
All About Eve (1950)
: Joseph L. Mankiewicz ♥♥♥♥
(2/7/2025) แม้เรื่องราวของหนังจะเกี่ยวกับหญิงสาวแรกรุ่น Eve (รับบทโดย Anne Baxter) ทำการย่ำเหยียบ (Stepping Stone) บุคคลเคยส่งเสริมสนับสนุน ไต่เต้าจนกลายเป็นดาวดารา แต่ทว่าทีมนักแสดงนำโดย Bette Davis กับบทบาทยอดเยี่ยมที่สุดในชีวิต ใครกันจะเจิดจรัสยิ่งกว่า, “ต้องดูให้ได้ก่อนตาย”
หลายวันก่อนผมเพิ่งปรับปรุงบทความ Sunset Boulevard (1950) มันก็อดห้ามใจไม่ได้ที่จะต้องรับชมต่อด้วย All About Eve (1950) ทั้งสองเรื่องไม่ใช่ญาติพี่น้อง แต่เพราะออกฉายปีเดียวกัน เข้าชิง Oscar หลากหลายสาขา เนื้อหาเกี่ยวกับนักแสดงหญิงสูงวัย ประชันกันระหว่างรุ่นใหญ่ Gloria Swanson vs. Bette Davis … ต้องเรียกว่าศัตรูคู่แข่ง (Rival) ยิ่งใหญ่น่าจะระดับ Top 3 ที่สุดในวงการภาพยนตร์
แม้ว่า All About Eve (1950) จะสามารถคว้ารางวัล Oscar: Best Picture แต่เมื่อกาลเวลาเคลื่อนผ่าน Sunset Boulevard (1950) กลับได้รับการยกย่องกล่าวขวัญเหนือกว่า! นั่นเพราะ All About Eve เป็นหนังที่ ‘All-Talk’ คุยกันทั้งเรื่อง นักแสดงระเบิดระบายอารมณ์ (เข้าชิง Oscar สาขานักแสดงถึง 5 สาขา!) ประชันกันอย่างไม่มีใครยอมใคร, Sunset Boulevard มุ่งเน้นสร้างบรรยากาศ คฤหาสถ์หลอกหลอน กลับมาดูซ้ำยังขนหัวลุกพอง … ต้องถือว่าคลาสสิกเหนือกาลเวลาด้วยกันทั้งสองเรื่อง!
แต่สิ่งที่ All About Eve อาจจะเหนือกว่าเล็กน้อยคือการแสดงของ Bette Davis เพราะมีความสมจริง ระเบิดระบายอารมณ์ จับต้องทางความรู้สึกได้มากกว่า, ถึงอย่างนั้นผมมองว่า Gloria Swanson โอบรับจิตวิญญาณความเป็นนักแสดงหนังเงียบ ได้อย่างไม่มีใครเหมือน ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครสามารถลอกเลียนแบบตาม … เอาจริงๆการแสดงของทั้งสองเปรียบเทียบกันไม่ได้ มันคนละแนวทางโดยสิ้นเชิง ต้องถือว่ายิ่งใหญ่เท่าเทียม ตัดคะแนนกันเอง พ่ายรางวัล Oscar: Best Actress ให้กับ Eve Harrington Judy Holliday ภาพยนตร์ Born Yesterday (1950)
เกร็ด: โปสเตอร์หนังเรื่องนี้ออกแบบโดย Erik Nitsche ได้รับการโหวตจากนิตยสาร Premiere Magazine: The 25 Best Movie Posters Ever ติดอันดับ #24
The bouncy, kinetic design of 1950’s All About Eve poster mirrors the movie’s cocktail shaker wit. Erik Nitsche was the artist who came up with the arrow-filled image that, like the film, features an all-too brief cameo by Marilyn Monroe, here in the bottom left corner of the one-sheet.
Joseph Leo Mankiewicz (1909-93) นักเขียน/โปรดิวเซอร์/ผู้กำกับภาพยนตร์ สัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Wilkes-Barre, Pennsylvania ในครอบครัวชาว Jewish อพยพมาจาก Germany, โตขึ้นตั้งใจจะเป็นนักจิตวิทยา แต่เข้าศึกษาเตรียมแพทย์ Columbia University ไม่ถึงปีก็เปลี่ยนสาขาภาษาอังกฤษ (เพราะกลัวการผ่าตัด) ระหว่างนั้นเขียนบทความลง Columbia Daily Spectator, พอสำเร็จการศึกษาตั้งใจจะไปเรียนต่อ Berlin ก่อนจับพลัดจับพลูทำงานแปล Title Card ให้สตูดิโอภาพยนตร์ UFA และเขียนบทความลงนิตยสารหลายฉบับ
ค.ศ. 1929 ตัดสินใจเดินทางกลับสหรัฐอเมริกา ได้รับความช่วยเหลือจากพี่ชาย Herman J. Mankiewicz (ผู้พัฒนาบทหนัง Citizen Kane) เข้าทำงานแผนกนักเขียนสตูดิโอ Paramount Pictures มีชื่อเสียงจากการเขียนบทพูด (Dialogue) ที่เฉียบคมคาย ขนาดว่าเคยได้เข้าชิง Oscar: Best Writing, Adaptation จากภาพยนตร์ Skippy (1931), ช่วงย้ายมาอยู่ M-G-M (1934-42) กลายเป็นโปรดิวเซอร์ภาพยนตร์ อาทิ Fury (1936), A Christmas Carol (1938), The Philadelphia Story (1940) ฯ และพอร่วมงานสตูดิโอ Fox ได้รับโอกาสกำกับหนังเรื่องแรก Dragonwyck (1946), และเมื่อปีก่อน A Letter to Three Wives (1949) เพิ่งคว้าสองรางวัล Oscar สาขา Best Director และ Best Adapted Screenplay
สำหรับผลงานชิ้นเอกของ Mankiewicz ก็คือ All About Eve (1950) ดัดแปลงจากเรื่องสั้น The Wisdom of Eve ของ Mary Orr (1910-2006) ตีพิมพ์ลงนิตยสาร Cosmopolitan ฉบับเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1946, โดยนำแรงบันดาลใจจากเรื่องเล่าของ Elisabath Bergner เมื่อตอนทำการแสดงละคอนเวที The Two Mrs. Carrolls ระหว่างปี ค.ศ. 1943-44 เคยให้ความช่วยเหลือแฟนคลับสาว ว่าจ้างมาทำงานเป็นผู้ช่วยส่วนตัว แต่ไม่นานสันดานธาตุแท้ของอีกฝ่ายก็เปิดเผยออกมา
ในปี ค.ศ. 1949, ผกก. Mankiewicz มีความสนใจสร้างภาพยนตร์เกี่ยวกับนักแสดงสูงวัย (aging actress) แล้วพอได้อ่านเรื่องสั้น The Wisdom of Eve ครุ่นคิดว่าตัวละครแฟนคลับสาวน่าจะเป็นประโยชน์ต่อเรื่องราว จึงส่ง Memo ให้โปรดิวเซอร์ Darryl F. Zanuck ซึ่งก็กำลังมีความสนใจอยู่พอดิบดี ติดต่อขอซื้อลิขสิทธิ์ดัดแปลงจาก Orr สนราคา $5,000 เหรียญ (บางแหล่งข่าวระบุว่าแค่ $3,500 เหรียญ) … Orr ไม่ได้มีส่วนร่วมดัดแปลงบทหนัง แต่ได้รับเครดิตในฐานะ Original Story
Mankiewicz พัฒนาบทร่าง (Treatment) โดยตั้งชื่อ (Working Title) Best Performance ปรับเปลี่ยนชื่อตัวละครจากต้นฉบับเรื่องสั้น Margola Cranston มาเป็น Margo Channing (ส่วนตัวละครอื่นคงชื่อเดิม) แล้วเปลี่ยนตัวละครสามี (ของ Margo) ให้กลายเป็นเพียงชายคนรัก Bill Sampson เพื่อสร้างความสัมพันธ์รักสามเศร้า (Margo-Bill-Eve) กล่าวคือ Eve คือภัยคุกคาม Margo ทั้งอาชีพการงาน (Professional) และชีวิตส่วนตัว (Personal Lives)
เกร็ด: โปรดิวเซอร์ Darryl F. Zanuck เปลี่ยนชื่อหนังจาก Best Performance กลายมาเป็น All About Eve หลังจากอ่านบทบรรยายของตัวละคร Addison DeWitt ที่พูดคำว่า All about Eve
นักแสดง Broadway ชื่อดัง Margo Channing (รับบทโดย Bette Davis) ได้รับการแนะนำจากเพื่อนสนิท Karen Richards (รับบทโดย Celeste Holm) ให้รู้จักกับแฟนคลับสาว Eve Harrington (รับบทโดย Anne Baxter) พบเจอทุกครั้งหลังโรงละคอน อ้างว่าติดตามรับชมการแสดงทุกรอบของเธอ ใฝ่ฝันอยากมีโอกาสอยู่เคียงข้าง พร้อมทำงานรับใช้ทุกสิ่งอย่าง … นั่นสร้างความไม่พึงพอใจให้สาวใช้ Birdie Coonan (รับบทโดย Thelma Ritter) สังเกตเห็นความผิดปกติ มันต้องมีลับลมคมในอะไรบางอย่าง
Margo ตัดสินใจว่าจ้าง Eve ให้มาเป็นผู้ช่วยส่วนตัว ซึ่งเธอก็ทำงานอย่างดี ไม่เคยขาดตกบกพร่อง จนบางครั้งมากเกินกว่าเหตุ ถึงเริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติ ก่อนค้นพบว่ายัยเด็กเมื่อวานซืนพยายามแก่งแย่ง แสร้งทำเป็นอ่อนน้อม แท้จริงแล้วต้องการแก่งแย่งบทบาท ได้รับโอกาสขึ้นทำการแสดงละคอนเวที รวมถึงชายคนรัก/ผู้กำกับ Bill Sampson (รับบทโดย Gary Merrill)
แต่ทว่าบุคคลที่ขัดขวาง Eve ไม่เกินเลยเถิดไปมากกว่านี้คือนักวิจารณ์ Addison DeWitt สามารถสืบค้นเบื้องหลัง ตัวตนแท้จริง ใช้การแบล็กเมล์เพื่อครอบครองเป็นเจ้าของ บอกให้เธอปฏิเสธความสัมพันธ์กับ Bill และทุ่มเททุกสิ่งอย่างให้กับการแสดงละคอนเวที จนสามารถคว้ารางวัล (สมมติ) Sarah Siddons Award
Ruth Elizabeth ‘Bette’ Davis (1908-89) นักแสดงสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Lowell, Massachusetts ครอบครัวหย่าร้างตอนอายุสิบขวบ อาศัยอยู่กับมารดาที่ New York ในตอนแรกมีความสนใจด้านการเต้น แต่หลังมีโอกาสรับชมละคอนเวที The Wild Duck นำแสดงโดย Blanche Yurka & Peg Entwistle ค้นพบความหลงใหลด้านการแสดง หลังเรียนจบออดิชั่นเข้าร่วมคณะการแสดงของ George Cukor ไต่เต้าจาก Off-Broadway กลายเป็นนักแสดง Broadway ก่อนหันเหความสนใจสู่วงการภาพยนตร์เรื่องแรก Bad Sister (1931), แจ้งเกิดกับ The Man Who Played God (1932), Of Human Bondage (1934), Dark Victory (1939), The Letter (1940), The Little Foxes (1941), Now, Voyager (1942), All About Eve (1950), What Ever Happened to Baby Jane? (1962), คว้ารางวัล Oscar: Best Actress จำนวนสองครั้งจาก Dangerous (1935) และ Jezebel (1938)
เกร็ด: Bette Davis ในชาร์ท AFI’s 100 Years…100 Stars ฟากฝั่ง Female Legends ติดอันดับ #2
รับบท Margo Channing นักแสดง Broadway ผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง ประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน วันหนึ่งรับฟังเรื่องเล่าของแฟนคลับสาว Eve Harrington เกิดความชื่นชอบประทับใจ จึงว่าจ้างมาให้มาเป็นผู้ช่วยส่วนตัว การงานไม่เคยขาดตกบกพร่อง แต่หลายๆครั้งกลับมีความมากเกินไป เต็มไปด้วยลับลมคมใน พอเธอตระหนักว่าอีกฝ่ายพยายามแก่งแย่งการงาน/ชายคนรัก จึงเริ่มแสดงอาการหงุดหงิดหัวเสีย ระเบิดระบายอารมณ์ รู้สึกชีวิตไม่มั่นคง ต้องใช้เวลาสักพักใหญ่กว่าจะยินยอมรับตัวเลขอายุ สังขารโรยราตามกาลเวลา
“Fasten your seatbelts. It’s going to be a bumpy night.” คือประโยคที่ถือเป็นไฮไลท์ในอาชีพการแสดงของ Bette Davis ได้รับการโหวตจาก …
- AFI: 100 Years…100 Movie Quotes (2005) ติดอันดับ #9
- Premiere: The 100 Greatest Movie Lines (2007) ติดอันดับ #12

แรกเริ่มต้นโปรดิวเซอร์ Darryl F. Zanuck อยากได้นักแสดง Susan Hayward แต่ทว่าผกก. Mankiewicz มองว่าเธออายุน้อยไปหน่อย, Marlene Dietrich (มีความเป็น German เกินไป), Gertrude Lawrence (ทนายของเธอตอบปฏิเสธเพราะมีฉากดื่มเหล้า สูบบุหรี่), Barbara Stanwyck (คิวไม่ว่าง), Tallulah Bankhead, Joan Crawford (ติดคิวถ่ายทำ The Damned Don’t Cry), Ingrid Bergman, Claudette Colbert ตอบตกลงไปแล้ว แต่ได้รับบาดเจ็บจนต้องขอถอนตัวก่อนเริ่มโปรดักชั่นไม่กี่วัน
มันเป็นจังหวะพอดีที่ Bette Davis เพิ่งหมดสัญญาทาส 18 ปีกับสตูดิโอ Warner Bros. ผลงานยุคหลังๆทั้งเจ๊ง ทั้งขาดทุน ทำเอาเธอหมดความกระตือรือล้นในการแสดงไปพักใหญ่ๆ แต่พออ่านบทหนังของ Mankiewicz เกิดความชื่นชอบประทับใจ ปลุกตื่นจิตวิญญาณนักแสดงขึ้นมาโดยพลัน “He resurrected me from the dead.”
เกร็ด: เมื่อตอน Bette Davis ตอบตกลงแสดงหนังเรื่องนี้ ผู้กำกับคู่ปรับ Edmund Goulding ที่เคยร่วมงานกับเธอหลายครั้ง โทรศัพท์มากล่าวเตือน Joseph L. Mankiewicz ว่าอีกฝ่ายมีความยุ่งยาก เรื่องมาก อย่าให้เธอปรับแก้ไขบทพูด “She would grind you down into a fine powder.” แต่เอาเข้าจริงกลับไม่มีปัญหาใดๆเกิดขึ้นในกองถ่าย
I can think of no project that from the outset was as rewarding from the first day to the last. It is easy to understand why. It was a great script, had a great director, and was a cast of professionals all with parts they liked. It was a charmed production from the word go.
Filming All About Eve was a very happy experience… the only bitch in the cast was Celeste Holm.
Bette Davis
นี่คือบทบาทการแสดงยอดเยี่ยมที่สุดในชีวิตของ Davis! ผมชอบความคิดเห็นของนักวิจารณ์ Roger Ebert กล่าวไว้ว่า “Growing older was a smart career move for Bette Davis” ยิ่งแก่ยิ่งเก๋า(เจ้ง) ตอนสาวๆอาจดูสวยใส แต่พอก้าวสู่วัยกลางคน อายุสี่สิบต้นๆ ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่น น้ำเสียงแหบแห้ง ดูเหมือนคนพานผ่านอะไรมามาก พบเห็นความฟ่อนเฟะ เน่าเละเทะ ด้านมืดชีวิต เลยเต็มไปด้วยอคติต่อต้านทุกสรรพสิ่งอย่าง
ไฮไลท์การแสดงของ Davis คือความกวัดแกว่งทางอารมณ์ เดี๋ยวดี-เดี๋ยวร้าย ไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ ช่วงแรกๆเอ็นดูรักใคร่ สงสารเห็นใจ Eve Harrington แต่พอตระหนักถึงเป้าหมายแท้จริงอีกฝ่าย จึงเริ่มใช้น้ำเสียงแดกดัน ถ้อยคำพูดประชดประชัน ใบหน้าบูดบิ้ง ถมึงทึง แสยะยิ้ม เบะปาก พออดรนทนไม่ไหวก็ตะโกนโหวกเหวกโวยวาย มือไม้กรีดกราย … มันเหมือนว่า Davis เกิดมาเพื่อรับบทนางร้าย ไม่ชอบคนดี ไม่ห่วงความสวย สำแดงอารมณ์ผ่านสิ่งเร้าโดยไม่สามารถควบคุมตนเอง
การระเบิดระบายอารมณ์ของ Margot เกิดขึ้นบนพื้นฐานที่สมเหตุสมผล จับต้องได้ ตรงไปตรงมา นั่นคืออิจฉาริษยานักแสดงรุ่นใหม่ Eve Harrington หวาดกลัวความสูญเสีย (ทั้งอาชีพการงานและคนที่เธอรัก) ไม่อยากยินยอมรับความแก่ พยายามเรียกร้องความสนใจจากเพื่อนสนิท คนรอบข้าง นั่นคงคือเหตุผลที่หลังจากสงบสติอารมณ์ จึงเริ่มครุ่นคิดหาความมั่นคงให้กับชีวิต ตัดสินใจตอบตกลงแต่งงาน
แซว: ในกองถ่าย Bette Davis ตกหลุมรักเพื่อนนักแสดง Gary Merrill (ที่รับบท Bill Sampson ชายคนรักของ Margo Channing) หลังหนังปิดกล้องทั้งสองก็แต่งงานกันจริงๆ และเลิกราสิบปีให้หลังพอดีเป๊ะๆ แบบเดียวกับที่ตัวละครของเธอพูดไว้ว่า
Bill’s in love with Margo Channing. He’s fought with her, worked with her, loved her… but ten years from now — Margo Channing will have ceased to exist. And what’s left will be, what?
Margo Channing
Anne Baxter (1923-85) นักแสดงสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Michigan City, Indiana มีศักดิ์เป็นหลานของสถาปนิกชื่อดัง Frank Lloyd Wright, ตอนอายุสิบเอ็ดครอบครัวอพยพย้ายสู่ New York ค้นพบความชื่นชอบด้านการแสดง พออายุสิบสามได้ขึ้นละคอนเวที Broadway เลยมุ่งมั่นเอาจริงเอาจังด้านนี้, ต่อมาได้รับเลือกให้เล่นหนัง The Philadelphia Story (1939) รับบทน้องสาวคนเล็กของ Katharine Hepburn แต่ทว่า Hepburn ไม่ชอบสไตล์การแสดงของเธอจึงเปลี่ยนนักแสดงใหม่, ต่อมาเข้าทดสอบหน้ากล้อง Rebecca (1940) น่าเสียดายอายุยังน้อยไปหน่อย ถึงอย่างนั้นก็ได้เซ็นสัญญาสตูดิโอ Fox เล่นหนังเรื่องแรก 20 Mule Team (1940), The Pied Piper (1942), The Magnificent Ambersons (1942), Five Graves to Cairo (1943), A Royal Scandal (1945), The Razor’s Edge (1946) ** คว้ารางวัล Oscar: Best Actress, All About Eve (1950), I Confess (1953), The Ten Commandments (1956) ฯ
รับบท Eve Harrington แฟนคลับยังสาว มีความหลงใหลคลั่งไคล้นักแสดง Margo Channing เฝ้าคอยโอกาสพบเจอ แสดงความชื่นชอบประทับใจ ยกยอปอปั้นราวกับนางฟ้ามาจุติ แต่แท้จริงแล้วเธอมีจุดประสงค์เคลือบแอบแฝง พยายามศึกษา เรียนรู้งานต่างๆ (Understudy) สบโอกาสเมื่อไหร่จักก้าวขึ้นมาแทนที่ แก่งแย่งอาชีพการงาน รวมถึงชายคนรักของอีกฝ่าย
โปรดิวเซอร์ Darryl F. Zanuck แสดงความสนใจ Jeanne Crain ปีก่อนเพิ่งได้เข้าชิง Oscar: Best Actress จากภาพยนตร์ Pinky (1949) แต่ทว่าเธอกำลังตั้งครรภ์เลยจำต้องตอบปฏิเสธ, ตัวเลือกของผกก. Mankiewicz คือ Anne Baxter เพราะเล็งเห็นคุณภาพ ‘bitch virtuosity’
นักวิจารณ์หลายคนมองว่า Baxter คือจุดอ่อนของหนัง เพราะไม่ได้มีพลังดารามากพอที่จะย่ำเหยียบ ก้าวผ่าน Bette Davis, ตอนเป็นแฟนคลับสาวก็ยังพอมีความน่าเชื่อถืออยู่บ้าง แต่จะสามารถไต่เต้า ประสบความสำเร็จ กลายเป็นดาวดาราระดับเดียวกันนั้น นั่นดูไม่น่าจะมีความเป็นได้สักเท่าไหร่ … นี่กระมังอาจคือเหตุผลที่หนังจงใจไม่ฉายภาพการแสดงหรือซักซ้อมละคอนเวที เพราะผู้ชมจะเกิดการเปรียบเทียบ ‘คุณภาพ’ ของนักแสดง
จริงอยู่ว่า Baxter อาจไม่ได้พลังดาราเทียบเท่า แต่การแสดงของเธอก็ถือว่ามีลำดับวิวัฒนาการที่น่าสนใจ เริ่มต้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ท่าทางอ่อนน้อม ทำตัวเล็กลีบ แสร้งว่าบริสุทธิ์ไร้เดียงสา จนเมื่อไต่เต้าจากดาวสู่ดิน พอมีชื่อเสียง ประสบความสำเร็จ คว้ารางวัลเกียรติยศ น้ำเสียงหยาบกระด้าง ท่าทางกร่าง เริดเชิดเย่อหยิ่ง ไม่จำเป็นต้องปกปิดบังตัวตนแท้จริงอีกต่อไป
แซว: แม้ในหนัง Margo Channing จะไม่ถูกกับ Eve Harrington แต่ความสัมพันธ์ในชีวิตจริง Bette Davis ดูจะชื่นชอบสนิทสนมกับ Anne Baxter เคยกล่าวชื่นชมอีกฝ่ายอยู่บ่อยครั้ง
The studio tried to play that up all during the filming, but I liked Bette very much. She’d come on the set and go ‘Sssssss’ at me, but it was just a joke between us.
Anne Baxter
การแสดงของ Baxter สมควรค่าแก่การเข้าชิง Oscar: Best Actress หรือไม่? จริงอยู่ว่า Eve Harrington คือบทนักแสดงนำ แต่เมื่อเทียบพลังดารากับ Bette Davis ที่เข้าชิงสาขาเดียวกัน มันห่างชั้นราวฟ้ากับเหว เอาจริงๆส่ง Baxter เข้าชิงสาขานักแสดงสมทบอาจจะยังมีลุ้นมากกว่า
Celeste Holm (1917-2012) นักแสดงสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ New York City บิดาเป็นนักธุรกิจเกี่ยวกับการบริการทางเรือ เธอจึงมีโอกาสเดินทางไปยังประเทศต่างๆทั้งยุโรปและสหรัฐอเมริกา โตขึ้นเข้าศึกษาการแสดงยัง University of Chicago ก่อนเริ่มเป็นนักแสดงละคอนเวที โด่งดังกับโปรดักชั่น Oklahoma! เข้าตาสตูดิโอ Fox จับเซ็นสัญญาเล่นหนังเรื่องแรก Three Little Girls in Blue (1946), โด่งดังพลุแตกกับ Gentleman’s Agreement (1947) ** คว้ารางวัล Oscar: Best Supporting Actress, ผลงานเด่นๆ อาทิ The Snake Pit (1948), A Letter to Three Wives (1949), Come to the Stable (1949), All About Eve (1950), High Society (1956) ฯ
รับบท Karen Richards เพื่อนสนิทของ Margo Channing และเป็นภรรยาของนักเขียนบทละคอนเวที Lloyd Richards พบเจอ Eve Harrington เฝ้ารอคอยอยู่ข้างโรงละคอนทุกวี่วัน จึงอาสาเป็นแม่สื่อพาไปแนะนำตัวกับ Margo รับฟังเรื่องเล่า เกิดความสงสารเห็นใจ ให้ความช่วยเหลือในหลายครั้งครา ก่อนตระหนักว่าอีกฝ่ายคืออสรพิษที่พร้อมแว้งกัด บังเกิดความรู้สึกผิด ขัดแย้งภายใน ขมขื่นหฤทัย
Holm เพิ่งหมดพันธะกับ 20th Century Fox แต่ทว่าผกก. Mankiewicz ยืนกรานว่าบทบาทนี้ต้องเธอเท่านั้น! โปรดิวเซอร์ Zanuck จึงยินยอมยื่นข้อเสนอสัญญาใหม่
ไม่รู้เพราะเพิ่งได้สัญญาใหม่หรืออย่างไร วันแรกเดินทางมากองถ่ายด้วยสีหน้าแช่มชื่น ระเริงรื่น พูดคุยทักทายผู้คน พบเจอกับ Bette Davis กล่าวสวัสดี “Good morning” แต่อีกฝ่ายตอบกลับ “Oh shit, good manners.” นี่ฉันทำอะไรผิดไป กลายเป็นฝันร้ายโดยพลัน
ประเด็นคือตัวละครของ Holm ควรต้องเป็นเพื่อนสนิทของ Davis แต่แปลกที่ผู้ชมสัมผัสไม่ได้ถึงอคติขัดแย้ง พวกเธอต่างทำหน้าที่การแสดงของตนเองได้อย่างดีเยี่ยม … มันอาจเพราะตัวละครทั้งสองมีความแตกต่างตรงกันข้ามเป็นทุนเดิมอยู่แล้วกระมัง
- Karen เป็นคนจิตใจดีงาม สุภาพอ่อนน้อม ชอบให้ความช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ถึงขั้นไร้เดียงสา แต่ต้องใช้เวลาเรียนรู้ พบเห็นความชั่วร้ายด้วยตนเองถึงบอกได้
- Margo เป็นคนหยาบกระด้าง นิสัยดื้อรั้น เห็นแก่ตัว เอาแต่ใจ มักไม่สามารถควบคุมตนเอง แสดงออกด้วยอารมณ์รุนแรง โลกต้องหมุนรอบตัวฉัน
ผมชอบฉากที่ Karen ถูกแบล็กเมล์จาก Eve เรียกร้องขอให้ตนเองรับบทแสดงนำละคอนเวทีเรื่องถัดไป พอเดินกลับโต๊ะอาหาร สีหน้าบึ้งตึง อ้ำๆอึ้งๆ ไม่รู้จะทำอะไรยังไง แล้วพอ Margo บอกว่าจะแต่งงาน Bill วางแผนฮันนีมูน หยุดรับงานละคอนเวทีไปสักพัก จู่ๆเธอหลุดหัวเราะ “Everything’s so funny.” ทุกสิ่งอย่างมันช่างลงตัว คลายความขัดแย้งได้เอง มีเพียงตนเองที่ครุ่นคิดมากไปเอง

George Henry Sanders (1906-72) นักแสดงสัญชาติ Russian-British เกิดที่ Saint Petersburg, Russian Empire บิดาเป็นเจ้าธุรกิจโรงงานผลิตเชือก อพยพย้ายสู่เกาะอังกฤษช่วงระหว่าง Russian Revolution (1917) ปักหลักอาศัยอยู่ Brighton สำเร็จการศึกษาจาก Manchester Technical College แล้วทำงานวิจัยสิ่งทอ ก่อนเปลี่ยนงานไปเรื่อยๆจนได้รับคำแนะนำจากนักแสดง Greer Garson กลายเป็นนักร้อง/นักแสดงละคอนเวที, แจ้งเกิดภาพยนตร์ Lloyd’s of London (1936), ผลงานเด่นๆ อาทิ Rebecca (1940), Foreign Correspondent (1940), The Picture of Dorian Gray (1945), Samson and Delilah (1949), All About Eve (1950) ** คว้ารางวัล Oscar: Best Supporting Actor, Ivanhoe (1952), Journey to Italy (1954), Moonfleet (1955), พากย์เสียง Shere Khan อนิเมชั่น The Jungle Book (1967) ฯ
รับบทนักวิจารณ์ Addison DeWitt ผู้มีชื่อเสียงในแวดวงละคอนเวที รอบรู้ เฉลียวฉลาด และรู้จักทำการบ้าน ชื่นชอบประทับใจการแสดงของ Eve Harrington พร้อมส่งให้เธอกลายเป็นดาวดาราเจิดจรัส ขณะเดียวกันก็กุมความลับ รับรู้ตัวตนแท้จริงของอีกฝ่าย “ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่” เราสองช่างเหมาะสมกันยิ่งนัก
บทบาทนี้ของ Sanders มานิ่งๆเงียบๆ แสดงความคิดเห็นเฉียบๆคมคาย ไม่ได้มีส่วนร่วมกับทีมนักแสดงมากนัก (คือเป็นคนนอก นักวิจารณ์แวะเวียนมาหาประปราย) แต่ไฮไลท์คือตอนเผชิญหน้า Eve Harrington กุมความลับ รับรู้ตัวตนแท้จริง ทุกคำเอ่ยกล่าวมันเลยกรีดบาดแทง เจ็บปวดรวดร้าว ความจริงที่หญิงสาวมิอาจยินยอมรับฟัง … เอาจริงๆเป็นบทบาทไม่มีอะไรโดดเด่น แค่กำความลับสำคัญที่สุดของหนัง พอเปิดเผยออกมาจึงสร้างความตกตะลึงงันให้กับผู้ชม
ในขณะที่นักแสดงหญิงเข้าชิง Oscar ถึงสี่คน แย่งคะแนนโหวตกันพลันวัน, Sanders คือนักแสดงชายคนเดียวที่นอนมา เข้าชิง และคว้ารางวัลการแสดง Oscar: Best Supporting Actor แน่นอนว่า All About Eve (1950) ต้องกลายเป็นหนังเรื่องโปรด
The critics and the trades loved it. It was a film of distinction: witty, sophisticated, and brilliantly written and directed.
George Sanders
แซว: George Sanders ขณะนั้นเพิ่งแต่งงานกับ Zsa Zsa Gabor แวะเวียนมากองถ่ายทุกวี่วัน เพราะกลัวว่าสามีจะแอบสานสัมพันธ์นักแสดงสาวสวย Marilyn Monroe … แต่ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ไม่ได้ยืนยาวนานสักเท่าไหร่ หย่าร้างกันปี ค.ศ. 1954
Thelma Ritter (1902-69) นักแสดง สัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Brooklyn, New York ตั้งแต่อายุ 11 ค้นพบความหลงใหลด้านการแสดง โตขึ้นเข้าศึกษา American Academy of Dramatic Arts (ADA) แล้วปักหลักอยู่ในวงการละคอนเวทีนานกว่าสองทศวรรษ เข้าสู่วงการภาพยนตร์ช่วงวัยกลางคน Miracle on 34th Street (1947), โด่งดังกับภาพยนตร์ All About Eve (1950), Pickup on South Street (1953), Rear Window (1954), Pillow Talk (1959), The Misfits (1961), Birdman of Alcatraz (1962), How the West Was Won (1962) ฯ
รับบท Birdie Coonan คนรับใช้ของ Margo Channing อุปนิสัยคล้ายๆนายจ้างคือชอบพูดจาเสียดสี แดกดัน ประชดประชัน แต่เธอคือบุคคลแรกสังเกตเห็นความผิดปกติของ Eve Harrington รับรู้ว่าต้องเบื้องหลัง ลับลมคมใน ไม่ทันไรความจริงก็กระจ่างออกมา
ผกก. Mankiewicz เคยร่วมงาน Thelma Ritter เมื่อตอนสรรค์สร้าง A Letter to Three Wives (1949) เกิดความชื่นชอบประทับใจ จึงสร้างบทบาทนี้ขึ้นใหม่ให้กับเธอโดยเฉพาะ เพื่อสร้างสีสันด้วยคำพูดอันเฉียบแหลม คมคาย สังเกตเห็นลับลมคมในของ Eve Harrington ก่อนใครคนอื่น … เป็นตัวละครที่ออกแบบมาเพื่อให้ผู้ชมเกิดข้อฉงนสงสัย โล้เล้ลังเลใจ ตั้งแง่กับการตัดสินคนด้วยเปลือกภายนอก
ต้องถือว่า All About Eve (1950) คือผลงานแจ้งเกิดที่ทำให้ Ritter เจิดจรัสในวงการภาพยนตร์ (ได้เข้า Oscar ครั้งแรก) แม้หลังจากนี้จะกลายเป็น Stereotype มักได้รับบทบาทแม่บ้าน/คนรับใช้ นิสัยแดกดัน คำพูดเฉียบแหลม คมคาย แต่การได้เข้าชิง Oscar: Best Supporting Actress ถึงหกครั้ง (ไม่เคยได้สักรางวัล) ก็น่าจะคุ้มค่าแล้วกระมัง
ผมแอบเซอร์ไพรส์เล็กๆที่ประโยค “All of a sudden she’s playing Hamlet’s mother.” ของ Birdie Coonan ได้รับการโหวตติดอันดับ #53 ชาร์ทของนิตยสาร Premiere: The 100 Greatest Movie Lines (2007)

อีกนักแสดงที่จำเป็นต้องกล่าวถึงอย่างคราวๆก็คือ Marilyn Monroe ขณะนั้นยังไม่มีชื่อเสียงเรียงนามใดๆ เห็นว่าผู้จัดการของเธอพยายามล็อบบี้โปรดิวเซอร์ Darryl F. Zanuck จนมีโอกาสได้รับบทเล็กๆ Miss Casswell ได้รับคำนิยามจาก Addison DeWitt ว่า “graduate of the Copacabana School of Dramatic Art.”
ด้วยความที่ Monroe ยังอ่อนด้อยประสบการณ์ภาพยนตร์ คงจะเครียดหนัก รู้สึกกดดัน เลยพูดผิดเล็กผิดน้อย 11 เทค (ในฉากออดิชั่นที่โรงละคอน) จนโดน Bette Davis ตะคอกใส่ ถึงขนาดวิ่งไปอาเจียน ก่อนกลับมาเข้าฉากอีกครั้ง
เอาจริงๆผมว่าประโยค “Why do they look always like unhappy rabbits?” น่าจะได้รับการจดจำกว่า “You won’t bore him, honey. You won’t even get a chance to talk.” ที่ได้รับการโหวตติดอันดับ #25 ชาร์ทนิตยสาร Premiere: The 100 Greatest Movie Lines (2007)

ถ่ายภาพโดย Milton R. Krasner (1904-88) สัญชาติอเมริกัน เกิดที่ New York City เริ่มต้นจากผู้ช่วยตากล้อง Vitagraph and Biograph Studio สมัยยังมีสาขาอยู่ที่ New York แต่พอสตูดิโอปิดกิจการลง เดินทางมุ่งสู่ Hollywood ช่วงแรกๆในยุคหนังพูดมักเป็นตากล้องหนังเกรดบี กระทั่งการมาถึงของยุคหนังนัวร์ ได้รับคำชื่นชมมากๆเรื่องการจัดแสง-มืดมิด The Woman in the Window (1944), Scarlet Street (1945), พอย้ายมาสตูดิโอ Fox รังสรรค์ผลงานเลื่องชื่ออย่าง A Double Life (1947), The Set-Up (1949), All About Eve (1950), No Way Out (1950), และการมาถึงของ Techinicolor สามารถปรับตัวได้อย่างยอดเยี่ยม Three Coins in the Fountain (1954) ** คว้ารางวัล Oscar: Best Cinematography, The Seven Year Itch (1955), An Affair to Remember (1957), King of Kings (1961), How the West Was Won (1962) ฯ
ผกก. Mankiewicz มาจากสายนักเขียน และเคยทำงานโปรดิวเซอร์อยู่หลายปี จึงไม่ได้มีความเชี่ยวชาญด้านเทคนิคภาพยนตร์มากนัก ส่วนใหญ่เลือกถ่ายภาพหน้าตรง ระยะห่าง Medium Shot กล้องเคลื่อนเลื่อนติดตามนักแสดง จับจ้องบุคคลกำลังเอ่ยปากสนทนา และบ่อยครั้งพยายามยัดเยียดคณะการแสดง (Ensemble Cast) ให้อยู่ร่วมเฟรมกันมากที่สุด! … ถึงงานภาพของหนังจะไม่มีลูกเล่นตื่นตาตื่นใจ แต่เราสามารถมองว่าในเชิงความบริสุทธิ์ของการถ่ายภาพ ไม่มีการปรุงปั้นแต่ง สำหรับนำเสนอเรื่องราว-บันทึกภาพการแสดงอย่างตรงไปตรงมา
ในส่วนงานศิลป์ (Art Direction) Lyle R. Wheeler, George Davis และก่อสร้างฉาก (Set Decoration) Thomas Little และ Walter M. Scott ต้องชมเลยว่าเต็มไปด้วยรายละเอียดน่าหลงใหล นอกจากข้าวของเครื่องใช้ สิ่งโดดเด่นพิเศษคือลวดลายบุผนัง (Wallpaper) มีความละลานตายิ่งนัก! เป็นการสร้างอัตลักษณ์ให้กับสถานที่นั้นๆ … ด้วยความที่หนังถ่ายทำด้วยฟีล์มขาว-ดำ อาจทำให้หลายคนไม่ทันสังเกตเห็น แต่ผมเพิ่งรับชมผลงานของผกก. Almodóvar รายละเอียดเหล่านี้เลยเตะตาอย่างมากๆ
นอกจากโรงถ่าย 11 ในสตูดิโอ 20th Century Fox, อีกสถานที่จริงที่ใช้ถ่ายทำคือโรงละคอน Curran Theatre (San Francisco) นอกนั้นส่งกองสองไปบันทึกภาพภายนอก ซึ่งก็มีอยู่น่านับนิ้วได้ด้วยซ้ำ Shubert Theater & Taft Hotel (New Haven, Connecticut), John Golden Theater & 21 Club (Manhattan, New York City) ฯ
หนังใช้เวลาโปรดักชั่นทั้งหมด 4 เดือน ระหว่างเมษายน – สิงหาคม ค.ศ. 1950 แต่ผมอ่านเจอว่า Bette Davis ใช้เวลาถ่ายทำฉากของตนเองเพียง 16 วันเท่านั้น! ไม่รู้เหมือนกันทำไมกว่าจะถ่ายทำเสร็จถึงล่าช้าไปเนิ่นนานขนาดนั้น
เมื่อตอนผกก. Mankiewicz สร้างหนังเรื่องนี้ ครุ่นคิดพิธีมอบรางวัล Sarah Siddons Award ด้วยคำโปรย “the highest honor our theater knows” โดยรูปปั้นรางวัลได้แรงบันดาลใจจากภาพวาด Sarah Siddons as the Tragic Muse (1783-84) ของจิตรกรสัญชาติอังกฤษ Sir Joshua Reynolds (1723-92)
เกร็ด: Sarah Siddons ชื่อเกิด Sarah Kemble (1755-1831) คือนักแสดงสัญชาติ Welsh แล้วมาโด่งดังในฐานะนักแสดงละคอนเวทีที่อังกฤษ นิยมเล่นละคอนโศกนาฎกรรม จนได้รับการกล่าวขวัญ “Tragedy Personified”
แต่ใครจะไปคาดคิดว่ารางวัลปลอมๆนี้จะมีคนนำไปครุ่นคิดจริงจัง ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1952 คณะการแสดงละคอนเวทีกลุ่มหนึ่งใน Chicago ก่อตั้งสมาคม Sarah Siddons Society แล้วเริ่มมอบรางวัลดังกล่าว (ด้วยรูปปั้นรางวัลเดียวกัน) ตั้งแต่บัดนั้นมาจนถึงปัจจุบัน
I invented it to put down all this fatuous prize-giving, and now there’s some outfit in Chicago actually promoting a Sarah Siddons Award every year, and people like Helen Hayes go out there and make tearful acceptance speeches… this bit of my intended satiric fantasy which has become unintended satiric reality.
Joseph L. Mankiewicz


ออกแบบเสื้อผ้า (Costume Design) โดย Edith Head และ Charles LeMaire เสื้อผ้าสตรีเต็มไปด้วยความหลากหลาย แต่ไฮไลท์คือชุดเดรสสีดำของ Margo Channing ในงานเลี้ยงวันเกิด Bill Sampson จริงๆแล้ว Head ไม่ได้ออกแบบมาให้เปิดไหล่กว้างขนาดนั้น เหมือนว่าไซส์ผิด ขนาดใหญ่เกินไป Bette Davis แก้ปัญหาด้วยการปล่อยตก เปิดไหล่ กลายเป็นเจิดจรัสเหนือใคร
My original sketch had a square neckline and a tight bodice. I had extremely high hopes for this dress because the fabric, a brown gross de Londres (a heavy silk), photographs magnificently in black and white, and it was trimmed in rich brown sable.
I was horrified. The dress didn’t fit at all. The top of the three-quarter-length sleeves had a fullness created by pleats, but someone had miscalculated, and the entire bodice and neckline were too big. There was no time to save anything, and a change would delay the shooting.
Edith Head


โดยปกติแล้วภาพยนตร์เกี่ยวกับละคอนเวที (Play within Film) อย่างน้อยมันต้องมีสักนิดสักหน่อย ถ่ายให้เห็นการแสดงบนเวที แต่ทว่า All About Eve (1950) จงใจตัดทิ้งทั้งหมด! อาจด้วยเหตุผลเรื่องงบประมาณ (เพราะถ้าจะถ่ายการแสดงมันต้องมีค่าใช้จ่ายเยอะ) ความยาวหนัง (แค่นี้ก็ 138 นาทีเข้าไปแล้ว) ซึ่งเหตุผลหลักๆเชื่อกันว่าคือความสามารถนักแสดง ไม่ต้องการให้เกิดการเปรียบเทียบระหว่าง Bette Davis vs. Anne Baxter
แม้ผู้ชมจะไม่มีโอกาสพบเห็นการแสดงบนเวที แต่อย่างน้อยก็ยังกล่าวถึงชื่อละคอนทั้งสองเรื่อง
- Aged in Wood นำแสดงโดย Margo Channing, แค่ชื่อก็บอกใบ้ถึงเรื่องราวเกี่ยวกับนักแสดงมีอายุ แต่ยังคงฝีไม้ลายมือ ประสบการณ์การใช้ชีวิต
- Footsteps on the Ceiling นำแสดงโดย Eve Harrington, ฟังดูเหมือนแนวอาชญากรรม แต่คำว่า Footsteps สามารถสื่อถึง Eve ดำเนินตามรอย Margot และ Ceiling คือการไต่เต้าสู่จุดสูงสุดในอาชีพการงาน


มันอาจไม่ได้ละม้ายคล้ายกันเสียทีเดียว แต่มีหลากหลายองค์ประกอบที่สามารถเติมเต็มกันและกัน
- Margo ระเบิดระบายอารมณ์ใส่ทุกคนรู้จักในโรงละคอน บนเวทีการแสดง ก่อนถูกชายคนรัก Bill จับทิ้งตัวลงบนเตียงนอน (Margo นอนหงายเผชิญหน้ากับเขา) พูดบอกให้พอได้แล้ว เลิกอิจฉาริษยานักแสดงรุ่นน้องเสียที มันก็แค่บทบาทการแสดง อย่าเอามาปะปนกับชีวิต … ผลลัพท์สุดท้าย Margo ยินยอมปล่อยวางบทบาทถัดไปให้กับ Eve
- Eve ถูกเปิดโปงเบื้องหลังความจริงโดย Addison DeWitt วิ่งเข้าห้องพักโรงแรม (ที่เต็มไปด้วยเงาบานเกล็ดเหมือนคุกคุมขัง) ทิ้งตัวลงนอนคว่ำ ปฏิเสธรับฟัง มองหน้าสบตา ก่อนได้รับคำพูดเตือนสติว่านี่คือชีวิตจริงไม่ใช่การแสดง … ผลลัพท์ทำให้ Eve จำยินยอมไม่แก่งแย่ง Bill ไปจาก Margo


ซีเควนซ์สุดท้ายของหนัง หลังจากรับรางวัล Sarah Siddons Award เดินทางกลับห้องพัก พบเห็นภาพสะท้อนหญิงสาวแปลกหน้าในกระจก แต่เราสามารถมองว่ามันคือภาพสะท้อนตัวเธอเอง ย้อนรอยกับสิ่งที่ Eve เคยพยายามเข้าหา Margo ย่ำเหยียบ ไขว่คว้า ไต่เต้าจากดินสู่ดาว … สาวแรกรุ่น Phoebe (รับบทโดย Barbara Bates) ก็คงมีเป้าหมายไม่แตกต่างกัน
เกร็ด: Phoebe, Φοίβη คือหนึ่งในเทพไททัน (Titans) จากปกรณัมกรีก เป็นบุตรของ Uranus (ท้องฟ้า) และ Gaia (โลก) โดยพระนาม Phoebe หมายถึงความบริสุทธิ์ (Pure) สว่างไสว (Bright) และเจิดจรัส (Radiant), ได้รับการขนานนามเทพีแห่งปัญญา เทพพยากรณ์ สามารถทำนายทายทักอนาคต
สำหรับภาพสุดท้ายของหนัง Phoebe ยืนอยู่ในห้องแต่งตัว เชยชมรูปปั้นรางวัล Sarah Siddons Award ทำออกมาคล้ายๆ Hall of Mirror (ผมเพิ่งเขียนถึง The Lady from Shanghai (1947) เมื่อไม่กี่วันก่อน) มองไปทิศทางไหนพบเห็นภาพสะท้อนกระจก … บางคนตีความว่ากระจกสะท้อนตัวตน/ความต้องการแท้จริงที่เธอซุกซ่อนไว้ แต่ผมมองว่ามันคือภาพสะท้อนหญิงสาวแบบ Eve (และ Phoebe) สามารถพบเจอได้ทั่วไป มีผู้คนมากมายอยากประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียงเงินทอง ไต่เต้าจากดินสู่ดาว ดำเนินรอยตาม ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยไม่รู้จักจบจักสิ้น!


ตัดต่อโดย Barbara ‘Bobby’ McLean (1903-96) นักตัดต่อสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Palisades Park, New Jersey เป็นบุตรของ Charles Pollut เปิดห้องแลปฟีล์มภาพยนตร์ ทำให้ตั้งแต่เด็กมีความสนใจด้านนี้ ฝึกงานด้านการตัดต่อ พอแต่งงานเดินทางสู่ Los Angeles ได้งานเป็นผู้ช่วยตัดต่อ First National Studio ก่อนย้ายมาปักหลักอยู่ 20th Century Pictures ได้รับเครดิตครั้งแรก Gallant Lady (1933), Les Misérables (1935), ซึ่งพอผนวกรวมกับ Fox Film Corporation กลายเป็น 20th Century Fox ได้กลายเป็นหัวหน้าแผนกตัดต่อ (Chef Editor) ผลงานเด่นๆ อาทิ The Song of Bernadette (1943), Wilson (1944) ** คว้ารางวัล Oscar: Best Film Editing, Nightmare Alley (1947), Twelve O’Clock High (1949), No Way Out (1950), All About Eve (1950), The Gunfighter (1950), Viva Zapata! (1952) ฯ
เกร็ด: Barbara McLean คือเจ้าของสถิติเข้าชิง Oscar: Best Film Editing มากที่สุดเจ็ดครั้ง จนกระทั่งถูกทำลายโดย Michael Kahn เมื่อปี ค.ศ. 2012
เรื่องราวของหนังเริ่มต้นที่พิธีมอบรางวัลประจำปี Sarah Siddons Award โดยรางวัลสุดท้ายมอบให้กับนักแสดงสาว Eve Harrington หลังจากนั้นเสียงบรรยายของบุคคลผู้เกี่ยวข้องกับเธอ (หลักๆจะคือ Karen Richards และ Addison DeWitt) จะค่อยๆเริ่มเล่าความหลัง (Flashback) ย้อนอดีตเหตุการณ์บังเกิดขึ้น ตั้งแต่ต้นจนจบ ก่อนหวนกลับมาปัจจุบัน
- อารัมบท, พิธีมอบรางวัลประจำปี Sarah Siddons Award เสียงบรรยายของ DeWitt แนะนำตัวละครต่างๆ และบางสิ่งอย่างเกี่ยวกับ All About Eve
- การมาถึงของ Eve Harrington
- เสียงบรรยายของ Karen เล่าถึงการพบเจอ Eve แฟนคลับที่เฝ้ารอคอยอยู่ข้างโรงละคอนทุกวี่วัน
- Karen แนะนำ Eve ให้ได้พบเจอกับ Margo จากนั้นเล่าเรื่องราวชีวิตที่ผ่านมา
- Margo เดินทางไปส่ง Bill ที่สนามบิน (กำลังจะเดินทางไป Hollywood) โดยมี Eve ติดตามมาด้วย
- Eve ทำงานเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของ Karen จัดแจงทุกสิ่งได้อย่างสมบูรณ์แบบ จนเริ่มล้ำเส้นความเหมาะสม
- งานเลี้ยงวันเกิด Bill Sampson
- Margo แต่งตัวรอคอยการมาถึงของ Bill
- แต่พอลงมาจากห้องพบเห็น Bill กำลังพูดคุยกับ Eve สำแดงอาการเกรี้ยวกราดไม่พึงพอใจ
- Margo ต้อนรับเพื่อนพ้อง แขกเหรื่อมาร่วมงาน
- Margo เริ่มมีอาการมึนเมา วางแผนฝากงาน/ขับไล่ Eve ให้ออกจากบ้าน
- ดราม่าตรงบันได ต่างคนต่างแยกย้าย
- ทดสอบบท Footsteps on the Ceiling
- Margo เดินทางมาทดสอบบทละคอนเรื่องใหม่สายไปหลายชั่วโมง
- DeWitt พูดเล่าความสำเร็จจากการทดสอบบทของ Eve
- Margo ขึ้นไปบนเวที สำแดงความเกรี้ยวกราดต่อทุกคน
- Bill พยายามงอนง้อ Margo แต่เธอยังคงดื้อดึงดัน
- ธาตุแท้ตัวตนของ Eve Harrington
- Karen และสามี วางแผนพา Margo ไปเที่ยวเล่นต่างจังหวัด ก่อนรถเสียกลางทาง
- การที่รถเสียทำให้ Eve ที่เป็น Understudy มีโอกาสทำการแสดงแทน และได้เสียงตอบรับอย่างดีเยี่ยม
- DeWitt แอบได้ยิน Eve พยายามเกี้ยวพาราสี Bill
- DeWitt เขียนบทความชื่นชมการแสดงของ Eve จนสร้างความไม่พึงพอใจต่อ Margo
- Margo และ Bill ชักชวน Karen และสามีไปรับประทานอาหารร่วมงาน
- Karen ถูก Eve แบล็กเมล์ด้วยการให้ล็อบบี้ Bill เพื่อตนเองจะได้รับบทนำละคอนเรื่องใหม่ Footsteps on the Ceiling
- Margo และ Bill ประกาศแต่งงาน วางแผนฮันนีมูน ตั้งใจจะหยุดรับงานแสดงสักพักใหญ่
- ก่อนเริ่มการแสดง Footsteps on the Ceiling รอบปฐมทัศน์ DeWitt เผชิญหน้ากับ Eve และทำการแบล็กเมล์ไม่ให้เธอแก่งแย่ง Bill มาจาก Margo
- ปัจฉิมบท,
- หวนกลับมาพิธีมอบรางวัลประจำปี Sarah Siddons Award, คำกล่าวสุนทรพจน์ของ Eve และพบปะผู้คน
- Eve เดินทางกลับมายังห้องพัก พบเจอกับสาวแรกรุ่น Phoebe ทุกสิ่งอย่างหวนกลับสู่จุดเริ่มต้น
การที่หนังเริ่มต้นด้วยการนำเสนอภาพตอนจบ รางวัลเกียรติยศถือเป็นจุดสูงสุดอาชีพนักแสดง(ละคอนเวที) ก็เพื่อให้ผู้ชมเกิดความฉงนสงสัย Eve Harrington ทำอย่างไรถึงสามารถไต่เต้าจากดินสู่ดาว และปฏิกิริยาของบุคคลรอบข้าง (จากกล้องที่เคลื่อนเลื่อนผ่าน) ทำไมบางคนถึงดูบูดบึ้ง ไม่แยแส ไม่สนใจ เธอเคยทำอะไรทิ้งไว้ให้พวกเค้าเหล่านั้นหรือเปล่า?
เพลงประกอบโดย Alfred Newman (1900-70) นักแต่งเพลงสัญชาติอเมริกา เกิดที่ New Haven, Connecticut ในครอบครัว Russian-Jewish บิดาเป็นพ่อค้าพืชผักผลไม้ แต่มีความหลงใหลในบทเพลง เลยส่งบุตรชายคนโตไปร่ำเรียนเปียโนตั้งแต่อายุห้าขวบ ก่อนค้นพบว่าเป็นอัจฉริยะ จนมีโอกาสได้เป็นลูกศิษย์ของ Sigismund Stojowski และ Alexander Lambert, ช่วงวัยเด็กรับจ้างเล่นเปียโน พอโตขึ้นได้เป็นวาทยากรละคอนเวที Broadway การมาถึงของยุคหนังพูดจึงเดินทางสู่ Hollywood ทำเพลงประกอบหนังเรื่องแรก Street Scene (1931), เริ่มมีชื่อเสียงจาก Charlie Chaplin ว่าจ้างให้ดัดแปลงออร์เคสตรา City Light (1931) และ Modern Times (1936), ผลงานภาพยนตร์เด่นๆ อาทิ Wuthering Heights (1939), Gunga Din (1939), The Grapes of Wrath (1940), How Green Was My Valley (1941), The Song of Bernadette (1943), Wilson (1944), Twelve O’Clock High (1949), All About Eve (1950), The Robe (1953), The King and I (1956), The Diary of Anne Frank (1959), How The West Was Won (1962), Camelot (1967), Airport (1970) ฯ
เกร็ด: Alfred Newman คือหนึ่งในผู้เคยเข้าชิงรางวัล Oscar มากที่สุด 45 ครั้ง (รองจาก Walt Disney และ John William) และสามารถคว้ามา 9 รางวัล (รองจาก Walt Disney และ Cedric Gibbons)
เพลงประกอบเป็นส่วนที่คอยเติมเต็ม สร้อยของบทกวี แทรกแซมอยู่ตามช่องว่างระหว่างซีเควนซ์ ยกเว้นฉากงานเลี้ยงและในร้านอาหาร จะไม่มีดนตรีคลอประกอบพื้นหลัง เพราะการพูดคุยสนทนา มันมีความเข้มข้น ออกอรรถรส ไม่จำเป็นต้องใช้บทเพลงใดๆบีบเค้นคั้นอารมณ์มากไปกว่านั้น
ส่วนตัวไม่รู้สึกว่างานเพลงโดยรวมของ Newman มีความน่าจดจำสักเท่าไหร่ ยกเว้นตอนจบของหนัง การมาถึงของ Phoebe สำแดงถึงวัฏจักรวงการนักแสดง ว่ายเวียนวน ภาพสะท้อนกระจกไม่รู้จักจบสิ้น ช่วยผลักดันอารมณ์ผู้ชมให้ไต่เต้าถึงจุดสูงสุด
ไฮไลท์เพลงประกอบกลับคือ ‘diegetic music’ ระหว่างงานเลี้ยง เริ่มออกอาการมึนเมา Margo บอกให้นักเปียโน Claude Stroud เล่นซ้ำอีกครั้ง และภายหลังตอนรถเสีย เปิดวิทยุ ดังขึ้นไม่กี่วินาที ก่อนได้ยินเธอพูดว่า “I detest cheap sentiment.”
บทเพลงนั้นคือ Franz Liszt: Liebesträume (1850) ภาษาเยอรมันแปลว่า Dream of Love เป็นเพลงแนว Nocturnes (สำหรับเดี่ยวเปียโนในลักษณะโรแมนติก สร้างบรรยากาศยามค่ำคืน) ทำนองเศร้าๆ เหงาๆ โดดเดี่ยวอ้างว้างของ Margot หวาดกลัวการสูญเสีย โหยหาใครสักคน ชายคนรักสำหรับพึ่งพักพิงทางกาย-ใจ
Liebesträume มีทั้งหมดสามท่อน โดยแต่ละท่อนได้แรงบันดาลใจจากสองบทกวีของ Ludwig Uhland และท่อนสุดท้ายของ Ferdinand Freiligrath ซึ่งรำพันความรักในมุมมองแตกต่างกัน, ผมขอกล่าวถึงเฉพาะท่อนที่ถูกนำมาใช้ในหนัง No. 3 มีชื่อ O Lieb, so lang du lieben kannst (1829) แปลว่า O love, as long as love you can เกี่ยวกับความรัก ความสูญเสีย แม้เธอลาจากโลกนี้ไป แต่ฉันยังคงรักเธอตราบชั่วกาลปาวสาน
| ต้นฉบับเยอรมัน | คำแปลอังกฤษ |
|---|---|
| O lieb’, solang du lieben kannst! O lieb’, solang du lieben magst! Die Stunde kommt, die Stunde kommt, Wo du an Gräbern stehst und klagst! Und sorge, daß dein Herze glüht Und Liebe hegt und Liebe trägt, Solang ihm noch ein ander Herz In Liebe warm entgegenschlägt! Und wer dir seine Brust erschließt, O tu ihm, was du kannst, zulieb’! Und mach’ ihm jede Stunde froh, Und mach ihm keine Stunde trüb! Und hüte deine Zunge wohl, Bald ist ein böses Wort gesagt! O Gott, es war nicht bös gemeint, – Der andre aber geht und klagt. O lieb’, solang du lieben kannst! O lieb’, solang du lieben magst! Die Stunde kommt, die Stunde kommt, Wo du an Gräbern stehst und klagst! Dann kniest du nieder an der Gruft Und birgst die Augen, trüb und naß, – Sie sehn den andern nimmermehr – Ins lange, feuchte Kirchhofsgras. Und sprichst: O schau’ auf mich herab, Der hier an deinem Grabe weint! Vergib, daß ich gekränkt dich hab’! O Gott, es war nicht bös gemeint! Er aber sieht und hört dich nicht, Kommt nicht, daß du ihn froh umfängst; Der Mund, der oft dich küßte, spricht Nie wieder: Ich vergab dir längst! Er tat’s, vergab dir lange schon, Doch manche heiße Träne fiel Um dich und um dein herbes Wort – Doch still – er ruht, er ist am Ziel! O lieb’, solang du lieben kannst! O lieb’, solang du lieben magst! Die Stunde kommt, die Stunde kommt, Wo du an Gräbern stehst und klagst! | O love, as long as love you can, O love, as long as love you may, The time will come, the time will come When you will stand at the grave and mourn! Be sure that your heart burns, And holds and keeps love As long as another heart beats warmly With its love for you And if someone bears his soul to you Love him back as best you can Give his every hour joy, Let him pass none in sorrow! And guard your words with care, Lest harm flow from your lips! Dear God, I meant no harm, But the loved one recoils and mourns. O love, love as long as you can! O love, love as long as you may! The time will come, the time will come, When you will stand at the grave and mourn. You will kneel alongside the grave And your eyes will be sorrowful and moist, – Never will you see the beloved again – Only the churchyard’s tall, wet grass. You will say: Look at me from below, I who mourn here alongside your grave! Forgive my slights! Dear God, I meant no harm! Yet the beloved does not see or hear you, He lies beyond your comfort; The lips you kissed so often speak Not again: I forgave you long ago! Indeed, he did forgive you, But tears he would freely shed, Over you and on your unthinking word – Quiet now! – he rests, he has passed. O love, love as long as you can! O love, love as long as you may! The time will come, the time will come, When you will stand at the grave and mourn. |
Eve. Eve, the golden girl. The cover girl. The girl next door, the girl on the moon. Time has been good to Eve. Life goes where she goes. She’s been profiled, covered, revealed, reported, what she eats and what she wears and whom she knows and where she was and when and where she’s going. Eve. You all know all about Eve.
Addison DeWitt
All About Eve (1950) แน่นอนว่าต้องเกี่ยวกับหญิงสาวชื่อ Eve Harrington มองจากมุมคนภายนอก เธอคือหญิงสาวจนๆ คนธรรมดา แต่สามารถไต่เต้าจากดินสู่ดาว (Rags-to-Riches) กลายเป็นนักแสดงประสบความสำเร็จ ชื่อเสียงโด่งดัง คว้ารางวัล Sarah Siddons Award คือจุดสูงสุดในอาชีพการงาน
แต่ตัวตนแท้จริงของ Eve Harrington ชื่อเดิม Gertrude Slojinski เป็นคนปลิ้นปล้อน กะล่อน หลอกลวง ไม่เคยแต่งงาน ไม่มีอดีตอันขื่นขม จงใจเข้าหา Margo Channing เพื่อศึกษา เรียนรู้งาน (Understudy) สบโอกาสเมื่อไหร่จักก้าวขึ้นมาแทนที่ แก่งแย่งอาชีพการงาน รวมถึงชายคนรักอีกฝ่าย ก่อนถูกสะกัดกั้นโดย Addison DeWitt จับได้ไล่ทัน กลายเป็นของกันและกัน
ในมุมของ Margo แรกเริ่มต้นไม่ได้มีความสนใจแฟนคลับคนนี้สักเท่าไหร่ แต่ถูกโน้มน้าวโดยเพื่อนสนิท Karen ยินยอมเรื่องเล่าของ Eve แล้วบังเกิดความสงสารเห็นใจ ยินยอมให้ความช่วยเหลือ ทำงานเป็นผู้ช่วยส่วนตัว แต่หลังจากสันดานธาตุแท้เปิดเผยออกมา ก็ตีตราว่าร้าย ไอ้เด็กเมื่อวานซืน อกตัญญู ไม่รู้สำนึกบุญคุณ
ในมุมของผู้กำกับ Bill Sampson (คนรักของ Margo) และนักเขียนบท Lloyd Richards (สามีของ Karen) การได้ค้นพบ Eve ผู้มีความสามารถด้านการแสดงไม่ด้อยไปกว่า Margo ราวกับค้นพบโลกใหม่ ความละอ่อนเยาว์วัย (แตกต่างจาก Margo ก้าวย่างสู่วัยกลางคน) ทำให้ความครุ่นคิดสร้างสรรค์ จินตนาการของพวกเขาเตลิดเปิดเปิงไปไกล สามารถพัฒนาบทละคอนเรื่องใหม่ๆ ไม่จำกัดอยู่ภายใต้อายุขัยของ Margo อีกต่อไป!
แต่ละตัวละครในหนังมีมุมมองต่อ Eve Harrington ที่แตกต่างกันออกไป บางคนยกย่องสรรเสริญ บางคนอคติต่อต้าน เป็นเรื่องปกติที่ทุกคนจะมีมิตร-ศัตรู (พระพุทธเจ้ายังมีพระอชาตศัตรู) ทุกสิ่งอย่างล้วนมีเบื้องหน้า-หลัง เปลือกภายนอก-จิตวิญญาณภายใน บางคนตัดสินที่วิธีการ/แรงจูงใจ บางคนสนเพียงผลลัพท์ ความคิดเห็นส่วนบุคคลไม่จำเป็นต้องตรงกับสาธารณะ
ผมในฐานะนักวิจารณ์ ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงเต็มไปด้วยอคติต่อต้าน Eve Harrington แต่ประสบการณ์เสี้ยมสอนให้กลายเป็นแบบ Addison DeWitt คืออย่าไปตัดสินถูก-ผิด ดี-ชั่ว พยายามเขียนบทความให้เป็นกลาง ชักชวนให้ผู้ชมตั้งคำถาม นำเสนอมุมมองหลากหลายด้าน … DeWitt ไม่ได้ตัดสินเธอว่าโฉดชั่วร้าย แต่มีความหลงใหลทั้งเบื้องหน้า-หลัง ชีวิตจริง-บทบาทการแสดง จะสามารถย่ำเหยียบ ก้าวถึงจุดสูงสุดได้นานเพียงใด
ในมุมของผกก. Mankiewicz หลายคนอาจมองว่าเขาคงเทียบแทนตนเองกับผู้กำกับ Bill และนักเขียนบท Lloyd ที่เต็มไปด้วยความลุ่มหลงใหลต่อเรื่องราวของ Eve, แต่ผมรู้สึกว่าวิธีการนำเสนอที่ไม่มีลูกเล่นภาพยนตร์ใดๆ เป็นการไม่แสดงความคิดเห็น ตอบไม่ได้ ต้องการชักชวนให้ผู้ชมขบครุ่นคิด ค้นหาคำตอบด้วยตนเองเสียมากกว่า!
แม้ว่าหนังเรื่องนี้จะคือ All About Eve แต่ขณะเดียวกันมันก็ All About Margo Channing ด้วยเช่นกัน! เธอคือนักแสดง Broadway มีชื่อเสียง ประสบความสำเร็จ กลายเป็นดาวดาราค้างฟ้า ถึงอย่างนั้นสังขารร่างกาย อายุอานามก้าวย่างสี่สิบ มันไม่มีทางที่เธอจะคงกระพัน อยู่จุดสูงสุดได้ตลอดกาล
ปฏิกิริยาแรกของ Margo หลังรับรู้ตัวตนแท้จริงของ Eve Harrington อาจคือโกรธเกลียดไอ้เด็กเมื่อวานซืน อกตัญญู ไม่รู้สำนึกบุญคุณ ขณะเดียวกันมันยังมีส่วนผสมความอิจฉาริษยา เพราะอีกฝ่ายหน้าตาสวยใส ละอ่อนเยาว์วัยกว่า เกิดความหวาดกลัวจะถูกแก่งแย่งอาชีพการงาน รวมถึงสูญเสียชายคนรัก
ปัญหาของ Margo อาจเรียกว่าวิกฤตวัยกลางคน (Midlife Crisis) เมื่ออายุอานามเพิ่มมากขึ้น ทำให้ขาดความเชื่อมั่นใจในตนเอง ถือเป็นวิกฤตทางจิตวิทยาที่สืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ทำให้ครุ่นคิดถึงตัวเลขอายุ ความตายหลีกเลี่ยงไม่ได้ เป้าหมายชีวิตที่ยังทำไม่สำเร็จ สิ่งเหล่านี้อาจก่อให้เกิดความตื่นตระหนก หวาดกังวล ตกอยู่ในสภาพซึมเศร้าหดหู่ เกิดความต้องการจะกลับมาอ่อนเยาว์อีกครั้ง หรือเปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิตจากปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง
(วิกฤตวัยกลางคน มันไม่สามารถระบุตัวเลขอายุเป๊ะๆ โดยเฉลี่ยอาจจะ 45-64 แต่บางคนอาจจะเกิดขึ้นได้ตั้งแต่วัยสามสิบต้นๆ)
Eve คือแรงกระตุ้นให้ Margo สำแดงอาการวิกฤตวัยกลางคน หวาดกลัวจะถูกแก่งแย่ง/สูญเสียทุกสิ่งอย่าง หลังจากระเบิดระบายอารมณ์ พูดความในใจทั้งหมดออกมา เธอก็เริ่มสามารถสงบสติ ครุ่นคิดทบทวน มันถึงเวลาที่ฉันจะต้องเปลี่ยนแปลงตนเอง โหยหาความมั่นคง ตัดสินใจแต่งงานกับ Bill หยุดพักการแสดงไปสักพัก และหลังจากนี้จะเลือกงานให้เหมาะสมกับตนเองมากขึ้น … เรียนรู้ว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรจะไปอิจฉาริษยาตาร้อนกับไอ้เด็กเมื่อวานซืนคนนั้น
นี่ไม่ใช่แค่กับ Margo แต่ยังนักแสดง Bette Davis ที่ราวกับได้ปลุกตื่น ฟื้นคืนชีพ ค้นพบทิศทางใหม่ของตนเอง การก้าวเข้าสู่วัยกลางคน หมายถึงฉันไม่จำต้องไปแข่งขันประชันใคร เป็นตัวของตนเอง เพียงเท่านี้ก็สุขใจ
ด้วยทุนสร้าง $1.4 ล้านเหรียญ เสียงตอบรับจากทั้งผู้ชมและนักวิจารณ์ระดับดียอดเยี่ยม “Universal Acclaim” สามารถทำเงินในการฉายรอบแรก $3.1 ล้านเหรียญ แม้อาจเหมือนแค่เพียงพอคืนทุน แต่พอนำออกฉายซ้ำก็กำไรล้วนๆ
ในช่วงการประกาศรางวัลปลายปี เริ่มต้นมา All About Eve (1950) ไม่ใช่ตัวเต็งเพราะพลาดรางวัล Golden Globe: Best Motion Picture – Drama ให้กับ Sunset Boulevard (1950)
- Best Motion Picture – Drama
- Best Director
- Best Actress – Drama (Bette Davis)
- Best Supporting Actor (George Sanders)
- Best Supporting Actress (Thelma Ritter)
- Best Screenplay ** คว้ารางวัล
แต่พอถึงคิวของบรรดาสหพันธ์ต่างๆ ผู้กำกับ (DGA) เขียนบท (WGA) [ตอนนั้นยังไม่มี PGA และ SAG] ปรากฎว่า All About Eve (1950) สามารถกวาดเรียบ! เลยกลายเป็นเต็งหนึ่งเข้าชิง Oscar จำนวน 14 จาก 12 สาขา สามารถคว้ามา 6 รางวัล
- Best Motion Picture ** คว้ารางวัล
- Best Director ** คว้ารางวัล
- Best Actress (Anne Baxter)
- Best Actress (Bette Davis)
- Best Supporting Actor (George Sanders) ** คว้ารางวัล
- Best Supporting Actress (Celeste Holm)
- Best Supporting Actress (Thelma Ritter)
- Best Writing, Screenplay ** คว้ารางวัล
- Best Art Direction-Set Decoration, Black-and-White
- Best Cinematography – Black-and-White
- Best Costume Design – Black and White ** คว้ารางวัล
- Best Film Editing
- Best Music, Scoring of a Dramatic or Comedy Picture
- Best Sound, Recording ** คว้ารางวัล
นอกจากนี้หนังยังคว้ารางวัลอื่นๆ อย่าง BAFTA Award: Best Film from any Source, Kinema Junpo: Best Foreign Language Film, และเมื่อตอนเข้าฉายเทศกาลหนังเมือง Cannes (เมื่อปี ค.ศ. 1951) สามารถคว้ามาอีกสองรางวัล
- Special Jury Prize (ที่สอง)
- Best Actress (Bette Davis)
กาลเวลาทำให้ All About Eve (1950) กลายเป็นภาพยนตร์คลาสสิก แต่เฉพาะในสหรัฐอเมริกาเท่านั้นนะครับ ไม่เคยติดอันดับของนิตยสาร Sight & Sound เลยสักครั้งเดียว!
- AFI: 100 Years…100 Movies (1998) ติดอันดับ #16
- AFI: 100 Years…100 Movies (10th Anniversary Edition) ติดอันดับ #28
- Writers Guild of America: 101 Greatest Screenplays (2016) ติดอันดับ #5
ปัจจุบันหนังได้รับการบูรณะ ‘digital restoraion’ คุณภาพ 4K จัดทำโดย 20th Century Fox เสร็จสิ้นเมื่อปี ค.ศ. 2019 น่าจะเป็นเรื่องท้ายๆก่อนขายกิจการให้ Walt Disney มันเลยมีแต่แผ่น DVD/Blu-Ray ของค่าย Criterion Collection (ส่วนแผ่นของ Fox มีแค่ฉบับครบรอบ 60th Anniversary เมื่อปี ค.ศ. 2011)
พล็อตเรื่องราวของ All About Eve (1950) ได้ถูกดัดแปลง กลายเป็นแรงบันดาลใจให้สื่อต่างๆมากมาย ภาพยนตร์ All About My Mother (1999), Magic Mike (2012) ฯ และที่น่าสนใจคือแวดวงมวยปล้ำของค่าย All Elite Wrestling (AEW) เมื่อครั้น Mariah May คือแฟนคลับที่กลายเป็นลูกศิษย์ (protegé) ฝึกงาน (understudy) ของ “Timeless” Toni Storm (ซึ่งได้แรงบันดาลใจจาก Norma Desmond ภาพยนตร์ Sunset Boulevard (1950)) แล้วทำการโค่นล้มอีกฝ่าย กลายเป็นแชมป์โลก AEW Women’s World Championship
All About Eve (1950) เป็นหนังเกี่ยวกับนักแสดง ขายการแสดง บทพูดที่สามารถระเบิดระบายอารมณ์ ประชันกันอย่างหน้ามืดตามัว แต่ปัญหาคือ Bette Davis เจิดจรัสเกินไปหน่อย คนอื่นๆเลยเป็นได้เพียงตัวประกอบแย่งซีน … มันไม่ใช่ All About Eve แต่คือ All About Bette Davis
ข้อถกเถียงระหว่าง All About Eve (1950) vs. Sunset Boulevard (1950) ไม่แตกต่างจาก Cristiano Ronaldo vs. Lionel Messi ต่างฝ่ายต่างยอดเยี่ยมยิ่งใหญ่เหนือกาลเวลา แต่มันขึ้นกับความชื่นชอบส่วนบุคคล ซึ่งผมค่อนไปทาง Sunset Boulevard เพราะรู้สึกว่ามีรายละเอียดภาพยนตร์น่าจดจำกว่า
“ต้องดูให้ได้ก่อนตาย” ตั้งคำถามการกระทำของ Eve Harrington เพื่อแลกกับชื่อเสียง-เงินทอง-ความสำเร็จ ไต่เต้าสู่จุดสูงสุด กลายเป็นดาวดาราค้างฟ้า วิธีการย่ำเหยียบผู้อื่น (Stepping Stone) มันถูกต้องเหมาะสมประการใด? … ในสายตาใครหลายคนอาจมองว่าไม่ใช่เรื่องผิด เช่นนั้นแล้วคุณควรตั้งอีกคำถาม อะไรคือความถูกต้องเหมาะสม? มันคุ้มค่าแล้วใช้ไหมกับทุกสิ่งอย่างสูญเสียไป?
จัดเรต 13+ กับความปลิ้นปล้อน หลอกลวง คำพูดเสียดสีแดกดัน
Leave a Reply