
An Inn in Tokyo (1935)
: Yasujirô Ozu ♥♥♥♥
หนังเงียบเรื่องสุดท้ายหลงเหลืออยู่ของผู้กำกับ Yasujirô Ozu ร้อยเรียงภาพความทุกข์ยากลำบาก ปากกัดตีนถีบของชนชั้นรากหญ้าชาว Tokyo โรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ผุดขึ้นยังกะดอกเห็ด แต่กลับไม่มีใครว่าจ้างงาน พ่อ-ลูกสองจึงต้องหาเงินด้วยการไล่จับสุนัขจรจัด
An Inn in Tokyo (1935) ไม่เชิงว่าเป็นภาพยนตร์ ค่อนไปทางสารคดีแนว Neorealist บันทึกภาพความทุกข์ยากลำบาก ปากกัดตีนถีบของชนชั้นรากหญ้าชาว Tokyo ซึ่งขัดแย้งกับภาพพื้นหลัง โรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ มันควรสร้างความเจริญให้ชุมชนไม่ใช่ฤา? เหตุไฉนกลับทำให้เกิดช่องว่างระหว่างชนชั้น เหินห่างไกลออกไปทุกวี่วัน?
มันไม่ใช่ว่าผกก. Ozu ไม่ได้อยากสร้างหนังพูด (Talkie) เขามีความกระตือรือล้น สนอกสนใจมากตั้งแต่ความสำเร็จของ The Neighbor’s Wife and Mine (1931) หนังพูดเรื่องแรกของสตูดิโอ Shōchiku แต่ทว่าเจ้าตัวเคยรับปากตากล้องขาประจำ Hideo Shigehara ให้คำมั่นสัญญาว่าจะรอคอยจนกว่าอีกฝ่ายพัฒนาระบบเสียงของตนเองเสร็จสรรพ
I made Hideo this long-held promise. If I want to keep this promise, I may have to quit directing. That would be fine with me too.
Yasujirô Ozu
พยายามยื้อย่างมาถึงปี ค.ศ. 1935 จนใครต่อใครหันไปสร้างหนังเสียงกันหมดแล้ว แถมสตูดิโอ Shōchiku เริ่มวางแผนย้ายสถานที่ตั้งจาก Kamata สู่ Ofuna ห่างไกลโรงงานอุตสาหกรรม เพราะต้องการความเงียบสงัดสำหรับการบันทึกเสียง … นี่ถือเป็นฟางเส้นเกือบจะสุดท้ายแล้วที่สตูดิโอยินยอมให้ผกก. Ozu สรรค์สร้างหนังเงียบ
เกร็ด: จริงๆแล้ว An Inn in Tokyo (1935) ไม่ใช่หนังเงียบเรื่องสุดท้ายของผกก. Ozu ยังมีอีกเรื่อง College is a Nice Place (1935) แต่ฟีล์มสูญหายไปแล้ว (Lost Film) ใครต่อใครจึงให้คำนิยามหนังเรื่องนี้คือ “The Last Extant Silent Film”
Yasujirô Ozu (1903-63) ผู้กำกับภาพยนตร์ สัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Fukagawa, Tokyo เป็นบุตรที่สองจากพี่น้อง 5 คน ตอนอายุเก้าขวบ บิดาส่งลูกๆไปอาศัยอยู่บ้านต่างจังหวัด Matsusaka, Mie Prefecture ชอบโดดเรียนไปดูหนัง Quo Vadis (1913), The Last Days of Pompeii (1913), กระทั่งมีโอกาสรับชม Civilization (1918) เกิดความมุ่งมั่นต้องการทำงานผู้สร้างภาพยนตร์, เรียนจบมัธยมอย่างยากลำบากเพราะเป็นเด็กหัวช้า สอบเข้ามหาวิทยาลัยแห่งไหนก็ไม่ติด โชคดีมีลุงเป็นนักแสดงสตูดิโอ Shochiku Film Company ได้ทำงานผู้ช่วยตากล้อง ไต่เต้าขึ้นเป็นผู้ช่วยผู้กำกับ ไม่นานได้กำกับหนังเงียบเรื่องแรก Sword of Penitence (1927) น่าเสียดายฟีล์มสูญหายไปแล้ว
東京の宿 อ่านว่า Tōkyō no yado ชื่อภาษาอังกฤษ An Inn in Tokyo สร้างขึ้นในช่วงที่สถานะการเงินของผกก. Ozu กำลังมีปัญหา เพราะหลังจากบิดาเสียชีวิตเมื่อปีก่อน เงินเดือนของตนเองเพียงคนเดียวเริ่มไม่เพียงพอ แถมค่าครองชีพก็เพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากญี่ปุ่นกำลังทำสงคราม/บุกรุกรานแมนจูเรีย (มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1931)
ด้วยเหตุนี้จึงใช้นามปากกา ウィンザト・モネ, Uinzato Mone ซึ่งถ้าอ่านภาษาอังกฤษ Winthat Monnet จะแปลว่า Without Money พัฒนาเรื่องราวสุดท้ายของ Kihachi Series พ่อเลี้ยงเดี่ยว (บุตรชายสองคน) คราวนี้ไม่มีงาน ไม่มีเงิน ไม่มีบ้านพักอยู่อาศัย ก้าวเดินอย่างเรื่อยเปื่อย ชีวิตไร้จุดหมาย (ไม่ต่างจากสุนัขจรจัด)
ปล. อาจเพราะสตูดิโอ Shōchiku วางแผนจะย้ายสถานที่ตั้งจาก Kamata สู่ Ofuna ด้วยกระมังที่คือแรงผลักดันให้ผกก. Ozu อยากเก็บบันทึกภาพบรรยากาศโดยรอบครั้งสุดท้าย เก็บฝังเอาไว้ในไทม์แคปซูล
เรื่องราวของพ่อเลี้ยงเดี่ยว Kihachi (รับบทโดย Takeshi Sakamoto) พร้อมบุตรชายสองคน Zenko (รับบทโดย Tokkan Kozō) และ Masako ร่วมกันก้าวออกไปตามย่านโรงงานอุตสาหกรรม ณ Koto District เพื่อหางานทำ แต่จนแล้วจนรอด เพียงวิ่งไล่จับสุนัขจรจัดแลกกับเงินรางวัล เพียงพอสำหรับเอาตัวรอดไปวันๆ
วันหนึ่ง Kihachi พบเจอเพื่อนเก่า (หรือถ่านไฟเก่าก็ไม่รู้) Otsune (รับบทโดย Choko Iida) เจ้าของบาร์เล็กๆแห่งหนึ่ง ให้ที่พักอาศัย ทั้งยังช่วยฝากเข้าทำงานยังโรงงานแห่งหนึ่ง ระหว่างนั้นเขาให้ความช่วยเหลือแม่เลี้ยงเดี่ยว Otaka (รับบทโดย Yoshiko Okada) และบุตรสาว Kimiko ที่ก็พยายามออกหางานทำไม่ต่างจากตนเอง
และวันหนึ่งเมื่อบุตรสาว Kimiko ล้มป่วยหนัก ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล Otaka จำยินยอมลดตัวมาทำงานพนักงานเสิร์ฟ Kihachi พบเจอเข้าจึงอาสาให้ความช่วยเหลือ ด้วยการลักขโมยเงินมามอบให้กับเธอ จากนั้นฝากฝังบุตรชายทั้งสองกับ Otsune แล้วเข้ามอบตัวกับตำรวจ ยินยอมติดคุกติดตาราง ปีสองปีคงไม่นานเกินรอ
Takeshi Sakamoto, 坂本武 ชื่อจริง Takehira Nagaishi, 永石 武平 (1899-1974) นักแสดงสัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Akō, Hyogo เป็นบุตรของชาวประมงหาปลา หลังเรียนจบชั้นประถมทำงานร้านนาฬิกาที่ Osaka ก่อนมีโอกาสรับชมมายากล เกิดความชื่นชอบหลงใหล ทำงานเป็นผู้ช่วยนักมายากลอยู่หลายปี ก่อนเข้าร่วมคณะการแสดงทัวร์ (Traveling Troupe) หลังการยุบคณะในปี ค.ศ. 1923 กลายมาเป็นนักแสดงภาพยนตร์ในสังกัด Shōchiku มีผลงานกว่า 300 เรื่อง! ส่วนใหญ่บทบาทสมทบ ร่วมงานขาประจำผู้กำกับ Yasujirô Ozu ตั้งแต่ Days of Youth (1929), Tokyo Chorus (1931), I Was Born, But… (1932), รับบทนำ Passing Fancy (1933), A Story of Floating Weeds (1934), An Inn in Tokyo (1935) ฯ
รับบทพ่อเลี้ยงเดี่ยว Kihachi ดูแลบุตรชายสองคน พยายามหางานทำ แต่จนแล้วจนรอด จนไม่รู้จะทำอะไรยังไง โชคดีได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนเก่า (หรือถ่านไฟเก่าก็ไม่รู้) Otsune ฝากเข้าทำงานยังโรงงานแห่งหนึ่งจนพอมีกินมีใช้ และพอเห็นบุตรสาวของแม่เลี้ยงเดี่ยว Otaka ล้มป่วยหนัก จึงเกิดจิตเมตตา อยากให้ความช่วยเหลือ แม้ต้องแลกมากกับ…
ครั้งสุดท้ายที่ Sakamoto ได้รับเล่นบท Kihachi Series ยังคงเป็นบิดาไม่เอาอ่าว ชอบหลีสาว พึ่งพาอะไรไม่ค่อยได้ ใครเคยรับชมผลงานเก่าๆย่อมรู้สึกมักคุ้นเคยชิน และการอยากให้ความช่วยเหลือแม่เลี้ยงเดี่ยว Otaka ย้อนรอยกับภาพยนตร์ Passing Fancy (1932) ที่บุตรชายของ Kihachi ล้มป่วยหนัก ไม่มีเงินค่ารักษาพยาบาล แล้วได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนสนิท ยินยอมเสียสละตนเอง … An Inn in Tokyo (1935) ถึงคราวของ Kihachi จักยินยอมเสียสละตนเองบ้าง
แต่การเสียสละครั้งนี้ของ Kihachi คือภาพสะท้อนความสิ้นหวังขีดสุดของชาว Tokyo ดำเนินมาถึงจุดที่ไร้หนทางออก ถึงขนาดต้องก่ออาชญากรรม ลักขโมยเงินทอง รู้ทั้งรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องถูกต้อง ไม่ใช่เรื่องของตนเองด้วยซ้ำ แต่ชีวิตของใครคนหนึ่งล้วนมีความสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด … การกระทำของเขาจึงสามารถมองถึงการสร้างอนาคตให้กับลูกหลาน
(การกระทำของ Kihachi เลยมักได้รับการเปรียบเทียบถึง Bicycle Thieves (1948) ของ Vittorio De Sica)
ถ่ายภาพ/ตัดต่อโดย Hideo Shigehara, 茂原英雄 (1905-67) สัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Myoko City, Niigata Prefecture ครอบครัวเป็นเจ้าของกิจการโรงแรม พออายุ 17 เดินทางสู่กรุง Tokyo เข้าร่วมสตูดิโอ Shochiku แล้วกลายเป็นตากล้องขาประจำของผู้กำกับ Yasujirô Ozu ตั้งแต่ Dreams of Youth (1928) จนถึง What Did the Lady Forget? (1937) ก่อนรีไทร์จากวงการภาพยนตร์
หลังจาก A Story of Floating Weeds (1934) ที่ผกก. Ozu เริ่มให้ความสนใจทิวทัศน์ ภาพพื้นหลัง สำหรับถ่ายทอดสัมผัสทางอารมณ์ และยังเคลือบแฝงนัยยะบางสิ่งอย่าง, An Inn in Tokyo (1935) ตั้งใจเลือกสถานที่ Koto district เพื่อเก็บบันทึกภาพโรงงานอุตสาหกรรม นำเสนอความเปลี่ยนแปลงยุคสมัย และอิทธิพลต่อชนชั้นรากหญ้า
ทิวทัศน์ของ An Inn in Tokyo (1935) มันช่างดูขัดแย้งกับสภาพผู้คน วิถีชีวิตชนชั้นรากหญ้า ตัวละครก้าวออกเดินทางไปตามท้องถนน พยายามติดต่อหาการหางาน แต่กลับไม่มีสถานที่แห่งไหนตอบตกลงว่าจ้าง … เช่นนั้นแล้วโรงงานเหล่านี้สร้างมาเพื่ออะไร? ประโยชน์ต่อใคร?



วันนี้เด็กๆสามารถไล่จับสุนัขจรจัด แทนที่จะนำเงิน 40 Sen ไปซื้ออาหาร/จ่ายค่าห้องพักโรงแรม กลับแลกหมวกเท่ห์ๆหนึ่งใบที่ไม่มีประโยชน์อะไร สำหรับผู้ใหญ่มังคงเป็นเรื่องไร้สาระ แต่เด็กๆคือความอิ่มหนำทางใจ … มันก็เหมือนผู้ใหญ่ดื่มสาเก เที่ยวหญิง ไม่ได้มีประโยชน์อะไร เพียงตอบสนองความพึงพอใจ


ซีเควนซ์น่าเศร้าใจที่สุดของหนัง เพราะไม่เงินจะกินเลยจินตนาการถ้วยชาม อาหาร สาเก เทใส่มือเปล่าๆ ยกขึ้นดื่ม แม้ไม่สามารถประทังร่างกาย แต่จิตใจเกิดความชุ่มฉ่ำ อิ่มทิพย์กระมัง?

ระหว่างบิดาแวะเข้าไปของานทำ ฝากกระเป๋าผ้าให้บุตรชาย แต่พี่ส่งให้น้อง น้องไม่อยากแบกภาระ แม้ภายในไม่มีสิ่งข้าวของมีค่า กลับถูกลักขโมย สูญหายอย่างไร้ร่องรอย, ผมมองกระเป๋าใบนี้ไม่ต่างจากเด็กๆทั้งสอง คือ(สัม)ภาระของบิดา ไม่มีใครอยากแบกไปมา แต่ถ้าไร้คนดูแลพวกเขาจักเอาตัวรอดได้อย่างไร? … สัมภาระแค่เพียงสูญหาย แต่มนุษย์อาจถึงแก่ความตาย!

ในค่ำคืนฝนตก ราวกับโชคชะตาฟ้าลิขิต Kihachi และบุตรชายเลือกรับประทานอาหารยังร้านแห่งหนึ่ง มีเงินไม่เพียงพอเลยตั้งใจจะเชิดหนีออกจากร้าน เดินข้ามถนนฟากฝั่งตรงข้าม → แล้วจู่ๆเจ้าของร้าน (ที่แวะอยู่ร้านตรงข้าม) ก้าวเดินออกมาพอดี กลับกลายเป็นคนเคยรู้จัก Otsune เลยชักชวนเดินข้ามถนนกลับเข้าร้าน
การมาถึงของซีเควนซ์นี้ก็เกือบๆจะครึ่งเรื่องพอดิบดี ใช้การเดินข้ามถนนกลับไปกลับมา สื่อแทนโชคชะตาพลิกผัน ความเปลี่ยนแปลงที่จะบังเกิดขึ้นกับ Kihachi (และลูกๆ) กลับจากหน้ามือเป็นหลังมือ


ภาพซ้ายคือตอนแรกสนทนาระหว่าง Kihachi & Otaka ทั้งสองนั่งยองๆดูเด็กๆกำลังเล่นสนุกสนาน, ภาพขวาคือหลังจาก Kihachi ได้ทำงานโรงงาน มีเงินเลี้ยงข้าวเลี้ยงปลา Otaka (และบุตรสาว) นอกจากสลับเปลี่ยนทิศทาง กิริยาท่าทางของพวกเขายังดูผ่อนคลายลง คงเริ่มสนิทสนม ค่อยๆเปิดใจให้กัน


ผมไม่ค่อยชอบท้องฟ้าลักษณะนี้เลยนะ ก้อนเมฆดูคลุคละ ลักษณะเหมือนเมฆแผ่นดินไหว บอกใบ้หายนะคืบคลานเข้ามา, แม้ฉากต่อไปฉายภาพ Kihachi นั่งดื่มอย่างเกษมสำราญ แต่ทว่าบุตรสาวของ Otaka กำลังจะล้มป่วยหนัก ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล

การสูญหายตัวไปของ Otaka (และบุตรสาว) สร้างความผิดหวังให้กับ Kihachi ค่ำคืนนี้เลยมาดื่มด่ำ กำลังมึนเมามาย นึกว่าหน้ามืดตาลาย พบเห็นเธอทำงานสาวเสิร์ฟ เลยกล่าวคำตำหนิต่อว่า (ชาวญี่ปุ่นสมัยนั้นยังมองว่างานบริการเป็นอาชีพชั้นต่ำ) เนื่องด้วยคุณภาพฟีล์มเต็มไปด้วยริ้วรอยขีดข่วน ผมจึงมองไม่ออกว่าด้านหลังของหญิงสาวคือแสงไฟกระพริบหรืออะไร? แต่มันสามารถสะท้อนความรู้สึกภายใน อีกไม่นานจะร้องห่มร้องไห้ ระบายความอัดอั้นตันใจ พูดอธิบายเบื้องหลังความจริงทั้งหมดออกมา

เมื่อตอน Kihachi เดินทางไปเยี่ยมเยียน Kimiko น่าจะที่โรงพยาบาล เริ่มต้นซีเควนซ์นี้ด้วยกล้องเคลื่อนเลื่อนถ่ายภาพมุมเงยติดเพดาน นี่เป็นการสร้างบรรยากาศที่ดูหลอกหลอน ขนหัวลุกพอง สัมผัสความตาย ถ้าไม่ได้รับการช่วยเหลือเด็กหญิงคนนี้ไม่รอดแน่ๆ … นั่นกระมังที่ทำให้ Kihachi ครุ่นคิดตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง

Kihachi กล่าวกับ Otaka ว่า “Don’t give up.” แล้วฉายภาพแมลงตกน้ำ มันพยายามแหวกว่าย ตะเกียกตะกาย ต่อสู้ดิ้นรน ไม่ยินยอมรับความพ่ายแพ้ … แต่สังเกตว่าเจ้าแมลงกลับว่ายวนไปวนมา ดูแล้วไม่น่าจะมีหนทางเอาตัวรอด หนทางเดียวคือใครสักคนให้ความช่วยเหลือ กระทำสิ่งที่อยู่นอกกฎกรอบ

ส่วนหนึ่งอาจเพราะความหึงหวง (ถ่านไฟเก่า) ยุคสมัยนั้นเงิน 30 Yen หาใช่ปริมาณน้อยๆ อีกทั้ง Kihachi ยังไม่อธิบายเหตุผลใดๆ มันเลยทำให้ Otsune ปฏิเสธยืมเงิน ของเก่ายังใช้หนี้ไม่หมด ไม่รู้ขีดจำกัดตัวเองเลยหรือไร? … เปรียบเทียบกับการรินสาเกจนล้นแก้ว ต้องการให้ความช่วยเหลือผู้อื่นแต่ไม่รู้จักประมาณตน


หนังไม่ได้ฉายให้เห็นระหว่างการโจรกรรม แต่ก็ได้ทิ้งร่องรอยประตูหลัง โปสเตอร์ ป้ายร้านค้า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับโทรศัพท์ ที่เหลือก็ให้อิสระผู้ชมครุ่นคิดจินตนาการ

ชายคนนี้หน้าคุ้นๆ Chishū Ryū นักแสดงขาประจำในภาพยนตร์ของผกก. Ozu รับเชิญในบทเจ้าหน้าที่ตำรวจ รับโทรศัพท์แจ้งข่าวโจรกรรม และออกติดตามหาตัวอาชญากร

Kihachi แวะเวียนมาฝากบุตรชายแก่ Otsune ในตอนแรกภาพพื้นหลังปกคลุมด้วยความมืดมิด (เพราะเพิ่งก่ออาชญากรรม) → จากนั้นเปลี่ยนตำแหน่งมายืนตรงรั้วไม้ (สื่อถึงโทษทัณฑ์ที่เขากำลังจะได้รับ คือติดคุกติดตาราง) → พอกล่าวทิ้งท้ายถึงช่วงเวลาสิบวันแห่งความสุข สลับเปลี่ยนตำแหน่งกับ Otsune พื้นหลังลวดลายดอกไม้ สีสันชีวิต (ตรงกันข้ามกับ Otsune ยืนอยู่ตรงรั้วไม้ ร่ำร้องไห้ เต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานใจ)



การก้าวเดินจากไปของ Kihachi สามารถสื่อถึงจุดจบ Kihachi Series, ผกก. Ozu สร้างหนังเงียบเรื่องสุดท้าย, อำลาสตูดิโอ Shōchiku สาขา Kamata และคำกล่าวตอนจบ “Thus has a soul been saved.” ราวกับคำอวยพร(ของผกก. Ozu) ต่อบิดาผู้ล่วงลับ!

หนังดำเนินเรื่องผ่านมุมมองครอบครัวของ Kihachi และบุตรชายสองคน เริ่มจากก้าวออกเดินหางานตามย่านโรงงานอุตสาหกรรม Koto district แต่จนแล้วจนรอด จนยามค่ำคืนพักค้างแรมยัง Manseikan Inn แล้วได้พบเจอกับหญิงหม้าย Otaka และบุตรสาว Kimiko
- อีกวันแห่งความทุกข์ยากลำบาก
- Kihachi และบุตรชาย ก้าวออกเดินหางานตามย่านโรงงาน แต่ไม่มีใครว่าจ้างงาน
- ค่ำคืนนี้พักค้างแรมยัง Manseikan Inn
- วันถัดมาก็ยังคงก้าวออกเดินหางาน โชคดีว่าวันนี้สามารถไล่จับสุนัขจรจัด แต่ทว่าพี่ชายกลับเอาเงินไปซื้อหมวก
- ค่ำคืนนี้พบเจอกับหญิงหม้าย Otaka และบุตรสาว Kimiko เข้าพักโรงแรม Manseikan Inn
- วันถัดมาพ่อลูกเล่นเกมอาหารอากาศ
- บังเอิญหญิงหม้าย Otaka เดินผ่านมาพูดคุยทักทาย เด็กๆวิ่งเล่นสนุกสนาน
- Kihachi ฝากสัมภาระให้บุตรชาย แต่พวกเขากลับบ่ายเบี่ยงจนสัมภาระดังกล่าวสูญหาย
- น้ำใจของ Otsune
- Kihachi ใช้เงินก้อนสุดท้ายรับประทานอาหาร
- ค่ำคืนนี้ไม่เงินจ่ายค่าโรงแรม แต่บังเอิญพบเจอเพื่อนเก่า (ถ่านไฟเก่า) Otsune ชักชวนให้ไปที่ร้าน
- Otsune ช่วยหางานโรงงานให้กับ Kihachi ทำให้ชีวิตดีขึ้นทันตาเห็น
- ระหว่างทางพบเจอ Otaka จึงพามาเลี้ยงอาหารที่ร้านของ Otsune
- Kihachi พบเจอกับ Otaka บ่อยครั้ง จนเด็กๆมีความสนิทสนม
- น้ำใจของ Kihachi
- Kimiko ล้มป่วยหนัก ไม่มีเงินรักษาพยาบาล Otaka เลยตัดสินใจทำงานสาวเสิร์ฟ
- Kihachi พบเห็นเข้าจึงอาสาหาเงินช่วยเหลือ
- Kihachi ขอยืมเงินจาก Otsune แต่ได้รับคำตอบปฏิเสธ
- Kihachi ตัดสินใจปล้นเงินมามอบให้กับ Otaka
- ร่ำลากับลูกๆ ฝากฝังไว้กับ Otsune ก่อนเข้ามอบตัว
แม้ความยาวของหนังจะเพียงแค่ 80 นาที แต่การดำเนินเรื่องกลับมีความเอื่อยเฉื่อย เชื่องชักช้า แทบไม่มีเนื้อหาอะไร เน้นบันทึกภาพทิวทัศน์โรงงานอุตสาหกรรม ท้องทุ่งกว้างใหญ่ ครอบครัว Kihachi ก้าวเดินไปอย่างห่อเหี่ยว ไร้เรี่ยวแรง … นั่นคือความจงใจของหนังเพื่อสะท้อนสภาพเป็นจริง สร้างบรรยากาศ Neorealist
การญี่ปุ่นบุกรุกรานแมนจูเรียตั้งแต่ ค.ศ. 1931 (ตอนนั้นยังเป็นแค่การรุกราน ยังไม่ถึงระดับสงคราม) เป็นแรงผลักดันให้โรงงานอุตสาหกรรมผุดขึ้นเหมือนดอกเห็ด (เพื่อผลิตยุทโธปกรณ์สำหรับการสงคราม) แต่กลับไม่ได้ทำให้คุณภาพชีวิตของประชาชนรากหญ้า (Lower Class) หรือชนชั้นแรงงาน (Working Class) ดีขึ้นสักเท่าไหร่
An Inn in Tokyo (1935) นำเสนอภาพความขัดแย้งระหว่างการผุดขึ้นของโรงงานอุตสาหกรรม สิ่งที่ควรทำให้คุณภาพชีวิตประชาชนดีขึ้น แต่กลับทำให้ผู้คนอีกมากกลายเป็นคนเร่ร่อน ไร้งาน ไร้เงิน ไร้บ้านพักอาศัย (ต้องจ่ายเงินเข้าพักในโรงแรม) พวกเขายังคงทุกข์ยากลำบาก ปากกัดตีนถีบ ไม่ต่างจากสุนัขจรจัดสักเท่าไหร่
โลกสมัยใหม่อาจดูไม่ค่อยเป็นมิตรกับคนรากหญ้า แต่ก็ไม่ได้ทำให้ Kihachi กลายเป็นคนใจจืดใจดำ การให้ความช่วยเหลือ Otaka & Kimiko แม้ต้องแลกกับการถูกจับติดคุกติดตาราง นั่นคือการสำแดงมนุษยธรรม แสงสว่างที่จักนำพามนุษยชาติก้าวผ่านช่วงเวลาเลวร้าย
หลังสูญเสียบิดา ผกก. Ozu ประสบปัญหาการเงิน นั่นคงเป็นสิ่งไม่เคยบังเกิดขึ้นมาก่อน กอปรกับแรงกดดันจากสตูดิโอ Shōchiku เมื่อไหร่จะสร้างหนังพูดเสียที? กำลังวางแผนย้ายสถานที่ตั้งจาก Kamata สู่ Ofuna … เหล่านี้ทำให้เขาเกิดความเครียด วิตกกังวล สรรค์สร้างภาพยนตร์เรื่องนี้สำหรับระบายอารมณ์อัดอั้นออกมา
ท้ายที่สุดแล้วผกก. Ozu จำยินยอมจำนนต่อสตูดิโอ Shōchiku ไม่สามารถทำตามคำสัญญาต่อตากล้อง Hideo Shigehara สรรค์สร้างภาพยนตร์เสียง The Only Son (1936) ก่อนหวนกลับมาร่วม What Did the Lady Forget? (1937) เติมเต็มคำสัญญา/ผลงานสุดท้ายที่ได้ร่วมงานกัน
ปัจจุบันหนังยังไม่ได้รับการบูรณะ แต่ฉบับที่ผมรับชมนั้นน่าจะเป็นการสแกนใหม่ ‘digital transfer’ คุณภาพถือว่าพอไปวัดไปวา นำจากบ็อกเซ็ต Ozu En 20 films ของค่าย Carlotta Films (ฝรั่งเศส) วางจำหน่ายเมื่อปี ค.ศ. 2019
LINK: https://laboutique.carlottafilms.com/products/coffret-ozu-en-20-films
หนังอาจไม่ได้มีเรื่องราว เนื้อหาสาระน่าสนใจอะไร แต่ระหว่างรับชมผมรู้สึกเศร้าสลดหดหู่ แห้งเหี่ยวหัวใจ (น่าจะเป็นผลงานมืดหม่นที่สุด) คาดไม่ถึงว่าผกก. Ozu คือผู้บุกเบิก Neorealist ในประเทศญี่ปุ่น ฉายภาพโรงงานอุตสาหกรรมสูงใหญ่ ขัดแย้งความทุกข์ยากลำบาก ปากกัดตีนถีบของประชาชนรากหญ้า
แม้ไม่ใช่หนังเงียบเรื่องสุดท้ายของผกก. Ozu (ถือเป็นหนังเงียบเรื่องสุดท้ายหลงเหลืออยู่ถึงปัจจุบัน) แต่เราอาจเรียกว่าผลงานสวอนซอง ทิ้งท้ายก่อนออกเดินทางสู่ยุคสมัยใหม่
จัดเรต 13+ กับความอดอยากปากแห้ง ปากกัดตีนถีบ บรรยากาศ Neorealist
Leave a Reply