The Texas Chain Saw Massacre

The Texas Chain Saw Massacre (1974) hollywood : Tobe Hooper ♠♠♠♠♠

(13/10/2025) การมาถึงของสงครามเวียดนาม และเหตุอื้อฉาวทางการเมือง Watergate Scandal ในช่วงทศวรรษ 70s ถือเป็นชนวนเหตุให้เกิดการล่มสลายของสังคมอเมริกัน The Texas Chain Saw Massacre (1974) คือบทสรุป วันสิ้นโลก ผลผลิตจากระบบทุนนิยมที่กำลังกลืนกิน ทำลายล้างทุกสรรพสิ่ง

Hooper’s apocalyptic landscape is … a desert wasteland of dissolution where once vibrant myth is desiccated. The ideas and iconography of Cooper, Bret Harte and Francis Parkman are now transmogrified into yards of dying cattle, abandoned gasoline stations, defiled graveyards, crumbling mansions, and a ramshackle farmhouse of psychotic killers. The Texas Chainsaw Massacre‘s … recognizable as a statement about the dead end of American experience.

นักวิจารณ์ Christopher Sharrett

ผมไม่เคยมีความอยากจะหวนกลับมารับชม The Texas Chain Saw Massacre (1974) จนกระทั่งเมื่อวันก่อนเพิ่งเขียนบทความ American Psycho (2000) พบเห็นการอ้างอิงถึงหนังเรื่องนี้ มันเลยเกิดความเอะใจอะไรบางอย่าง ฤาความคลุ้มบ้าคลั่งอาจเป็นภาพสะท้อนระบบทุนนิยม/ลัทธิบริโภคนิยม … แล้วมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆด้วย!

ตัวละคร Leatherface (และครอบครัว)ในภาพยนตร์ The Texas Chain Saw Massacre (1974) สามารถตีความในเชิงผลผลิตของระบบทุนนิยมอุตสาหกรรม (Industrial Capitalism) การมาถึงของเทคโนโลยี เครื่องจักรกล โรงงานสมัยใหม่ สร้างความสะดวกสบาย แต่นั่นทำให้นายจ้างสามารถลดต้นทุนด้วยการเลิกจ้างพนักงาน เมื่อไม่มีงาน ไม่มีเงิน หนทางเดียวที่พวกเขาจะอยู่รอดก็คือ … กลืนกินศีลธรรมของตนเอง

มีสิ่งหนึ่งที่ผมเพิ่งค้นพบระหว่างหวนกลับมารับชมคราวนี้ คือการใช้เสียงร้องของสรรพสัตว์แทนเครื่องดนตรีสำหรับสร้างเพลงประกอบ โดยเฉพาะเสียงไก่ร้อง กะตัก กะต๊าก ดังขึ้นซ้ำไปซ้ำมา ฟังไปฟังมาเหมือนเสียงหัวเราะเยาะเย้ย วินาทีที่ตระหนักได้ทำเอาขนหัวลุกพอง รู้สึกสยองขวัญขึ้นทวีคูณ นี่เป็นความพยายามเลือนลางระหว่างสรรพสัตว์ในโรงเชือด = มนุษย์ในระบบทุนนิยม


William Tobe Hooper (1943-2017) ผู้กำกับภาพยนตร์สัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Austin, Texas ครอบครัวเป็นเจ้าของกิจการโรงภาพยนตร์ที่ San Angelo ทำให้ตัวเขามีความสนใจเล่นกล้อง 8 mm ตั้งแต่อายุเก้าขวบ โตขึ้นเข้าศึกษา University of Texas at Austin สาขาวิทยุ-โทรทัศน์-ภาพยนตร์ จบออกมากลายเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ควบคู่กับตากล้องถ่ายทำสารคดี ก่อนสร้างหนังสั้น The Heisters (1965) ภาพยนตร์ขาดยาวเรื่องแรก Eggshells (1969) ใช้งบประมาณเพียง $40,000 เหรียญ

จุดเริ่มต้นของ The Texas Chain Saw Massacre (1974) มาจากการพบเห็นภาพข่าวความรุนแรงในหน้าจอโทรทัศน์ รวมถึงสารพัดข่าวอื้อฉาวของ Richard Nixon อาทิ คดีวอเตอร์เกต, วิกฤตการณ์น้ำมัน ค.ศ. 1973, ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปี ค.ศ. 1973-74, โดยเฉพาะเบื้องหลังความจริงเกี่ยวกับสงครามเวียดนาม! มันชัดเจนว่ารัฐบาลยุคนี้เต็มไปด้วยการโกหกหลอกลวง สวมใส่หน้ากาก(มนุษย์)ปกปิดบังตัวตนแท้จริง!

ร่วมพัฒนาบทหนังกับ Kim Henkel โดยนำแรงบันดาลใจจากฆาตกรโรคจิต Ed Gein (1906-84) จากรัฐ Wisconsin เจ้าของฉายา The Butcher of Plainfield ถูกจับได้เมื่อปี ค.ศ. 1957 นอกจากลงมือฆาตกรรมหญิงสาว ยังชื่นชอบขุดศพที่เพิ่งเสียชีวิตขึ้นมาจากสุสาน นำชิ้นส่วนร่างกายมาทำชุด หน้ากาก โคมไฟ จานชาม เก้าอี้ เข็มขัด ฯ

ไม่ใช่แค่ Ed Gein แต่นักเขียน Henkel ยังเล่าว่าบทหนังยังได้แรงบันดาลใจจากฆาตกรต่อเนื่องอีกคน Elmer Wayne Henley (1956-) ระหว่างปี ค.ศ. 1970-73 ฆ่าคนตายเท่าที่สืบค้นได้ 29 ศพ ณ Houston และ Pasadena, Texas

I definitely studied Gein … but I also noticed a murder case in Houston at the time, a serial murderer you probably remember named Elmer Wayne Henley. He was a young man who recruited victims for an older homosexual man. I saw some news report where Elmer Wayne … said, “I did these crimes, and I’m gonna stand up and take it like a man.” Well, that struck me as interesting, that he had this conventional morality at that point. He wanted it known that, now that he was caught, he would do the right thing. So this kind of moral schizophrenia is something I tried to build into the characters.

Kim Henkel

เพื่อที่จะสร้างหนังเรื่องนี้ ผกก. Hooper และนักเขียน Henkel ร่วมกันก่อตั้งบริษัท Vortex, Inc. (Henkel คือประธาน, Hooper คือรองประธาน) แล้วขอให้เพื่อนที่รู้จัก Bill Parsley ช่วยเหลือด้านเงินทุน 60,000 เหรียญ ซึ่งก็ได้ก่อตั้งอีกบริษัทหนึ่ง MAB, Inc. ถือครองส่วนเป็น 50% ที่ทำเช่นนี้จุดประสงค์เพื่อลดส่วนแบ่งกำไรกับนักแสดง+ทีมงาน เพราะพวกเขาเซ็นสัญญากับบริษัทเดียว สมมติว่าขอส่วนแบ่ง 10% แต่จะได้จริงๆแค่ครึ่งหนึ่งของกำไร … ช่างเป็นวิธีการที่ฉ้อฉล แยบยลยิ่งนัก!

เกร็ด: Working Title ของหนังประกอบด้วย Saturn in Retrograde, Head Cheese, Stalking Leatherface, Leatherface ก่อนตัดสินใจเลือก The Texas Chain Saw Massacre ส่วนชื่อภาษาไทย สิงหาสับ คงเพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นวันที่ 18 สิงหาคม ค.ศ. 1973


เรื่องราวมีพื้นหลังเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1973, วัยรุ่นห้าคนเดินทางท่องเที่ยวด้วยรถตู้มาถึงยัง Newt, Muerto County รัฐ Texas เริ่มต้นจาก Sally Hardesty (รับบทโดย Marilyn Burns) แวะเวียนมาเยี่ยมหลุมฝังศพคุณปู่ ระหว่างเดินทางต่อพานผ่านสถานที่ที่เคยเป็นอดีตโรงฆ่าสัตว์ จากนั้นจอดรับชายแปลกหน้าที่พอขึ้นมาแสดงอาการคลุ้มคลั่ง ใช้มีดกรีดฝามือจนเลือดไหล ถ่ายรูปโพลารอยด์แล้วจุดไปเผา เลยถูกขับไล่ลงจากรถโดยพลัน

จากนั้นเดินทางมาถึงปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง แต่กลับไม่มีน้ำมันให้บริการ (ต้องรอคอยพรุ่งนี้ถึงมีน้ำมันมาส่ง) วัยรุ่นทั้งห้าจึงตัดสินใจเข้าพักค้างแรมยังบ้านของคุณปู่ที่ถูกทิ้งร้าง โดยไม่รู้ตัวพวกเขาค่อยๆสูญหายทีละคนสองคน จนหลงเหลือเพียง Sally ถูกไล่ล่าโดยชายสวมหน้ากากมนุษย์ Leatherface พยายามใช้เลื่อยยนต์เข่นฆ่า วิ่งหลบหนีมาจนถึงปั๊มน้ำมันก่อนค้นพบว่า …


ในส่วนของนักแสดง ทั้งหมดคือนักแสดงสมัครเล่นชาว Texans ที่ยังไม่มีชื่อเสียง ไม่คุ้นหน้าคาดตา บางคนเคยผ่านงานโฆษณา โทรทัศน์ ละครเวที ฯ ยกตัวอย่างนักแสดงนำหญิง Marilyn Burns (1949-2014) เกิดที่ Erie, Pennsylvania แล้วมาเติบโตยัง Houston, Texas จากนั้นเข้าเรียนการแสดง University of Texas at Austin หลังเรียนจบเคยเป็น Stand-in ภาพยนตร์ Lovin’ Molly (1974) พบเจอผกก. Hooper จากการลักลอบเข้ามาในกองถ่าย Eggshells (1969) แล้วพอเปิดออดิชั่นหนังเรื่องใหม่ เข้ามาทดสอบหน้ากล้อง เลยได้รับโอกาสดังกล่าว

Sally Hardesty คือบทบาทแจ้งเกิด สร้างชื่อให้กับ Marilyn Burns ได้รับฉายา Scream Queen จากเสียงกรีดร้องที่ไม่เคยแหบแห้ง แสบแก้วหู รอดชีวิตมาได้ยังไงก็ไม่รู้ กลายเป็นเป็น Final Girl หรือ Survivor Girl หนังแนว Slasher Films ไม่รู้ทำไมผู้รอดชีวิตคนสุดท้ายมักเป็นเพศหญิงเสมอๆ

เกร็ด: ลองไล่ดูภาพยนตร์ที่ตอนจบมักเหลือเพียงหญิงสาวรอดชีวิต Psycho (1960), The Texas Chain Saw Massacre (1974), Halloween (1978), Alien (1979), Friday the 13th (1980), A Nightmare on Elm Street (1984), Scream (1996) ฯ นั่นอาจเพราะกลุ่มเป้าหมายของหนังแนวนี้คือบุรุษ ที่มักมองว่าสตรีคือเพศอ่อนแอกว่า เลยเกิดความรู้สึกเอาใจช่วย สงสารเห็นใจ อะไรประมาณนั้น

แม้ว่าหนังเรื่องนี้จะประสบความสำเร็จอย่างมากๆ แต่กลับไม่ใครอยากว่าจ้าง Burns เพราะติดภาพลักษณ์ผู้รอดชีวิตจากความตายอย่างบ้าคลั่ง ซึ่งอีกบทบาทเด่นของเธอคือมินิซีรีย์ Helter Skelter (1976) ดัดแปลงจากเรื่องจริงของ Charles Manson และครอบครัวที่ได้วางแผนฆาตกรรมหมู่ Sharon Tate … พูดง่ายๆก็คือกลายเป็น Typecast จากแค่เพียงบทบาทการแสดงเดียวเท่านั้น ไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจดี?


สำหรับฆาตกรหน้ากากหนังมนุษย์ (Leatherface) ถือเป็นตัวละครที่ได้รับการจดจำ (Iconic) ในแฟนไชร์ The Texas Chainsaw Massacre โดยต้นฉบับรับบทโดย Gunnar Hansen (1947-2015) นักแสดงสัญชาติ Icelandic-American อพยพมาอยู่อเมริกาเมื่อตอน 5 ขวบ โตขึ้นเข้าเรียนสาขาคณิตศาสตร์ University of Texas at Austin จบออกมาตกงานเลยมาทดสอบหน้ากล้อง ด้วยความที่รูปร่างสูงใหญ่กว่าใครเพื่อน เลยได้รับเลือกให้เล่นบทดังกล่าว

Leatherface แม้มีพฤติกรรมซาดิสม์ ชอบใช้ความรุนแรง เข่นฆ่าคนตายอย่างเลือดเย็น แต่ชายคนนี้มีสติปัญญาไม่สมประกอบ (Intellectual Disability) ไม่สามารถพูดคุยสื่อสาร ท่าทางแสดงออกเหมือนเด็กน้อย คอยปฏิบัติตามคำสั่งของสมาชิกในครอบครัวเพราะความหวาดกลัว ไม่อยากถูกกระทำร้าย ไม่ใช่ด้วยจิตใจเลวทรามต่ำช้า … นักวิจารณ์เปรียบเทียบ Leatherface ไม่ต่างจากสัตว์ประหลาดของ Frankenstein

ในตอนแรก Hansen ไม่อยากตอบรับบทบาทฆาตกรโรคจิต แต่เพราะได้รับการโน้มน้าวจาก Marily Burns ที่เคยรับรู้จักกันมาก่อน จึงตัดสินใจลองเสี่ยง ตอบตกลงเล่นหนัง ซึ่งเขาก็ทุ่มเทให้กับบทบาทนี้อย่างมากๆ เตรียมความพร้อมด้วยการเดินทางไปโรงเรียนสอนเด็กพิเศษ ศึกษากิริยาท่าทางแสดงออก นำมาปรับใช้กับตัวละคร และตอนถ่ายทำจริงสภาพอากาศร้อนอบอ้าว สวมใส่หน้ากาก เสื้อผ้าหนาเตอะ ทนอยู่วันละ 12-16 ชั่วโมงตลอดระยะเวลาเกือบหนึ่งเดือน!

The difficult part of the movie was that, physically, it was so demanding…. It was 95 to 100 degrees (Fahrenheit) every day during filming. They wouldn’t wash my costume because they were worried that the laundry might lose it, or that it would change color. They didn’t have enough money for a second costume. So I wore that [mask] 12 to 16 hours a day, seven days a week, for a month.

Gunnar Hansen

แซว: จริงๆแล้ว Hansen วิ่งเร็วกว่า Burns มากๆ แต่เพื่อทำให้เหมือนดูวิ่งช้ากว่า จึงจำต้องวิ่งวนไปมา ย่ำอยู่กับที่ กวัดแกว่งเลื่อยไฟฟ้า (จริงๆทำท่านี้เพื่อประชดผกก. Hooper ที่ไม่ค่อยเอาใจใส่ทีมงานนักแสดงของเขาเสียเท่าไหร่)


ถ่ายภาพโดย Daniel Pearl (เกิดปี ค.ศ. 1951) ตากล้องสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ The Bronx, New York แล้วมาเติบโตที่ New Jersey เริ่มเล่นกล้อง 8mm ตั้งแต่อายุสิบสาม จากนั้นเดินทางมาร่ำเรียนภาพยนตร์ยัง University of Texas at Austin แล้วได้พบเจอผู้กำกับ Tobe Hooper ในห้องแลปฟีล์ม “It’s really important that I have a Texan shoot this film.” ชักชวนมาร่วมถ่ายทำภาพยนตร์ The Texas Chain Saw Massacre (1974), ผลงานหลังจากนั้นส่วนใหญ่จะเป็น Music Video เคยคว้ารางวัล MTV Video Music Award (VMA) มาแล้วสองครั้งจาก The Police: Every Breath You Take (1983) และ Guns N’ Roses: November Rain (1991)

ตลอดทั้งเรื่องถ่ายทำโดยใช้กล้อง Eclair NPR 16mm (ร่วมกับฟีล์ม Ektachrome) ที่มีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา ทำให้สามารถขยับเคลื่อนย้าย (Unchained Camera) เดินไปเดินมา ส่ายๆสั่นๆ กลางวันใช้เพียงแสงธรรมชาติ และคุณภาพฟีล์ม 16mm ช่วยสร้างสัมผัสเสื่อมโทรม กอปรเข้ากับสถานที่รกร้าง สภาพอากาศร้อนระอุ ได้บรรยากาศวันสิ้นโลกาวินาศ

งานภาพของหนังเต็มไปด้วยการทดลองผิดลองถูก (improvised) เพราะไม่ได้มีอุปกรณ์ เงินทุน หรือตัวช่วยอะไร ทุกช็อตฉากจึงคือความท้าทาย มองหาวิธีการนำเสนอที่สอดคล้องวิสัยทัศน์ผู้สร้าง ผลลัพท์จึงออกมาดูเสมือนจริง จับต้องได้ น่าสะพรึงกลัวชิบหาย!

Everyone wanted to forget about it after the misery of the whole shoot, listening to that agonizing chainsaw, smelling all of the smells, watching the decay of rotting chicken on the set. It was disgusting. It was miserable. Each different set-up we went to was a different kind of challenge. The reason so much of it looks so real is because it was! We didn’t have the props or the camera set-ups or anything to make it an easy shoot so we worked with what had. When we didn’t have it, we improvised.

Marilyn Burns

ด้วยงบประมาณจำกัด ประกอบกับสภาพอากาศร้อนจัด (ถ่ายทำระหว่างวันที่ 15 กรกฎาคม – 14 สิงหาคม ค.ศ. 1973) ทำให้การทำงานค่อนข้างจะล่าช้า ไร้สิ่งอำนวยความสะดวก ขาดความปลอดภัย นักแสดงต่างได้รับบาดเจ็บเล็กเจ็บน้อย มีแต่คนอยากลาออก ค่าแรงก็แทบจะไม่ได้ (เพียงส่วนแบ่งกำไร) มันคุ้มค่าการเสียเวลาตรงไหน ใครอยากจะรับชมหนังฆาตกรโรคจิตพรรณนี้?

The van was suffocating. Tedious. Hot. Miserable. We were traveling with five actors and the camera guy and sound and director and continuity guy. All of us in this van, going 15 miles an hour, trying not to make any noise. Just crawling along as they kept changing the script. We’d stop to sit on the side of the road when they decided that the lines weren’t working. That was the first couple weeks of shooting. It was real hot and miserable, especially when Ed [Neal, who plays the hitchhiker] came on and gunpowder had to explode and we didn’t know what we were doing. They just put gunpowder on his hand and lit a match. We almost killed ourselves! The second time he did it, we were all scared to death before he did it because we were expecting an explosion. Plus the heat … when we did stop, there weren’t any chairs for us to sit in. There was no place to go. You just had to stand around. You could just stand around and sweat in the sun. No coolers. No ice. No Cokes coming around! No little happy wagon!

บ้านฟาร์มที่ถูกทิ้งร้าง ตั้งอยู่ไม่ห่างจากถนน Quick Hill Road ใกล้ๆกับ Round Rock (Texas) ปัจจุบันถูกรื้อถอนไปนานแล้วนะครับ, ส่วนปั๊มน้ำมันยังคงอยู่ กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดัง Bilbo’s Texas Landmark ตั้งอยู่ติดถนน 1073 State Highway ในเมือง Bastrop (Texas), และสุสาน Bagdad Cemetery ตั้งอยู่ยัง Bagdad Road, Leander (Texas)


ข้อความยาวๆในส่วนของการอารัมบท สร้างความรู้สึกเหมือนกับว่า Texas Chain Saw Massacre สร้างขึ้นจากเหตุการณ์เกิดขึ้นจริง! แต่แท้จริงแล้วทุกสิ่งอย่างในหนังคือการปรุงแต่งขึ้นมา พยายามล่อหลอกให้ผู้ชมเกิดความเข้าใจผิดๆ เพราะต้องการสะท้อนถึงพฤติกรรมโกหกหลอกลวงประชาชนของรัฐบาล Richard Nixon ทั้งคดีวอเตอร์เกต ความจริงเกี่ยวกับสงครามเวียดนาม และอื่นๆอีกมากมาย

The movie’s plot is fictional, but it was marketed as being based on a true story, a tactic highlighted in its promotional poster and opening narration. The decision to market the film as a true story was intended to captivate the audience, but it was also a response to the sociopolitical climate of the 1970s and reflected public skepticism toward the Richard M. Nixon administration and the media in the wake of the 1973 oil crisis, the economic recession, the Vietnam War, and the Watergate scandal. 

นักวิจารณ์ José Andrés Herrera Farías

ภาพแรกของหนังฉายภาพศพที่ถูกขุดขึ้นมาโดยโจรปล้นสุสาน จุดประสงค์ของผกก. Hooper ต้องการพาดพิงถึงภาพข่าวโทรทัศน์ “lack of sentimentality and the brutality of things” ยุคสมัยนั้นยังไม่มีการเซนเซอร์ ปกปิดภาพความรุนแรง ศพคนตาย สมองกระจุยกระจาย “showing brains spilled all over the road” ก็เลยครุ่นคิดว่าภาพยนตร์คงไม่ได้รับผลกระทบอะไร น่าจะได้เรตติ้ง PG ด้วยซ้ำไป … แต่แค่อารัมบทนี้ก็ได้รับเรต X แทบจะโดยพลัน!

Paul Alan Partain แรกเริ่มต้นมาทดสอบหน้ากล้องเป็นชานโบกรถ (Hitchhiker) แต่เหมือนจะไม่ถูกใจผกก. Hooper เลยให้ลองเปลี่ยนมาเป็นชายขาพิการ Franklin Hardesty โดนล่อหลอกให้มาทริปนี้ก่อนถูกทอดทิ้ง ไม่มีใครเหลียวแล แค่ฉากแรกปวดปัสสาวะแวะจอดข้างทาง ถูกรถบรรทุกขับแซง ลมแรงพัดให้เขาม้วนกลิ้งลงจากรถเข็น … นี่นอกจากแสดงความไม่มีน้ำใจ (ของทั้งคนขับรถและผองเพื่อน) ยังเป็นการปักธง (Death Flag) หายนะของทริปนี้

ชายโบกรถ (The Hitchhiker) รับบทโดย Edwin Neal นักแสดง/นักพากย์เสียง เข้าเรียนการแสดงยัง University of Texas at Austin ได้รับคำแนะนำให้แสดงพฤติกรรมประหลาดๆ คาดเดาอะไรไม่ได้ ซึ่งก็ไม่ได้บอกกับนักแสดงคนอื่นๆ เพื่อบันทึกภาพปฏิกิริยา สีหน้า อาการตกอกตกใจ … แต่เราสามารถวิเคราะห์การกระทำของตัวละครได้ไม่ยาก

  • หยิบมีดขึ้นมากรีดมือตนเอง แสดงถึงการเป็น Sado/Masochist ชื่นชอบกระทำร้ายตนเองเพื่อเรียกร้องความสนใจ
  • หยิบกล้องโพลารอยด์ขึ้นมาถ่ายภาพ แล้วแสดงความต้องการขายภาพนั้น นี่สะท้อนถึงความยากจนข้นแค้น ปากกัดตีนถีบ พยายามทำทุกสิ่งอย่างเพื่อให้ได้เงิน
  • แต่พอไม่มีใครซื้อภาพถ่ายดังกล่าว จึงจุดไฟเผา ระบายอารมณ์อัดอั้น สำแดงความไม่พึงพอใจ

เมื่อตอนชายโบกรถ (The Hitchhiker) ถูกขับไล่ลงจากรถ ได้ใช้รอยเลือดตีตรา/ทำสัญลักษณ์ (Marking Prey) ลักษณะเหมือนส่วนหัวและจงอยไก่ที่ถูกเชือด (รอยเลือดไหลเป็นทาง) บางคนอาจมองว่าเป็นเครื่องหมายแจ้งบอกสมาชิกครอบครัว รถตู้คนนี้คือเป้าหมายถัดไป! แต่ผมมองในลักษณะลางบอกเหตุร้าย (Occult Omen) สัญลักษณ์แทนความตาย วัยรุ่นเหล่านี้จักกลายเป็นสัตว์(ไก่)ที่จะถูกเชือด

บ้านของครอบครัวฆาตกรหน้ากากหนังมนุษย์ ชวนให้ผมนึกถึงภาพวาด American Gothic (1930) ของศิลปิน Grant Wood ด้วยสไตล์ที่เรียกว่า Carpenter Gothic หรือ Rual Gothic ได้รับอิทธิพลมาจาก Gothic Revival ที่เคยได้รับความนิยมในยุโรปช่วงครึ่งหลังศตวรรษที่ 17th ถึงครึ่งแรกศตวรรษที่ 19th … Wood ให้คำนิยามภาพวาด American Gothic ไว้ว่า “the kind of people I fancied should live in that house.”

ปล. ผมอ่านจากอีกบทความวิจารณ์หนึ่ง แสดงความคิดเห็นว่าพื้นหลังของหนังคือรัฐ Texas (อยู่คาบเกี่ยวระหว่าง Southern และ Southwestern) จึงควรเรียกสถาปัตยกรรมนี้ว่า Southern Gothic (ถือเป็น Subgenre ของ American Gothic กระมัง)

บ่อยครั้งที่หนังชอบถ่ายภาพมุมต่ำแล้วเงยขึ้น จงใจให้เห็นบั้นท้ายนักแสดงหญิง นุ่งน้อยห่มน้อย ปลุกใจเสือป่า แต่ไฮไลท์คือขณะที่ Pam ลุกจากชิงช้าเดินตรงมายังบ้านของครอบครัวฆาตกรหน้ากากหนังมนุษย์ มันช่างมีความหลอกหลอน ขนหัวลุกพอง (บ้านหลังนี้)น่าหวาดสะพรึงยิ่งนัก! นั่นก็เพราะอิทธิพลของฉากก่อนหน้านี้ที่จู่ๆ Kirk ถูกฆาตกรรม ตัดมาหญิงสาวไม่รู้อิโหน่อิเหน่ กำลังจะก้าวเดินสู่หายนะ

มันมีข้อสังเกตว่าตัวละครเพศชายมักจะถูกฆาตกรรมอย่างรวดเร็ว แทบไม่ทันกระพริบตา! ผิดกับหญิงสาวที่พิรี้พิไร ไม่เร่งรีบฆ่าให้ตาย คงเพราะฆาตกรครุ่นคิดว่าพวกเธออ่อนแอ ไม่สามารถดิ้นหลบหนี เลยใช้เวลาเล่นกับเหยื่อ … กลุ่มเป้าหมายของหนัง Horror มักเป็นผู้ชาย เวลาพบเห็นผู้หญิงถูกทรมานย่อมเกิดความสงสารเห็นใจ

เกร็ด: ในตอนแรกโปรดิวเซอร์ไม่อยากสิ้นเปลืองงบประมาณกับฉากความตายของ Pam แต่ผกก. Hooper ยืนกรานว่าต้องถ่ายทำ ผลลัพท์กลายเป็นซีเควนซ์น่าประทับใจที่สุดของหนังเลยก็ว่าได้!

มีนักวิจารณ์วิเคราะห์ถึงซีเควนซ์รับประอาหารค่ำ สมาชิกครอบครัวฆาตกรหน้ากากหนังมนุษย์นั่งล้อมวงอยู่พร้อมหน้า ดูเหมือนเป็นการเสียดสีล้อเลียนรายการโทรทัศน์ Sitcom ที่มักนำเสนอเกี่ยวกับครอบครัวอเมริกันชน แล้วยังทำการเปรียบเทียบเจ้าของปั๊มน้ำมันคือบิดา (Father Figure), ฆาตกรหน้ากากหนังมนุษย์ ไม่ต่างจากแม่บ้านชนชั้นกลาง และไอ้หนุ่มโบกรถแทนวัยรุ่นหัวขบถ

Hooper sees the American family as the true locus of the horror film. His degenerates are a parody of the typical sit-com family, with the bread-winning, long-suffering Gas Man as Pop, the preening, bewigged, apron-wearing Leatherface as Mom, and the rebellious, long-haired Hitch as the teenage son. 

นักวิจารณ์ Kim Newman

แซว: ด้วยความที่ John Dugan รับบทคุณปู่ ไม่อยากเสียเวลาห้าชั่วโมงแต่งหน้าเป็นคนแก่ จึงขอผกก. Hooper ถ่ายทำฉากของตนเองครั้งเดียวจบ ซึ่งก็คือซีเควนซ์นี้ใช้เวลาถ่ายทำต่อเนื่องทั้งวันทั้งคืน รวมระยะเวลาทั้งหมดเกือบ 30 ชั่วโมง!

Filming that scene was the worst time of my life… and I had been in Vietnam, with people trying to kill me, so I guess that shows how bad it was.

Edwin Neal

ผกก. Hooper ได้ไอเดียการใช้เลื่อยยนต์ (Chainsaw) ระหว่างเดินซื้อของที่ Capital Plaza วันนั้นบังเอิญตรงกันคริสต์มาส ผู้คนแห่กันมาช็อปปิ้งอย่างล้นหลาม ครุ่นคิดเล่นๆว่าจะหาหนทางออกไปได้ยังไง พอดิบพอดียืนอยู่แถวๆร้านขายอุปกรณ์ช่าง แล้วสะดุดตากับเลื่อยยนต์อันนั้น

I was in the Montgomery Ward’s out in Capital Plaza. It was around holiday season, and I found myself in the Ward’s hardware department. And those big crowds have always gotten to me. There were just so many people to go through. And I was just standing there in front of an upright display of chainsaws. And the focus just racked from my eyeball to the people to the saws — and the idea popped. I said, “Ooh, I know how I could get out of this place fast — if I just start one of these things up and make that sound.” Of course I didn’t.

Tobe Hooper

ความน่าสนใจของเลื่อยยนต์ (Chainsaw) คือเครื่องมือที่สามารถเป็นตัวแทนระบบทุนนิยมอุตสาหกรรม (Industrial Capitalism) โรงงานใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ช่วยร่นระยะเวลาการผลิต ในอดีตที่ยังใช้มีด จำต้องว่าจ้างแรงงานจำนวนมาก กว่าจะหั่นเนื้อ แยกชิ้นส่วน แพคเกจจิ้ง ต้องใช้เวลาพอสมควร การมาถึงของเลื่อยยนต์(และอุปกรณ์อัตโนมัติอื่นๆ) ทำให้ทุกสิ่งอย่างรวดเร็ว สะดวกสบาย ว่าจ้างคนงานน้อยลง เป็นต้น!

ฉากนี้มีการตั้งชื่อว่า “Chainsaw Dance” จริงๆแล้วคือการระบายอารมณ์อัดอั้นของฆาตกรหน้ากากหนังมนุษย์ เพราะไม่สามารถไล่ล่า เข่นฆ่าหญิงสาวคนสุดท้าย ปล่อยให้เธอขึ้นรถหลบหนี แล้วต่อจากนี้ฉันจะทำอะไรยังไงต่อไป? กลับบ้านไปต้องถูกลงโทษแสนสาหัสแน่ๆ จึงระเบิดระบายอารมณ์คลุ้มบ้าคลั่งออกมา … เสียงหัวเราะของหญิงสาว ตัดสลับกับเสียงเลื่อยยนต์ มันช่างกลมเกลียวกันยิ่งนัก!

ตัดต่อโดย Sallye Richardson & Larry Carroll, โครงสร้างของหนังแทบจะเรียกว่าสูตรสำเร็จ ตามตำราเป๊ะๆ สามารถแบ่งออกเป็นสามองก์ (Three-Act Structure) เริ่มต้นการเดินทางบนรถตู้ แนะนำตัวละคร อารัมบทหายนะคืบคลานเข้ามา, จากนั้นคือช่วงเวลาแห่งความสนุกหรรษา โดยจะค่อยๆเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับฆาตกรหน้ากากหนังมนุษย์ ฆ่าคนตายทีละคนสองคน และพอหลงเหลือหญิงสาวคนสุดท้าย (Final Girl) ประตูสู่ขุมนรกจึงเปิดออก ครุ่นคิดว่าคงไม่มีหนทางรอด ก่อนโชคชะตาฟ้าลิขิตให้เธอสามารถหลบหนีได้สำเร็จ!

  • การเดินทางของเพื่อนห้าคน
    • Sally แวะเวียนไปยังสุสานของคุณปู่ โชคดีที่ไม่ถูกโจรโรคจิตรบกวน
    • Franklin ชวนคุยเรื่องโรงเชือดสัตว์
    • ระหว่างทางจอดรับชายโบกรถ กระทำสิ่งบ้าๆจนถูกขับไล่ลงรถ
    • เดินทางมาถึงปั๊มน้ำมัน แต่ไม่มีน้ำมันให้เติม เลยตัดสินใจพักค้างแรมยังบ้านร้างของคุณปู่
  • ช่วงเวลาแห่งความสนุกหรรษา
    • Kirk และ Pam ตั้งใจจะไปว่ายน้ำ ก่อนพบเจอบ้านลึกลับ แล้วถูกฆาตกรรมตามลำดับ
    • พอตกเย็น Jerry ตัดสินใจออกติดตามหา Kirk และ Pam ก่อนประสบโชคชะตาเดียวกัน
    • พอค่ำมืด Sally และ Franklin ออกติดตามหาเพื่อนๆทั้งสาม ก่อนที่ Franklin จะถูกเลื่อยยนต์สังหาร
    • Sally พยายามวิ่งหลบหนีมาถึงยังปั๊มน้ำมัน ก่อนค้นพบว่าเจ้าของคือผู้สมรู้ร่วมคิดกับฆาตกรโรคจิต
  • อาหารค่ำกับหญิงสาวคนสุดท้าย (Final Girl)
    • ระหว่างขับรถกลับบ้าน พบเจอชายคนที่โบกรถ คือหนึ่งในสมาชิกครอบครัว
    • Sally ถูกมัดไว้กับโต๊ะอาหาร ส่งเสียงกรีดร้องลั่น
    • คุณปู่แวมไพร์พยายามจะทุบศีรษะ Sally เธอสามารถดิ้นหลบหนี
    • Sally วิ่งออกมาถึงถนน ได้รับความช่วยเหลือจากคนขับรถบรรทุก ก่อนสามารถหลบหนีได้สำเร็จ

หนังใช้เวลา Post-Production นานปีกว่าๆ น่าจะเสียเวลากับการร้อยเรียงลูกเล่น Montage โดยมีอยู่สองซีเควนซ์ที่อดพูดถึงไม่ได้ ประกอบด้วย

  • เมื่อตอน Pam เข้าไปในบ้านของฆาตกรหน้ากากหนังมนุษย์ มีการร้อยเรียงสิ่งข้าวของ (Trophy) ขนนก โครงกระดูก ไก่ในกรง สารพัดอุปกรณ์สำหรับฆ่าคนตาย สร้างบรรยากาศห้องเชือดได้อย่างหลอกหลอน ขนหัวลุกพอง
  • Sally ถูกจับมัดกับเก้าอี้มนุษย์ ฉายภาพใบหน้า ซูมเข้าไปในดวงตา ส่งเสียงกรีดร้อง พยายามต่อสู้ดิ้นรน ตัดสลับกับการหัวเราะเยาะเย้ยของฟากฝั่งฆาตกร … ยิ่งกล้องเคลื่อนเข้าใกล้ดวงตา ยิ่งสร้างความอกสั่น สยองขวัญ แทบมิอาจอดกลั้น

ในส่วนของเพลงประกอบ นอกจาก ‘diegetic music’ ดังจากวิทยุขณะขับรถตู้, ส่วนที่เหลือเกิดจากผกก. Hooper ร่วมงานนักออกแบบเสียง Wayne Bell ทำการสร้างสิ่งที่เรียกว่า ‘Soundscape’ จากการผสมผสานเครื่องดนตรีกระทบ (Percussion) อย่าง Cymbals, Xylophones เข้ากับเสียงแหลมสูง (Stingers), เสียงหึ่งๆ (Drones), เสียงสั่นสะเทือน (Vibrations) และยังเสียงกรีดร้อง (Scream), เลื่อยยนต์ (Chain Saw) หรือสรรพสัตว์อย่างหมูร้อง (Pig Squeals) ไก่กระต๊าก (Chicken Cackled) ฯ

การสร้างเสียงเหล่านี้อาจไม่ได้มีความไพเราะใดๆ แต่จุดประสงค์เพื่อให้ผู้ชมเกิดอารมณ์ร่วม ความลุกลี้ร้อนรน กระวนกระวาย ปั่นป่วนหัวใจ รู้สึกเหมือนกำลังถูกคุกคาม หายนะคืบคลานเข้ามา และสามารถทดแทนความรุนแรง (เพราะหนังแทบไม่พบเห็นฉากเลือดสาดกระเซ็น) … อาจเรียกว่า อาวุธทางเสียง (Aural Weapon) โจมตีผู้ชมผ่านการได้ยิน แล้วสร้างความสั่นสะเทือนทรวงใน

ซีเควนซ์ที่ผมรู้สึกว่าผสมผสาน Soundscape ได้อย่างน่าประทับใจมากสุด คือความตายของ Pam (คนที่สอง) ก้าวย่างเข้าไปในบ้าน พบเห็นห้องเชือดที่ดูรกรุงรัง เต็มไปด้วยโครงกระดูก เนื้อหนัง ขนนก ไก่ในกรงส่งเสียงกะตัก กะต๊าก ดังซ้ำไปซ้ำมา ฟังไปฟังมาเหมือนเสียงหัวเราะเยาะเย้ย … ต้องลองหลับตารับฟัง แล้วจินตนาการตามนะครับ

บทเพลง ‘diegetic music’ โด่งดังที่สุดของหนังคือ Fool for a Blonde หรือชื่อเล่น Sidewalk Cafe Song แต่ง/ขับร้องโดย Roger Bartlett, ดังขึ้นระหว่างชายแปลกหน้าที่โบกรถขึ้นมา กำลังกรีดมือตนเองจนเลือดไหล วินาทีนั่นทำให้ทุกคนอยู่ในอาการตกตะลึง คาดไม่ถึง ซึ่งเหตุผลที่ผกก. Hooper เลือกเพลงนี้เพราะเขาจินตนาการว่า “Hitchhiker being a fool for Sally.” ไอ้สิ่งที่หมอนั่นทำอยู่ก็เพื่อจีบสาวเหรอเนี่ย?

The song is actually about sitting in a cafe called Les Amis in Austin watching the UT college girls walk by as me and Bill Callery drank coffee (and smoked pot). You might be interested to note that my wife (Arna) is a very pretty blonde. So I’m still a fool for a blonde. Not too deep a lyric, but one that’s easy to relate to.

Roger Bartlett อธิบายความหมายแท้จริงของเพลงนี้

I spend most every day in a sidewalk cafe
Drinkin’ coffee, watchin’ women walkin’ by
The color of their hair, not the reason that I stare
But I always was a fool for a blonde

They jiggle and they sway
As they strut along the way
Watching’s most enough to make you high
They shimmering lot not what brings us back
But I’ll always be a fool for a blonde

เปลือกภายนอกของหนังเรื่องนี้ เหมือนจะแค่นำเสนอหายนะบังเกิดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ไม่มีใครสามารถคาดเดาอนาคต ว่าจะประสบพบเจอฆาตกรป่วยจิต ถูกไล่ล่า ใช้เลื่อยยนต์ตามเข่นฆ่า กระทำสิ่งคลุ้มบ้าคลั่ง มันคงเป็นเรื่องของโชคชะตา สร้างความหลอกหลอน ขนหัวลุกพอง เสี้ยมสอนให้ผู้ชมระแวดระวังบุคคลแปลกหน้า อย่าหลงระเริงกับความไม่จีรังของชีวิต

แต่ความน่าสนใจของหนังบังเกิดขึ้นเมื่อเราเริ่มขบครุ่นคิด ค้นหาเหตุผลว่าทำไมครอบครัวนั้นถึงกลายเป็นฆาตกร? เข่นฆ่าวัยรุ่นหนุ่มสาวทั้งห้าเพื่ออะไร? เบื้องหลังที่มาที่ไปของฆาตกรหน้ากากหนังมนุษย์? ซึ่งคำตอบเหล่านั้นได้ถูกแทรกแซมอยู่ตรงโน้นนิด ตรงนี้หน่อย ผู้ชมต้องคอยสังเกต ขบครุ่นคิด นำมาแปะติดปะต่อให้กลายเป็นรูปร่าง

ในอดีตย่านนี้เคยเป็นโรงเชือด (Slaughterhouse) ใช้แรงงานคนในการฆ่าสัตว์ ชำแหละเนื้อ แต่การมาถึงของโรงงานอุตสาหกรรมสมัยใหม่ เมื่อเครื่องจักรกลสามารถทำทุกสิ่งอย่างได้โดยอัตโนมัติ นายจ้างจึงลดต้นทุนด้วยการลดพนักงาน เมื่อไม่มีงาน ไม่มีเงิน กอปรกับสภาวะเศรษฐกิจกำลังถดถอย วิกฤตการณ์น้ำมันขนาดแคลน แถมด้วยคดีวอเตอร์เกตยิ่งทำให้ประชาชนหมดสูญสิ้นความเชื่อมั่นต่อรัฐบาล พวกเขาจึงต้องพยายามหาหนทางเอาตัวรอด ทำอย่างไรให้กินอิ่มท้อง

การกระทำของฆาตกรหน้ากากหนังมนุษย์ (และครอบครัว) มีนักวิจารณ์ให้คำเรียก Cannibalistic Capitalism ภาพสะท้อนพฤติกรรมของระบบทุนนิยม = โรงเชือด (Slaughterhouse) ที่มนุษย์จักค่อยๆถูกกลืนกิน จนมีสภาพไม่ต่างจากสรรพสัตว์(ในโรงเชือด) กลายเป็นเพียงทรัพยากรของระบบ ดำเนินไปตามกฎกรอบ/กลไกที่สังคมวางครอบไว้ เพื่อให้ได้มาซึ่งผลผลิตที่จักหวนกลับหาพวกเขาเอง

Human workers, communities, and natural resources as mere raw materials for capital accumulation. The system devours its own necessary supports—like the environment and social safety nets—or exploits a class of people (the proletariat) so severely that it becomes a form of “eating its own.”

ตั้งแต่ข้อความแรกของหนัง “film you are about to see is true” ก็เต็มไปด้วยคำโป้ปดหลอกหลวง ซึ่งคือความตั้งใจของผกก. Hooper และนักเขียน Kim Henkel ต้องการสะท้อนถึงสภาพสังคมอเมริกันยุคสมัยนั้น มีความฟ่อนเฟะ เน่าเละเทะ ผู้นำประเทศพยายามสร้างภาพให้ดูดี แต่ลับหลังเต็มไปด้วยความคอรัปชั่น … เบื้องหน้าเปิดปั๊มน้ำมัน ขายบาร์บิคิว แต่แท้จริงแล้วคือครอบครัวของฆาตกรโรคจิต!

การเอาตัวรอดของหญิงสาวคนสุดท้าย (Final Girl) Sally Hardesty เกิดจากความลุ่มหลงระเริง ทำมาหลายครั้งแล้วเลยขาดความระแวงระวัง ไม่มีใครครุ่นคิดว่าเธอจะสามารถหลบหนี นี่สะท้อนถึงคดีวอเตอร์เกตได้อย่างตรงไปตรงมา! บรรดาผู้เกี่ยวข้อง(กับคดีดังกล่าว)ย่อมไม่มีใครครุ่นคิดว่าจะถูกค้นพบ เปิดโปง กลายเป็นเรื่องอื้อฉาวใหญ่โต

ประเด็นสุดท้ายที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้ หนังเรื่องนี้ได้รับคำนิยามจาก PETA ว่าเป็น “the ultimate pro-vegetarian film” ด้วยความที่เปรียบเทียบมนุษย์ไม่ต่างอะไรจากสัตว์ แล้วพอนำมาทำไส้กรอก บาร์บิคิว ย่อมสร้างความหื่นเหียร สะอิดสะเอียน ระหว่างสร้างหนังเรื่องนี้ ผกก. Hooper ถึงขนาดงดกินเนื้อสัตว์ไปชั่วคราว

I gave up meat while making that film. In a way I thought the heart of the film was about meat; it’s about the chain of life and killing sentient beings, and it has cannibalism in it, although you have to come to that conclusion by yourself because it’s only implied.

Tobe Hooper

เมื่อตอนเข้าฉายหนังถูกนักวิจารณ์สับเละเทะยิ่งกว่า Leatherface สับเนื้อมนุษย์! “despicable” “plastic script” “heavy doses of gore” “sadistic violence to be extreme and unimaginative” แต่ความคิดเห็นของนักวิจารณ์ Roger Ebert ค่อนข้างน่าสนใจ

Horror and exploitation films almost always turn a profit if they’re brought in at the right price. So they provide a good starting place for ambitious would-be filmmakers who can’t get more conventional projects off the ground. The Texas Chainsaw Massacre belongs in a select company (with Night of the Living Dead and Last House on the Left) of films that are really a lot better than the genre requires. Not, however, that you’d necessarily enjoy seeing it.

นักวิจารณ์ Roger Ebert ให้คะแนน 2/4

จากทุนสร้างตั้งต้น $60,000 เหรียญ ใช้เกินช่วงระหว่าง Post-Production แต่ไม่มีรายงานตัวเลขที่แน่นอน เพียงประมาณว่าอยู่ระหว่าง $93,000 – $300,000 เหรียญ (เทียบค่าเงินปี ค.ศ. 2025 = $635,000 – $2 ล้านเหรียญ) สามารถทำเงินได้ $30.9 ล้านเหรียญ (=$205 ล้านเหรียญ) ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม กลายเป็นภาพยนตร์อิสระ (Indepedent Film) ทำเงินสูงสุดตลอดกาล ก่อนถูกทำลายสถิติโดย Halloween (1978)

เมื่อกาลเวลาเคลื่อนผ่าน ผู้ชม/นักวิจารณ์สมัยใหม่ต่างให้การยกย่องกล่าวขวัญ ไม่ใช่แค่โคตรหนังสยองขวัญ น่าสะพรึงกลัวที่สุด แต่ยังเป็นหนึ่งใน “Greatest Movie of All-Time” ได้รับการโหวตติดอันดับนิตยสาร Sight & Sound มาสองครั้งแล้วนะ!

  • Sight & Sound: Critic’s Poll 2012 ติดอันดับ #183 (ร่วม)
  • Sight & Sound: Critic’s Poll 2022 ติดอันดับ #118 (ร่วม)
    • หนึ่งในบุคคลที่โหวตหนังเรื่องนี้ก็คือคุณเจ้ย อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล
  • Entertainment Weekly: The Top 50 Cult Films (2003) ติดอันดับ #6
  • Total Film: 50 Greatest Horror Movies Of All Time (2005) ติดอันดับ #1
  • TIME: Top 25 Horror Movies (2007) ติดอันดับ #11
  • Empire: The 500 Greatest Movies of All Time (2008) ติดอันดับ #199
  • Slant Magazine: 100 Greatest Horror Films of All Time (2013) ติดอันดับ #1
  • Variety: The 100 Best Horror Movies of All Time (2024) ติดอันดับ #1

ในหนังสือ Cinema Speculation (2022) ของ Quentin Tarantino ที่ทำการกล่าวถึงภาพยนตร์ในทศวรรษ 70s ยังมีการพูดถึง The Texas Chain Saw Massacre (1974) โดยเรียกว่า “Perfect Movies”

Well there’s not many of them. That just bemoans the fact that the film art form is hard. Look, when you say perfect movies you’re talking about any individual person’s aesthetic but even trying to account for all aesthetics… perfect movies kind of crosses all aesthetics to one degree or another. Might not be your cup of tea, but there’s nothing you can say to bring it down.

Quentin Tarantino

ปัจจุบันหนังได้รับการบูรณะ 4K จากฟีล์มต้นฉบับ 16mm ผ่านการตรวจอนุมัติ (Supervised) โดยผกก. Hooper สามารถหาซื้อ Blu-Ray คุณภาพ 4K Ultra HD ในโอกาสครบรอบ 50th Anniversary Edition ค.ศ. 2024 จัดจำหน่ายโดย MPI Media Group … ตราบยังมีภาคต่อ/สร้างใหม่ออกมาฉายเรื่องๆ หนังเรื่องแรกสุดนี้ก็จักถูกเข็นออกมาวางจำหน่ายอยู่เรื่อยๆ

แม้จะสามารถทำความเข้าใจเบื้องหลัง ความลุ่มลึกล้ำ ตื่นตระการตากับสารพัดลูกเล่นภาพยนตร์ แต่ส่วนตัวยังคงไม่ชอบหนังเหมือนเดิมนะแหละ เป็นเรื่องรสนิยมล้วนๆ ไม่ได้ชอบแนวหนังประเภทนี้ ดูจบแล้วไม่ได้สาระข้อคิดอะไร เพียงความหลอกหลอน เสียงกรีดร้องบาดแทงทรวงใน … ไม่เห็นว่ามันจะบันเทิงตรงไหน?

จัดเรต NC-17 กับฆาตกรโรคจิต เสียงกรีดร้องที่สร้างความหลอกหลอน

คำโปรย | The Texas Chain Saw Massacre นำเสนอวันสิ้นโลกของสังคมอเมริกัน ผลผลิตจากระบบทุนนิยมที่กำลังกลืนกิน ทำลายล้างทุกสรรพสิ่ง หลงเหลือเพียงความสิ้นหวัง
คุณภาพ | ร์พี
ส่วนตัว | สิ้นหวัง

Leave a Reply

avatar

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

  Subscribe  
Notify of
%d bloggers like this: