Dragnet Girl

Dragnet Girl (1933) Japanese : Yasujirô Ozu ♥♥♥♥

ภาพยนตร์ที่ดูไม่น่าสร้างโดย Yasujirô Ozu แต่สำแดงอิทธิพลจาก Hollywood หลงใหลคลั่งไคล้หนังอาชญากรรม ทำออกมาอย่างสไตล์ลิสต์ ติสต์แตก! การแสดงของ Kinuyo Tanaka ก็เจิดจรัสไม่แพ้กัน!

ภาพยนตร์ของผกก. Ozu หลังออกฉายในญี่ปุ่นมักถูกเก็บเข้ากรุ ไม่ค่อยมีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศเหมือน Akira Kurosawa, Kenji Mizoguchi ฯ เพราะสตูดิโอมองว่า “too Japanese” มีความเป็นญี่ปุ่นเกินไป ซึ่งนักวิจารณ์ส่วนใหญ่ก็ครุ่นคิดเห็นเช่นนั้น! จนกระทั่งช่วงกลางทศวรรษ 70s เมื่อหนังเรื่องนี้ได้รับการค้นพบ สร้างความตกตะลึง คาดไม่ถึง เพราะมันแทบไม่มีความเป็นญี่ปุ่นอยู่เลยสักนิด!

Dragnet Girl, made in 1933, was not unearthed until the mid-1970s—after the critical establishment had anointed Ozu the most sincere and serene of cinema artists, elevating him above his fellow countrymen Kenji Mizoguchi and Akira Kurosawa. Dragnet Girl is a movie filled with unexpected pleasures and inspired thrills—perhaps the greatest (for me) being the slack-jawed incredulity it induces when you discover that Ozu—His Serene Highness—once directed a Warner Bros. gangster picture.

นักวิจารณ์ Eddie Muller

ผมมีความสองจิตสองใจว่าจะรับชมหนังเรื่องนี้ไหม? เพราะครุ่นคิดว่า ‘สไตล์ Ozu’ น่าจะไม่เหมาะกับแนวหนังอาชญากรรม แต่พอเห็นการบูรณะ 4K ก็แอบตกใจ แสดงว่ามันต้องมีความโดดเด่นอะไรบางอย่าง ถึงได้รับโอกาสตัดหน้าหนังเรื่องอื่นๆ

ตัวของผกก. Ozu ก็คงรับรู้ว่าสไตล์ของตนเองไม่เหมาะกับหนังแนวนี้ แต่ด้วยความชื่นชอบหลงใหลเป็นการส่วนตัว จึงพยายามทำออกมาให้ดูผิดแผกแตกต่าง ใส่ลูกเล่น ลวดลีลา ภาษาภาพยนตร์ จนมีความสไตล์ลิสต์ ติสต์แตก … แต่ก็ยังพอพบเห็นสไตล์ลายเซ็นต์อยู่เยอะ

เกร็ด: ผกก. Ozu สร้างหนังอาชญากรรมทั้งหมดสามเรื่อง (ล้วนเป็นหนังเงียบ) Walk Cheerfully (1930), That Night’s Wife (1930) และ Dragnet Girl (1933) แต่เพราะไม่ค่อยทำเงินสัก สตูดิโอเลยไม่มีความไว้เนื้อเชื่อใจให้สร้างอีก


Yasujirô Ozu (1903-63) ผู้กำกับภาพยนตร์ สัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Fukagawa, Tokyo เป็นบุตรที่สองจากพี่น้อง 5 คน ตอนเด็กๆชอบโดดเรียนไปดูหนัง Quo Vadis (1913), The Last Days of Pompeii (1913) กระทั่งรับชม Civilization (1918) เกิดความมุ่งมั่นต้องการทำงานผู้สร้างภาพยนตร์, เรียนจบมัธยมอย่างยากลำบากเพราะเป็นเด็กหัวช้า สอบเข้ามหาวิทยาลัยแห่งไหนก็ไม่ติด โชคดีมีลุงเป็นนักแสดงสตูดิโอ Shōchiku Film Company ได้ทำงานผู้ช่วยตากล้อง ไต่เต้าขึ้นเป็นผู้ช่วยผู้กำกับ ไม่นานได้กำกับหนังเงียบเรื่องแรก Sword of Penitence (1927) น่าเสียดายฟีล์มสูญหายไปแล้ว

สำหรับ 非常線の女 อ่านว่า Hijōsen no Onna แปลตรงตัวจะประมาณว่า Woman of the Emergency Line หรือ Woman on the Line of Fire, แต่หนังเลือกใช้ชื่ออังกฤษ Dragnet Girl เพราะผกก. Ozu มีความหลงใหลภาพยนตร์ The Dragnet (1928) ของ Josef von Sternberg

เรื่องราวของหนังนำแรงบันดาลใจส่วนหนึ่งจาก Sadayuki Ogino (1901-70) แชมป์มวยสากล(ที่ได้รับการยอมรับ)คนแรกของประเทศญี่ปุ่น (ฉายา Father of Japanese Boxing) ซึ่งช่วงปลายทศวรรษ 20s เคยเล่นหนังให้กับสตูดิโอ Shōchiku (แต่ผมหาข้อมูลไม่ได้ว่าเรื่องอะไร) คาดว่าผกก. Ozu น่าจะเคยมีโอกาสพบเจอกระมัง

เกร็ด: มวย (Boxing) ถือเป็นกีฬาชนิดใหม่ของชาวญี่ปุ่น เพิ่งนำเข้าจากตะวันตกในช่วงต้นศตวรรษที่ 20th จึงถือเป็นตัวแทน(กีฬา)แฟชั่นสมัยใหม่ “Unlike the traditional Japanese sports sumo and judo, boxing was considered an international and fashionable sport.”


เรื่องราวของอดีตนักมวย Joji (รับบทโดย Joji Oka) ผันตัวมาเป็นอาชญากร ครองรักอยู่กับนักพิมพ์ดีดสาว Tokiko (รับบทโดย Kinuyo Tanaka) จนกระทั่งวันหนึ่งนักเรียนหนุ่ม Hiroshi (รับบทโดย Kōji Mitsui) แสดงเจตจำนงค์ว่าต้องการเข้าร่วมเป็นสมาชิกแก๊งค์ ทำให้มีโอกาสรับรู้จักพี่สาวของเขา Kazuko (รับบทโดย Sumiko Mizukubo) จนเกิดความสนอกสนใจ

Tokiko สังเกตเห็นพฤติกรรมของ Joji เลยตัดสินใจเผชิญหน้ากับ Kazuko คุยไปคุยมาแทนที่จะเกรี้ยวโกรธกลับกลายเป็นชื่นชอบ แล้วเกิดความครุ่นคิดอยากเปลี่ยนแปลงตนเอง ละเลิกการเป็นอาชญากร พยายามโน้มน้าวแฟนหนุ่มให้กลับตัวกลับใจ แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด!


Kinuyo Tanaka, 田中 絹代 (1909-77) นักแสดง/ผู้กำกับภาพยนตร์ สัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Shimonoseki, Yamaguchi ในครอบครัวค้าขายกิโมโน ตั้งแต่เด็กชื่นชอบการเล่นเครื่องดนตรี Biwa เคยเข้าร่วมคณะ Biwa Girls’ Operetta Troupe ต่อมาเซ็นสัญญากับสตูดิโอ Shochiku เริ่มจากมีผลงานหนังเงียบ I Graduated, But… (1929), แสดงหนังพูดเรื่องแรกของญี่ปุ่น The Neighbor’s Wife and Mine (1931) ประสบความสำเร็จล้นหลามจนหลายๆผลงานติดตามมาต้องตั้งชื่อตามอย่าง The Kinuyo Story (1930), Doctor Kinuyo (1937), Kinuyo’s First Love (1940) ฯ หลังสงครามโลกครั้งที่สองออกจากสังกัดเก่ากลายเป็นนักแสดง Freelance ทำให้มีโอกาสร่วมงานหลากหลายผู้กำกับดัง อาทิ The Life of Oharu (1952), Ugetsu (1953), Sansho the Baliliff (1954), The Ballad of Narayama (1956), Flowing (1956), Equinox Flower (1958) ฯ

เกร็ด: นิตยสาร Kinema Junpo จัดอันดับ Movie Star of the 20th Century ฝั่งนักแสดงหญิงของประเทศญี่ปุ่น Kinuyo Tanaka #ติดอันดับ 5

เบื้องหน้าคือนักพิมพ์ดีดสาว Tokiko ที่ถูกหมายปองโดยบุตรเจ้าของบริษัท พยายามปรนเปรอด้วยเครื่องประดับ คาดหวังจะแต่งงานครองรัก แต่เบื้องหลังเธอคือนางแมวร่านสวาท ครองรักอยู่กับแฟนหนุ่ม Joji โหยหาความตื่นเต้นเร้าใจ จนกระทั่งได้พบเจอ Kazuko ครุ่นคิดอยากกลับตัวกลับใจ ถึงเวลาเพียงพอสักกับชีวิตล่องลอยไร้แก่นสาน

Tanaka คือนักแสดงขาประจำคนแรกของผกก. Ozu แต่เพราะผลงานส่วนใหญ่สูญหาย (Lost Film) ผู้ชมสมัยใหม่เลยไม่มีโอกาสรับชมความสามารถ จดจำจากจากการร่วมงาน Kenji Mizoguchi ช่วงทศวรรษ 50s เสียมากกว่า!

นักแสดงหญิงยุคสมัยนั้น มักได้รับบทแม่บ้านศรีเรือน ปฏิบัติตามขนบวิถีทางสังคมญี่ปุ่นอย่างเคร่งครัด! Tanaka คือนักแสดงคนแรกๆ(ของญี่ปุ่น)ที่หาญกล้าพลิกบทบาทจากหน้าเป็นหลัง! Dragnet Girl (1933) เบื้องหน้ายังทำตัวเรียบร้อยดั่งผ้าพับไว้ แต่ลับหลังเต็มไปด้วยความระริกระรี้ ไม่ชอบให้ใครมาจู้จี้จุกจิก ยุ่งย่ามก้าวก่ายชายคนรัก แสดงความหึงหวง อิจฉาริษยา โหยหาความตื่นเต้นเร้าใจ

การได้พบเจอ Kazuko แม้แรกเริ่มเต็มไปด้วยความรังเกียจเดียดฉันท์ ชักปืนขึ้นมาข่มขู่ แต่พออีกฝ่ายไร้ปฏิกิริยาโต้ตอบ สำแดงความบริสุทธิ์จริงใจ นั่นทำให้ Tokiko ตกหลุมรักแรกพบ แถมยังทิ้งรอยจุมพิต Kazuko (กลิ่นอาย BiSexual) ก่อนกลับมาครุ่นคิด รู้สึกเพียงพอแล้วกับการทำสิ่งผิดกฎหมาย อยากเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ลงหลักปักฐาน แต่งงานมีลูกมีหลาน จึงพยายามโน้มน้าวชายคนรักให้ร่วมกันกลับตัวกลับ

ตั้งแต่ที่ผมรับชมหนังเงียบสัญชาติญี่ปุ่น ไม่เคยรับรู้สึกว่ามีนักแสดงหญิงคนไหนโดดเด่นเป็นพิเศษ จนกระทั่งมาพบเจอ Tanaka เธอคือบุคคลแรกๆที่หาญกล้าทำสิ่งแตกต่าง ตัวละครปฏิเสธทำตามขนบวิถีทางสังคม นั่นสร้างความเจิดจรัส รัศมีเปร่งประกาย ไม่มีใครไหนสามารถเทียบเคียง สมฉายา “First Lady of Japanese Cinema”


Joji Oka, 岡譲司 ชื่อจริง Katsuzo Nakamizo, 中溝 勝三 (1902-70) นักแสดงสัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Echizenbori, Tokyo บิดาเป็นผู้บริหารธนาคาร Shizuoka Sanjyu-go Ginkō (ปัจจุบันกลายมาเป็น Shizuoka Bank), วัยเด็กใฝ่ฝันอยากเป็นจิตรกร แต่เลือกเรียนบริหารธุรกิจ Rikkyo University ทำงานแผนกโฆษณาค่ายเพลง Nipponophone (ปัจจุบันคือ Nippon Columbia) ไต่เต้าจนกลายเป็นผู้จัดการ แล้วลาออกมาทำงานแผนกศิลป์สตูดิโอ Nikkatsu ก่อนย้ายมาเป็นนักแสดงในสังกัด Shochiku ผลงานเด่นๆ อาทิ No Blood Relation (1932), Dragnet Girl (1933) ฯ

รับบทอดีตนักมวยชื่อดัง Joji ผันตัวมาเป็นอาชญากร ได้รับนับหน้าถือตากจากพวกพ้อง แต่หลังจากพบเจอ Kazuko ที่คอยดูแลเอาใจใส่น้องชายไม่เอาอ่าว Hiroshi บังเกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้นภายใน สร้างความเข้าใจผิดต่อแฟนสาว Tokiko จนมีปากเสียงทะเลาะเบาะแว้ง พอหวนกลับมาคืนดีก็เริ่มครุ่นคิดอยากกลับตัวกลับใจ ลงมือโจรกรรมครั้งสุดท้าย!

การแสดงของ Oka อาจไม่ได้เจิดจรัสเทียบเท่า Tanaka แต่เป็นนักแสดงที่ภาพลักษณ์ผู้นำ หน้าตาหล่อเหลา อกผายไหล่ผึ่ง ร่างกายบึกบึนกำยำ ใครดีมาดีตอบ ร้ายมาร้ายตอบ ไม่หวาดกลัวเกรงผู้ใด เรื่องชกต่อยไม่เคยพ่ายแพ้ใคร ถึงอย่างนั้นเรื่องเกี่ยวหญิงสาวกลับมีอารมณ์อ่อนไหว โหยหาความรักความห่วงใย ลึกๆคงไม่อยากเลือกเส้นทางอาชญากรรม พอเห็นภาพสะท้อนตนเองกับ Hiroshi & Kazuko เลยมิอาจหักห้ามใจ

หนังไม่ได้อธิบายเบื้องหลังตัวละครนี้ แต่ผมติดใจคำพูดของ Joji บอกกับ Hiroshi ว่า “Your sister is all you have!” มันราวกับเขาเคยมีญาติพี่น้อง แล้วปัจจุบันสูญเสียพวกเขาเหล่านั้นไป เลยไม่อยากให้ดำเนินรอย นั่นน่าจะคือเหตุผลการยินยอมเสียสละตนเอง ก่อการโจรกรรมครั้งสุดท้าย … ปากพยายามพูดขับไล่ ตำหนิต่อว่า แต่จิตใจคงเอ็นดูห่วงใยเหมือนน้องชาย & น้องสาวเสียมากกว่า


นักแสดงอีกคนที่ต้องกล่าวถึงก็คือ Sumiko Mizukubo, 水久保 澄子 ชื่อจริง Tatsuko Ogino, 荻野 辰子 (1916-) นักแสดงสัญชาติญี่ปุ่น มักได้รับการเปรียบเทียบกับ Sylvia Sidney เกิดที่ Meguro-ku, Tokyo ยังไม่ทันเรียนจบมัธยม เข้าร่วมสตูดิโอ Shōchiku เมื่อปี ค.ศ. 1930 เริ่มมีผลงานตั้งแต่ปี ค.ศ. 1932 อาทิ Apart from You (1933), Dragnet Girl (1933) ฯ

รับบท Kazuko พี่สาวแสนดี เรียบร้อยดั่งผ้าพับไว้ ทำงานร้านขายแผ่นเสียง คอยส่งเสียน้องชายให้เรียนจบ แต่เขากลับนำเงินไปเที่ยวเตร่ สำมะเลเทอมา เข้าร่วมกลุ่มอันธพาล เธอจึงพยายามปกป้อง ทำทุกสิ่งอย่างเพื่อไม่ให้เขาเลือกเส้นทางชีวิตผิดๆ เผชิญหน้ากับ Joji & Tokiko โดยไร้ความหวาดกลัวเกรง

Mizukubo เป็นนักแสดงที่มีความบริสุทธิ์ผุดผ่อง หน้าตาสดใส (แม้จะดูเคร่งเครียดเพราะน้องชายไม่เอาอ่าว) จิตใจอ่อนโยน ราวกับแม่พระมาโปรด ใครพบเจอย่อมรู้สึกเอ็นดูรักใคร่ ก็เหมือนกับตัวละคร Joji & Tokiko ทำให้ชีวิตของพวกเขาปรับเปลี่ยนแปลงไป อยากกลับตัวกลับใจ โดยมีเธอคนนี้เป็นต้นแบบอย่าง

แต่ชีวิตจริงของ Mizukubo ไม่ได้บริสุทธิ์สดใสขนาดนั้น เพราะช่วงปี ค.ศ. 1935 เธอแต่งงานกับนักเรียนแพทย์ชาว Filipino ทิ้งโปรเจคกำลังถ่ายทำอยู่เดินทางสู่ Philippines (อย่าลืมว่าทศวรรษนั้นญี่ปุ่นเป็นประเทศชาตินิยมสุดโต่ง รับไม่ได้กับการแต่งงานชาติพันธุ์อื่น) ก่อนค้นพบว่าตนเองโดนสามีหลอก จำต้องทอดทิ้งบุตรไว้เบื้องหลัง พอเดินทางกลับญี่ปุ่นก็ไม่มีใครไหนอยากว่าจ้างงาน (ถูก Blacklist) จากหญิงสาวบริสุทธิ์สดใส กลับกลายเป็น …


ถ่ายภาพ/ตัดต่อโดย Hideo Shigehara, 茂原英雄 (1905-67) สัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Myoko City, Niigata Prefecture ครอบครัวเป็นเจ้าของกิจการโรงแรม พออายุ 17 เดินทางสู่กรุง Tokyo เข้าร่วมสตูดิโอ Shochiku แล้วกลายเป็นตากล้องขาประจำของผู้กำกับ Yasujirô Ozu ตั้งแต่ Dreams of Youth (1928) จนถึง What Did the Lady Forget? (1937) ก่อนรีไทร์จากวงการภาพยนตร์

งานภาพของหนังแม้พอสังเกตเห็น ‘สไตล์ Ozu’ อยู่บ้างอย่าง ตั้งกล้องต่ำกว่าระดับสายตา (Tatami Shot), เวลาสนทนาถ่ายภาพหน้าตรง (ไม่มี Over-the-Shoulder หรือ Short Over), บ่อยครั้งเลือกทิศทาง Isometric พยายามจัดวางนักแสดงเฉียงๆ ไม่ให้เกิดการซ้อนทับใบหน้า ฯ

แต่ทว่า Dragnet Girl (1933) แพรวพราวด้วยลูกเล่นภาพยนตร์ เต็มไปด้วยการขยับเคลื่อนเลื่อนกล้อง เก็บรายละเอียดการกระทำ ร้อยเรียงชุดภาพ Montage รวมถึงละเล่นกับแสงสว่าง-เงามืด ฯ เหล่านี้สร้างความผิดแผกแปลกประหลาด รู้สึกแตกต่างจาก ‘สไตล์ Ozu’ โดยปกติทั่วไป

ใครเคยรับชมหลายๆผลงานของผกก. Ozu ในยุคหนังเงียบ อาจไม่รู้สึกว่าหนังมีความผิดแผกแตกต่างจากปกติมากนัก แต่เมื่อเทียบกับหนังพูด หรือยุคหลังสงครามโลก (Post-War) ย่อมสังเกตได้แทบจะโดยทันที Dragnet Girl (1933) แทบจะไม่มีความเป็นญี่ปุ่นหลงเหลือ … มีเพียง Kazuko สวมใส่กิโมโน แสดงความเป็นแม่บ้านศรีเรือน นอกเหนือจากนั้นล้วนรับอิทธิพลชาติตะวันตก (Western) มาทั้งหมดทั้งสิ้น


หมวกใบหนึ่งหล่นลงพื้น มันอาจชวนนึกถึงสำนวนลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น แต่เรื่องราวของหนังไม่ได้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ครอบครัว ในบริบทนี้ผมมองว่าน่าจะสื่อถึงการเป็นบุคคลนอกคอกของ Joji & Tokiko หรือภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ไม่ได้ดำเนินรอยตาม ‘สไตล์ Ozu’ พยายามทำออกมาให้มีความแตกต่าง ไม่สามารถจัดวางเรียงเคียงอยู่กับผลงานอื่นๆ

เงาลอดผ่านบานเกร็ดอาบฉาบฝาผนัง แลดูราวกับซี่กรงขัง ซีเควนซ์นี้อยู่ระหว่างช่วงเวลาทำงานในบริษัท สามารถสื่อถึงลูกจ้างที่ไม่ต่างจากนักโทษ หรือคือชีวิตไร้ซึ่งอิสรภาพ จำต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบข้อบังคับ … แอบนึกว่าหนังนัวร์นะเนี่ย!

ใครที่รับชมหนังเงียบของผกก. Ozu มาหลายๆเรื่อง น่าจะจดจำลีลาการเคลื่อนเลื่อนกล้องไปตามโต๊ะทำงาน พานผ่านผู้คนก้มหน้าก้มตา ชีวิตไร้ซึ่งอิสรภาพ ตอนเป็นเด็ก-ผู้ใหญ่ แทบไม่มีอะไรปรับเปลี่ยนแปลงไป

ในค่ายมวย Toa Boxing Clubจะพบเห็นโปสเตอร์หนังมวย The Champ (1931) กำกับโดย King Vidor, และอีกเรื่องผมไม่แน่ใจว่า Rich Man’s Folly (1931) ของ George Bancroft หรือเปล่า? แต่ใบหน้าไม่ผิดแน่ และยังเป็นนักแสดงรับบทนำ Underworld (1927) และ The Drag Net (1928) สองหนังเงียบของ Josef von Sternberg ที่เป็นแรงบันดาลใจของหนังเรื่องนี้!

เกร็ด: หนังได้รับการสนับสนุนจากสมาพันธ์ 帝国拳闘会 (Teikoku Kento Kai) แปลว่า Imperial Boxing Society ค่ายมวยแห่งนี้คงเป็นหนึ่งในสาขากระมัง?

ไม่รู้ทำไมชุดเดรสของ Tokiko ชวนให้ผมนึกถึงรูปปั้นแกะสลัก Venus de Milo ที่แขนแตกหักทั้งสอง (อาจเพราะถุงมือสีดำ เลยทำให้รู้สึกเหมือนมือสูญหาย) เธอผู้นี้มีความงดงาม ราวกับเทพีความรัก แต่ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ (= Tokiko คือผู้หญิงสวย แต่พฤติกรรมของเธออาจถือว่าสิ่งทำให้ด่างพร้อย)

เป็นการเริ่มต้นซีเควนซ์ใหม่ที่เจ๋งมากๆ เพราะนี่คือหนังเงียบ ผู้ชมไม่ได้ยินเสียง แต่การพบเห็นดีดเชลโล่อยู่ดีๆ มีโชว์หมุนเครื่องดนตรี แล้วกล้องเคลื่อนไหลพานผ่านกลอง แซกโซโฟน (บอกได้ว่านี่วงดนตรี Jazz) และผู้คนกำลังเริงระบำ ช่วยสร้างจังหวะ ความสนุกสนาน แม้ไม่ได้ยินเสียงแต่ยังรู้สึกตื่นเต้นเร้าใจ

ใครสักคนกำลังจะสร้างปัญหา Joji จึงเรียกไปจัดการด้านหลัง หนังไม่ฉายให้เห็นว่าพวกเขาทำอะไร (คงเกิดการต่อสู้ชกต่อย) เพียงปฏิกิริยาของผู้คน หันซ้ายหันขวา แสดงความอยากรู้อยากเห็น ทำออกมาได้อย่างพร้อมเพรียง สร้างความตลกขบขันเล็กๆ ก่อนที่ Tokiko จะบอกลูกน้องไปสั่งให้วงดนตรีบรรเลงเพลง กลบเกลือนเสียงการต่อสู้

ลีลาการนำเสนอแตกต่างตรงกันข้ามกับตอน Hiroshi เกิดความขัดแย้งกับนักสนุกเกอร์โต๊ะข้างๆ หนังถ่ายให้เห็นฉากการต่อสู้ ชกต่อยอย่างตรงไปตรงมา (มีถ่ายภาพปฏิกิริยาคนรอบข้างแค่เพียงตอนเริ่มต้นได้ยินเสียงทะเลาะวิวาท) นี่อาจสะท้อนถึงระดับการต่อสู้ ในกรณีของ Jojo นำเสนออย่างมีชั้นเชิง สไตล์ลิสต์ ขณะที่ Hiroshi ตะลุมบอนไม่ต่างจากนักเลงข้างถนน!

นี่คือโปสเตอร์ฝรั่งเศสของ All Quiet on the Western Front (1930) ประเด็นคือมันติดอยู่ยังอพาร์ทเม้นท์ของ Hiroshi & Kazuko แถมมีสภาพยับยู่ยี่ ราวกับพานผ่านสงครามมาจริงๆ ซึ่งสามารถสะท้อนถึงการต่อสู้ระหว่างพี่น้อง เต็มไปด้วยความขัดแย้ง ครุ่นคิดเห็นต่าง ทะเลาะวิวาทไม่เว้นวัน

ภาพนี้สำแดงความขัดแย้ง แตกต่างตรงกันข้ามระหว่างพี่สาว-น้องชาย ได้อย่างงดงามมากๆ

  • พี่สาว Kazuko สวมใส่กิโมโนสีอ่อน แสงสว่าง(จากบนศีรษะ)อาบฉาบทั้งร่างกาย นั่งพับเพียบอย่างสุภาพเรียบร้อย กระทำสิ่งถูกต้องเหมาะสม ไม่มีอะไรให้รู้สึกอับอาย
  • ตรงกันข้ามกับน้องชาย Hiroshi สวมใส่ชุดสีเข้มๆ ปกคลุมอยู่ในเงามืด นั่งอยู่บนโต๊ะทำตัวกร่าง ครุ่นคิดว่าตนเองเจ๋ง เก่ง เหนือกว่าพี่สาว แต่ลับหลังกลับเที่ยวเตร่ ทำตัวเหมือนนักเลงหัวไม้ ทำแต่เรื่องน่าอับอาย

เมื่อตอนใครสักคน(ยังไม่รับรู้ว่าคือ Kazuko)แวะเวียนมาหา Jojo เพื่อนร่วมแก๊งค์ต่างครุ่นคิดมากกันไปเองว่าอาจเป็นสารพัดคู่อริ “Iron Heart” Sada, “Mako” Kobayashi, “Eight Card” Seiko เหล่านี้น่าจะคืออาชญากรมีชื่อเสียงในญี่ปุ่น แต่สิ่งที่ผมอยากให้สังเกตคือวิธีการนำเสนอ ปรากฎชื่อก่อนฉายภาพผู้พูด นี่สอดคล้องเข้ากับโครงสร้างภาษาญี่ปุ่น

เกร็ด: โครงสร้างภาษาโดยทั่วไป “I love you.” (Subject + Verb + Object) แต่ชาวญี่ปุ่นมักพูดประมาณว่า “I, You love” (Subject + Object + Verb) มักเอากิริยาไว้หลังสุด ซึ่งแกรมม่าภาพยนตร์ก็คือการนำเอาภาพเหตุการณ์ ปรากฎขึ้นหลังจากข้อความ/ประโยคพูดนั่นเอง!

ไม่ใช่ว่า Joji หวนกลับมาซ้อมมวย แต่หลังจากต่อยสั่งสอน Hiroshi ที่ทำให้พี่สาว Kazuko อุตส่าห์มารอรับร่ำร้องไห้ นี่คือการระเบิดระบายอารมณ์ แสดงความไม่พึงพอใจไอ้เด็กเมื่อวานซืนคนนั้น ทำไมถึงไม่รู้จักครุ่นคิดถึงหัวอกคนผู้อื่น โชคดีขนาดไหนยังมีสมาชิกครอบครัวเหลืออยู่

หลังจาก Joji ระบายอารมณ์กับการชกนวม จู่ๆปรากฎภาพเรือสำราญนี้อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย? แถมไม่มีซีเควนซ์ไหนของหนังเกี่ยวกับท่าเรือ ขึ้นเรือ แล้วมันอิหยังว่ะ? แต่ถ้าเราวิเคราะห์ในเชิงสัญลักษณ์ของการออกเดินทาง เริ่มต้นชีวิตใหม่ มันก็สอดคล้องความรู้สึกของ Joji หลังจากเหตุการณ์เมื่อคืนทำให้บางสิ่งอย่างภายในจิตใจปรับเปลี่ยนแปลงไป

เมื่อตอนที่น้องชาย Hiroshi แวะเวียนมายืมเงินพี่สาว Kazuko ที่ร้านขายแผ่นเสียง ภาพแรกของซีเควนซ์เขายืนอยู่ภายนอก พบเห็นสติ๊กเกอร์ร้านกลับหลัง และพอเข้ามาภายในก็ถ่ายจากหน้าร้านเข้ามา, ในทิศทางตรงกันข้ามกับ Joji ที่ภาพแรกอยู่ในร้าน กำลังฟังเพลง พบเห็นสติ๊กเกอร์ด้านหน้า รวมถึงมุมกล้องภายในร้านก็ถ่ายจากอีกฟากฝั่งหนึ่ง เฉกเช่นเดียวรูปปั้นเจ้าสุนัขใน (จากอยู่ฝั่งซ้าย ย้ายมาฝั่งขวาของภาพ)

ความกลับตารปัตรดังกล่าวสะท้อนถึงสถานะของ Hiroshi vs. Joji น้องชายสนเพียงเงินทอง สิ่งภายนอก แต่ชายแปลกหน้าคนนี้หลงใหลสินค้า แผ่นเสียง และตัวตน/ความงดงามทางจิตใจของหญิงสาว

ย้อนรอยกับเมื่อตอน Jojo พบเจอกับ Kazuko ที่ฝ่ายหญิงโทรศัพท์เรียกเขามาพบเจอยามวิกาล รายล้อมรอบด้วยตึกสูง พยายามโน้มน้าวให้เขาปลดปล่อยน้องชาย Hiroshi ได้รับคำตอบว่าอีกฝ่ายคือคนเลือกเอง

ตรงกันข้ามกับ Tokiko เดินทางไปเรียกตัว Kazuko ที่ร้านขายแผ่นเสียงยามกลางวัน พาออกมายังบริเวณเนินเขา มองไปเห็นทิวทัศน์เมืองเบื้องล่าง (Jojo & Tokiko ต่างสวมสูทปกปิดสิ่งชั่วร้ายภายใน, ขณะที่ Kazuko สวมใส่กิโมโน แต่เปลี่ยนเสื้อคลุมนอกขาว→ดำ) พยายามโน้มน้าวให้อีกฝ่ายเลิกยุ่งเกี่ยวกับ Jojo แต่เธอไม่ได้ครุ่นคิดหรือมีความสัมพันธ์อะไรแบบนั้น

การสนทนาของสองสาว เริ่มต้นจากฟากฝั่งถนนหนึ่ง พูดคุยแนะนำตัว แล้วพอ Tokiko กล่าวว่า “Chance are, we’re enemy” แล้วเธอก็เดินข้ามถนน เพื่อสื่อถึงความเปลี่ยนแปลงในความสัมพันธ์/หัวข้อสนทนา หลังจากนี้จักกลายเป็นการข่มขู่ คุกคาม ชักปืนขึ้นมาจะยิง

ตอนที่ทั้งสองเริ่มต้นสนทนา พื้นหลังภาพถ่ายของพวกเธอจะติดต้นไม้สูงใหญ่, แต่พอเดินข้ามถนน ฟากฝั่ง Tokiko จะเปลี่ยนเป็นรั้วเหล็ก สิ่งก่อสร้าง แสดงถึงความแตกต่างตรงกันข้ามระหว่างธรรมชาติ vs. สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น สามารถสะท้อนถึง Kazuko ดำเนินเดินทางวิถีทางธรรมชาติ, Tokiko เลือกชีวิตที่สร้างขึ้นด้วยเงื้อมมือของตนเอง

ในบริบทของหนังมันอาจแค่การหอมแก้ม/จุมพิตตามประสาพี่ๆน้องๆทั่วๆไป แต่ผู้ชมสมัยใหม่สามารถวิเคราะห์ถึงความรู้สึกหญิง-หญิง (เลสเบี้ยน) เพราะมันสะท้อนอิสรภาพ(ทางเพศ)ของ Tokiko ทำไมต้องอยู่ภายใต้กฎกรอบสังคม พบเห็นการแสดงออกด้วยจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ของ Kazuko ก็แทบมิอาจหักห้ามใจตนเอง … นี่จะช่วยเติมเต็มความรู้สึกของ Jojo ที่มีต่อ Kazuko ส่งผลกระทบต่อ Tokiko ให้เกิดความต้องการปรับเปลี่ยนแปลงตนเองเฉกเช่นเดียวกัน

แซว: Tokiko เป็นคนชักปืนออกมาข่มขู่ ปืนคือสัญญะแทนอวัยวะเพศชาย ในบริบทนี้ย่อมหมายถึง xxx

พอกลับมาอพาร์ทเม้นท์ Tokiko มีท่าทางร่าเริงสดใส (ตรงกันข้ามกับ Jojo ที่ดูมืดหม่น) เธอนำเอาไหมพรมมาให้แฟนหนุ่มช่วยม้วนกลมๆ คงจะอยากถักนิตติ้ง (Knitting) … มันคงคือสัญลักษณ์ความเป็นสตรีเพศ/แม่ศรีเรือนของชาวญี่ปุ่นกระมัง?

แซว: การม้วนไหมพรม ถักนิตติ้ง ถุงเท้าขาดเป็นรู ฯ คือสัญญะพบบ่อยไม่ใช่แค่หนังของผกก. Ozu แต่เหมาทั้งสตูดิโอ Shōchiku จนไม่รู้ใครคือผู้เริ่มต้น

แต่ทว่า Jojo ดูไม่ค่อยประทับใจความพยายามเป็นแม่ศรีเรือนของแฟนสาวสักเท่าไหร่ จึงเดินไปทำเหมือนซ้อมมวย ต่อยนวม แต่แท้จริงแล้วคือการระบายอารมณ์อัดอั้น Tokiko จึงเข้ามายืนด้านหลัง … นี่สามารถสื่อถึง Tokiko/สตรีเพศ = นวม อุปกรณ์สำหรับระบายอารมณ์ของบุรุษ

นี่อาจดูเป็นการกระทำไร้สาระ! Jojo สั่งแก้วจากพนักงานบาร์ แล้วหยิบมาทุบให้แตกทีละใบ จริงๆมันควรเป็นการระเบิดระบายอารมณ์อัดอั้นอย่างรุนแรง แต่หนังเพียงนำเสนอในเชิงสัญลักษณ์ (ไร้อารมณ์ร่วมโดยสิ้นเชิง) ถึงหัวใจแตกสลาย เจ็บปวดรวดร้าว ผิดหวังในความสัมพันธ์แฟนสาว Tokiko

Tokiko แวะเวียนไปที่ร้านประจำแล้วได้พบเจอบุตรชายเจ้าของบริษัท ชักชวนมาที่ห้องพัก ภาพแรกสังเกตว่าเขายืนบดบังหญิงสาว นั่นเป็นสิ่งไม่พบเห็นบ่อยนักในหนังของผกก. Ozu (พยายามไม่ให้ใบหน้าตัวละครซ้อนทับ) นั่นแสดงว่าต้องการสื่อถึงอิทธิพล อำนาจมืดของชายคนนี้ สนเพียงครอบครอง เป็นเจ้าข้าวเจ้าของหญิงสาว

หลังจากคำป้อยอของบุตรชายเจ้าของบริษัท ว่าจะปรนเปรอนิบัติ ยินยอมรับเธอได้ทุกสิ่งอย่าง มุมกล้องมีการสลับเปลี่ยนทิศทางจากถ่ายเข้ามาภายใน เป็นหันออกไปทางหน้าต่าง นี่น่าจะสื่อถึงช่วงเวลาโล้เล้ลังเล สองจิตสองใจของ Tokiko เพราะตนเองเพิ่งเลิกราแฟนหนุ่ม สามารถตอบตกลง ยินยอมเป็นนกในกรง

แต่พอเธอเดินไปตรงหน้าต่าง เหม่อมองภายนอกห้อง (ไม่รู้ฟากฝั่งตรงข้ามคืออพาร์ทเม้นท์ของ Jojo หรือเปล่า) คงเกิดความตระหนักถึงบางสิ่งอย่าง โหยหาอิสรภาพชีวิต ไม่ต้องการเป็นนกในกรงขังใคร จึงตอบปฏิเสธ ถอดแหวนถอดสร้อย แล้วหวนกลับหาชายคนรัก

ผมเริ่มขี้เกียจลงรายละเอียด ‘Mise-en-scène’ ส่วนที่เหลือจะกล่าวถึงเฉพาะสิ่งน่าสนใจ อย่างการคืนดีระหว่าง Jojo & Tokiko มีการถ่ายภาพพื้นห้องที่เต็มไปด้วยสิ่งข้าวของ (เขวี้ยงขว้างกันตอนเลิกรา) คล้ายๆกับตอนหอมแก้ม Kazuko ยุคสมัยนั้นแม้ชาย-หญิงชาวญี่ปุ่นยังฉายภาพการจุมพิตไม่ได้ด้วยซ้ำ!

อีกสิ่งน่าสนใจคือไหมพรม ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้มันสีขาวหรอกเหรอ? เหตุไฉนคราวนี้กลับกลายเป็นสีดำ? แต่มันสามารถสะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลง กลับตารปัตรตรงกันข้าม จากเคยเลิกรา-หวนกลับมาคืน

รอบแรก Kazuko แวะเวียนมาติดตามหาน้องชาย ไม่รู้หายตัวไปไหนไม่ยอมกลับบ้าน, รอบหลัง Hiroshi แวะเวียนมาสอบถามถึงพี่สาว และยังกล่าวถึงการติดหนี้ติดสิน ไม่มีเงินให้ชดใช้ เลยถูก Jojo โต้ตอบด้วยการต่อยหน้า แบบเดียวกับฉากก่อนหน้านี้ไปอีกหนึ่งฉาด! … ผมนำสองภาพนี้ที่มุมกล้องเดียวกันเป๊ะ แต่หลายๆสิ่งอย่างมีความแตกต่างตรงกันข้าม

นี่น่าจะเป็นมุมกล้องผิดแผกแปลกประหลาดที่สุดในหนังของผกก. Ozu หลังการโจรกรรมบริษัทที่ทำงานของ Tokiko ระหว่างกำลังหลบหนี ถ่ายภาพด้านหลังไฟหน้ารถ พบเห็นภาพสะท้อนตาปลา (Fisheye) รวมถึงกล้องถ่ายภาพยนตร์

สองพี่น้อง Hiroshi & Kazuko พอตระหนักว่า Jojo มอบเงินสด รีบตรงไปเปิดหน้าต่าง (โดยปกติหน้าต่างมันจะมีช่องๆที่ดูเหมือนกรงขัง แต่พอ Hiroshi เลื่อนขึ้นบน ก็สามารถสื่อถึงการปลดปล่อยสู่อิสรภาพ ไม่ต้องติดหนี้ติดสินอีกต่อไป) พบว่าอีกฝ่ายวิ่งหนีไปทางระหว่างตึกแคบๆ (สื่อถึงการกำลังถูกตำรวจไล่ล่า ห้อมล้อมจับกุม) และพอตัดภาพกลับมาหาสองพี่น้อง จู่ๆไฟเหนือศีรษะพลันสว่างไสว (=พบเจอแสงสว่าง หนทางเอาตัวรอด และเริ่มต้นชีวิตใหม่)

Tokiko ชักปืนขึ้นมาทั้งหมดสามครั้ง ตอนเผชิญหน้ากับ Kazuko (ไม่ได้ยิงแถมตกหลุมรักอีกฝ่าย), บุตรชายเจ้าของบริษัท (ขณะปล้นเงิน ไม่ได้รัก ไม่ได้ลั่นไกเช่นกัน) และครั้งนี้กับแฟนหนุ่มที่รักมากๆ Jojo พื้นหลังปกคลุมด้วยความมืดมิด ตัดสินใจเหนี่ยวไกเพื่อให้เขาล้มเลิกแผนการหลบหนี เข้ามอบตัวกับตำรวจ ยินยอมติดคุกติดตาราง ชดใช้ความผิดที่ก่อ แล้วพอได้รับการปล่อยตัวออกมา จักสามารถเริ่มต้นชีวิตใหม่

ผมพยายามมองหาอยู่นาน Chishū Ryū คือนักแสดงขาประจำที่มักปรากฎตัวในหนังของผกก. Ozu แทบจะทุกเรื่อง คราวนี้รับบทเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจค้นอพาร์ทเม้นท์ของ Joji & Tokiko ขณะนี้คือเสร็จสิ้นภารกิจเสียที!

ตัดต่อโดย Kazuo Ishikawa, Minoru Kuribayashi

ส่วนใหญ่ของหนังดำเนินเรื่องผ่านมุมมองของ Tokiko พานชีวิตเบื้องหน้า (พนักงานพิมพ์ดีด) เบื้องหลัง (ครองรักกับแฟนหนุ่มอาชญากร Joji) การมาถึงของ Hiroshi & Kazuko แรกเริ่มเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา ครุ่นคิดว่าอีกฝ่ายพยายามจะแก่งแย่งชายคนรัก แต่พอได้รับรู้จักทำให้ทุกสิ่งอย่างพลิกกลับตารปัตร ถึงขนาดโน้มน้าว Joji ให้ละเลิกวิถีอาชญากรรม แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่

  • ชีวิตเบื้องหน้าหลังของ Tokiko
    • เบื้องหน้าทำงานบริษัท ถูกเกี้ยวพาราสีโดยบุตรชายเจ้าของบริษัท
    • หลังเลิกงานเดินทางไปหาชายคนรัก Jojo ที่ค่ายมวย
    • Tokiko & Jojo แวะเวียนมายังผับบาร์
      • Jojo สะสางปัญหาบุคคลก่อความวุ่นวาย
    • นักเรียนหนุ่ม Hiroshi แสดงเจตจำนงค์ต้องการเข้าร่วมแก๊งของ Jojo
  • Hiroshi และพี่สาว Kazuko
    • Hiroshi แวะเวียนมายังร้านขายแผ่นเสียงของพี่สาวเพื่อขอหยิบยืมเงิน
    • แต่ทว่า Hiroshi กลับไปเล่นสนุกเกอร์ มีเรื่องทะเลาะวิวาทกับโต๊ะตรงข้าม
    • กลับบ้านดึกดื่น ถูกพี่สาวตำหนิต่อว่า
    • Kazuko เดินทางไปหา Jojo ที่ค่ายมวย ขอความช่วยเหลือเรื่อง Hiroshi
    • Jojo ต่อยหน้า Hiroshi ไล่ให้กลับบ้านไปกับพี่สาว
  • ความอิจฉาริษยาของ Tokiko
    • Jojo แวะเวียนไปยังร้านขายแผ่นเสียงของ Kazuko
    • Tokiko เกิดความอิจฉาริษยา Kazuko จึงตระเตรียมอาวุธปืนไปเผชิญหน้า
    • แต่พบนัดพบเจอกลับกลายเป็น Tokiko เกิดความประทับใจในตัว Kazuko
    • กลับมาอพาร์ทเม้นท์ Tokiko มีเรื่องทะเลาะกับ Jojo เลยตัดสินใจเก็บข้าวของออกจากห้อง
    • Tokiko บังเอิญพบเจอบุตรชายเจ้าของบริษัท เขายื่นขอเสนอแต่งงาน แต่เธอตอบปฏิเสธ
    • หวนกลับมาอพาร์ทเม้นท์ Tokiko คืนดีกับ Jojoโน้มน้าวให้เขาละเลิกการเป็นอาชญากร
  • การโจรกรรมครั้งสุดท้าย
    • Tokiko (และ Jojo) กลับมาที่บริษัทเพื่อทำการโจรกรรมครั้งสุดท้าย
    • พยายามหลบหนีแต่ถูกตำรวจไล่ล่าติดตาม
    • Tokiko โน้มน้าวให้ Jojo เข้ามอบตัว ติดคุกไม่กี่ปีเดี๋ยวก็ได้รับการปล่อยตัว

ลีลาตัดต่อคือหนึ่งในไฮไลท์ของหนัง แพรวพราวด้วยลูกเล่น ‘Montage’ จู่ๆก็มีการแทรกภาพ(ที่เคลือบแฝงนัยยะบางอย่าง)ขึ้นมา หรือช่วงก่อน-หลังนำเข้าซีเควนซ์นั้นๆ จะมีการร้อยเรียงชุดภาพสถานที่ สิ่งต่างรอบข้าง … มันราวกับว่า Dragnet Girl (1933) คือผลงานที่ผกก. Ozu ทำการทดลอง/ฝึกฝนการใช้เทคนิคตัดต่อ ‘Montage’

Dragnet Girl (1933) นำเสนอเรื่องราวของผู้หญิงสองหน้า Tokiko เบื้องหน้าทำงานบริษัท ถือเป็นบุคคลมีหน้ามีตาในสังคม ลับหลังคือสมาชิกแก๊งค์อาชญากร ครองรักแฟนหนุ่ม Jojo โหยหาความตื่นเต้นเร้าใจ แต่หลังจากได้พบเจอ Kazuko ทีแรกครุ่นคิดว่าอีกฝ่ายต้องการแก่งแย่งชายคนรัก กลับกลายเป็นหญิงสาวบ้านๆ บริสุทธิ์ไร้เดียงสา เพียงแสดงความเป็นห่วงเป็นใยน้องชาย Hiroshi นั่นทำให้เธอเกิดความเปลี่ยนแปลงบางสิ่งอย่างขึ้นภายใน

ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวคือสาระสำคัญของหนัง การได้พบเจอบุคคลขั้วตรงข้าม ถ้าเราไม่ปิดกั้นความแตกต่าง จักสามารถเปิดมุมมองโลกทัศน์ใหม่ เหมือนอย่างที่ Tokiko จากเคยใช้ชีวิตสุดเหวี่ยง โหยหาความตื่นเต้นเร้าใจ เกิดความต้องการลงหลักปักฐาน แต่งงานมีครอบครัว ทำหน้าที่ภรรยา และมารดา

แม้ว่า Dragnet Girl (1933) จะไม่ใช่ผลงานที่เป็นจุดเปลี่ยนสู่ ‘Mature Film’ ของผกก. Ozu แต่สิ่งต้องการนำเสนอคือช่วงเวลาการเติบโตของตัวละคร Tokiko & Jojo หลังจากได้พบเจอ Hiroshi & Kazuko ทั้งสองบังเกิดความเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้นภายใน ตระหนักว่าถึงเวลาเลิกเล่นสนุกสนาน/ก่ออาชญากรรม บังเกิดความรับผิดชอบต่อผู้อื่นและสังคม … นั่นสามารถเรียกว่าการเติบโตเป็นผู้ใหญ่

แม้ไม่ใช่จุดเปลี่ยนสู่ ‘Mature Film’ แต่ทว่า Dragnet Girl (1933) คือหนังอาชญากรรมเรื่องสุดท้ายของผกก. Ozu ที่ได้ทำการปลดปล่อยตนเอง ละเล่นเทคนิคภาพยนตร์อย่างไร้ขีดจำกัด กระทำสิ่งตอบสนองความพึงพอใจโดยไม่สนห่าเหวอะไรใคร … จะว่าตอนสร้างหนังเรื่องนี้ ผกก. Ozu อายุกำลังย่างเข้าสามสิบ คงเกิดความตระหนักว่าตนเองกลายเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ไม่สามารถทำตัวเหมือนเด็กๆได้อีกต่อไป

Dragnet แปลตรงตัวคือ อวนหรือตาข่ายที่ลากไปตามพื้นน้ำเพื่อจับปลา สัตว์เล็กๆ หรือสัตว์อื่นๆ, ในแวดวงตำรวจ หมายถึงระบบการทำงานร่วมกันของเจ้าหน้าที่เพื่อจับกุมอาชญากรหรือผู้ต้องสงสัย, ส่วนชื่อหนัง Dragnet Girl น่าจะเป็นการสื่อถึง Tokiko (รับบทโดย Kinuyo Tanaka) พยายามพูดจาหว่านล้อม โน้มน้าวให้แฟนหนุ่ม Jojo ละเลิกการเป็นอาชญากร และหลังจากร่วมกันทำการโจรกรรมครั้งสุดท้าย ยังเกลี้ยกล่อมให้เขาเข้ามอบตัวกับตำรวจ ติดคุกติดตารางไม่กี่ปี เมื่อกลับออกมาเราสองจักได้เริ่มต้นชีวิตใหม่


หนังได้รับการบูรณะ ‘digital restoration’ คุณภาพ 4K โดย National Film Archive of Japan ร่วมกับสตูดิโอ Shochiku ได้รับทุนสนับสนุนจาก The Japan Foundation เสร็จสิ้นเมื่อปี ค.ศ. 2022 สามารถหาซื้อ Blu-Ray ของค่าย BFI Video และ Shochiku (ไม่มีซับ)

(ของค่าย Criterion ยังมีแค่ DVD รวมอยู่ในคอลเลชั่น Silent Ozu-Three Crime Dramas ประกอบด้วย Walk Cheerfully (1930), That Night’s Wife (1930) และ Dragnet Girl (1933))

แม้ว่า Dragnet Girl (1933) จะดูไม่ค่อยเหมือนหนังของผกก. Ozu แต่ใครๆต่างชื่นชอบหลงใหล เพราะมันราวกับได้รับชมอีกตัวตน จักรวาลคู่ขนาน วิสัยทัศน์ที่แตกต่าง ช่วงเวลาแห่งการลองผิดลองถูก นอกจากภาพถ่าย+ตัดต่ออย่างสไตล์ลิสต์ อีกสิ่งที่ต้องกล่าวถึงคือการแสดงของ Kinuyo Tanaka ฉายแววเจิดจรัส ว่าที่ซุปตาร์ค้างฟ้า สมฉายา “First Lady of Japanese Cinema”

จัดเรต pg อาชญากรรม ความรุนแรง

คำโปรย | Dragnet Girl ความพยายามของ Kinuyo Tanaka และผู้กำกับ Yasujirô Ozu ปลดปล่อยตนเองจากวังวนที่เป็นอยู่ เพื่อก้าวออกสู่อิสรภาพ
คุณภาพ | ล้
ส่วนตัว | ตื่นตาตื่นใจ

Leave a Reply

avatar

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

  Subscribe  
Notify of
%d bloggers like this: