Demons

Demons (1971) Japanese : Toshio Matsumoto ♥♥♥♥♡

จากแพรวพราวด้วยลูกเล่นภาพยนตร์แปลกใหม่ Funeral Parade of Roses (1969), ผลงานถัดไปของผู้กำกับ Toshio Matsumoto นำเสนอมุมมืด ปีศาจภายในจิตใจ ซามูไรถูกเกอิชาทรยศหักหลัง บันดาลโทสะ มิอาจควบคุมอารมณ์เกรี้ยวกราด พร้อมทำทุกสิ่งอย่างเพื่อฆ่าล้างแค้น, “ต้องดูให้ได้ก่อนตาย”

ตอนผมรับชม Funeral Parade of Roses (1969) แม้เป็นหนังขาว-ดำ แต่รู้สึกเหมือนเต็มไปด้วยสีสัน (ของชาวสีรุ้ง) ตื่นตาตื่นใจ แพรวพราวด้วยลูกเล่นภาพยนตร์ Experimental, Avant-Garde เมื่อนำออกฉายต่างประเทศ กลายเป็นแรงบันดาลใจ Stanley Kubrick สรรค์สร้าง A Clockwork Orange (1971)

ตรงกันข้ามกับผลงานเรื่องที่สอง Demons (1971) เป็นภาพยนตร์ละเล่นกับแสง-เงา ภาพถ่าย Low Key อึมครึมยิ่งกว่าหนังนัวร์ เพื่อสะท้อนมุมมืดภายในจิตใจ ซามูไรถูกเกอิชาทรยศหักหลัง จนมิอาจควบคุมอารมณ์ตนเอง กลายเป็นปีศาจในคราบมนุษย์! แต่หนังชักชวนให้ผู้ชมครุ่นคิดตั้งคำถาม ใครกันแน่คือปีศาจร้าย? ระหว่างเกอิชาทรยศหักหลังผู้อื่น? หรือซามูไรทำทุกสิ่งอย่างเพื่อโต้ตอบเอาคืน?

หลายปีก่อนที่ผมเขียนถึง Funeral Parade of Roses (1969) มีความสนอกสนใจผลงานถัดมา Demons (1971) เพราะเห็นคะแนนใน IMDB.com สูงถึง 7.9 (มากกว่า 7.7 ของ Funeral Parade of Roses เสียอีกนะ!) แต่ยังหาโอกาสรับชมไม่ได้สักที เอาจริงๆแนวหนังออกไปทาง Revenge Film แต่บรรยากาศทะมึน อึมครึม ปีศาจในคราบมนุษย์ สามารถจัดเข้าพวก J-Horror ได้ด้วยกระมัง


Toshio Matsumoto, 松本 俊夫 (1932-2017) ผู้กำกับภาพยนตร์/สารคดี นักทฤษฎี นักวิจารณ์ สัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Nagoya, Aichi ตั้งแต่มัธยมหลงใหลการวาดรูป แต่ครอบครัวไม่ส่งเสียเลยจำต้องเลือกเรียนหมอ University of Tokyo ก่อนแอบเปลี่ยนมาเรียนทฤษฎีศิลปะโดยไม่บอกครอบครัว ค้นพบความสนใจภาพยนตร์แนว Italian Neorealist, Experimental และ Documentary, หลังเรียนจบทำงานบริษัทผลิตภาพยนตร์เล็กๆ Shin Riken Cinema เพื่อเรียนรู้จักเทคนิคต่างๆ จนมีโอกาสสร้างสารคดีขนาดสั้นแนวทดลองเรื่องแรก 銀輪, Bicycle (1955)

มีหลากหลายโปรเจคหนังสั้น แนวทดลองของผกก. Matsumoto ที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย

  • The Weavers of Nishijin (1961) สารคดีเกี่ยวกับการทอผ้าพื้นเมือง vs. อุตสาหกรรมทอผ้าสมัยใหม่
    • https://www.youtube.com/watch?v=X2GBZiMlC8s
  • For My Crushed Right Eye (1968) ผมค่อนข้างเชื่อว่าได้แรงบันดาลใจจาก Chelsea Girls (1966) ของ Andy Warhol ทำการฉายหนังจาก 2 โปรเจคเตอร์พร้อมๆกัน
    • https://www.youtube.com/watch?v=6X0A4SBrnCg
  • Mona Lisa (1973) นำเอาภาพวาดชื่อดังก้องโลกของ Leonardo da Vinci มาปู้ยี้ปู้ยำด้วยเครื่อง Scanimate ที่ใช้สำหรับทำ Computer Animation (หรือ Video Synthesizer) ลองรับชมผลการทดลองดูนะครับ
    • https://www.youtube.com/watch?v=i9-QETgf1Vs
  • Atman (1975) ถ่ายภาพบุคคลสวมหน้ากาก Hannya จากทุกทิศทาง รอบด้าน ซูมเข้า-ออก จากทั้งหมด 480 ตำแหน่ง นำมาร้อยแรงเข้าด้วยกัน
    • https://www.youtube.com/watch?v=GDwqswtxQCY
  • Black Hole (1977), Enigma: Nazo (1978) และ White Hole (1979) เป็นไตรภาคใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์จำลองสร้างหลุมขาว หลุมดำ คล้ายๆกับฉาก Stargate จากภาพยนตร์ 2001: A Space Odyssey (1968)
    • Enigma (1978): https://www.youtube.com/watch?v=FeSgUhQC0dk
    • White Hole (1979): https://www.youtube.com/watch?v=G0fFLvwjr0g
  • Engram (1987) นำเอาภาพถ่าย(โพลารอยด์)มาร้อยเรียง แปะติดปะต่อ ทำให้เหมือนภาพเคลื่อนไหว
    • https://www.youtube.com/watch?v=BntxUum6FwI

เมื่อปี ค.ศ. 1963 ตีพิมพ์หนังสือทฤษฎีภาพยนตร์เกี่ยวกับแนวคิด Avant-Garde ชื่อ 映像の発見, อ่านว่า Eizō no hakken ชื่ออังกฤษ The Discovery of the Image ตั้งคำถามเกี่ยวกับมุมมองการเล่าเรื่อง ‘Point-of-View’ ภาพยนตร์สมัยนั้นนิยมดำเนินผ่านมุมมองตัวละครหนึ่งใด แตกต่างจากสารคดีที่มักสนใจประเด็นหัวข้อ (Subject) มากกว่านำเสนอความต่อเนื่องด้วยเรื่องราวและเวลา ทำการพิสูจน์ทฤษฎีดังกล่าวกับภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องแรก Funeral Parade of Roses (1969)

สำหรับภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องที่สอง 修羅 อ่านว่า Shura ใช้ชื่อภาษาอังกฤษ Demons หรือ Pandemonium หรือ Bloodshed, ร่วมงานนักเขียนขาประจำ Toshio Matsumoto ทำการดัดแปลงการแสดงคาบูกิ (Kabuki Play) 盟三五大切, Kamikakete Sango Taisetsu (Lovers’ Pledge) หรือคนส่วนใหญ่รับรู้จักในชื่อ Koman & Gengobê ประพันธ์โดย Tsuruya Nanboku IV (1755-1829) ทำการแสดงครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1825

เกร็ด: Tsuruya Nanboku IV (1755-1829) คือบุคคลเดียวกับที่ประพันธ์ 四谷怪談, Yotsuya Kaidan หรือ The Ghost of Yotsuya

Koman & Gengobê มีลักษณะเป็น Spin-Off หรือ Sidequel ของ 忠臣蔵, Chūshingura ชื่อภาษาอังกฤษ The Treasury of Loyal Retainers หรือที่คนส่วนใหญ่รับรู้จักในชื่อ 47 Rōnin, อดีตซามูไร 47 คน รวมกลุ่มกันเพื่อล้างแค้นให้กับไดเมียว Asano Naganori แห่ง Akō ซึ่งถูกบังคับให้ทำการคว้านท้อง (Seppuku) เมื่อปี ค.ศ. 1701 หลังบันดาลโทสะใช้ดาบกระทำร้าย Kira Yoshinaka ข้าหลวง (Kōke) ผู้มีอิทธิพลของโชกุน Tokugawa Tsunayoshi ที่ปราสาท Edo Castle (ทำผิดกฎที่ชักอาวุธภายในปราสาทโชกุน) เมื่อสูญเสียเจ้านาย ผู้ติดตามซามูไรกว่าสามร้อยนายในตระกูลจึงกลายเป็น Rōnin (ซามูไรไร้นาย) ในจำนวนนี้ 47 คนได้ซุ่มวางแผนแก้แค้นเป็นเวลาสองปี นำโดยหัวหน้า Ōishi Yoshio บุกเข้าโจมตีคฤหาสถ์ของ Kira Yoshinaka สังหารข้าหลวงด้วยการตัดศีรษะวันที่ 30 มกราคม ค.ศ. 1703 นำไปวางบนหลุมฝังศพเจ้านายที่วัด Sengaku-ji จากนั้นเข้ามอบตัวทางการ ได้รับอนุญาตคว้านทอง (Seppuku) แทนโทษประหารชีวิต


เรื่องราวของ Gengobê (รับบทโดย Katsuo Nakamura) หนึ่งในซามูไรที่เคยรับใช้ไดเมียว Asano Naganori แห่ง Akō ปัจจุบันกลายเป็น Rōnin ใช้ชีวิตเตร็ดเตร่ สำมะเทเมา ครองรักอยู่กับเกอิชาสาว Koman (รับบทโดย Yasuko Sanjo) กระทั่งการมาถึงของคนรับใช้ Hachiemon (รับบทโดย Masao Imafuku) สรรหาเงิน 100 ryo มาเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับเข้าร่วมสมาชิก 48 Rōnin

ความเข้าหู Koman จึงรวมหัวพวกพ้อง พยายามล่อหลอกปั่นหัว เพื่อให้ได้เงินจ่ายค่าตัว 100 ryo มาจาก Gengobê แล้วเปิดเผยว่าตนเองแต่งงานอยู่แล้วกับ Sangorô (รับบทโดย Jûrô Kara) นั่นสร้างความเกรี้ยวกราดโกรธา ระบายอารมณ์คลุ้มคลั่งออกมาด้วยการเข่นฆ่าล้าง สังหารโหดพวกนักตุ้มตุ๋นหลอกลวง

บังเอิ้ญว่า Sangorô และ Koman สามารถหลบหนีเอาตัวรอด เดินทางกลับมาหาบิดาเพื่อนำเงิน 100 ryo มามอบให้ผู้ติดตามซามูไร Soemon Funakura (ซึ่งก็คือ Gengobê) สำหรับใช้เป็นค่าใช้จ่ายเข้าร่วมสมาชิก 48 Rōnin แต่ทว่า Gengobê ยังเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น สังหารตัดคอ Koman ก่อนท้ายที่สุดเมื่อเรียนรู้ว่า Sangorô คือใคร ทำให้เขาตกอยู่ในความสิ้นหวังอาลัย ทั้งหมดนี้ทำไปเพื่ออะไร?


Katsuo Nakamura, 中村嘉葎雄 (เกิดปี ค.ศ. 1938) นักแสดงสัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Tokyo เป็นบุตรคนที่เก้า (บุตรชายคนที่ห้า) ของ Nakamura Tokizo III นักแสดงคาบูกิชื่อดัง ตามประเพณีต้องฝึกฝนการแสดงคาบูกิตั้งแต่เด็ก ขึ้นทำการแสดงครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1943 แต่หลังเรียนจบมัธยมร่วมกับพี่ชายคนโต Kinnosuke Nakamura เข้าร่วมสตูดิโอ Shochiku ภาพยนตร์เรื่องแรก Furisode kenpô (1955), แต่กว่าจะเริ่มมีชื่อเสียงก็เมื่อย้ายมา Toei แจ้งเกิดกับ Kwaidan (1964), The Pleasures of the Flesh (1965), Demons (1971) ฯ

รับบท Gengobê ซามูไรตกอับ หลังสูญเสียเจ้านาย ใช้ชีวิตอย่างเตร็ดเตร่ สำมะเลเทเมา ลุ่มหลงในมารยาเสน่ห์ของเกอิชาสาว Koman เชื่อมั่นว่าจักได้ครองรักร่วมกัน แต่กลับถูกเธอล่อหลอกลวงจนสูญเสียเงิน 100 ryo ที่คนรับใช้อุตส่าห์หามาอย่างยากลำบาก เพื่อให้เขาเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ 48 Rōnin ที่กำลังวางแผนแก้ล้างแค้น ทวงคืนศักดิ์ศรีซามูไรเก่ากลับคืนมา

เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความขัดแย้งภายในจิตใจให้กับ Gengobê ทำไมฉันถึงโง่เง่าเต่าตุ่น ไม่สามารถควบคุมตนเอง กระทำสิ่งตอบสนองตัณหาอารมณ์ความใคร่ แทนที่นำเงินก้อนนั้นไปใช้เพื่อส่วนรวม ทวงศักดิ์ศรี เกียรติซามูไร พอไม่หลงเหลืออะไรจึงกลายร่างเป็นปีศาจ ต้องการเข่นฆ่าล้างแค้น ก่อนท้ายที่สุดค้นพบสิ่งที่เขากระทำ ได้นำพาหายนะหวนกลับหาตนเอง

การแสดงของ Nakamura อาจไม่ได้ลึกล้ำ ซับซ้อน แต่สามารถสวมวิญญาณตัวละคร ถ่ายทอดความรู้สึกขัดแย้งภายในที่ผู้ชมสามารถสัมผัสจับต้องได้ ผมชอบตอนแสดงท่าทางเก็บกด อดกลั้น มือไม้สั่นๆ ร่างกายเกร็งๆ พยายามควบคุมตนเอง แต่เมื่อทำไม่สำเร็จจึงกลายร่างเป็นปีศาจร้าย ไม่สนห่าเหวอะไรใคร พร้อมทำทุกสิ่งอย่างเพื่อฆ่าล้างแค้น ทวงคืนศักดิ์ศรีซามูไร

มันมีฉากเล็กๆที่ผมชื่นชอบเป็นพิเศษ หลังจากคนรับใช้ Hachiemon ยินยอมรับผิดแทน Gengobê และระหว่างเดินผ่านสุสาน พบเห็นวิญญาณคนตายติดตามมาหลอกหลอน นี่ไม่ใช่แค่ตัวละครแต่ผู้ชมเกิดอาการขนหัวลุกพอง เหมือน(วิญญาณเหล่านั้น)พยายามโน้มน้าว ฉุดเหนี่ยวรั้ง ยั้งเตือนสติไม่ให้เขาเกินเลยเถิดไปไกลกว่านี้ … การสังหารหมู่ว่าเลวร้าย แต่การกระทำหลังจากนี้ของ Gengobê จักทำให้เขากลายเป็นปีศาจอย่างเต็มตัว!

รสชาดการล้างแค้นมันช่างหวานฉ่ำ สามารถระบายอารมณ์อัดอั้น คลายความคลุ้มบ้าคลั่ง แต่หลังจากรับรู้เบื้องหลังความจริงทั้งหมด กลับทำให้ Gengobê (และผู้ชม) ตกอยู่ในความห่อเหี่ยว หมดสิ้นหวังอาลัย ทั้งหมดนี้ฉันทำไปเพื่ออะไรกัน? การล้างแค้นมันคุ้มค่าหรือไม่?


ถ่ายภาพโดย Tatsuo Suzuki, 鈴木 達夫 (เกิดปี ค.ศ. 1935) ตากล้องสัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Fukuoka, เข้าสู่วงการภาพยนตร์จากถ่ายทำสารคดี Iwanami Productions ก่อนออกมาเป็นช่างภาพฟรีแลนซ์ เคยร่วมงานผกก. Matsumoto ตั้งแต่สารคดีสั้น For My Crushed Right Eye (1968), ภาพยนตร์ขนาดยาว Funeral Parade of Roses (1969), Demons (1971), Dogra Magra (1988), ผลงานเด่นอื่นๆ อาทิ A Story Written with Water (1965), Woman of the Lake (1966), Himiko (1974), Lady Snowblood 2: Love Song of Vengeance (1974), Pastoral: To Die in the Country (1974), Under the Blossoming Cherry Trees (1975), The Man Who Stole the Sun (1979), Farewell to the Ark (1984), Childhood Days (1990), Sharaku (1995), Owls’ Castle (1999) ฯ

นอกจากภาพแรกของหนังที่ถ่ายทำด้วยฟีล์มสี พระอาทิตย์ตกดิน! เพราะตลอดทั้งเรื่องจะปกคลุมด้วยความมืดมิดยามค่ำคืน โดดเด่นกับภาพ Low Key (ภาพที่มี Contrast ค่อนข้างสูง เพื่อสามารถเห็นส่วนมืดและส่วนสว่างได้อย่างชัดเจน) ละเล่นกับแสงไฟ-เงามืด อาบฉาบใบหน้าตัวละคร สร้างบรรยากาศทะมึน อึมครึม สะท้อนด้านมืดภายในจิตใจ (ลักษณะคล้ายๆหนังนัวร์)

อีกสิ่งน่าสนใจคือหนังถ่ายทำด้วยอัตราส่วน Academy Ratio (1.37:1) ซึ่งช่วยสร้างความกดดัน อึดอัดอั้น เพราะทุกช็อตฉากต้องมีการจัดวางองค์ประกอบภายในกรอบเฟรมที่คับแคบกว่าปกติ … อัตราส่วนนี้เวลาถ่ายภาพโคลสอัพใบหน้า มันจะเต็มตาเต็มใจ เต็มเฟรมพอดิบพอดี ทำให้สัมผัสความรู้สึกตัวละครได้อย่างเต็มๆ

คนที่รับชมหนังจบแล้วย่อมสามารถเข้าใจภาพความฝัน/นิมิตหมายของ Gengobê ล้วนคือการบอกใบ้เหตุการณ์กำลังจะเกิดขึ้นจริง!

  • โคมไฟล่องลอย = Gengobê กำลังถูกเจ้าหน้าที่รัฐ ไล่ล่าจับกุมตัว
  • ส่วนความตายของใครๆ รวมถึงเกอิชา Koman ทั้งหมดล้วนเป็นฝีมือของ Gengobê

หลายต่อหลายครั้งในหนัง จะปรากฎภาพนิมิต/ความฝัน หรือความครุ่นคิดของตัวละคร ก่อนนำเข้าสู่เหตุการณ์บังเกิดขึ้นจริง! จุดประสงค์เพื่อสร้างความตระหนัก ระแวดระวัง ย้ำเตือนสติไม่ให้มันเกิดขึ้นจริง ซึ่งภาพความฝันในอารัมบทนี้ก็สอดคล้องเข้ากับลีลาดำเนินเรื่องดังกล่าว ถึงอย่างนั้น Gengobê กลับไม่ได้เรียนรู้อะไร เพิกเฉยลอยชาย ปล่อยให้เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริงจนได้!

Demons (1971) เป็นภาพยนตร์ที่ใช้ประโยชน์จากแสงสว่าง-เงามืด ได้แพรวพราวมากๆเรื่องหนึ่ง การปรับ Contrast ให้สูงๆ ทำให้มองไม่เห็นรายละเอียดอื่นที่ไม่อยู่ในขอบเขตแสงสว่าง ตัวละครจึงสามารถก้าวเดินออกจากความมืด ปรากฏตัวขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย … โผล่ออกมาจากความมืด น่าจะเป็นลูกเล่นพบเห็นบ่อยครั้งสุดแล้วกระมัง

ระหว่างที่คนรับใช้ Hachiemon พยายามพูดพร่ำบ่น เล่าอธิบายความหลัง บรรยายสรรพคุณโน่นนี่นั่นของ Gengobê กล้องค่อยๆแพนนิ่งจากตัวละครหนึ่ง พานผ่านความมืดมิดอย่างช้าๆ ก่อนไปสิ้นสุดยังอีกตัวละครหนึ่ง (Hachiemon → Gengobê → Hachiemon) เป็นการสร้างสัมผัสทางอารมณ์อันเอื่อยเฉื่อย น่าเบื่อหน่าย แบบเดียวกับความรู้สึกของ Gengobê ทำไมฉันต้องมาทนฟังคุณงามความดีของตนเอง? แต่ถือเป็นการอธิบายเบื้องหลังตัวละครให้กับผู้ชมเสียมากกว่า

ปล. หลังจาก Hachiemon พูดบรรยายสรรพคุณจบสิ้น Gengobê ลุกขึ้นไปเลื่อนปิดหน้าต่าง เพื่อสื่อถึงการปิดกั้น ไม่รับฟัง ฉันไม่สนห่าเหวอะไรอีกต่อไป

ในครั้งแรกผมนึกว่าตนเองตาฝาดไป! แต่พอพบเห็นครั้งสอง ครั้งสาม ก็เริ่มตระหนักว่านี่คือความจงใจของผกก. Matsumoto ฉายภาพซ้ำๆ (Replay) เพื่อเน้นย้ำ ตอกย้ำ ทำให้แน่ใจ อย่างตอนคนรับใช้ Hachiemon มอบเงิน 100 ryo ให้กับ Gengobê ฉายภาพซ้ำเหมือนเป็นการหยิกตนเองให้ปลุกตื่น นี่ไม่ใช่ความฝันใช่ไหม?

หลังได้รับเงิน 100 ryo หนังใช้วิธีการนำเสนอคล้ายแบบเดียวกับก่อนหน้าที่ค่อยๆแพนกล้องอย่างเอื่อยเฉื่อย น่าเบื่อหน่าย แต่คราวนี้ราวกับชีวิตค้นพบเป้าหมาย ทั้งสองฝ่ายนั่งตัวตรง อยู่กึ่งกลางเฟรม ระยะทาง(ความมืด)ระหว่างแพนนิ่งก็สั้นลงเยอะ ดูกระชับฉับไว สลับทิศทางไปกลับจาก Gengobê → Hachiemon → Gengobê

อาชีพของซามูไรตกอับที่พบเห็นบ่อยในภาพยนตร์ อาทิ ทำร่ม ทำโคม ทำบอลลูนกระดาษ ฯ สำหรับเรื่องนี้ใช้ประโยชน์จากโครงร่มที่ยังทำไม่เสร็จ บดบังใบหน้าของ Gengobê ระหว่างอ่านจดหมายของ Koman สื่อถึงการกำลังจะติดกับดัก ตกหลุมพราง ไม่สามารถดิ้นหลบหนีจากโชคชะตากรรม

แวบแรกที่ผมเห็นภาพภายในโรงน้ำชา (Tea House) ณ Fugakawa แอบสัมผัสได้เลยว่านี่คือจัดฉาก การแสดง เล่นละคอนตบตา เพราะมีองค์ประกอบที่เหมือนละคอนเวที (Kabuki play) กอปรด้วยฉากพื้นหลัง นักแสดงเบื้องหน้า รอบข้างปกคลุมด้วยความมืดมิด และ Gengobê แอบถ้ำมองในมุมของผู้ชม

ในความครุ่นคิด/เพ้อฝันของ Gengobê บุกเข้าไปสำแดงตัวในโรงน้ำชาอย่างสง่าผ่าเผย ด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง จองหอง อ้างอวดบารมี ฉันคือซามูไรผู้ยิ่งใหญ่ เกรียงไกร ไม่ก้มหัวให้ใคร หยิบถุงใส่เงินมากระชากออก ให้บริวารทั้งหลายก้มหัวศิโรราบอยู่แทบเท้า

ขณะที่โลกความจริง Sangorô เป็นคนลากพา Gengobê นำหน้าเข้ามาในโรงน้ำชา เต็มไปด้วยความขัดแย้ง สองจิตสองใจ สังเกตว่าภาพแรกยืนหลบซ่อนอยู่หลังม่านไม้ไผ่ (ฝั่งซ้ายมือ) พยายามปฏิเสธ น้ำเสียงอ่อยๆ ไม่พร้อมจ่ายเงิน อยากจะเร่งรีบเดินทางกลับ

แต่หลังจาก Koman ใช้มารยาหญิง ล่อหลอกว่าจะฆ่าตัวตาย เขาจึงมิอาจฝืนใจตนเอง นั่งลงคุกเข่า ยื่นถุงใส่เงิน ด้วยท่าทางสุภาพอ่อนน้อม แต่ก็ยังเคลือบแฝงความเย่อหยิ่งทะนง ด้วยเกียรติศักดิ์ศรีซามูไร พร้อมยินยอมทำทุกสิ่งอย่างเพื่อหญิงคนรัก

สภาพสิ้นหวังของ Gengobê หลังรับรู้ว่า Koman เคยแต่งงานมีคู่ครองอยู่แล้วนั้น ทำให้มือไม้สั่นไหว จิตใจว้าวุ่นวาย เอาแต่ครุ่นคิดถึงภาพของ Sangorô (สามีของ Koman) ปรากฎขึ้น (Whip-pan) ซ้ำไปซ้ำมา คอยตอกย้ำว่าฉันคือสามี “It is me!” เป็นลีลานำเสนอในลักษณะ “Expressionism” ทำให้ผู้ชมสัมผัสถึงความรู้สึก/สภาพจิตใจตัวละครได้อย่างงดงาม ทรงพลัง ใครกันจักสามารถอดกลั้นฝืนทน ควบคุมอารมณ์ตนเองไหว

ภาพความตายถ่ายลงมาจากบนเพดาน (และเห็นห้องอื่นๆด้วยนะ) ผมแอบรู้สึกว่ารับอิทธิพลจากผลงานผกก. Nobuo Nakagawa ผู้บุกเบิกหนังผีญี่ปุ่น “Master of Ghost Film” อาทิ The Ghost of Yotsuya (1959), Jigoku (1960) ฯ ต้องถือว่ากลายเป็นช็อตคลาสสิกในหนัง J-Horror เลยก็ว่าได้

ผมขี้เกียจลงรายละเอียดแต่ละความตายของตัวละคร บอกใบ้ว่าล้วนเคลือบแฝงนัยยะที่ไม่ใช่แค่เลือดสาด(ศิลปะ) หรือระบายอารมณ์อัดอั้น ยกตัวอย่าง ตัดมือคือผลกรรมของการลักขโมย, พระพุทธรูปไม่ช่วยอะไร, พังประตูสื่อถึงการกระทำ(สังหารหมู่ครั้งนี้)ได้ก้าวข้ามขอบเขตความเหมาะสม (กลายเป็นทำเกินกว่าเหตุไปแล้ว) ฯ

ย้อนรอยกับตอนต้นเรื่องที่มีการแพนกล้องสองครั้ง ครั้งหนึ่งอย่างเอื่อยเฉื่อย เคลื่อนผ่านความมืดอย่างเชื่องช้า, ครั้งสองเมื่อตัวละครค้นพบเป้าหมาย ทุกคนอยู๋ตำแหน่งกึ่งกลาง ดำเนินไปอย่างกระชับฉับไว

  • Sangorô และ Koman นำเงิน 100 ryo มาให้กับบิดา ทำให้ได้รับการยินยอมรับ สำเร็จภารกิจได้รับมอบหมาย หวนกลับคืนวงศ์ตระกูล ชีวิตชื่นมื่น สุขสันต์ ต่างนั่งอยู่กึ่งกลางเฟรม
  • ช่วงท้ายกลับมาเป็น Gengobê กับลูกน้องคนสนิท (บิดาของ Sangorô) การแพนนิ่งดำเนินไปอย่างเอื่อยเฉื่อย เชื่องช้า เพราะหลังจากฆ่าล้างแค้นสำเร็จ จิตใจของเขายังคงซึมเศร้า ว่างเปล่า หมดสิ้นความกระตือรือล้น ไม่อยากทำอะไรอีกต่อไป

Gengobê ติดตามมาจนพบเจอ Sangorô & Koman แต่เขาไม่ได้สำแดงอารมณ์เกรี้ยวกราดอะไร แค่อยากดื่มด่ำ รับฟังบทเพลงที่ Koman เคยบรรเลง Shamisen ซึ่งระหว่างกล้องค่อยๆเคลื่อนไหล หมุนวนรอบ Gengobê หลับตาหวนระลึกความหลัง ความทรงจำเมื่อเขาและเธอเคยพรอดรักร่วมกัน มันช่างเป็นความสุขอันขื่นขม ยากยิ่งจะทำใจยินยอมรับความจริง

การเสียสละของ Hachiemon ยินยอมเป็นแพะรับบาปให้กับ Gengobê นั่นควรทำให้เขาบังเกิดสติ หยุดยับยั้งชั่งใจ แต่กลับยังเล่นละคอนตบตา แสร้งว่ายินยอมให้อภัย พร้อมแนะนำ Sangorô ให้ดื่มสาเก(ใส่ยาพิษ)มอบทิ้งไว้ มันช่างฟังดูขัดย้อนแย้ง และแถมพี่แกยังเดินหายตัวเข้าไปในความมืด ช่างเต็มไปด้วยลับเลศนัยยิ่งนัก

ขณะที่ Sangorô หลังรอดพ้นตัวตาย แทนที่จะรู้สาสำนึกบุญคุณ รีบวิ่งแจ้นไปเอาเกลือมาปัดเป่าปีศาจ ขับไล่สิ่งชั่วร้าย ด้วยท่าทางระริกระรี้ กระดี่ได้น้ำ แมวไม่อยู่หนูร่าเริง หมอนี่ไม่มีความน่าสงสารเห็นใจเลยสักนิด!

ภาพซ้อนวิญญาณติดตามมาหลอกหลอน Gengobê นี่ก็ชวนให้ผมนึกถึง The Ghost of Yotsuya (1959) มีฉากคล้ายๆกันนี้เพื่อสำแดงความหวาดกลัวของตัวละคร รับรู้สิ่งที่ตนกระทำนั้นไม่ถูกต้อง แต่มิอาจปล่อยละวางความอาฆาตแค้น หลายสิ่งอย่างมันค้ำคอ ขี่หลังเสือแล้วลงยาก … สังเกตว่าผีทุกตัวต่างกวักมือเรียก ตายไปลงนรกด้วยกันอย่างแน่นอน

ความตายของทารกน้อยเกิดจาก Gengobê จับมือ Koman ร่วมกันทิ่มแทงดาบลงไป นี่อาจสื่อถึงพฤติกรรมที่ผ่านมาของทั้งสอง (Gengobê ผู้หมกมุ่นกับความอาฆาตแค้น, Koman หญิงสาวที่ทรยศหักหลังผู้อื่น) ไม่ต่างจากการฆ่าตัดตอน ทำลายอนาคตลูกหลาน เป็นต้นแบบอย่างไม่ดีให้กับคนรุ่นถัดๆไป

ส่วนความตายของ Koman จริงๆมีหลายบาดแผล แต่การลงดาบครั้งสุดท้าย Gengobê ทิ่มแทงเข้าด้านหลัง (เพื่อสื่อถึงพฤติกรรมทรยศหักหลังของหญิงสาว) พบเห็นน้ำเลือดพุ่งเป็นสายไปยังเสื่อ Tatami ระบายสีแห่งความตาย (คล้ายๆแบบ Tenebrae (1982))

ลูกน้องคนสนิทของ Gengobê ยินยอมเสียสละตนเองบวชพระ เพื่อปักหลักตั้งถิ่นฐาน(ชั่วคราว)ยัง Yotsuya ยามค่ำคืนทำการเคาะระฆัง พบเห็นครั้งแรกระหว่าง Opening Credit (น่าจะตอนหกโมงเย็น พระอาทิตย์ตกดิน) และอีกครั้งนี้(น่าจะตอนเที่ยงคืน)หลังจาก Gengobê ฆ่าสังหารโหด Koman เพื่อสื่อถึงช่วงเวลามืดมิดที่สุด เบื้องความจริงกำลังจะได้รับการเปิดเผย อันจะทำให้ทุกคนตกอยู่ในความห่อเหี่ยวสิ้นหวัง

Sangorô หลบซ่อนตัวในโกศไม้ (หีบศพ) นี่ก็แอบบอกใบ้ถึงความตายของตัวละคร ซึ่งพอพบเห็นศีรษะภรรยา Koman เลยตัดสินใจคว้านท้องเลียนแบบ Seppuku ของซามูไร (ต้องการตายอย่างมีเกียรติ แต่ทว่า…) แล้วทะลายโกศก้าวออกมาถึง 4-5 ครั้ง (มากที่สุดในการฉายภาพซ้ำ) เพื่อเน้นย้ำ ตอกย้ำถึงความเจ็บปวดชอกช้ำ รู้สึกผิดอย่างรุนแรงต่อสิ่งที่ได้กระทำ ฆ่าตัวตายซ้ำหลายครั้งก็ยังไม่สาสมแก่ความโง่ขลาดเขลาของตนเอง

ความตายของ Sangorô ทำให้ Gengobê ถึงกับเบือนหน้าหนี เงยหน้า หลับตา หายใจเข้าลึกๆแล้วผ่อนออกมา เมื่อก้าวออกจากเฟรมพบเห็นปรับโฟกัสเจ้าแม่กวนอิม(มั้งนะ)ที่อยู่ด้านหลัง ได้ยินเสียงสวดมนต์ดังกึกก้องกังวาล พอออกไปนอกศาลาวัดหยุดยืนตรงต้นไม้หนึ่ง ไม่รู้เหมือนกันจะทำอะไร

คำบรรยายตอนจบบอกว่า Gengobê หรือชื่อจริงๆ Soemon Funakura ไม่ได้เข้าร่วม 47 Rōnin ฆ่าล้างแค้นแทนเจ้านายเก่า เช่นนั้นแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับเขา??? เป็นการให้อิสระผู้ชมครุ่นคิดจินตนาการ

  • Gengobê อาจจะฆ่าตัวตาย หรือสูญหายตัวอย่างไร้ร่องรอย เพราะยินยอมรับไม่ได้กับเหตุการณ์บังเกิดขึ้น
  • เข้ามอบตัว รับสารภาพผิด ติดคุกติดตาราง (แต่น่าจะโดนโทษประหารมากกว่า)
  • หันเข้าหาทางธรรม ละเลิกยุ่งเกี่ยวกับการเข่นฆ่าล้างแค้น เรียนรู้ที่จะปล่อยวางสรรพสิ่ง

ตัดต่อโดย Toshie Iwasa, 岩佐寿枝

เรื่องราวของหนังถือได้ว่ามีจุดศูนย์กลาง/เวียนวนอยู่กับเงิน 100 ryo เริ่มต้นจากคนรับใช้ Hachiemon นำมามอบให้ Gengobê แล้วถูกล่อลวงโดยคู่สามี-ภรรยา Sangorô & Koman นำมามอบให้บิดา ก่อนส่งคืนผู้ติดตามซามูไร Soemon Funakura (หรือก็คือ Gengobê) รับรู้เบื้องหลังความจริง ตกอยู่ในความสิ้นหวัง

ตลอดทั้งเรื่องจะปรากฎข้อความ (Title Card) แทรกขึ้นมาเพื่ออธิบายเหตุการณ์บังเกิดขึ้น จริงๆจะมองเป็นชื่อตอนเลยก็ยังได้ แต่ผมไม่ได้ใคร่สนใจมันสักเท่าไหร่

  • พระอาทิตย์ตกดิน + Opening Credit
  • Gengobê กับเงิน 100 ryo
    • ความฝันของ Gengobê ถูกโคมไฟไล่ล่า พอกลับมาถึงบ้านใครต่อใครต่างถูกสังหารหมู่
    • ตื่นขึ้นมาเกี้ยวพาราสีกับ Koman
    • การมาถึงของคนรับใช้ Hachiemon มอบเงินให้ 100 ryo
    • Sangorô เดินทางมาบอกว่า Koman กำลังจะถูกซื้อตัว
  • การละคอนของ Koman & Sangorô
    • Gengobê และ Sangorô แอบถ้ำมองการซื้อตัวของ Koman
    • เมื่อถึงจุดๆหนึ่ง Gengobê มิอาจอดรนทน แสดงตัวเข้าไปจ่ายเงินซื้อตัว Koman
    • สะดุ้งตื่นจากความครุ่นคิด Gengobê พยายามปฏิเสธไม่จ่ายเงิน แต่ถูกเซ้าซี้จนมิอาจยับยั้งชั่งใจ
    • แต่หลังจ่ายเงินไปแล้ว Sangorô เปิดเผยตนเองว่าคือสามีของ Koman
  • Sangorô บันดาลโทสะ
    • กลับมาบ้าน Sangorô พยายามสงบสติอารมณ์ แต่ก็มิอาจอดรนทน
    • Sangorô, Koman และผองพวกกำลังเลี้ยงฉลองความสำเร็จดังกล่าว
    • ดึกดื่น Sangorô แอบย่องเข้ามาลอบสังหารพวกคนหลอกลวง บังเอิญว่า Sangorô, Koman สามารถหลบหนีเอาตัวรอดได้หวุดหวิด
  • การเสียสละของ Hachiemon
    • Sangorô, Koman เดินทางกลับมาหาบิดาที่ Yotsuya มอบเงิน 100 ryo แล้วปักหลักอาศัยอยู่ในบ้านหลังใหม่
    • Gengobê เข้ามาเยี่ยมเยียน Sangorô, Koman นำสุรามาให้ดื่มด่ำ
    • แต่ทว่าพี่ชายของ Koman พบเห็น Gengobê เลยเรียกเจ้าพนักงานมาจับกุมข้อหาฆาตกรรม แต่ทว่า Hachiemon กลับรับสารภาพผิดแทน
    • Gengobê แสร้งทำเป็นยกโทษให้อภัย Sangorô, Koman แต่เน้นย้ำว่าให้ดื่มสุราทิ้งไว้
  • รสชาดการล้างแค้นช่างหวานฉ่ำ และขมขื่น
    • Sangorô ดื่มฉลองกับพี่ชายของ Koman แต่ทว่าสุราไหนั้นกลับอาบมียาพิษ
    • ระหว่างที่ Sangorô เดินทางไปหาบิดา, Gengobê หวนกลับมาฆ่าล้างแค้น Koman
    • Gengobê รับรู้เบื้องหลังความจริง และเมื่อ Sangorô พอพบเห็นศีรษะ Koman เลยตัดสินใจฆ่าตายตาม

ลีลาการตัดต่อถือเป็นอีกไฮไลท์ของหนัง เอาจริงๆมันก็ดำเนินเป็นเส้นตรง (Linear Narrative) แต่เพราะผกก. Matsumoto เคยเขียนหนังสือ Eizō no hakken (1963) ที่พร่ำบ่นถึงความน่าเบื่อหน่ายของการดำเนินเรื่องดังกล่าว เลยพยายามทำออกมาให้แตกต่าง บางคนอาจเรียก ‘ภาพนิมิต’ ผมขอเรียกว่า ‘Alternate Choice’ ครุ่นคิด/ฝันเห็นเหตุการณ์บังเกิดขึ้น ตัวละครเลยกระทำในสิ่งแตกต่างตรงกันข้าม

วิธีการดังกล่าวผมรู้สึกว่ามันทรงพลังอย่างมากๆ เพราะช่วยสร้างความตระหนัก ชะงักงันให้กับผู้ชม ถ้าฉันคิดหน้าคิดหลัง ครุ่นคิดสิ่งต่างๆให้รอบด้าน ก็จักไม่ต้องทนทุกข์ทรมานกับอารมณ์ชั่ววูบ การตัดสินใจที่ผิดพลาด นำพาหายนะติดตามมาไม่รู้จบสิ้น … คือถ้าฉันไม่หมกมุ่นกับเข่นฆ่า ล้างแค้น เงินๆทองๆ ความรักจอมปลอม หายนะดังกล่าวคงไม่บังเกิดขึ้น

หนังถือว่าไม่มีเพลงประกอบ ใช้ความเงียบงัน ไม่ก็เสียงประกอบ (Sound Effect) อย่างระฆัง จิ้งหรีดเรไร ทารกร้องไห้ ฯ สำหรับสร้างบรรยากาศตึงเครียด เก็บกดดัน อึดอัดอั้น แต่มีอยู่สองสามครั้งได้ยินเสียงเครื่องดนตรี Shamisen ดังล่องลอยมา หรือทำการแสดงสดๆ ในลักษณะ ‘diegetic music’ ขับร้อง-บรรเลงโดย Bunichi Nishimatsu, 西松文一

จุดเริ่มต้นต้องเท้าความถึง 47 Rōnin เจ้านายของซามูไร 47 คน ที่ถูกตัดสินอย่างอยุติธรรม จึงรวมกลุ่มกันเพื่อฆ่าล้างแค้น ทวงคืนศักดิ์ศรี เกียรติยศ วิถีแห่ง Bushidō ฆ่าได้หยามไม่ได้!

Gengobê ต้องการเข้าร่วมเป็นสมาชิกคนที่ 48 Rōnin ด้วยการจ่ายเงิน 100 ryo (สำหรับเป็นต้นทุนในการล้างแค้นแทนเจ้านาย) แต่กลับถูกล่อหลอกลวงโดย Koman & Sangorô จนสูญเสียเงินดังกล่าว สร้างความอับอาย รับไม่ได้ บันดาลโทสะ ระบายอารมณ์เกรี้ยวกราด ยินยอมทำทุกสิ่งอย่างเพื่อฆ่าล้างแค้น ทวงคืนความยุติธรรมให้กับตนเอง!

แต่เบื้องหลังนั้น Sangorô คือบุตรของคนรับใช้ ซึ่งเป็นลูกน้องของ Gengobê ต้องการเงิน 100 ryo เพื่อให้ผู้ติดตามซามูไรสามารถเข้าร่วมเป็นสมาชิกคนที่ 48 Rōnin เมื่อความจริงได้รับการเปิดเผย ทั้งหมดคือเรื่องเข้าใจผิดๆ ต่างฝ่ายต่างตกอยู่ในสภาพห่อเหี่ยว สิ้นหวัง นี่ฉันทำอะไรลงไป

Demons (1971) นำเสนอวังวนแห่งการล้างแค้น ปล่อยให้อารมณ์(โลภ-โกรธ-หลง)เข้าครอบงำ จนหน้ามืดตามัว ไม่สามารถครุ่นคิดสิ่งต่างๆให้ถี่ถ้วนรอบด้าน ตัดสินใจกระทำการผิดพลาด จึงบังเกิดเหตุการณ์หายนะติดตามมาเป็นลูกโซ่ไม่รู้จักจบจักสิ้น!

The so-called vengeance involves feelings of humiliation and hurt moving inward. Constantly allying themselves with melancholy and frustration, these feelings are turned into a limitless desire for revenge on those who have humiliated and persecuted the victim. Accordingly, in order to show the extent of his revenge, I need to keep digging into his sense of humiliation, melancholy and unquenched, almost mad, masochistic desire to kill.

Toshio Matsumoto

แล้วใครกันคือ Shura, Asura, Demons? บางคนอาจมอง Gengobê เพราะไม่สามารถควบคุมตนเอง ฆ่าสังหารทุกคนอย่างเลือดเย็น, บางคนบอก Koman & Gengobê เพราะทำการต้มตุ๋นหลอกลวง ยักยอกทรัพย์สิน ทรยศหักหลังผู้อื่น นั่นต่างหากคือพฤติกรรมของอมนุษย์

ด้วยความที่ทั้งสองฝ่าย ต่างสำแดงพฤติกรรมไร้มนุษยธรรม เราจึงสามารถมองทั้ง Gengobê & Koman & Gengobê ทุกคนล้วนเป็นอสูร ปีศาจในคราบมนุษย์ อาศัยอยู่ในโลกแห่งความมืดมิด กระทำสิ่งต่างๆโดยไม่รู้จักครุ่นคิด ควบคุมสติอารมณ์ ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับสันชาตญาณ … ในมุมของผกก. Matsumoto โลกใบนี้ต่างอะไรกับขุมนรก?

When I look back, it seems that I have lived in an inferno for the last twenty years. I have been angry so many times, and involved in well-nigh bloody clashes with others. I still remember how misunderstanding bred misunderstanding, till I found the given situation irremediable… That kind of experience is what prompted me to make Pandemonium. This world is indeed pandemonium.

Toshio Matsumoto

เกร็ด: Pandemonium แปลว่าความโกลาหล สับสนวุ่นวาย, แต่อีกหนึ่งความหมายน่าสนใจคือ เมืองนรก ที่อยู่ของพวกผีสาง

ผมไม่ค่อยแน่ใจสิ่งที่ผกก. Matsumoto เคยประสบพบเจอสักเท่าไหร่ นั่นเพราะ Demonds (1971) ไม่ได้จำเพาะเจาะจงถึงประเด็นปัญหา เพียงอธิบายภาพรวมความขัดแย้ง อารมณ์เกรี้ยวกราด แทบอยากจะคลุ้มบ้าคลั่ง ก่อนตระหนักถึงวังวนไม่รู้จักจบจักสิ้น

แต่ประเด็นหนึ่งที่ผมพอจะคาดเดาได้ อาจเป็นเรื่องทฤษฏีภาพยนตร์ Eizō no hakken (1963) ที่ไปขัดขานักทฤษฏี/ผู้กำกับบางคน (อย่าง Nagisa Ōshima) เห็นมีการโต้ตอบกันอย่างรุนแรง ซึ่งนั่นควรถือเป็นเรื่องปกติสามัญ แต่ความเย่อหยิ่ง ทะนงตน ยึดถือมั่นในเกียรติ ศักดิ์ศรี วิถีแห่ง Bushidō คือสิ่งค้ำคอ ไม่ยอมความ แบบเดียวกับการเมืองฝั่งซ้าย-ขวา ฆ่าได้หยามไม่ได้ ต้องมีคนตายไปข้างหนึ่ง … นี่อาจคือเหตุผลที่ผกก. Matsumoto ไม่ค่อยสร้างภาพยนตร์ขนาดยาว เพราะเสียงวิพากย์วิจารณ์ ความคิดเห็นต่างของผู้อื่น ทำให้จิตวิญญาณลุกเป็นไฟ ใครๆต่างกลายร่างเป็นอสูรกาย


แม้หนังเคยเข้าฉายเทศกาลหนังเมือง Cannes ในสาย Directors’ Fortnight แต่ผู้ชมตะวันตกกลับมองว่าก็แค่หนังซามูไรเรื่องหนึ่ง (เพราะมันไม่ได้มีลูกเล่นตื่นตาตื่นใจเทียบเท่า Funeral Parade of Roses (1969)) ผลลัพท์เลยถูกเก็บเข้ากรุ ไม่ค่อยมีโอกาสนำออกฉาย ได้รับการพูดกล่าวถึงมากนัก

จนกระทั่งเมื่อจัดจำหน่าย Home Video ถึงเริ่มเกิดกระแสคัลท์เล็กๆ ผมไม่แน่ใจว่า Blu-Ray ของค่าย King Records วางจำหน่ายเมื่อปี ค.ศ. 2014 ผ่านการบูรณะแล้วหรือยัง แต่คุณภาพฟีล์มขาว-ดำสวยใสกิ๊ก แค่ตอนพระอาทิตย์ตกดินที่เห็นริ้วรอยนิดๆหน่อย

แม้ว่า Funeral Parade of Roses (1969) จะแพรวพราวด้วยลูกเล่นภาพยนตร์ อาจได้รับการยกย่องกล่าวขวัญในระดับนานาชาติมากกว่า แต่ผมหลงใหลคลั่งไคล้ความงดงามของแสง-เงาใน Demons (1971) โดยเฉพาะลีลาตัดต่อซ้ำไปซ้ำมา พยายามนำเสนอมุมมอง หนทางเลือกแตกต่าง รวมถึงตั้งคำถามใครคือปีศาจได้อย่างน่าสนใจ สามารถใช้เป็นบทเรียนชีวิตได้อย่างทรงพลัง

“ต้องดูให้ได้ก่อนตาย” นี่เป็นภาพยนตร์ที่ทำให้ผู้ชมบังเกิดสติ ความชะงักงัน หยุดยับยั้งชั่งใจ ถ้าฉันครุ่นคิดให้มันรอบด้าน คำนึงถึงผลกระทบ กระทำสิ่งแตกต่างตรงกันข้าม หายนะมันอาจไม่บังเกิดขึ้นตามมา การเข่นฆ่าล้างแค้นไม่มีประโยชน์อันใด สุดท้ายอาจหลงเหลือเพียงความสิ้นหวังอาลัย

จัดเรต 18+ กับเรื่องราวการล้างแค้น ภาพความรุนแรง บรรยากาศทะมึน อึมครึม

คำโปรย | Demons นำเสนอมุมมืด/ปีศาจร้ายภายในจิตใจผู้กำกับ Toshio Matsumoto เพื่อสร้างหนทางเลือก ให้ผู้ชมบังเกิดสติ ความชะงักงัน เรียนรู้จักหยุดยับยั้งชั่งใจตนเอง
คุณภาพ | ร์พี
ส่วนตัว | มุมมืดในใจ

Leave a Reply

avatar

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

  Subscribe  
Notify of
%d bloggers like this: