A Story of Floating Weeds

A Story of Floating Weeds (1934) Japanese : Yasujirô Ozu ♥♥♥♥

(25/8/2025) 浮草 อ่านว่า Ukigusa แปลว่า Floating Weeds วัชพืชไร้รากเติบโตบนพื้นผิวน้ำ ล่องลอยไปตามลำธารอย่างไร้หลักแหล่ง ไม่ต่างจากคณะละครเร่ (Travelling Troupe) ออกทำการแสดงตามเมืองต่างๆ ปฏิเสธลงหลักปักฐานยังแห่งหนใด

ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ยึดถือมั่นในขนบกฎกรอบ ประเพณีวัฒนธรรม วิถีปฏิบัติสืบต่อกันมา โดยเฉพาะยุคสมัย Edo Period (1603-1868) มีการกำหนดโครงสร้างทางสังคมที่เคร่งครัด สถานะ(ทางสังคม)เชื่อมโยงกับถิ่นฐานบ้านเกิด วงศ์ตระกูล และอาชีพการงาน ใครไร้สังกัดมักถูกตีตราบุคคลนอก (Outcast หรือ Vagabond) ไม่ได้รับนับหน้าถือตาจากผู้คนทั่วไป

อาชีพนักแสดง คณะละครเร่ก็เฉกเช่นเดียวกัน เพราะต้องเดินทางไปตามเมืองต่างๆ ใช้ชีวิตอย่างล่องลอย ไร้หลักแหล่ง แถมมักคลุกคลีโสเภณี เกอิชา กระยาจก บุคคลที่มีความสกปรก (Unclean) ถือเป็นชนชั้นต่ำในสังคม … ลามปามมาถึงสื่อภาพยนตร์ ยุคสมัยนั้น(ก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง)ก็ยังไม่ได้รับการยินยอมรับสักเท่าไหร่ (Unrespectable) ขนาดว่าในศาสตร์การแสดงเหมือนกันยังถูกด้อยค่า เทียบไม่ได้กับละครโน (Noh), คาบูกิ (Kabuki) หรือแม้แต่หุ่นเชิด (Bunraku)

A Story of Floating Weeds (1934) คืออีกโคตรหนังเงียบของผกก. Ozu สร้างขึ้นในช่วงเวลาที่ชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่ ยังไม่ค่อยให้การยินยอมรับศาสตร์ภาพยนตร์ ก็ขนาดว่าบิดา(ของผกก. Ozu)เคยกีดกันบุตรชายไม่ให้เข้าสู่แวดวงการนี้ และเนื้อหาของหนังยังบอกใบ้เหตุผล(ที่ผกก. Ozu)ปฏิเสธลงหลักปักฐาน ในชีวิตไม่เคยแต่งงานกับใคร

ตอนเขียนถึงคราวก่อน ผมรับชม A Story of Floating Weeds (1934) เคียงคู่กับ Floating Weeds (1959) มันเลยเกิดการเปรียบเทียบ ด้วยความที่ชื่นชอบฉบับสร้างใหม่มากกว่า เลยไม่ค่อยให้ความสนใจหนังเงียบสักเท่าไหร่! ตอนหวนกลับมารับชมรอบนี้ เลยเกิดความสองจิตสองใจ (ว่าจะเขียนฉบับสร้างใหม่เคียงคู่ด้วยเลยไหม?) ก่อนตัดสินใจให้กับเวลากับหนังเงียบก่อนดีกว่า

เพราะผมรู้สึกว่า A Story of Floating Weeds (1934) เป็นหนังที่มีความยอดเยี่ยมในตนเอง อาจไม่ถึงระดับของ I Was Born, But… (1931) แต่ก็ถือว่า Top 3 ในยุคหนังเงียบของผกก. Ozu ติดเพียงถ้าไม่เพราะข้อความบรรยาย (Title Card) ปรากฎขึ้นเยอะเกินไป อันดับอาจจะสูงกว่านี้ได้อีกกระมัง!


Yasujirô Ozu (1903-63) ผู้กำกับภาพยนตร์ สัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Fukagawa, Tokyo เป็นบุตรที่สองจากพี่น้อง 5 คน ตอนอายุเก้าขวบ บิดาส่งลูกๆไปอาศัยอยู่บ้านต่างจังหวัด Matsusaka, Mie Prefecture ชอบโดดเรียนไปดูหนัง Quo Vadis (1913), The Last Days of Pompeii (1913), กระทั่งมีโอกาสรับชม Civilization (1918) เกิดความมุ่งมั่นต้องการทำงานผู้สร้างภาพยนตร์, เรียนจบมัธยมอย่างยากลำบากเพราะเป็นเด็กหัวช้า สอบเข้ามหาวิทยาลัยแห่งไหนก็ไม่ติด โชคดีมีลุงเป็นนักแสดงสตูดิโอ Shōchiku Film Company ได้ทำงานผู้ช่วยตากล้อง ไต่เต้าขึ้นเป็นผู้ช่วยผู้กำกับ ไม่นานได้กำกับหนังเงียบเรื่องแรก Sword of Penitence (1927) น่าเสียดายฟีล์มสูญหายไปแล้ว

浮草物語 อ่านว่า Ukigusa monogatari แปลตรงตัว A Story of Floating Weed เป็นการดัดแปลงหลวมๆมาจากภาพยนตร์ The Barker (1928) กำกับโดย George Fitzmaurice, เรื่องราวเกี่ยวกับคนร้องเรียกผู้ชม (Barker) ในคณะละครสัตว์แห่งหนึ่ง วาดฝันอนาคตบุตรชายได้เป็นใหญ่เป็นโต หลุดพ้นจากอาชีพที่ไม่ได้รับความเคารพนับถือนี้ แต่ทว่าเขากลับตกหลุมรักนักเต้นสาว นำไปสู่ความขัดแย้งกับบิดา

ผกก. Ozu ใช้นามปากกา James Maki ร่วมพัฒนาบทหนังกับหนึ่งในนักเขียนขาประจำ Tadao Ikeda โดยปรับเปลี่ยนรายละเอียดให้มีความเป็นญี่ปุ่น, คณะละครสัตว์มาเป็นละครคาบูกิเร่ (Travelling Kabuki Troupe) และความขัดแย้งระหว่างบิดา-บุตรชาย นำแรงบันดาลใจจากเรื่องสั้น/บทละคอนองก์เดียว 父帰る (1917) อ่านว่า ChiChi Kareru แปลว่า Father Returns ผลงานโด่งดังที่สุดของ Kan Kikuchi (1888-1948)


เรื่องราวของ Kihachi Ichikawa (รับบทโดย Takeshi Sakamoto) หัวหน้าคณะละครคาบูกิเร่ เดินทางมาถึงยังเมืองเล็กๆแห่งหนึ่ง สถานที่แห่งนี้แอบซุกซ่อนภรรยา Otsune (รับบทโดย Chōko Iida) และบุตรชายเติบใหญ่ Shinkichi (รับบทโดย Kōji Mitsui) โดยปกปิดว่าบิดาเสียชีวิตในหน้าที่ ไม่ต้องการเปิดเผยตนเองเพราะอาชีพนักแสดงไร้เกียรติ ไร้ศักดิ์ศรี ยุคสมัยนั้นยังไม่ได้รับการยินยอมรับจากสังคม

เมื่อมีเวลาว่างเมื่อไหร่ Kihachi มักแวะเวียนไปหาภรรยาและบุตรชายอยู่เป็นประจำ ทำให้สมาชิกในคณะเกิดความฉงนสงสัย หนึ่งในนักแสดงหญิง Otaka (รับบทโดย Rieko Yagumo) พอล่วงรู้เข้าบังเกิดความอิจฉาริษยา จ่ายเงินให้เพื่อนนักแสดงสาว Otoki (รับบทโดย Yoshiko Tsubouchi) ทำการเกี้ยวพาราสี Shinkichi จนทั้งสองตกหลุมรัก สร้างความเกรี้ยวโกรธให้กับ Kihachi พยายามกีดขวางความสัมพันธ์ และพอความจริง(ที่ว่า Kihachi คือบิดาของ Shinkichi)ได้รับการเปิดเผย พ่อ-ลูกจะสามารถมองหน้ากันติดหรือไม่?


Takeshi Sakamoto, 坂本武 ชื่อจริง Takehira Nagaishi, 永石 武平 (1899-1974) นักแสดงสัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Akō, Hyogo เป็นบุตรของชาวประมงหาปลา หลังเรียนจบชั้นประถมทำงานร้านนาฬิกาที่ Osaka ก่อนมีโอกาสรับชมมายากล เกิดความชื่นชอบหลงใหล ทำงานเป็นผู้ช่วยนักมายากลอยู่หลายปี ก่อนเข้าร่วมคณะละครเร่ (Traveling Troupe) หลังการยุบคณะในปี ค.ศ. 1923 กลายมาเป็นนักแสดงภาพยนตร์ในสังกัด Shōchiku มีผลงานกว่า 300 เรื่อง! ส่วนใหญ่บทบาทสมทบ ร่วมงานขาประจำผู้กำกับ Yasujirô Ozu ตั้งแต่ Days of Youth (1929), Tokyo Chorus (1931), I Was Born, But… (1932), รับบทนำ Passing Fancy (1933), A Story of Floating Weeds (1934), An Inn in Tokyo (1935) ฯ

รับบท Kihachi Ichikawa หัวหน้าคณะละครคาบูกิเร่ เดินทางมาถึงยังเมืองเล็กๆแห่งหนึ่ง สถานที่แห่งนี้แอบซุกซ่อนภรรยา Otsune และบุตรชายเติบใหญ่ Shinkichi เมื่อมีเวลาว่างเมื่อไหร่มักแวะเวียนไปหา จนสร้างความอิจฉาริษยาต่อนักแสดง/คนรักปัจจุบัน Otaka วางแผนทำบางสิ่งอย่างให้เขาเข็ดหลากจำ แต่เป็นเหตุให้ตัดสินใจยุบคณะการแสดง (เพราะขาดทุนด้วยแหละ) ต้องการจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ ยังไม่ทันไรก็หวนกลับไปตายรัง

ผกก. Ozu มีความสนอกสนใจตัวละคร Kihachi จาก Passing Fancy (1933) เป็นคนขี้เกียจคร้าน สันหลังยาว วันๆสนเพียงเกี้ยวพาราสีหญิงสาว ขาดความรับชอบต่อบุตรชาย ถ้าไม่เกิดเหตุร้ายก็คงไม่หันมาเหลียวแล … อาจเพราะนั่นคือภาพสะท้อนบิดาของตนเอง เขาจึงมีความสนอกสนใจที่จะสานต่อจนกลายเป็น Kihachi Series (ภาคต่อทางจิตวิญญาณของ Kihachi)

สำหรับ Kihachi Ichikawa (เพิ่มนามสกุล Ichikawa เพื่อให้ดูเหมือนเป็นเจ้าของคณะการแสดง) เพราะต้องออกเดินทางไปทำการแสดงยังเมืองต่างๆ ไม่สามารถลงหลักปักฐาน แถมยังคลุกคลุกโสเภณี เกอิชา กระยาจก ฯ ยุคสมัยนั้นเป็นอาชีพที่สังคมไม่ให้การยินยอมรับ แต่เรื่องรักๆใคร่ๆมันหักห้ามกันไม่ได้ รวมถึงอาจพลั้งพลาดทำหญิงสาวตั้งครรภ์ เลยยินยอมเสียสละตนเอง ปกปิดบังความจริง ฟังดูมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี … ในมุมกลับกันมันคือการทอดทิ้ง ปัดความรับผิดชอบ เพื่อจะได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรี นี่มันช่างไร้เกียรติ ไร้ศักดิ์ศรี

ตอนเล่นหนังเรื่องนี้ Sakamoto เพิ่งจะอายุ 33-34 ยังไม่ถึงช่วงวัยกลางคนเสียด้วยซ้ำ บางคนเลยอาจรู้สึกว่าเขาอายุน้อยไปสักนิดที่จะมีบุตรชายเติบใหญ่ แต่ยุคสมัยก่อน 14-15 ก็แต่งงานกันแล้วกันนะครับ มันจึงไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอะไร! และคนวัยนี้ยังมีความคึกคะนอง เจ้าอารมณ์ ผู้ชมสัมผัสถึงอารมณ์เกรี้ยวโกรธ … Floating Weeds (1959) นักแสดงนำ Nakamura Ganjirō II อายุ 57-58 ปี ดูแก่ไปหรือเปล่า?


ถ่ายภาพ/ตัดต่อโดย Hideo Shigehara, 茂原英雄 (1905-67) สัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Myoko City, Niigata Prefecture ครอบครัวเป็นเจ้าของกิจการโรงแรม พออายุ 17 เดินทางสู่กรุง Tokyo เข้าร่วมสตูดิโอ Shochiku แล้วกลายเป็นตากล้องขาประจำของผู้กำกับ Yasujirô Ozu ตั้งแต่ Dreams of Youth (1928) จนถึง What Did the Lady Forget? (1937) ก่อนรีไทร์จากวงการภาพยนตร์

งานภาพของหนังมีวิวัฒนาการ ‘สไตล์ Ozu’ เกือบจะร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว มักตั้งกล้องต่ำกว่าระดับสายตา (Tatami Shot), เวลาสนทนาถ่ายภาพหน้าตรง (ไม่มี Over-the-Shoulder หรือ Short Over), บ่อยครั้งเลือกทิศทาง Isometric พยายามจัดวางนักแสดงเฉียงๆ ไม่ให้เกิดการซ้อนทับใบหน้า ฯ

สิ่งเพิ่มเติมสำหรับ A Story of Floating Weeds (1934) คือการใช้ทิวทัศน์ สถานที่จริง สร้างสัมผัสลัทธิประทับใจ (Impressionist) ผู้ชมรู้สึกล่องลอย เหมือนฝัน (Dream-like) สอดคล้องแนวคิด Floating Weeds จอกแหน/วัชพืชน้ำล่องลอยไปตามลำธารา … มันไม่ใช่ว่าผลงานก่อนหน้านี้ ผกก. Ozu ไม่ได้ให้ความสนใจรายละเอียดพื้นหลัง แค่ว่าไม่ได้ถูกทำให้มีความโดดเด่นขึ้นมาเหมือน A Story of Floating Weeds (1934)

ปล. ผลงานของผกก. Ozu นิยมถ่ายทำยังสถานที่จริงตั้งแต่ไหนแต่ไร เพราะตั้งแต่เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ 1923 Great Kantō earthquake สตูดิโอ Shōchiku ณ Kamata หลงเหลือเพียงโรงถ่ายเดียว จึงผลักดันให้บรรดาผู้กำกับต้องเลือกใช้สถานที่จริงโดยปริยาย

หนังเริ่มต้นที่สถานีรถไฟ ร้อยเรียงชุดภาพ Montage ก่อนพบเห็นชายคนหนึ่งมาเฝ้ารอคอยต้อนรับคณะละครเร่ Kihachi Ichikawa’s Troupe แต่ความแปลกประหลาดคือชายคนนี้ ปรากฎขึ้นครั้งแรกครั้งเดียวแล้วล่องจุ้น สูญหายตัวไปอย่างลึกลับ?

เราสามารถมองว่านี่ซีเควนซ์อารัมบท ก่อนเริ่มต้นการแสดง แล้วหลังจากนี้จักเข้าสู่เรื่องราว หรือคือการแสดงของคณะการแสดง จะว่าไปหนังไม่เคยฉายให้เห็นการแสดงบนเวที (มีแค่ตอนฝนตก แต่นักแสดง/ผู้ชมก็วุ่นๆวายๆกับหลังคารั่ว) แทบทั้งหมดคือเรื่องราวดราม่าหลังเวที … ชายคนนี้จึงไม่เคยปรากฎตัวซ้ำสอง (เพราะไม่ใช่นักแสดง เป็นเพียงบุคคลมาคอยต้อนรับ)

ใครเคยรับชม Passing Fancy (1933) ก็น่าจะเข้าใจคำกล่าว “Don’t eat too much” ของบิดาตักเตือนบุตรชาย Tomibo (รับบทโดย Tokkan Kozō) เพราะเรื่องนั้นเด็กคนนี้ใช้เงิน 50 Sen ซื้อขนมกินคนเดียวจนล้มป่วยโรคลำไส้อักเสบ!

Moxa treatment หรือการรมยา (Moxibustion) คือการรักษาโรคด้วยการเผาสมุนไพรโกฐจุฬาลัมพา (Mugwort) ในถ้วยแก้ว แล้วนำมารมบริเวณจุดฝังเข็มตามตำแหน่งของเส้นลมปราณ มันจะทำให้ผิวหนังปูดแดง แต่ไม่ต้องถึงขั้นให้เลือดไหลออกมา (มันเป็นความเชื่อผิดๆว่าเลือดดังกล่าวคือของเสีย), การรมยาสามารถปรับสมดุลหยิน-หยาง อบอุ่นขับเคลื่อนเส้นลมปราณ ขจัดพิษภายในร่างกาย กระตุ้นการไหลเวียน รวมถึงช่วยในเรื่องความงาม และการดูแลรักษาสุขภาพอีกด้วย

ใครเคยรับชม Passing Fancy (1933) ก็น่าจะมักคุ้นกับ Kihachi แต่งกิโมโนสีขาวไปหลีสาว แถมยังถือพัด คลุมศีรษะด้วยผ้าเช็ดเหงื่อ เหมือนกันเป๊ะ! แต่คราวนี้ไม่ได้สวมใส่เสื้อคลุมสีดำ (haori) ที่แลดูเหมือนชุดงานศพ!

อุตส่าห์สวมใส่ชุดกิโมโนอย่างหล่อ แต่พอมาถึงร้านของ(ภรรยา)Otsune เธอกล่าวชักชวน “Would you like to drink?” ร้อยเรียงชุดภาพ Montage พบเห็นกิโมโนแขวนอยู่ นี่สามารถครุ่นคิดจินตนาการถึง xxx คงไม่ต้องอธิบายกระมัง

Shinkichi รับบทโดย Kōji Mitsui (1910-79) ตอนนั้นใช้ชื่อในวงการ Hideo Mitsui นี่คือว่าที่นักแสดงเจ้าบทบาท อนาคตจะกลายเป็นขาประจำ Akira Kurosawa และโด่งดังกับ The Lower Depths (1957) ** คว้ารางวัล Mainichi Film Award และ Blue Ribbon Award สาขา Best Supporting Actor

“He’ll be eligible for the draft next year.” คำกล่าวนี้ของมารดาถือว่าน่าสนใจ เพราะปีที่สร้างหนังยังอยู่ในช่วงญี่ปุ่นบุกรุกรานแมนจูเรีย และผกก. Ozu คือหนึ่งในผู้สนับสนุนสงคราม (pro-War) เลยไม่น่าแปลกใจจะมีการกล่าวอ้างอิงถึง

ซีเควนซ์ที่บิดาและบุตรชายไปตกปลาริมน้ำ วิธีการคือต้องปล่อยเบ็ดค่อยๆไหลตามกระแสน้ำ เพื่อให้ปลามันหลงเชื่อว่าเหยื่อที่เกี่ยวตะขอเป็นสิ่งมีชีวิตจริงๆ … วิธีการดังกล่าวคือความพยายามเป็นส่วนหนึ่งกับธรรมชาติ และยังสอดคล้องแนวคิด Floating Weed จอกแหน/วัชพืชน้ำล่องไหลตามลำธารา

นี่ก็ย้อนรอยกับ Passing Fancy (1933) แต่เรื่องนั้นคือการแสดง Rōkyoku และมีอยู่สามครั้ง เริ่มต้น-กลางเรื่อง-สิ้นสุด ที่กล้องจะเคลื่อนไหลผ่านผู้ชม แต่เรื่องนี้มีแค่สองครั้ง เพราะเหมือนยังไม่ทันแสดงจบ ห่าฝนก็พลันตกลงมาเสียก่อน เลยน่าจะล้มเลิกการแสดง กระมัง?

นอกจากนี้ระหว่างการแสดง Rōkyoku มันจะมีเหตุการณ์ชวนหัวเกิดขึ้นท่ามกลางฝูงชน, พอมาเป็นเรื่องนี้ที่ทุกสิ่งอย่างพลิกกลับตารปัตร เรื่องราววุ่นๆวายๆเกิดกับฝั่งนักแสดง Tomibo ที่รับบทสุนัขไม่รู้หายหัวไปไหน และพอถูก Kihachi ลงโทษบนเวทีก็ร่ำร้องไห้ออกมา … ผู้ชมหัวเราะลั่นเพราะครุ่นคิดว่าคือการแสดง แต่เด็กชายกลับร้องไห้จริงๆซะงั้น!

Otaka (และ Otoki) แอบติดตามมาพบเจอ Kihachi อาศัยอยู่กับภรรยา แต่ทว่าเขากลับแสดงความไม่พึงพอใจ จึงทำการขับไล่ ผลักไส ไม่ต้องการให้เธอมายุ่งย่ามก้าวก่าย พอออกจากร้านทั้งสองยืนอยู่คนละฟากฝั่งถนน สายฝนในขณะนี้สามารถใช้แทนความเศร้าโศกเสียใจของฝ่ายหญิง ผิดหวังในตัวชายคนรัก … ย้อนรอยกับ Passing Fancy (1933) ที่ Kihachi พยายามขายขนมจีบ Harue แต่เธอไม่เอาด้วย มาคราวนี้สลับเป็นฝ่ายหญิง Otaka แล้วเขาไม่เอาด้วย!

Otoki มาแอบเฝ้ารอคอย Shinkichi บริเวณใต้ต้นไม้ใหญ่ ห่างไกลผู้คน สังเกตว่ามุมกล้องพยายามถ่ายติดท้องฟ้า ก้อนเมฆขนาดใหญ่ ราวกับจะสื่อถึงโชคชะตาฟ้าลิขิต เรื่องของความรักเป็นสิ่งอยู่นอกเหนือการควบคุม และเมื่อบังเกิดขึ้นก็แทบมิอาจหยุดยับยั้งชั่งใจ

เมื่อตอน Otoki กล่าวเชื้อเชิญ ปฏิกิริยาของ Shinkichi พูดบอกว่าไม่แน่ใจ แต่ต่อจากนั้นมีการร้อยเรียงชุดภาพ Montage ใบหน้าจริงจัง หันมองนาฬิกา เหล่านี้เป็นการพรรณาความรู้สึกเบื้องลึกภายใน เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น มิอาจหักห้ามใจตนเอง พอสี่ทุ่มกว่าๆก็ขอมารดาออกไปเดินเล่นนอกบ้าน

ตลอดซีเควนซ์ที่ Otoki นัดพบเจอยามวิกาลกับ Shinkichi ดูแล้วน่าจะถ่ายตอนกลางวันด้วยฟิลเตอร์ Day for Night และสังเกตว่าใบหน้าหญิงสาวปกคลุมด้วยความมืดมิด และเสื้อของชายหนุ่มอาบฉายด้วยเงากิ่งไม้(หัวใจ)สั่นไหว … พวกเขาจะแค่พูดคุยหรือทำอะไรกัน ก็แล้วแต่ผู้ชมจะครุ่นคิดจินตนาการ

ค่ำคืนดึกดื่นรับรู้ว่าแผนการของตนเอง (ที่ส่ง Otoki ไปเกี้ยวพาราสี Shinkichi ) ประสบความสำเร็จ Otaka จึงทำการสูบ 煙管, Kiseru มันก็คือไปป์ยาสูบ (Tobacco pipe) แต่ของญี่ปุ่นจะมีกระบอกสูบเล็กยาวกว่าปกติ และมักใช้เป็นสิ่งสำแดงวิทยฐานะทางสังคม ซามูไร ชนชั้นสูง หรือพ่อค้าที่มีฐานะร่ำรวย

หนุ่ม-สาวเกี้ยวพาราสีกันริมรางรถไฟ ซึ่งพอขบวนรถไฟเคลื่อนผ่าน Otoki ก็เกิดความตระหนักว่าอีกไม่นานเราสองคงต้องจากกัน (รถไฟคือสัญลักษณ์ของการพบเจอ-พลัดพรากจาก, แล่นผ่านมา-พานผ่านไป) สังเกตว่ากล้องตั้งอยู่ต่ำกว่าระดับสายตาแต่แหงนเงยขึ้นท้องฟ้า นี่อาจสื่อถึงมันเป็นเรื่องของโชคชะตาฟ้ากำหนด นั่นทำให้หญิงสาวพยายามก้าวเดินจากไป Shinkichi ลังเลใจอยู่ชั่วครู่จึงออกวิ่งติดตาม

ช่วงระหว่างการยุบคณะการแสดง พบเห็นการเคลื่อนเลื่อนกล้องทั้งหมดสองครั้ง

  • ขณะนักแสดงนั่งอยู่ด้วยกันพร้อมหน้า (รับชมการต่อรองขายเสื้อผ้า/อุปกรณ์การแสดง)
  • และอีกครั้งหลงเหลือเพียงสัมภาระ สิ่งข้าวของ ค่ำคืนสุดท้ายก่อนแยกย้ายคนละทิศละทาง

ใครเคยรับชม Tokyo Chorus (1931) ก็น่าจะมักคุ้นกับการล้อมวงปรบมือ ขับร้องเพลงอะไรสักอย่างเพื่อสร้างขวัญกำลังใจ นี่คือค่ำคืนสุดท้ายของคณะการแสดงก่อนร่ำจากลา ดื่มด่ำสังสรรค์ งานเลี้ยงต้องมีวันเลิกรา

Kihachi เริ่มจากตบหน้า Otoki ไม่พึงพอใจที่เธอเกี้ยวพาราสีบุตรชาย ซึ่งพอ Shinkichi เข้ามาปกป้องเธอ เลยถูกตบหน้าเช่นเดียวกัน ครั้งแรกแค่เอามือมาสัมผัสความเจ็บปวดบนใบหน้า แต่ครั้งสองเขาตัดสินใจสวนกลับ … นี่ย้อนรอยฉากพ่อ-ลูกตบหน้าในตำนานของภาพยนตร์ Passing Fancy (1933) เป็นการโต้ตอบตาต่อตา ฟันต่อฟัน ไม่สนสถานะของกันและกัน โชคดีที่เรื่องนี้มี(ภรรยา/มารดา) Otsune เข้ามาหักห้ามปราม ไม่เช่นนั้นคงเกิดการสวนกันไปสวนกันมาอีกหลายครั้ง

วินาทีที่ Shinkichi พูดปฏิเสธ ไม่ยินยอมรับว่าเขาคนนี้คือบิดา ปฏิกิริยาของ Kihachi ยกมือขึ้นมาจับหน้าอก ตรงหัวใจ คงต้องการสื่อความเจ็บปวดรวดร้าวทรวงใน … นี่คือการแสดงออกภาษากายใน ‘สไตล์ Ozu’ ทุกอากัปกิริยาเคลื่อนไหวของนักแสดงมันอาจดูไม่เป็นธรรมชาติ แต่ล้วนเคลือบแฝงความหมายบางสิ่งอย่าง

เริ่มต้น-สิ้นสุด หวนกลับสู่สถานีรถไฟ สถานที่แห่งการพบเจอ-พลัดพรากจาก อดีตเคยขัดแย้ง-ปัจจุบันคลายความเห็นต่าง คณะการแสดงเก่าถูกยุบไป Kihachi วางแผนจะก่อตั้งคณะการแสดงใหม่กับ Otaka … แบบเดียวกับ Passing Fancy (1933) ช่วงเวลาแห่งความสุขนั้นแสนสั้น พานผ่านเข้ามา แล้วก็พานผ่านออกไป สรรพชีวิตล้วนว่ายเวียนวนอยู่ในวัฏฏะสังสาร

เรื่องราวส่วนใหญ่นำเสนอผ่านมุมมองของ Kihachi Ichikawa ตั้งแต่เดินทางมาถึงยังเมืองเล็กๆแห่งหนึ่ง ตระเตรียมทำการแสดง (ที่แทบไม่เคยพบเห็นการแสดง) ใช้เวลาว่างๆเดินทางไปหาภรรยาและบุตรชาย จนสร้างความอิจฉาริษยาต่อนักแสดง/คนรักปัจจุบัน Otaka วางแผนทำบางสิ่งอย่างให้เขาเข็ดหลากจำ

  • อารัมบท, คณะคาบูกิเร่เดินทางมาถึง
  • ครอบครัวแอบซ่อนของ Kihachi
    • เช้าวันถัดมามีการแจกใบปลิว
    • คณะนักแสดงตระเตรียมความพร้อม
    • Kihachi เดินทางไปหาภรรยาและบุตรชาย
    • Kihachi ไปตกปลากับบุตรชาย
    • การแสดงค่ำคืนนี้ฝนตกหนัก เป็นเหตุให้ต้องล้มเลิกกลางคัน
  • ความอิจฉาริษยาของ Otaka 
    • วันถัดๆมาฝนยังคงตกหนัก แต่ทว่า Kihachi ไม่เคยอยู่ที่คณะ
    • Otaka เค้นหาความจริงจากบิดาของ Tomibo
    • Otaka เดินทางไปพบเจอ Kihachi (และภรรยา) ก่อนถูกขับไล่ออกมา
    • Otaka โน้มน้าวให้ Otoki ทำการเกี้ยวพาราสีบุตรชายของ Kihachi
  • Otoki & Shinkichi
    • Otoki เฝ้ารอคอย Shinkichi นัดพบเจอหลังการแสดง
    • Otoki ถลำตัวจนตกหลุมรัก พยายามจะบอกเลิก Shinkichi 
    • Kihachi สังเกตเห็น Otoki กับ Shinkichi เลยตระหนักถึงแผนการของ Otaka
    • Kihachi เฝ้ารอคอย Shinkichi ถึงเที่ยงคืนไม่กลับบ้าน
  • Kihachi ผู้เสียสละ
    • Kihachi ตัดสินใจยุบคณะการแสดง ขายสิ่งข้าวของนำเงินมาจ่ายนักแสดง
    • Kihachi ตั้งใจจะปักหลักตั้งถิ่นฐานอยู่กับ Otsune
    • แต่พอ Shinkichi กลับมารับรู้ว่า Kihachi คือบิดาก็มิอาจยินยอมรับ
    • Kihachi เลยตัดสินใจออกเดินทาง วางแผนก่อตั้งคณะการแสดงชุดใหม่ร่วมกับ Otaka

แม้ผมจะแอบรำคาญ Title Card ที่มีมากมายไม่รู้จบ แต่บางครั้งบทสนทนาปรากฎขึ้นก่อนการฉายภาพ ผมเคยอธิบายไปแล้วตอน Passing Fancy (1933) ว่าวิธีการดังกล่าวสอดคล้องโครงสร้างภาษาของชาวญี่ปุ่น โดยทั่วไป “I love you.” (Subject + Verb + Object) แต่ชาวญี่ปุ่นมักพูดประมาณว่า “I, You love” (Subject + Object + Verb) มักเอากิริยาไว้หลังสุด ซึ่งแกรมม่าภาพยนตร์ก็คือการนำเอาภาพเหตุการณ์ ปรากฎขึ้นหลังจากข้อความ/ประโยคพูดนั่นเอง!

เกร็ด: A Story of Floating Weeds (1934) คือภาพยนตร์เรื่องแรกที่ผกก. Ozu ใช้กระสอบทราย (สัญญะของชนชั้นล่าง/กรรมกรแรงงาน) เป็นพื้นหลังระหว่าง Title Card

A Story of Floating Weeds เรื่องราวของจอกแหน/วัชพืชน้ำล่องลอยไปตามลำธาร เปรียบเทียบถึงคณะละครเร่ (Travelling Troupe) เดินทางไปทำการแสดงตามเมืองต่างๆ ถือเป็นอาชีพไม่ค่อยเหมาะกับการแต่งงานมีครอบครัว(และบุตร) แต่ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้ (ในคณะมีเด็กชาย Tomibo และบิดาที่ร่วมออกเดินทาง) มันมีความยุ่งยากวุ่นวาย ต้องครุ่นคิดถึงอนาคตลูกหลานจักให้เติบโตขึ้นเช่นไร?

อย่างที่อธิบายไปตั้งแต่ต้นแล้วว่าสังคมญี่ปุ่นสมัยก่อน มักไม่ค่อยให้ค่าศิลปะการแสดง ถูกตีตราอาชีพชั้นต่ำ การแต่งงานมีครอบครัว ลูกหลานของนักแสดงเลยมักถูกกลั่นแกล้ง ล้อเลียน (บูลลี่) ไม่ได้รับการยินยอมรับจากผู้คนทั่วไป … ด้วยเหตุนี้อย่างละครคาบูกิ จึงใช้การสืบทอดด้วยระบบวงศ์ตระกูล Bandō, Ichikawa, Matsumoto, Nakamura ฯ

การกระทำของ Kihachi Ichikawa ยุคสมัยก่อนอาจเป็นเรื่องปกติ พบเจอทั่วไป แต่ปัจจุบันมันสามารถมองได้สองมุมในทิศทางตรงกันข้าม

  • การเสียสละตนเองเพื่อบุตรชาย ไม่ให้เขารู้สึกอับอาย โดดเดี่ยวเดียวดาย และมีโอกาสเลือกเส้นทางชีวิตของตนเอง
  • ขณะเดียวกันมันคือความเห็นแก่ตัว ปัดภาระรับผิดชอบ และเมื่อออกเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ จักสามารถใช้ชีวิตอย่างอิสระ เปลี่ยนคนรักไม่ซ้ำหน้า

ผกก. Ozu เกิดในครอบครัวคหบดี ประกอบอาชีพค้าขาย ค้นพบความหลงใหลในสื่อภาพยนตร์ แม้ถูกบิดาหักห้ามปราม แต่ก็ยังดื้อรั้นเข้าร่วมสตูดิโอ Shōchiku จนกลายเป็นผู้กำกับชื่อดัง = Shinkichi ตกหลุมรักนักแสดงสาว Otoki แม้ถูกบิดาสั่งห้าม ไม่ต้องการให้ยุ่งเกี่ยวข้องแว้งแวดวงการแสดง แต่เรื่องความรักเป็นสิ่งหักห้ามกันไม่ได้ เขาพยายามปกป้อง/ปฏิเสธทอดทิ้งเธอ จนทำให้บิดาต้องยินยอมรับความพ่ายแพ้

ผมพบเจอข้อมูลเพียงว่า Toranosuke Ozu บิดาของผกก. Ozu เสียชีวิตเมื่อปี ค.ศ. 1934 แต่ไม่ได้ระบุวันเดือนไหน ก่อนหรือหลัง A Story of Floating Weeds (1934) มันเลยมีความเป็นไปได้ว่าหนังเรื่องนี้สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับบิดา อธิบายเหตุผลการเลือกอาชีพผู้กำกับภาพยนตร์ ความรักเป็นสิ่งหักห้ามกันไม่ได้

เมื่อตอนสร้างหนังเรื่องนี้ ผกก. Ozu คงไม่ได้ครุ่นคิดหรอกว่าตนเองจะครองตัวเป็นโสดตลอดชีวิต! แต่ก็เคยแสดงทัศนะเกี่ยวกับการแต่งงานสอดแทรกอยู่ในหลายๆผลงาน (ตัวละคร Jiro ในภาพยนตร์ Passing Fancy (1933) กล่าวว่า “Seeking love is like climbing a waterfall.”) ซึ่งสำหรับ A Story of Floating Weeds (1934) ผมมองผ่านตัวละคร Kihachi (บิดา=บุตร, ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น) เจ้าของละครคาบูกิเร่ แม้แอบซ่อนภรรยาและบุตร ก็ไม่เคยครุ่นคิดลงหลักปักฐานกับใคร … เหตุผลจริงๆอาจเพราะปม Mother Complex หลังบิดาเสียชีวิต ผกก. Ozu อาศัยอยู่กับมารดาตราบจนวันตาย!

ในหนังสือชีวประวัติของผกก. Ozu เขียนคำอธิบายไว้ว่าเจ้าตัวเคยมีความสัมพันธ์กับนักแสดงสาวหลายคน แต่มันลึกซึ้งขนาดไหนคงไม่มีใครตอบได้ ชื่นชอบการนั่งดื่ม สนทสนมเกอิชาคนโปรด นั่นทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเขาไม่แตกต่างจาก Kihachi เลือกใช้ชีวิตเหมือนจอกแหน/วัชพืชน้ำ ล่องลอยไปตามลำธาร ปฏิเสธลงหลักปักฐาน ไม่ต้องการดำเนินชีวิตตามรอยบิดา


เมื่อตอนออกฉายหนังได้เสียงตอบรับดียอดเยี่ยม ประสบความสำเร็จทั้งรายรับ และนิตยสาร Kinema Junpo มอบรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแห่งปี (Best Film of the Year) เรื่องที่สามติดต่อกันของผกก. Ozu ถัดจาก I Was Born, But… (1932) และ Passing Fancy (1933)

ในขณะที่ฉบับสร้างใหม่ได้รับการบูรณะ 4K, หนังเงียบเรื่องนี้เพียงสแกนใหม่ ‘digital transfer’ คุณภาพ High-Definition วางขายคู่กัน A Story of Floating Weeds / Floating Weeds: Two Films by Yasujirô Ozu สามารถหาซื้อ DVD/Blu-Ray จัดจำหน่ายโดย Criterion Collection เมื่อปี ค.ศ. 2024

รับชมคราวก่อน ผมรู้สึกล่องลอยไปกับ Floating Weeds (1959) จนแทบจะมองข้าม A Story of Floating Weeds (1934) มาคราวนี้พอให้เวลาหนังเงียบแบบเต็มๆ เลยตระหนักว่าคุณภาพไม่ได้ด้อยกว่ากันสักเท่าไหร่ ความยาวกำลังดี ไม่มีพล็อตรองเบี่ยงเบนความสนใจ และโดยเฉพาะนักแสดงนำ Takeshi Sakamoto วัยวุฒิและฝีไม้ลายมือดูเหมาะสมกับตัวละครกว่ามากๆ

จัดเรต pg กับเรื่องรักๆใคร่ๆ อิจฉาริษยา

คำโปรย | A Story of Floating Weeds เรื่องราวของ(จอก)แหนล่องลอยไปตามกระแสน้ำ วิถีละคอนเวที/ภาพยนตร์ก็ไม่แตกต่างกัน
คุณภาพ | ล่
ส่วนตัว | ชื่นชอบ


 A Story of Floating Weeds

A Story of Floating Weeds (1934) Japanese : Yasujirô Ozu ♥♥♥♥

(mini Review) พ่อเป็นนักแสดง Kabuki ออกทัวร์ตามเมืองต่างๆ ล่องลอยไปมาไม่มีหลักเป็นแหล่ง วันหนึ่งเดินทางมาเปิดการแสดงที่จังหวัดริมทะเล หวนพบเจออดีตคนรักและลูกที่โตเป็นหนุ่ม แต่เขาหารู้ว่าชายคนนี้คือบิดาของตนเพราะปกปิดไว้ เมื่อความจริงกำลังได้รับการเปิดเผย เรื่องราววุ่นๆในสไตล์ของ Yasujirô Ozu จึงเริ่มขึ้น

ถึงผมจะมีโอกาสรับชม Floating Weeds (1959) ฉบับ Remake ของผู้กำกับ Yasujirô Ozu มาก่อน แต่ยังต้องบอกว่าคุณภาพหนังเงียบเรื่องนี้ ไม่ย่อหย่อนกว่ากันแม้แต่น้อย ส่วนตัวแอบรู้สึกเล็กๆด้วยซ้ำว่า A Story of Floating Weeds มีความทรงพลังกว่านิดๆ เพราะการที่ไม่มีเรื่องราว Side-Story หรือบทสนทนาเรื่อยเปื่อย ที่คอยดึงความสนใจของผู้ชมออกจากเนื้อหาสาระหลัก และการแสดงออก Expression ของนักแสดงหนังเงียบ นี่เป็นครั้งแรกที่ทำให้ผมรับรู้เข้าใจว่า ‘การแสดงออกทางสีหน้าท่าทางมีความสมจริงทรงพลัง มากกว่าใช้คำพูดดัดจริตส่อสำเนียง’

Yasujirō Ozu (1903 – 1963) ปรมาจารย์ผู้กำกับสัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Fukagawa, Tokyo เป็นลูกคนรองจากพี่น้อง 5 คน ตอนเด็กๆชอบโดดเรียนไปดูหนังอย่าง Quo Vadis (1913), The Last Days of Pompeii (1913) กระทั่งได้รับชม Civilization (1918) ตัดสินใจโตขึ้นจะต้องกลายเป็นผู้สร้างภาพยนตร์, เรียนจบ ม.ปลาย อย่างยากลำบาก เพราะเป็นคนหัวช้า สอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ไหนก็ไม่ติด โชคดีมีลุงเป็นนักแสดง ได้ทำงานกับสตูดิโอ Shochiku (ขัดขืนคำสั่งของพ่อ) เป็นผู้ช่วยตากล้อง กลับจากรับราชการทหารเลื่อนขึ้นเป็นผู้ช่วยผู้กำกับ ไม่นานได้กำกับหนังเงียบเรื่องแรก Sword of Penitence (1927) น่าเสียดายฟีล์มสูญหายไปแล้ว

เกร็ด: ช่วงต้นทศวรรษ 30s วงการภาพยนตร์ Hollywood และยุโรป ต่างแทบจะเลิกสร้างหนังเงียบกันหมดแล้ว เพราะการมาถึงของหนังพูด แต่ญี่ปุ่นซึ่งอยู่ห่างไกล ยังใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะสามารถปรับตัวสู่โลกยุคใหม่, Ozu คือหนึ่งในนั้น กว่าจะเริ่มสร้างหนัง Talkie เรื่องแรกก็ The Only Son (1936)

ช่วงแรกๆในวงการหนังเงียบของ Ozu ยังถือเป็นช่วงของการลองผิดลองถูก เพื่อค้นหาแนวทางความชื่นชอบสนใจ แต่ก็มีหลายเรื่องที่ได้รับการยกย่องอย่างสูง เนื่องจากผมยังรับชมไม่ครบสักที เลยขอแนะนำ 3 เรื่องที่สามารถคว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแห่งปีของนิตยสาร Kinema Junpo ประกอบด้วย I Was Born, But… (1932), Passing Fancy (1933) และ A Story of Floating Weeds (1934)

สำหรับ Ukikusa Monogatari พัฒนาบทภาพยนตร์ร่วมกับ Tadao Ikeda (1905 – 1964) อีกหนึ่งนักเขียนขาประจำในช่วงทศวรรษแรกๆของ Ozu เรื่องราวของพ่อผู้ปกปิดความจริงต่อลูก อ้างว่าไม่ต้องการให้รู้สึกผิดหวังจากสิ่งที่ตนเป็น อาชีพนักแสดงหาได้มีเกียรติ สูงศักดิ์ น่าภาคภูมิใจนัก อีกทั้งยังต้องออกเดินทางไปเปิดการแสดงตามเมืองต่างๆ มิอาจปักหลักลงฐานอยู่แห่งหนใดได้ จึงมอบภาระการเลี้ยงดูให้กับแม่ ส่วนตัวเองคอยส่งเงินมาสนับสนุนอยู่ห่างๆ

คงเป็นค่านิยมของคนญี่ปุ่นสมัยก่อน ต่ออาชีพเกี่ยวกับความบันเทิง เหมารวมคล้ายกับเกอิชา โสเภณี อาชีพชั้นต่ำ คล้ายขอทานรับเงินจากน้ำจิตน้ำใจของผู้อื่น, แถมคนสายอาชีพนี้ มักต้องออกทัวร์การแสดง ไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่งเลื่อนลอย ขาดความน่าเชื่อถือไว้วางใจ พบเจอผู้คนมากมาย โกหกหลอกลวงปลิ้นปล้อน พึ่งพาไม่ได้ กลายเป็นข้อห้ามทางจิตสำนึกมโนธรรม ‘ห้ามตกหลุมรักใคร’ เพราะเมื่อใดต้องการมีครอบครัว จักกต้องละทิ้งออกจากวงการ ไม่เช่นนั้นลูกเมียจะเอาตัวรอดได้อย่างไร?

นำแสดงโดย Takeshi Sakamoto (1899 – 1974) นักแสดงขาประจำในยุคแรกๆ ที่ถ้าคุณดูหนังของ Ozu มาเยอะน่าจะคุ้นเคยเป็นอย่างดี, รับบทพ่อ Kihachi หัวหน้าคณะ Kabuki เป็นคนที่โลกต้องหมุนรอบตัวเขา ชอบวางอำนาจบาดใหญ่โดยเฉพาะกับผู้หญิง ไม่ชอบความเห็นแก่ตัว แต่กลับโคตรเอาแต่ใจ พยายามที่จะบีบบังคับครอบงำความคิดผู้อื่น แต่ใช่ว่าคนรุ่นใหม่จะยินยอมรับฟังทำตาม, ตัวละครนี้ น่าจะสะท้อนภาพ พ่อของ Ozu ออกมาค่อนข้างมากทีเดียว

Kôji Mitsui (1910–1979) เกิดที่ Yokohama จากนักแสดงหนุ่มหน้าใสในยุคหนังเงียบ เติบโตขึ้นมีผลงานเด่นกับ The Hidden Fortress (1958), The Lower Depths (1957), High and Low (1963), Woman in the Dunes (1964) ฯ รับบท Shinkichi ลูกชายของ Kihachi แต่เข้าใจผิดคิดเรียกว่าลุงมาโดยตลอด อาศัยเติบโตอยู่กับแม่สองคน เป็นคนเฉลียวฉลาด อนาคตไกล แต่เพราะตกหลุมรักกับหญิงสาวนักแสดงคนสวยจนโงหัวไม่ขึ้น ต้องการมีชีวิตอยู่ร่วมเคียงข้างกับเธอ ซึ่งพอ Kihachi รับรู้เข้า แสดงความปฏิเสธต่อต้าน ด้วยความฉงนสงสัยทำไมลุงถึงแสดงความขัดขืนขนาดนั้น เป็นเหตุให้ความจริงเปิดเผยออก แต่เช่นนั้นใช่ว่าอยู่ดีๆจะสามารถยินยอมรับได้ พ่อที่คิดว่าเคยจากไปนานแล้ว กลับยังมีชีวิตอยู่ยืนอยู่ตรงหน้า

การแสดงในยุคหนังเงียบ จะมีความ Over-Acting ไม่เป็นธรรมชาติสักเท่าไหร่ เพื่อให้ผู้ชมสามารถทำความเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครได้อย่างตรงไปตรงมา (เพราะไม่มีเสียงพูด จำเป็นต้องสังเกตจากการแสดงออกทางกายเท่านั้น) ซึ่งหนังเรื่องนี้ต้องชมเลยว่าบรรดานักแสดงทั้งหลาย ล้วนมีประสบการณ์ ความเชี่ยวชำนาญ มากฝีมือ ค่อนข้างโดดเด่นทีเดียว

ถ่ายภาพ/ตัดต่อโดย Hideo Shigehara ขาประจำของ Ozu ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2, นี่เป็นหนังที่ ‘สไตล์ของ Ozu’ ได้รับการพัฒนามาถึงจุดที่เริ่มอวบอิ่ม (แต่ยังไม่เบ่งบาน) พบเห็น
– Tatami Shot ภาพถ่ายระดับสายตาของคนนั่งเสื่อ
– ส่วนใหญ่กล้องจะตั้งเฉยๆ ไม่ค่อยเคลื่อนที่ (แต่ยังพอเห็นอยู่บ้าง) ตัวละครเดินเข้าออกฉาก
– การจัดตำแหน่ง วางองค์ประกอบของภาพ/นักแสดง
– ถ่ายฉากสนทนาด้วยการให้ตัวละครมองตรงหน้ากล้อง (ไม่ใช่ถ่ายแบบข้ามบ่า เห็นคู่สนทนา)
– การลำดับภาพ มี Establish Shot และ Ending Shot
ฯลฯ

เกร็ด: หนังเรื่องนี้เป็นครั้งแรกกับอีกหนึ่งลายเซ็นต์ของผู้กำกับ พื้นหลังตอน Opening Credit ที่เป็นผ้ากระสอบ (Sackcloth) นัยยะสื่อถึงความธรรมดาสามัญของชีวิต หรือภาษาไทยเราเรียกว่า ‘ลูกทุ่ง’ สะท้อนถึงเรื่องราวเนื้อหาสาระในหนังของ Ozu มักมีความเรียบง่าย ใกล้ตัว เกี่ยวกับบ้านและครอบครัว

ฉากที่ทำให้หนังเรื่องนี้ทรงพลังมากๆ คือขณะ Shinkichi รับรู้ตัวตนแท้จริงของ Kihachi เอาจริงๆมันก็ไม่ได้มีเทคนิคอะไรหวือหวาเลยนะ แค่ถ่ายใบหน้าของนักแสดง มีการแสดงออก (Expression) สีหน้าท่าทางมีความสมจริงจังมากๆ แต่นี่กลับเป็นจุดเด่นที่แตกต่างจากฉบับ Remake ใช้การเค้นอารมณ์ออกทางน้ำเสียง ถ้อยคำพูด, เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ ที่ทำให้ผมรับรู้เข้าใจว่า ‘การแสดงออกทางสีหน้าท่าทางมีความสมจริงทรงพลัง มากกว่าใช้คำพูดดัดจริตส่อสำเนียง’

การที่หนังไม่มีเสียง ทำให้ต้องใช้ Title Card ขึ้นข้อความแทนการสนทนา นี่ทำให้บทพูดถูกตัดทอนออกจนเหลือน้อยมากๆ มีเฉพาะข้อความสำคัญๆเท่านั้น หนังจึงไม่มีส่วนเกิน Side-Story ความเยิ่นเย้อยืดยาด มุ่งตรงโฟกัสสู่เนื้อหาสาระสำคัญ ทำเกิดความเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดโดยง่ายกว่า (แต่อาจยังยากอยู่ดีสำหรับคนที่ดูหนังเงียบไม่เป็น)

จังหวะการใช้ Title Card สังเกตพบว่า จะพอดิบพอดีกับขณะตัวละครเริ่มขยับปาก และมีระยะเวลาตัดกลับมาก็พูดจบพอดี กล่าวคือ ผู้ชมจะแทบไม่เห็นนักแสดงขยับปาก ค่อนข้างต่างจากหนังเงียบของ Hollywood และฝั่งยุโรปค่อนข้างมาก ที่เป็นแบบนี้อาจเพราะญี่ปุ่นมีนักพากย์ Benshi ให้เสียงในโรงภาพยนตร์ ซึ่งพวกเขาก็จะอ่านข้อความที่ขึ้นมาแทนเสียงพูดของตัวละคร จบแล้วเรื่องราวก็ดำเนินต่อไปเลย ไม่ต้องหยุดรอนักแสดงขยับปากพูดใดๆ

สำหรับส่วนวิเคราะห์เนื้อเรื่อง ขอเก็บไว้ในบทความ Floating Weeds (1959) แล้วกันนะครับ

ส่วนตัวชอบหนังเรื่องนี้อย่างมาก แม้จะด้วยข้อจำกัดของยุคสมัย แต่ยังมีความตราตรึง ทรงพลังพอๆกับฉบับ Remake เลยละ, แต่โดยส่วนตัวเมื่อเวลาผ่านไปสองสามวัน เริ่มรู้สึกได้ว่า หลงใหลคลั่งไคล้ประทับใจใน Floating Weeds มากกว่า คงเพราะพัฒนาการที่มีมากขึ้น ภาพสีสวยสด ดนตรีไพเราะ สร้างความสดชื่น ผ่อนคลาย เบาสบายกว่าพอสมควร (หนังเงียบก็มักจะเสียเปรียบตรงนี้แหละ มีข้อจำกัดมากเกิน ทำให้สู้หนังพูด/ภาพสี ไม่ค่อยได้ถ้ามีการ Remake โดยผู้กำกับที่มีคุณภาพจริงๆ)

เห็นว่าแผ่นหนังฉบับ Criterion หน้าปกดังภาพโปสเตอร์ที่นำมา ได้รวมทั้ง 2 เรื่องไว้ในแผ่นเดียว เป็นคอลเลคชั่นการันตีเลยว่าคุ้มค่ามาก คุณภาพสวยงามไร้ตำหนิ (น่าจะได้รับการ Remaster มาแล้วละ)

แนะนำกับแฟนๆของผู้กำกับ Yasujirô Ozu ถึงเคยรับชม Floating Weed (1959) มาแล้ว ก็อย่าพลาดต้นฉบับนี้ นำมาเปรียบเทียบกัน จะเห็นว่าเป็นการ Remake เพื่อฐานผู้ชมต่างยุคสมัยได้อย่างลงตัว สมบูรณ์แบบทั้งคู่

นอกจากนี้ คอหนังเงียบ, ผู้ชื่นชอบ Kabuki (แต่อาจไม่จุใจเท่าไหร่), เรื่องราวแฝงข้อคิดพ่อ-ลูก สามีภรรยาที่หย่าขาด ควรอย่างยิ่งหาหนังเรื่องนี้ (หรือฉบับ Remake) มารับชม

จัดเรต pg กับการกระทำรุนแรงของพ่อ

TAGLINE | “A Story of Floating Weeds เต็มเปี่ยมด้วยกลิ่นอายสไตล์ Yasujirô Ozu ตราตรึง ทรงพลังในรูปแบบหนังเงียบ”
QUALITY | RARE-GENDARY
MY SCORE | LIKE

Leave a Reply

avatar

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

  Subscribe  
Notify of
%d bloggers like this: