
ปะติดปะต่อช่วงเวลาแห่งการเติบโตของเด็กชาย พร้อมความเปลี่ยนแปลงในครอบครัว และสรรพสิ่งรอบข้าง ที่อาจไม่มีอะไรสมประสงค์ดั่งใจหวัง ถึงอย่างนั้นถ้าเราสามารถ ‘seize the moment’ ด้วยการเป็นตัวของตนเอง แค่นั้นก็มากเพียงพอแล้วกระมัง, “ต้องดูให้ได้ก่อนตาย”
ปะติดปะต่อช่วงเวลาแห่งการเติบโตของเด็กชาย พร้อมความเปลี่ยนแปลงในครอบครัว และสรรพสิ่งรอบข้าง ที่อาจไม่มีอะไรสมประสงค์ดั่งใจหวัง ถึงอย่างนั้นถ้าเราสามารถ ‘seize the moment’ ด้วยการเป็นตัวของตนเอง แค่นั้นก็มากเพียงพอแล้วกระมัง, “ต้องดูให้ได้ก่อนตาย”
ดัดแปลงจากนวนิยายกึ่งอัตชีวประวัติของ Philip K. Dick นำประสบการณ์หลังหย่าร้างภรรยา (คนที่สี่) เสพติดยาจนเริ่มเห็นภาพหลอน ยังดีที่เข้ารักษาตัวในสถานบำบัดได้ทัน แต่เพื่อนของเขาหลายคนอาจไม่โชคดีเช่นนั้น, หนังมีความเป็น ‘สไตล์ Linklater’ มากไปนิด แต่ก็มืดหม่นและเจ็บจี๊ดถึงทรวงใน
จากการถ่ายทำ Live-Action นำมาวาดภาพ Animation ที่อาจดูปวดเศียรเวียนเกล้า แต่ชักชวนให้ผู้ชมครุ่นคิดตั้งคำถาม สนทนาอภิปรัชญา ทุกวันนี้เรากำลังหลับหรือตื่น มีชีวิตหรือจมอยู่ความฝัน อะไรคืออิสรภาพ-โชคชะตากรรม ทำอย่างไรถึงสามารถดิ้นหลุดพ้นจากวัฎฎะสังสาร แล้วมนุษย์เกิดมาทำไมกัน?
ร้อยเรียงวัยอลวลของหนุ่ม-สาวมัธยมปลาย ในวัน-คืนสุดท้ายก่อนปิดภาคการศึกษาฤดูร้อน เต็มไปด้วยพลัง ความสุดเหวี่ยง อะดรีนาลีนหลั่งคลั่ง อนาคตเด็กๆเหล่านี้ช่างว่างเปล่าเหมือนเนื้อเรื่องราว แต่จักกลายเป็นความทรงจำไม่รู้ลืม เก็บฝังไว้ใน Time Capsule
ไม่ใช่แค่ภาพยนตร์ของคน Gen X ที่มาก่อนกาล แต่ยังคือจุดเริ่มต้นการเดิน-คุย ‘สไตล์ Linklater’ ร้อยเรียงทฤษฎีสมคมคิด จริงบ้าง-เท็จบ้าง ด้วยเทคนิคส่งไม้ผลัดแบบ The Phantom of Liberty (1974) กลายเป็นตำนานคงอยู่ใน Time Capsule