดว่านี่คือพระอาทิตย์กำลังจะตกดิน มันคือข้อจำกัดของหนังยุคสมัยนั้นที่ไม่สามารถถ่ายฉากกลางคืน เพียงฟิลเลอร์ Day for Night หนุ่ม-สาวรู้สึกหมดสิ้นหวังชีวิต เลยตัดสินใจครุ่นคิดสั้น วางแผนฆ่าตัวตายคู่ (Double Suicide)
พวกเสาไม้(ที่เหมือนกางเขน)ปักอยู่เต็มชายหาด ชวนให้ผมนึกถึงโคตรหนังเงียบ Nosferatu (1922) ที่ก็มีฉากคล้ายๆกันนี้ เพื่อสร้างสัมผัส German Expressionism ให้เกิดขึ้นกับสถานที่จริง! … ในบริบทของ What Made Her Do It? (1930) คือทำให้ชายหาดแห่งนี้ราวกับสถานที่คาบเกี่ยวระหว่างชีวิต vs. ความตาย




หนังที่ถูกส่งออกไปสหภาพโซเวียตจบลงด้วย Sumiko หันเข้าหาศาสนา ละทอดทิ้งความวุ่นๆวายๆทางโลก แต่ความตั้งใจแท้จริงของผกก. Suzuki จากข้อความปรากฎขึ้นหลังจากนั้น Sumiko ถูกแม่อธิการพยายามบีบบังคับให้พูดสารภาพความผิดต่อหน้าคนอื่น นั่นทำให้เธอรู้สึกอับอาย รับไม่ได้ ลุกขึ้นกล่าวคำสาปแช่ง (Damnation) “God love is a lie! It’s all lies!” ค่ำคืนนั้นจุดไฟเผาโบสถ์ ทุกคนวิ่งหลบหนีอลม่าน แม่อธิการคือคนแรกหลบหนีออกมาพร้อมสิ่งข้าวของมีค่า … นี่นะหรือการละทางโลก อุทิศตนเพื่อศาสนา?

ตัดต่อไม่มีเครดิต, ดำเนินเรื่องผ่านมุมมองของ Sumiko เริ่มต้นเดินทางไปหาลุงโดยไม่รับรู้ตัวว่าบิดาทอดทิ้ง/ฆ่าตัวตาย จากนั้นพานผ่านสารพัดเหตุการณ์เลวร้าย ถูกขายต่อให้คณะละครสัตว์ กลายเป็นหัวขโมยก่อนโดนจับ ทำงานรับใช้คนรวย เกือบถูกนายจ้างข่มขืน พยายามจะฆ่าตัวตาย ก่อนเผาทำลายทุกสิ่งอย่าง
ต้นฉบับบทละคอนของ Seikichi Fujimori มีการแบ่งเรื่องราวออกเป็น 6 องก์ 9 ซีน ซึ่งฉบับหนังเงียบเรื่องนี้เราก็สามารถแบ่งเรื่องราวออกเป็นตอนๆ หญิงสาวพานผ่านสารพัดเหตุการณ์ร้ายๆ ประกอบด้วย
- (ฟีล์มสูญหาย) Sumiko เดินทางมาถึงโดยรถไฟ ไม่รู้จะไปทางไหนต่อ
- Sumiko ได้รับความช่วยเหลือจากคนขับรถเจ๊ก ค่ำคืนนี้มีที่ซุกหัวนอน ก่อนวันถัดมาพาไปส่งยังบ้านของลุง
- พอมาถึงบ้านลุงที่ Nitta พบเห็นลูกๆหลานๆเต็มบ้าน ปากบอกจะรับเลี้ยง ส่งร่ำเรียนหนังสือ กลับขายต่อให้คณะละครสัตว์
- ทำงานคณะละครสัตว์ ถูกกดขี่ข่มเหงสารพัด
- ก่อนตัดสินใจหลบหนีร่วมกับ Shintarō ก่อนมีเรื่องให้ต้องพลัดพรากแยกจาก
- (ฟีล์มสูญหาย) Sumiko เข้าร่วมกลุ่มอาชญากร กลายเป็นหัวขโมย ก่อนถูกตำรวจจับกุม
- Sumiko อาศัยอยู่ในสถานสงเคราะห์
- Sumiko ไปทำงานเป็นสาวใช้บ้านของคนรวย ขัดแย้งนายจ้าง เลยถูกไล่ออก
- ทำงานบ้านครูสอนดนตรี Biwa ก่อนถูกอีกฝ่ายพยายามข่มขืน
- ตัดสินใจหลบหนีมาอยู่กับ Shintarō พยายามหาการหางานแต่ไม่สำเร็จ เลยวางแผนฆ่าตัวตายคู่
- Sumiko รอดตายอย่างหวุดหวิดถูกส่งไปโบสถ์คริสต์ ขัดแย้งแม่อธิการ
- (ฟีล์มสูญหาย) Sumiko แสดงอาการคลุ้มคลั่ง ตัดสินใจเผาโบสถ์คริสต์
ลีลาการตัดต่อรับอิทธิพลจาก Soviet Montage ทั้งการร้อยเรียงชุดภาพ, ตัดสลับกลับไปกลับมา (Kuleshov effect) สร้างความตื่นตาตื่นใจ ช่วยให้หนังมีความทรงพลังตราตรึง
What Made Her Do It? (1930) ชื่อหนังอาจพยายามตั้งคำถามว่าหญิงสาวทำสิ่งนั้นไปทำไม? แต่ก่อนอื่นเราควรต้องหาคำตอบให้ได้ก่อนว่าเธอทำอะไร? หลบหนีจากคณะละครสัตว์? กลายเป็นหัวขโมย? แสดงอคติต่อหัวหน้าคนใช้? พยายามฆ่าตัวตาย? หรือจุดไฟเผาโบสถ์คริสต์?
มันอาจดูเหมือนมีหลากหลายคำถาม แต่เราสามารถจับใจความ ทำไมหญิงสาวถึงมีพฤติกรรมหัวขบถ? กระทำสิ่งต่อต้านสังคม? จากนั้นถึงค้นพบคำตอบของชื่อหนัง เพราะเธอถูกกดขี่เหง ควบคุมครอบงำ ใครต่อใครพยายามบีบบังคับให้ทำในสิ่งไม่อยากทำ จึงเต็มไปด้วยความเก็บกดอัดอั้น เมื่อถึงขีดสุดความอดกลั้น จึงระเบิดระบายอารมณ์คลุ้มบ้าคลั่ง
สารพัดสิ่งที่หญิงสาวถูกกดขี่ข่มเหง สามารถไล่เรียงจากสถาบันครอบครัว ลูกจ้าง-นายจ้าง (คณะละครสัตว์) สถานะทางสังคม (บ้านเทศมนตรี, ครูสอนดนตรี Biwa) กฎหมายบ้านเมือง (ตำรวจจับกุมอาชญากร) รวมถึงความเชื่อศรัทธาศาสนา, แต่สังเกตว่าหนังจงใจไม่กล่าวถึงประเด็นการเมือง (เพราะถ้าแทรกใส่เข้ามาคงถูกแบนห้ามฉายอย่างแน่นอน!) ถึงอย่างนั้นมันกลับมีความชัดเจน เพราะเรื่องราวทั้งหมดสามารถเหมารวมการใช้อำนาจบาดใหญ่ ญี่ปุ่นสมัยนั้นกำลังเปลี่ยนผ่านสู่รัฐบาลทหาร เข้ามาควบคุมครอบงำทุกสิ่งอย่าง
อีกสิ่งหนึ่งที่หนังสำแดงออกอย่างชัดเจนก็คือ อคติต่อระบบทุนนิยม (Anti-Capitalism) บิดาฆ่าตัวตายเพราะไม่อันจะกิน หญิงสาวถูกลุงขายต่อให้คณะละครสัตว์ เพื่อนร่วมงานกล่าวหาว่าเธอลักขโมยเงิน นายจ้างอุ๊บอิ๊บค่าแรง โดยเฉพาะซีเควนซ์ทำงานสาวใช้บ้านเทศมนตรี พบเห็นความไม่เท่าเทียมระหว่างชนชั้นทางสังคม การมีเงินสามารถซื้อชีวิตสุขสบาย ผิดกันคนจนข้าวปลายังแทบไม่มีอันจะกิน … นี่เป็นสิ่งชนชั้นบนๆไม่มีทางเข้าใจความทุกข์ยากลำบากของคนระดับรากหญ้า
การสำแดงอคติต่อทุนนิยม ยังคือการโอบรับแนวคิดสังคมนิยม (Socialism) ระบบสังคมและเศรษฐกิจซึ่งมีลักษณะ “สังคมเป็นเจ้าของ” ทั้งปัจจัยการผลิตและจัดการเศรษฐกิจแบบร่วมมือ สำหรับตอบสนองอุปสงค์ทางเศรษฐกิจและความจำเป็นของมนุษย์โดยตรง และระบุคุณค่าวัตถุตามคุณค่าการใช้ประโยชน์หรืออรรถประโยชน์ ซึ่งตรงข้ามกับการผลิตมาเพื่อสะสมทุนและกำไร … อุดมคติสังคมนิยมอาจฟังดูเลิศหรูสมบูรณ์แบบ แต่ในทางปฏิบัติก็ยังคงเกิดการแบ่งแยก เล่นพรรคเล่นพวก กดขี่ข่มเหงบุคคลต่ำต้อยด้อยค่าไม่แตกต่างกัน
สุดท้ายแล้วไม่ว่าระบบ/ระบอบไหน ประชาธิปไตย/สังคมนิยม ปัญหาแท้จริงล้วนเกิดจากมนุษย์ผู้มีความละโมบโลภมาก อยากครอบครองเป็นเจ้าของ โหยหาชื่อเสียงเงินทอง กระทำสิ่งตอบสนองตัณหาความใคร่ … ในมุมของผมนั้น What Made Her Do It? (1930) ทุกสรรพสิ่งอย่างที่หญิงสาวประสบพบเจอนั้น ไม่ได้เกิดจากระบบ/ระบอบ สถานะชนชั้น สังคม การเมือง ศาสนา หรือปัจจัยภายนอกใดๆ แต่คือโลภ-โกรธ-หลง ความคอรัปชั่นภายในจิตใจมนุษย์ล้วนๆ
เมื่อตอนหนังเข้าฉาย What Made Her Do It? (1930) ได้สร้างปรากฎการณ์หลายสิ่งอย่าง ยืนโรงยาวนานห้าเดือนที่ Asakusa, สองเดือนเต็ม Osaka ฯ เชื่อกันว่าน่าจะเป็นหนังเงียบประสบความสำเร็จทำเงินสูงสุดตลอดกาลในญี่ปุ่น และได้รับเลือกจากนิตยสาร Kinema Junpo ให้เป็น Best Film of the Year แห่งปี ค.ศ. 1930
เกร็ด: เมื่อตอนเข้าฉายที่ Asakusa มีรายงานว่าผู้ชมมีการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ระหว่างรับชม อย่างกระทืบเท้า ตะโกนด่า “Down with Capitalism!” และพอออกจากโรงหนังมีการจราจล จนตำรวจต้องเข้าควบคุมสถานการณ์
ความสำเร็จของ What Made Her Do It? (1930) ทำให้มีการบันทึกเสียง ใส่เพลงประกอบ รวมถึงถ่ายทำฉากสุดท้ายใหม่ เพื่อให้นักแสดงพูดระบายอารมณ์อัดอั้นออกมา [ฟีล์มสูญหายไปแล้ว] และยังสร้างภาคต่อ 何が彼女を殺したか อ่านว่า Nani ga Kanojo o Koroshita ka แปลตรงตัว What killed her? (1931) หลังหญิงสาวได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำ ยังคงใช้ชีวิตอย่างไร้หลักแหล่ง เข้าทำงานโรงงานจักรกล ประสบอุบัติเหตุแขนขาด ก่อนกระทำอัตวินิบาตอีกรอบด้วยการกระโดดให้รถไฟพุ่งชน แต่คราวนี้น่าจะตายจริงๆแล้วละ … ได้รับการโหวตจากนิตยสาร Kinema Junpo ติดอันดับ #7 ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแห่งปี แต่ฟีล์มสูญหายไปแล้วเช่นกัน!
ถึงหนังเรื่องนี้จะประสบความสำเร็จล้นหลาม เอาเข้าจริงกลับไม่ได้สร้างประโยชน์ให้ฝั่งซ้ายสักเท่าไหร่ แต่กลับกลายเป็นพวกนักเมืองฝั่งขวาเล็งเห็นโอกาสในการส่งเสริมสร้างภาพยนตร์ชวนเชื่อ (Propaganda) รักชาตินิยม (Patriotic Film) แล้วทำการเซนเซอร์หนัง(ของฝ่ายซ้าย)อย่างเนียนๆ
หลังจากสตูดิโอผู้สร้าง Teikoku Kinema Engei ถูกไฟไหม้วอดวายเมื่อค่ำคืนวันที่ 30 กันยายน ค.ศ. 1930 ทำให้ฟีล์มเนกาทีฟไม่ใช่แค่ของ What Made Her Do It? (1930) แต่ยังบรรดา Tendency Film ไม่หลงเหลือเศษซากชิ้นดี แล้วพอสตูดิโอล้มละลายปีถัดมา ก็หลงเหลือเพียงฟีล์มออกฉายตามโรงภาพยนตร์ ทิ้งๆขว้างๆ หลังสงครามโลกครั้งที่สองก็ไม่สามารถติดตามหาหนังได้อีกต่อไป
เมื่อปี ค.ศ. 1992, Teruo Yamakawa (หลานของ Yoshitaro Yamakawa ผู้ก่อตั้งสตูดิโอ Teikoku Kinema Engei) ได้ค้นพบฟีล์มหนังเรื่องนี้อยู่ในคลังเก็บของ Gosfilmofond State Film Archive เป็นฉบับที่เชื่อกันว่านักข่าวชาวญี่ปุ่น Ippei Fukuro เคยนำเข้าฉายสหภาพโซเวียต (เพราะมีอุดมการณ์ Socialist คล้ายๆกัน) แล้วทำการตัดทิ้งบางฉาก ใส่ซับตอกภาษารัสเซีย เสร็จแล้วก็มอบฟีล์มเก็บไว้ที่กรุง Moscow หลงเหลือมาถึงปัจจุบัน
Yamakawa ขอซื้อฟีล์มหนังดังกล่าวกลับญี่ปุ่น แล้วติดต่อ National Film Archive of Japan (ขณะนั้นยังเป็นส่วนหนึ่งของ National Museum of Modern Art, Tokyo) ขอให้ช่วยทำการบูรณะ แต่ได้รับคำตอบปฏิเสธเพราะมองว่านี่เป็นทรัพย์สินส่วนบุคคล จนกระทั่งผ่านการตรวจสอบ ยืนยันว่าคือฟีล์มหนัง What Made Her Do It? (1930) ถึงได้รับการบูรณะซ่อมแซมโดย Osaka University of Arts
แต่หนังยังมีอีกปัญหาคือฉากที่ถูกตัดทิ้งไป ไม่มีใครรู้ว่าประกอบด้วยอะไรบ้าง โชคดีว่าผู้กำกับ Shigeyoshi Suzuki ได้เคยเขียนนวนิยาย (คาดว่าดัดแปลงมาจาก Shooting Script ของหนัง) ทำให้ค้นพบรายละเอียดที่ขาดหาย แทรกใส่คำอธิบายเพิ่มเติมเข้าไป เสร็จสิ้นออกฉายรอบปฐมทัศน์ใหม่ที่ Osaka ช่วงเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1994
ปัจจุบันหนังกลายเป็นสมบัติสาธารณะ (Public Domain) ยังไม่มีข่าวคราวการบูรณะรอบใหม่ สามารถหารับชมทาง Youtube และ Archive.org คุณภาพไฟล์ไม่ได้ดีมาก แต่ก็พอทนดูได้อยู่
แม้หนังจะสูญเสียฉากสำคัญๆไปพอสมควร แต่ผมยังสัมผัสถึงพลังการแสดง สารพัดลูกเล่นภาพยนตร์ อารมณ์เก็บกด อัดอั้น หญิงสาวพานผ่านสารพัดเหตุการณ์ถูกกดขี่ข่มเหง สภาพสังคมอันฟ่อนเฟะ เน่าเละเทะ จนเมื่อถึงจุดแตกหัก มิอาจอดกลั้นฝืนทน ถ้าฉากจุดไฟเผาโบสถ์ Garden of Angels หลงเหลืออยู่นะ ผู้ชมสมัยใหม่ก็อาจถึงขั้นหดหู่ ล้มป่วยซึมเศร้าเลยก็เป็นได้
จัดเรต 18+ กับความรันทดชีวิต
Leave a Reply