
Stand by Me (1986)
: Rob Reiner ♥♥♥♥
ดัดแปลงจากนวนิยาย The Body (1982) ของ Stephen King, กลุ่มเด็กชายสี่คนร่วมออกเดินทางผจญภัย เข้าไปในป่าใหญ่ เพื่อค้นหาศพเพื่อนที่สาบสูญหาย, “ต้องดูให้ได้ก่อนตาย”
ในบรรดาภาพยนตร์ดัดแปลงจากผลงานของ Stephen King มีสองเรื่องที่เจ้าตัวชื่นชอบโปรดปรานเป็นพิเศษ Stand by Me (1986) และ The Shawshank Redemption (1994)
It seemed to me that Stand By Me (1986) was the first really completely successful adaptation of my work. It was a deeply felt story for me because as a writer it was a story that stepped outside the horror genre; there’s nothing particularly supernatural about the story, although it runs a gamut of emotions. And I felt that Rob Reiner responded to that, and was made better by it, and basically realized the story as a film – which doesn’t happen very often in a creative person’s life.
Stephen King
ตอนเขียนถึง The Shawshank Redemption (1994) ผมได้พบเจอ Stand by Me (1986) ตั้งใจจะรับชมในช่วงเทศกาลวันเด็ก ต้องบอกเลยว่าไม่ผิดหวัง! เด็กๆทั้งสี่เล่นดีกันมากๆ (โดยเฉพาะ River Phoenix) ภาพถ่ายผืนป่าสวยๆ เพลงเพราะๆ และเรื่องราวมีความส่วนตัว/อัตชีวประวัติ Stephen King ตอนเป็นเด็กไม่เคยได้รับการยินยอมรับจากบิดา โหยหาใครสักคนยืนเคียงข้าง ให้สามารถก้าวผ่านช่วงเวลาอันเลวร้าย
ก่อนอื่นขอกล่าวถึง Stephen Edwin King (เกิดปี ค.ศ. 1947) นักเขียนสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Portland, Maine บิดาทอดทิ้งครอบครัวไปตอนเขาอายุสองขวบ อาศัยอยู่กับมารดาและพี่ชาย จำต้องอพยพย้ายไปทำงานเมืองต่างๆบ่อยครั้ง, ค้นพบความชื่นชอบด้านการเขียนตั้งแต่อายุ 6-7 ขวบ โตขึ้นได้ทุนเข้าศึกษาต่อคณะอักษรศาสตร์ สาขาภาษาอังกฤษ University of Maine at Orono จบออกมาเขียนเรื่องสั้น ตีพิมพ์นวนิยายเล่มแรก Carrie (1974), The Shining (1977), The Dead Zone (1979) ฯ
ด้วยความที่ผลงานยุคแรกๆของ King มักเป็นแนว Horror จนได้รับฉายา ‘King of Horror’ เลยตัดสินใจตีพิมพ์ Different Seasons (1982) รวมนวนิยายขนาดสั้นสี่เรื่อง สี่ฤดูกาล ที่ไม่ใช่แนว Horror ประกอบด้วย
- Rita Hayworth and Shawshank Redemption ให้คำบรรยาย Hope Springs Eternal
- Apt Pupil ให้คำบรรยาย Summer of Corruption
- The Body ให้คำบรรยาย Fall from Innocence
- The Breathing Method ให้คำบรรยาย A Winter’s Tale
สำหรับ The Body (ต้นฉบับของ Stand by Me (1986)) ไม่ใช่แค่นวนิยาย Coming-of-Age แต่ยังถือเป็นอัตชีวประวัติ (Auto-Biographical) ของ King นำจากประสบการณ์ตรงเมื่อตอนอายุ 4 ขวบ เคยพบเห็นเพื่อนถูกรถไฟชนเสียชีวิต แต่ตอนนั้นยังเด็กมากๆ ไม่รู้ประสีประสา หลงลืมตามกาลเวลา พอโตขึ้นรับฟังเรื่องเล่ามารดา สร้างความตกตะลึง จนต้องจรดปากกาเขียนถึง
The event occurred when I was barely four… According to Mom, I had gone off to play at a neighbor’s house – a house that was near a railroad line. About an hour after I left, I came back, she said, ‘as white as a ghost.’ I would not speak for the rest of the day. I would not tell her why I’d not waited to be picked up or phoned that I wanted to come home. I would not tell her why my chum’s mom hadn’t walked me back, but had allowed me to come home alone. It turned out that the kid I had been playing with had been run over by a freight train while playing on or crossing the tracks… My mom never knew if I had been near him when it happened. But I have no memory of the incident at all, only of having been told about it some years after the fact.
Stephen King
แต่แทนที่ King จะพัฒนาเรื่องราวของเด็กสี่ขวบ เขาทำการผสมผสานหลายสิ่งอย่างจากช่วงเวลาต่างๆของชีวิต เช่นตอนอายุสิบสอง เข้าโรงเรียนที่ Maine มีเพื่อนนักร่วมรุ่นเดียวกันเพียงสี่คน มักพากันไปสิงสถิตอยู่บนบ้านหลังโรงเรียน แต่ก็ไม่ได้มีความสนิทสนมกันสักเท่าไหร่ ชอบใช้เวลาอ่านหนังสือเสียมากกว่า
จริงๆแล้ว King เริ่มต้นเขียน The Body ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1974 ภายหลังเสร็จจากนวนิยายเล่มที่สอง ‘Salem’s Lot แต่ติดปัญหาไม่รู้จะเขียนอะไร สุดท้ายได้ความยาวเพียง 72 หน้ากระดาษ ไม่สามารถรวมเล่มตีพิมพ์ เลยจำต้องเก็บเข้ากรุเอาไว้ก่อน
For a long time I thought that I would love to be able to find a string to put on a lot of the childhood experiences that I remember – a lot of them were funny and some of them were kind of sad – and the people that I’d known and some of the guys that I hung out with that really weren’t headed anywhere except down blind alleys. Nothing came and nothing came, and what you do when nothing comes is, you don’t push. You just put it aside… The most important things are the hardest to say. You can’t talk about them because once you start, they tarnish.
การดัดแปลงภาพยนตร์เริ่มต้นจากนักเขียน Bruce A. Evans และ Raynold Gideon ติดต่อขอซื้อลิขสิทธิ์จากผู้จัดการของ King ยื่นข้อเสนอ $100,000 เหรียญพร้อมส่วนแบ่งกำไร 10% นั่นถือเป็นค่าลิขสิทธิ์ที่ค่อนข้างสูง เลยไม่มีสตูดิโอไหนอยากตอบตกลงให้ทุนสร้าง
Evans & Gideon จึงขอความช่วยเหลือจากผู้กำกับ Adrian Lyne ร่วมกันออกค้นหาสตูดิโอจัดจำหน่าย ก่อนได้ข้อตกลงกับ Embassy Pictures ต่อรองอยู่สี่เดือนจนผู้จัดการของ King ยินยอมลดค่าลิขสิทธิ์ลงครึ่งหนึ่ง พวกเขาถึงสามารถเริ่มต้นพัฒนาบทร่างแรกเสร็จภายใน 8 สัปดาห์
ในตอนแรก Lyne ก็ครุ่นคิดอยากลงมือกำกับหนังด้วยตนเอง แต่หลังเสร็จงานสร้าง 9½ Weeks (1986) เจ้าตัวก็หมดเรี่ยวแรง ขอเวลาหยุดพักผ่อนดีกว่า, โปรดิวเซอร์เลยยื่นข้อเสนอให้ผู้กำกับ Rob Reiner เพิ่งแจ้งเกิดจากผลงาน This Is Spinal Tap (1984) และ The Sure Thing (1985)
Originally Adrian Lyne was involved in it and he had just finished 9 1/2 Weeks (1986) and he was really exhausted. They sent me the script and I thought, there’s a lot of great characters here, good dialogue, but there’s no focus to it. I spent the next four days riding around Los Angeles, trying to think of a way to make it work. It was giving me headaches trying to figure it out.
Rob Reiner
Robert Reiner (เกิดปี ค.ศ. 1947) นักแสดง/ผู้กำกับภาพยนตร์ สัญชาติอเมริกัน เกิดที่ The Bronx, New York City ในครอบครัวเชื้อสาย Jewish เป็นบุตรของนักแสดง/ตลกชื่อดัง Carl Reiner, โตขึ้นเข้าเรียนภาพยนตร์ยัง UCLA School of Theater, Film and Television (UCLA TFT) แล้วได้ฝึกงาน Buck County Playhouse ที่ New Hope, Pennsylvania มีโอกาสเป็นตัวประกอบ ช่วยงานหลังกล้อง เริ่มมีชื่อเสียงจากแสดงซิทคอม All in the Family (1971-79) คว้าสองรางวัล Emmy Award, กำกับภาพยนตร์เรื่องแรก This Is Spinal Tap (1984), ติดตามด้วย The Sure Thing (1985)
Reiner มีความชื่นชอบบทหนังอย่างมากๆ แต่กล่าวว่ามันขาดจุดโฟกัสเรื่องราว พอตกลงปลงใจว่าจะกำกับ ทำการปรับเปลี่ยนให้ Gordie ขึ้นมาเป็นตัวละครหลัก แล้วทุกสิ่งอย่างก็ดูสมเหตุสมผลขึ้นทันตา
In the book, it was about four boys, but…once I made Gordie the central focus of the piece then it made sense to me: this movie was all about a kid who didn’t feel good about himself and whose father didn’t love him. And through the experience of going to find the dead body and his friendship with these boys, he began to feel empowered and went on to become a very successful writer. He basically became Stephen King.
Rob Reiner
ก่อนที่โปรดักชั่นจะเริ่มขึ้นช่วงฤดูร้อนปี ค.ศ. 1985, สตูดิโอ Embassy ถูกขายต่อให้ Columbia Pictures วางแผนจะล้มเลิกสนับสนุนโปรเจคนี้ โชคดีว่า Norman Lear หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Embassy ควักเงินส่วนตัวให้ก่อน $7.5 ล้านเหรียญ เพราะเชื่อมั่นในบทหนังและผกก. Reiner ว่าจะทำออกมาประสบความสำเร็จ
สำหรับชื่อหนัง Columbia Pictures ปฏิเสธจะใช้ชื่อตามต้นฉบับนวนิยาย The Body เพราะกลัวถูกเข้าใจผิดว่าเป็นแนว 18+ ไม่ก็หนัง Horror (จากเครดิต Stephen King) หลังจากระดมสมองอยู่นาน ผกก. Reiner เสนอชื่อ Stand by Me จากบทเพลงชื่อเดียวกันของ Ben E. King เลือกมาใช้ตอนจบ Closing Credit
ช่วงฤดูร้อนปี ค.ศ. 1959 ณ เมือง(สมมติ)เล็กๆ Castle Rock, Oregon ที่มีประชากรเพียง 1,281 คน, เรื่องราวของเด็กชายสี่คนประกอบด้วย Gordie (รับบทโดย Wil Wheaton), Chris (รับบทโดย River Phoenix), Teddy (รับบทโดย Corey Feldman) และ Vern (รับบทโดย Jerry O’Connell) ร่วมเดินทางออกเพื่อตามหาศพเด็กชายที่ถูกรถไฟชน สูญหายตัวอย่างไร้ร่องรอย คาดว่าน่าจะเสียชีวิตอยู่ในป่า
ด้วยความต้องการเป็นฮีโร่ ค้นพบศพเด็กชายที่(น่าจะ)เสียชีวิต พวกเขาจึงครุ่นคิดวางแผน บอกกับครอบครัวว่าจะมาค้างแรมบ้านเพื่อน แล้วออกเดินทางตามรางรถไฟ ผจญภัยบุกป่าฝ่าดง ขึ้นเขาลงห้วยหนองคลองบึง พิสูจน์มิตรภาพผองเพื่อน และเมื่อพบเจอร่างผู้เด็กชายคนนั้น ชีวิตพวกเขาก็ได้เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล
การกำกับนักแสดงเด็กไม่ใช่เรื่องง่าย! ผกก. Reiner ใช้วิธีมองหาเด็กๆที่มีบุคลิกภาพตรงกับตัวละคร มีประมาณ 300+ คนเดินทางมาทดสอบหน้ากล้อง (Audition) คัดเหลือ 70 คน สำหรับอ่านบทต่อหน้าโปรดิวเซอร์และผู้กำกับ
- Gordon “Gordie” Lachance (รับบทโดย Wil Wheaton) หลังสูญเสียพี่ชาย Denny (รับบทโดย John Cusack) บิดาก็ไม่เคยสนใจใยดี เพิกเฉยเฉื่อยชา กลายเป็นเด็กเก็บกด อ่อนไหว ชอบอ่าน-เขียนหนังสือ ร่วมเดินทางผจญภัยเพราะต้องการพบเห็นศพคนตาย (จักได้เข้าใจความตายของพี่ชาย)
- ในตอนแรก River Phoenix มาทดสอบบท Gordie เล่นดีมากๆจนกระทั่งพบเจอ Whi Wheaton ที่มีความอ่อนไหว เหมือนเด็กจะร้องไห้ตลอดเวลา เลยทำการโยกย้ายให้ Phoenix ไปรับบท Chris ซึ่งตรงกับบุคลิกมากกว่า
- I was a weird kid. I was shy, I was incredibly sensitive, and I was really awkward. It was really easy to make me cry. I was the one they picked on. Corey picked on me all the time to the point of it being like cruel. I remember River telling him to stop, and I remember Rob or one of the producers telling him to get off my back.
- Chris Chambers (รับบทโดย River Phoenix) หัวหน้ากลุ่มผู้มีความหาญกล้า ผดุงความยุติธรรม สนิทสนมกับ Gordie พร้อมยืนหยัดปกป้องเพื่อนพ้อง ให้คำแนะนำดำเนินตามความฝัน การผจญภัยครั้งนี้ขโมยปืนบิดามาด้วย เผื่อว่ามีเหตุสุดวิสัยกับนักเลงรุ่นพี่ John “Ace” Merrill (รับบทโดย Kiefer Sutherland)
- Ethan Hawke เคยมาทดสอบบท Chris เกือบจะได้รับเลือกแต่พอมีการสลับบทมาเป็น River Phoenix เลยพลาดไปอย่างน่าเสียดาย
- River Phoenix เป็นเด็กอายุมากสุดในกลุ่ม (ตอนถ่ายทำกำลังย่างเข้า 15) มักคอยเป็นผู้นำเวลาทำสิ่งต่างๆ หรือขณะเกิดการทะเลาะเบาะแว้ง คือคนแรกเข้ามาแยกคู่กรณีออกจากกัน
- The first three weeks were the most fun. We took all the hotel pool chairs and threw them into the pool. We soaked Corey’s clothes in beer, and they dried and he smelled like a wino. Wil Wheaton is a video whiz. He fixed the machines in the hotel so we got free games. I took the blame. I said, ‘You do it for me, and I’ll take the blame.’
- Teddy Duchamp (รับบทโดย Corey Feldman) หนุ่มแว่นขี้คุย โอ้อวดเก่ง ชอบทำตัวแผลงๆ เป็นเด็กหัวรุนแรง กลั่นแกล้งเพื่อนพ้อง บิดาคือทหารผ่านศึก คาดว่าน่าจะล้มป่วย Shell Shock/PTSD จึงเคยพยายามเผาหูของบุตรชาย เพื่อไม่ให้เขาอาสาสมัครทหารตอนเติบใหญ่
- ก่อนที่ River Phoenix จะได้บท Chris เคยถูกพิจารณาให้เล่นเป็น Teddy (เป็นนักแสดงที่เล่นได้ทุกบทบาทจริงๆ) จนกระทั่งมาพบเจอ Corey Feldman ที่ดูเก็บกด อดกลั้น พร้อมระเบิดอารมณ์คลุ้มคลั่งตลอดเวลา … นั่นเพราะชีวิตจริงไม่ต่างจากตัวละคร ถูกบิดา ‘Abuse’ แทบจะทุกวี่วัน
- When I did it, Rob was impressed a lot by the reality in my delivery. I didn’t have any problem getting to the emotional places. My life was such turmoil and havoc. I didn’t have the best home life. I didn’t lead a normal life. I was aware of that from a very early age. I remember being 7 years and coming home from school thinking, am I going to get abused today? Am I going to get beaten today? Most kids don’t have to think about this kind of stuff. They’re not thinking they’re going to get hit by their parents because they’re not doing well enough in school, which will prevent them from getting a work permit, which will prevent them from being an actor.
- Vern Tessio (รับบทโดย Jerry O’Connell) เด็กชายร่างท้วม มีนิสัยขี้ขลาดเขลา เอาตัวแทบไม่รอดบ่อยครั้ง แอบได้ยินคำสนทนาพี่ชายเกี่ยวกับศพคนตาย ต้องการเอาชนะ อยากรู้อยากเห็น จึงมาชักชวนเพื่อนๆร่วมออกเดินทางไปด้วยกัน
- Vern didn’t think about the future. Vern was always getting picked on. I tried to stay like Vern and say the stupid things Vern would. I think I was Vern that summer.
เพื่อเตรียมความพร้อมนักแสดง ก่อนเริ่มต้นถ่ายทำสองสัปดาห์ ผกก. Reiner นำพาเด็กๆทั้งสี่หมกตัวอยู่ในห้องสูทโรงแรม เสี้ยมสอนให้เล่นเกม (Theatre Games หรือ Spolin’s Games) อ้างอิงจากหนังสือ Improvisation for the Theater (1963) ของ Viola Spolin เพื่อสร้างความสนิทสนม (Camaraderie) รู้จักมักคุ้นกันและกัน
เกร็ด: เกมการละคร (Theatre Games) เป็นวิธีการฝึกอบรมนักแสดงที่พัฒนาขึ้นโดย Viola Spolin มักใช้เป็นแบบฝึกซ้อม ฝึกสมาธิ วอร์มร่างกาย ทำความเข้าใจตัวละคร และสร้างความสนิทสนมกับเพื่อนนักแสดง … ผกก. Reiner มีความชื่นชอบวิธีการดังกล่าวมากๆ ถึงขนาดยกย่องหนังสือ Improvisation for the Theater (1963) เรียกว่า “Bible of Theater Games”
ในส่วนการกำกับนั้น ผกก. Reiner มักยืนอยู่ข้างๆตากล้อง คอยให้คำแนะนำ หลายๆครั้งที่เด็กๆกลัวๆกล้าๆ (อย่างฉากวิ่งหนีรถไฟ) เขามักทำการแสดงให้เห็นเป็นต้นแบบอย่างเสมอๆ มีส่วนกับทุกๆฉาก จนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นเด็กชายคนที่ห้า
Rob would act out each character. I talked about the whole history of Chris with Rob. I decided he was older, 13, and he had flunked one grade.
River Phoenix
I would stand behind the camera and act nearly every scene out for them so they could hear what the part should sound like. That’s part of the benefits of being an actor myself. I didn’t want the kids to be acting. I had some trouble with Corey, who would say, ‘You’re not letting me act.’ And I would say, ‘This has to be real.’
Rob Reiner
ถ่ายภาพโดย Thomas Del Ruth (เกิดปี ค.ศ. 1942) สัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Beverly Hills, California เป็นบุตรของผู้กำกับ Roy Del Ruth และนักแสดง Winnie Lightner, หลังเรียนจบ University of Southern California ทำงานโฆษณา พิมพ์ภาพโมเดล หลังกลับจากอาสาสมัครทหาร เข้าทำงาน University Studios ไต่เต้าจากผู้ช่วย (Assistant Camera) มาเป็นผู้ควบคุมกล้อง (Camera Operator) ถ่ายทำภาพยนตร์ The Breakfast Club (1985), Stand by Me (1986), The Running Man (1987), เคยคว้าสองรางวัล Emmy Award จากซีรีย์ The West Wing (1999–2004)
งานภาพของหนังอาจไม่ได้มีลูกเล่นอะไรมากมาย แต่บันทึกภาพผืนป่า ขุนเขา ทิวทัศน์ธรรมชาติคู่ขนานกับรางรถไฟได้อย่างงดงาม และมักมีการจัดแสงฟุ้งๆ ให้ดูสว่างเจิดจร้า (ยกเว้นตอนพบเจอศพ บรรยากาศทะมึน อึมครึม ภายใต้ร่มเงาไม้) สร้างสัมผัสราวกับความฝัน ช่วงเวลาที่ตราฝังอยู่ในความทรงจำไม่รู้ลืมเลือน
พื้นหลังของหนังคือเมืองสมมติ Castle Rock, Oregon เลือกใช้สถานที่ Brownsville, Oregon เมืองเล็กๆที่มีประชากรพันกว่าคน แต่ผืนป่าใหญ่เดินทางไปหลากหลายสถานที่ อาทิ
- สะพานออกจากเมือง Row River Trail & Gooseline Railroad (Cottage Grove, Oregon)
- เด็กๆวิ่งข้ามสะพาน McCloud River Railroad (McCloud, California)
- หนองน้ำ+สถานที่พบเจอศพ Dilley Lane (Pleasant Hill, Oregon)
หนังเต็มไปด้วยภาพถ่ายทิวทัศน์สวยๆ ตลอดการผจญภัยเลียบทางรถไฟ แต่ไม่ใช่ทุกช็อตจะเป็นภาพธรรมชาติทั้งหมด บางครั้งมีการใช้เทคนิคภาพวาดบนกระจก ‘matte painting’ เพื่อลบอาคารบ้านเรือน ตึกสูงใหญ่ หรือใส่ภูเขา ก้อนเมฆ ต้องใช้การสังเกตถึงอาจพบเห็น … ภาพวาดบนกระจก บางครั้งยังช่วยสร้างสัมผัสลึกลับ พิศวง สถานที่ที่ไม่มีอยู่จริง




ฉากวิ่งข้ามสะพานรถไฟ McCloud River Railroad เหนือทะเลสาป Lake Britton Reservoir ใกล้ๆกับอุทยาน McArthur-Burney Falls Memorial State Park เห็นใช้เวลาถ่ายทำนานนับสัปดาห์ สาเหตุหลักๆเพราะเด็กๆไม่รับรู้สึกถึงความกลัวว่ารถไฟกำลังเคลื่อนเข้ามาทำอันตรายใดๆ (เพราะมีการใช้เลนส์ระยะไกล ทำให้ขบวนรถไฟที่อยู่ห่างไกลดูเหมือนใกล้กับนักแสดง) จนท้ายที่สุดผกก. Reiner ต้องตะโกนวิ่งไล่ “if you’re not worried that the train is going to kill you, I’ll kill you.” เทคนั้นเลยถ่ายสำเร็จโดยพลัน
There was the scene where they’re running on the trestle and the train is coming. The truth is the boys and the train were never on the trestle at the same time. I used such a long lens, and so the boys had jumped off the train track before the train even entered the trestle. It was so far away from them that they weren’t scared.
We had some guys, it was very hot, 90 degrees out, and the guys were pushing this dolly down the track to follow these boys running and they were supposed to be hysterical, just crying and panicking. We did it a bunch of times and they kept not getting worked up. Finally, I start screaming, ‘these guys, the crew, are exhausted because you guys keep messing up and if you’re not worried that the train is going to kill you, I’ll kill you.’ They started crying and we started rolling and then they ran off the track and gave me a hug and said, ‘we did it. We did it Rob.’
Rob Reiner
เด็กๆวิ่งข้ามสะพานครั้งนี้ ผมมองนัยยะถึงการเผชิญหน้าประสบการณ์เฉียดตาย เรียนรู้วิธีเอาตัวรอดคือต้องออกวิ่งไปข้างหน้า ไม่สามารถหลบด้านข้างทาง หรือย้อนกลับทางเก่า เอาชนะความกลัวของตนเอง และจดจำเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ให้มันบังเกิดขึ้นซ้ำอีก


ผมครุ่นคิดอยู่นานว่า Barf-o-Rama ต้องการจะสื่อถึงอะไร? มันย่อมไม่ใช่แค่นิทานก่อนนอน เรื่องเล่าตลกขบขัน แต่อาจคือการนำเอาสิ่งที่อยู่ภายในออกสู่ภายนอก เปิดเผยสิ่งซุกซ่อนเร้น สันดานธาตุแท้ ปลดปล่อยตัวตนเอง … การผจญภัยครั้งนี้ทำให้เด็กๆได้รับรู้จักตัวตนแท้จริงของกันและกัน

เช้าวันถัดมา เจ้ากวางน้อยเดินมาใกล้ๆ Gordie ถ้าเป็นคนอื่นคงส่งเสียงเรียกเพื่อนพ้อง แสดงความดีอกดีใจ จนมันตกใจวิ่งหนีไป แต่สำหรับเด็กชายที่พานผ่านเหตุการณ์เลวร้ายๆมามาก ความเงียบงันของเขาทำให้รู้สึกเหมือนต้องการเก็บงำความลับ ความประทับใจส่วนบุคคล โลกใบนี้ยังมีสิ่งสวยงาม ช่วยสร้างประกายความหวังเล็กๆให้กับตนเอง

ทางรถไฟอาจมีความคดเคี้ยวเลี้ยวลด เลี้ยวซ้ายบ้าง เลี้ยวขวาบ้าง แต่ส่วนใหญ่ล้วนคือเส้นตรง เคลือบแฝงนัยยะของทิศทางที่ถูกกำหนดเอาไว้ กฎระเบียบข้อบังคับที่ผู้หลักผู้ใหญ่เสี้ยมสอนบุตรหลานให้ปฏิบัติตามวิถีทางสังคม
ช่วงแรกๆเด็กก็ออกเดินเลียบทางรถไฟ จนกระทั่งมาถึงผืนป่าใหญ่ ใกล้ถึงเป้าหมาย พวกเขาจึงพากันออกนอกลู่นอกทาง(ลัด) แม้ต้องพานผ่านหนองบึง ตะลุยโคลนเลน ถูกปลิงดูดเลือด แต่มันคือการเลือกเส้นทางเดินชีวิตของตนเอง ไม่ถูกกำหนด/ควบคุมครอบงำโดยใคร

ตั้งแต่ใกล้พบเจอศพเพื่อนผู้สูญหาย สังเกตว่าภาพถ่ายจะดูทะมึน อึมครึม ไม่มีแสงฟุ้งๆ พระอาทิตย์สาดส่องลงมา (ถ่ายทำตอนพระอาทิตย์หลบซ่อนในก้อนเมฆ) เป็นการสร้างบรรยากาศที่สะท้อนสภาพจิตใจของเด็กๆ คงรู้สึกผิดหวัง ไม่ได้ดั่งใจ โลกไม่ได้สวยสดใส ระหว่างทางกลับจึงไม่มีใครพูดคุยสนทนา ต่างจมอยู่ในความครุ่นคิด ท้องฟ้ายามเย็นก็ค่อยๆมืดมิด




พอกลับมาถึง Castle Rock ข้ามสะพานสู่โลกความจริง ถึงค่อยเริ่มพบเห็นแสงอาทิตย์สาดส่อง แต่สำหรับเด็กๆทุกสิ่งอย่างได้ปรับเปลี่ยนแปลงไป พวกเขากำลังเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เรียนรู้จักชีวิต-ความตาย เมืองแห่งนี้เลยมีขนาดเล็กลง? … เอาจริงๆมันอยู่ที่มุมกล้องและการเลือกใช้เลนส์ ทำให้สะพานดูคับแคบลง (แต่มันก็คนละสะพานกับตอนต้นเรื่อง)
(ตอนต้นเรื่องสะพานรถไฟ คือเด็กๆดำเนินตามเส้นทางที่ผู้ใหญ่วางไว้ แต่ขากลับเมื่อพวกเขาเรียนรู้จักโลกกว้าง เลยสามารถค้นหาเส้นทางชีวิตของตนเอง ตอนจบเลยเปลี่ยนมาเป็นสะพานรถข้ามที่กว้างกว่า)

ตัดต่อโดย Robert Leighton สัญชาติอังกฤษ สำเร็จการศึกษาจาก London Film School (LFS) ขาประจำร่วมงานผู้กำกับ Rob Reiner ตั้งแต่ This Is Spinal Tap (1984), ผลงานเด่นอื่นๆ อาทิ Stand by Me (1986), The Princess Bride (1987), When Harry Met Sally… (1989), A Few Good Men (1992) ฯ
หนังดำเนินเรื่องผ่านเสียงบรรยายของ Gordie (รับบทโดย Richard Dreyfuss) ตอนเป็นผู้ใหญ่ กำลังครุ่นคิดถึงอดีต หหวนระลึกความทรงจำเมื่อตอนอายุ 12 ปี ร่วมกับผองเพื่อน Chris, Teddy และ Vern ออกเดินทางเข้าป่าใหญ่ เพื่อค้นหาศพเพื่อนที่สูญหาย
- อารัมบท, Gordie ตอนเป็นผู้ใหญ่ ครุ่นคิดถึงอดีต หวนระลึกความทรงจำ
- เตรียมตัวออกเดินทาง
- ณ บ้านบนต้นไม้, Vern นำข่าวคราวแอบได้ยินจากพี่ชายมาบอกกับเพื่อนๆ ชักชวนกันร่วมออกเดินทางค้นหาศพเพื่อนที่สาบสูญหาย
- Gordie กลับมาบ้าน เก็บข้าวของ พบเห็นบิดา-มารดายังทำใจไม่ได้กับการสูญเสีย Denny
- ระหว่างทาง Gordie & Chris พบเจอกับนักเลงรุ่นพี่ Ace
- การผจญภัย
- รถไฟกำลังเคลื่อนเข้ามา Teddy เล่นเกมท้าความตาย ก่อนถูก Chris ฉุดกระชากมาชกต่อย
- ข้ามผ่านสุสานขยะของ Milo และสุนัข Chopper
- Gordie แวะซื้อเสบียง ก่อนวิ่งหนีเอาตัวรอดจาก Milo และสุนัข Chopper ได้อย่างหวุดหวิด
- การสนทนาระหว่างทาง Chris พูดให้กำลังใจ Gordie
- วิ่งหนีรถไฟบนสะพานข้ามแม่น้ำ
- ยามค่ำคืนรับฟังเรื่องเล่า Barf-o-Rama
- ผลัดเวรกันเฝ้ายามตอนหลับนอน
- เช้าวันถัดมา Gordie พบเห็นเจ้ากวางน้อยเดินผ่านมา
- ตะลุยหนองบึง ถูกปลิงติดเต็มตัว
- ในที่สุดก็พบเจอศพเพื่อนที่สูญหาย ขณะเดียวกันยังต้องเผชิญหน้ากับนักเลงรุ่นพี่ Ace
- เดินทางกลับบ้าน ต่างคนต่างแยกย้ายคนละทาง
- ปัจฉิมบท, กลับมาปัจจุบัน Gordie ตีพิมพ์นวนิยายจากความทรงจำดังกล่าว
เพลงประกอบจะมีทั้งที่เป็น ‘diegetic mucis’ บทเพลงคำร้องจากศิลปินมีชื่อในช่วงทศวรรษ 50s-60s และบทเพลงดั้งเดิม (Original Soundtrack) โดย Bernard Alfred ‘Jack’ Nitzsche (1937-2000) นักดนตรี แต่งเพลงสัญชาติอเมริกัน ผลงานเด่นๆ อาทิ Performance (1970), The Exorcist (1973), One Flew Over the Cuckoo’s Nest (1975), An Officer and a Gentleman (1982) **คว้ารางวัล Oscar: Best Original Song, Starman (1984), Stand by Me (1986) ฯ
แม้สไตล์เพลงแนวถนัดของ Nitzsche จะเป็นแนว Avant-Garde เต็มไปด้วยสีสันฉูดฉาด แต่สำหรับ Stand by Me (1986) มีความละมุ่น นุ่มนวล คละคลุ้งกลิ่นอาย Nostalgia โหยหา ครุ่นคิดถึงอดีต มิตรภาพผองเพื่อนเมื่อวันนั้น ยังคงตราฝังอยู่ในความทรงจำที่ไม่รู้ลืมเลือน
บทเพลง The Body เมื่อเด็กๆพบเจอศพเพื่อนผู้สูญหาย เสียงเครื่องเป่าลมที่ไม่แหลมเกินไป (เสียงแหลมมันจะกรีดบาดแทงจิตใจ) ไม่ทุ้มเกินไป (เสียงทุ้มสร้างบรรยากาศทะมึน อึมครึม) แต่สามารถสร้างสัมผัสบางอย่างขึ้นภายในจิตใจผู้ชม ไม่ได้เจ็บปวด ไม่ได้เศร้าโศก ไม่ได้ตกอยู่ในความสิ้นหวัง มันคือเกิดความเข้าใจ(สัจธรรม)ชีวิต ความตายหาใช่สิ่งโก้หรูดูดี หรือทำให้พวกเขากลายเป็นฮีโร่แต่อย่างใด
ผมไม่ได้สนใจในบทเพลงคำร้องนัก เพราะส่วนใหญ่ได้ยินจากวิทยุของนักเลงรุ่นพี่ ที่เนื้อคำร้องมุ่งเน้นอธิบายพฤติกรรมหัวขบถพวกเขาเหล่านั้นมากกว่า แต่ที่ต้องกล่าวถึงคือ Stand by Me (1961) แต่งโดย Ben E. King & Jerry Leiber & Mike Stoller, ขับร้องโดย Ben E. King, ได้รับการโหวตจากนิตยสาร Rolling Stone: 500 Greatest Songs of All Time ติดอันดับ #122
When the night has come
And the land is dark
And the moon is the only light we’ll see
No, I won’t be afraid
Oh, I won’t be afraid
Just as long as you stand
Stand by meSo darlin’, darlin’, stand by me
Oh, stand by me
Oh, stand
Stand by me, stand by meIf the sky that we look upon
Should tumble and fall
Or the mountain should crumble to the sea
I won’t cry, I won’t cry
No, I won’t shed a tear
Just as long as you stand
Stand by meAnd darlin’, darlin’, stand by me
Oh, stand by me
Oh, stand now
Stand by me, stand by meAnd darlin’, darlin’, stand by me
Oh, stand by me
Oh, stand now
Stand by me, stand by meWhenever you’re in trouble won’t you stand by me
Oh, stand by me
Won’t you stand by
เกร็ด: เมื่อตอนเพลงนี้วางแผง ค.ศ. 1961 สามารถไต่อันดับ #4 ชาร์ท US Billboard Hot 100 แล้วพอหนังเข้าฉาย ค.ศ. 1986 หวนกลับมาติดชาร์ทอันดับ #9 นั่นคือสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในวงการเพลง ไม่น่าแปลกใจที่บทเพลงนี้จะได้รับการบันทึกเสียงใหม่มากกว่า 400+ ครั้ง เอาแค่ค่าลิขสิทธิ์จนถึงปี ค.ศ. 2012 ประมาณการณ์ไม่น้อยกว่า $22.8 ล้านเหรียญ!
ด้วยความที่เด็กๆทั้งสี่ เพิ่งอายุได้สิบกว่าขวบปี ยังไม่รับรู้ประสีประสา ครุ่นคิดเพียงว่าถ้าได้พบเจอศพเพื่อนที่สูญหาย จักกลายเป็นฮีโร่ประจำเมือง แต่เมื่อพวกเขาพานผ่านประสบการณ์เฉียดตาย (เกือบถูกรถไฟพุ่งชน) แล้วพบเห็นร่างไร้ลมหายใจ จึงเรียนรู้ว่าชีวิต-ความตายไม่ใช่เรื่องล้อเล่น นั่นคือวินาทีที่เด็กๆจักเริ่มเติบโต ‘Coming-of-Age’ เป็นผู้ใหญ่ ครุ่นคิดค้นหาความหมายของชีวิต
เด็กชายทั้งสี่ ต่างมีปัญหาครอบครัวแตกต่างกันไป ซึ่งล้วนส่งผลกระทบต่ออุปนิสัยใจคอ พฤติกรรมแสดงออก แม้สามารถร่วมหัวจมท้าย บุกป่าฝ่าดงจนพบเจอศพเพื่อนที่สูญหาย แต่ในช่วงเวลาเฉียดเป็นเฉียดตาย สันดานธาตุแท้ของพวกเขาก็ได้ถูกเปิดเผยออกมา
- Gordie แม้ร่างกายผอมแห้ง เปราะบาง จิตใจอ่อนไหว แต่เป็นคนไม่ทอดทิ้งเพื่อน หลังเผชิญหน้าความตาย บังเกิดความกล้าทำในสิ่งที่ตนเองครุ่นคิดว่าถูกต้อง
- Chris หัวหน้ากลุ่มผู้มีความหาญกล้า ไม่ว่าตกอยู่ในสถานการณ์ไหน พร้อมปกป้องผองเพื่อน เสียสละเพื่อผู้อื่น เชื่อมั่นในความถูกต้อง ผดุงความยุติธรรม
- Teddy แม้ชอบกระทำสิ่งบ้าๆ ระเบิด/ระบายอารมณ์อัดอั้นภายในออกมา แต่เมื่อตกอยู่สถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายจริงๆ ก็ไม่ได้มีความกล้าสักเท่าไหร่ อวดเก่งแค่ปาก เพียงเอาตัวเองรอดไว้ก่อน
- Vern เป็นคนที่มีความขี้ขลาดเขลา ไร้ความหาญกล้า เมื่อเผชิญหน้าอุปสรรคปัญหา/อันตรายใดๆ พร้อมวิ่งหนีหางจุกตูดเป็นคนแรกเสมอๆ
การถูกนักเลงรุ่นพี่ Ace ข่มขู่เอาชีวิต ถือเป็นคือบทพิสูจน์ตัวตนของเด็กๆทั้งสี่ ใครบ้างสามารถ ‘Stand by Me’ เผชิญหน้าความกลัว ไม่หวาดเกรงความตาย … เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ Chris & Gordie กลายเป็นเพื่อนแท้พึ่งพาอาศัยกัน, Teddy & Vern จักค่อยๆเหินห่างจากกลุ่ม แยกย้ายไปตามทาง
ต้นฉบับนวนิยายของ Stephen King พยายามนำเสนอเรื่องราวของเด็กๆทั้งสี่อย่างเท่าเทียม โดดเด่นสุดคือ Chris เพราะมีความหาญกล้า และเป็นหัวหน้ากลุ่ม, แต่ทว่าผกก. Reiner เล็งเห็นตัวละคร Gordie (ในนิยายเป็นคนเงียบๆขรึมๆ ไม่ได้มีส่วนร่วมอะไรมากนัก) คือตัวตายตัวแทนของ King โหยหาการยินยอมรับจากบิดา และอนาคตจักกลายเป็นนักเขียนชื่อดัง
เรื่องโหยหาการยินยอมรับนั้น ไม่ใช่แค่ King ที่บิดาทอดทิ้งครอบครัวไปตั้งแต่สองขวบ, ยังรวมถึงผกก. Reiner ที่บิดา Carl Reiner (1922-2020) คือนักแสดง/ตลกระดับตำนาน เจ้าของ(14)รางวัล Emmy Award, Grammy Award, Television Hall of Fame เรียกว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งวงการโทรทัศน์ สร้างแรงกดดัน/ความคาดหวังต่อบุตรชายอย่างล้นหลาม
It was the first time that I did anything that was closely connected to my own personality. It had some melancholy in it and also had some humor in it. It was more reflective, and I thought, if people don’t like this, they’re not going to like what I like to do.
Rob Reiner
ยุคสมัยเครือข่ายสังคม (Social Network) เรามีเพื่อนมากมายที่คอยกดไลค์ กดแชร์ แต่จะมีสักกี่คนสามารถเป็นเพื่อนแท้ในชีวิต พูดคุยปรึกษา พึ่งพาอาศัย ให้กำลังใจ เคียงข้างในวันสุข-ทุกข์ … ชีวิตจริงการจะหาเพื่อนในอุดมคติแบบ Chris หรือ Gordie ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด! เพราะมันไม่มีเหตุการณ์ท้าพิสูจน์ใจคนเกิดขึ้นบ่อยครั้ง แต่ถ้าโชคดีพบเจอ เราควรต้องพยายามรักษาความสัมพันธ์ดังกล่าวให้นานที่สุด
เพื่อนแท้ไม่ต้องถึงขั้นตายแทนกัน แค่สามารถยืนเคียงข้าง “Stand by Me” ไม่เอารัดเอาเปรียบ ช่วยเหลือเวลามีปัญหาก็เพียงพอแล้ว
ด้วยทุนสร้าง $8 ล้านเหรียญ เสียงตอบรับที่ดีเยี่ยม สามารถทำเงินในสหรัฐอเมริกา $52.3 ล้านเหรียญ ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม ช่วงปลายปียังได้ลุ้นรางวัล … แต่ก็ไม่ได้รางวัลอะไรติดไม้ติดมือกลับมา
- Academy Award
- Best Adapted Screenplay พ่ายให้กับ A Room with a View (1985)
- Golden Globe Award
- Best Motion Picture – Drama
- Best Director พ่ายให้กับ Platoon (1986)
- Film Independent Spirit Awards
- Best Feature
- Best Director
- Best Screenplay
ด้วยความที่ Sony Pictures จัดเก็บฟีล์มหนังไว้ดีมากๆ จึงสามารถนำออกมาสแกน 4K Ultra HD ผ่านการปรับปรุงนิดๆหน่อยๆ ก็สามารถจัดจำหน่าย Blu-Ray ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2019 พร้อมของแถม 25 Years Later: A Picture-in-Picture Commentary Retrospective และสารคดี Walking the Tracks: The Summer of Stand By Me
แม้ว่า Stand by Me (1986) จะเป็นเรื่องราวของเด็กๆจอมแก่น ออกเดินทางผจญภัย เต็มไปด้วยเหตุการณ์วุ่นๆวายๆ แต่ทุกสรรพสิ่งอย่างที่พวกเขาพบเจอ ล้วนเคลือบแฝงสาระข้อคิด และยังสร้างความตระหนักให้กับผู้ใหญ่ เราเคยพยายามทำความเข้าใจปัญหาลูกๆหลานๆบ้างหรือเปล่า?
“ต้องดูให้ได้ก่อนตาย” นอกจากความงดงามของมิตรภาพผองเพื่อน สิ่งที่ผมรู้สึกว่าสำคัญยิ่งกว่าคือการเรียนรู้จักเผชิญหน้าความตาย สำหรับเด็กๆมันอาจยังเป็นเรื่องสนุกสนาน แต่พอพวกเขาได้พานผ่านประสบการณ์เฉียดตาย และพบเห็นคนตายจริงๆ บางสิ่งอย่างภายในจิตใจจักเปลี่ยนแปลงไปชั่วนิรันดร์
จัดเรต pg กับภาพคนตาย เด็กๆหัวขบถ
Leave a Reply