
Unforgiven (1992)
: Clint Eastwood ♥♥♥♥
(1/4/2025) สิ่งที่มิอาจให้อภัยใน Unforgiven (1992) คือความรุนแรงก่อกำเนิดความรุนแรง (Violence begets Violence) ถ้าโสเภณีไม่ถือโทษโกรธเคือง ถ้านายอำเภอไม่ใช่ความรุนแรงเกินกว่าเหตุ ถ้าพระเอกไม่คิดล้างแค้นให้เพื่อนรัก หายนะทั้งหมดคงไม่บังเกิดขึ้น, “ต้องดูให้ได้ก่อนตาย”
ในยุคสมัยที่ภาพยนตร์ตระกูล Cowboy Western กำลังเสื่อมสิ้นความนิยม ใกล้ตายจากไป Unforgiven (1992) ได้ทำการปลุกผี (มีคำเรียก revisionist Western) ย้ำเตือนชาวโลกว่า หนังแนวนี้จะไม่มีวันจางหาย อย่าเผลอไปสร้างความคับข้องแค้นใจให้พวกเขาละ แก่หงักแค่ไหนยังสามารถลุกขึ้นมายิงหัวกระจุยกระจาย
Clint Eastwood‘s Unforgiven takes place at that moment when the old West was becoming new. Professional gunfighters have become such an endangered species that journalists follow them for stories. Men who slept under the stars are now building themselves houses. William Munny, a known thief and a murderer, supports himself with hog farming. The violent West of legend lives on in the memories of men who are by 1880 joining the middle class. Within a few decades, Wyatt Earp would be hanging around Hollywood studios, offering advice.
นักวิจารณ์ Roger Ebert ให้คะแนน 4/4 พร้อมจัดเป็น Great Movie
คำอุทิศของหนัง “Dedicated to Sergio and Don” ทั้งสองคือเพื่อนและอาจารย์ (Mentor) ผู้ล่วงลับของ Clint Eastwood เคยร่วมงานกันหลายครั้ง
- Sergio Leone (1929-89) ผู้กำกับสัญชาติอิตาเลี่ยน บุกเบิกแนวหนัง Spaghetti Western เคยร่วมงานสามครั้ง Dollars Trilogy ประกอบด้วย A Fistful of Dollars (1964), For a Few Dollars More (1965) และ The Good, the Bad and the Ugly (1966)
- Don Siegel (1912-91) ผู้กำกับสัญชาติอเมริกัน เคยร่วมงานกันห้าครั้ง ประกอบด้วย Coogan’s Bluff (1968), Two Mules for Sister Sara (1970), The Beguiled (1971), Dirty Harry (1971) และ Escape from Alcatraz (1979)
ตอนยังหนุ่มๆ Eastwood โด่งดังจากภาพยนตร์แนว Western Cowboy ภาพจำชายผู้มีความอึดถึก นิ่งเงียบ (Man with no Name) ใช้ความรุนแรงโต้ตอบความรุนแรง ใครดีมาดีตอบ ร้ายมาร้ายตอบ ฆ่าได้หยามไม่ได้ แม่นปืนชิบหาย! แต่เมื่อกาลเวลาเคลื่อนผ่าน ไม่มีใครเอาชนะสังขารร่างกาย จึงค่อยๆลดงานแสดง ผันตัวมาเป็นผู้กำกับ เพราะสามารถเลือกโปรเจคในความสนใจโดยง่าย
ตอนสรรค์สร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ Eastwood อายุย่างเข้าหกสิบ ถือว่าอยู่ในช่วงวัยทอง จึงเริ่มมองย้อนทบทวนอดีต สิ่งใดๆเคยกระทำผิดพลาด ก็ถึงเวลาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตนเอง นำเอาประสบการณ์มาให้คำแนะนำคนรุ่นใหม่ ความรุนแรงก่อกำเนิดความรุนแรง (Violence begets Violence)
ไถ่บาปด้วยบุญปืน, Unforgiven (1992) เป็นภาพยนตร์ที่มีแต่ความเคียดแค้น การล้างแค้น มันช่างน่าขยะแขยง ไม่รู้จักจบจักสิ้น! ซึ่งนั่นเคลือบแฝงสาระข้อคิด ให้ผู้ชมเรียนรู้จักการยกโทษให้อภัย (Forgiveness) จักทำให้เราค้นพบความสงบสุข หลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์
ก่อนอื่นขอกล่าวถึง David Webb Peoples (เกิดปี ค.ศ. 1940) นักเขียนบทหนัง สัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Middletown, Connecticut สำเร็จการศึกษาภาษาอังกฤษ University of California, Berkeley ตั้งใจจะเรียนต่อภาพยนตร์ที่ University of California, Los Angeles (UCLA) แต่เลือกสมัครงานสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่ง ฝึกฝนการตัดต่อสารคดี/ฟีล์มข่าว มีโอกาสสัมภาษณ์ผู้กำกับ George Lucas, Francis Ford Coppola, Sidney Lumet ฯ แทบทั้งนั้นต่างพูดกล่าวถึงความสำคัญของบทหนัง จึงเริ่มเกิดความสนใจพัฒนาบทหนังเรื่องแรก The Day After Trinity (1981), โด่งดังพลุแตกกับ Blade Runner (1982), Unforgiven (1992), 12 Monkeys (1995) ฯ
This was in the period when I was editing films for a living. At the same time, I decided to do this spec script. The first couple of scripts I’d written didn’t have violence or killing in them because as much as I enjoy films like James Bond or Star Wars, the killing in them seems so frivolous and unreal. It’s like a fantasy. It’s supposed to be of course and that’s fine.
Then suddenly, along comes Taxi Driver. I had always wanted to make movies that entertained people and I didn’t want to write arty stuff, but I also couldn’t write those fantasy pictures like Star Wars or James Bond. Taxi Driver was a movie that was gritty and had a sense of reality and at the same time entertained the hell out of people. So, I thought that was the way to write movies.
David Webb Peoples
จุดเริ่มต้นของบทหนัง The Cut-Whore Killings หรือ The William Munny Killings (ชื่อเดิมของ Unforgiven) อาจถือว่าได้แรงบันดาลใจจากการรับชม Taxi Driver (1976) เป็นภาพยนตร์ที่มีความสมจริง (Reality) ขณะเดียวกันยังสามารถสร้างความบันเทิงให้กับผู้ชม (Entertainment)
พอดิบดีขณะนั้น Peoples กำลังอ่านนวนิยาย The Shootist (1975) แต่งโดย Glendon Fred Swarthout (1918-92) ดัดแปลงเป็นภาพยนตร์โดย Don Siegel นำแสดงโดย John Wayne (บทบาทสุดท้าย), เต็มไปด้วยความหลงใหลพระเอก มือปืนสูงวัย ล้มป่วยมะเร็งใกล้ตาย แต่ยังมีเรื่องวุ่นๆวายๆให้ต้องสะสางครั้งสุดท้าย
That book influenced me a lot. I’d never seen a movie where the hero who is a gunfighter is afraid to die. So, I thought that was the key to this and that’s something I got a little bit from The Shootist.
Peoples พัฒนาบทหนังเสร็จสิ้นเมื่อปี ค.ศ. 1976 แล้วส่งต่อให้ผู้กำกับ Francis Ford Coppola มีการปรับแก้ไขนิดๆหน่อยๆ ติดต่อนักแสดง John Malkovich รับบท William Munny แต่เพราะไม่สามารถหาทุนสร้าง สตูดิโอใหญ่ๆต่างมองว่าหนังแนว Western หมดยุคสมัยไปแล้ว เลยทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยขึ้นหิ้งทิ้งไว้
ช่วงต้นทศวรรษ 80s เมื่อบทหนังผ่านมาถึง Clint Eastwood อ่านแล้วรู้สึกชื่นชอบประทับใจ ขอซื้อต่อลิขสิทธิ์ แล้วเก็บขึ้นหิ้งเอาไว้ก่อน บอกกับ Peoples พร้อมเมื่อไหร่ถึงนำออกมาสร้างภาพยนตร์
Francis Ford Coppola optioned it in ’84. He took it around, but couldn’t get financing. Clint picked up the option in 1985 and said he was making it “next year” a couple of times. The year before last, my wife was at the Telluride Film Festival and Clint walked on stage. He was overwhelmed by the scenery, he told the audience, and figured it was probably time to make his Western. I was thrilled.
Clinton Eastwood Jr. (เกิดปี 1930) นักแสดง ผู้กำกับสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ San Francisco, California ครอบครัวฐานะค่อนข้างดี สมัยเด็กไม่ค่อยชอบเรียนหนังสือ โดดเรียนออกมาทำงาน Lifeguard, Caddy, เด็กส่งเอกสาร, เสมียน ฯ อาสาสมัครเป็นทหารในช่วง Korean War (1950-53) แต่ไม่เคยถูกส่งไปเกาหลี พอปลดประจำการเข้าตาแมวมอง Universal ชักชวนให้มาเป็นนักแสดง ด้วยความที่หล่ออย่างเดียว ใช้เวลาพักใหญ่ๆกว่าได้รับโอกาสแสดงบทเล็กๆครั้งแรก Revenge of the Creature (1955), พอมีชื่อเสียงกับซีรีย์ Rawhide (1959-65), พลุแตกกับ Dollars Trilogy, แฟนไชร์ Dirty Harry, Escape from Alcatraz (1979), กำกับ/แสดงนำภาพยนตร์ Unforgiven (1992), Mystic River (2003), Million Dollar Baby (2004) ฯ
เมื่อตอน Eastwood ซื้อต่อบทหนัง ได้รับการทัดทานจากเพื่อนนักเขียน (Story Editor) Sonia Chernus สตูดิโอ Malpaso Production ส่งบันทึกข้อความ(Memo)มีรายละเอียด
We would have been far better off not to have accepted trash like this piece of inferior work. I can’t think of one good thing to say about it. Except maybe, get rid of it fast!
Sonia Chernus
แต่ทว่า Eastwood ก็ไม่ได้สนใจคำทัดทานดังกล่าว เก็บบทหนังขึ้นหิ้งไว้กว่าสิบปี พอหยิบกลับมาอ่านยังคงรู้สึกสดใหม่ สัมผัสได้ว่าเรื่องราวอยู่เหนือกาลเวลา! มีแนวคิดจะเพิ่มเติมเนื้อหาบางอย่าง เรียกตัว Peoples มาช่วยปรับปรุงแก้ไข แต่ไปๆมาๆตระหนักว่าสิ่งเหล่านั้นไม่จำเป็นสักเท่าไหร่ สุดท้ายเลยไม่มีการปรับแก้ไขอะไรใดๆ
I got (the script for) Unforgiven in the early ’80s I put it in a drawer for 10 years, I’d done a bunch of Westerns, I thought I should do some other things first. Then 10 years later I picked it up and re-read it and it felt fresh… But a good story is a good story, you can’t be afraid of it.
Clint Eastwood
เกร็ด: ผกก. Eastwood ดัดแปลงสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ตรงตามบทหนังของ Peoples แทบจะเป๊ะๆ, Frances Fisher ผู้รับบท Strawberry Alice กล่าวว่าบทหนังเรื่องนี้ขาวสะอาด ไร้แถบสีที่เกิดจากการปรับแก้ไข
that was the first time I saw a shooting script that was entirely in white. Most of them are multi-coloured, full of blue and red pages or whatever representing various changes in the screenplay
Strawberry Alice
พื้นหลังเมืองสมมติ Big Whiskey, Wyoming เมื่อปี ค.ศ. 1880, คาวบอยชื่อ Quick Mike กรีดใบหน้าโสเภณี Delilah Fitzgerald จนสูญเสียรูปโฉม (เพราะเธอหัวเราะอวัยวะเพศขนาดเล็กของเขา) นายอำเภอ Bill Daggett (รับบทโดย Gene Hackman) ตัดสินโทษด้วยการให้ Quick Mike และคู่หู Davey Bunting จ่ายค่าปรับเป็นม้า 5-6 ตัว แต่นั่นสร้างความไม่พึงพอใจต่อแม่เล้า Strawberry Alice ตั้งค่าหัว $1,000 เหรียญ สำหรับฆาตกรรมคาวบอยทั้งสอง
ณ Hodgeman County, Kansas (เมืองนี้มีอยู่จริง) คาวบอยหนุ่ม Schofield Kid (รับบทโดย Jaimz Woolvett) เดินทางมาเยี่ยมเยียน William Munny (รับบทโดย Clint Eastwood) เพราะได้ยินชื่อเสียงเรียงนาม อดีตคือฆาตกรเลือดเย็น ตั้งใจชักชวนมาร่วมกันล่าค่าหัว Quick Mike & Davey Bunting แต่ในตอนแรกได้รับคำตอบปฏิเสธ เพราะ Will เกษียณตัวจากวงการมานาน แต่งงานมีบุตรชาย-สาว ปัจจุบันกลับตัวกลับใจ ไม่อยากหวนกลับไปเข่นฆ่าใคร
แต่ด้วยสถานะครอบครัวยากจนข้นแค้น หลังสูญเสียภรรยาต้องดูแลบุตรอย่างยากลำบาก ไม่นานนัก Will จึงตัดสินใจออกเดินทาง เริ่มจากชักชวนเพื่อนเก่า Ned Logan (รับบทโดย Morgan Freeman) มาร่วมด้วยช่วยอีกแรง กลายเป็นสามคาวบอยเดินทางสู่ Big Whiskey, Wyoming แต่พอมาถึงก็ถูกนายอำเภอ Little Bill พยายามขัดขวางด้วยความรุนแรง ไม่ต้องการให้มีใครถูกฆ่าในถิ่นฐานของตนเอง … สุดท้ายแล้วภารกิจนี้จะสำเร็จลุล่วงหรือไม่?
Clint Eastwood รับบท William “Will” Munny อดีตคาวบอย นักฆ่าจาก Kansas ผู้มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ แต่หลังจากแต่งงานมีบุตร เกษียณตัวจากวงการ ปัจจุบันกลายเป็นพ่อบ้าน ทำฟาร์มหมู เลี้ยงดูแลบุตรอย่างยากลำบาก ใจจริงไม่อยากตอบรับคำชักชวนของ Schofield Kid แต่ครุ่นคิดว่าเงินค่าจ้าง $1,000 เหรียญ จะทำให้ชีวิตครอบครัวดีขึ้นได้
แต่ไม่มีใครเอาชนะสังขารร่างกาย ด้วยวัยวุฒิเพิ่มสูงขึ้น แค่จะขึ้นขี่ม้ายังวุ่นๆวายๆ แถมสองคู่หูต่างก็พึ่งพาอะไรไม่ค่อยได้ และแม้ว่า Will ไม่ติดใจที่ถูกนายอำเภอ Little Bill กระทำร้ายร่างกาย แต่เมื่ออีกฝ่ายเข่นฆ่าเพื่อนสนิท Ned Logan ทำให้เขามิอาจอดกลั้นฝืนทน หวนกลับไปเป็นนักฆ่าจาก Kansas ล้างบางนายอำเภอและลูกน้อง
เกร็ด: ในบทหนัง Will Munny ได้รับฉายา Three Fingered Jack เพราะมีนิ้วมือเหลือแค่สามนิ้ว แต่ทว่าไม่มีการพูดกล่าวถึง หรือฉายให้เห็นนิ้วมือตัวละคร คงเพราะผกก. Eastwood ไม่อยากเสียเวลากับรายละเอียดที่ไร้ความจำเป็นใดๆ
มันเป็นเหตุผลเข้าใจไม่ยากว่าทำไม Eastwood ถึงขึ้นหิ้งโปรเจคนี้นานนับทศวรรษ เพราะต้องการให้ตนเองถึงช่วงอายุเหมาะสม รวมถึงเก็บสะสมประสบการณ์สร้างภาพยนตร์มากเพียงพอ และอีกความตั้งใจ Unforgiven (1992) คือหนัง Western เรื่องสุดท้ายในชีวิต (อันนี้เรื่องสุดท้ายจริงๆ)
แซว: Eastwood ยังเคยประกาศอีกด้วยว่า Unforgiven (1992) จะเป็นบทบาทการแสดงเรื่องสุดท้าย ต้องการทุ่มเวลาให้กับการกำกับ แต่ไม่นานเขาก็หวนกลับมาเล่นหนัง … อีกหลายเรื่องด้วยนะ
Eastwood แม้เป็นนักแสดงที่เล่นได้หลากหลายบทบาท แต่ผู้ชมส่วนใหญ่กลับมีภาพจำคาวบอย (Man with No Name) หล่อเหลา มาดเท่ห์ เยือกเย็น พูดน้อยต่อยหนัก สวมใส่ผ้าคลุมไหล่ปอนโช (Poncho) แม้เป็นบุคคลนอกกฎหมาย แต่บ่อยครั้งมักผดุงความยุติธรรม ใครดีมาดีตอบ ร้ายมาร้ายตอบ ดวลปืนเก่งชิบหาย!
ภาพจำดังกล่าวคือสิ่งที่ Eastwood นำมาใช้ประโยชน์กับ Unforgiven (1992) ตัวละคร Will Munny คืออดีตคาวบอย นักฆ่าผู้มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ แม้ปัจจุบันแทบจะไม่หลงเหลือสภาพนั้น แต่ผู้ชมสามารถเชื่อสนิทใจ ไม่จำเป็นต้องฉายภาพย้อนอดีต ชายคนนี้ต้องเคยยิ่งใหญ่ตามเสียงลือเสียงเล่าอ้างอย่างแน่นอน!
และพอฉายภาพปัจจุบันของบุคคลเคยยิ่งใหญ่ มาวันนี้แค่จะต้อนหมูเข้าเล้ายังล้มลุกคลุกคลาน ต้องการขึ้นขี่หลังม้ากลับกลิ้งไปกลิ้งมา ยิงปืนหมดกระสุนไม่ถูกเป้าสักนัด! สร้างความห่อเหี่ยว เศร้าสลดใจ โดยเฉพาะคนที่เติบโตมาพร้อมกับยุคสมัยของ Eastwood คงรู้สึกใจหาย ไม่มีใครเอาชนะสังขารร่างกาย
คนเราเมื่อแก่ตัว แต่งงานมีบุตร ชีวิตพบเจอความสงบสุข ก็มักครุ่นคิดทบทวนสิ่งต่างๆในอดีต Will เคยฆ่าคนมามาก บางคนสมควรตาย แต่บางคนอาจไม่น่าจะถึงขั้นนั้น นี่คือช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง โอกาสสองที่จะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ชดใช้ ไถ่โทษ (Redepmtion)
แต่มันคือศักดิ์ศรี (Pride) หลังจากโดนกระตุกหนวด(เสือ) เพื่อนสนิทถูกฆาตกรรมอย่างเลือดเย็น นั่นเป็นสิ่งให้อภัยไม่ได้ (Unforgiven) ทำให้เขาสูญเสีย ‘Will’ ความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะใช้ชีวิตอย่างสงบสุข จำต้องหวนกลับไปเป็นนักฆ่าผู้เหี้ยมโหด ล้างบางนายอำเภอและลูกน้อง … นั่นก็เป็นสิ่งให้อภัยไม่ได้ (Unforgiven) เช่นเดียวกัน!
ผมครุ่นคิดว่าบทบาท Will Munny น่าจะใกล้เคียงที่สุด Eastwood มีโอกาสคว้ารางวัลการแสดง Oscar: Best Actor แต่คงเพราะสมาชิก Academy มองว่ามันไม่ได้แตกต่างจากบทบาทเก่าๆ และคู่แข่งปีนั้น Al Pacino ภาพยนตร์ Scent of a Woman (1992) แทบจะนอนมา … จนปัจจุบัน Eastwood ก็ไม่เคยได้รับรางวัลการแสดง แต่สาขาผู้กำกับกวาดไปสอง + ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมอีกสองครั้ง

Morgan Freeman (เกิดปี ค.ศ. 1937) นักแสดงสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Memphis, Tennessee จากการตรวจ DNA ค้นพบว่าบรรพบุรุษมีเชื้อสาย Songhai และ Tuareg น่าจะมาจากประเทศ Niger, ตั้งแต่อายุ 9 ขวบ ก็มีโอกาสแสดงละครเวทีของโรงเรียน จากนั้นได้ทุนการศึกษา(ด้านการแสดง)ยัง Jackson State University แต่กลับเลือกสมัครทหารอาหาร (U.S. Air Force) ทำงานเป็นช่างซ่อมเรดาร์ หลังปลดประจำการเดินทางสู่ Hollywood ร่ำเรียนการแสดงยัง Pasadena Playhouse เริ่มจากเป็นนักเต้น, ละครเวที Off-Broadway, มีชื่อเสียงจาก Broadway เรื่อง Hello, Dolly! ฉบับคนผิวสี, สำหรับภาพยนตร์แจ้งเกิดจาก Street Smart (1987), Driving Miss Daisy (1989), ผลงานเด่นๆ อาทิ Glory (1989), Unforgiven (1992), The Shawshank Redemption (1994), Se7en (1995), Million Dollar Baby (2004) ** คว้ารางวัล Oscar: Best Supporting Actor ฯลฯ
รับบท Ned Logan เพื่อนสนิทของ Will ในอดีตเคยร่วมทุกข์ร่วมสุข พานผ่านประสบการณ์เฉียดตายร่วมกันมา ปัจจุบันอยู่อาศัยกินกับหญิงพื้นเมืองอินเดียนแดง (ไม่ได้มีบุตร) ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายตามสังขารร่างกาย พอได้รับชักชวนจากคู่หูเก่า ทีแรกก็ตอบปฏิเสธเพราะไม่อยากทอดทิ้งภรรยา แต่ขณะเดียวกันก็มิอาจหักห้ามใจตนเอง ครุ่นคิดว่าฉันยังมีดี อวดอ้างปากเก่ง ถึงอย่างนั้นตอนกำลังจะลงมือ กลับปอดแหก ใจเสีย มิอาจเข่นฆ่าใครได้อีกต่อไป
เกร็ด: ตัวละคร Ned Logan ไม่มีฉายาในบทหนัง แต่หลังจากผู้เขียน David Webb Peoples รับรู้ว่า Morgan Freeman ได้บทบาทนี้ก็ครุ่นคิดตั้งชื่อให้ Black Ned
ตอนพัฒนาบทหนัง Peoples ไม่ได้ลงรายละเอียดใดๆเกี่ยวกับตัวละคร แอบคาดไม่ถึงว่าผกก. Eastwood จะเลือกนักแสดงผิวสีอย่าง Morgan Freeman เข้ามาสร้างความแตกต่างอย่างน่าสนใจ … จริงๆแล้วเห็นว่า Freeman เป็นคนเสนอตัวเข้ามา หลังได้ยินข่าวคราวจาก Kevin Costner ระหว่างถ่ายทำภาพยนตร์ Robin Hood: Prince of Thieves (1991)
ละม้ายคล้ายกับ The Shawshank Redemption (1994) ตัวละครของ Freeman เป็นบุคคลเคยกระทำสิ่งชั่วร้ายในอดีต แต่เมื่อกาลเวลาเคลื่อนผ่าน ก็แทบไม่หลงเหลือความเหี้ยมโหดอันตราย ตรงกันข้ามดูสุภาพ จิตใจอ่อนไหว ลึกๆยังครุ่นคิดว่าฉันสามารถทำอะไรได้เหมือนหนุ่มๆ พอเอาเข้าจริงถึงตระหนักว่าตนเองหมดสิ้นสภาพไปนานแล้ว
เรื่องการแสดงอาจไม่เท่าไหร่ แต่การเป็นคนผิวสีในหนัง Western ช่วยสร้างมิติให้กับหนังได้อย่างมากๆ เพราะยุคสมัยนั้นคนดำยังมีสถานะเป็นทาส โดนดูถูกเหยียดหยามจากคนขาว ขณะที่ English Bob (คนขาว)ได้รับการปล่อยตัว, Ned กลับถูกทรมานจนเสียชีวิต นี่สามารถสำแดงถึงพฤติกรรม Racism ของนายอำเภอ Little Bill อย่างชัดเจน!
และการมีเพื่อนสนิทเป็นคนผิวสี นั่นแสดงว่า Will Munny ไม่ได้สนใจความแตกต่างชาติพันธุ์ (ไม่ได้มีอคติต่อภรรยาของ Ned เช่นเดียวกัน) ตัวตนในอดีตก็อาจไม่ได้เหี้ยมโหด โฉดชั่วร้าย เพียงฉายาที่คนอื่นตั้งให้ พอแก่ตัว+แต่งงาน จึงสามารถกลับตัวกลับใจ
James ‘Jaimz’ Woolvett (เกิดปี ค.ศ. 1967) นักแสดง สัญชาติ Canadian เกิดที่ Hamilton, Ontario เข้าเรียนการแสดงยัง National Theatre School of Canada เริ่มมีชื่อเสียงจากซิทคอม Dog House (1990), แจ้งเกิดภาพยนตร์ Unforgiven (1992) ฯ
รับบท Schofield Kid คาวบอยหนุ่มหน้าใส อ้างอวดว่าเคยเข่นฆ่า 5 ศพ เดินทางมาชักชวน Will Munny ร่วมล่าค่าหัว Quick Mike & Davey Bunting แต่แท้จริงแล้วเป็นคนสายตาสั้น มองไกลๆไม่ค่อยเห็น แถมเต็มไปด้วยความขลาดเขลา ไม่เคยฆ่าใครตาย ครุ่นคิดว่าคงเป็นเรื่องง่ายๆ ทำแล้วรู้สึกผิดอย่างรุนแรง จากนี้ไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพรรค์นี้อีก
The Schofield Kid has named himself, he says, after his Schofield model Smith & Wesson revolver. In an earlier day men were nicknamed by others. Now they create their own monikers, almost as marketing tools.
นักวิจารณ์ Roger Ebert
Schofield Kid คือตัวแทนคนรุ่นใหม่ ครุ่นคิดว่าฉันเก่ง มีความเชื่อมั่นในตนเองสูง แต่ไม่ต่างจากคนสายตาสั้นที่ไร้วิสัยทัศน์ มองไม่เห็นการณ์ไกล เมื่อต้องเผชิญหน้าเหตุการณ์เสี่ยงเป็น-ตาย ประสบหายนะจิตใจ มิอาจยินยอมรับความจริง จมปลักอยู่กับความซึมเศร้า บทเรียนแห่งความโง่เขลา ไม่น่าให้อภัยตนเอง (Unforgiven)
บทบาทของ Woolvett ชวนให้ผมนึกถึง C.W. Moss (รับบทโดย Michael J. Pollard) ภาพยนตร์ Bonnie and Clyde (1967) ต่างเป็นคนปากเก่ง ครุ่นคิดว่าฉันเจ๋ง แท้จริงแล้วกลับพึ่งพาอะไรแทบไม่ได้ พยายามจะพิสูจน์ตัวตน โหยหาการยินยอมรับจากผู้อื่น … โชคชะตาของ Woolvett และ Pollard ก็ละม้ายคล้ายกันด้วยนะ หลังจากโด่งดังพลุแตก แม้ทำให้ยืนยาวอยู่ในวงการภาพยนตร์ แต่ก็เพียงบทสมทบ ตัวประกอบ ไม่เคยประสบความสำเร็จไปมากกว่านี้ … ทำไมกัน?
Richard St John Francis Harris (1930-2002) นักร้อง/นักแสดง สัญชาติ Irish เกิดที่ Limerick, Ireland เป็นบุตรคนที่ห้าจากแปด ในครอบครัวพ่อค้าขายแป้งประกอบอาหาร วัยเด็กใฝ่ฝันอยากเป็นนักกีฬารักบี้ แต่ล้มป่วยวัณโรคเลยเบี่ยงเบนความสนใจมาด้านการละคอน เข้าศึกษาต่อ London Academy of Music and Dramatic Art สิบปีแรกเวียนวนอยู่ในวงการละคอนเวที แสดงภาพยนตร์เรื่องแรก Alive and Kicking (1959), The Guns of Navarone (1961), เริ่มมีชื่อเสียงจาก Mutiny on the Bounty (1962), โด่งดังกับ This Sporting Life (1963), Red Desert (1964), Camelot (1967), Cromwell (1970), Unforgiven (1992), Gladiator (2000), The Count of Monte Cristo (2002), แต่คนส่วนใหญ่อาจจดจำบทบาท Albus Dumbledore สองภาคแรกของแฟนไชร์ Harry Potter
รับบท English Bob คาวบอยสูงวัย วางทางเหมือนผู้ดีอังกฤษ ขึ้นรถไฟพร้อมกับนักเขียนส่วนตัว W.W. Beauchamp (รับบทโดย Saul Rubinek) มาถึงยัง Big Whiskey, Wyoming เพื่อล่าค่าหัว Quick Mike & Davey Bunting ก่อนถูกอริเก่าผันตัวมาเป็นนายอำเภอ Little Bill ล้อมจับกุม รุมประชาทัณฑ์ เปิดเผยเบื้องหลัง จากฉายา The Duke of Death กลายเป็น The Duck of Death
Harris ได้รับการติดต่อจากผกก. Eastwood ระหว่างกำลังรับชมภาพยนตร์ High Plains Drifter (1973) [กำกับ+นำแสดงโดย Eastwood] ฉายอยู่ในโทรทัศน์ มันจะบังเอิญไปไหม? เลยครุ่นคิดว่าอาจเป็นการโทรมากลั่นแกล้ง (Prank Call) แต่ปรากฎว่าไม่ใช่!
บทบาทของ Harris อาจแค่เพียงตัวประกอบไม่กี่นาที แต่ท่าทางเย่อหยิ่ง วางมาดผู้ดีอังกฤษ กล่าวประโยคสั้นๆบนขบวนรถไฟ “One isn’t that quick to shoot a king or a queen.” สร้างความน่าเกรงขาม ทำเอาคาวบอยกระจอก(คล้ายๆโจรกระจอก)เกิดอาการอ้ำอึ่ง หวาดสะพรึง ไม่กล้าหือรือ ขลาดกลัวในชื่อเสียงเรียงนาม
เกร็ด: คำกล่าวของ English Bob ไม่มีใครกล้าลอบสังหาร King or a Queen เป็นการพาดพิงถึงภาพยนตร์ Cromwell (1970) ที่ตัวละครของ Richard Harris คือผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ประหารชีวิต King Charles I เมื่อปี ค.ศ. 1649 ครั้งแรกครั้งเดียวในประวัติศาสตร์อังกฤษ!
น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ English Bob เพียงคนเดียวไม่สามารถต่อกรนายอำเภอและลูกน้อง ซึ่งพอ Little Bill ทำการเปิดโปงเบื้องหลังความจริง ดยุคผู้ยิ่งใหญ่นี้แท้จริงแล้วก็แค่ลูกเป็ด เก่งกับการสร้างภาพ สร้างเรื่องราวโปรโมทตนเอง W.W. Beauchamp พอเรียนรู้ความจริงก็เปลี่ยนมาถือหาง Little Bill โดยพลัน!
Eugene Allen Hackman (1930-2025) นักแสดงสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ San Bernardino, California ครอบครัวหย่าร้างเมื่ออายุ 13 ปี สามปีให้หลังจึงหนีออกจากบ้าน โกงอายุสมัครเข้าทหารเรือ ทำงานหน่วยสื่อสาร ประจำการอยู่ประเทศจีนในช่วง Communist Revolution ปลดประจำการเมื่อปี ค.ศ. 1951 ลงหลักปักฐาน New York ดิ้นรนหางานทำไปเรื่อยๆ จนเกิดความสนใจด้านการแสดง กลายเป็นเพื่อนร่วมห้อง Dustin Hoffman และ Robert Duvall รับบทเล็กๆในซีรีย์โทรทัศน์ แสดงละครเวที Off-Broadway โด่งดังทันทีจากบทสมทบ Bonnie and Clyde (1967), ผลงานเด่นๆ อาทิ The French Connection (1971) **คว้ารางวัล Oscar: Best Actor, The Poseidon Adventure (1972), The Conversation (1974), Superman: The Movie (1978), Mississippi Burning (1988), Unforgiven (1992) **คว้ารางวัล Oscar: Best Supporting Actor, The Royal Tenenbaums (2001) ฯ
รับบท “Little” Bill Daggett อดีตคาวบอยวัย เพื่อนเก่าของ English Bob ก่อนผันตัวมาเป็นนายอำเภอ Big Whiskey, Wyoming มีความเข้มงวดกวดขัน จริงจังกับการบังคับใช้กฎหมาย ใครต่อต้านขัดขืนจักถูกโต้ตอบด้วยความรุนแรง “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” แต่กลับตัดสินโทษ Quick Mike & Davey Bunting เพียงชดใช้ค่าเสียหาย เรียกร้องให้ส่งม้าจำนวน 5-6 ตัวกับโสเภณีผู้ถูกกรีดใบหน้า
การมาถึงของบรรดานักล่าค่าหัว Little Bill ก็ทำการโต้ตอบด้วยความรุนแรง เพราะไม่ต้องการให้เกิดคดีฆาตกรรมขึ้นในอำเภอของตนเอง กระทั่งความตายของ Davey Bunting สามารถจับกุม Ned Logan ทัณฑ์ทรมานจนอีกฝ่ายเสียชีวิต แล้วตั้งศพประจานหน้าบาร์ (Saloon) ระหว่างดื่มเฉลิมฉลอง กำลังจะต้องเผชิญหน้ายมทูต Will Munny
Hackman เคยได้อ่านบทหนังตั้งแต่ Francis Ford Coppola สนใจกำกับ แต่บอกปัดปฏิเสธเพราะบุตรสาวพร่ำบ่นว่าบิดาเอาแต่เล่นหนังที่มีความรุนแรง, หลายปีถัดมาผกก. Eastwood พูดคุยโน้มน้าวว่านี่ไม่ใช่หนังประเภทนั้น “wasn’t a celebration of violence.” เลยยินยอมตอบตกลง
แม้ปากอ้างว่าเพื่อความสงบสุข ตามกฎหมายบ้านเมือง (ที่ตั้งขึ้นเอง) แต่นายอำเภอคนนี้ต้องถือว่าใช้ความรุนแรงพร่ำเพรื่อ แถมเลือกปฏิบัติ กับสองคาวบอยหนุ่ม Quick Mike & Davey Bunting อาจเพราะเป็นคนรู้จักจึงไม่ได้ลงโทษขั้นรุนแรง เพียงชดใช้ค่าเสียหายด้วยม้าไม่กี่ตัว นั่นเลยสร้างความไม่พึงพอใจต่อบรรดาสาวๆโสเภณี กลายเป็นชวนเหตุให้บังเกิดโศกนาฎกรรมติดตามมา
เกร็ด: Eastwood แนะนำให้ Hackman ออกแบบตัวละคร Little Bill โดยมีต้นแบบจากหัวหน้าตำรวจ Daryl Gates ประจำกรุง Los Angeles (Chief of the LAPD) โด่งดังจากก่อตั้งหน่วย S.W.A.T. และทำสงครามกับพ่อค้ายาเสพติด
การแสดงของ Hackman แทบไม่ต่างจากภาพจำ ‘typecast’ ชายผู้มีความเหี้ยมโหด โฉดชั่วร้าย ทำตัวไม่ต่างจากพวกนอกกฎหมาย เพราะเป็นนายอำเภอจึงสามารถใช้ข้ออ้างความถูกต้อง นี่ไม่ใช่โจรกลับใจ แต่คือผู้ร้ายในคราบตำรวจ (Wolf in sheep’s clothing) ตัดสินผู้อื่นตามความพึงพอใจ ใครจะกล้าหือรือ ต่อสู้กับระบบ
สิ่งที่ทำให้บทบาทของ Hackman โดดเด่นเสียจนสามารถคว้ารางวัล Oscar ตัวที่สองนี้ คือความลุ่มหลงระเริงในอำนาจ การเป็นนายอำเภอทำให้เขาครุ่นคิดว่าฉันยิ่งใหญ่ ไม่มีใครกล้าหือรือ ต่อต้านขัดขืน สามารถลงหลักปักฐาน ก่อร่างสร้างบ้านของตนเอง แต่พฤติกรรมเผด็จการ ตัดสินโทษอย่างอยุติธรรม นำมาซึ่งหายนะ โศกนาฎกรรม … ต่อให้พระราชาหรือราชินี ก็มิอาจหลบหนีความตาย

ถ่ายภาพโดย Jack N. Green ชื่อจริง John Niel Green (เกิดปี ค.ศ. 1946) เกิดที่ San Francisco, California ในครอบครัวชนชั้นแรงงาน (Working Class) ที่มีความสนใจด้านการถ่ายภาพ (Photography Enthusiasts) โตขึ้นเข้าโรงเรียนสอนตัดผม หนึ่งในลูกค้า Joseph Dieves คือตากล้องสงคราม ชักชวนมาร่วมงาน พร้อมให้ทันการศึกษา กลายเป็นผู้ช่วยถ่ายทำสารคดี ซีรีย์โทรทัศน์ ควบคุมกล้อง (Camera Operator) ภาพยนตร์ Fighting Mad (1976), แรกพบเจอผกก. Clint Eastwood ในกองถ่ายภาพยนตร์ The Gauntlet (1977) จากนั้นร่วมงานขาประจำจนเลื่อนขึ้นมาได้รับเครดิตถ่ายภาพครั้งแรก Heartbreak Ridge (1986), Unforgiven (1992), จนถึง Space Cowboys (2000), ผลงานเด่นอื่นๆ อาทิ Twister (1996), 50 First Dates (2004), The 40-Year-Old Virgin (2005) ฯ
ผกก. Eastwood เรียนรู้สารพัดเทคนิคการถ่ายทำหนัง Western จากผู้กำกับ Sergio Leone ใช้ประโยชน์จากทิวทัศน์ธรรมชาติ ท้องฟ้ากว้างใหญ่ ช่วงเวลา-สภาพอากาศผันแปรเปลี่ยนไป ส่วนฉากภายใน(ทั้งกลางวัน-กลางคืน)มักปกคลุมด้วยความมืดมิด (Low Key) เพราะยุคสมัยนั้นมีเพียงตะเกียง แสงเทียน ยังไม่มีไฟฟ้าใช้ สะท้อนมุมมืด/สิ่งชั่วร้ายภายในจิตใจได้เป็นอย่างดี
นอกจากทิวทัศน์สวยๆ แช่ภาพค้างไว้หลายวินาที รวมถึงลีลาการขยับเคลื่อนกล้อง ต่างมีความโดดเด่นไม่แพ้กัน! เพราะวิธีการดำเนินเรื่องของหนังมีความเชื่องช้า เนิบนาบ เพื่อให้ผู้ชมค่อยๆซึมซับบรรยากาศโดยรอบ สร้างความลุ้นระทึก ตึงเครียด เมื่อไหร่จะชักปืนขึ้นมายิงต่อสู้ … สำหรับหนัง Western ลีลาการนำดำเนินเรื่องแบบนี้จักทำให้ผู้ชมนั่งแทบไม่ติดเก้าอี้ ห้ามกระพริบตา ห้ามขยับซ้ายขวา เพราะวินาทีชักปืนขึ้นมายิงต่อสู้ มันช่างรวดเร็ว ทุกสิ่งอย่างจบสิ้นลงแค่เพียงเสี้ยววินาที!
สไตล์การทำงานของผกก. Eastwood มีความตรงไปตรงมา (Straightforward) และไร้ความประณีประณอม (Uncompromising) กล่าวคือมีการตระเตรียมทุกสิ่งอย่างไว้พร้อมสรรพ ดัดแปลงเกือบทุกสิ่งอย่างตามบทหนัง นักแสดงพูดตามบทเป๊ะๆ และการถ่ายทำส่วนมากเทคเดียวผ่าน นอกจากความผิดพลาดทางเทคนิคถึงมีครั้งสองสาม ด้วยเหตุนี้จากกำหนดการเดิม 43 วัน ใช้เวลาถ่ายทำจริงแค่ 39 วัน (เสร็จก่อนกำหนดถึง 4 วัน) ระหว่างวันที่ 26 สิงหาคม – 12 พฤศจิกายน ค.ศ. 1991
หนังปักหลักถ่ายทำอยู่ยัง Alberta, Canada (ยกเว้นฉากรถไฟถ่ายทำยัง Red Hills Ranch ณ Sonora, California) มอบหมายให้ผู้กำกับศิลป์ Henry Bumstead เคยร่วมงานภาพยนตร์ High Plains Drifter (1973) ออกแบบสร้างเมืองสมมติ Big Whiskey, Wyoming ให้มีบรรยากาศ “drained, wintry look” ใช้เวลาเตรียมงาน/ก่อสร้างเพียงสองเดือนเท่านั้น!
(ฉากรถไฟถ่ายทำยัง Red Hills Ranch ณ Sonora, California ของสตูดิโอ Universal สร้างขึ้นสำหรับภาพยนตร์ Back to the Future Part III (1990))
ภาพแรก-สุดท้ายของหนัง แอบบอกใบ้เรื่องราวทั้งหมด! โทนสีส้มค่อนไปทางแดง เกิดจากแสงอัสดง พระอาทิตย์ใกล้ลาลับขอบฟ้า สังขารแห้งเหี่ยวโรยรา ท้องฟ้าเมฆครึ้ม สิ่งชั่วร้าย/หายนะกำลังคืบคลานเข้ามา
ครึ่งล่างของภาพ ผืนแผ่นดินปกคลุมด้วยความมืดมิด (จากการถ่ายภาพย้อนแสงอาทิตย์) สามารถเทียบแทนสิ่งชั่วร้ายซุกซ่อนอยู่ภายในจิตใจ อดีตเคยก่อเวรทำกรรมอะไรไว้ ชื่อหนังสีแดงเลือด Unforgiven มิอาจไถ่โทษให้อภัย ฉุดลากพาลงนรกด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น

พื้นหลังของหนังประมาณปี ค.ศ. 1880 คือช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านจากยุคคาวบอย ดินแดนไร้กฎหมาย บ้านป่าเมืองเถื่อน สู่การลงหลักปักฐาน ก่อร่างสร้างเมือง รวมถึงขบวนรถไฟ ทุกสิ่งอย่างกำลังปรับเปลี่ยนแปลง!
- Little Bill ในอดีตเคยเป็นคาวบอย น่าจะมีชื่อเสียงอยู่ไม่น้อย ก่อนตัดสินใจลงหลักปักฐาน ก่อร่างสร้างบ้าน ตอบรับเป็นนายอำเภอ Big Whiskey, Wyoming [ฉายา Little แต่เป็นนายอำเภอ Big] คาดหวังจะใช้ชีวิต(บั้นปลาย)อย่างสงบสุข นั่งดูพระอาทิตย์ขึ้น-ตกดิน ดื่มกินวิสกี้สบายใจเฉิบ
- Will Munny & Ned Logan ทั้งสองก็คืออดีตคาวบอย ชื่อเสียงฉาวโฉ่ หลังจากเกษียณตัว พวกเขาต่างแต่งงานมีครอบครัว สร้างความสุขกาย สบายใจ ชีวิตผันแปรเปลี่ยนไป
- Schofield Kid ชายหนุ่มเต็มไปด้วยความเพ้อใฝ่ฝัน อยากเป็นคาวบอยเท่ห์ๆ สร้างตำนานของตนเอง แต่เมื่อลงมือเข่นฆ่าคนตาย ก็ตระหนักได้ว่าฉันไม่สามารถทำแบบนั้น
- English Bob ในอดีตเคยเป็นคาวบอย ไม่ได้เก่งกาจ ไม่ได้มีชื่อเสียงมากนัก ปัจจุบันว่าจ้างนักเขียน W.W. Beauchamp เพื่อทำการสร้างเรื่อง สร้างตำนาน ปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ตนเองให้โด่งดังเหนือกาลเวลา

หนังถ่ายทำช่วงฤดูใบไม้ร่วง (Autumn) คาบเกี่ยวต้นฤดูหนาว (Winter) ในบทหนังเห็นว่าไม่มีฉากหิมะตก แต่เป็นความบังเอิญล้วนๆก็เลยไม่พลาดโอกาสทอง สอดคล้องเข้ากับฉากที่ Will Munny พอดีหายไข้ (ตอนเดินทางมาถึง Big Whisky จู่ๆล้มป่วยไม่สบาย แถมถูกนายอำเภอ Little Bill กระทำร้ายร่างกาย) ฟ้าหลังฝนหิมะช่างสว่างสดใส

ผมแอบเสียดายความสัมพันธ์ระหว่าง Will Munny และสาวโสเภณีที่ถูกกรีดใบหน้า Delilah Fitzgerald มันน่าจะมีอะไรมากกว่านี้ เพราะทั้งสองต่างมีรอยแผลเป็นที่มิอาจลบเลือน (Delilah แผลเป็นบนใบหน้า, Will บาดแผลภายในจิตใจ) แถมภาพช็อตนี้มีการใช้เลนส์ Split-Focus Diopter ทำให้ระยะใกล้-ไกล มีความคมชัดเท่าเทียม
ผกก. Eastwood เคยมีแนวคิดจะเพิ่มเติมตอนจบ หลังจาก Will ล้างบางนายอำเภอ ระหว่างทางกลับพบเจอ Delilah ออกเดินทางกลับบ้านร่วมกัน (เอาไปเป็นเมียใหม่?) แต่ภายหลังครุ่นคิดได้ว่าหนังไม่ควรจบลงอย่าง Happy Ending เพราะมันจะเป็นเหมือนการยกย่อง/รางวัลของการกระทำ(ล้างบางนายอำเภอ)ว่าเป็นสิ่งถูกต้อง

สถานที่ที่ Will Munny และผองเพื่อนลอบสังหาร Davey Bunting ยังบริเวณภูเขาสูงใหญ่ เต็มไปด้วยโขดหินสำหรับดักซุ่ม หลบซ่อนตัว ปกปิดสันดานธาตุแท้ของพวกเขาที่จะเปิดเผยออกมาระหว่างการยิงต่อสู้ … หรือจะตีความว่าโขดหินเหล่านี้คือภาระหนักอึ้งที่จักฝั่งอยู่ภายในจิตใจหลังการเข่นฆ่าผู้อื่น
- Ned Logan เมื่อยิงปืนนัดแรก เกิดอาการใจฝ่อ ไม่กล้าลงมือซ้ำ ย้ายไปนั่งหันหลัง หลบซ่อนตัว สำแดงอาการขลาดเขลา หวาดกลัว ฉันแก่เกินแกงจะทำอะไรแบบนี้
- ตรงกันข้ามกับ Schofield Kid เพราะมองอะไรไม่เห็นจึงพยายามสอบถามโน่นนี่นั่น ยิงโดนหรือเปล่า เป้าหมายตายหรือยัง เต็มไปด้วยความลุกรี้ร้อนรน กระวนกระวาย ตนเองไม่ได้ทำอะไรสักหน่อยกลับแสดงปฏิกิริยาจะเป็นจะตาย
- Will Munny ดูแล้วไม่ได้อยากลงมือฆ่าใคร แต่เมื่อ Ned ทำไมไหวเลยต้องเข้ามาแทนที่ วัดดวงว่าจะยิงโดนหรือไม่โดน พอกระสุนหมดได้ยินอีกฝ่ายตะโกนขอน้ำดื่ม วินาทีนั้นถ้าไม่ตายเขาก็คงล้มเลิกความตั้งใจ … แม้เป็นคนเลือดเย็น แต่จิตใจไม่ได้เย็นชา


สถานที่ที่ Will Munny และ Schofield Kid ลอบสังหาร Quick Mike ยังบ้านพัก/เซฟเฮาส์แห่งหนึ่ง รายล้อมรอบด้วยพงไม้ขนาดเล็ก … ผมไม่แน่ใจว่าต้นอะไร แต่ดูรกๆ เต็มไปด้วยกิ่งก้าน หนามแหลม ทิ่มแทงทรวงใน บาดแผลภายในจิตใจหลังการเข่นฆ่าผู้อื่น
หลังจากถูกยิง Davey Bunting นอนครวญคราง ทุกข์ทรมาน ใช้เวลาสักพักกว่าจะสิ้นใจตาย, ตรงกันข้ามกับ Quick Mike ถูกยิงแสกหน้าขณะกำลังปลดทุกข์ เสียชีวิตโดยไว (ตามชื่อ Quick)


หลังลอบสังหารสองคาวบอย Will Munny & Schofield Kid นั่งรอคอยสาวโสเภณีเดินทางมาจ่ายค่าหัว ณ บริเวณท้องทุ่งกว้างใหญ่ ลมค่อยๆพัดแรง ท้องฟ้ามืดครื้ม พายุฝนเคลื่อนใกล้เข้ามา (=หายนะกำลังคืบคลานเข้ามา)
- Will Munny ยืนเด่นเป็นสง่า อกผายไหล่ผึ่ง ถ่ายมุมเงยติดท้องฟ้า (ที่จะค่อยๆมืดครึ้มตามลำดับ) สายตาจับจ้องมองสุดปลายขอบฟ้า (โสเภณีควบขี่ม้าตรงเข้ามาจ่ายค่าหัว) ดูมีความแน่วแน่ มุ่งมั่น ราวกับได้สัญชาตญาณนักฆ่าหวนกลับคืนมา
- ตรงกันข้ามกับ Schofield Kid นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ ถ่ายมุมก้ม ท่าทางห่อเหี่ยว ก้มหน้าก้มตา รู้สึกผิดอย่างรุนแรงที่ลงมือฆ่าคน รับสารภาพว่านั่นคือศพแรก ต่อจากนี้ไม่เอาอีกแล้ว ขอตาบอดไม่ก็ขอทาน ดีกว่านอนตายกลายเป็นศพ

สิ่งที่ผมอยากนำเสนอกับภาพนี้ ไม่ใช่ความเท่ห์ ยืนเปียกฝน หลังฆ่าล้างบางนายอำเภอและลูกน้อง แต่คือ Will Munny เมื่อกล่าวประโยคนี้ “I’ll come back and kill everyone of you sons of bitches.” จะติดตามด้วยเสียงฟ้าคำราม ราวกับคำสาบาน มีความน่าเกรงขาม ยิ่งใหญ่ทรงพลัง ใครต่อต้านขัดขืนจักถูกสวรรค์ลงทัณฑ์ … ก่อนยมทูตตนนี้จะค่อยๆหายลับท่ามกลางความมืดมิด

ตอนจบดั้งเดิมของหนัง ไม่ใช่แค่ขึ้นข้อความทิ้งท้าย (Postscript) ยังมีภาพการหวนกลับหาครอบครัวของ Will Munny (Family Reunion) แต่ผกก. Eastwood เลือกตัดทิ้งทั้งซีเควนซ์ เพราะมองว่าไม่จำเป็น และหนังจบลงแล้วตั้งแต่ตัวละครเดินทางออกจาก Big Whisky … ไม่มีใครรู้ว่าฟุตเทจดังกล่าวเก็บไว้ไหน หรือถูกทำลายไปแล้ว
He said he thought that it was a beat too many, and he wasn’t going to use it. He had this sense that the movie had already ended, and sticking on another scene wasn’t going to help. As the sensitive writer, I wish somehow it could have made it in, but he got the rhythm right. He has a brilliant sense of drama.
David Webb Peoples

ตัดต่อโดย Joel Cox (เกิดปี ค.ศ. 1942) สัญชาติอเมริกัน โตขึ้นเข้าทำงานสตูดิโอ Warner Bros. เริ่มจากห้องส่งจดหมาย ไต่เต้าจนได้ฝึกงานห้องตัดต่อ ได้รับเครดิตผู้ช่วยตัดต่อ The Rain People (1969), ตัดต่อเรื่องแรก Farewell, My Lovely (1975), กลายเป็นขาประจำผกก. Clint Eastwood ตั้งแต่ The Gauntlet (1977) จนถึงเรื่องสุดท้าย! ได้เข้าชิง Oscar: Best Film Editing จำนวนสามครั้ง Unforgiven (1992)**คว้ารางวัล, Million Dollar Baby (2004) และ American Sniper (2014)
การดำเนินเรื่องของหนังมักมีการตัดสลับกลับไปกลับมาระหว่าง Will Munny และผองเพื่อน (Ned Logan & Schofield Kid) vs. มุมมองนายอำเภอ Little Bill ที่คอยจัดการเรื่องวุ่นๆวายๆในเมืองสมมติ Big Whiskey, Wyoming
- อารัมบท, ความเคียดแค้นของสาวๆโสเภณี
- คาวบอยหนุ่ม Quick Mike กรีดหน้าโสเภณีสาว
- นายอำเภอ Little Bill ตัดสินโทษเพียงให้ Quick Mike & Davey Bunting ชดใช้ค่าเสียหาย
- สาวๆโสเภณีจึงรวบรวมเงิน ตั้งค่าหัว $1,000 เหรียญ
- Will Munny และผองเพื่อน
- Schofield Kid เดินทางมาชักชวน Will Munny ร่วมกันเป็นนักล่าค่าหัว แต่ได้รับคำตอบปฏิเสธ
- Quick Mike & Davey Bunting นำค่าเสียหายมาชดใช้กับสาวโสเภณี
- Will ใช้เวลาครุ่นคิดอยู่สักพัก ก่อนตัดสินใจออกเดินทาง
- Little Bill รับแจ้งข่าวการตั้งค่าหัว Quick Mike & Davey Bunting
- Will เดินทางมาชักชวน Ned Logan ร่วมกันออกเดินทาง ค่ำคืนนี้หลับนอนท่ามกลางฝูงดาว
- English Bob
- English Bob พร้อมกับ W.W. Beauchamp โดยสารรถไฟมาถึงยัง Big Whiskey, Wyoming
- ลูกน้องนายอำเภอเตรียมความพร้อม ก่อนล้อมจับกุม English Bob
- Will & Ned ติดตามมาพบเจอ Schofield Kid
- ค่ำคืนในเรือนจำ Little Bill เล่าเบื้องหลังความจริงของ English Bob
- Will & Ned & Schofield Kid หลับนอนข้างกองไฟ
- W.W. Beauchamp กลายมาเป็นผู้จดบันทึกชีวประวัติของ Little Bill
- ขณะที่ English Bob ถูกส่งออกนอกเมือง, Will & Ned & Schofield Kid เดินทางมาถึง Big Whiskey
- ความตายของ Quick Mike & Davey Bunting
- Little Bill ได้รับแจ้งการมาถึงของคนแปลกหน้า ลงมือกระทำร้ายร่างกาย Will ที่ไม่ได้ใช้บริการโสเภณี
- Will ได้รับบาดเจ็บหนัก พักรักษาตัว 2-3 วัน
- Will & Ned & Schofield Kid ลงมือสังหาร Davey Bunting
- จากนั้น Ned ขอถอนตัวจากการล่าค่าหัว
- ลูกน้องนายอำเภอสามารจับกุมตัว Ned ถูกทัณฑ์ทรมานให้เปิดเผยถึงสมาชิกที่เหลือ
- Will & Ned ลงมือสังหาร Quick Mike
- Will & Ned นั่งคุยกันนอกเมือง รอคอยเงินค่าหัวจากสาวๆโสเภณี
- ปัจฉิมบท, ค่ำคืนแห่งความตาย
- ค่ำคืนนี้ Little Bill และลูกน้องกำลังดื่มด่ำเฉลิมฉลอง
- การมาถึงของ Will นำพาหายนะ ความตาย
ลีลาการตัดต่อสมควรแก่รางวัล Oscar: Best Film Editing ตามสไตล์หนัง Western โดดเด่นเรื่องการสร้างความตื่นเต้น ลุ้นระทึก โดยเฉพาะฉากไคลน์แม็กซ์ไม่มีใครเร่งรีบร้อนชักปืนออกมายิง ต้องเต๊ะท่า กวาดสายตา ร้อยเรียงปฏิกิริยาตัวละครต่างๆ จากนั้นพูดข่มขู่ ขับไล่ผู้ไม่เกี่ยวข้อง เตรียมความพร้อม รอจังหวะสัญญาณ ความเป็น-ตาย บังเกิดขึ้นภายในเสี้ยววินาที ห้ามกระพริบตาโดยเด็ดขาด!
เพลงประกอบโดย Lennie Niehaus (1929-2020) นักแต่งเพลง แซ็กโซโฟน สัญชาติอเมริกัน เกิดที่ St. Louis, Missouri บิดาเป็นผู้อพยพชาวรัสเซีย เล่นไวโอลินในคณะออร์เคสตราหนังเงียบ การมาถึงของหนังพูด (Talkie) ก็พาครอบครัวอพยพสู่ Los Angeles เสี้ยมสอนบุตรชายเล่นไวโอลินตั้งแต่เจ็ดขวบ ก่อนเปลี่ยนเป็นเครื่องเป่าบาสซูน (Bassoon) และ Alto Saxophone, โตขึ้นเข้าเรียนดนตรี Los Angeles City College ต่อด้วย Los Angeles State College จบออกมากลายเป็นสมาชิกวง Phil Carreón and His Orchestra ต่อด้วย Stan Kento Orchestra, ทำเพลงประกอบภาพยนตร์ ซีรีย์โทรทัศน์ ร่วมงานขาประจำผกก. Clint Eastwood ตั้งแต่ Tightrope (1984), Unforgiven (1992), Space Cowboys (2000) ฯ
นอกจากเสียงกีตาร์ งานเพลงของ Niehaus แทบไม่มีกลิ่นอาย Western หรือ Country สักเท่าไหร่! ส่วนใหญ่บรรเลงด้วยออร์เคสตรา มุ่งเน้นสร้างบรรยากาศทะมึน อึมครึม คลอประกอบพื้นหลังเบาๆ ซึ่งมักถูกกลบด้วยเสียงประกอบ (Sound Effect) ถ้าไม่ตั้งใจฟังก็แทบไม่ได้ยินท่วงทำนองใดๆ นอกเสียจาก Main Theme ชื่อว่า Claudia’s Theme เด่นดังขึ้นหลายครั้งจนเกิดความมักคุ้นชิน
ท่วงทำนอง Claudia’s Theme แต่งขึ้นโดย Clint Eastwood แล้วส่งต่อให้ Niehaus ทำการเรียบเรียง บันทึกเสียง ในอัลบัมมีทั้งหมด 8 Variation ผมขอเลือกฉบับสุดท้ายระหว่าง Closing Credit เริ่มต้นด้วยบรรเลงกีตาร์ (โดย Laurindo Almeida) ตามด้วยออร์เคสตรา ความยาวรวมแล้วกว่าห้านาที น่าจะผสมผสานทุกเวอร์ชั่นของบทเพลงนี้แล้วกระมัง
ปล. Claudia คือชื่อภรรยาผู้ล่วงลับของ Will Munny ด้วยเหตุนี้ท่วงทำนอง ลีลาดีดกีตาร์จึงมีความเชื่องช้า ฟังดูเศร้าโศกา โหยหาครุ่นคิดถึงเธอผู้เป็นที่รัก
Unforgiven (1992) เริ่มต้นด้วยความรุนแรง คาวบอยหนุ่มไม่พึงพอใจที่ถูกโสเภณีหัวเราะอวัยวะเพศขนาดเล็ก สำแดงอารมณ์เกรี้ยวกราด ใช้มีดกรีดใบหน้าจนเสียโฉม ถูกนายอำเภอตัดสินโทษชดใช้ค่าเสียหาย สร้างความไม่พึงพอใจต่อบรรดาสาวๆโสเภณี ตั้งค่าหัว $1,000 เหรียญ เพื่อทำการแก้ล้างแค้น โต้ตอบเอาคืนอย่างสาสม
Will Munny และผองเพื่อนเดินทางสู่ Big Whiskey, Wyoming เพื่อออกล่าค่าหัว สามารถลอบสังหารคาวบอยทั้งสองสำเร็จลุล่วง แต่ทว่า Ned Logan ถูกนายอำเภอจับกุม ทัณฑ์ทรมานจนเสียชีวิต แล้วตั้งศพประจานหน้าบาร์ (Saloon) สร้างความเกรี้ยวกราด บุกเข้ามาภายในร้าน กวาดล้างบางผู้เกี่ยวข้องจนหมดสิ้น
จากเหตุการณ์ความรุนแรงหนึ่ง ก่อกำเนิดอีกเหตุการณ์ความรุนแรงหนึ่ง นายฆ่าเพื่อนฉัน ฉันฆ่าเพื่อนนาย มันคือวงเวียน วัฏจักร ความรุนแรงก่อกำเนิดความรุนแรง (Violence begets Violence) ถ้าโสเภณีไม่ถือโทษโกรธเคือง ถ้านายอำเภอไม่ใช่ความรุนแรงเกินกว่าเหตุ ถ้าพระเอกไม่คิดล้างแค้นให้เพื่อนรัก หายนะทั้งหมดคงไม่บังเกิดขึ้น!
สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ถือกำเนิดจากความรุนแรง ตั้งแต่ยุคบุกเบิกเมื่อชาวยุโรปอพยพไปตั้งถิ่นฐาน ขับไล่-เข่นฆ่าชาวพื้นเมือง กลายเป็นดินแดนบ้านป่าเมืองเถื่อน ยุคสมัยคาวบอยครองเมือง ด้วยเหตุนี้จนถึงปัจจุบัน ชาวอเมริกันส่วนใหญ่จึงยังคงได้รับการปลูกฝังทัศนคติเกี่ยวกับความรุนแรง
some people have said that Unforgiven is anti-violence. I never thought of it that way. I thought of it as trying to do what Scorsese does in most of his pictures, which is make violence a part of life. It’s not a good thing or a bad thing, but something that we all carry within us and that comes out in circumstances in all sorts of people. I like movies that aren’t celebrating violence, but also not preaching that violence is bad, because it’s part of human nature. So I never saw Unforgiven as an anti-violence picture. I saw it as a picture that accepted the fact that violence is part of who we are.
David Webb Peoples
ในมุมมองของผกก. Eastwood และนักเขียน Peoples ต่างเป็นคนไม่ชอบความรุนแรง แต่พวกเขามีความเข้าใจวิถีสังคมอเมริกัน ความรุนแรงคือรากฐานและส่วนหนึ่งของชีวิต มันจึงไม่ใช่เรื่องถูกหรือผิด แค่สิ่งที่(ชาวอเมริกัน)ต้องเรียนรู้และยินยอมรับสภาพเป็นจริง … นั่นคือเหตุผลที่ตัวละคร Will Munny ท้ายที่สุดต้องหวนกลับไปเป็นนักฆ่าเลือดเย็น เพื่อสร้างความถูกต้องชอบธรรมให้กับตนเอง
ผมอ่านเจอว่าหนังเรื่องนี้สร้างขึ้นระหว่างเหตุการณ์ 1992 Los Angeles riots ที่ตำรวจ LAPD ใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุ กระทำร้ายร่างกายชายผิวสี Rodney King เมื่อวันที่ 3 มีนาคม ค.ศ. 1991 ซึ่งระหว่างหกวันพิจารณาคดี 29 เมษายน – 3 พฤษภาคม ค.ศ. 1992 ได้เกิดเหตุการณ์จราจลครั้งใหญ่ใน Los Angeles ฝูงชนสำแดงความไม่พึงพอใจต่อการเลือกปฏิบัติของหน่วยงานรัฐ เกิดการชุมนุม ปล้นสะดม ปะทะกับตำรวจ มีผู้เสียชีวิต 63 คน, ได้รับบาดเจ็บ 2,383 คน มูลค่าความเสียหายกว่า $1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ … เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้หัวหน้าตำรวจ Daryl Gates (Chief of the LAPD) ถูกโจมตีอย่างหนักในการเลือกปฏิบัติ ใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุ จนต้องลาออกจากตำแหน่ง
(มันมีความเป็นไปได้ว่าผกก. Eastwood สรรค์สร้าง Unforgiven (1992) เพื่อสะท้อนเหตุการณ์ตำรวจกระทำร้ายร่างกายชาวผิวสี Rodney King แต่เหตุการณ์จราจลเกิดขึ้นภายหลังการถ่ายทำเสร็จสิ้น ซึ่งสะท้อนเข้ากับตอนจบของหนังได้อย่างคาดไม่ถึง)
การเลือกชื่อหนัง Unforgiven มีความน่าสนใจอย่างมากๆ เพราะทุกตัวละครในหนังต่างโหยหาการไถ่โทษ/ไถ่บาป ต้องการเริ่มต้นชีวิตใหม่ (Redemption) แต่ขณะเดียวกันพวกเขากลับกระทำสิ่งที่(พระเจ้า)ไม่สามารถให้อภัย “We all have it coming, Kid.” ด้วยเหตุนี้ “Deserve’s got nothing to do with it.” มันตรงกับกรรมสนองกรรมเสียมากกว่า
รับชมภาพยนตร์เรื่องนี้ที่เต็มไปด้วยความรุนแรง อาฆาตแค้น เข่นฆ่ากันตายไม่รู้จักจบจักสิ้น เราควรบังเกิดความรู้สึกเอือมระอา ตั้งคำถามว่าทำไมพวกเขาไม่รู้จักประณีประณอม ยินยอมความ พูดคุยหาหนทางออกร่วมกัน เมื่อนั้นโลกจักพบความสงบสุข … นี่แสดงให้เห็นถึงวิถีโลกตะวันตก vs. ตะวันออก มันช่างแตกต่างตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง!
จากทุนสร้าง $14.4 ล้านเหรียญ สัปดาห์แรกทำเงินได้ $15 ล้านเหรียญ ติดอันดับ #1 US Boxoffice นานสามสัปดาห์ รายรับในสหรัฐอเมริกา $101.2 ล้านเหรียญ รวมทั่วโลก $159.2 ล้านเหรียญ ถือเป็นผลงานประสบความสำเร็จสูงสุด(ขณะนั้น)ของผกก. Eastwood
ด้วยเสียงตอบดียอดเยี่ยม ช่วงปลายปีเลยได้ลุ้นหลายรางวัล Oscar, Golden Globe, BAFTA Award จริงๆเหมือนไม่ใช่ตัวเต็ง Scent of a Woman, The Player, Howards End, The Crying Game เป็นปีที่คู่คี่ สูสี ผลลัพท์สร้างความประหลาดใจไม่น้อย
- Academy Awards
- Best Picture **คว้ารางวัล
- Best Director **คว้ารางวัล
- Best Actor (Clint Eastwood)
- Best Supporting Actor (Gene Hackman) **คว้ารางวัล
- Best Original Screenplay
- Best Art Direction
- Best Cinematography
- Best Film Editing **คว้ารางวัล
- Best Sound
- Golden Globe Award
- Best Motion Picture – Drama พ่ายให้กับ Scent of a Woman (1992)
- Best Director **คว้ารางวัล
- Best Supporting Actor (Gene Hackman) **คว้ารางวัล
- Best Screenplay
- BAFTA Award
- Best Film พ่ายให้กับ Howards End (1992)
- Best Director
- Best Supporting Actor (Gene Hackman) **คว้ารางวัล
- Best Original Screenplay
- Best Cinematography
- Best Sound
เกร็ด: Unforgiven (1992) เป็นเพียงภาพยนตร์แนว Western เรื่องที่สามคว้ารางวัล Oscar: Best Picture ถัดจาก Cimarron (1931) และ Dances With Wolves (1990)
กาลเวลาทำให้หนังได้รับการยกย่องสรรเสริญ หนึ่งในภาพยนตร์อเมริกัน Western ยอดเยี่ยมตลอดกาล
- AFI: 100 Years…100 Movies (1998) ติดอันดับ #98
- AFI: 100 Years…100 Movies (10th Anniversary Edition) (2007) ติดอันดับ #68
- AFI: 10 Top 10 (2008) – Western ติดอันดับ #4
- Writers Guild of America: 101 Greatest Screenplays (2006) ติดอันดับ #30
ในโอกาสครบรอบ 25th Anniversary เมื่อปี ค.ศ 2017 สตูดิโอ Warner Bros. ได้ทำการ Remaster (ไม่ใช่บูรณะนะครับ) หรือก็คือสแกนดิจิตอล 4K Ultra HD ไม่แน่ใจหารับชมได้ทาง (HBO) MAX หรือเปล่า?
วันก่อนผมเพิ่งพร่ำบ่นถึง Bonnie and Clyde (1967) ที่ทำการ ‘romanticize’ อาชญากร หล่อเท่ห์ กิ๊บเก๋ ทำตัวหัวขบถแล้วปังปุริเย่ เริงระบำไปกับความรุนแรง (Dance of Death) โดยแทบไม่มีเนื้อหาสาระข้อคิด เพียงคนรุ่นใหม่ต่อต้านระบบ กระทำสิ่งขัดต่อขนบกฎกรอบ
แต่นั่นไม่ใช่สำหรับ Unforgiven (1992) เรื่องนี้มีภาพความรุนแรงไม่น้อยกว่า Bonnie and Clyde (1967) เต็มไปด้วยความโกรธเกลียด อาฆาตแค้น แต่ดูจบเกิดความขยะแขยง ตระหนักถึงวัฏจักรความรุนแรง “Violence begets Violence” ชักชวนให้ผู้ชมขบครุ่นคิด ค้นหาหนทางออก ซึ่งคำตอบมันก็ไม่ได้ยากเย็นแสนเข็น เพียงเรียนรู้จักการยกโทษให้อภัย (Forgiveness)
“ต้องดูให้ได้ก่อนตาย” มันอาจไม่มีตัวละครไหนในภาพยนตร์เรื่องนี้สมควรได้รับการยกโทษให้อภัย แต่เมื่อไหร่เราเรียนรู้ว่าสิ่งตรงข้าม Unforgiven คือ Forgiveness โลกใบนี้คงสงบสุขขึ้นเยอะ!
จัดเรต 18+ กับความรุนแรง เหี้ยมโหดร้าย ฆ่าคนตาย
คำโปรย | สิ่งที่มิอาจให้อภัยใน Unforgiven (1992) คือความรุนแรงก่อกำเนิดความรุนแรงไม่รู้จบสิ้น
คุณภาพ | มาสเตอร์พีซ
ส่วนตัว | มิอาจให้อภัย
Unforgiven (1992)
: Clint Eastwood ♥♥♥♥
(4/3/2017) แด่ Don Siegel กับ Sergio Leone เพื่อนและอาจารย์ผู้ล่วงลับของ Clint Eastwood, ในยุคที่ภาพยนตร์ตระกูล Cowboy Western กำลังตายจากไป Unforgiven ได้ปลุกผีย้ำเตือนกับชาวโลกว่า หนังแนวนี้จะไม่มีวันจางหาย อย่าเผลอไปสร้างความแค้นอะไรให้กับพวกเขาละ แก่แค่ไหนยังสามารถลุกขึ้นมายิงหัวกระจุยได้, “ต้องดูให้ได้ก่อนตาย”
วันก่อนได้ดู Logan (2017) หนังแฟนไชร์ X-Men ของ Wolverine ที่เป็นการรับบทครั้งสุดท้ายของ Huge Jackman และ Patrick Stewart, ต้องบอกว่าอดไม่ได้จริงๆที่ต้องเปรียบเทียบกับหนังเรื่องนี้ ด้วยโครงสร้างเรื่องราวที่มีความคล้ายคลึง ตัวละครก็มีปมจากอดีตแบบเดียวกัน แปลว่าต้องได้อิทธิพลแรงบันดาลใจจากหนังเรื่องนี้มาแน่ๆ
Clint Eastwood สร้าง Unforgiven ในช่วงเวลาที่เหมาะสมยิ่งนัก ตัวเขาขณะนั้นอายุ 60 ปี (เกิดปี 1930) ได้เก็บสะสมประสบการณ์จากการแสดงหนังแนวนี้นับไม่ถ้วน โดยเฉพาะจากผู้กำกับ Don Siegel และ Sergio Leone
– Eastwood ร่วมงานกับ Sergio Leone 3 เรื่อง Dollars Trilogy ประกอบด้วย A Fistful of Dollars (1964), For a Few Dollars More (1965) and The Good, the Bad and the Ugly (1966)
– และร่วมงานกับ Siegel ทั้งหมด 5 เรื่อง ประกอบด้วย Coogan’s Bluff (1968), Two Mules for Sister Sara (1970), The Beguiled (1971), Dirty Harry (1971), Escape from Alcatraz (1979)
เหตุที่ Eastwood ผันตัวมาเป็นผู้กำกับ เพราะวัยวุฒิที่เพิ่งขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ตัวเขาเริ่มหาการแสดงที่มีความท้าทายไม่ค่อยได้แล้ว และการเป็นผู้กำกับทำให้มีสิทธิ์เลือกสิ่งน่าสนใจได้มากกว่า, การสร้างหนังเรื่องนี้ ถือว่าเป็นการอุทิศให้กับผู้กำกับดังทั้งสอง Leone เสียชีวิตปี 1989 และ Siegel เมื่อปี 1991
เขียนบทโดย David Webb Peoples ที่มีผลงานดังอย่าง The Day After Trinity (1980), Blade Runner (1982), 12 Monkeys (1995) ฯ เห็นว่า Peoples พัฒนาบทหนังเรื่องนี้ตั้งแต่ปี 1976 แต่ไม่สามารถหาผู้สนใจสร้างได้ Eastwood เองก็เคยอ่านบทหนังนี้ตั้งแต่ปี 1984 แต่ยังไม่มีความสนใจที่จะสร้าง เพราะตัวเองอยากทำอย่างอื่นก่อน จนกระทั่งการเสียชีวิตของ Leone และ Siegel ทำให้เขารู้ตัว ว่าถึงเวลาต้องเริ่มพัฒนาโปรเจคนี้อย่างจริงจังเสียที
ก่อนหน้าที่จะมาสร้างหนังเรื่องนี้ Eastwood มีผลงานกำกับหลากหลายแนวกว่า 10 เรื่อง เริ่มตั้งแต่เรื่องแรก Play Misty for Me (1971) เป็นแนว Psychological Thriller ตัวเขารับบทเป็นคนจัดรายการวิทยุที่ถูกแฟนสาวโรคจิตสะกดรอยติดตาม (Stalker) ฯ, ภาพยนตร์ทั้งหลายที่ Eastwood กำกับมีทั้งประสบความสำเร็จและล้มเหลว แต่ยังไม่ได้ถึงจุดที่จะดีพอจะได้รับการยกย่องจดจำ จนกระทั่งการมาของ Unforgiven ที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน
สำหรับสไตล์การกำกับ นิตยสาร Life สรุปใจความย่อๆว่า ‘สไตล์ของ Eastwood ชอบที่จะถ่ายก่อน การแสดงค่อยว่ากัน คือนิยมให้นักแสดงแสดงออกทางการกระทำมากกว่าใช้คำพูด’
“Eastwood’s style is to shoot first and act afterward. He etches his characters virtually without words. He has developed the art of underplaying to the point that anyone around him who so much as flinches looks hammily histrionic.”
ส่วนประเด็นความสนใจ มักมีเรื่องราวสำรวจคุณค่าทางจริยธรรม (ethical values) มุมมองของความยุติธรรม (justice), ความมีเมตตา (mercy), และความตาย (suicide and the angel of death)
เกร็ด: Eastwood เป็นพวกขวาจัดอนุรักษ์นิยมหัวรุนแรง ให้การสนับสนุนพรรค Republican อย่างออกนอกหน้า โดยเฉพาะ Donald Trump
ชื่อไทย ‘ไถ่บาปด้วยบุญปืน’ เรื่องราวเกิดขึ้นปี 1880 โสเภณีรายหนึ่งถูกชายสองคนทำร้ายร่างกายจนใบหน้าเสียโฉม เพื่อนของเธอรู้สึกคับแค้นใจจึงประกาศค่าหัวจับตายของเป็นเงินสูงถึง 1,000 เหรียญ ทำให้ William Munny (รับบทโดย Clint Eastwood) คาวบอยสูงวัยที่วางมือจากการดวลปืนมานาน เมื่อได้ยินเรื่องนี้จึงต้องการนำเงินมาเลี้ยงดูครอบครัวของเขา ร่วมมือกับ Ned (รับบทโดย Morgan Freeman) อดีตคู่หูเก่า และคาวบอยหนุ่มตาสั้น Schofield Kid (รับบทโดย Jaimz Woolvett) เพื่อออกติดตามไล่ล่า แต่ถูกขัดขวางโดย Little Bill (รับบทโดย Gene Hackman) นายอำเภอสุดกร่าง พวกเขาจะทำงานนี้ได้สำเร็จหรือไม่
William ‘Will’ Munny เป็นพ่อที่ไม่เอาถ่าน แค่ไล่จับหมูยังหน้าคะมำคลุกขี้ดิน ยากที่ใครจะเชื่อว่าสมัยก่อนเคยเป็นคาวบอยที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ ต้องขอบคุณสิบกว่าปีที่ภรรยาได้เสี้ยมสอนตัดเขี้ยวเล็บจากราชสีห์เป็นลูกแมวน้อยกลายเป็นคนธรรมดาทั่วไป (เมียดีเป็นศรีแก่ตนจริงๆ) แต่จนแล้วจนรอดหลังภรรยาจากไป เพราะความยากจน พ่อจึงจำต้องหวนคืนสู่วงการ แม้ตนจะยิงปืนไม่แม่น ขี่ม้าก็ขึ้นแทบไม่ได้ แต่เงินนี้เพื่อลูก ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น
Eastwood รับบทตัวละครนี้ได้น่าสมเพศเห็นใจมากๆ นี่เป็นสิ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกับพระเอกหนังคาวบอย ที่ส่วนมากต้องหล่อเท่ห์ยิงปืนแม่นสาวกรี๊ด แต่เรื่องนี้คลุกดินคลุกเลน โดนกระถืบ ป่วยหนักปางตาย มีอะไรดีบ้างเนี่ย แต่มันก็ยังไม่เท่าเมื่อเพื่อนรักถูกฆ่า วินาทีนั้นหยิบเหล้าขึ้นมากระดก มือหยุดสั่น ยิงปืนแม่นยิ่งกว่าจับวาง คงไม่มีใครสามารถเล่นบทนี้ได้ดีกว่าชายที่ชื่อ Clint Eastwood อีกแล้ว
‘Little’ Bill Daggett นายอำเภอสุดกร่าง พื้นหลังของเขาค่อนข้างคลุมเคลือ รู้ว่าเคยเป็นสหายกับ English Bob นี่อาจหมายความว่า Little Bill สมัยยังหนุ่มต้องไม่ธรรมดาทีเดียว, ตรรกะของชายคนนี้คือ ‘ตาต่อตา ฟันต่อฟัน’ ใครก็ตามที่ไม่ปฏิบัติตามกฎของสังคม(ที่เขาเป็นคนออก) ต้องได้รับโทษอย่างสาสม ฟังดูเหมือนเป็นคนดี แต่จิตใจก็มีความเคี้ยวคดอัปลักษณ์ ซาดิสต์โหดเหี้ยม ไม่ไว้หน้าใคร ไม่แคร์อะไรเท่านั้น (จะเรียกว่าหลง’อำนาจ’ก็ยังได้)
Gene Hackman กับบทบาทที่ทำให้ได้ Oscar ตัวที่สอง (ตัวแรกจาก The French Connection) มีความโหดลึกเข้มข้น โดยเฉพาะขณะที่พูดประโยคว่า ‘I don’t deserve this. To die like this. I was building a house.’ จะมีใครเห็นใจตัวละครนี้บ้างละเนี่ย, ก่อนหน้าที่ Eastwood จะเข้ามารับหน้าที่กำกับโปรเจคนี้ Hackman เคยได้รับการติดต่อให้มารับบทนำ ตอบตกลง แต่โปรเจคล่าช้าถอนตัว ภายหลัง Eastwood กลับมาเกลี้ยกล่อมอีกรอบจนยอมรับบท แต่เขามีความวิตกกังวลต่อความรุนแรงที่ถ่ายทอดออกมาของตัวละครนี้ ซึ่งผู้กำกับให้ความเชื่อมั่นบอกว่า หนังไม่ได้มีใจความยกย่องเทิดทูนความรุนแรง แต่จะทำให้เห็นความเลวร้ายของมันมากกว่า
นักแสดงสมทบอื่น อาทิ
– Morgan Freeman รับบท Ned Logan สหายคาวบอยเก่าของ Will ที่ปัจจุบันก็รีไทร์มาหลายปี แต่อ้างว่ายังยืนปืนแม่นเหมือนจับวาง กระนั้นเมื่อถึงเวลาเข้าด้ายเข้าเข็มจริงๆ ก็ไม่สามารถย้อนกลับไปได้อีก
– Jaimz Woolvett รับบท Schofield Kid คาวบอยหนุ่มสายตาสั้นมีดีแค่ปาก แต่ก็ยังใจกล้าทำหน้าที่ของตนเองได้สำเร็จ, สมัยก่อนฉายาคาวบอยจะตั้งโดยคนอื่น แต่เด็กหนุ่มคนนี้ตั้งฉายาให้ตนเอง โลกมันเปลี่ยนไปจริงๆ
– Richard Harris รับบท English Bob หนุ่มอังกฤษแม่นปืน ที่ปากดี(ชอบขี้โม้โอ้อวด)แต่ก็พอมีฝีมืออยู่บ้าง กระนั้นก็ยังเป็นคนปอดแหก (ไม่กล้ารับปืนจาก Beauchamp) ทำให้เป็นได้เพียงกระสอบทรายให้สหายเก่า
– Saul Rubinek รับบท W. W. Beauchamp ชายหนุ่มนักเขียนหนังสือ ชีวิตเขาสนใจแค่ความเท่ห์ของคาวบอยสมัยก่อน จับพลัดจับพลูอยู่ในสถานการณ์ที่ทำให้หนังสือเขาขายดีแน่ๆ
ถ่ายภาพโดย Jack N. Green ที่เข้าวงการจากการชักชวนของ Eastwood มีผลงานแรกร่วมกันตั้งแต่ Heartbreak Ridge (1986)
Eastwood มีความชื่นชอบการจัดแสง low-key และถ่ายโดยใช้ back-lighting (ถ่ายภาพย้อนแสง) ทำให้ภาพค่อนข้างมืด มีกลิ่นอายหนังนัวร์ติดอยู่บ้าง, กับภาพในตำนานของหนัง ไม่ต้องหาไกลคือช็อตแรกขณะ Open-Credit
ช็อตนี้ช็อตเดียว สามารถอธิบายเรื่องราวของหนังได้ทั้งเรื่อง, โทนสีส้มค่อนไปทางแดง เกิดจากแสงอาทิตย์ที่ใกล้ตกดิน (เป็นสีหลักของหนัง) ต้นไม้สูงใหญ่เดียวดายไร้ใบ (ชีวิตที่โรยรา) บ้านหลังเดียวคือสิ่งที่เหลืออยู่ในชีวิตของพระเอก, ครึ่งล่างของภาพมืดมิด แทนด้วยสิ่งที่อยู่ภายใต้ในจิตใจ เต็มไปด้วยความมืดหม่น อดีตชั่วร้ายที่อยากหลงลืม ชื่อ Unforgiven ไม่สามารถให้อภัยต่อสิ่งที่เคยเกิดได้
ลีลาการเคลื่อนกล้องถือว่าเป็นอีกหนึ่งจุดเด่น, หนังของ Eastwood แทบทุกเรื่องจะไม่มีการเคลื่อนไหวที่โฉบเฉี่ยว หรือตัดต่อที่ฉับไว ทุกอย่างจะเนิบนาบใจเย็น ค่อยเป็นค่อยไป เคลื่อนเข้าออกอย่างช้าๆ เพื่อให้ผู้ชมค่อยๆซึมซับสัมผัสบรรยากาศของหนังได้อย่างเต็มอิ่ม
แน่นอนว่า Green ได้เข้าชิง Oscar: Best Cinematography แต่พ่ายให้กับ A River Runs Through It ของ Robert Redford (สาขานี้ถือว่าสูสีมากๆ ใครชนะก็พอรับได้)
ตัดต่อโดย Joel Cox ขาประจำของ Eastwood เข้าชิง Oscar 3 ครั้งจาก Unforgiven (1992), Million Dollar Baby (2004), American Sniper (2014) ได้รางวัลเฉพาะกับหนังเรื่องนี้
มีสองเรื่องราวเกิดขึ้นคู่ขนานกัน ฝั่งของพระเอก และฝั่งของผู้ร้าย, การตัดต่อจะสลับกันทีละเรื่องๆอย่างไม่รีบร้อน มีเพียง 2 ครั้งที่พวกเขาพบเจอกันในฉากเดียว ซึ่งขณะประจันหน้าก็มักจะตัดสลับแบบ 1-1 เช่นกัน (ที่ก็ไม่รีบเร่งเท่าไหร่)
ไฮไลท์อยู่ที่ช่วงท้ายเมื่อพระเอกตัวคนเดียว ประจันหน้ากับศัตรูไม่รู้เท่าไหร่ การตัดต่อเลือกมุมกล้องที่มองเห็นตำแหน่งชัดเจน คือรู้ว่าใครเป็นคนยิง ใครถูกยิง ในมุมมองที่รับรู้ได้ว่าคนโดนยิงเสียชีวิตหรือไม่ (แต่มักจะไม่เห็นขณะถูกยิง) จะมีการทิ้งเวลาสักแปปทุกขณะยิง ไม่ใช่ปุ๊ปปับฉับไวดูไม่รู้เรื่องว่าใครยิงใครแบบหนังสมัยนี้, มันเหมือนว่า ทุกความตายมีความสำคัญ ไม่ใช่สักแต่ยิงๆตายๆ การชะรอความเร็ว ทำให้กลายเป็นภาพติดตาของผู้ชม(และตัวละคร) ให้รับรู้ว่า การฆ่ากันตายไม่ใช่เรื่องน่าอภิรมย์แม้แต่น้อย
เพลงประกอบโดย Lennie Niehaus นักดนตรี แต่งเพลงชาวอเมริกา ถนัดแนว Alto saxophone ร่วมงานทำเพลงประกอบภาพยนตร์กับ Eastwood หลายเรื่องทีเดียว
แต่เพลงหลักของหนัง Claudia’s Theme เสียงกีตาร์ที่ได้ยินนั้น เป็น Clint Eastwood แต่งขึ้นเอง (เพลงนี้เพราะสุดในหนัง) ให้สัมผัสของความเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน โหยหวน อดีตอันขื่นขม บางสิ่งอย่างในชีวิตไม่สามารถให้อภัยกันได้ ฯ ถึงคุณไม่เคยดูหนังเรื่องนี้ เชื่อว่าย่อมต้องเคยได้ยินจากที่ไหนสักที่เป็นแน่
ใจความของหนังเรื่องนี้คือ ‘บางสิ่งอย่างไม่สามารถยกโทษให้อภัย/ลืมเลือนได้’
– อดีตของพระเอก เป็นคนเลวทรามต่ำช้า แม้จะถูกภรรยาเสี้ยมสอนจนเหมือนจะเปลี่ยนมาเป็นคนดีแล้ว แต่ไม่วายหวนกลับมาจับปืน กลายเป็นแบบเดิมอีก
– การทำร้ายโสเภณีจนเสียโฉม พวกเธอไม่สามารถให้อภัยหนุ่มๆพวกนั้นได้
– นายอำเภอฆ่าเพื่อนเก่าเพื่อนรักที่รู้จักมานาน แถมทำให้อับอายขายหน้า เป็นเรื่องให้อภัยไม่ได้เช่นกัน
ฯลฯ
กับหนังเรื่องนี้ เหตุเกิดจากการไม่ยอมให้อภัย ยอมความกันไม่ได้ ทำให้เรื่องราวบานปลายไปจนคนตายเต็มไปหมด, กับคนที่ผมมองว่ามีความผิดที่สุดในหนังเรื่องนี้ คือกลุ่มเพื่อนๆโสเภณีที่เดือดเนื้อร้อนใจแทนเจ้าทุกข์ (คือผมไม่เห็นเจ้าตัวจะเป็นทุกข์เป็นร้อนอะไรเท่าไหร่) การตัดสินของนายอำเภอ Little Bill ในตอนแรกผมว่ายุติธรรมเพียงพอแล้วนะ คือเธอก็แค่เสียโฉมไม่ได้เสียชีวิต แลกมาด้วยม้า 5-6 ตัว ก็เหลือเฟือเพียงพอแล้ว ไม่เห็นจำเป็นต้องฆ่าแกงกันให้ตายไปข้างหนึ่ง
แต่ผมไม่ได้สนับสนุนความรุนแรงของนายอำเภอ Little Bill หลังจากนั้นนะครับ, สำหรับตัวละครนี้ ถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย จะถือว่าเป็นพ่อพระเลยละ แต่เมื่อไหร่มีการตายเกิดขึ้น ‘ตาต่อตา ฟันต่อฟัน’ แสดงความโหดเหี้ยมรุนแรงซาดิสต์ออกมาแบบไร้พิกัด
“เพราะการฆ่าคนอื่นตาย เป็นเรื่องที่ให้อภัยไม่ได้”
กับคนอ่านบทความในบล็อคนี้บ่อยๆ น่าจะเห็นผมพูดอยู่เสมอๆว่า “ไม่มีอะไรในโลกที่เราไม่สามารถอโหสิ ยกโทษ ให้อภัยกันไม่ได้” ต่อให้ฆ่าพ่อฆ่าแม่ ฆ่าคนรัก ฆ่าลูกฆ่าหลาน หรือกระทั่งฆ่าคุณเอง ตายไปก็ยังสามารถอโหสิกรรมไม่ถือโทษโกรธเคืองได้อยู่ เพราะถ้าเรามัวคิดแต่จะล้างแค้นเอาคืน เรื่องมันจะไม่จบแค่ภพชาตินี้ ต่อเนื่องยาวออกไปไม่รู้จักจบจักสิ้น ฉันฆ่าพ่อนาย พอลูกโตขึ้นก็หวนกลับมาล้างแค้นฆ่าพ่อฉัน กลายเป็นวัฏจักรวนเวียนอยู่แบบนี้ จนกว่าจะมีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดสามารถเริ่มให้อภัยแกกัน วงจรนี้ก็ไม่มีวันจบสิ้น
ในยุคสมัยที่หนัง Western ค่อยๆเสื่อมความนิยมลง และสองผู้กำกับที่ถือเป็น Iconic รุ่นสุดท้ายจากยุคทองได้จากไปแล้ว เราสามารถเปรียบหนังแนว Western ได้กับคนสูงวัยชราภาพใกล้ตาย ที่ห่างร้างจากช่วงวัยหนุ่มแน่นแข็งแกร่ง, กระนั้นอย่าได้ถูกไป คนแก่มากประสบการณ์มีเยอะ เมื่อถูกทำให้จนตรอกใช่ว่าจะหมดสิ้นไร้น้ำยา ยังคงมีฝีมือ เรื่องราว ความยิ่งใหญ่ไม่เป็นสองรองใคร เช่นกันกับหนังแนว Western ถึงกาลเวลาแห่งความยิ่งใหญ่จะได้หมุนเปลี่ยนผ่านไปแล้ว แต่เชื่อว่าสักวันหนึ่ง ต้องสามารถกลับมาครองความยิ่งใหญ่ได้อีกแน่
นี่คือความยิ่งใหญ่ของหนังเรื่องนี้ ที่ได้กลายเป็นสัญลักษณ์แสดงสถานะของหนังแนว Western ในสมัยนั้น จริงอยู่ฉันแก่แล้ว แต่ยังคงไว้ลาย และไม่มีวันตายจากไป
ด้วยทุนสร้าง $14.4 ล้านเหรียญ ใช้เวลา 318 วันถึงทำเงินเกิน $100 ล้านเหรียญ ไม่ยอมตายจริงๆ! (ใช้เวลาทำเงินถึงร้อยล้านนานที่สุด ตามสถิติของ Boxofficemojo) ทำเงินรวมในอเมริกา $101.1 ล้านเหรียญ (เป็นหนังร้อยล้านเรื่องแรกในชีวิตของ Eastwood) รวมทั้งโลก $159.2 ล้านเหรียญ
หนังเข้าชิง Oscar 9 สาขาได้มา 4 รางวัล ประกอบด้วย
– Best Picture ** ได้รางวัล
– Best Director ** ได้รางวัล
– Best Actor (Clint Eastwood) พ่ายให้กับ Al Pacino จาก Scent of a Woman
– Best Supporting Actor (Gene Hackman) ** ได้รางวัล
– Best Original Screenplay
– Best Cinematography
– Best Film Editing ** ได้รางวัล
– Best Art Direction
– Best Sound
ในปีนั้นมี 4 สาขาของหนังที่ถูก SNUB คือ Best Actor (Clint Eastwood), Best Original Screenplay, Best Cinematography และ Best Art Direction
เกร็ด: มีหนัง Western เพียง 4 เรื่องเท่านั้นที่ได้ Oscar: Best Picture ประกอบด้วย Cimarron (1930/31), Dances With Wolves (1990), Unforgiven (1992) และ No Country For Old Men (2007)
ส่วนตัวค่อนข้างชอบหนังเรื่องนี้ ในบรรยากาศความมืดหม่น การแสดง เพลงประกอบ และกลิ่นอายสไตล์ Cowboy Western แต่ไม่ค่อยชอบความรุนแรงอันบ้าคลั่งในหนังเท่าไหร่ โดยเฉพาะตัวละครของ Gene Hackman ที่ผมรู้สึกมันมากเกินไป (ขนาด 20-30 ปีผ่านไป ยังรู้สึกว่ามันรุนแรงมากอยู่เลย) แต่ถ้าไม่ทำให้รุนแรงขนาดนั้นผู้ชมคงไม่รู้สึกถึงความไม่สมควรยกโทษให้ของตัวละครนี้เป็นแน่
นี่เป็นหนังเรื่องที่ “ต้องดูให้ได้ก่อนตาย” เพื่อเป็นเครื่องเตือนสติการกระทำอะไรบางอย่างที่มีความบ้าคลั่งรุนแรง (ซาดิส/คอรัปชั่น) และไม่ควรกลายเป็นคนหมกมุ่นเรื่องความแค้น จนไม่สามารถให้อภัยใครได้เลย (แม้แต่ตัวเอง)
แนะนำกับคนชื่นชอบหนังสไตล์ Cowboy, Western, Epic ภาพสวยเพลงเพราะ แฟนๆ Clint Eastwood, Gene Hackman, Morgan Freeman, Richard Harris ไม่ควรพลาด
นี่เป็นหนังที่แฝงความรุนแรงอย่างยิ่ง จัดเรต 18+
Leave a Reply