Shane (1953)
: George Stevens ♥♥♥♥
คาวบอยหนุ่มชื่อ Shane ได้โอกาสเริ่มต้นชีวิตใหม่ ณ ชนบนห่างไกล แต่ไม่วายต้องพบเรื่องวุ่นๆ ให้ต้องกลับมาจับปืนอีกครั้ง, เข้าชิง Oscar 6 สาขา ได้มา 1 รางวัล “ต้องดูให้ได้ก่อนตาย”
ไม่มีใครรู้พื้นหลัง ประวัติความเป็นมาของชายชื่อ Shane วันดีคืนดีก็ปรากฎตัวขึ้น ในชุดคาวบอยสะพายปืนขี่ม้า อะไรกันที่ทำให้เขาผ่านมาบริเวณนี้ กำลังจะไปไหน คิดทำวางแผนอะไร แต่ขณะนั้นการเดินทางได้หยุดชะงัก เพราะชายคนหนึ่งได้ทำการชักชวน ‘ทำไมไม่อยู่ด้วยกันเสียที่นี่เลยละ กำลังต้องการคนช่วยอยู่พอดี’
Shane เป็นตัวละครที่ติดอันดับ 16 จาก AFI’s 100 Years… 100 Heroes and Villains ฝั่งฮีโร่ มีความหล่อเท่ห์ สงบเยือกเย็น อ่อนน้อมถ่อมตน และทักษะการต่อสู้ไม่ธรรมดา, ความพิศวงของตัวละครนี้เรียกว่าโดนใจทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เพราะเหมือนว่าทุกคนจะรู้อยู่เต็มอกว่าชายคนนี้ต้องมีลับลมคมในอะไรแน่ๆ แต่การแสดงออกอันถ่อมตัวของเขา ทำให้กลายเป็นที่รักของใครๆ ดังสำนวนที่ว่า ‘เสือซ่อนเล็บ’ คนเก่งพูดน้อยทำมาก คนไม่เก่งพูดมากทำน้อย
สร้างโดยผู้กำกับ George Cooper Stevens (1904 – 1975) ผู้กำกับ โปรดิวเซอร์ นักเขียนบท และตากล้องสัญชาติอเมริกัน ที่มีผลงานดังอย่าง Swing Time (1936), A Place in the Sun (1951), Giant (1956), The Diary of Anne Frank (1959), The Greatest Story Ever Told (1965) ฯ
ดัดแปลงจากนิยายเรื่อง Shane เขียนโดย Jack Schaefer (เป็นเรื่อง debut ของผู้เขียน) ตีพิมพ์รวมเล่มเมื่อปี 1949 ก่อนหน้านี้เขียนลงในนิตยสาร Argosy จำนวน 3 ตอน ใช้ชื่อว่า Rider from Nowhere, เป็นบทภาพยนตร์โดย A.B. Guthrie Jr. นักเขียนนิยายรางวัล Pulitzer Prize
เรื่องราวมีพื้นหลังปี 1889 ที่ Wyoming ในช่วงเวลาที่กฎหมายการยึดครองที่ดิน (Homestead Act) เริ่มประกาศใช้เมื่อปี 1862, เล่าเรื่องโดยใช้มุมมองของเด็กชาย Joey Starrett เริ่มต้นที่พ่อ Joe Starrett กำลังถูก Rufus Ryker เจ้าของที่ดินรุ่นบุกเบิก พยายามข่มขู่เพื่อจะทวงคืนที่ดินในกรรมสิทธิ์ของตน (แต่ไม่ใช่ตามกฎหมาย) วันหนึ่งชายแปลกหน้าชื่อ Shane เดินทางผ่านมา Joe ได้ชักชวนเขาให้อาศัยอยู่ด้วยกัน และภายหลังได้ช่วยเหลือเพื่อต่อสู้กับ Luke Fletcher
เดิมนั้นผู้กำกับ George Stevens ต้องการให้ Montgomery Clift รับบท Shane และ William Holden รับบท Joe Starrett แต่ทั้งคู่ไม่ว่างเลย ทำให้โปรเจคเกือบต้องขึ้นหิ้งทิ้งไป แต่โปรดิวเซอร์ของ Paramount ตัดสินใจร่างรายชื่อนักแสดงที่ว่างขณะนั้นทั้งหมดมา ภายใน 3 นาที Stevens ได้เลือก Alan Ladd, Van Heflin และ Jean Arthur ให้แสดงนำ
Alan Walbridge Ladd (1913 – 1964) นักแสดงชื่อดังสัญชาติอเมริกา ประสบความสำเร็จกับหนังแนว Western และหนังนัวร์ ในช่วงยุค 40s อาทิ This Gun for Hire (1942), The Glass Key (1942) The Blue Dahlia (1946) ผลงานอื่นๆ Two Years Before the Mast (1946), Whispering Smith (1949), The Great Gatsby (1949) ฯ Ladd เป็นนักแสดงที่ประสบความสำเร็จพอตัว แต่ช่วงหลังๆเมื่อเริ่มติดแอลกอฮอล์กู่ไม่กลับ เสียชีวิตด้วยโรคสมองบวม (cerebral edema) จากการติดเหล้าและสารเสพติดอีก 3 ชนิด
รับบท Shane สายตาของเขานับตั้งแต่มาถึงบ้านของ Starrett จับจ้องอยู่แต่ Marian (ภรรยาของ Joe) คงหลงใหลในความงามของหญิงกลางคน นี่เป็นสิ่งที่หนังไม่ได้มีการพูดออกมา แต่ค้นพบได้จากการสังเกตภาษากายของพวกเขา (ซึ่งเหมือนว่า Marian ก็มีใจแอบชอบ Shane อยู่เช่นกัน) และน่าจะคือเหตุผลที่ Shane ตัดสินใจปักหลักทำงาน ทดลองอาศัยอยู่ที่แห่งนี้
เกร็ด: ในนิยาย Bob คิดว่า Shane คือนักแม่นปืนชื่อ Shanon ที่หายตัวไปจาก Arkansas
การแสดงของ Ladd ถือว่ามีความลุ่มลึกเป็นอย่างยิ่ง พูดน้อยต่อยหนัก ใช้ภาษากายสื่อความคิดมากกว่าคำพูด แต่ความที่ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย (สาวๆคงกรี๊ดสลบ) ทำให้ใครๆมักมองข้ามเรื่องการแสดงของเขาโดยสิ้นเชิง ไม่เคยเข้าชิง Oscar สักครั้ง
ผมก็ไม่รู้เป็นความเชื่อ ตรรกะอะไรของคณะกรรมการ Oscar สมัยนั้นนะครับ สังเกตว่านักแสดงหนัง Cowboy Western มีน้อยมากๆที่จะได้เข้าชิงสาขาการแสดง, ไปอ่านเจอบทสัมภาษณ์ของ Clint Eastwood ที่ก็เล่นหนัง Cowboy เจ๋งๆมาเยอะ แต่ไม่เคยเข้าชิงสักครั้งจนกระทั่ง Unforgiven (1992) พูดไว้ประมาณว่า ‘สงสัยผมทำเงินมากไป Oscar เลยไม่ค่อยสนใจ’ [จนปัจจุบัน Eastwood ได้ Oscar มา 4 ตัว แต่กลับไม่เคยได้สาขาการแสดงสักรางวัล]
Jean Arthur (1900 – 1991) นักแสดงสาวสัญชาติอเมริกันที่ได้รับการยกย่องเทียบเท่า Greta Garbo ในความลึกลับพิศวงน่าหลงใหล, มีผลงานดังอย่าง Mr. Deeds Goes to Town (1936), You Can’t Take It With You (1938), Mr. Smith Goes to Washington (1939) ฯ แต่เพราะตัวเลขอายุที่เพิ่มขึ้น ทำให้เธอผันตัวไปเป็นนักแสดงละครเวที/ภาพยนตร์โทรทัศน์, ผู้กำกับ George Stevens ไปเกี้ยวเธอให้กลับมารับบทนี้ (เพราะเคยร่วมงานกันในอดีต จึงยอมตกลง) ในวัย 50 ปี นี่เป็นการแสดงหนังเรื่องสุดท้ายของ Arthur
รับบท Marian Starrett ภรรยาของ Joe สายตาของเธอ ค่อนข้างชัดว่าแอบตกหลุมรัก Shane แต่เพราะเธอแต่งงานมีลูกแล้ว มันเลยเป็นไปไม่ได้ที่ทั้งสองจะมีสัมพันธ์อะไรเกินเลย การกระทำหลายๆอย่างก็ค่อนข้างชัด อาทิ ทำอาหารมื้อแรกให้ Shane แบบเยอะสุดๆ (คือเธอแอบชอบเขา เลยแสดงความสามารถสุดฝีมือ), ความกระอักกระอ่วนตอน Shane กำลังจะจากไป (คือถ้าเป็นแค่คนรู้จัก มันคงไม่ลีลาเยอะขนาดนี้)
การแสดงของ Arthur น่าประทับใจมาก เต็มไปด้วยความว้าวุ่นวายใจ อึดอัดอยากที่จะระบายออกมา สีหน้าตอนเต้นกับ Shane มีความสุขกว่าตอนเต้นกับ Joe เสียอีก แต่วินาทีที่คนรักทั้งสองจะต้องมีคนหนึ่งไปเสี่ยงตาย สาวตาอันหวาดหวั่น ร่างกายสั่นระริกรัว กลัวที่จะสูญเสียทั้งสองไปพร้อมกัน จะทำให้ผู้ชมรู้สึกเห็นใจ ตกหลุมรักตัวละครนี้ (ทั้งๆที่ก็ไม่ได้มีบทบาทอะไรในหนังเท่าไหร่)
Van Heflin นักแสดงสมทบสัญชาติอเมริกัน เคยได้ Oscar: Best Supporting Actor จากหนังเรื่อง Johnny Eager (1942), รับบท Joe Starrett เป็นคนที่มีความคิดอ่านเป็นของตนเอง ยึดมั่นในอุดมการณ์ และกล้าที่จะลุกขึ้นต่อสู้กับความอยุติธรรม, ผมเชื่อว่าตัวละครนี้รับรู้เหตุผลการอยู่ของ Shane เป็นอย่างดี สังเกตจากตอนงานเต้นรำ มุมกล้องจงใจเผยให้เห็นสายตาของ Joe ที่มองขณะ Shane กับ Marian เต้นรำกัน แฝงความอิจฉาเล็กๆ แต่เขาไม่แสดงความรู้สึกโกรธเคืองอะไรออกมา คงเพราะคิดว่าไม่น่ามีอะไรเกิดขึ้นแน่
Brandon De Wilde ตอนเล่นหนังเรื่องนี้อายุ 9 ขวบ รับบท Joey Starrett ที่ยังเต็มไปด้วยความไร้เดียงสา อยากรู้อยากเห็น เพ้อฝันอยากเป็น, เด็กชายยังมีความไม่เข้าใจชีวิตอีกมาก ทำไม Shane ถึงจากไป? ช่วงเวลาไหนเหมาะสมไม่เหมาะ? จริงๆผมแอบรำคาญตัวละครนี้นะ แต่ถือว่าสมวัยไร้เดียงสาเพ้อฝัน เป็นตัวแทนของผู้ชมและเด็กๆที่มอง Shane เป็นดั่งฮีโร่ในดวงใจ
ฝั่งผู้ร้าย Emile Meyer รับบท Rufus Ryker ที่มีความสนใจเฉพาะเรื่องผลประโยชน์ของตนเองเท่านั้น พยายามทำทุกอย่างเพื่อครอบครองสิ่งที่เป็นของตนโดยชอบธรรม ไม่สนเรื่องกฎหมาย (ที่อยู่ห่างไปไม่รู้เท่าไหร่)
Jack Palance รับบท Jack Wilson มือปืนที่ได้รับการว่าจ้างโดย Rufus Ryker, ใบหน้าของ Palance อย่างเดียวถือว่าดูก็รู้เป็นผู้ร้าย เมื่อใส่การแสดงอันสงบนิ่ง เยือกเย็น ผสมความกวนโอ้ยเข้าไป ทำให้กลายเป็นตัวละครที่มีเสน่ห์ ลึกลับ และความเท่ห์แบบคนเลว
ถ่ายภาพโดย Loyal Griggs ที่มีผลงานอย่าง The Ten Commandments (1956), The Greatest Story Ever Told (1965) ฯ
Shane เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของ Paramount และแนว Western ที่ฉายด้วย flat widescreen แต่หนังยังถ่ายทำด้วยสเกล 1.37:1 แค่ถูกตัดด้านบนด้านล่างออก (Crop) ให้กลายเป็น CinemaScope อัตราส่วน 1.66:1 นี่ทำให้ภาพวิวทิวทัศน์สวยๆด้านหลังถูกหั่นออกไปเยอะทีเดียว
กระนั้นงานภาพของหนังเรื่องนี้ ถือว่ามีความสวยงามมากๆ เป็นสีสันของธรรมชาติที่สดใสสมจริง โดยเฉพาะพื้นหลังที่มักเห็นภูเขาสูง ทุ่งหญ้า เมฆหมอกและท้องฟ้าเสมอ แน่นอนต้องคว้า Oscar: Best Cinematography มาครองได้ (น่าเสียดาย เป็นแค่รางวัลเดียวของหนัง)
ตัดต่อโดย William Hornbeck กับ Tom McAdoo, หนังใช้มุมมองของ Joey เล่าเรื่อง เขาคือคนแรกที่และคนสุดท้ายที่เห็น Shane จากสุดขอบฟ้าไกล (พบเจอครั้งแรกตอนกลางวัน และจากลากันตอนกลางคืน)
การตัดต่อเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปไม่รีบเร่ง เน้นการเล่าเรื่องด้วยภาษาภาพเป็นส่วนใหญ่ เพื่อให้ผู้ชมได้สัมผัสกับบรรยากาศความสวยงามของธรรมชาติได้อย่างเต็มอิ่ม ซึ่งระหว่างนั้นการตัดต่อใช้เพื่อเปลี่ยนทิศทางมุมมองของหนังเท่านั้น, สำหรับฉากการยิงสู้ จะมีการตัดสลับไปมาระหว่างคู่กรณีอย่างไม่รีบเร่ง เพื่อเก็บสะสมอารมณ์ สร้างความระทึกขวัญ หาจังหวะเหมาะสม (เรียกว่า อ่านใจ/ดูใจ) ก่อนชักปืนขึ้นมายิงใส่กัน โป้งเดียวจอด!
เพลงประกอบโดย Victor Young (1900 – 1956) คอมโพเซอร์สัญชาติอเมริกัน เป็นชาว Jews เกิดที่ Chicago ไปเรียนดนตรีที่ Poland เป็นลูกศิษย์ของ Roman Statkowski, Young เป็นนักแต่งเพลงยอดฝีมือ เข้าชิง Oscar 22 ครั้ง ตอนมีชีวิตอยู่ไม่เคยได้สักรางวัล แต่หนังเรื่องสุดท้าย Around the World in Eighty Days (1956) ถือว่าเป็น Posthumously หลังจากเสียชีวิต ถ้าไม่มอบให้ก็ถือว่าใจร้ายเกินไป
Victor Young ไม่ได้เป็นญาติอะไรกับ Freddie Young นะครับ อยู่กันคนละขั้วโลกเลย
สำหรับ Shane ใช้ Orchestra เต็มวงแบบจัดเต็ม มีทำนองอันติดหู Nostalgia ฟังครั้งเดียวจดจำได้แน่นอน (นำมาให้ฟังกันด้วย) ให้สัมผัสของธรรมชาติ เนินเขา ท้องทุ่ง ทะเลทราย ไอดินกลิ่นเลนคุกขี้วัว เป็นเพลงแนว Impressionist ฟังแล้วเกิดความประทับใจหลงใหล ตกหลุมรักในความงดงามของแดนดิน ถิ่นธรรมชาติที่อยู่อาศัย ตลบอบอวลด้วยความอิ่มเอิบ สุขสำราญใจที่ได้เกิดมามีชีวิต
บทเพลงใช้เพื่อสร้างบรรยากาศประกอบเรื่องราว, ผู้ชมจะเกิดสัมผัสทางอารมณ์ อิ่มเอิบ ระทึกขวัญ หดหู่ ตื่นเต้น แต่เป็นแบบในความคลาสสิก คือได้แค่สัมผัส แต่จักไม่นำเอามาเป็นอารมณ์ เพราะลักษณะของบทเพลงที่เป็น Impressionist สร้างความประทับใจ มากกว่ากดดันให้เกิดอารมณ์แบบ Expressionist
“A gun is as good or as bad as the man using it. Remember that.”
ผมมองว่า Shane เป็นหนังที่แฝงแนวคิด ปรัชญาการใช้ชีวิตอันลึกซึ้ง โดยมีพื้นหลังเป็นเรื่องราวการต่อสู้ แก่งแย่งชิง เพื่อครอบครองอะไรบางอย่าง
– Ryker ต้องการครอบครองผืนแผ่นที่ดินทั้งหมด ให้เป็นของตน
– Shane มีความเพ้อฝันต้องการครอบครอง Marian (นี่ถือเป็นประเด็นแฝงของหนังนะครับ ไม่ใช่ประเด็นหลัก)
– Joe ต้องการคนช่วยงานสักคน ที่สามารถเป็นเพื่อนร่วมอุดมการณ์เดียวกันได้
– Joey อยู่ในวัยเพ้อฝัน กำลังเติบโต ไขว่คว้าหาสิ่งที่จะเป็นตัวตนของเขาในอนาคต
ฯลฯ
ในบริบทของความขัดแย้ง คนซ้ายจัดกับขวาจัด เป็นไปได้ยากที่จะสนทนานั่งคุยกันแล้วหาจุดร่วมกึ่งกลางได้ ก็แบบ Ryker กับ Joe ที่เป็นการต่อสู้ระหว่างเอกเทศ vs ชุมชนของสังคม (Ryker ต้องการครอบครองทั้งหมดคนเดียว vs Joe และคนอื่นๆ), ความละโมบ vs เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ฯ ถ้าเป็นสมัยนี้คงขึ้นโรงขึ้นศาลว่าความกันไป แต่สมัยก่อนมันมีอีกวิธีหนึ่งที่ใช้ตัดสินคือ ใครแข็งแกร่งกว่าจักเป็นผู้ชนะ นี่เรียกว่า ‘กฎของธรรมชาติ’
Shane ถือเป็นบุคคลนอก ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับใคร มีความเพ้อฝันต้องการครอบครอง แม้รู้ทั้งรู้ว่าอาจเป็นไปไม่ได้ แต่ก็มีความสุขใจที่ได้อยู่ใกล้ๆ, การเสียสละของเขา ไม่สิ มันเหมือนว่า Shane มิอาจฝืนทนเอาชนะความต้องการของตัวเองต่อไปไม่ได้แล้ว (คือถ้าอยู่ต่อไป ก็มีแนวโน้มฉุดกระชาก Marian มาทำเมียเป็นแน่) ในสายตาของคนที่นี่ เพื่อตอบแทนบุญคุณที่เคยช่วยเหลือกันมา มันเลยมีความจำเป็นที่ต้องทำ เพราะนั่นคือตัวตนแท้จริงของเขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ความหลอกลวงที่เขามอบต่อคนเหล่านี้ แทนที่จะให้คนอื่นมารับเคราะห์แทน ฉันนี่แหละจะทำให้ทุกอย่างจบสิ้น
“There’s no going back from it. Right or wrong, it’s a brand, a brand that sticks.”
ประโยคคำพูดนี้ เป็นความคิดที่ไม่ถูกต้องเท่าไหร่ แต่หลายๆคนคงเชื่อแบบนั้น จริงอยู่ไม่มีใครสามารถแก้ไขสิ่งที่เคยทำในอดีตได้ แต่มันคือบทเรียนที่ทำให้คุณค่าความเป็นมนุษย์ของเราสูงขึ้น ซึ่งถ้าไม่หวนกลับไปเป็นแบบนั้นและคิดได้ดังนี้ นี่ก็ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงแล้วนะครับ
การที่ Shane ตัดสินใจออกเดินทาง เพราะคิดว่าคงไม่มีใครในชุมชนยอมรับเขาได้ นี่เป็นสิ่งที่ผิดมหันต์เลย ถ้าสังคมในหนังเป็นแบบนั้นผมจะถือว่าเลวร้ายไม่ต่างกับ Ryker ฝั่งผู้ร้ายแน่ๆ ในทางปฏิบัติ พวกเขาทั้งหลายควรจักยกย่องเข้าใจ นี่แหละคือฮีโร่ของพวกเรา อดีตเป็นสิ่งที่ให้อภัยกันได้อยู่แล้ว เหลือแค่ความคิดความต้องการของ Shane เท่านั้นแหละ ที่จะยอมรับเข้าใจได้หรือเปล่า
ตอนจบของหนัง ตอนที่ Shane ควบม้าผ่านสุสาน (สัญลักษณ์แทนความตาย) มีนักวิเคราะห์หลายคนตีความว่า เขาอาจจะตายตอนจบเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว แต่นี่ก็ไม่มีการยืนยันใดๆนะครับ เป็นการเปิดกว้างให้ผู้ชมคิดวิเคราะห์จินตนาการตามไปเอง ไม่จำเป็นต้องเห็นเหมือนกัน แค่รับรู้ว่าคิดแบบนี้ได้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว
ด้วยทุนสร้าง $3.1 ล้านเหรียญ หนังทำเงินประมาณ $20 ล้านเหรียญ กำไรเน้นๆ, เข้าชิง Oscar 6 สาขา ได้มาเพียง 1 รางวัล
– Best Picture
– Best Director
– Best Actor in a Supporting Role (Brandon De Wilde)
– Best Actor in a Supporting Role (Jack Palance)
– Best Writing, Screenplay
– Best Cinematography, Color ** ได้รางวัล
ประโยค “Shane. Shane. Come back!”
– ติดอันดับ 47 ของ AFI’s 100 Years…100 Movie Quotes
– ติดอันดับ 69 ของ The 100 Greatest Movie Lines นิตยสาร Premiere
ส่วนตัวแค่ชอบหนังเรื่องนี้ เพราะภาพรวมที่เป็นสูตรสำเร็จของหนังคาวบอย เรื่องราวที่ถ้าใครดูแนวนี้บ่อยๆคงจะคาดเดาได้ง่าย, กระนั้นหนังมีอะไรๆที่แอบแฝงเร้นอยู่เยอะมาก ที่ต้องใช้การสังเกตวิเคราะห์ถึงจะพบเห็นสิ่งที่ซุกซ่อนเอาไว้ ตีความได้หลากหลาย และข้อคิดของหนังที่มีความลึกซึ้งกินใจ สวยงามตราตรึงในใจไม่รู้ลืม
ถ้าผมไม่เคยดู The Searcher (1956) ของผู้กำกับ John Ford มาก่อน คงจับไม่ได้ไล่ไม่ทันความลึกล้ำของหนังเรื่องแน่ … แต่เดี๋ยวก่อน Shane สร้างปี 1953 นี่อาจหมายความหว่า The Searcher ย่อมต้องได้อิทธิพลแรงบันดาลใจมาจากหนังเรื่องนี้สินะ
แนะนำกับคอหนัง Cowboy Western ชื่นชอบเรื่องราวการต่อสู้ชีวิตของคนสมัยก่อน, แฟนหนัง George Stevens, Alan Ladd, Jean Arthur, Jack Palance ไม่ควรพลาด
งานภาพหนังเรื่องนี้สวยมากๆ ใครเป็นตากล้อง ช่างภาพ ต้องหามารับชมให้จงได้
จัดเรต 13+ ควรจะต้องโตกว่าเด็กในหนังสักหน่อย ถึงจะเข้าได้ว่า Shane พูดแบบนั้นหมายความว่าอะไร
Leave a Reply