The Fallen Idol

The Fallen Idol (1948) hollywood : Carol Reed ♥♥♥♥

นำเสนอผ่านมุมมองเด็กชาย 8 ขวบ ยังละอ่อนวัย ไร้เดียงสา เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น พบเห็นเหตุการณ์ลับๆล่อๆ รักสามเส้าของผู้ใหญ่ ไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไร แต่กลับกลายเป็นตราบาปฝังใจ, “ต้องดูให้ได้ก่อนตาย”

The Fallen Idol (1948) เป็นภาพยนตร์ที่ถ้าเด็กๆรับชม จักเข้าใจเรื่องราวแบบเดียวกับตัวละคร Philippe คือไม่รู้ประสีประสา มันเกิดเหตุการณ์ห่าเหวอะไร?, แต่เมื่อคุณเติบใหญ่ จักพบเห็นความลึกล้ำ อารมณ์ซับซ้อน ตัวละครผู้ใหญ่ต่างพยายามบ่ายเบื่ยง ปกปิดไม่ให้เด็กชายล่วงรู้เบื้องหลังความจริง นั่นคือสิ่งถูกต้องเหมาะสมจริงๆฤา?

ผมมีความหลงใหลหนังเรื่องนี้ตั้งแต่สิบนาทีแรก ไอ้เด็กเวรตะไล ทำตัวไม่รู้ประสีประสา คอยขัดจังหวะความสุขผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา แถมครึ่งหลังกลายเป็น ‘เด็กเลี้ยงแกะ’ เต็มไปด้วยคำโป้ปดหลอกลวง สร้างความเอือมละอา “Oh, please, do listen to me.” “It’s the truth.” จะมาพูดความจริงเอาตอนนี้มันก็สายเกินไปไหม

สิ่งท้าทายมากๆของหนัง การกำกับนักแสดงเด็ก (Child Actor) ยิ่งอายุน้อย ยิ่งต้องใช้ความอดทนสูง ครุ่นคิดหาสรรพวิธีดึงดูดความสนใจ ทำอย่างไรให้การแสดงออกมาน่าพึงพอใจ และที่สำคัญคือต้องปกป้องจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ ให้เขาค่อยๆเติบโต ไม่ใช่บังเกิดบาดแผลทางใจแบบเดียวกับตัวละครในหนัง! … ผกก. Reed ยังกำกับหนังเด็กอีกเรื่อง Oliver! (1968) กวาดรางวัล Oscar ถึงหกสาขา!


Sir Carol Reed (1906-76) ผู้กำกับภาพยนตร์ สัญชาติอังกฤษ เกิดที่ Putney, London เป็นลูกนอกสมรสของนักแสดงละครเวทีชื่อดัง Sir Herbert Beerbohm Tree โตขึ้นตั้งใจเป็นนักแสดงตามบิดา แต่หลังจากได้รับรู้จักนักเขียน Edgar Wallace ก็เปลี่ยนความสนใจมากำกับภาพยนตร์ เริ่มต้นทำงาน Associated Talking Pictures รับหน้าที่กำกับบทพูด (Dialogue Director) ไต่เต้าจนจนได้เป็นผู้ช่วยผู้กำกับ Basil Dean, ฉายเดี่ยวครั้งแรก Midshipman Easy (1935), Night Train to Munich (1940), เริ่มมีชื่อเสียงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง Odd Man Out (1947), The Fallen Idol (1948), กลายเป็นตำนานกับ The Third Man (1949), ผลงานเด่นอื่นๆ อาทิ The Agony and the Ecstasy (1965), Oliver! (1968) ** คว้ารางวัล Oscar: Best Director ฯ

สำหรับ The Fallen Idol (บางประเทศใช้ชื่อ The Lost Illusion) ดัดแปลงจากเรื่องสั้น The Basement Room (1936) แต่งโดย Henry Graham Greene (1904-91) สัญชาติอังกฤษ หนึ่งในนักเขียนผู้ทรงอิทธิพล/ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งศตวรรษที่ 20

งานเขียนของ Greene เจ้าตัวบอกเองว่าไม่ค่อยเหมาะสำหรับดัดแปลงเป็นสื่อภาพยนตร์สักเท่าไหร่ เรื่องที่ให้อิสระผู้สร้างมักทำออกมาไม่ค่อยถูกใจ หลายๆครั้งจึงลงมือดัดแปลงบทหนังด้วยตนเอง หนึ่งในนั้นก็คือ The Fallen Idol (1948) ทำการปรับเปลี่ยนรายละเอียดหลายสิ่งอย่าง โดยเฉพาะไคลน์แม็กซ์และฉากจบให้ลงเอยอย่าง Happy Ending

และด้วยความที่ Greene ไม่สามารถใช้เวลาในกองถ่าย จึงมีการมอบหมายสองนักเขียน Lesley Storm & William Templeton ได้รับเครดิตบทพูดเพิ่มเติม (Additional Dialogue)

เกร็ด: ผกก. Reed สร้างภาพยนตร์จากงานเขียนของ Graham Greene ทั้งหมดสามเรื่อง ประกอบด้วย The Fallen Idol (1948), The Third Man (1949) และ Our Man in Havana (1959)


เรื่องราวของเด็กชายวัยแปดขวบ Philippe (รับบทโดย Bobby Henrey) อาศัยอยู่ในสถานทูตฝรั่งเศส ณ Belgrave Square, London บิดาคือทูตฝรั่งเศส มักไม่ค่อยอยู่บ้าน มีภารกิจเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ส่วนมารดาล้มป่วยเข้าโรงพยาบาลมาเดือนกว่าๆ เขาจึงอาศัยอยู่กับบรรดาคนรับใช้

  • สนิทสนมกับพ่อบ้าน Mr. Baines (รับบทโดย Ralph Richardson) ที่ชอบเล่าเรื่องการผจญภัยในทวีปแอฟริกา (แต่เขาไม่เคยออกนอกประเทศไปไหน)
  • ขณะเดียวกันเต็มไปด้วยความเกลียดชังแม่บ้าน Mrs. Baines (รับบทโดย Sonia Dresdel) เพราะมีความเข้มงวดกวดขัน ชอบออกคำสั่งโน่นนี่นั่น

วันหนึ่ง Philippe แอบติดตาม Mr. Baines ไปพบเจอบุคคลที่เขาอ้างว่าเป็นหลานสาว แต่แท้จริงแล้วคือชู้รัก Julie (รับบทโดย Michèle Morgan) ทั้งสองรอคอยจังหวะที่ Mrs. Baines เดินทางไปเยี่ยมญาติ นำพาเด็กชายไปเที่ยวสวนสัตว์ ส่วนทั้งสองก็เกี้ยวพาราสี ค่ำคืนนั้นร่วมรักหลับนอน ก่อนค้นพบว่าทั้งหมดเป็นแผนการของ Mrs. Baines เพื่อจับชู้ของสามี นำสู่โศกนาฎกรรมไม่คาดฝัน!


Sir Ralph David Richardson (1902-83) นักแสดงสัญชาติอังกฤษ เกิดที่ Cheltenham, Gloucestershire ครอบครัวหย่าร้างอาศัยอยู่กับมารดา เสี้ยมสอนบุตรชายเคร่งครัดศาสนา Roman Catholicism ตั้งใจให้บวชเป็นบาทหลวง แต่อายุสิบห้าหนีออกจากโรงเรียน จากนั้นรับจ้างทำงานไปรษณีย์ สมัครเข้าโรงเรียนศิลปะ Brighton School of Art ก่อนพบว่าตนเองไม่มีพรสวรรค์สักเท่าไหร่, กระทั่งมีโอกาสรับชม Sir Frank Benson ทำการแสดงละคอนเวที Hamlet จึงเกิดความมุ่งมั่นตั้งใจเป็นนักแสดง โด่งดังจนกลายเป็นสามทหารเสือแห่งเกาะอังกฤษ (ร่วมกับ John Gielgud และ Laurence Olivier), ผลงานภาพยนตร์เด่นๆ อาทิ The Fallen Idol (1948), The Heiress (1949), Richard III (1955), Exodus (1960), Doctor Zhivago (1965) ฯ

รับบท Mr. Baines พ่อบ้านดูแลงานในสถานทูต แต่งงานอยู่กันกับ Mrs. Baines มาหลายปี เกิดความเบื่อหน่ายในพฤติกรรมเจ้ากี้เจ้าการ แอบสานสัมพันธ์กับลูกจ้างพิมพ์ดีด Julie เลยตั้งใจจะหย่าร้างภรรยา กลับยังหาโอกาสพูดบอกไม่ได้เสียที จนกระทั่งเด็กชาย Philippe สอดรู้สอดเห็นจนความแตก นำสู่โศกนาฎกรรมคาดไม่ถึง

Richardson คือตัวเลือกแรก ตัวเลือกเดียวของผกก. Reed ขณะนั้นเพิ่งประดับยศอัศวิน (คนแรกของสามทหารเสือที่ได้เป็นท่าน Sir) แสดงบทบาทนี้ด้วยลับเลศนัย น้ำเสียงพูดอย่างหนึ่ง (ตามสไตล์ผู้ดีอังกฤษ) แต่กิริยาท่าทาง โดยเฉพาะสายตากลับแสดงออกอีกอย่างหนึ่ง ไม่ได้สนใจเด็กชายสักเท่าไหร่ ยินยอมเล่นด้วยเพราะทำตามหน้าที่ และสามารถใช้เขาเป็นข้ออ้าง ทำบางสิ่งอย่างตอบสนองความต้องการของตนเอง … พาเด็กชายไปเที่ยวสวนสนุก ส่วนตนเองเกี้ยวพาราสีชู้รัก

นี่แสดงว่า Mr. Baines เป็นคนที่มีเล่ห์เหลี่ยม เพทุบาย เบื่อหน่ายความซ้ำซากจำเจในชีวิต โหยหาอิสรภาพ ไม่ต้องการถูกควบคุมครอบงำโดยใคร จะว่าไปมีความละม้ายเด็กชาย Philippes คือภาพสะท้อนกระจก ร่วมหัวจมท้าย เด็กเลี้ยงแกะด้วยกันทั้งคู่!

บทบาทของ Richardson ถือว่ามีความลึกล้ำ ซับซ้อน เด็กๆรับชมคงดูไม่ค่อยรู้เรื่องสักเท่าไหร่ อะไรไม่รู้ไร้สาระ แต่สำหรับผู้ใหญ่จักสังเกตเห็นพฤติกรรมลับๆล่อๆ คำพูดสองแง่สองง่าม เข้าใจเหตุผลที่ตัวละครต้องปกปิดซ่อนเร้น บิดเบือนข้อเท็จจริง ทำเป็นเรื่องใหญ่โตมโหฬาร จนนำไปสู่เหตุการณ์โศกนาฎกรรม

ผมแอบเสียดายที่ Richardson ไม่มีลุ้นรางวัลด้านการแสดงสักเท่าไหร่ หลุดโผทั้ง Oscar, BAFTA แต่ได้เข้าชิง National Board of Review และ New York Film Critics Circle เลยยังไม่ใช่ภาพยนตร์แจ้งเกิด ต้องรออีกปีกับภาพยนตร์ The Heiress (1949) เรื่องนี้ตั้งใจเขียนถึงแน่ๆ แค่ยังไม่รู้ว่าเมื่อไหร่


Sonia Dresdel ชื่อจริง Lois Obee (1909-76) นักแสดง สัญชาติอังกฤษ เกิดที่ Hornsea, East Riding of Yorkshire หลังเรียนจบมัธยม เข้าฝึกฝนการแสดงยัง Royal Academy of Dramatic Art (RADA) จากนั้นเข้าสู่แวดวงละคอนเวที ได้รับคำชื่นชมอย่างล้นหลามจากบทบาท Hedda Gabler (1942), มีผลงานภาพยนตร์ประปราย โด่งดังสุดก็คือ The Fallen Idol (1948)

รับบท Mrs. Baines แม่บ้านผู้คอยดูแลงานในสถานทูต เป็นคนเจ้ากี้เจ้าการ ชอบวางอำนาจบาดใหญ่ ออกคำสั่งไม่ใช่แค่กับคนรับใช้ ยังรวมถึงสามี Mr. Baines และเด็กชาย Philippes จนสร้างความจงเกลียดจงชังให้พวกเขาทั้งสอง โหยหาอิสรภาพ กระทำสิ่งต่อต้านขัดขืน

ภาพลักษณ์ของ Dresdel มีความดุดัน เข้มงวดกวดขัน ไม่เชิงว่าเป็นสาวอันตราย (Femme Fatale) แต่สามารถสร้างความสะพรึงกลัวให้สามีและเด็กชาย ไม่ค่อยกล้าตอบโต้ หือรือ จำยินยอมก้มหัวศิโรราบ ปฏิบัติตามคำสั่งโดยดี จนกว่าแมวไม่อยู่ หนูถึงร่าเริง

ความเข้มงวดกวดขันของ Mrs. Baines คือภาพสะท้อนวิถีผู้ดีอังกฤษ เธอเพียงพยายามเรียกร้องให้ใครๆปฏิบัติตามขนบกฎกรอบ รับไม่ได้กับพฤติกรรมนอกคอก โกหกหลอกลวง ด้วยเหตุนี้พอเรียนรู้ว่าสามีแอบนอกใจ จึงวางแผนจับชู้คาหนังคาเขา ไม่ใช่ด้วยความอิจฉาริษยา เพียงระบายอารมณ์อัดอั้นออกมา

ผมแอบเสียดาย Dresdel ฝีไม้ลายมือน่าจะกลายเป็นนักแสดงระดับซุปเปอร์สตาร์ แต่เพราะหน้าตาไม่ได้ตรงตามมาตรฐาน ‘beauty standard’ และภาพจำบทบาทตัวร้าย จึงมักไม่ค่อยได้รับโอกาสกับวงการภาพยนตร์ ผลงานส่วนใหญ่คือละคอนเวที และโทรทัศน์


Michèle Morgan หรือชื่อจริง Simone Renée Roussel (1920-2016) นักแสดง สัญชาติฝรั่งเศส เกิดที่ Neuilly-sur-Seine, Hauts-de-Seine ครอบครัวฐานะค่อนข้างดี แต่เธอกลับหนีออกจากบ้านตอนอายุ 15 ตั้งใจว่าจะต้องเป็นนักแสดง เข้าเรียนกับ René Simon ระหว่างได้งานเป็นตัวประกอบ จนถูกค้นพบโดยผู้กำกับ Marc Allégret ชักชวนมารับบทนำภาพยนตร์ Gribouille (1937) ติดตามด้วย Port of Shadows (1938), Remorques (1941), La Symphonie Pastorale (1946) ** บุคคลแรกคว้ารางวัล Best Actress จากเทศกาลหนังเมือง Cannes, The Fallen Idol (1948), Les Grandes Manœuvres (1955) ฯ

รับบท Julie พนักงานพิมพ์ดีด (Typist) เพิ่งได้รับการว่าจ้างทำงานในสถานทูต ก่อนถูกเกี้ยวพาราสีโดย Mr. Baines รับรู้ว่าอีกฝ่ายมีคู่ครองจึงพยายามตีตนออกห่าง ตั้งใจจะออกเดินทางหนีไปให้ไกล แต่เขาก็พยายามโน้มน้าว และวันนี้ Mrs. Baines อ้างว่าไปเยี่ยมญาติ ค้างคืนต่างจังหวัด จึงชักชวนมานัดเดท ค่ำคืนนี้เราสองจักเป็นของกันและกัน

Morgan เป็นนักแสดงที่ภาพจำสวยสังสาร (Femme Fatale) บุคคลอันตราย โฉดชั่วร้าย (หญิงชู้ต้องตีตนออกให้ห่างไกล) แต่บทบาทในภาพยนตร์เรื่องนี้กลับไม่ได้ทำอะไรเลวร้ายสักเท่าไหร่ ตรงกันข้ามพยายามขับไล่ ผลักไส Mr. Baines เต็มไปด้วยความโล้เล้ลังเลใจ ไม่ต้องการกระทำสิ่งขัดต่อศีลธรรมจรรยา จนท้ายที่สุดถูกเขาโน้มน้าวม เกี้ยวพาราสี จนมิอาจหักห้ามความรู้สึกของตนเอง

ในฝรั่งเศส Morgan คือนักแสดงระดับซุปเปอร์สตาร์ ดาวดาราค้างฟ้า อมตะเหนือกาลเวลา! แต่ระดับนานาชาติกลับไม่ค่อยเป็นที่รู้จักสักเท่าไหร่ เคยเล่นหนังภาษาอังกฤษหลายเรื่อง The Fallen Idol (1948) น่าจะโด่งดังสุดแล้วกระมัง … ถ้าครั้งนั้น RKO อนุญาตให้ Warner Bros. ยืมตัวเล่น Casablanca (1942) ก็อาจมีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลกไปแล้ว


Robert ‘Bobby’ Henrey (1939-) เกิดที่ Villers-sur-Mer, Calvados ประเทศ France การมาถึงของสงครามโลกครั้งที่สอง ครอบครัวอพยพสู่ประเทศอังกฤษ, บิดา Robert Selby Henry เป็นนักเขียน เคยถ่ายรูปบุตรชายตอนอายุสามขวบ รวมอยู่ในหนังสือจดบันทึก (Memoir) A Village in Piccadilly (1943) เล่าถึงชีวิตอาศัยอยู่ประเทศอังกฤษช่วงระหว่างสงคราม, ภาพถ่ายดังกล่าวเข้าตา Alexander Korda ส่งต่อให้ผู้กำกับ Carol Reed เล็งเห็นว่าเด็กคนนี้มีภาพลักษณ์ตรงตามวิสัยทัศน์ จึงติดต่อผู้ปกครองให้มาทดสอบหน้ากล้องขณะอายุแปดขวบ พร้อมจ่ายค่าจ้าง £1,000 ปอนด์ ในระยะเวลาสิบสัปดาห์ ถ้าเกินกว่านั้นจ่ายเพิ่มสัปดาห์ละ £100 ปอนด์ … ด้วยความล่าช้าของการถ่ายทำ ท้ายที่สุดได้รับค่าจ้างสูงถึง £5,000 ปอนด์

รับบทเด็กชาย Philippe ด้วยความละอ่อนวัย ไร้เดียงสา เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น เสือกเรื่องของผู้ใหญ่ แต่ไม่สามารถทำความเข้าใจอะไร สนิทสนมคนรับใช้ Mr. Baines เปรียบเสมือนไอดอลประจำใจ ถึงขนาดเก็บงำความลับ พูดโกหกหลอกลวง ยินยอมทำตามคำร้องขอทุกสิ่งอย่าง! ตรงกันข้ามกับ Mrs. Baines ไม่ชอบความจู้จี้จุกจิก เต็มไปด้วยอคติ เกลียดชัง ลึกๆคงแอบดีใจที่อีกฝ่ายตายจากไป

แซว: แม้ว่า Philippe จะเป็นศัตรูกับ Mrs. Baines, แต่ชีวิตจริง Henrey มีความสนิทสนม Sonia Dresdel (ผู้รับบท Mrs.Baines) มากที่สุดแล้วในกองถ่าย

ผกก. Reed ไม่ได้เลือก Henrey จากความสามารถด้านการแสดง แต่เขามีวิธีการที่จะล่อหลอก ดึงดูดความสนใจ ทำให้เด็กชายสำแดงปฏิกิริยาต่างๆออกมาตรงตามเหตุการณ์บังเกิดขึ้น ซึ่งหลายครั้งไม่รับรู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังเข้าฉากอะไร พูดคุยกับใคร ไม่รับรู้ว่าตนเองพูดจริง พูดโกหก หลีกเลี่ยงไม่ให้พบเห็นผู้ใหญ่กระทำสิ่งเลวร้าย

หนึ่งในวิธีการที่ผกก. Reed ใช้กำกับ Henrey คือว่าจ้างนักมายากล ทำการแสดงนอกจอ เด็กชายจับจ้องใจจดใจจ่ออยู่กับสิ่งพบเห็น แสดงปฏิกิริยาบางอย่างออกทางสีหน้า นำแทรกใส่ในฉากที่ต้องการการแสดงออกทางอารมณ์นั้นๆ

I have is being supposed to smile at one point, and for whatever reason I didn’t want to. So Carol Reed got a magician to come on set to perform for me. I remember this poor man walking up the staircase with his bag of tricks that were just for me. I remember thinking I should just smile now.

Bobby Henrey

แม้ตัวหนังจะไม่ประสบความสำเร็จนัก แต่กลับทำให้ Henrey โด่งดังในชั่วข้ามคืน! ถึงขนาดว่าโปรดิวเซอร์ Alexander Kora ยื่นสัญญา £30,000 ปอนด์ สำหรับภาพยนตร์สี่เรื่องระหว่าง ค.ศ. 1948-52 ถึงอย่างนั้นหลังจาก The Wonder Kid (1952) ไม่ประสบความสำเร็จนัก ครอบครัวจึงโน้มน้าวให้บุตรชายกลับไปเรียนหนังสือดีกว่า

Henrey เรียนจบเศรษฐศาสตร์ Oxford University จากนั้นเดินทางสู่สหรัฐอเมริกา ปักหลังอาศัยอยู่ Greenwich, Connecticut และทำงานเป็นที่ปรึกษาภาษีให้กับ PriceWaterhouseCoopers จนกระทั่งเกษียณอายุเมื่อปี ค.ศ. 1997


ถ่ายภาพโดย Georges Périnal (1897-1965) ตากล้องสัญชาติฝรั่งเศส เข้าสู่วงการภาพยนตร์ตั้งแต่ยุคหนังเงียบ เริ่มมีชื่อเสียงจาก Le Sang d’un poète (1930), ก่อนร่วมงานผู้กำกับ René Clair เรื่อง Sous les toits de Paris (1930), À nous la liberté (1931), จากนั้นโกอินเตอร์สู่อังกฤษ The Private Life of Henry VIII (1933), Rembrandt (1936), The Four Feathers (1939), The Thief of Bagdad (1940) ** คว้ารางวัล Oscar: Best Cinematography, The Life and Death of Colonel Blimp (1943), The Fallen Idol (1948), A King in New York (1957) ฯ

ผลงานในยุคหลังสงคราม (Post-War) ผกก. Reed ค้นพบสไตล์ลายเซ็นต์ โดยเฉพาะซีเควนซ์การสำรวจท้องถนนกรุง London ยามค่ำคืน! โดดเด่นกับแสงสว่าง-เงามืด ทิศทางก้ม-เงย เอียงซ้าย-ขวา พยายามสรรหามุมกล้องที่ดูแปลกตา เพื่อสะท้อนสภาพจิตวิทยาตัวละคร วิวัฒนาการต่อยอดมาจาก Odd Man Out (1947) ก่อนกาลมาถึงของผลงานมาสเตอร์พีซ The Third Man (1949)

นอกจากนี้งานภาพของหนังเต็มไปด้วยการถ้ำมอง ลับๆล่อๆ ดูเหมือนแอบถ่าย (Voyeurism) ผ่านมุมมองเด็กชาย ที่เต็มไปด้วยความกระตือรือล้น อยากรู้อยากเห็น อยากเรียนรู้เรื่องของผู้ใหญ่ ถึงอย่างนั้นเขากลับมิอาจทำความเข้าใจ ก่อนกลายเป็นส่วนเกินในเฟรมภาพอยู่บ่อยครั้ง

นอกจากภายในสถานทูต สร้างฉากถ่ายทำยัง Shepperton Studios (Surrey), ฉากภายนอกอื่นๆล้วนเลือกใช้สถานที่จริงแทบทั้งหมด! ในละแวก Belgrave Square และสวนสัตว์ London Zoo (Regent’s Park) เริ่มต้นโปรดักชั่นวันที่ 17 กันยายน ค.ศ. 1947 ตั้งใจจะปิดกล้องปลายปี แต่กลับล่วงเกินเลยไปจนเดือนมีนาคม ค.ศ. 1948


หนังเต็มไปด้วยการถ้ำมอง ลับๆล่อๆ ดูเหมือนแอบถ่าย (Voyeurism) ตั้งแต่ภาพแรกของหนังเด็กชายเกาะราวบันได จับจ้องมองคนรับใช้กำลังวุ่นๆวายๆ เดินไปเดินมา ตระเตรียมสิ่งข้าวของ เพื่อส่งท่านทูต (บิดาของ Philippe) ไปทำธุระค้างแรมนอกบ้าน

แวบแรกที่ผมพบเห็น Philippe เล่นกับงูน้อย Macgregor ชวนนึกถึงอสรพิษที่ทำการล่อลวง Adam & Eve ให้รับประทานผลแอปเปิ้ลในสวนอีเดน (Eden) สัญญะของสิ่งชั่วร้าย ชักนำพาเด็กชายให้กระทำสิ่งไม่ถูกต้องเหมาะสม แต่มันเป็นสิ่งผิดจริงๆนะหรือ? Mrs. Baines ไม่ชอบให้ใครกระทำสิ่งขัดแย้งต่อคำสั่งของตน พอสบโอกาสจึงจับเจ้างูใส่เตาเผาไฟ ใครกันแน่คือบุคคลชั่วร้าย สมควรได้รับความเกลียดชัง?

บางคนอาจตีความเจ้างูน้อย Macgregor คือสัญลักษณ์อวัยวะเพศชาย ผมไม่ค่อยแน่ใจว่าเด็ก 8-9 ขวบ เริ่มมีความสนใจอวัยวะเพศตนเองหรือยัง? แต่มันกลไกทางธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต ไม่ใช่แค่การสำรวจโลกภาพนอก ยังรวมถึงตัวตนเอง ลูบไล้ด้วยความลุ่มหลงใหล แล้วพอถูก Mrs. Baines นำไปใส่เตาเผาไฟ … จินตนาการต่อเอาเองแล้วกันนะครับ

บ่อยครั้งที่เด็กชายแม้อยู่ร่วมฉาก แต่มักถูกแบ่งแยก กีดกัน อยู่คนละเฟรม นั่นเพราะเขายังไม่เข้าใจโลกของผู้ใหญ่ และขณะเดียวกันการทำงานร่วมกับเด็กชายวัย 8-9 ขวบไม่ใช่เรื่องง่าย ผกก. Reed ต้องใช้สารพัดวิธีดึงดูดความสนใจ ให้สามารถแสดงปฏิกิริยาออกมาตรงตามความต้องการ

แซว: นอกจากทรงผมที่ดูแตกต่าง ภาพระยะใกล้ใบหน้ายังดูเหมือนเด็กชายตัวเล็กลง? แต่หนังน่าจะต้องสื่อถึงความแตกต่างระหว่างเด็ก-ผู้ใหญ่ ยังมีอะไรๆแตกต่างกันเยอะ

นี่ก็เป็นอีกซีเควนซ์ที่เด็กชายอยู่ร่วมฉาก นั่งโต๊ะเดียวกัน แต่กล้องกลับแบ่งฟากฝั่งผู้ใหญ่-เด็ก Mr. Baines สนทนากับบุคคลอ้างว่าคือหลานสาว (จริงๆคือชู้รัก) Julie ด้วยท่าทางลับๆล่อๆ ยกมือมาบดบังปาก (และยังมีเงาอาบใบหน้าอยู่เล็กๆ) พูดคุยด้วยรหัสลับ Philippe ฟังไม่เข้าใจ แต่ผู้ชมส่วนใหญ่น่าจะพอสังเกตออกว่าเขาพยายามโน้มน้าวไม่ให้เธอจากไป

แซว: ในขณะที่ Mr. Baines แสดงท่าทางลับๆล่อๆด้วยการยกมือขึ้นมาบดบังริมฝีปาก เด็กชายก็แอบล้วงกระเป๋า หยิบเอาเจ้างูน้อย Macgregor ออกมาเล่น … นั่นทำให้เราสามารถเปรียบเทียบเจ้างู = Julie ต่างเป็นของรักของหวง ต้องปกปิด หลบซ่อน ไม่ให้รับรู้โดย Mrs. Baines

เมื่อตอนต้นเรื่องมันอาจดูไม่ชัดเจนนัก แต่ขณะนี้เด็กชายกำลังถ้ำแอบมอง (Voyeurism) อยู่ตรงบันได พบเห็น Mr. Baines พูดคุยกับ Mrs. Baines เด็กๆคงฟังไม่รู้เรื่องว่าพวกเขาสนทนาอะไรกัน แต่ผู้ชมส่วนใหญ่น่าจะพอเข้าใจได้กระมัง … Mr. Baines อยากจะคุยเรื่องการหย่าร้าง แต่พูดไม่ออกบอกไม่ถูก ยื้อๆยักๆ ขาดความมั่นใจในตนเอง เลยขอเก็บงำเอาไว้ครั้งถัดไป

มุมก้ม-เงย ที่สามารถสื่อถึงบุคคลผู้อำนาจ Mrs. Baines ทำการกดขี่ข่มเหง พยายามเค้นหาความจริงบางอย่างออกจากปากของ Philippe ถูกเขย่าเซียมซี จนพลั้งพลาดหลุดคำสรรพนาม “They” บ่งบอกว่ามีมากกว่าหนึ่งคน เด็กชายพยายามแก้ไข แต่มันก็สายเกินทำอะไร

เมื่อตอน Mrs. Baines ล่วงรู้ความลับของ Philippe นำเอาเจ้างู Macgregor มาใส่เตาเผาไฟ มอดไหม้ไม่เหลือเถ้าถ่าน, และหลังจากล้วงเรื่องชู้รัก Mr. Baine (จากการสอบปากคำ Philippe) เธอเต็มไปด้วยความเกรี้ยวโกรธ มอดไหม้ทรวงใน ครุ่นคิดแผนการเผชิญหน้า ต้องการจับให้ได้คาหนังคาเขา … เห็นความสัมพันธ์ไหมเอ่ย? เตาเผาไฟ = มอดไหม้ทรวงใน พลัดตกบันไดตายทั้งเป็น!

จะว่าไปไม่ใช่แค่ Philippe ที่สอดรู้สอดเห็นเรื่องผู้ใหญ่ แต่ทุกตัวละครต่างสอดแนมกันไปมา เช้าวันนี้ Mrs. Baines แสร้งบอกว่าออกเดินทางไปเยี่ยมญาติต่างจังหวัด จริงๆแล้วคือแอบอยู่ภายในบ้าน ต้องการจับชู้รัก Mr. Baines ให้ได้คาหนังคาเขา! ซึ่งตลอดทั้งวันนี้ ผู้ชมจักพบเห็นร่องรอยของเธอหลบซ่อนอยู่ตรงโน้นนี่นั่นอยู่เสมอๆ

ซีเควนซ์ ณ สวนสัตว์ London Zoo ไปกันสามคน แต่ทว่า Philippe กลายเป็นส่วนเกิน มือที่สาม แทบไม่เคยได้รับความสนใจจาก Mr. Baines เอาแต่โน้มน้าว เกี้ยวพาราสี พูดคุยอยู่กับ Julie ชักชวนมาค้างแรม ร่วมรักหลับนอน ไม่ยินยอมให้เธอจากไปในค่ำคืนนี้

แรกเริ่มต้น Mr. Baines นำพา Philippe มายังกรงราชสีห์ แต่เด็กชายกลับไม่ชอบขี้หน้ามันสักเท่าไหร่ เป็นสัตว์จอมเผด็จการ ชอบคำราม ทำตัวให้คนอื่นเกรงขาม ใช้อำนาจบาดใหญ่ (ไม่ต่างจาก Mrs. Baines), เฝ้ารอคอยจะเดินทางไปแผนกสัตว์เลื้อยคลาน อสรพิษมีความปลิ้นปล้อน เจ้าเล่ห์เพทุบาย พร้อมแว้งกัดศัตรู (ถือเป็นสัตว์สัญญะของทั้ง Mr. Baines และ Philippe)

พอกลับมาบ้าน หลายต่อหลายครั้งผู้ชมจะพบเห็นร่องรอยของ Mrs. Baines หลบซ่อนอยู่นอกเฟรมภาพ (Off-Screen) ข้างหลังประตู หรือขณะก้าวเท้าผ่าน ฯ นี่ช่วยสร้างความหวาดระแวง สะพรึงกลัวให้กับผู้ชม (Philippe, Mr. Baines และ Julie ต่างไม่มีใครรับรู้ว่า Mrs. Baines อยู่ในบ้าน) ฉงนสงสัยว่าเธอจะมาดีร้าย เปิดเผยตัวตนออกมาตอนไหน แล้วกระทำอะไรกับทั้งสาม?

การฉายภาพร่องรอยเหล่านี้ ชวนให้ผมนึกถึงยุคสมัยหนังเงียบที่มีลูกเล่นภาพเงา (ยกตัวอย่าง Nosferatu (1922)) สร้างสัมผัสสิ่งชั่วร้ายคืบคลานเข้าหา ภาพยนตร์สมัยใหม่วิวัฒนาการสู่สิ่งจับต้องได้ลักษณะนี้ สร้างความหวาดสะพรึงไม่ด้อยกว่ากัน!

สมัยวัยเด็ก โลกยังคับแคบ (ยืนอยู่ภายใต้ราวบันได ดูราวกับซี่กรงขัง) ความตายของเจ้างู Macgregor ถูกฆ่าโดย Mrs. Baines คือความครุ่นคิดอย่างตรงไปตรงมา (Facts), แต่พอเติบโตเป็นใหญ่ (Mr. Baines ยืนอยู่ด้านหลัง Philippe แต่ความสูงทำให้ใบหน้าอยู่เหนือราวบันได) มุมมองต่อโลกได้ปรับเปลี่ยนแปลงไป คำกล่าวของเขาไม่ใช่บิดเบือน คือการมองโลกในแง่ดี จดจำสิ่งสวยๆงามๆ ไม่สะสมความเกลียดชังไว้ภายในจิตใจ

ซีเควนซ์ที่ผมชื่นชอบสุดในหนังคือการเล่นไล่จับ (Hide & Seek) เกมนี้ Mr. Baines & Julie ออกค้นหาเด็กชาย Philippe แต่ขณะเดียวกันเราสามารถตีความคู่ขนานถึง Mrs. Baines ที่กำลังหลบซ่อนตัว เฝ้ารอคอยจับชู้สามีต่อหน้าต่อหน้า … ในฉากถัดไป

ความน่าสนใจของซีเควนซ์นี้คือสารพัดมุมกล้องเอียงๆ ถ่ายภาพเฉียงๆ (Dutch Angel) ละเล่นกับแสงสว่าง-เงามืด นี่คือหนึ่งในลายเซ็นต์ของผกก. Reed สำหรับสะท้อนสภาวะทางอารมณ์ ในขณะนี้ตัวละครอาจดูสนุกสนานครื้นเครง แต่ผู้ชมจักรู้สึกหวาดระแวง เสียวสันหลัง ลุ้นระทึกว่าจะมีโอกาสพบเจอ Mrs. Banines แอบหลบซ่อนอยู่แห่งหนใด?

มันอาจดูขัดแย้งที่ภาพมุมกว้าง Mr. Baines จุมพิตกับชู้รัก Julie ท่ามกลางความมืดมิด แต่พอถ่ายภาพระยะใกล้ (Close-Up Shot) ใบหน้าทั้งสองอาบฉาบแสงสว่าง ด้วยความฟุ้งๆ สร้างสัมผัสหวานแหววโรแมนติก … ความรักคือเรื่องระหว่างคนสอง ส่องแสงสว่างให้กันและกัน แต่มันอาจไม่ใช่สำหรับผู้อื่น บุคคลนอก ความสัมพันธ์ของพวกเขาในสถานะชู้รัก ถือเป็นสิ่งชั่วร้าย ไม่ถูกต้องเหมาะสม ต้องหลบๆซ่อนๆไม่ให้ใครพบเห็น

ร่องรอยสุดท้ายของ Mrs. Baines พบเห็นโดย Philippe ครุ่นคิดว่าเป็นผี! ตกใจกรี๊ดลั่น จึงรีบวิ่งกลับมาหา Mr. Baines แต่สังเกตว่าใบหน้าทุกคนต่างปกคลุมด้วยความมืดมิด นี่มัน ‘Death Flag’ ชัดๆเลยนะ บอกใบ้ถึงหายนะกำลังจะบังเกิดขึ้นในฉากถัดไป!

ปล. นี่เป็นการอารัมบทอาการตกใจของ Philippe จะต้องออกวิ่ง หลบหนีไปให้ไกล

จริงๆมันน่าจะหาวัตถุสักชิ้นที่มีการอธิบายความสัมพันธ์กับตัวละคร ไม่ใช่จู่ๆโยนกิ๊ฟท์ติดผม ปลุกตื่นเด็กชาย แค่นั้น? แล้วจะให้ตีความเช่นไร? กิ๊ฟท์ผมคือสิ่งที่ใช้ติดเส้นผมเพื่อให้ได้รูปทรง การนำมันออก โยนทิ้ง ก็คือเสียรูปทรง หรือ Mrs. Baines กำลังสูญเสียตนเองไปกับความเกรี้ยวโกรธ ต้องการติดตามหา จับชู้รักสามีให้ได้คาหนังคาเขา … กระมังนะ

แม้ถูกตบหน้าหลายฉาด เด็กชายยังคงเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ต้องการจับจ้องมองเหตุการณ์บังเกิดขึ้น จึงออกวิ่งลงบันไดหนีไฟ จับจ้องมองผ่านหน้าต่างชั้นบน ลงมาจนชั้นล่างพบเห็น Mrs. Baines กลิ้งตกบันได เกิดความเข้าใจผิดว่า Mr. Baines ผลักเธอตกลงมา

การนำเสนอคู่ขนานระหว่าง Philippe วิ่งลงบันไดหนีไฟ = Mrs. Baines พลัดตกลงชั้นล่าง นี่อาจสะท้อนถึงชื่อหนัง The Fallen (Idol) ก็ได้กระมัง! ในกรณีของแม่บ้านคือเสียชีวิต (ร่างกาย) ส่วนเด็กชายถือว่าได้รับบาดแผลทางจิตใจ

หนังเลือกมุมกล้องเดียวกันเป๊ะกับตอนที่ Philippe พยายามแอบมองเข้าไปในห้อง เพราะกลัวว่า Mrs. Baines จะพบเจอสถานที่ซุกซ่อนเจ้างู Macgregor, คราวนี้ Mrs. Baines พยายามแอบมองเข้าไปในห้อง เพราะครุ่นคิดว่าสามีแอบซุกซ่อนชู้รัก แต่เธอกลับพลั้งพลาดพลัดตกลงมา … Mrs. Baines เคยกล่าวตักเตือนเด็กชายไม่ให้ไปยืนตรงนั้น แต่คราวนี้ตรงสำนวน “ว่าแต่เขา อิเหนาเป็นเอง”

ความตายของ Mrs. Baines มันคืออุบัติเหตุจากความเกรี้ยวโกรธ ต้องการสอดรู้สอดเห็น จับชู้สามีให้ได้คาหนังคาเขา ก่อนถูกบานกระจกผลักตนเองให้พลัดตกหล่น (=การพลิกกลับตารปัตรของชีวิต หรือจะมองว่าคือกรรมสนอง เพราะก่อนหน้านี้ได้ทำการเข่นฆ่า Macgregor) ก่อนกลิ้งตกลงบันได (=สูญเสียอำนาจ ความยิ่งใหญ่ ลุ่มหลงตนเอง)

อีกซีเควนซ์ลายเซ็นต์ของผกก. Reed คือการร้อยเรียงภาพท้องถนนยามค่ำคืนที่สามารถสะท้อนสภาพจิตวิทยาตัวละคร ซึ่งสำหรับ The Fallen Idol (1948) เกิดขึ้นจากความตกอกตกใจของเด็กชาย Philippe ครุ่นคิดว่าตนเองพบเห็นเหตุการณ์ฆาตกรรม จึงวิ่งออกจากบ้าน ไปตามตรอกซอกซอยละแวก Belgrave Square, London ถ่ายทำยังสถานที่จริงทั้งหมดนะครับ!

งานภาพในซีเควนซ์นี้ โดดเด่นกับการจัดวางองค์ประกอบ แสงสว่าง-เงามืด ทิศทางก้ม-เงย เอียงซ้าย-ขวา พยายามสรรหามุมกล้องที่ดูแปลกตา เพื่อสะท้อนความหวาดกลัวของเด็กชาย ต้องการหลบหนีไปให้ไกล จิตใจเต็มไปด้วยความลุ่มร้อนรน ไม่สามารถสงบลงจนกระทั่งพบเจอเจ้าหน้าที่ตำรวจ นั่นคือเป้าหมายแท้จริงหรือเปล่า? ต้องการแจ้งความ? ถึงอย่างนั้นกลับอ้ำๆอึ้งๆ พูดไม่ออก บอกไม่ถูก … พอสงบสติอารมณ์ค่อยตระหนักว่าตนเองไม่ควรเปิดเผยความลับออกไป

ระหว่างที่ Chief Inspector Crowe (รับบทโดย Denis O’Dea) ทำการสอบปากคำ Philippe ตรงระหว่างทางขึ้นบันได

  • ช่วงเริ่มต้นมุมกล้องถ่ายหน้าตรง ภาพเต็มตัว จากระยะห่างออกมา พร้อมกับ Detective Ames (รับบทโดย Jack Hawkins)
  • แต่เมื่อการสนทนาเริ่มเข้มข้น เด็กชายพลั้งพูด “We?” “They?” ระยะภาพเขยิบเข้าใกล้ (Medium Shot) แถมถ่ายภาพมุมเอียง (Dutch Angle)
  • และวินาทีที่สารวัตรใหญ่ได้รับคำตอบที่ต้องการ/ตรงกันข้ามกับเด็กชายพยายามปฏิเสธสิ่งพลั้งพูดออกมา พบเห็นภาพถ่ายโคลสอัพใบหน้า (Close-Up Shot)

Mr. Baines ตัดสินใจสารภาพความจริง ระหว่างจำลองสถานการณ์ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจพบเห็นว่ามันเกิดอะไรขึ้น? จะมีภาพสองช็อตที่กล้องถ่ายภาพใบหน้านักสืบระยะใกล้ (Close-Up Shot) สร้างสัมผัสเหมือนว่าพวกเขาไม่ค่อยอยากจะเชื่อถือสักเท่าไหร่ … มันก็แน่ละ Mr. Baines พูดโกหกมานับครั้งไม่ถ้วน จนหมดความเชื่อถือไปแล้ว!

ระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังสอบปากคำ จู่ๆมีคนงานเดินเข้ามาในห้อง ทำการปรับนาฬิกาให้เดินตรงตามเวลา นี่มันอาจดูเป็นเหตุการณ์ไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่สามารถสะท้อนถึงเรื่องเล่าของ Mr. Baines และ Judie ที่ครั้งนี้ตัดสินใจพูดตรงตามความเป็นจริง (ตามที่ผู้ชมเคยพบเห็นเหตุการณ์บังเกิดขึ้น) … สังเกตเห็นนัยยะของซีนนี้ไหมเอ่ย? ปรับนาฬิกาให้เดินตรงตามเวลา = สองผู้ต้องสงสัยสารภาพตรงตามความจริง!

Mr. Baines ตระหนักว่าตนเองดำเนินถึงทางตัน ไม่สามารถครุ่นคิดหาคำแก้ต่าง แม้ไม่ใช่ฆาตกรแต่ก็ยินยอมรับสภาพ ก่อนจะให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม ขอแวะเวียนกลับมาหยิบหมวกในห้องใต้ถุน พูดสารภาพความจริงและกล่าวอำลา Philippe สังเกตว่าทั้งสองต่างหันหน้าเข้าหาบานประตู ดูราวกับหมาจนตรอก ไร้หนทางออกจากสถานการณ์บังเกิดขึ้น

ระหว่างแวะมาหยิบหมวก ณ ห้องใต้ถุน (Basement Room) สังเกตว่าแขวนอยู่ตรงสัตว์สตัฟฟ์ กวางคือสัญญะแห่งความบริสุทธิ์ สัตว์กินพืช ไร้พิษภัย ไม่เคยเข่นฆ่าใคร แต่มักถูกไล่ล่า กลายเป็นเหยื่อของสัตว์กินเนื้อ … เป็นการสื่อว่า Mr. Baines คือผู้บริสุทธิ์ ไม่ได้ลงมือฆาตกรรมภรรยา แต่ตัวเขาเองก็รับรู้ตนเองว่ามีส่วนผิด เลยพร้อมยินยอมรับชะตากรรม

หนังมีการสร้างความระทึกเล็กๆเมื่อตอน Mr. Baines เปิดลิ้นชัก พบเห็นปืนลูกโม่ที่เก็บไว้ ผมว่าหลายคนน่าจะครุ่นคิดว่าเขาไม่ใช้คนคิดสั้น ฆ่าตัวตายหนีความผิด แต่การฉายภาพนั้นมันเลยเกิดความเสียวสันหลังขึ้นแวบหนึ่ง!

หลังตระหนักว่า Mr. Baines กำลังจะถูกจับกุม Philippe จึงอยากพูดบอกความจริง ต้องการรับสารภาพผิด วินาทีนั้นมุมกล้องดูเอียงๆ (Dutch Angle) เหมือนจะสื่อว่านั่นคือสิ่งผิดวิสัยของเด็กชาย ไม่อยาก(พูดความจริง)สักเท่าไหร่ แต่มันถึงจุดที่เขาจนตรอก นี่คือหนทางออกสุดท้าย

พยายามร่ำร้องขอ “Please, Please. I want to tell you something.” แถมจงใจเอ่ยประโยคเดิมซ้ำๆ เน้นย้ำ ดังกลบเสียงสนทนาอื่น สร้างความหงุดหงิดรำคาญใจให้ทั้งตัวละครและผู้ชม แต่ก็เหมือนนิทานเด็กเลี้ยงแกะ โกหกหลายครั้งจนไม่มีใครหลงเชื่อ พวกเขาต่างเพิกเฉย ผลักไส ปฏิเสธให้ความสนใจ

หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ข้อสรุปเกี่ยวกับคดีฆาตกรรม ทุกคนต่างแยกย้ายเดินทางกลับ Philippe รีบแจ้นไปทำลายหลักฐาน ยกกระถาง ปัดดินไปข้างๆ แน่นอนว่ามันไม่มีประโยชน์อันใด แต่เด็กชายผู้ไม่รู้ประสีประสา ครุ่นคิดว่านี่อาจช่วยให้ Mr. Baines รอดพ้นความผิด? นี่สะท้อนให้เห็นว่าเขายังจมปลักอยู่ในภาพมายา โลกส่วนตัว ทุกสิ่งอย่างต้องหมุนรอบฉัน

บุคคลที่รับบทมารดาของ Philippe ก็คือ Madeleine Gal Henrey มารดาแท้ๆของเด็กชาย Bobby Henrey, ส่วนบิดา/ท่านทูตฝรั่งเศส รับบทโดย Gerard Heinz (1904-72) นักแสดงสัญชาติ German … ทั้งสองพบเห็นจากระยะไกล ไม่มีช็อตถ่ายภาพระยะใกล้

ตัดต่อโดย Oswald Eduard Hafenrichter (1899-1973) สัญชาติ Austrian เกิดที่ Oplotnica, Austria-Hungary (ปัจจุบันคือ Slovenia) ในตอนแรกตั้งใจเข้าเรียนเภสัชศาสตร์ ก่อนหันเหความสนใจสู่แวดวงภาพยนตร์ เดินทางมายังกรุง Berlin เข้าทำงานแผนกตัดต่อสตูดิโอ UFA GmbH, ช่วงระหว่าง Nazi เรืองอำนาจเดินทางสู่ Italy จนกระทั่งปี ค.ศ. 1940 ถึงหลบหนีไปฝรั่งเศส ตามด้วยเกาะอังกฤษ เข้าร่วมสตูดิโอ London Films ผลงานเด่นๆ อาทิ The Fallen Idol (1948), The Third Man (1949) ฯ

หนังดำเนินเรื่องผ่านมุมมองสายตาของเด็กชาย Philippe เมื่อครั้นบิดา-มารดาไม่อยู่บ้าน อาศัยอยู่กับบรรดาคนรับใช้ แอบติดตามพ่อบ้านคนสนิท Mr. Baines ไปพบเจอ(อ้างว่าคือ)หลานสาว Julie พยายามเก็บงำความลับ แต่พลั้งพลาดหลุดปากพูดบอกกับ Mrs. Baines นำสู่เหตุการณ์วุ่นๆวายๆ โศกนาฎกรรมติดตามมา

  • ความอยากรู้อยากเห็นของเด็กชาย
    • บรรดาคนรับใช้กำลังวุ่นๆวายๆกับการเก็บข้าวของ บิดากำลังออกเดินทางไปทริปนอกสถานที่
    • Philippe เที่ยวเล่นไปรอบบ้าน ก่อนถูก Mrs. Baines สั่งกักบริเวณ
    • แอบพบเห็น Mr. Baines ก้าวเดินออกนอกบ้าน จึงรีบแอบติดตาม
    • ไปพบเจอ Mr. Baines กับ(อ้างว่า)หลานสาว Julie
    • Mrs. Baines ซักไซร้ไล่เรียงจนรับรู้ว่า Philippe แอบติดตาม Mr. Baines ออกนอกบ้าน
    • Mrs. Baines ตำหนิต่อว่า Mr. Baines ที่นำพา Philippe ออกนอกบ้าน
    • เย็นวันนั้น Mrs. Baines สามารถล้วงความลับจากปากของ Philippe
  • เราสองสามคน
    • Mrs. Baines อ้างว่าจะไปเยี่ยมญาติต่างจังหวัด, Mr. Baines เลยโทรศัพท์หา Julie ชักชวนมาอยู่ด้วยกัน
    • Philippe เที่ยวสวนสัตว์กับ Mr. Baines และ Julie
    • ยามเย็นตั้งโต๊ะทานอาหารตรงระเบียงบ้าน
    • พอค่ำมืดเล่นเกมวิ่งไล่จับ
  • โศกนาฎกรรม
    • ขณะกำลังหลับนอน Mrs. Baines แอบเข้าห้องของ Philippe เพื่อสอบถามถึง Julie
    • Mrs. Baines เผชิญหน้ากับ Mr. Baines
    • Philippe ครุ่นคิดว่าตนเองพบเห็นเหตุการณ์ฆาตกรรม จึงรีบวิ่งหนีออกจากบ้าน
    • เจ้าหน้าที่ตำรวจพบเจอ Philippe พาไปยังโรงพัก
  • การสืบสวนสอบสวน
    • เจ้าหน้าที่ตำรวจพา Philippe กลับมาส่งสถานทูต พูดคุยกับแพทย์ สังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่าง
    • Mr. Baines ให้การกับตำรวจ แต่ก็ถูกจับเท็จจากความไม่รู้เดียงสาของ Philippe
    • เช้าวันถัดมา Julie แวะกลับมาที่สถานทูต เลยถูกใช้งานจดบันทึกคำให้การ
    • Mr. Baines พยายามให้การกับตำรวจ แต่มักขัดแย้งกับ Philippe จนเกิดข้อสงสัย
    • Mr. Baines สารภาพเหตุการณ์บังเกิดขึ้น แต่ปฏิเสธยอมรับว่าคือคนลงมือฆาตกรรม
    • Philippe พยายามจะช่วยแก้ต่างให้ Mr. Baines แต่กลับยิ่งทำให้เหตุการณ์เลวร้ายลงเรื่อยๆ
    • ท้ายที่สุดโชคดีว่าตำรวจค้นพบหลักฐานใหม่ ได้ข้อสรุปเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ

เพลงประกอบโดย William Alwyn (1905-1985) คีตกวีสัญชาติอังกฤษ เกิดที่ Northampton วัยเด็กหลงใหลใน Flute และ Piccolo เข้าศึกษาต่อยัง Royal Academy of Music ณ กรุง London จากนั้นเป็น Flautist ให้กับ London Symphony Orchestra ขณะเดียวกันก็เป็นอาจารย์สอนทฤษฎีดนตรี แล้วมีโอกาสทำเพลงออร์เคสตรา Concerto, Piano Suite, Chamber Music, ละครเวที และประกอบภาพยนตร์ อาทิ The True Glory (1945), The October Man (1947), Odd Man Out (1947), The Fallen Idol (1948), The Crimson Pirate (1952), A Night to Remember (1958), The Running Man (1963) ฯ

งานเพลงของหนัง สะท้อนห้วงอารมณ์/พรรณาความรู้สึกเด็กชาย Philippe มักมีความสนุกสนาน ครึกครื้นเครง เต็มไปด้วยความกระตือรือล้น อยากรู้อยากเห็น อยากเสือกเรื่องของผู้ใหญ่ แม้จะไม่สามารถทำความเข้าใจ ยังครุ่นคิดว่าโลกทั้งใบหมุนรอบตัวฉัน

สำหรับไฮไลท์ของเพลงประกอบ ผมยกให้ตอนเล่นไล่จับ (แมวไล่จับหนู) มีความพยายามทำให้เสียงได้ยิน สอดคล้องเข้ากับภาพพบเห็น และยังมีการแทรกใส่เสียงประกอบ (Sound Effect) ส่งเสียงจี๊ดๆ (เหมือนเสียงหนูร้อง Squeak) หัวเราะคิกๆ หลอดไฟกระพริบ เคาะระฆัง ฯ ช่วยทำให้ซีเควนซ์นี้ดูมีความสนุกสนาน ลูกเล่นภาพยนตร์น่าตื่นตาตื่นใจ

เมื่อตอนเด็กชาย Philippe เกิดอาการตื่นตระหนก ตกอกตกใจ ครุ่นคิดว่าตนเองพบเห็นเหตุการณ์ฆาตกรรม จู่ๆออกวิ่งไปตามท้องถนนยามค่ำคืน ต้องการหลบหนีไปให้แสนไกล, บทเพลงมีท่วงทำนองรุกเร้า ไล่ระดับบันไดเสียงจากบนลงล่าง (กลายเป็น Fallen Idol) พรรณาความรู้สึกหวั่นไหว สั่นสะท้านทรวงใน เต็มไปด้วยความหวาดสะพรึง นี่คือเหตุการณ์จักติดตาฝังตรึง บาดแผลทางใจไม่รู้ลืมเลือน

เด็กชาย Philippe มีไอดอลประจำใจคือ Mr. Baines เป็นบุคคลเดียวที่ให้ความสนใจ ยินยอมละเล่นด้วย พาออกไปท่องเที่ยวนอกบ้าน เคยเล่าให้ฟังว่าเข่นฆ่าคนตายที่แอฟริกา ด้วยเหตุนี้เมื่อพบเห็น Mrs. Baines ตกบันไดลงมาชั้นล่าง จึงครุ่นคิดว่าเขาคือคนลงมือฆาตกรรม พยายามปกป้อง ทำตามคำร้องขอ พูดโกหกหลอกลวง … มันพอจะมองเป็น The Fallen Idol ได้กระมัง

เรื่องราวของหนังนำเสนอผ่านมุมมองเด็กชาย วัยกำลังเติบโต เต็มไปด้วยความกระตือรือล้น อยากรู้อยากเห็น อยากเสือกเรื่องราวชาวบ้าน แต่ถึงอย่างนั้นเขากลับไม่สามารถทำความเข้าใจอะไรสักสิ่งอย่าง ครุ่นคิดว่าตนเองทำในสิ่งถูกต้อง กลับถูกผู้ใหญ่มองข้าม ไม่เห็นหัว สนเพียงบีบบังคับ ออกคำสั่ง ควบคุมครอบงำ ต้องทำตามโน่นนี่นั่น เด็กก็ต้องอยู่ส่วนเด็ก ไม่ควรเสือกเรื่องของผู้ใหญ่

Philippe = Mr. Baines ทั้งสองราวกับกระจก ภาพสะท้อนกันและกัน, Philippe เด็กน้อยยังไร้อิสรภาพชีวิต เลยมักถูกสั่งให้ทำโน่นนี่นั่น กักบริเวณ, Mr. Baines แต่งงานกับ Mrs. Baines ความเจ้ากี้เจ้าการของเธอ ทำให้เขารู้สึกเหมือนชีวิตไร้อิสรภาพ แม้สามารถออกไปไหนมาไหนด้วยตนเอง แต่จิตวิญญาณเหมือนถูกกักขังหน่วงเหนี่ยว

อีกสิ่งหนึ่งทั้งสองเป็นเหมือนกันก็คือพยายามปกป้องไอดอล/คนรัก จึงทำการโป้ปดหลอกลวง พูดจริงบ้าง เท็จบ้าง ไม่ต่างจากเด็กเลี้ยงแกะ จนทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจหมดความเชื่อถือ แล้วพอพวกเขาพูดความจริง ก็ไม่มีใครอยากรับฟัง … มันคือบทเรียนจากนิทานเด็กเลี้ยงแกะ – อีสป

ต้นฉบับเรื่องสั้น Mr. Baines คือคนผลัก Mrs. Baines ตกบันไดเสียชีวิต เด็กชายพบเห็นกับตา จึงบังเกิดความหลอกหลอน กลายเป็นบาดแผลทางใจ (มุ่งเน้นนำเสนอจิตวิทยาตัวละคร), แต่ภาพยนตร์เปลี่ยนมาเป็นอุบัติเหตุ และ Philippe ครุ่นคิดไปเองว่า Mr. Baines คือฆาตกร! ให้ความสำคัญกับข้อเท็จ-จริง การเข้าใจผิด ครุ่นคิดไปเอง (Truth & Deception)

ผมครุ่นคิดว่าผกก. Reed ต้องการสะท้อนบรรยากาศยุคสมัยหลังสงครามโลก (Post-War) ช่วงเวลาแห่งความหวาดระแวง กลัวการถูกทรยศหักหลัง (=คบชู้นอกใจ) ถ้อยคำโกหกหลอกลวง ไม่รู้อะไรจริง-เท็จ เชื่อถือได้-ไม่ได้ ถือเป็นการอารัมบทก่อนกาลมาถึงของสงครามเย็น (Cold War) … นี่ไม่ใช่หนังเรื่องแรกของผกก. Reed ที่เคลือบแฝงประเด็นดังกล่าว Odd Man Out (1947) และ The Third Man (1949) ก็ไม่แตกต่างกันนัก

อีกสิ่งน่าสนใจก็คือความเรื่องมาก เผด็จการของ Mrs. Baines ยังสะท้อนขนบวิถี ธรรมเนียม(ผู้ดี)อังกฤษ ที่มักเป็นไปตามกฎกรอบข้อบังคับ ยึดถือปฏิบัติมาช้านาน กล่าวคือสังคม(อังกฤษ)ไม่ค่อยยอมรับความเปลี่ยนแปลงสักเท่าไหร่ นั่นทำให้เธอเต็มไปด้วยความขัดแย้ง รับไม่ได้ต่อทั้งเด็กชาย(เรียกร้องความสนใจ) และสามี(คบชู้นอกใจ) ท้ายที่สุดจึงพลัดตกลงจากเบื้องบนบันได … The Fallen Idol อาจสื่อถึงความตกต่ำ เสื่อมศรัทธา สาละวันเตี้ยลงต่อวิถีผู้ดีอังกฤษ


หนังเข้าฉายรอบปฐมทัศน์ยังเทศกาลหนังเมือง Venice แม้พลาดรางวัล Grand International Prize of Venice (เทียบเท่า Golden Lion ในปัจจุบัน) ให้กับ Hamlet (1948) ฉบับของ Laurence Olivier, แต่ยังสามารถคว้ารางวัล Best Original Screenplay ติดไม้ติดมือกลับมา

หนังใช้ทุนสร้างเกือบๆ £400,000 ปอนด์ แต่ทำเงินในอังกฤษได้เพียง £203,000 ปอนด์ มีรายงานขาดทุนประมาณ £247,035 ปอนด์ แต่ด้วยเสียงตอบรับดียอดเยี่ยม ช่วงปลายปีจึงได้ลุ้นรางวัล Oscar, Golden Globe และ BAFTA Award หลายสาขาทีเดียว

  • Academy Award
    • Best Director
    • Best Writing, Screenplay
  • Golden Globe Award
    • Best Foreign Film (จากประเทศอังกฤษ) พ่ายให้กับ Bicycle Thieves (1948)
  • BAFTA Award
    • Best Film from any Source พ่ายให้กับ Hamlet (1948)
    • Best British Film ** คว้ารางวัล

ปัจจุบันหนังยังไม่มีข่าวคราวการบูรณะ ทั้งฉบับของ Criterion และ StudioCanal ต่างเป็นการสแกนใหม่ ‘digital transfer’ คุณภาพ HD แล้วนำไปลบริ้วรอยด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เพื่อเฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบ 70th Anniversary (แต่วางจำหน่ายตั้งแต่ปี ค.ศ. 2015)

แม้ผมจะขัดใจตอนจบอยู่เล็กๆ ไม่น่าจะลงเอยอย่าง Happy Ending แต่คุณภาพโดยรวมต้องถือว่าเกือบจะสมบูรณ์แบบ โดยเฉพาะผู้ใหญ่เข้าใจเหตุผลที่ตัวละครพยายามปกปิดความจริงต่อเด็กๆ แล้วชักชวนให้ครุ่นคิดทบทวน มองย้อนกลับหาตนเอง การกระทำดังกล่าวใช่สิ่งถูกต้องเหมาะสมหรือไม่?

“ต้องดูให้ได้ก่อนตาย” เป็นหนังที่เหมาะสำหรับทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เสี้ยมสอนบทเรียนเด็กเลี้ยงแกะ การโกหกหลอกลวงไม่ทำให้ใครได้ประโยชน์ และถ้าทำจนติดเป็นนิสัย จักหมดความน่าเชื่อถือต่อทั้งตนเองและผู้อื่นในสังคม

จัดเรต pg กับการโกหกหลอกลวง เรื่องลับๆล่อของผู้ใหญ่

คำโปรย | The Fallen Idol บทเรียนเด็กเลี้ยงแกะ และการสูญเสียความบริสุทธิ์ (Loss Innocence) ของผู้กำกับ Carol Reed
คุณภาพ | สีริสุธิ์ (Loss Innocence)
ส่วนตัว | ชื่นชอบ

Leave a Reply

avatar

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

  Subscribe  
Notify of
%d bloggers like this: