Double Suicide

Double Suicide (1969) Japanese : Masahiro Shinoda ♠♠♠♠♠

ในยุคสมัย Edo Period (1600-1868) มีกระแสนิยมบทละครเกี่ยวกับคู่รักร่วมกันกระทำอัตวินิบาต (心中, Shinjū แปลว่า Double Suicide) นี่ไม่ใช่แค่เครื่องพิสูจน์ความรักนิรันดร์ แต่ยังคือการสำแดงความหัวขบถ ต่อต้านขนบวิถี ประเพณีวัฒนธรรม สังคมและการเมืองอย่างถึงที่สุด

ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เคร่งครัดในเรื่องขนบวิถี ประเพณีวัฒนธรรม สังคมกำหนดกฎกรอบอะไรไว้ก็ต้องปฏิบัติตามนั้น แต่เรื่องความรักมันหักห้ามใจกันได้เสียที่ไหน คู่รักส่วนใหญ่ที่ฆ่าตัวตายคู่ มักด้วยเหตุผลคล้ายๆกันคือครอบครัว/สังคมไม่ให้การยินยอมรับ มีความแตกต่างทางสถานะชนชั้นมากเกินไป เขาเป็นพ่อค้า/ซามูไร ตกหลุมรักโสเภณี หญิงขายบริการ เมื่อมิอาจครองคู่อยู่ร่วม ก็พร้อมที่จะทอดทิ้งทุกสิ่งอย่าง

Double Suicide (1969) คือหนึ่งในผลงานมาสเตอร์พีซของผกก. Shinoda ที่พยายามผสมผสานหลากหลายศาสตร์+ศิลปะ+การแสดง (จากละครหุ่น Bunraku แปรสภาพสู่ Kabuki+Kuroko) เรียกว่าท้าทายขนบกฎกรอบทางภาพยนตร์ ทำในสิ่งที่ใครต่อใครบอกว่าไม่น่าเป็นไปได้ และพอเป็นไปแล้วมันช่างมีความแปลกประหลาด หนึ่งในเอกภพ “Singular Achievement” ไม่มีใครสามารถทำซ้ำ ลอกเลียนแบบ หรือแม้แต่ตัวผู้สร้างก็มิอาจสร้างใหม่ให้ยิ่งใหญ่เท่าเทียม

บางคนอาจตื่นตาตื่นใจกับความแปลกประหลาด Avant-Garde ลีลาขยับเคลื่อนกล้อง การออกแบบฉากที่ผิดแผกพิศดาร เพลงประกอบบิดๆเบี้ยวๆของ Tōru Takemitsu แต่ไฮไลท์ผมยกให้แนวคิดการผสมผสานเทคนิค Kuroko ชายสวมชุดดำคอยให้ความช่วยเหลือตัวละครหยิบจับโน่นนี่นั่น ไม่ต่างจากละครหุ่น Bunraku สามารถสื่อถึงการถูกเชิดชัก ชี้นำ บงการ ใครบางคน/บางสิ่งอย่างควบคุมครอบงำการกระทำอยู่เบื้องหลัง บางคนอาจเรียกมือแห่งโชคชะตา (Hand of Fate) ส่วนตัวมองว่าต้องการสะท้อนถึงขนบวิถี ประเพณีวัฒนธรรม กฎหมายบ้านเมือง หรือสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมานะแหละ!


Masahiro Shinoda, 篠田 正浩 (1931-2025) ผู้กำกับภาพยนตร์ สัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Gifu หลังสงครามโลกครั้งที่สองเข้าศึกษาคณะการละคอน Waseda University แต่พอมารดาเสียชีวิตจำต้องทอดทิ้งการเรียน ได้เข้าทำงานสตูดิโอ Shōchiku เคยเป็นผู้ช่วยผู้กำกับ Yasujirô Ozu เรื่อง Tokyo Twilight (1957), กำกับภาพยนตร์เรื่องแรก One-Way Ticket to Love (1960), Pale Flower (1964), Assassination (1964), With Beauty and Sorrow (1965), พอหมดสัญญาแยกตัวออกมาก่อตั้งสตูดิโอโปรดักชั่นของตนเอง Hyôgen-sha

สำหรับ Double Suicide (1969) เป็นการร่วมงานกับ Art Theatre Guild (ATG) ดัดแปลงบทละครหุ่นเชิด (Bunraku) เรื่อง 心中天の網島 (1720) อ่านว่า Shinjū Ten no Amijima แปลตรงตัว The Love Suicides at Amijima ผลงานชิ้นเอกของ Chikamatsu Monzaemon, 近松 門左衛門 (1653-1725) นักเขียนผู้ได้รับการยกย่องกล่าวขวัญ “Greatest Japanese Dramatist” … ด้วยความที่ละคอนหุ่นเชิดเรื่องนี้ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม ปีถัดมาจึงมีการดัดแปลงเป็นการแสดงละครคาบูกิ (Kabuki)

เกร็ด: ก่อนหน้านี้ผกก. Kenji Mizoguchi เคยดัดแปลงผลงานของ Chikamatsu Monzaemon เรื่อง Daikyōji mukashi goyomi (1715) มาเป็นภาพยนตร์ The Crucified Lovers (1954) หรือ A Story from Chikamatsu

ในส่วนการดัดแปลงบทภาพยนตร์ ผกก. Shinoda ร่วมงานนักเขียนขาประจำ Taeko Tomioka (Himiko, Under the Blossoming Cherry Trees) ทีแรกสองจิตสองใจว่าจะอ้างอิงจากละครหุ่นเชิด (Bunraku) หรือคาบูกิ (Kabuki) ก่อนตัดสินใจผสมรวมทั้งสองศาสตร์ (และยังนำเอาเทคนิค Kuroko เข้ามาร่วมด้วย) ซึ่งการแสดงคาบูกิมันจะมีขับร้องเพลงประกอบ [歌 (Ka) แปลว่า Sing หรือ Song, 舞 (Bu) แปลว่า Dance, 伎 (Ki) แปลว่า Skill หรือ Art] จึงขอให้นักแต่งเพลง Tōru Takemitsu เข้ามามีส่วนร่วมตั้งแต่การพัฒนาการบท … ครั้งแรกครั้งเดียวที่ Takemitsu ได้รับเครดิต Written By


เรื่องราวมีพื้นหลัง Tenma, Osaka ของพ่อค้ากระดาษ Jihei (รับบทโดย Nakamura Kichiemon II) แม้แต่งงานกับลูกพี่ลูกน้อง Osan (รับบทโดย Shima Iwashita) แต่แอบสานสัมพันธ์กับโสเภณี Koharu (รับบทโดย Shima Iwashita) ให้คำมั่นสัญญาจะหาเงินมาไถ่ถอน แต่ถูกค้นพบโดยพี่ชาย Magoemon อับอายขายหน้าประชาชี

แม้ว่า Jihei จะให้คำมั่นสัญญากับพี่ชายว่าจะไม่หวนกลับหา Koharu แต่พอกลับมาบ้านยังคงเศร้าโศกเสียใจ มิอาจตัดใจทอดทิ้งหญิงคนรัก พอได้ยินข่าวเธอถูกขายให้คหบดี Tahei ยิ่งทำให้ตกอยู่ในความห่อเหี่ยวสิ้นหวัง ก่อนภรรยาจะเปิดเผยว่าตนเองเขียนจดหมายขอให้ตัดขาดความสัมพันธ์กับเขา ชื่นชมในความเป็นลูกผู้หญิง จึงต้องการช่วยเหลือโดยเอาทุกสิ่งอย่างไปจำนำ บังเอิญพบเจอโดยบิดา รับไม่ได้กับข่าวอื้อฉาว ใช้กำลังลากพาบุตรสาวกลับบ้าน

Jihei ผู้ไม่หลงเหลือใครจึงหวนกลับหา Koharu ชักชวนกันหลบหนี ข้ามผ่าน(เคยเป็น)แม่น้ำ Sonezakigawa River ก่อนตัดสินใจร่วมกันกระทำอัตวินิบาตตรงทางเข้าวัด Daicho-ji Temple


Nakamura Kichiemon II, 二代目 中村 吉右衛門 ชื่อจริง Tatsujirō Namino, 辰次郎 (1944-2021) เกิดที่ Tokyo เป็นบุตรของนักแสดงคาบูกิชื่อดัง Matsumoto Hakuō ตั้งแต่เด็กได้รับฝึกฝนการแสดงจากคุณปู่ (ฝั่งมารดา) Nakamura Kichiemon I แล้วมีผลงานละครเวที โทรทัศน์ ภาพยนตร์ประปราย อาทิ Kuroneko (1968), Double Suicide (1969), ซีรีย์ Onihei Hankachō (1989-2001 และ 2016) ฯ

รับบทพ่อค้ากระดาษ Jihei แม้แต่งงานมีบุตรสองคน กลับยังแอบคบหาโสเภณี Koharu ป่าวประกาศความรัก ให้คำมั่นสัญญาจะไถ่ถอนเธอ แต่ข่าวฉาวดังไปถึงญาติพี่น้อง พี่ชายพยายามให้ความช่วยเหลือ ถึงอย่างนั้นครอบครัวภรรยามิอาจยินยอมรับเรื่องดังกล่าว สร้างความห่อเหี่ยวสิ้นหวัง เลยพากันหลบหนี ก่อนร่วมกันกระทำอัตวินิบาต

การแสดงของ Kichiemon นำเอาประสบการณ์จากการแสดงคาบูกิ มาปรับใช้กับศาสตร์ภาพยนตร์ได้อย่างยอดเยี่ยม มันอาจไม่ได้มีการแต่งหน้า หรือแสดงท่วงท่าอย่างเว่อวังอลังการ แต่ผู้ชมสามารถสังเกตเห็นจังหวะ การขยับเคลื่อนไหวที่ผ่านการปรุงปั้นแต่ง ใส่อารมณ์กับน้ำเสียง ปฏิกิริยาสีหน้า และภาษากาย สัมผัสได้ถึงความเก็บกด อัดอั้น แทบอยากจะคลุ้มบ้าคลั่ง ค่อยๆทวีความรุนแรง ไต่เต้าจนถึงขีดสุดแล้วระเบิดระบาย ฆ่าตัวตาย

ความวุ่นๆวายๆของ Jihei เกิดจากความขัดแย้งระหว่างภาระหน้าที่รับผิดชอบต่อครอบครัว-สังคม-ประเทศชาติ vs. ความรู้สึกส่วนตัว (Giri vs. Ninjō หรือ Duty vs. Emotion) เขาคงไม่ได้อยากแต่งงานกับลูกพี่ลูกน้อง แต่มันคือบริบททางสังคมยุคสมัยนั้น (ทั่วโลกอาจรังเกียจการ Incest แต่สำหรับชนชั้นคหบดี/ซามูไรในญี่ปุ่น การแต่งงานในเครือญาติถือเป็นการรักษาสถานะทางสังคม) แล้วพอพบเจอรักแท้กับโสเภณี ก็ไม่ได้ยินยอมรับจากใครๆ ไม่สามารถเติมเต็มคำมั่นสัญญาให้ไว้ พยายามหลบหนี (Escapist) ท้ายที่สุดก็มิอาจทนมีชีวิตอยู่ต่อไป


Shima Iwashita, 岩下志麻 (เกิดปี ค.ศ. 1941) นักแสดงสัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Tokyo ทั้งบิดา-มารดาต่างเป็นนักแสดงละคอนเวที ช่วงระหว่างเรียนมัธยมได้รับเลือกแสดงซีรีย์โทรทัศน์ เข้าศึกษาสาขาวรรณกรรม Seijo University แต่ยังไม่ทันเรียนจบเข้าร่วมสตูดิโอ Shōchiku แสดงภาพยนตร์เรื่องแรก The River Fuefuki (1960), Harakiri (1962), An Autumn Afternoon (1962), Sword of the Beast (1965), จากนั้นร่วมงานขาประจำ และกลายเป็นภรรยาผกก. Masahiro Shinoda อาทิ Double Suicide (1969), Silence (1971), Himiko (1974), Ballad of Orin (1977) ฯ

รับบทโสเภณี Koharu และภรรยา Osan

  • โสเภณี Koharu เต็มไปด้วยความผิดหวังต่อคำสัญญาของ Jihei มานับครั้งไม่ถ้วน แต่เพราะความรักอันบริสุทธิ์ จึงยังคงให้โอกาส ถึงขนาดปฏิเสธรับงานลูกค้าอื่น ถึงอย่างนั้นจดหมายของ Osan เธอยินยอมเล่นละครตบตา เพราะรักเลยกล้าเสียสละ หวังว่าเราสองจักสามารถหลุดพ้นจากวังวนดังกล่าว
  • ภรรยา Osan แม้รับรู้ว่าสามีแอบคบชู้นอกใจ ก็ไม่ได้สำแดงความรังเกียจต่อต้าน แต่นั่นคือสิ่งที่สังคมมิอาจยินยอมรับ จึงเขียนจดหมายขอให้ Koharu เล่นละคอนตบตา จนเขายินยอมหวนกลับมา ถึงอย่างนั้นพอได้ข่าวว่าเธอถูกขายต่อให้คหบดี Tahei ยินยอมเสียสละทุกสิ่งอย่างเพื่อให้ความช่วยเหลือ

เกร็ด: การแสดงคาบูกิ นักแสดงหนึ่งคนสามารถเล่นได้หลายบทบาท รวมทั้งเพศชาย-หญิง (นักแสดงคาบูกิที่รับบทเพศหญิง มีคำเรียก 女形, Onnagata)

สองบทบาทอาจดูแตกต่างตรงกันข้าม แต่ทั้งสองตัวละครเป็นบุคคลพร้อมยินยอมเสียสละตนเองเพื่อชายคนรัก เต็มไปด้วยความเก็บกด อัดอั้น ตกอยู่ในสถานการณ์ไม่รู้จะทำอะไรยังไง แบบเดียวกับ Jihei เกิดจากความขัดแย้งระหว่างภาระหน้าที่รับผิดชอบ vs. ความรู้สึกส่วนตัว และยิ่งการเป็นเพศหญิงในยุคสมัยนั้น จึงไม่สามารถมีสิทธิ์เลือกตัดสินใจ

ทีแรกผมไม่รับรู้ว่า Iwashita เล่นสองบทบาท จนพอเห็นช็อตโคลสอัพถึงเริ่มเอะใจ (ใบหน้า Koharu จัดเต็มเครื่องสำอางค์ ตามประสาโสเภณี, Osan ไม่ได้เขียนคิ้ว แต่งหน้าแต่งตา เลยดูแก่ขึ้นพอสมควร) ส่วนเรื่องการแสดงก็มีความละม้ายคล้ายกันมาก ต้องใช้การสังเกตสักหน่อยถึงจะพอแยกแยะออก Koharu ดูมีชีวิตชีวา ร่าเริงสดใสกว่า แต่นั่นคือการเล่นละคอนเพื่อให้บริการลูกค้า (Osan ก็มีฉากที่ต้องเล่นละคอนต่อหน้าบิดา-มารดา แต่จะไม่ประดิษฐ์ประดอยเทียบเท่า) เมื่อเผชิญหน้ากับโลกความจริงที่โหดร้าย ไม่ว่าใครไหนล้วนตกอยู่ในความห่อเหี่ยวสิ้นหวัง พยายามต่อสู้ดิ้นรนขัดขืน สุดท้ายทำได้เพียงยินยอมรับชะตากรรม

ระหว่าง Koharu กับ Osan ผมเลือกไม่ได้ว่าตัวละครไหนโดดเด่นกว่า เพราะมันมีหลายๆสิ่งอย่างเหมือนกันเปี๊ยบ ราวกับคือบุคคลเดียวกัน! ฤานี่คงคือความจงใจของผกก. Shinoda ด้วยกระมัง ต้องการแสดงให้เห็นถึงการถูกกดทับของสตรีเพศ สถานะของภรรยาไม่แตกต่างจากโสเภณี (Vice Versa)


ถ่ายภาพโดย Toichiro Narushima, 成島東一郎 (1925-1993) ตากล้องสัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Tokyo, หลังเรียนจบ Tokyo College of Science (ปัจจุบันคือ Tokyo University of Science) เข้าทำงานแผนกถ่ายภาพสตูดิโอ Shōchiku จากเป็นผู้ช่วยตากล้อง Carmen Comes Home (1951), ควบคุมกล้อง The Ballad of Narayama (1958), หลังออกมาเป็นฟรีแลนซ์มีผลงานเด่นๆ อาทิ Akitsu Spring 1962), Twin Sisters of Kyoto (1963), The Kii River
(1966), Double Suicide (1969), The Ceremony (1971), Merry Chirstmas, Mr. Lawrence (1983) ฯ

งานภาพของหนังช่างมีความตื่นตาตื่นใจ สิ่งโดดเด่นใน ‘สไตล์ Shinoda’ คือการเลือกทิศทางมุมกล้อง, รายละเอียดประกอบฉาก, หลายครั้งถ่ายทำแบบ Long Take กล้องค่อยๆเคลื่อนเลื่อนไหลระหว่างตัวละครสำแดงพลังอารมณ์บางอย่าง, และการเลือกถ่ายภาพด้วยอัตราส่วน Academy Ratio (1.37:1) ทำให้หนังดูมีความเป็นการละคอน/เวทีการแสดง ทุกสิ่งอย่างถูกอัดแน่น สร้างแรงกดดัน ยัดเยียดทุกสิ่งอย่างเข้ามาในเฟรมภาพยนตร์

แต่ความน่าสนใจที่สุดของหนัง คือการผสมผสานเทคนิค Kuroko ทีมงานสวมชุดสีดำ คอยให้ความช่วยเหลือตัวละครหยิบจับโน่นนี่นั่น สร้างสัมผัสเหนือธรรมชาติ บางสิ่งอย่างคอยจับจ้อง บงการ มนุษย์ไม่สามารถดิ้นหลบหนีโชคชะตาฟ้าลิขิต

ออกแบบงานสร้าง (Production Design) โดย Kiyoshi Awazu และก่อสร้างฉาก (Set Decoration) โดย Dai Arakawa & Akiyoshi Kanda, ต้องก็ถือว่าเป็นอีกไฮไลท์ของหนังที่มีความแปลกพิศดาร ทำออกมาคล้ายๆกับละคอนเวที สามารถโยกย้าย พลิกกลับไปกลับมา แต่ตกแต่งพื้น-ผนังในสไตล์ Avant-Garde ลวดลายภาพพิมพ์แกะไม้ (Woodblock Printing) หรือเขียนตัวอักษรภาษาญี่ปุ่น … ช่างดูละลานตายิ่งนัก!


หนังโหมโรงด้วยการฉายภาพเบื้องหลัง ตระเตรียมการแสดงของคณะหุ่นเชิด (Bunraku, 文楽) คล้ายๆการทดสอบเสียงของนักดนตรีก่อนเริ่มต้นคอนเสิร์ต ซึ่งบทละคอนดั้งเดิมของ Double Suicide พัฒนาขึ้นสำหรับทำการแสดงหุ่นเชิด ก่อนถูกดัดแปลงมาเป็นคาบูกิ และภาพยนตร์ในปัจจุบัน

เกร็ด: Bunraku (文楽) มีประวัติไล่ย้อนไปถึงช่วงศตวรรษที่ 16th แต่เริ่มได้รับความนิยมจากการร่วมงานระหว่างนักเขียน Chikamatsu Monzaemon และนักเชิดหุ่น Takemoto Gidayu, 竹本 義太夫 (1651-1714) ก่อตั้งโรงละคอนหุ่นเชิด Takemoto Puppet Theater ณ Osaka เมื่อปี ค.ศ. 1684

แม้ภาพฉายเบื้องหลังคณะหุ่นเชิด แต่เสียงได้ยินกลับเป็นผกก. Shinoda สนทนาทางโทรศัพท์กับนักเขียนบท Taeko Tomioka ช่วงระหว่างตระเตรียมงานสร้าง (Pre-Production) นี่เช่นกันสามารถมองเป็นการอารัมบทก่อนเข้าสู่โปรดักชั่น เริ่มต้นถ่ายทำ = เรื่องราวของหนัง … ผู้สร้างพยายามผสมผสานทุกสิ่งอย่าง คลุกเคล้าให้กลายมาเป็นภาพยนตร์เรื่องนี้!

เป็นความจงใจที่น่าสนใจทีเดียว เครดิตชื่อผกก. Shinoda ปรากฎขึ้นพร้อมภาพของ Kuroko (黒衣 แปลว่า Black Clad) บุคคลผู้อยู่เบื้องหลัง สวมใส่ชุดดำ (ราวกับนินจา) คอยให้ความช่วยเหลือตัวละครหยิบจับโน่นนี่นั่น สลับสับเปลี่ยนฉากหน้า-หลัง พบเห็นได้ตามการแสดงละคอนเวทีพื้นบ้านญี่ปุ่นทั่วๆไป Bunraku, Kabuki, Noh (จะไม่ใส่ผ้าคลุมใบหน้า)

แต่ในบริบทของภาพยนตร์เรื่องนี้ เราสามารถเหมารวมเป็นส่วนหนึ่งเรื่องราว หรือบุคคลอยู่นอกเหนือกฎธรรมชาติ มักคอยเชิดชัก ชี้นำพา แอบบงการอยู่เบื้องหลัง บางคนอาจเรียกมือแห่งโชคชะตา (Hand of Fate) ส่วนตัวมองว่ามันคือสิ่งที่มนุษย์ด้วยกันเองกำหนดกฎกรอบ สร้างขนบวิถี ประเพณีวัฒนธรรมขึ้นมาครอบงำวิถีชีวิตผู้คน

ทิ้งท้ายการอารัมบทด้วยภาพช็อตนี้ เสียงของนักร้อง Tayū (Chanters) รำพันบทสรุปเรื่องราว “No one can evade the punishment of heaven…” พร้อมฉายภาพศีรษะหุ่นชาย-หญิง วางทิ้งอยู่บนพื้น สามารถสื่อถึงจุดจบชีวิตของ Jihei & Koharu ไม่มีทางดิ้นหลุดพ้นโชคชะตากรรม

ถ้าไม่เพราะผมเพิ่งพบเห็นสะพานเดียวกันนี้ตอนรับชม Children of the Beehive (1948) ก็คงไม่คิดจะค้นหาข้อมูล รับรู้จักว่าคือ Kintai Bridge (錦帯橋) สะพานห้าโค้งตั้งอยู่ยัง Iwakuni, Yamaguchi สถานที่เหมาะสำหรับชมดอกซากูระบาน และใบไม้เปลี่ยนสี ได้รับความนิยมอันดับต้นๆของญี่ปุ่น

ภาพแรกจริงๆของหนังที่ไม่นับช่วงอารัมบท, พบเห็น Jihei ขณะกำลังเดินขึ้นสะพานโค้ง (ชีวิตมีขึ้นมีลง) สวนทางกับนักบวชสวมชุดขาว, ขณะที่ด้านล่างสะพานพบเห็นชายชุดดำยืนห้อมล้อมศพคู่รักหนุ่มสาว (น่าจะร่วมกันกระทำอัตวินิบาต) พยากรณ์ตอนจบของ Jihei & Koharu อาจไม่ได้ฆ่าตัวตายใต้สะพานแห่งนี้ แต่หนังพยายามทำออกมาให้ดูละม้ายคล้าย เริ่มต้น-สิ้นสุด หวนกลับสู่สามัญ

เมื่อครั้น Jihei เดินทางมาถึง Sonezaki Shinchi (ปัจจุบันคือ Kitashinchi, Osaka) มีขณะหนึ่งที่พอชายชุดดำเป่าดับไฟ ทุกสิ่งอย่างหยุดแน่นิ่ง ไม่ขยับเคลื่อนไหวติง นี่น่าจะเป็นการสำแดงอารมณ์สิ้นหวังของตัวละคร ไม่รู้จะทำอะไรยังไง ชีวิตไร้หนทางออก ก้าวเดินอย่างล่องลอย เรื่อยเปื่อย ไม่สนใจใยดีต่อโลกภายนอก พานผ่านหญิงสาวเปลือยกายก็ไม่เหลียวแลมอง

แซว: จริงๆแล้วระยะทางจาก Kintai Bridge มาถึงยัง Osaka ประมาณ 300+ กว่ากิโลเมตร แต่อย่าไปสนใจมันเลยนะครับ

ณ ซ่องโสเภณี มีการประดับตกแต่งลวดลายพื้นผนังด้วยภาพพิมพ์แกะไม้ (Woodblock Printing) วาดในสไตล์ Ukiyo-e (浮世絵) ที่ได้รับความนิยมในยุคสมัย Edo Period (1600-1868) มักเป็นภาพที่แสดงความเป็นอยู่ของคนชั้นกลาง สิ่งบันเทิง สถานเริงรมย์ … ซึ่งก็สอดคล้องเข้ากับสถานที่แห่งนี้นักแล!

เกร็ด: Ukiyo-e มาจากคำว่า Ukiyo (憂世) หมายถึง โลกแห่งความทุกข์ ไม่มีสิ่งใดเที่ยงแท้ (Floating World) ในยุคที่มนุษย์หันหลังให้ศาสนา จึงเริ่มปล่อยตัวปล่อยใจ ใช้ชีวิตเพลิดเพลินกับสิ่งสร้างความบันเทิงเริงรมย์

โดยปกติแล้วชายชุดดำมักทำการหลบมุม ซ่อนตัวอยู่ตำแหน่งที่ผู้ชมไม่ค่อยสังเกตเห็น แต่หลายๆครั้งของหนังเรื่องนี้ที่จงใจจับจ้อง เคลื่อนเลื่อนผ่าน หันมามองด้วยความอยากรู้อยากเห็น ทำราวกับพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราว จนผมนึกถึงสำนวนไทย “หน้าต่างมีหู ประตูมีช่อง” ความลับไม่มีในโลก ไม่ว่าใครจะทำอะไรย่อมต้องมีคนรับล่วงรู้

ผมจับมามัดรวมตรงนี้เพื่อจะได้ไม่ต้องเขียนซ้ำ หนึ่งในลูกเล่นพบเห็นบ่อย ก็คือการเลือกมุมกล้องถ่ายผ่านเสาไม้ ทำออกมาให้แลดูเหมือนกรงขัง และทุกครั้งล้วนเป็น Jihei ถูกกักขังอยู่เบื้องหลัง ไม่สามารถดิ้นหลบหนี หาหนทางออกจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่

  • ภาพแรกคือ Jihei และ Koharu ที่ไม่สามารถพัฒนาความสัมพันธ์ไปมากกว่านี้
  • ภาพสองคือ Jihei ถูกมัดกับเสาหลังพยายามเข่นฆ่าซามูไร ไร้หนทางหลบหนี
  • ภาพสาม Osan อำลามารดาและพี่เขย แต่ตัวเธอรู้สึกอับจนต่อพฤติกรรมของสามี
  • ภาพสี่คือตอน Jihei กล่าวคำขอโทษ Osan ที่ไม่สามารถเป็นสามีที่ดี

ซามูไรเดินทางมาใช้บริการ Koharu ความน่าสนใจคือแต่งกายชุดสีดำ และสวมใส่ผ้าคลุมศีรษะ ช่างมีความละม้ายคล้ายบรรดาผู้ช่วยนักแสดง Kuroko, ก่อนเปิดเผยว่าเขาคือ Magoemon (พี่ชายของ Jihei) ปลอมตัวมาให้ความช่วยเหลือน้องชาย … การแต่งตัวเช่นนี้เป็นการสร้างความเชื่อมโยงให้ Kuroko ที่ควรจะอยู่เหนือธรรมชาติ กลับกลายเป็นสิ่งจับต้องได้ขึ้นมา

เมื่อตอน Magoemon จับมัดมือน้องชายกับเสาไม้ สังเกตว่ามันจะมีมือยื่นมาจากด้านหลัง นั่นแสดงถึงการมีส่วนร่วมของชายชุดดำ ไม่ใช่ว่าพวกเขาแค่คอยให้ช่วยเหลือนักแสดง เหตุไฉนถึงเข้ามามีส่วนร่วม? นั่นก็เพราะ Kuroko มีตัวตนอยู่จริง คอยควบคุม บงการ ชักใยมนุษย์อยู่เบื้องหลัง

ซีเควนซ์ที่ซามูไรถอดผ้าคลุมศีรษะ เปิดเผยตนเองว่าคือ Magoemon จากนั้นก็เริ่มเทศนาสั่งสอนน้องชาย เป็นการถ่ายทำแบบโคตรๆ Long Take ความยาวน่าจะเกือบๆ 6 นาที มีการขยับเคลื่อนเลื่อนกล้องอย่างช้าๆ สลับเปลี่ยนจากฟากฝั่งผนังสะท้อนแสง หันเหสู่ความมืดมิด (=จิตใจอันมืดหม่นของทั้งสาม)

ปล. ด้วยความที่ผมเพิ่งรับชม Touch of Evil (1958) เลยตระหนักว่าโคตรๆ Long Take เหล่านี้น่าจะได้รับอิทธิพลจากหนังของ Orson Welles อย่างแน่นอน!

ในบรรดาการมีส่วนร่วมของชายชุดดำที่สร้างความประทับใจให้ผมมากสุดก็คือตอน Magoemon พบเจอจดหมายของ Osan เขียนถึง Koharu ขณะเธอกำลังจะพูดอธิบาย มีการหยุดเวลา จากนั้นหยิบนำเอาจดหมายดั่งกล่าวมาฉายให้ผู้ชมเห็นเบื้องหน้ากล้อง … นี่คือการ Breaking the Fourth Wall ที่มีความเฉพาะตัวอย่างยิ่ง!

ตอนจบของโคตรๆ Long Take คือขณะ Magoemon ลากพาน้องชายกลับบ้าน แต่พวกเขาเดินผ่านประตูหมุนพลิกจากผนังสะท้อนแสง กลายมาเป็นภาพที่ดูเหมือนรอยคราบเลือด ทีมงานชุดดำเดินเข้ามาขนย้ายสิ่งข้าวของ ตกแต่งฉากนี้ใหม่ให้กลายเป็นร้านค้า/บ้านที่อยู่อาศัยของ Jihei

จุดแบ่งระหว่างองก์หนึ่งและสอง คือการร้อยเรียงชุดภาพ Montage พร้อมเสียงขับร้องของ Tayū (chanters) บรรยายสถานที่ตั้งร้านขายกระดาษของ Jihei ตั้งอยู่ยัง Ima Bridge ณ เมือง Tenma, Osaka

แซว: วินาทีที่ Tayū (chanters) กล่าวถึง Tenjin Bridge (ไม่ใช่สะพานพบเห็นในภาพนะครับ) มีการแทรกภาพทีมงานชุดดำ ราวกับต้องการสื่อถือว่าพวกเขาเหล่านี้คือ Tenjin (天神) หนึ่งในเทพเจ้าตามความเชื่อของญี่ปุ่น เกี่ยวกับด้านการศึกษา ความรู้ และการสอบเข้ามหาวิทยาลัย

เมื่อเสียงบรรยายแนะนำตัวละคร Osan จะมีการหยุดภาพ (Freeze Frame) ชั่วขณะหนึ่ง แวบแรกผมยังไม่เอะใจเพราะหน้าสดไม่เขียนคิ้วของ Shima Iwashita แทบจะคนละคน ดูแก่ลงกว่าตอนแต่งหน้าทำผมเป็น Koharu … โสเภณีเป็นอาชีพที่ต้องแต่งสวยเพื่อเรียกลูกค้า ตรงกันข้ามกับภรรยา/แม่บ้านที่สามารถปล่อยตัวปล่อยใจ ไม่ได้ต้องแข่งขันประชันความสวยกับใคร

ร้านค้า/บ้านที่อยู่อาศัยของ Jihei มีการตกแต่งพื้น-ผนังด้วยลวดลายขีดๆเขียนๆ คัดตัวอักษร (Calligraphy) ผมคงไม่เสียเวลาแกะว่าเขียนอะไรบ้าง แต่มันดูเหมือนกฎระเบียบข้อบังคับ ขนบประเพณี วิถีทางสังคมทั้งหลายที่มนุษย์ก่อร่างสร้างขึ้น ลงลายลักษณ์อักษรให้ยึดถือปฏิบัติสืบต่อกันมา ขณะที่ลายเส้นใหญ่ๆบนฝาผนัง ราวกับเส้นทางเดินชีวิต ถูกกำหนดไว้ให้ต้องดำเนินตามรอย

เมื่อครั้นแม่สะใภ้และพี่ชาย Magoemon เดินทางมาเยี่ยมเยียน Jihei & Osan มันจะมีหลายครั้งถ่ายติดเส้นยาวๆบนผนัง สามารถตีความได้ว่าพวกเขาทุกคนถูกกำหนดให้อยู่ภายใต้กฎระเบียบข้อบังคับ ขนบประเพณี แม่สะใภ้พยายามจำจี้จำไช เสี้ยมสอนบุตรสาวและลูกเขยให้ยึดถือปฏิบัติวิถีทางสังคม อย่าสร้างความเสื่อมเสียให้วงศ์ตระกูล

ยามค่ำคืนหลังจากกล่อมลูกๆเข้านอน Osan พร่ำเพ้อรำพันถึงอนาคตสุขสันต์ แต่พอไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบใดๆจาก Jihei ทำให้เธอเกิดความหวาดระแวง วิตกจริต มีช็อตหนึ่งถ่ายภาพโคลสอัพใบหน้าแล้วพื้นหลังปกคลุมด้วยความมืดมิด จากนั้นเร่งรี่ไปเปิดผ้าห่ม (ด้วยความช่วยเหลือจากชายชุดดำ) พบเห็นเขากำลังร้องไห้น้ำตาซึม ตกอยู่ในความห่อเหี่ยวสิ้นหวังโดยพลัน นี่ชายคนรักไม่เคยมีใจให้ฉันเลยหรือไร?

แต่หลังจาก Jihei เปิดเผยว่าไม่ได้ยุ่งเกี่ยวข้องแว้งกับ Koharu ตั้งแต่วันให้คำสัตย์กับพี่ชาย แต่ร่ำไห้เพราะตระหนักว่าอดีตชู้รักกำลังจะถูกขายต่อให้ Tahei วินาทีนั้น Osan บังเกิดความรู้สึกผิดขึ้นมาในใจ เปิดเผยว่าตนเองเคยเขียนจดหมายของให้อีกฝ่ายเลิกราสามี

Osan ตระหนักว่าถ้า Koharu ถูกขายตัวให้ Tahei เธออาจตัดสินใจฆ่าตัวตาย กลายเป็นวิญญาณมาหลอกหลอน (หันไปเป็นภาพวิญญาณ Koharu ปรากฎตัวขึ้น) จึงร่ำร้องขอให้ Jihei ทำทุกสิ่งอย่าง ขายผ้าขายผ่อน นำเงินไปไถ่ถอนเธอคืนมา

การมาถึงของพ่อสะใภ้ ใช้วิธีการนำเสนอแบบโคตรๆ Long Take ความยาวประมาณ 5.40 นาทีกว่าๆ ผมคงไม่ลงรายละเอียด ‘Mise-en-scène’ แต่จะแนะนำให้ลองสังเกตทิศทางการเคลื่อนเลื่อนกล้อง ตำแหน่งตัวละครที่จะผันแปรเปลี่ยน เวียนวงกลม สำแดงความแตกต่างทางสถานะระหว่างลูกเขย-พ่อสะใภ้ ทำได้เพียงก้มหัวศิโรราบ มิอาจต่อต้านขัดขืนคำสั่ง

นอกจากการแต่งงานในเครือญาติของคหบดี/ซามูไร ที่ญี่ปุ่นสมัยก่อนยังมีอีกธรรมเนียมปฏิบัติที่แตกต่างจากปัจจุบัน ในกรณีเกิดการหย่าร้าง (หรือพ่อสะใภ้ลากพาบุตรสาวกลับบ้าน) ลูกๆถือว่าเป็นสมบัติของสามี ภรรยาจะไม่มีสิทธิ์เลี้ยงดูแลบุตรหลาน … นั่นทำให้ปฏิกิริยาของ Osan ระหว่างถูกบิดาลากพาตัวกลับบ้าน เต็มไปด้วยความห่วงโหยหาอาลัย ไม่อยากพลัดพรากจากลูกทั้งสอง

แวบแรกพบเห็นชายชุดดำยืนอยู่ด้านหลังเด็กๆทั้งสอง แอบหลอน นึกว่าผีสาง จุดประสงค์จริงๆคงเพื่อหยุดยับยั้งเด็กๆไม่ให้วิ่งติดตามมารดา เพราะมันขัดต่อขนบวิถี กฎระเบียบทางสังคม พวกเขาถือเป็นสมบัติของครอบครัวบิดา … หลังจาก Jihei ทอดทิ้งลูกๆ บุคคลที่จักคอยเลี้ยงดูแลพวกเขาจึงคือพี่ชาย Magoemon

หลังพ่อสะใภ้ลากพาตัว Osan กลับบ้านไป Jihei หลงเหลือตัวคนเดียว (ไม่สนลูกๆหรือคนรับใช้) ปล่อยให้ชายชุดดำถอดเสื้อผ้า (สัญญะของการปลดเปลื้องภาระชีวิต) จากนั้นเขวี้ยงขว้างเศษกระดาษ ผลักรั้วไม้ (ทำลายกรงขัง) เสาไม้ (สูญเสียเสาหลัก/ที่พึ่งพักพิง) รวมถึงฉากหลัง (สัญญะของการก้าวออกจากขอบเขต พันธนาการฉุดเหนี่ยวรั้ง)

นี่ไม่ใช่แค่การระเบิดระบายอารมณ์ของ Jihei แต่เต็มไปด้วยสัญญะการต่อต้านขนบกฎกรอบ วิถีทางสังคม โหยหาอิสรภาพ ไม่สนห่าเหวอะไรต่อไป จากนั้นจะทำสิ่งตอบสนองความพึ่งพอใจ นั่นคือหวนกลับหาหญิงคนรัก พากันหลบหนีไปให้แสนไกล

ระหว่างหลบหนียามค่ำคืน Jihei & Koharu เดินผ่านสามสะพานโค้ง Kintai Bridge (Yamaguchi), Gokuraku-bashi Bridge (สะพานข้ามไปยัง Osaka Castle) และ Ima Bridge (หรือ Imabashi) ที่อยู่หน้าร้านค้า/บ้านพักอาศัยของ Jihei ณ Tenma, Osaka

การเดินข้ามสะพาน สามารถใช้เป็นสัญลักษณ์ก้าวผ่านขอบเขต พรมแดน (แม่น้ำ) หรือบรรดาขนบกฎกรอบที่สังคมออกแบบไว้ควบคุมครอบงำประชาชน

ลานแห่งนี้อยู่ละแวกบ้านของ Jihei ไม่ห่างจากสะพาน Ima Bridge ทั้งสองพูดระบายอารมณ์อัดอั้น แค่เราสองตกหลุมรักกัน ทำไมถึงอุปสรรคขวางกั้นมากมาย จากนั้นถาโถมเข้าใส่ เดินหายลับไปจากเฟรมภาพ แล้วติดตามมาด้วยเงาของชายชุดดำมอบสัมผัสการไม่สามารถดิ้นหลบหนี

ปล. ตั้งแต่ตอนเริ่มหลบหนี ผมรู้สึกว่าหนังได้รับอิทธิพลจาก The Third Man (1949) ของผกก. Carol Reed ไม่น้อยทีเดียว!

มันมีสถานที่มากมายที่ Jihei จะร่วมรักกับ Koharu แต่ทั้งสองกลับทำกันในสุสาน สถานที่แห่งความตาย (ร่วมรักกับความตาย?) และแน่นอนว่าชายชุดดำต้องคอยจับจ้องมองตาไม่กระพริบ ตัวละครคงไม่รู้สึกอะไร ผิดกับผู้ชมบังเกิดความอกสั่นขวัญแขวน ไม่ว่าเราจะทำอะไรล้วนต้องมีใครสักคน/บางสิ่งเหนือธรรมชาติ รับล่วงรู้ทุกสรรพสิ่งอย่าง

ทั้งตอนต้นเรื่องและขณะนี้ ฉากร่วมรักระหว่าง Jihei กับ Koharu มักมีลักษณะที่เขามุดศีรษะลงถูกไถกับอวัยวะเพศหญิง ถ้าพูดกันตรงๆก็คือพบเห็นเพียงฝ่ายชายปรนเปรอนิบัติฝ่ายหญิง หรือเธอเป็นที่พึ่งพิงของเขา ตรงกันข้ามกับบรรทัดฐานทางสังคมยุคสมัยนั้นที่บุรุษคือช้างเท้าหน้า ควรเป็นที่พึ่งพาของสตรีเพศ

เกร็ด: ฟังจากเสียงสนทนาตอนต้นเรื่อง ผกก. Shinoda เลือกสุสานที่ Mount Toribe หรือ Toribeno ตั้งอยู่ทางตะวันออกของ Kyoto City ว่ากันว่าสร้างขึ้นตั้งแต่สมัย Heian period (794-1185)

จุกผม (丁髷, Chonmage) คือสัญลักษณ์แทนสถานะชนชั้นทางสังคม คหบดี/ซามูไร สิ่งแสดงความเป็นชายชายตรีในยุคสมัยก่อน การตัดจุกผมทิ้งจึงถือเป็นการตัดขาด ปล่อยละวาง ทอดทิ้งทุกสิ่งอย่างทางโลก โดยปกติแล้วการทำเช่นนี้มักสำหรับบุคคลกำลังจะบวชพระ/บวชชี หรือโรนินไร้สังกัด แต่สำหรับ Jihei และ Koharu ใช้เป็นข้ออ้างสำหรับเตรียมตัวกระทำอัตวินิบาต

ถ้าอ้างอิงตามบทละคอนต้นฉบับ สะพานสุดท้ายแห่งนี้จักต้องข้ามแม่น้ำ Sonezakigawa หรือ Sonezaki River, 曽根崎川 แต่แม่น้ำสายนี้ได้เหือดแห้งไปนานแล้ว ปัจจุบันกลายเป็นย่านการค้า Shinchi Hondori

ผมพยายามลองค้นหาสะพานแห่งนี้ ไม่ค่อยแน่ใจว่าพังทลายมีการสร้างใหม่หรือเปล่า ใกล้เคียงสุดเท่าที่พบเจอคือ Togetsukyo Bridge, 渡月橋 ตั้งอยู่ Arashiyama ข้ามแม่น้ำ Katsura River เป็นอีกสถานที่ท่องเที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสีเลื่องชื่อของกรุง Kyoto

ผมแอบรู้สึกว่าการฆ่าตัวตายของ Jihei & Koharu มีการหักมุมอยู่ไม่น้อย เพราะใบปิด หน้าปกดีวีดี ล้วนฉายภาพศพทั้งสองนอนเคียงข้างกัน แต่พอมาถึงฉากนี้จริงๆกลับ … ไม่จำเป็นต้องอยู่เคียงข้างกัน แถมนำเสนอด้วยวิธีการแตกต่างตรงกันข้าม!

  • ความตายของ Koharu เกิดขึ้นบริเวณท้องทุ่งหญ้า ถ่ายติดพื้นดิน เริ่มต้นจากเริงระบำแห่งความตาย จากนั้น Jihei ฟันดาบเข้าข้างหลัง แล้วทิ่มแทงเบื้องหน้า (โดยไม่มีชายชุดดำให้ความช่วยเหลือใดๆ) ต่อด้วยการแช่ภาพ (Freeze Frame) ร้อยเรียงภาพนิ่ง (=ลมหายใจหยุดนิ่ง)
  • ความตายของ Jihei เริ่มจากตะเกียกตะกาย ปีนป่ายขึ้นบนเนิน ถ่ายย้อนแสงติดท้องฟ้า ได้รับความช่วยเหลือจากชายชุดดำจัดแจงห้อยผ้า หาก้อนหิน ตัดสลับกับฝูงชนกำลังออกติดตามหา พอถึงคราตายก็ถูกชายชุดดำทอดทิ้ง หลงเหลือตัวคนเดียวอยู่ตรงประตูหน้าวัด Daicho-ji Temple (大長寺)

ปล. สถานที่แห่งนี้ไม่ใช่หน้าวัด แค่ตั้งเสาให้เหมือนประตูทางเข้าเท่านั้นเอง มีเพียงตอนชายชุดดำเคาะระฆังที่(น่าจะ)ถ่ายทำยัง Daicho-ji Temple ณ Amijima (ปัจจุบันคือ Miyakojima, Osaka)

ย้อนรอยกับต้นเรื่องที่ Jihei พบเห็นศพคู่รักใต้สะพาน (มันจะมีช็อต Tilt Down ลงมาคล้ายๆกัน) คราวนี้กลายเป็นเขาและ Koharu นอนเป็นศพอยู่ภายใต้ เริ่มต้น-สิ้นสุด หวนกลับสู่สามัญ ในทิศทางตรงกันข้าม (ตอนต้นเรื่องคู่รักนอนเสียชีวิตในทิศทางเดียวกัน, แต่ตอนจบนี้ Jihei & Koharu ถูกวางหันหัว-เท้า)

ผมเคยอธิบายไปแล้วว่าการเดินข้ามสะพาน คือสัญญะก้าวผ่านขอบเขต พรมแดน (แม่น้ำ) หรือบรรดาขนบกฎกรอบที่สังคมออกแบบไว้ควบคุมครอบงำประชาชน, แต่การพบเจอเป็นศพใต้สะพาน ย่อมสื่อถึงการไม่สามารถอาจดิ้นหลุดพ้น ติดอยู่ภายใต้วังวน … แต่ขณะนี้ไม่หลงเหลือชายชุดดำคอยชี้นำ บงการ ควบคุมครอบงำอีกต่อไป

ตัดต่อไม่มีเครดิต (อาจจะเป็นผกก. Shinoda) ปรากฎเพียงชื่อผู้ช่วยตัดต่อ Shikako Takahashi,

ถ้าไม่นับโหมโรงด้วยการเลือนรางระหว่างเบื้องหลังภาพยนตร์ & เตรียมพร้อมการแสดงหุ่นเชิด (Bunraku), หนังดำเนินเรื่องผ่านมุมมองของ Jihei สวมใส่ผ้าคลุมศีรษะ (Tenugui) ตั้งแต่เดินข้ามสะพาน Kintai Bridge พบเห็นศพของคู่รักอยู่ภายใต้ จากนั้นเดินทางยังซ่องโสเภณี Kinokuni House คำสัญญายี่สิบเก้าที่เขามอบให้กับเธอยังไม่เคยทำสำเร็จสักที น่าจะเป็นครั้งแรกกระมังที่ทั้งสองเกิดความครุ่นคิดอยากฆ่าตัวตายคู่

  • อารัมบท, ร้อยเรียงภาพตระเตรียมการแสดงหุ่นเชิดชัก (Bunraku) + ได้ยินเสียงโทรศัพท์ผกก. Shinoda พูดคุยกับเพื่อนนักเขียน Taeko Tomioka เกี่ยวกับการเลือกสถานที่ถ่ายทำ
  • องก์หนึ่ง, Jihei กับ Koharu
    • Jihei ระหว่างเดินข้ามสะพาน Kintai Bridge พบเห็นศพของคู่รักภายใต้
    • Jihei เดินทางไปซ่องโสเภณี มอบคำสัญญาที่ยี่สิบเก้าให้กับ Koharu
    • Koharu มาถึงยังซ่องโสเภณี เผชิญหน้ากับคำพูดลวนลามของคหบดี Tahei
    • การมาถึงของซามูไรนิรนาม แต่ทว่า Koharu ดูไม่มีกระจิตกระใจอยากให้บริการสักเท่าไหร่
    • Jihei แอบพบเห็นจึงสำแดงตัว รับไม่ได้กับพฤติกรรมนอกใจของ Koharu ก่อนถูกซามูไรจับมัดติดกับกำแพง สร้างความอับอายต่อสาธารณะ Tahei ยังเข้ามาพูดจาดูถูกเหยียดหยาม
    • ซามูไรเปิดเผยตัวตนว่าคือ Magoemon พูดตำหนิต่อว่า Jihei
    • Jihei จึงให้คำมั่นสัญญาว่าจะกลับตัวกลับใจ ไม่ทำอะไรอย่างนี้อีก
  • องก์สอง, Jihei กับ Osan
    • พอกลับมาบ้าน Jihei หมกตัวอยู่แต่ในที่นอน ปล่อยให้ภรรยา Osan จัดการโน่นนี่นั่น
    • กระทั่งการมาถึงของมารดาและ Magoemon จึงลุกขึ้นมาต่อปากต่อคำ ให้คำมั่นสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรอย่างนั้น
    • ยามค่ำคืน Jihei ยังคงร่ำร้องไห้ ก่อนเปิดเผยกับภรรยาว่าเศร้าเสียใจเพราะตระหนักว่า Koharu ถูกขายต่อให้ Tahei
    • Osan ตระหนักได้เช่นนั้นจึงเปิดเผยความจริงต่อ Jihei ว่าตนเองเขียนจดหมายขอให้เธอเลิกราชายคนรัก จากนั้นพร้อมขายทิ้งทุกสิ่งอย่างเพื่อช่วยเหลือ Koharu ไม่ให้ตกเป็นของ Tahei
    • แต่บังเอิญบิดาของ Osan เดินทางมาพบเห็น ฉุดกระชากลากบุตรสาวกลับบ้าน
    • Jihei เขวี้ยงขว้างสิ่งข้าวของ ระบายอารมณ์อัดอั้น
  • องก์สาม, Double Suicide
    • Jihei อ้างว่าจะเดินทางไปทำธุระ Kyoto แต่แท้จริงแล้วตั้งใจจะหนีไปกับ Koharu
    • Jihei & Koharu ออกเดินทางยามค่ำคืน
    • ร่วมรักกันยังสุสาน
    • ก้าวข้ามสะพานแม่น้ำ Sonezakigawa River
    • ก่อนตัดสินใจร่วมกันกระทำอัตวินิบาตตรงประตูทางเข้าวัด Daicho-ji Temple

เพลงประกอบโดย Tōru Takemitsu, 武満 徹 (1930-96) คีตกวีสัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Hongō, Tokyo ก่อนย้ายไปเติบโตยัง Dalian, Liaoning (ประเทศจีน) ถูกบังคับเกณฑ์ทหารตั้งแต่อายุ 14 แม้ได้รับประสบการณ์อันขมขื่น แต่ทำให้มีโอกาสรับฟังเพลงตะวันตก, หลังสงครามโลกกลับมาญี่ปุ่น ทำงานในกองทัพสหรัฐ (ที่เข้ามายึดครองชั่วคราว) แม้ไม่เคยฝึกฝนการเล่นดนตรี แต่เริ่มแต่งเพลงเมื่ออายุ 16 โอบรับแนวคิดเครื่องดนตรีไฟฟ้า แนวทดลอง สไตล์ Avant-Garde ร่วมก่อตั้งกลุ่ม Experimental Workshop (実験工房 อ่านว่า Jikken Kōbō) ที่พยายามผสมผสานไม่ใช่แค่ดนตรี แต่ยังสรรพเสียง และศิลปะแขนงอื่นๆคลุกเคล้าเข้าด้วยกัน ทำให้มีโอกาสรับรู้จัก Kōbō Abe และ Hiroshi Teshigahara ที่ต่างก็แนวคิดทิศทางเดียวกัน โด่งดังกับระดับนานาชาติกับผลงาน Requiem for String Orchestra (1957), ทำเพลงประกอบภาพยนตร์มากมายนับไม่ถ้วน Harakiri (1962), Pitfall (1962), Pale Flower (1964), Kwaidan (1964), Woman in the Dunes (1964), The Koumiko Mystery (1965), The Face of Another (1966), Samurai Rebellion (1967), Scattered Cloud (1967), Double Suicide (1969), Dodes’ka-den (1970), Under the Blossoming Cherry Trees (1975), Ballad of Orin (1977), Empire of Passion (1978), Ran (1985), Black Rain (1989) ฯ

โดยปกติ Takemitsu จะเข้ามามีส่วนร่วมตั้งแต่ขั้นตอนการพัฒนาบทหนัง (ไม่ใช่ถ่ายทำหนังเสร็จแล้วเพิ่งมาทำเพลงประกอบ) เพื่อมองหาว่าจะแทรกใส่เสียง/เพลงประกอบ อะไร-ยังไง-ตรงไหน ด้วยลักษณะ (Soundscape) แบบใด? ซึ่งสำหรับ Double Suicide (1969) มีความพิเศษคือผสมผสานการแสดงคาบูกิ ซึ่งระหว่างเรื่องราวดำเนินไปจะได้ยินเสียงขับร้อง+บรรเลง Shamisen ที่มีเนื้อหาบรรยายเหตุการณ์บังเกิดขึ้น … นั่นกระมังคือเหตุผลที่ผกก. Shinoda มอบเครดิตเขียนบทให้กับ Takemitsu

แต่เอาจริงๆเพลงประกอบในหนังเรื่องนี้ถือว่าน้อยยิ่งนัก เพราะความเงียบงัน หรือบางครั้งเพียงเสียงประกอบ (Sound Effect) ก็ช่วยสร้างแรงกดดัน ความตึงเครียดได้ดียิ่งนัก ซึ่งพอได้ยินเสียง Shamisen สร้างความสั่นสยิว สะท้านทรวงใน และที่คาดไม่ถึงอย่างสุดๆคือตอนจบระหว่าง Double Suicide ไม่แน่ใจว่านั่นคือเสียงเป่าปี่จีน (Suona) ที่มักได้ยินในการแสดงงิ้ว หรือตามงานแต่ง/งานศพ … เอาว่าสามารถมอบสัมผัสแห่งความตายก็ถือว่าใช้ได้!

เรื่องราวของ Double Suicide นำเสนอโศกนาฎกรรมความรัก ฝ่ายชายถูกบังคับให้แต่งงานกับหญิงที่ไม่ได้ชอบสักเท่าไหร่ (แถมเป็นญาติกันอีกต่างหาก) แล้วพอพบเจอเธอทื่ใช่ กลับทำงานโสเภณี อาชีพที่ไม่มีใครยินยอมรับ อยากครองครองแต่มิอาจเป็นเจ้าของ

ในมุมของฝ่ายหญิงที่ยุคสมัยนั้นยังไร้สิทธิ์เสียง (ทั้งฟากฝั่งภรรยาและโสเภณี) แรกเริ่มอาจไม่ได้ชื่นชอบเขาสักเท่าไหร่ แต่กาลเวลาค่อยๆพัฒนาความสัมพันธ์ จนก่อบังเกิดเป็นความรัก ถึงอย่างนั้นกลับไม่มีใครได้รับการตอบสนองทั้งร่างกาย-จิตใจ … ฝั่งของ Osan แต่งงานถูกต้องตามกฎหมาย แต่สามีกลับแอบคบชู้นอกใจ (ได้ครอบครองเพียงกาย), ฝั่งของ Koharu แม้ได้รับความรักจาก Jihei แต่กลับไม่มีโอกาสครองคู่อยู่ร่วม (ได้ครอบครองเพียงใจ)

ยุคสมัย Edo Period (1600-1868) คือช่วงเวลาที่ประเทศญี่ปุ่นมีความเคร่งครัดในขนบวิถี ประเพณีวัฒนธรรม สังคมกำหนดกฎกรอบอะไรไว้ ประชาชนก็ต้องปฏิบัติตามนั้น ชนชั้นพ่อค้า/ซามูไรมักแต่งงานภายในเครือญาติเพื่อรักษาสถานะทางสังคม การคบชู้นอกใจ ตกหลุมรักโสเภณี ถือเป็นเรื่องต้องห้าม (Taboo) สร้างความเสื่อมเสียให้วงศ์ตระกูล

แต่ความรักมันเป็นเรื่องหักห้ามใจกันได้เสียที่ไหน เมื่อถึงขีดสุดความอดกลั้น เขาและเธอมักหลบหนีตามกันไป ทอดทิ้งทุกสิ่งอย่าง หรือถ้าทนแรงกดดันสังคมไม่ไหว หนทางออกสุดท้ายคือฆ่าตัวตาย ร่วมกันกระทำอัตวินิบาต แสดงออกความรักอันบริสุทธิ์ และสำแดงอารยะขัดขืนต่อต้านขนบวิถี ประเพณีวัฒนธรรม สังคมและการเมืองอย่างถึงที่สุด

บทละคอนทั้งหุ่นเชิด (Bunraku) และคาบูกิ (Kabuki) ของ Chikamatsu Monzaemon (1653-1725) มักเขียนเรื่องราวโศกนาฎกรรมความรัก จบลงด้วยการฆ่าตัวตาย (จนได้รับฉายา “Shakespeare of Japan”) เป็นสิ่งที่สามารถสะท้อนสภาพสังคมยุคสมัยนั้น Edo Period (1600-1868) พบเห็นมากมายเกลื่อนกลาด และกลายเป็นตัวอย่างให้ลอกเลียนแบบ ถึงขนาดรัฐบาลเอโดะ (Tokugawa Shogunate) สั่งห้ามทำการแสดงเกี่ยวกับ Shinjū ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1722

สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ ความตั้งใจแรกของผกก. Shinoda (เรียนจบด้านการละคอน) ต้องการผสมผสานหลากหลายศาสตร์การแสดงเข้าด้วยกัน หุ่นเชิด (Bunraku), คาบูกิ (Kabuki), เทคนิค Kuroko ฯ ส่วนการเลือกบทละคอนของ Chikamatsu ก็เพื่อสำแดงความหัวขบถต่อขนบวิถี ประเพณีวัฒนธรรม สังคม การเมือง รวมถึงศิลปะภาพยนตร์ … ตามกระแสนิยมคลื่นลูกใหม่ Japanese New Wave

ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีการฆ่าตัวตายสูงตั้งแต่ไหนแต่ไร (ทั้งธรรมเนียม Harakiri และยังมีบทละคอน Shinjū คือต้นแบบอย่าง) ยิ่งหลังสงครามโลกครั้งที่สอง (Post-War) และการมาถึงของ Great Depression ทศวรรษ 50s ถือเป็นช่วงเวลาแห่งความสิ้นหวัง ทำให้ตัวเลขเพิ่มสูงเป็นประวัติกาล! ทศวรรษ 60s อาจปริมาณลดลงบ้างแต่ก็ยังเป็นตัวที่สูงอยู่ ถึงอย่างนั้นไม่มีประเทศไหนในโลกอัตราการฆ่าตัวตายสูงเท่าญี่ปุ่นอย่างแน่นอน!

นั่นแปลว่าอะไร? ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีความเคร่งครัดในขนบวิถี ประเพณีวัฒนธรรม สังคมกำหนดกฎกรอบอะไรไว้ ก็ปลูกฝังลูกหลานให้ต้องปฏิบัติตามนั้น นี่อาจทำให้ทุกสิ่งอย่างดูเป็นระบบระเบียบ ประชาชนมีวินัยในตนเองสูง แต่ทิศทางกลับกันมันก็เหมือนกรงขัง โซ่ตรวน พันธนาการเหนี่ยวรั้ง มัดแน่นจนหายใจไม่ออก ใครอดรนทนไม่ไหวเลยก็เลยกระทำการ … พวกเขาไม่ได้มองว่าการฆ่าตัวตายเป็นเรื่องเสื่อมเสียหายด้วยซ้ำไป

(มันอาจคือแนวคิดที่บิดเบือนมาจาก Harakiri ไม่ว่าจะเคยกระทำสิ่งชั่วร้ายอะไรมา ถ้าฆ่าตัวตายด้วยวิธีนี้จักถือเป็นการแสดงถึงความรับผิดชอบ รักษาเกียรติ ฟื้นฟูศักดิ์ศรีกลับคืนมา)


เสียงตอบรับเมื่อตอนออกฉายถือว่าดียอดเยี่ยม ได้รับการโหวตจากนิตยสาร Kinema Junpo ให้เป็นภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแห่งปี ค.ศ. 1969 และยังคว้ามาอีกหลายรางวัล

  • Kinema Junpo Award
    • Best Film
    • Best Director
    • Best Actress (Shima Iwashita)
  • Mainichi Film Concours
    • Best Film
    • Best Actress (Shima Iwashita)
    • Best Sound Recording
    • Best Film Score

ผมแอบแปลกใจเล็กๆที่หนังยังไม่ได้รับการบูรณะ ฉบับของ Criterion Collection มีเพียง DVD ที่ผ่านการสแกนใหม่ ‘digital transfer’ วางจำหน่ายตั้งแต่ปี ค.ศ. 2001 แต่คุณภาพก็ถือว่าน่าพึงพอใจ

แม้ส่วนตัวจะชื่นชอบ Pale Flower (1964) มากกว่า Double Suicide (1969) แต่ก็ต้องยอมรับว่าหนังเรื่องนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่ซ้ำแบบใคร และไม่มีใครสามารถทำตาม ผสมผสานศาสตร์+ศิลปะ+การแสดง คลุกเคล้าเข้ากันได้อย่างกลมกล่อม รักวิปโยคที่พร้อมระเบิดระบายอารมณ์อย่างคลุ้มบ้าคลั่ง และเคลือบแฝงนัยยะอย่างลุ่มลึกล้ำ

จัดเรต 18+ กับโศกนาฎกรรมแห่งรัก

คำโปรย | Double Suicide ผสมผสานศาสตร์+ศิลปะ+การแสดง เพื่อนำเสนอรักวิโยคได้อย่างม้วยมรณา
คุณภาพ | ร์พี
ส่วนตัว | ม้วยมรณา

Leave a Reply

avatar

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

  Subscribe  
Notify of
%d bloggers like this: