Woman in the Dunes (1964) Japanese : Hiroshi Teshigahara ♥♥♥♥♡

(4/10/2024) ในขณะที่ Lawrence of Arabia (1962) พยายามบันทึกภาพท้องทะเลทรายไกลสุดลูกหูลูกตา, Woman in the Dunes (1964) ซูมเข้าไปยังเม็ดทรายเพื่อทำการศึกษาจุลภาคชีวิต เมื่อชาย-หญิงถูกกักขังอยู่ในหลุมทราย พวกเขาจะยังคงความเป็นมนุษย์ได้อีกนานเท่าไหร่? คว้ารางวัล Jury Prize จากเทศกาลหนังเมือง Cannes

The certificates we use to make certain of one another: contracts, licenses, ID cards, permits, deeds, certifications, registrations, carry permits, union cards, testimonials, bills, IOUs, temporary permits, letters of consent, income statements, certificates of custody, even proof of pedigree. Is that all of them? Have I forgotten any? Men and women are slaves to their fear of being cheated. In turn they dream up new certificates to prove their innocence.

ครูสอนหนังสือ/นักนักกีฏวิทยาสมัครเล่น Niki Junpei (รับบทโดย Eiji Okada)

วิถีโลกปัจจุบัน ชนชั้นผู้นำพยายามทำทุกสิ่งอย่างเพื่อให้ประชาชนก้มหัวศิโรราบ อยู่ภายใต้ระบบกฎกรอบทางสังคม มีหลักฐานพิสูจน์ตัวตนด้วยสารพัดบัตรประชาชน ใบขับขี่ หนังสือเดินทาง จะทำกิจกรรมอะไรต้องลงทะเบียนโน่นนี่นั่น ใช้เอกสารนั่นโน่นนี่ นี่นะหรืออิสรภาพ? มองไปทางไหนพบเห็นแต่ผนังกำแพงห้อมล้อมทุกทิศทาง!

Woman in the Dunes (1964) คือโคตรผลงานมาสเตอร์พีซแห่งวงการภาพยนตร์ ที่มอบอิสระผู้ชมขบครุ่นคิด ค้นหาความเป็นได้มากมาย หนึ่งในนั้นคือการเปรียบเทียบตัวละครชาย-หญิง ถูกกักขังหน่วงเหนี่ยวอยู่ในหลุมทราย/สังคมที่ห้อมล้อมด้วยกฎกรอบ ข้อจำกัดโน่นนี่นั่น ไม่สามารถปีนป่ายหลบหนี ทำได้เพียงก้มหัวศิโรราบ ยินยอมรับสภาพเป็นจริง และปฏิบัติตามกฎระเบียบของสถานที่แห่งนี้

อีกการตีความง่ายๆที่พบเห็นบ่อย ตัวละครถูกล่อหลอก ตกหลุมพราง ทำบางสิ่งอย่างผิดพลาด ‘fuck up’ แล้วไม่สามารถแก้ปัญหาหนทางออก หลบหนีเอาตัวรอด จมปลักอยู่ในหลุมทราย ท้ายที่สุดทำได้เพียงค่อยๆยินยอมรับสภาพเป็นจริง … การเดินทางที่จักทำให้สูญเสียทุกสิ่งอย่าง แล้วค้นพบตัวตนเอง (Lost and Found Identity)

He was like an animal who finally sees that the crack in the fence it was trying to escape through is in reality merely the entrance to its cage – like a fish who at last realizes, after bumping its nose numberless times, that the glass of the goldfish bowl is a wall.

คำเปรยตัวละคร Niki Junpei ของผู้แต่ง Kōbō Abe

แต่สิ่งที่ทำให้ผมหลงใหลคลั่งไคล้ คือการตีความในแง่มุมพุทธศาสนา ตัวละครชายพยายามต่อสู้ดิ้นรน กระเสือกกระสน ทำทุกสิ่งอย่างเพื่อให้สามารถหลุดพ้นจากขุมนรก วังวนวัฏฏะสังสาร ก่อนท้ายสุดจักค้นพบหนทางออก อันเกิดจากความสุขสงบภายในจิตใจ

ผมมีความกระตือรือล้น อยากหวนปรับปรุงบทความ Woman in the Dunes (1964) มานานหลายปีทีเดียว เชื่อมั่นว่าตนเองมีศักยภาพเพียงพอทำความเข้าใจ สามารถพบเห็นมุมมองอะไรใหม่ๆ แต่สิ่งคาดไม่ถึงคืออิสรภาพในการครุ่นคิดตีความ ให้ตายเถอะโรบิ้น! มันมีความเป็นไปได้ไม่รู้จบสิ้น


ก่อนอื่นขอกล่าวถึง Kōbō Abe, 安部 公房 (1924-1993) นักเขียนสัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Kita, Tokyo แต่ไปเติบโตยัง Mukden, Manchuria (ปัจจุบันคือ Shenyang, Liaoning ประเทศจีน) วัยเด็กชื่นชอบสะสมแมลง ร่ำเรียนคณิตศาสตร์ หลงใหลการอ่าน พบเห็นความเหี้ยมโหดร้ายของจักรวรรดิญี่ปุ่นต่อชนชาวจีน

I remained in Manchuria for a year and a half after the war and witnessed the complete destruction of social order there. That made me lose all trust in anything stable.

My place of birth, the place where I grew up, and my place of family origin are all different… Essentially, I am a man without a hometown. The sort of aversion I have for hometowns… could be due to this background.

Kōbō Abe

เมื่อโตขึ้นเพื่อที่จะไม่ถูกเกณฑ์ทหาร เดินทางกลับมาร่ำเรียนแพทยศาสตร์ Tokyo Imperial University ช่วงแรกๆประสบปัญหา ‘Cultural Shock’ ไม่มักคุ้นชินกับวิถีชาวญี่ปุ่น (เพราะอาศัยอยู่ Manchuria มาทั้งชีวิต) พอสามารถปรับตัวก็เริ่มแต่งบทกวี Mumei shishu (1947) [แปลว่า Poems of an unknown poet] เขียนเรื่องสั้น นวนิยาย จากนั้นมีโอกาสเข้าร่วมกลุ่ม Night Society ของอาจารย์ Okamoto Taro และนักเขียน Hanada Kiyoteru พยายามผสมผสานความร่วมมือ ‘Collaborative Art’ ก่อนแยกตัวออกมาตั้งกลุ่มใหม่ Century Society ไม่จำกัดแค่สื่อการเขียน แต่ยังเหมารวมภาพยนตร์และศิลปะแขนงอื่นๆ

หน้าปกนวนิยาย The Woman in the Dunes (1962) ฉบับตีพิมพ์ครั้งแรก ออกแบบโดย Yasuo Kazuki

ในช่วงทศวรรษ 50s, Abe เคยเข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์ (Japanese Communist Party) เพื่อต่อต้านการเข้ามาของสหรัฐอเมริกา (ที่ราวกับจะยึดครองญี่ปุ่นเป็นอาณานิคม) คอยบริหารจัดการแรงงาน คนงานเหมือง ชุมชนยากจนในกรุง Tokyo, ระหว่างนั้นตีพิมพ์นวนิยาย The Crime of S. Karuma (1951) คว้ารางวัล Akutagawa Prize (เทียบเท่ากับ Pulitzer Prize ของสหรัฐอเมริกา)

ด้วยข้อเรียกร้อง/ข้อจำกัดมากมายของพรรคคอมมิวนิสต์ ทำให้ Abe เริ่มเขียนบทความในเชิงต่อต้าน ให้การสนับสนุนหลังพรรคแรงงานโปแลนด์ลุกฮือขึ้นต่อต้านรัฐบาล(คอมมิวนิสต์) แสดงความไม่เห็นด้วยกับการที่สหภาพโซเวียตบุกรุกราน Hungary, Czechoslovakia ฯ (เลยถูกไล่ออกจากพรรคเมื่อปี ค.ศ. 1961) พยายามสรรค์สร้างผลงานที่มีความเป็น ‘Socialist Realism’ เขียนบทภาพยนตร์เรื่องแรก The Thick-Walled Room (1956) กำกับโดย Masaki Kobayashi

Abe เริ่มต้นเขียนนวนิยายชิ้นเอก 砂の女 อ่านว่า Suna no Onna แปลตรงตัว Sand Woman ใช้ชื่อภาษาอังกฤษ The Woman in the Dunes ช่วงประมาณปี ค.ศ. 1960-61 โดยนำจากประสบการณ์ตรงที่ชื่นชอบสะสมแมลง ภาพจำภูมิทัศน์ทะเลทราย Mukden, Manchuria แล้วจำลองสถานการณ์เพื่อวิพากย์วิจารณ์พฤติกรรมทางสังคมบางอย่างของชาวญี่ปุ่น

เรื่องราวของ The Woman in the Dunes มักได้รับการเปรียบเทียบกับ

  • ปรัมปรากรีก Sisyphus หรือ Sisyphos กษัตริย์เจ้าอุบายที่ไม่ยอมสยบต่อปวงเทพทั้งหลาย พอตกนรกจึงถูกลงทัณฑ์ให้กลิ้งหินก้อนขึ้นเขา แต่ทุกครั้งพอกำลังจะถึงยอดมีเหตุให้กลิ้งตกลงมา ทำซ้ำอยู่อย่างนั้นตราบชั่วกัลปาวสาน
  • บทละคอน Huis clos (1944) แปลว่า No Exit แต่งโดย Jean-Paul Sartre เรื่องราวเกี่ยวกับสามตัวละคร เชื่อว่าถูกลงโทษทัณฑ์ให้อยู่ในห้องแห่งหนึ่งร่วมกันตราบชั่วกัลปาวสาน

หลังการตีพิมพ์ หนังสือได้เสียงตอบรับอย่างดีล้นหลาม สามารถคว้ารางวัล Yomiuri Prize for Literature เลยได้รับการแปลหลากหลายภาษา (แปลไทยโดยกิติมา อมรทัต ใช้ชื่อนางแห่งเนินทราย) รวมถึงดัดแปลงภาพยนตร์โดยผกก. Hiroshi Teshigahara


Hiroshi Teshigahara, 勅使河原 宏 (1927-2001) ศิลปิน ผู้กำกับภาพยนตร์ สัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Chiyoda, Tokyo เป็นบุตรของ Sōfu Teshigahara ผู้ก่อตั้ง Sōgetsu-ryū (草月流) โรงเรียนสอนศิลปะการจัดดอกไม้ (Ikebana หรือ Japanese Floral Art), ตั้งแต่เด็กมีความสนใจด้านศิลปะ โตขึ้นเข้าศึกษาจิตรกรรม Tokyo Fine Arts School (ปัจจุบันคือ Tokyo University of the Arts หรือ Tokyogeidai) เป็นลูกศิษย์ของ Okamoto Taro จิตรกร/นักแกะสลักผลงาน Abstract ค้นพบความชื่นชอบจิตรกรอย่าง Antoni Gaudí, Pablo Picasso, รวมถึงผู้กำกับภาพยนตร์ Luis Buñuel, Jean Cocteau ฯ จบออกมาทำงานเป็นจิตรกรอยู่สักพัก จับพลัดจับพลูมีโอกาสเขียนบท กำกับสารคดีเกี่ยวกับงานศิลปะ ก่อนเข้าร่วมกลุ่ม Century Society รับรู้จักว่าที่เพื่อนนักเขียนขาประจำ Kōbō Abe

การมาถึงของ Japanese New Wave ในช่วงทศวรรษ 60s นำโดย Shōhei Imamura, Nagisa Ōshima ฯ แยกตัวออกระบบสตูดิโอที่ยึดครองวงการภาพยนตร์ตลอดทศวรรษ 50s เพื่อรังสรรค์ผลงานที่เป็นส่วนตัว ไม่ถูกควบคุมครอบงำโดยใคร นั่นทำให้ผกก. Teshigahara เล็งเห็นโอกาสสรรค์สร้างภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องแรก Pitfall (1962)

สำหรับผลงานลำดับถัดมา เปลี่ยนจากตกหลุมพรางในเหมืองถ่านหิน กลายมาเป็นถูกกักขังหน่วงเหนี่ยวในหลุมทราย ดัดแปลงจากนวนิยายเพิ่งตีพิมพ์ของ Kōbō Abe ชื่อว่า 砂の女, The Woman in the Dunes (1962)

The sand represents for me the society in which we live. Usually, sand and dunes are a placid, romantic landscape, which may appear to us as somewhat fantastic. But in my film, I tried to highlight the other aspect of sand, that which blocks, which interferes with human activity, because this material also has a harmful side.

Hiroshi Teshigahara

เกร็ด: ผกก. Teshigahara ร่วมงานกับนักเขียน Kōbō Abe (และนักแต่งเพลง Toru Takemitsu) จำนวน 4 ครั้ง ประกอบด้วย Pitfall (1962), Woman in the Dunes (1964), The Face of Another (1966) และ The Man Without a Map (1968)


ครูสอนหนังสือ/นักนักกีฏวิทยาสมัครเล่น Niki Junpei (รับบทโดย Eiji Okada) เดินทางสู่ทะเลทรายแห่งหนึ่ง เพื่อค้นหาด้วงเสือ (Tiger Beetles) แต่เมื่อตะวันใกล้ตกดิน ได้รับคำแนะนำจากผู้ใหญ่ให้พักค้างแรมในหมู่บ้าน ปีนป่ายลงไปอาศัยอยู่กับหญิงหม้ายนิรนาม (รับบทโดย Kyōko Kishida) ค่ำคืนนี้ปรนเปรอนิบัติเป็นอย่างดี

เช้าวันถัดมาขณะเตรียมตัวเดินทางกลับ พบว่าบันไดลิงได้สูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย? จึงเริ่มตระหนักว่าตนเองตกหลุมพราง ถูกกักขังหน่วงเหนี่ยว พยายามปีนป่าย สรรหาสรรพวิธีขึ้นจากหลุมทราย แต่จนแล้วจนรอดก็ลื่นไถลลงมา นี่ฉันต้องจมปลักอาศัยอยู่สถานที่แห่งนี้ไปอีกนานแค่ไหน?


Eiji Okada, 岡田 英次 (1920-95) นักแสดงสัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Chōshi, Chiba อาสาสมัคร Imperial Japanese Army เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สอง จากนั้นทำงานเหมือง เซลล์แมนขายของ ก่อนกลายมาเป็นนักแสดงภาพยนตร์ Until We Meet Again (1950), Mother (1952), Hiroshima (1953), Jun’ai Monogatari (1957), โด่งดังระดับนานาชาติกับ Hiroshima mon amour (1959), The Ugly American (1963), Kanojo to kare (1963), Woman in the Dunes (1964), The Sands of Kurobe (1968) ฯ

รับบทครูสอนหนังสือ/นักนักกีฏวิทยาสมัครเล่น Niki Junpei เดินทางมาค้นหาด้วงเสือในทะเลทรายแห่งหนึ่ง ได้รับชักชวนจากผู้ใหญ่ พักอาศัยอยู่ในบ้านหลุมทรายกับหญิงหม้ายนิรนาม ตอนแรกๆแม้สังเกตเห็นพฤติกรรมผิดแผกแปลกประหลาด แต่ก็ยังไม่คาดคิดอะไรสักเท่าไหร่ จนกระทั่งเช้าวันถัดมาเมื่อบันไดลิงสูญหาย สำแดงอารมณ์เกรี้ยวกราด พยายามตะเกียกตะกาย ปีนป่าย หาหนทางดิ้นหลบหนี จับเธอเป็นตัวประกัน ปฏิเสธทำตามคำสั่งใดๆ แต่เมื่อตระหนักว่าไม่มีวันเอาชนะธรรมชาติ จึงค่อยๆเรียนรู้ที่จะยินยอมรับสภาพเป็นจริง

แม้ว่า Okada เวียนวนอยู่ในวงการภาพยนตร์มานานหลายปี แต่เพิ่งมาแจ้งเกิดโด่งดังกับ Hiroshima mon amour (1959) และ The Ugly American (1963) นั่นน่าจะคือเหตุผลให้ได้รับเลือกมาแสดง Woman in the Dunes (1964) เพื่อสามารถเข้าถึงผู้ชมระดับนานาชาติ

ผมเคยพร่ำบ่นไปตอน The Ugly American (1963) ออร่าของ Okada ห่างชั้นจาก Marlon Brando แต่นั่นอาจเพราะอังกฤษไม่ใช่ภาษาหลัก เขาจึงไม่สามารถสื่อสารอารมณ์ออกมาทางประโยคคำพูด แต่เมื่อเป็นภาพยนตร์สัญชาติญี่ปุ่น Woman in the Dunes (1964) ต่อให้ฟัง(ญี่ปุ่น)ไม่รู้เรื่อง ยังสัมผัสได้ถึงความคลุ้มคลั่งซุกซ่อนอยู่ภายใน

ภาพจำของ Okada ดูเฉลียวฉลาด ภูมิฐาน มาดคนเมือง มีความยึดถือเชื่อมั่นต่อ(อุดมการณ์)บางสิ่งอย่างแรงกล้า นั่นทำให้เมื่อตัวละครถูกกักขังหน่วงเหนี่ยวในหลุมทราย หน้ากากเคยสวมไว้จึงค่อยๆเลือนหาย สูญเสียการควบคุม … จากมนุษย์ผู้มีอารยธรรม แปรสภาพสู่สัตว์เดรัจฉาน

แต่สิ่งที่ผมชื่นชอบมากกว่า คือน้ำเสียงบรรยายความรู้สึกนึกคิด มักมีความเนิบนาบ (ไม่ได้ใส่อารมณ์สักเท่าไหร่) เอาแต่พร่ำเพ้อโน่นนี่นั่นเรื่อยเปื่อย สำแดงถึงความครุ่นคิดที่ยังคงหมกมุ่นยึดติด ต้องใช้เวลากว่าสองชั่วโมง(ในหนัง)ถึงสามารถปล่อยละวาง ยินยอมรับสภาพเป็นจริง และเรียนรู้ที่จะปรับตัวเข้าสู่วิถีปัจจุบัน หวนกลับมาเป็นผู้เป็นคน ค้นพบความสุขสงบภายในจิตใจ


Kyōko Kishida, 岸田今日子 (1930-2006) นักแสดงสัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Suginami-ku, Tokyo เป็นบุตรของนักเขียนบทละคอน Kunio Kishida, หลังเรียนจบ เข้าร่วมคณะการแสดง Bungakuza Theatre Company (หนึ่งในสาม Big Three คณะการแสดงโด่งดังที่สุดในญี่ปุ่น), ส่วนภาพยนตร์เริ่มต้นจากบทสมทบ An Inlet of Muddy Water (1953), An Autumn Afternoon (1962), โด่งดังกับ Woman in the Dunes (1964), Manji (1964), Akuto (1965), The Face of Another (1966) ฯ

รับบทหญิงหม้ายนิรนาม อาศัยอยู่ในหลุมทรายโดยลำพังตั้งแต่สามีและบุตรเสียชีวิต ทุกค่ำคืนต้องคอยตักทรายเพื่อไม่ให้ถล่มทับบ้าน เหน็ดเหนื่อยสายตัวแทบขาด เฝ้ารอคอยโอกาส ใครสักคนมาช่วยแบ่งเบาภาระหน้าที่ กระทั่งการมาถึงของ Niki Junpei แม้ถูกกดขี่ โดนทำร้ายร่างกาย ข่มขืนกระทำชำเรา แต่ขอแค่มีเขาอยู่เคียงข้าง ยินยอมอดรนทน พร้อมทำตามคำสั่งทุกสิ่งอย่าง

หน้าตาของ Kishida อาจไม่ได้สวยสะคราญ แค่เพียงตัวแทนหญิงสาวธรรมดาสามัญ ถึงอย่างนั้นถ้าคุณลองอยู่สองต่อสองกับเธอตามลำพัง เชื่อเถอะว่าสักวันจักเริ่มพบเห็นความงาม อีโรติก แต่นั่นหาใช่ความรัก เพียงวัตถุทางเพศ (Object of Desire) สำหรับตอบสนองสันชาตญาณเอาตัวรอดของสิ่งมีชีวิต

การแสดงของ Kishida มองผิวเผินอาจแค่ทาสรับใช้ รองมือรองเท้า รองรับอารมณ์ฝ่ายชาย แต่ถ้าสังเกตดีๆจักพบเห็นอาการหวาดระแวง สั่นสะพรึงกลัว เพราะการอยู่คนเดียวในหลุมทรายมันช่างเปล่าเปลี่ยว โดดเดี่ยวเดียวดาย โหยหาใครสักคนเคียงข้างกาย นั่นคือเหตุผลที่ทำให้เธอยินยอมก้มหัวศิโรราบ พร้อมทำทุกสิ่งอย่างให้เขาโดยไม่ปริปากบ่น เพื่อเราสองคนเมื่ออยู่เคียงข้าง จักสามารถพานผ่านทุกสถานการณ์ยากลำบาก … มันชัดเจนมากๆตอนแพ้ท้อง ตั้งครรภ์ พยายามต่อต้านขัดขืน ไม่อยากถูกหามขึ้นจากหลุมทราย เพราะลึกๆกลัวว่าเขาจะทอดทิ้งเธอไปชั่วนิรันดร์

เอาจริงๆฝีไม้ลายมือด้านการแสดงของ Kishida ถือว่าไม่ธรรมดา มันมีมากกว่าแค่เป็นทาสรับใช้/วัตถุทางเพศ ราวกับแม่พระเสียด้วยซ้ำ! แต่มาตรฐานความงาม (Beauty Standard) ในวงการภาพยนตร์ช่างสูงลิบลิ่ว เธอจึงไม่ค่อยได้รับโอกาสสักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่เล่นบทรอง ตัวประกอบ มีชื่อเสียงจากวงการละคอนเวทีเสียมากกว่า

Both Okada and Kishida got into their roles so deeply. That the look on their faces changed during the four-month shooting.

Hiroshi Teshigahara

ถ่ายภาพโดย Hiroshi Segawa, 瀬川浩 ผลงานเด่นๆ อาทิ Pitfall (1962), Woman in the Dunes (1964), The Face of Another (1966), Under the Flag of the Rising Sun (1972) ฯ

ในขณะที่ Lawrence of Arabia (1962) พยายามบันทึกภาพท้องทะเลทรายไกลสุดลูกหูลูกตา, Woman in the Dunes (1964) ซูมเข้าไปยังเม็ดทรายเพื่อทำการศึกษาจุลภาคชีวิต ให้ความสำคัญกับเนื้อสัมผัส (Texture) ซ้อนภาพพื้นผิวทะเลทรายเข้ากับผิวกายมนุษย์ นอกจากนี้ยังเต็มไปด้วยทิศทาง-มุมกล้องแปลกๆ จัดวางองค์ประกอบภาพเพื่อสร้างสัมผัสนามธรรม (Abstract)

และอิทธิพลจากเคยถ่ายทำสารคดี ทำให้ผกก. Teshigahara ชื่นชอบบันทึกภาพทะเลทรายไปเรื่อยเปื่อย (ไม่มีอยู่ในสคริป) แล้วนำมาร้อยเรียง แปะติดปะต่อ แทรกใส่ตรงโน่นนี่นั่น จนทำให้ทรายนั้นเหมือนมีชีวิต จิตวิญญาณของตนเอง กลายเป็นหนึ่งในตัวละครหลักของหนัง!

For me, the body and landscape must be considered as objects and must especially not be regarded as something aesthetic. This idea of the aesthetic must be abandoned in favor of the functional idea of the object, so as to give a certain reality to the human body or the natural landscape… It is less the closeup itself than the relationship between the establishing shot and the medium shot that gives this reality its value

Hiroshi Teshigahara

ด้วยความที่ญี่ปุ่นเป็นเกาะ จึงไม่ค่อยมีท้องทะเลทราย (ส่วนใหญ่จะเป็นหาดทราย) คนส่วนใหญ่เลยรับรู้จักแค่ Tottori Sand Dunes (ทะเลทรายขนาดใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น) แต่หนังปักหลักถ่ายทำยัง Hamaoka Sand Dunes (浜岡砂丘) ตั้งอยู่ Omaezaki, จังหวัด Shizuoka ซึ่งมีขนาดใหญ่อันดับสามของญี่ปุ่น

ภาพแรกของหนังปรากฎข้อความ Produced by Teshigahara มีลักษณะเหมือนการฉีกกระดาษ หรือภาพยนตร์เรื่องนี้ที่พยายามแหกขนบกฎกรอบ ทำลายสิ่งที่มนุษย์ยึดถือปฏิบัติในโลกยุคสมัยใหม่

ภาพแรกมองผ่านๆดูเหมือนแผนที่ภูมิประเทศ (Topographic Map) มีเส้นความสูง (Contour Lines) สำหรับบอกระดับสูง-ต่ำของพื้นที่ แต่ถ้าสังเกตดีๆจะพบเห็นสารพัดตราปั๊มประจำตระกูล ถูกห้อมล้อมรอบ ซ้อนทับหลายชั้น นี่สามารถสื่อถึงทุกสิ่งอย่างในสังคมปัจจุบัน ล้วนพยายามควบคุมครอบงำให้มนุษย์อยู่ภายใต้กฎกรอบอะไรบางอย่าง

ระหว่างปรากฎชื่อเครดิตนักแสดงและทีมงาน ก็ยังพบเห็นตราปั๊มประจำตระกูล ไม่ก็ลายนิ้วมือ สิ่งใช้บ่งบอกถึงการมีตัวตนในปัจจุบัน, นอกจากนี้ยังได้ยินเสียงผู้คน รถรา กระดิ่ง บีบแตร เต็มไปด้วยความเซ็งแซ่ สับสนวุ่นวาย นี่น่าจะสามารถสื่อถึงสังคมเมือง/กรุง Tokyo กระมังนะ!

และภาพสุดท้ายก่อนเครดิตชื่อหนัง มีลักษณะไม่ได้แตกต่างจากภาพแรกมากนัก แต่เปลี่ยนจากตราปั๊ม (ตระกูล) มาเป็นดวงตา (เห็นธรรม) ปรากฎขึ้นแวบหนึ่งพร้อมเสียงประกอบที่สร้างความตกใจ ราวกับว่าเพิ่งค้นพบว่าตนเองถูกรายล้อมรอบด้วยบางสิ่งอย่าง ให้อยู่ภายใต้กฎกรอบของสังคม

จากเม็ดทรายก้อนเล็กๆสู่ผืนทะเลทราย นี่คือการนำเสนอแนวคิดจุลภาคสู่มหภาค จำลองเหตุการณ์เล็กๆ เรื่องราวชาย-หญิงอาศัยอยู่ในหลุมทราย สามารถเปรียบเทียบถึงวิถีชีวิตผู้คน สังคม การเมือง โลกและจักรวาล

สำหรับคนที่เล่นกล้องย่อมต้องรับรู้จัก Film Grain จุดเล็กๆหยาบๆบนฟีล์ม อันเกิดจากอนุภาคขนาดเล็กของ Silver Halide สารไวแสงที่นิยมใช้ในฟีล์มเคมี โดยอนุภาคเหล่านี้จะเกิดขึ้นกระจายแบบสุ่มทั่วทั้งภาพ ถือเป็นเนื้อสัมผัส (Texture) เอกลักษณ์ของฟีล์ม (ไม่พบเจอในกล้องดิจิตอล) จะว่าไปก็มีลักษณะคล้ายๆเม็ดทรายในภาพสุดท้าย

อาจมีคนครุ่นคิดว่าริ้วรอยที่เกิดขึ้นบนพื้นผิวทราย มีใครใช้ไม้กวาดไปกวาดหรือทำอะไรไว้ไหม? มันถึงออกมาดูสวยงามตาเช่นนี้ แต่จริงๆแล้วมันคือปรากฎการณ์ธรรมชาติรอยริ้วคลื่น (Ripple Mark) เกิดเนื่องจากการกระทำของคลื่นลมหรือกระแสน้ำ พบได้ทั้งบนบกและที่พื้นท้องน้ำ ซึ่งรอยริ้วบนเนินทรายที่เกิดจากลม จะมีลักษณะไม่สมมาตร วางตัวเป็นแนวยาว แนวของสันคลื่นจะขนานกัน

ลักษณะของรอยริ้วคลื่น มันช่างไม่แตกต่างจากภาพวาด Opening Credit ให้ความรู้สึกเหมือนกฎกรอบที่ห้อมล้อมรอบตัวละครทุกทิศทาง พยายามปีนป่าย ตะเกียกตะกาย ก้าวสู่เนินทราย แต่สถานที่แห่งนี้ไม่ต่างจากเขาวงกต คดเคี้ยวเลี้ยวลด ไม่สามารถหาหนทางออก ไปไม่ถึงจุดสูงสุดเสียที!

Niki Junpei คงเดินจนเหน็ดเหนื่อย จึงทิ้งตัวลงนอนพักบนเรือที่เกยตื้นบนทะเลทราย พร่ำเพ้อรำพันถึงเธอคนนั้น (บอกใบ้ว่าเขาอาจเคยมีภรรยา แต่น่าจะเลิกราหย่าร้างกันไปแล้ว) พบเห็นภาพซ้อนใบหน้าเธอกับทะเลทราย รวมถึงซับทับตัวเขาเอง (มีทั้งภาพซ้อน/นามธรรม และตัวจริง/รูปธรรม) นี่แสดงถึงความเลือนลางระหว่างชาย-หญิง ในทิศทางแตกต่างตรงกันข้าม

ถ้าเรือลำนี้ล่องลอยคออยู่ในมหาสมุทร ย่อมมีแนวคิดที่ไม่แตกต่างจากหลุมทราย ต้องแหวกว่าย ตะเกียกตะกาย หาหนทางเอาตัวรอดกลับเข้าฝั่ง! โดยเสาหลักตั้งโด่เด่ จัดวางมุมกล้องในตำแหน่งที่ดูเหมือนลึงค์ (อวัยวะเพศชาย) หมายถึงบุรุษคือแกนนำ/หัวหน้าครอบครัว ผู้กำหนดทิศทางชีวิต นำพาเรือลำนี้ดำเนินสู่ฟากฝั่งฝัน

การใช้ชีวิตอยู่ภายในหลุมทรายนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย! เพราะบ้านหลังนี้มีความชำรุดทรุดโทรม พังมิพังแหล่ เต็มไปด้วยเม็ดทรายร่วงหล่น สภาพอากาศเหนียวเหนอะหนะ ทุกค่ำคืนต้องออกไปตักทรายไม่ให้ไหลถล่มมาพังบ้าน … เหล่านี้ล้วนสามารถตีความในเชิงสัญลักษณ์

  • สภาพบ้านพังมิพังแหล่
    • บางคนตีความถึงสภาพจิตวิทยาตัวละครระหว่างถูกกักขังหน่วงเหนี่ยว
    • บางคนเปรียบเทียบกับสถาบันครอบครัว ความสัมพันธ์ชาย-หญิง สามี-ภรรยา ฝืนทนอาศัยอยู่ร่วมกัน
    • สังคม ประเทศชาติ ปล่อยปละละเลยความเป็นอยู่ของประชาชน เอาแต่จับจ้องมองลงมาจากเบื้องบน ไม่สนห่าเหวอะไรคนเบื้องล่าง
  • สภาพอาการเหนียวเหนอะหนะ สร้างความอึดอัด ไม่สบายร่างกาย รำคาญจิตใจ นี่ไม่ใช่สภาพแวดล้อมเหมาะสำหรับพักอยู่อาศัย
  • ทรายไหล รวมถึงเม็ดทรายที่ร่วงหล่นเข้ามาในบ้าน ผมมองถึงสารพัดสิ่งต่างๆที่ชนชั้นผู้นำ/สังคมรังสรรค์สร้างขึ้น เพื่อโอบห้อมล้อม ควบคุมครอบงำ พยายามแทรกซึมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง
  • ส่วนเหตุผลของการต้องตักทรายทุกค่ำคืน เพื่อไม่ให้สิ่งภายนอก(ทรายไหลลงมา)เข้าครอบงำทุกสิ่งอย่างในชีวิต หลงเหลือพื้นที่สำหรับเป็นตัวของตนเอง
    • เช่นนั้นแล้วบ้านหลังนี้ จึงยังสามารถสื่อถึง ‘Safe Zone’ สำหรับปกป้องอิทธิพลจากภายนอก ไม่ให้บุกรุกรานเข้ามาภายใน พื้นที่แห่งความสุขสงบของจิตใจ

ค่ำคืนแรกหลังดูเวลาจากนาฬิกา Seiko ประมาณสองทุ่ม จะมีการนำเสนอในลักษณะ Abstract Art ซ้อนภาพเรือนร่างมนุษย์กับรอยริ้วทะเลทราย จากนั้นทำการแทรกสอดรอยริ้วแนวนอนกับแนวตั้ง (จนมีลักษณะคล้ายๆ Moiré Pattern) จริงๆมันยังมีภาพอื่นอีกแต่ผมจะกระโดดไปยังตอนจบ ซ้อนภาพโครงร่ม(ที่มีลักษณะวงกลม)กับเรือนร่างหญิงสาวนอนเปลือยกาย ก่อนปรากฎแสงอรุณรุ่ง ตื่นขึ้นตอน 11 โมงกว่าๆ

ผมมองซีนนี้นำเสนอการเปลี่ยนแปรสภาพ จากรอยริ้วแนวนอน→แนวตั้ง (รวมถึงรอยริ้วที่เป็นเส้นแนวยาว→โครงร่มวงกลมออกจากจุดศูนย์กลาง), ค่ำมืด→ฟ้าสาง, ฝ่ายชายหลับนอนหันข้างหลัง→หญิงสาวเปลือยกายนอนหงาย, จากชายผู้เคยมีชีวิตอย่างอิสรภาพ → ต่อจากนี้จักถูกกักขังหน่วงเหนี่ยว ไม่สามารถหลบหนีออกจากหลุมทราย

นี่เป็นภาพที่ผมต้องแยกออกมาอธิบาย เช้าตื่นขึ้นมา Niki Junpei ใช้นิ้วกลางขยี้ตาสองข้าง จากนั้นเกิดการ ‘Cross-Cutting’ กับโครงร่มที่มีแก่นร่มยื่นยาวออกมา แลดูราวกับสัญลักษณ์ของลึงค์ (อวัยวะเพศชาย) แล้วต่อด้วย ‘Cross-Cutting’ ทิ่มแทงไปยังภาพหญิงสาวนอนเปลือยกาย … จินตนาการกันออกไหมเอ่ย?

เห็นภาพนี้ทีไรชวนให้ผมนึกถึงภาพยนตร์ The Graduate (1967) แฝงนัยยะคล้ายๆกันคือฝ่ายชายกำลังถูกล่องลอยโดยฝ่ายหญิง นอนอ่อยเหยื่อ ไม่ได้สวย แต่ร่านเซ็กซี่ พยายามเชื้อเชิญให้เขาร่วมเพศสัมพันธ์

Niki Junpei พยายามสารพัดวิธีที่จะตะเกียกตะกาย ปีนป่าย หาหนทางหลบหนีออกจากหลุมทราย แต่จนแล้วจนรอด ไม่สามารถเอาชนะ ‘กำแพงธรรมชาติ’ จำต้องจมปลักอยู่ยังสถานที่แห่งนี้ … ภาพนี้ดูโคตรๆเสี่ยงอันตราย เนินทรายองศาสูงสามารถถล่มลงมาได้รับบาดเจ็บ

ด้วยความที่ผกก. Teshigahara เคยทำงานสารคดีมาหลายปี จึงชอบบันทึกภาพโน่นนี่นั่นเรื่อยเปื่อย นำเอาสารพัดฟุจเทจทรายไหล ทรายถล่ม แทรกใส่เข้ามามากมายนับไม่ถ้วน บางครั้งเห็นแล้วก็หวาดเสียวแทน เพราะดูแล้วมีความเสี่ยงอยู่ไม่น้อยทีเดียว

Niki Junpei จับมัดหญิงหม้ายเป็นตัวประกัน ระหว่างพูดคุยสนทนา มุมกล้องฟากฝั่งของเขา สังเกตว่าไม่มีเงามืดปกคลุมใบหน้า ฉันไม่มีปัญหาอะไรกับเธอ, แต่ฟากฝั่งหญิงหม้าย ถ่ายจากด้านหลังปกคลุมด้วยเงามืด (สื่อตรงๆถึงมุมมืดที่ซุกซ่อนอยู่เบื้องหลัง) เล่าถึงการลักพาตัว กักขังหน่วงเหนี่ยว เพราะหมู่บ้านขาดคน จึงจำต้องทำแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว

ถ้าไม่ทำงานก็ไม่มีเงิน ในบริบทนี้ก็คือเบื้องบนไม่ส่งอาหาร-น้ำดื่ม ไม่สามารถทำความสะอาดร่างกาย จนเม็ดทรายเกาะติดตามผิวหนัง เส้นผม (สามารถมองในเชิงเปรียบเทียบเม็ดทราย = ผิวหนังมังสา) สร้างความเหนอะหนะ ไม่สบายร่างกาย รำคาญจิตใจ ค่อยๆถูกสิ่งภายนอก(ที่ไม่ใช่แค่ทราย)กัดกร่อน กลืนกิน แทรกซึมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต

ถ้าไม่นับเม็ดทรายที่ขยายด้วยกล้องจุลทรรศน์ นี่น่าจะภาพระยะ ‘Extreme Close-Up’ ใกล้ที่สุดแล้วเท่าที่กล้องยุคสมัยนั้นจักสามารถบันทึกภาพแล้วกระมัง … ผมแอบรู้สึกว่าผกก. Teshigahara น่าจะอยากถ่ายให้เห็นเม็ดทราย=รูขุมขน/เซลล์ผิวหนัง แต่ด้วยข้อจำกัดกปีค.ศ. 1964 ได้แค่นี้ก็ได้แค่นี้

ตั้งแต่ที่ Niki Junpei ตระหนักว่าตนเองถูกกับขังหน่วงเหนี่ยว หลายต่อครั้งเมื่อเขาอยู่ร่วมเฟรมกับหญิงหม้าย มักมีการจัดองค์ประกอบภาพให้ทั้งสองมีตำแหน่ง ทิศทางตรงกันข้าม/ตั้งฉากกันอยู่เสมอๆ ท่าทางนั่ง(ยืน)-นอน หันหน้าซ้าย-ขวา หันหลัง-ด้านข้าง แสงสว่าง-เงามืด ฯ เหล่านี้เพื่อแสดงถึงความไม่ลงรอย เห็นต่าง ยังไม่สามารถเปิดใจยินยอมรับกันและกัน

เมื่อถึงจุดๆหนึ่ง Niki Junpei ก็มิอาจอดรนทน เริ่มต้นด้วยการใช้ความรุนแรง จะทุบทำลายกำแพง ผลักหญิงหม้ายค่อมลงกับพื้น จากนั้นก็แถไถข้ออ้างเช็ดตัวให้ แล้วลงมือข่มขืน (บางคนอาจมองว่าสมยินยอม) ร่วมเพศสัมพันธ์ (Man on Top สำแดงการใช้อำนาจของบุรุษ) ซึ่งหลังเสร็จกามกิจ ติดตามด้วยภาพทรายไถล (แลดูเหมือนน้ำอสุจิหลั่งไหล) และนกกำลังโผบิน (สัญลักษณ์ของการปลดปล่อย อิสรภาพ) … หลังจากนี้ยังมีปรากฎภาพแมงมุม นั่นหมายถึง Niki Junpei ได้ตกหลุมพราง ติดกับดักชาวหมู่บ้านแห่งนี้เรียบร้อยแล้ว!

คนส่วนใหญ่คงมอง Rape Scene คือการระบายอารมณ์อัดอั้นของ Niki Junpei ถูกกังขังหน่วงเหนี่ยวมาหลายวัน จึงเริ่มสูญเสียตนเอง กระทำไปโดยแรงผลักดันสันชาตญาณ, แต่ถ้าเรามองในเชิงสัญลักษณ์ ชาย-หญิงที่มีทิศทางชีวิตตรงกันข้าม เพศสัมพันธ์คือการรวมเป็นหนึ่ง จุดเริ่มต้นของการประณีประณอม ยินยอมรับสภาพเป็นจริง รู้ตัวเองว่าไม่สามารถดิ้นหลบหนี ออกจากสถานที่แห่งนี้ด้วยวิธีการทั่วๆไป

จุดแตกหักของ Niki Junpei คือเมื่อตื่นขึ้นมองออกไปภายนอก(ประตู) พบเห็นภาพหลอน ทะเลทรายกลายเป็นผืนน้ำ (เกิดจากการซ้อนภาพ) นี่สัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปรสภาพ จากเคยปฏิเสธต่อต้านหัวชนฝา มาขณะนี้ยินยอมประณีประณอม ยกธงขาว จะให้ฉันทำอะไรก็ทำ ขอเสบียง น้ำดื่ม ประทังชีพอยู่รอด

วินาทีที่ Niki Junpei ยกธงขาวแล้วทรุดล้มลง หมดเรี่ยวแรง มีการ ‘Cross Cutting’ น้ำผุดขึ้นจากทะเลทราย กลายเป็นธารน้ำไหล (แตกต่างจากตอนเห็นภาพหลอนที่ใช้ ‘ภาพซ้อน’ ผิวน้ำกับทะเลทราย, ขณะนี้ถ่ายภาพธารน้ำบนพื้นทรายจริงๆ) สะท้อนแสงระยิบระยับ จุดกำเนิดชีวิต จุดเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลง

อีกหนึ่งความน่าสนใจคือภาพหยดน้ำ นี่ก็น่าจะถ่ายจากกล้องจุลทรรศน์ด้วยกระมัง แต่สังเกตว่าจะมีสองหยด ตอนเปิดไฟ (High Key) และปิดไฟ (Low Key) ก็เพื่อสื่อถึงช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง

ด้วงเสือ (Tiger beetles) จัดอยู่ในอันดับ Coleoptera วงศ์ Cicindelidae, เป็นแมลงนักล่าที่น่ากลัว มีเขี้ยวยาวโค้ง นิสัยดุร้าย ขายาว วิ่งได้เร็ว 9 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (2.5 เมตรต่อวินาที) ลักษณะโดดเด่นคือสีสันฉูดฉาด สะดุดตา เวลาสืบพันธุ์วางไข่ในดิน ตัวอ่อนฟักออกมาจะขุดโพรงลึกลงไป 60 เซนติเมตร แล้วดักรอเหยื่ออยู่ในนั้น เมื่อพื้นดินสั่นสะเทือนจักรีบพุ่งออกมาลากเหยื่อลงไปกินในโพรง … วิธีการล่าเหยื่อช่างละม้ายคล้ายเรื่องราวของ Niki Junpei

หลายวันถัดมา Niki Junpei ครุ่นคิดแผนการหลบหนีเอาตัวรอด เมื่อตระเตรียมตัวพร้อมสรรพก็ทำหลายสิ่งอย่างที่ดูเหมือนเป็นการร่ำลาจาก เริ่มจากถ่ายภาพหญิงหม้าย, ชักชวนดื่มฉลอง (โชจู) และอาบน้ำชำระล้างร่างกาย สัญลักษณ์ของการเริ่มต้นใหม่

แม้เขาสามารถหาวิธีปีนป่ายกลับสู่เบื้องบน แต่ทว่ากลับหลงทางในทะเลทราย พอฟ้ามืดก็พลัดตกหลุมทรายดูด (Quicksand) โชคดีที่ชาวบ้านช่วยกันออกติดตามหา ให้ความช่วยเหลือ ลากพากลับมา นอนบนเตียงอย่างหมดท่า ถอดถอนหายใจ เปลวไฟในเตาคุกรุ่น (จิตใจมอดไหม้ หมดสูญสิ้นกำลังใจ) ประกาศยินยอมรับความล้มเหลว

หลายเดือนถัดมา Niki Junpei ภายนอกดูสงบสติอารมณ์ได้พอสมควร แต่เขายังคงมองหาความหวังสุดท้าย ครุ่นคิดวิธีการโดยใช้เหยื่อล่ออีกา เมื่อมันโฉบเฉี่ยวลงมาจับเหยื่อ จะติดกับดักตกลงในกะละมัง ไม่สามารถบินหลบหนี … นี่อีกเช่นกันย้อนรอยโชคชะตากรรมของ Niki Junpei แต่เขาไม่เคยจับอีกาได้สักตัว –“

อาชีพเสริมของหญิงหม้ายคือร้อยลูกปัด (ไม่ใช่อันละพันเยนนะครับ ในหนังบอกว่าต้องทำอีก 20 อันถึงได้พันเยน!) จะว่าไปลักษณะของลูกปัด มีความละม้ายคล้ายเม็ดทราย ซึ่งตอนที่ Niki Junpei สำแดงอารมณ์หงุดหงิด หัวเสีย ปัดกล่องใส่ลูกปัดตกหล่นพื้นทราย จำต้องใช้ตะแกรงร่อนเพื่อเก็บลูกปัดเหล่านี้ขึ้นมา

และนี่คือครั้งแรกที่เขาสำแดง ‘ความเป็นมนุษย์’ ด้วยการนำกล่องเก็บแมลงมามอบให้เธอ โยนทิ้งทุกสิ่งอย่างเคยสะสมเอาไว้ เริ่มตระหนักว่ามันไม่มีคุณค่าความหมายอันใด นำไปใช้เป็นกล่องใส่ลูกปัดเสียยังดีกว่า!

You’re being such a good sport. I keep smiling through thick and thin!

เอาจริงๆผมไม่รู้ Niki Junpei ขำอะไรกับการ์ตูนช่องนี้? ตรงกันข้ามดูเหมือนเป็นการประชดประชันตัวเขาเองเสียมากกว่า เพราะคำว่า ‘good sport’ ไม่ใช่แค่กีฬาดี น้ำใจนักกีฬา ยังหมายถึงคนที่สามารถยินยอมรับ ปรับตัวเข้ากับสถานการณ์เลวร้ายได้เป็นอย่างดี … หรือก็คือ Niki Junpei ปรับตัวเข้ากับชีวิตภายในหลุมทรายมาเกือบสามเดือนแล้ว!

ข้อเรียกร้องของ Niki Junpei ขอโอกาสขึ้นไปเบื้องบน พบเห็นท้องฟ้ามหาสมุทร แต่การจะทำเช่นนั้นผู้ใหญ่บ้านออกคำสั่งให้เขาทำการแสดง ‘Sex Show’ ร่วมเพศสัมพันธ์กับหญิงหม้ายต่อหน้าธารกำนัล ทุกคนต่างสวมใส่หน้ากาก ผ้าคลุมปกปิดบังใบหน้า เสียงรัวกลองราวกับพิธีกรรม (Ritual) เพื่อพิสูจน์ว่าได้สูญเสียความเป็นมนุษย์

ผมไม่ค่อยแน่ใจหน้ากากที่ชาวบ้านสวมใส่สักเท่าไหร่ คือแยกแยะไม่ออกว่าเป็น Deity Mask หรือ Devil Mask แต่คาดว่าน่าจะหน้ากากเทพเจ้า ซึ่งสอดคล้องเข้ากับสถานะของพวกเขา (ไม่ใช่แค่สวมใส่เพื่อปกปิดบังใบหน้า) ตัวแทนบุคคลผู้มีอำนาจสูงส่ง คอยกำกับดูแล ควบคุมครอบงำ ชักใยบงการมนุษย์เบื้องล่าง

วันหนึ่งระหว่างอีกาบินโฉบ Niki Junpei จึงเข้ามาตรวจสอบกะละมัง แต่กลับพบเห็นน้ำในถัง นี่มันบังเกิดปรากฎการณ์อะไร? ผมพบเจอว่ามีชื่อเรียก Capillary Action การเคลื่อนที่ของของเหลวในท่อแคบหรือวัสดุที่มีรูพรุน เป็นสมบัติอย่างหนึ่งของของเหลว ใช้อธิบายการดูดซึมสารอาหารผ่านท่อเล็กๆในรากไม้ การที่สีน้ำไหลย้อนขึ้นไปตามเส้นพู่กัน หรือการที่ของเหลวถูกดูดซับด้วยกระดาษ การทดลองนี้จะทำให้เห็นว่า ของเหลวสามารถเคลื่อนที่ต้านแรงโน้มถ่วงได้เองผ่านรูเล็กๆในวัตถุอื่น โดยไม่ต้องมีแรงภายนอกช่วยกระทำ

ใครอยากเรียนรู้ว่า Capillary Action มีกระบวนการอย่างไร? ลองหารับชมใน Youtube ผมเลือกคลิปการทดลองที่ใช้ทรายเป็นตัวอย่าง น่าจะใกล้เคียงกับการทดลองในหนังที่สุดแล้วละ https://www.youtube.com/watch?v=0Hcp2UGkbj4

จากการทดลองเพื่อดักจับอีกา กลับกลายเป็นค้นพบวิธีเก็บกักน้ำในทะเลทราย สามารถเปรียบเทียบถึง Niki Junpei แรกเริ่มถูกกักขังหน่วงเหนี่ยวในหลุมทราย พยายามปีนป่าย ตะเกียกตะกาย หาหนทางดิ้นหลบหนี แต่เมื่อสามารถเรียนรู้ที่จะปล่อยละวาง ยินยอมรับสภาพเป็นจริง นั่นราวกับการพบเจอน้ำแห่งชีวิต (เมื่อตอนกลางเรื่อง ตัวละครได้ดื่มน้ำดับกระหายทางร่างกาย, การปรากฎขึ้นของน้ำในกะละมังนี้ ทำให้จิตใจบังเกิดความกระชุ่มกระชวย)

เหตุผลที่ผมเลือกภาพสองช็อตนี้ เพราะมันสอดคล้องกับแนวคิด “สูตรสอง” ที่พบเห็นในหนังอยู่บ่อยครั้ง ภาพสะท้อนตัวละคร และถ่ายย้อนกลับขึ้นมา ทำให้บังเกิดความเข้าใจในโชคชะตา ฉันติดอยู่ในหลุม หรือหลุมติดอยู่ในใจฉัน

เมื่อตอนที่ Niki Junpei ตระหนักว่าตนเองถูกกับขังหน่วงเหนี่ยว เวลาอยู่ร่วมเฟรมกับหญิงหม้าย มักมีการจัดองค์ประกอบภาพให้ทั้งสองมีตำแหน่ง ทิศทางตรงกันข้าม/ตั้งฉากกันอยู่เสมอๆ, แต่ครึ่งหลังจากรับรู้ว่าตนเองไม่สามารถดิ้นหลบหนี เขาและเธอมักนั่ง-ยืน หันหน้าไปทิศทางเดียวกันมากขึ้น แสดงถึงการเปิดใจยินยอมรับโชคชะตากรรมของตนเอง

ทีแรกผมครุ่นคิดแค่ว่าหญิงหม้ายเจ็บครรภ์ธรรมดาๆ ก่อนค้นพบว่า Ectopic Pregnancy คือการตั้งครรภ์นอกมดลูก ภาวะที่ตัวอ่อนฝังตัวอยู่บริเวณอื่นที่ไม่ใช่โพรงมดลูก มักเกิดขึ้นบริเวณท่อนำไข่ (ปีกมดลูก) ทำให้ตัวอ่อนไม่สามารถเจริญเติบโตต่อไปเป็นทารกได้ ยุคสมัยนั้นคงต้องทำแท้งเพียงอย่างเดียว (ยุคสมัยนี้ถ้าได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิด ยังอาจตั้งครรภ์ คลอดลูกได้ตามปกติ)

การตั้งครรภ์นอกมดลูก เคลือบแฝงนัยยะถึงการมีชีวิตนอกระบบ ไม่อยู่ภายใต้ขนบกฎกรอบ ข้อบังคับสังคม โดยปกติแล้ว(เหมือนทารกในครรภ์)ไม่น่าจะเอาตัวรอด แต่สำหรับ Niki Junpei กำลังจักได้ค้นพบหนทางออกของตนเอง

เมื่อหญิงหม้ายถูกพาตัวไปรักษาอาการป่วย บันไดลิงที่เคยสูญหายได้ปรากฎขึ้นมาอีกครั้ง Niki Junpei ปีนป่ายขึ้นไปเบื้องบนเนินทราย ก้าวเดินสู่จุดสูงสุด เหม่อมองท้องฟ้ามหาสมุทร (กล้องถ่ายตัวละครมองซ้ายมองขวา หมุนตัวหันหลัง 180 องศา) นี่คือวินาทีที่เขาได้รับอิสรภาพ ค้นพบตัวตนเอง เข้าใจความหมายชีวิต พบเห็นโลกในทุกทิศทาง กำลังจะตัดสินใจที่จะ …

แต่แทนที่ Niki Junpei จะตัดสินใจหลบหนี หวนกลับกรุง Tokyo เขาเลือกปักหลักอาศัย ใช้ชีวิตอยู่ภายในหลุมทราย นั่นคือการยินยอมรับตนเอง ค้นพบเป้าหมาย ความสนใจ ได้รับอิสรภาพทางใจ ค้นพบความสุขสงบภายในจิตวิญญาณ

ผมค่อนข้างฉงนสงสัยทีเดียวว่าเด็กชายคนนี้ที่ชะโงกหน้าเข้ามา อายุน่าจะ 6-7 ขวบ (ระยะเวลาที่บุคคลสูญหายกลายเป็นผู้เสียชีวิต) คือบุตรของ Niki Junpei ในอนาคตหรือไม่? แต่แทนที่จะวิ่งเล่นอยู่เบื้องล่าง ภายในหลุมทราย การอยู่เบื้องบนแสดงว่าเขา(และบิดา-มารดา)สามารถดิ้นหลุดพ้นจากทุกสรรพสิ่งอย่างห้อมล้อมรอบกาย

ตัดต่อโดย Fusako Shuzui, 守随房子 ผลงานเด่นๆ อาทิ Pitfall (1962), Woman in the Dunes (1964) ฯ

ดำเนินเรื่องผ่านมุมมอง/เสียงบรรยายตัวละคร Niki Junpei เดินทางมายังทะเลทรายแห่งหนึ่งเพื่อค้นหาด้วงเสือ แต่ถูกล่อหลอก ตกหลุมพราง ติดกับดักผู้ใหญ่ ทำให้ถูกกักขังหน่วงเหนี่ยวในหลุมทรายกับหญิงหม้ายนิราม เรื่องราวต่อจากนั้นคือความพยายามต่อสู้ดิ้นรน กระเสือกระสน หาหนทางหลบหนีออกจากสถานที่แห่งนี้

  • การสำรวจของ Niki Junpei
    • Opening Credit ค่อยๆซูมออกจากเม็ดทราย
    • Niki Junpei กำลังออกค้นหาบางสิ่งอย่างในทะเลทราย
    • ได้รับชักชวนจากผู้ใหญ่ให้พักค้างแรงในหมู่บ้าน
  • ค่ำคืนแรกที่เต็มไปด้วยความเคลือบแคลง
    • ปีนป่ายบันไดลิงลงมายังบ้านที่อยู่ในหลุมทราย ได้รับการต้อนรับขอบสู้โดยหญิงหม้ายนิรนาม
    • พูดคุยระหว่างรับประทานอาหารเย็น สังเกตเห็นพฤติกรรมแปลกๆมากมาย
    • และหลังทานอาหาร เธอออกไปตักทรายเพื่อนำไปขาย
    • เช้าตื่นขึ้นมาเห็นหญิงหม้ายนอนเปลือยกาย จึงเก็บข้าวของ เตรียมออกเดินทาง แต่ทว่าบันไดลิงกลับสูญหาย
  • ความพยายามดิ้นหลบหนี
    • Niki Junpei พยายามปีนป่ายขึ้นทรายลาด แต่กลับลื่นไถลหล่นลงมา
    • ยามค่ำคืนพยายามล่อหลอกคนชักรอกกระบะทราย แต่ก็ถูกโยนทิ้งลงมา
    • ช่วงเวลาแห่งการปฏิเสธ ไม่ยอมทำงานขุดทราย ทุกข์ทรมานกับสภาพอากาศ
    • Niki Junpei ข่มขืนหญิงหม้าย
    • เมื่อไม่เหลือน้ำดื่ม พบเห็นภาพหลอน จึงเริ่มยินยอมรับสภาพเป็นจริง
  • เริ่มยินยอมรับสภาพเป็นจริง แต่ยังมุ่งมั่นที่จะหาหนทางหลบหนี
    • Niki Junpei ยกธงขาวยินยอมรับความพ่ายแพ้ เบื้องบนจึงส่งน้ำดื่มลงมา
    • ค่ำคืนนี้เขายินยอมทำงาน ตักทราย เหน็ดเหนื่อยสายตัวแทบขาด
    • วันว่างๆ Niki Junpei ใช้เวลาไปกับงานอดิเรก สำรวจค้นหาแมลง ระหว่างนั้นตระเตรียมการหลบหนี
    • เมื่อตระเตรียมการทุกอย่างพร้อมสรรพ จึงอาบน้ำ มอมเหล้าหญิงหม้าย
    • พยายามตะเกียกตะกาย ปีนป่าย สามารถกลับขึ้นเบื้องบน แต่ยามค่ำคืนมองอะไรไม่เห็น ถูกไล่ล่า ติดทรายดูด สุดท้ายก็ประสบความล้มเหลว
  • โอกาสสุดท้าย
    • สามเดือนถัดมา Niki Junpei ยังคงใช้ชีวิตด้วยความหวัง ตั้งใจจะจับอีกาเพื่อส่งสารถึงโลกภายนอก
    • พยายามขอโอกาสที่จะกลับขึ้นเบื้องบน พบเห็นท้องทะเลสักหน่อยก็ยังดี แต่พวกเขากลับเรียกร้องขอให้ทำการ…
    • Niki Junpei ค้นพบอะไรบางอย่าง จึงทำการทดลองที่เชื่อว่าจักช่วยให้ชีวิตผู้คนในทะเลทรายดีขึ้น
    • หญิงหม้ายตั้งครรภ์ อาการทรุดหนัก ชาวบ้านจึงลงช่วยเหลือแล้วทอดทิ้งบันได
    • Niki Junpei ปีนป่ายขึ้นไปเบื้องบนเห็นท้องฟ้ามหาสมุทร ก่อนตัดสินใจที่จะ …

เพลงประกอบโดย Tōru Takemitsu, 武満 徹 (1930-96) คีตกวีสัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Hongō, Tokyo ก่อนย้ายไปเติบโตยัง Dalian, Liaoning (ประเทศจีน) ถูกบังคับเกณฑ์ทหารตั้งแต่อายุ 14 แม้ได้รับประสบการณ์อันขมขื่น แต่ทำให้มีโอกาสรับฟังเพลงตะวันตก, หลังสงครามโลกกลับมาญี่ปุ่น ทำงานในกองทัพสหรัฐ (ที่เข้ามายึดครองชั่วคราว) แม้ไม่เคยฝึกฝนการเล่นดนตรี แต่เริ่มแต่งเพลงเมื่ออายุ 16 โอบรับแนวคิดเครื่องดนตรีไฟฟ้า แนวทดลอง สไตล์ Avant-Garde ร่วมก่อตั้งกลุ่ม Experimental Workshop (実験工房 อ่านว่า Jikken Kōbō) ที่พยายามผสมผสานไม่ใช่แค่ดนตรี แต่ยังสรรพเสียง และศิลปะแขนงอื่นๆคลุกเคล้าเข้าด้วยกัน ทำให้มีโอกาสรับรู้จัก Kōbō Abe และ Hiroshi Teshigahara ที่ต่างก็แนวคิดทิศทางเดียวกัน โด่งดังกับระดับนานาชาติกับผลงาน Requiem for String Orchestra (1957), ทำเพลงประกอบภาพยนตร์มากมายนับไม่ถ้วน Harakiri (1962), Pitfall (1962), Pale Flower (1964), Kwaidan (1964), Woman in the Dunes (1964), The Koumiko Mystery (1965), The Face of Another (1966), Samurai Rebellion (1967), Scattered Cloud (1967), Double Suicide (1969), Dodes’ka-den (1970), Under the Blossoming Cherry Trees (1975), Ballad of Orin (1977), Empire of Passion (1978), Ran (1985), Black Rain (1989) ฯ

Takemitsu ไม่ใช่แค่ทำเพลงประกอบ แต่ยังเข้ามามีส่วนร่วมตั้งแต่ตอนเขียนบท คัดเลือกนักแสดง ค้นหาสถานที่ถ่ายทำ ตัดต่อ ออกแบบเสียง พยายามซึมซับ ทำความเข้าใจทุกสิ่งอย่าง เพื่อสามารถเขียนบทเพลงให้ตรงตามความต้องการของผู้สร้าง

He was always more than a composer. He involved himself so thoroughly in every aspect of a film – script, casting, location shooting, editing, and total sound design.

Hiroshi Teshigahara

งานเพลงของ Takemitsu ถือเป็นอีกไฮไลท์ของหนัง การทดลองคล้ายๆภาพยนตร์ Pitfall (1962) ชอบสร้างเสียงประหลาดๆแนว Avant-Garde ดังขึ้นแล้วเงียบหาย ฟังดูเหมือนการ ‘Improvised’ คาดเดาอะไรไม่ได้ แต่สามารถสร้างบรรยากาศรบกวนจิตใจ (Disturbing) เสียงโหยหวนครวญครางของไวโอลิน ราวกับสัตว์ร้ายที่พยายามตะเกียกตะกาย ปีนป่าย ก่อนจนตรอกอยู่ในหลุมทราย สายลมกรีดบาดแทงเข้าไปถึงทรวงใน … นักวิจารณ์ Roger Ebert ให้คำเปรียบเทียบ “plaintive notes, harsh, like a metallic wind.”

ระหว่างที่ชาวบ้านเรียกร้องให้ Niki Junpei ทำการแสดง ‘Sex Show’ ร่วมเพศสัมพันธ์กับหญิงหม้ายนิรนาม ต่อหน้าธารกํานัลสวมใส่หน้ากาก เสียงรัวกลองไม่เพียงช่วยสร้างความระทึก ตื่นเต้น แต่ยังปลุกเร้าสันชาตญาณ สำแดงพฤติกรรมป่าเถื่อน ไร้อารยธรรม สวมวิญญาณสัตว์เดรัจฉาน

Ritualistic drums droned on and on as he attacked the woman in the dunes. Fittingly, the villagers had put on deity masks, like the Gods of the pit dwellers they were. Their inhumanity overtook the man, who’d become nothing more than a creep.

Woman in the Dunes (1964) นำเสนอเรื่องราวของชายผู้โดนล่อหลอก ตกหลุมพราง ทำให้ถูกกักขังหน่วงเหนี่ยวอยู่ในหลุมทราย ไม่สามารถปีนป่าย ตะเกียกตะกาย จนกว่าจะก้มหัวศิโรราบ ยินยอมรับสภาพเป็นจริง และปฏิบัติตามกฎระเบียบของสถานที่แห่งนี้ ถึงมีโอกาสหวนกลับขึ้นมาพบเห็นท้องฟ้ามหาสมุทร

มนุษย์ (และสรรพชีวิต) โดยสันชาติญาณต่างโหยหาอิสรภาพ ไม่มีใครชอบถูกกักขังหน่วงเหนี่ยว ติดอยู่ในหลุม บ่อ โคลนตม หรือกรงขังล่ามโซ่ตรวนเอาไว้โดยไม่เต็มใจ จักพยายามต่อสู้ดิ้นรน กระเสือกกระสน ต่อต้านขัดขืน พยายามทำทุกสิ่งอย่างเพื่อหลบหนีออกไปจากสถานที่แห่งนี้

จนกว่าที่มนุษย์ (และสรรพชีวิต) จะเผชิญหน้าหนทางตัน ไม่มีวันหลบหนี ดิ้นหลุดพ้น ถึงเริ่มเรียนรู้จักยินยอมรับสภาพเป็นจริง ปรับตัวเข้ากับขนบกฎกรอบ วิถีทางสังคม ก้มหัวศิโรราบต่อผู้มีอำนาจ พยายามค้นหาบางสิ่งอย่างเพื่อใช้เป็นข้ออ้างแก้ต่าง ปลอมประโลมตนเอง ให้สามารถมีชีวิตภายในโลกใบนั้นได้อย่างสุขสงบ

เราสามารถเปรียบเทียบพฤติกรรมตัวละคร Niki Junpei แทบจะไม่แตกต่างจากห้าระยะก้าวข้ามความสูญเสีย (Five stages of grief หรือ Kübler-Ross model)

  1. ภาวะช็อคและปฏิเสธความจริง (Shock and Denial) เช้าวันนั้นที่บันไดลิงสูญหายไป เกิดอาการตกตะลึง คาดไม่ถึง พยายามปีนป่าย ตะเกียกตะกาย ก่อนพลัดตกลงมาได้รับบาดเจ็บ
  2. ความโกรธ (Anger) ตื่นขึ้นมาจับมัดหญิงหม้ายนิรนาม สำแดงอารมณ์เกรี้ยวกราด ไม่พึงพอใจ พยายามครุ่นคิดหาหนทางหลบหนี ปฏิเสธทำงานตักทรายใดๆ
  3. การเจรจาต่อรอง/ประณีประณอม (Bargaining) พอไม่ความคืนหน้าอะไรใดๆ เมื่อถึงจุดๆหนึ่งเขาจึงปลดปล่อยหญิงสาว ยินยอมทำงานตักทราย แต่ลึกๆยังครุ่นคิดหาวิธีการหลบหนี
  4. ความหดหู่/เศร้าโศกเสียใจ (Depression) หลังความพยายามหลบหนีครั้งถัดมาล้มเหลว ตกอยู่ในความห่อเหี่ยว สิ้นหวัง ใช้ชีวิตอย่างสงบเสงี่ยมเจียนตน ร่ำร้องขอโอกาสปีนป่ายขึ้นไปเบื้องบน พบเห็นท้องฟ้ามหาสมุทรชั่วครู่หนึ่งก็ยังดี
  5. การยอมรับ (Acceptance) เมื่อครั้นหญิงหม้ายนิรนามตั้งครรภ์ บันไดลิงถูกปล่อยทิ้งไว้ ทำให้เขาสามารถปีนป่ายหลบหนี แต่เขากลับยังเลือกปักหลักอาศัยอยู่ นี่ถือเป็นลักษณะของการยินยอม ปรับตัวเข้ากับสถานที่แห่งนี้

เช่นนั้นแล้ว Woman in the Dunes (1964) ในแง่มุมหนึ่งคือการเผชิญหน้ากับความสูญเสีย ชีวิตติดหล่ม ทุกสิ่งอย่างที่เคยยึดถือเชื่อมั่นได้พังทลายลง เมื่อไม่หลงเหลืออะไร จากนั้นคือการเรียนรู้จักความผิดพลาด ยินยอมรับสภาพ ลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากับโลกเป็นจริง ค้นพบตัวตนเอง (Lost and Found Identity) และบังเกิดความสุขสงบขึ้นภายในจิตใจ

บางคนมอง Woman in the Dunes (1964) ในแง่มุมครอบครัว สะท้อนแนวคิดชายเป็นใหญ่ ปิตาธิปไตย (Patriarchy) ซึ่งสามารถเหมารวมวิถีชาวญี่ปุ่นสมัยก่อน บุรุษคือช้างเท้าหน้า มีอำนาจ สิทธิ์ขาด สามารถออกคำสั่ง กระทำสิ่งโน่นนี่นั่น ใช้ความรุนแรง ข่มขืนกระทำชำเรา สตรีเพศต้องก้มหัวศิโรราบ คอยปรนเปรอนิบัติรับใช้ ไม่ต่างจากวัตถุทางเพศ รองรับทุกอารมณ์ของอีกฝ่าย

ในแง่สังคมการเมือง โลกทุกวันนี้พยายามสร้างกฎกรอบเกณฑ์ขึ้นมาควบคุมนี่นั่น อ้างผลประโยชน์ ให้เกิดความเท่าเทียม แต่ขณะเดียวกันมันคือการจำกัดอิสรภาพ ไม่ต่างจากถูกควบคุมขัง กักขังหน่วงเหนี่ยวภายในหลุมทราย ไม่สามารถปีนป่าย ตะเกียกตะกาย หาหนทางหลบหนี จำต้องก้มหัวศิโรราบให้พวกผู้มีอำนาจ นายทุน นักการเมือง ผู้นำประเทศ ออกคำสั่งให้ทำอะไร ประชาชนจักต้องเห็นพ้องคล้อยตาม

Whereas now we operate under new social relationships, our inner selves still cling to older values. Thus there is a conflict between the self who seeks a new social relationship and the self who tries to maintain the older form.

Kōbō Abe

ถ้าเทียบกับญี่ปุ่นยุคสมัยนั้น ความพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่สองทำให้ถูกยึดครอง(ชั่วคราว)โดยสหรัฐอเมริกา (Occupation of Japan, 1945-52) ช่วงทศวรรษนั้น(และอีกหลายทศวรรษถัดมา)พวกนักการเมืองต่างเลียแข้งเลียขา จนเกือบสูญเสียเอกราช ตกเป็นอาณานิคมใหม่ (Neo-Colonialism) เรียกได้ว่าประเทศชาติกำลังจมปลักอยู่ในหลุมทราย

Japanese politics was out-and-out pro-United States. None of the Japanese politicians were independent… Japanese-American relationships had started in a totally colonialistic way, and we couldn’t help being critical.

Hiroshi Teshigahara

ความพยายามของ Niki Junpei ในการตะเกียกตะกาย ปีนป่าย หาหนทางหลบหนีจากหลุมทรายแห่งนี้ ยังสามารถตีความในเชิงพุทธศาสนา มองหาหนทางบรรลุหลุดพ้น ออกจากวังวนวัฎฎะสังสาร แต่วิธีการไม่ใช่กลับสู่เบื้องบน หรือหวนกลับกรุง Tokyo คือเรียนรู้ที่จะปล่อยละวาง คลายความหมกมุ่นยึดติด (จากวิถีชีวิตสังคมเมือง) เผชิญหน้าสันชาตญาณ ทำความเข้าใจตัวตนเอง ท้ายสุดถึงจักค้นพบความสุขสงบภายในจิตวิญญาณ


ผกก. Teshigahara เกิดในครอบครัวนักจัดดอกไม้ (Ikebana) ได้รับความคาดหวังจากบิดาให้สืบทอดกิจการ แต่เจ้าตัวเคยให้สัมภาษณ์ว่าไม่ค่อยชอบการจัดดอกไม้สักเท่าไหร่ ไม่เห็นมันจะสวยงามตรงไหน? (แต่หลังจากบิดาเสียชีวิต เขาก็หวนกลับเข้ามาสืบสานต่อกิจการครอบครัวนะครับ) ภาพยนตร์ที่สรรค์สร้างจึงมักไม่ค่อยพบเห็นรูปโฉมงดงาม มีเพียงทะเลทรายเหือดแห้งแล้ง นำเสนอสันดานธาตุแท้มนุษย์ที่มีความอัปลักษณ์พิศดาร

The song of the stones, clay and sands will be sung, instead of the flowers.

Hiroshi Teshigahara

Woman in the Dunes is a film of ominousness and sensuous beauty, playing as both psychological thriller and askew romantic drama. Teshigahara shot the film with all the grace, tactility, and geometric precision one would expect of a director who was as devoted to the delicate art of Ikebana (flower arrangement) as he was to cinema. Watch the following clip, in which Junpei realizes that escape from this mysterious woman’s home may not easy, to get a sense of Teshigahara’s striking gift for composition.

คำนิยมจาก Criterion Collection

สังเกตอคติจากศิลปะการจัดดอกไม้ นั่นแสดงว่าครอบครัวของผกก. Teshigahara ย่อมต้องเลี้ยงดูบุตรชายอย่างเข้มงวดกวดขัน เต็มไปด้วยกฎกรอบโน่นนี่นั่น เติบโตขึ้นจึงพยายามมองหาสิ่งที่มันผิดแผกแตกต่าง ภาพวาด Abstract, ภาพยนตร์ทดลอง (Experimental), บทเพลง Avant-Garde ฯ ความงดงามไม่ใช่จากการจัดแต่ง รูปลักษณ์ เปลือกภายนอก แต่คือธาตุแท้ตัวตน จิตวิญญาณแห่งอิสรภาพ

Woman in the Dunes (1964) คงเป็นภาพยนตร์ที่ผกก. Teshigahara ปลงกับตนเอง ทศวรรษที่ผ่านมาเขาพยายามตะเกียกตะกาย ปีนป่าย ดิ้นหลบหนีจากสิ่งต่างๆที่พันธนาการเหนี่ยวรั้ง ก่อนได้ข้อสรุป(ร่วมกับ Kōbō Abe)ว่าคงไม่มีวันดิ้นหลบหนีจากสภาพเป็นอยู่ ทั้งครอบครัว สังคม การเมือง เมื่ออายุอานามเพิ่มมากขึ้น จึงเริ่มยินยอมรับความจริง หากระทำสิ่งที่น่าจะสร้างประโยชน์ให้กับผู้คน … อย่างการเขียนนวนิยาย/สรรค์สร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ เป็นต้น!

สำหรับนักเขียน Kōbō Abe เรื่องราวของ Woman in the Dunes ไม่เชิงว่าเป็นอัตชีวประวัติ แต่นำจากหลายๆสิ่งอย่างประสบพบเจอในชีวิต อาทิ ความชื่นชอบเกี่ยวกับแมลง, เติบโตอยู่ Manchuria รายล้อมรอบด้วยทะเลทราย, พบเห็นความเหี้ยมโหดร้ายของจักรวรรดิญี่ปุ่นต่อชนชาวจีน, ตอนเดินทางกลับมาเรียนต่อกรุง Tokyo ประสบปัญหา ‘Cultural Shock’ ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมแตกต่าง ฯ

การเป็นคนหลายวัฒนธรรม ทำให้ Abe สูญเสียอัตลักษณ์ ตัวตน กลายเป็นคนไร้ถิ่นฐาน (เกิดที่ Tokyo, เติบโตยัง Manchuria, หวนกลับมาตอนโตไม่หลงเหลืออะไรให้จดจำ) ไม่มี ‘บ้าน’ ให้หวนกลับ แต่ก็ยังคร่ำครวญโหยหา จึงพยายามครุ่นคิดสร้างสถานที่สำหรับตัวตนเอง

ความเหี้ยมโหดร้ายของจักรวรรดิญี่ปุ่นต่อชนชาวจีน นั่นคืออีกภาพจำที่ Abe ตราฝังอยู่ภายใน ทำให้หมดสูญสิ้นความเชื่อมั่นศรัทธาต่อระบบ เคยเข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์ (Japanese Communist Party) เพื่อต่อต้านรัฐบาลญี่ปุ่นที่ถือหางสหรัฐอเมริกา แต่ก็พบว่าองค์กรนี้เต็มไปด้วยข้อจำกัดมากมาย เซนเซอร์โน่นนี่นั่น เรียกร้องนั่นโน่นนี่ แถมไม่ได้เห็นหัวประชาชนอย่างแท้จริง! … ผมขี้เกียจลงรายละเอียด แต่มีคนวิเคราะห์ว่า Abe เขียนนวนิยาย Woman in the Dunes ช่วงปีเดียวกับที่เขาถูกขับไล่ออกจากพรรคคอมมิวนิสต์ ค.ศ. 1961 มันเลยมีแนวโน้มที่ผลงานเรื่องนี้จะสะท้อนบางสิ่งอย่างภายในองค์กรออกมา ใครสนใจลองหาอ่านบทความ The Literature and Politics of Kōbō Abe: Farewell to Communism in Suna no Onna เขียนโดย Mitsuko Motoyama

I feel nothing but repugnance for the pseudo-culture which tries to legitimize the walls surrounding nations by insisting on a particularism of customs and habits which is in fact no more than a mere ramification of culture. All the same, countries try to give legitimacy to such pseudoculture. Naturally, the people, who have been manipulated by the state, come to think of true culture as heresy.

Kōbō Abe จากบทความ Journey through a Wormhole in the Earth (1958) ฟางเส้นสุดท้ายต่อพรรคคอมมิวนิสต์หลังจากสหภาพโซเวียตบุกรุกราน Hungary

การมีชีวิตอยู่ในสถานที่ที่ห้อมล้อมรอบด้วยผนังกำแพง ภูผา ทรายไหลลงมาจากเบื้องบน ย่อมทำให้มนุษย์ตกอยู่ในความสิ้นหวัง แต่ทั้ง Niki Junpei และหญิงหม้ายต่างสามารถอดรนทน เพราะพวกเขาครุ่นคิดว่าตนเองยังมี ‘ความหวัง’

  • ในกรณีของ Niki Junpei เริ่มต้นมีความโหยหา คร่ำครวญ อยากหวนกลับไป Tokyo, แต่เมื่อรับรู้ตัวว่าไม่สามารถหาหนทางหลบหนี จึงร้องขอโอกาสให้ได้ขึ้นไปพบเห็นท้องฟ้ามหาสมุทร, และท้ายที่สุดเมื่อโอกาสมาถึง เขากลับปฏิเสธหลบหนีไปไหน ค้นพบบางสิ่งอย่างที่สร้างความหวังให้กับตนเอง(และผู้อื่น)
  • ส่วนหญิงหม้ายนิรนาม เพราะสถานที่แห่งนี้คือบ้านจึงไม่สามารถดิ้นหลบหนีไปไหน หลังสูญเสียสามีและบุตร ความหวังเดียวของเธอคือเฝ้ารอคอยใครสักคนสามารถเป็นที่พึ่งพักพิง อาศัยอยู่เคียงข้าง เติมเต็มตัณหาอารมณ์ ทางร่างกายและจิตใจ

เรื่องราวทั้งหมดของหนังนำเสนอผ่านมุมมองบุรุษเพศ แต่กลับใช้ชื่อ “Woman” in the Dunes มันควรเป็น Man in the Dunes หรือ Man and Woman in the Dunes ไม่เหมาะสมกว่าหรือ?

She looked like some kind of insect, he thought. Did she intend to go on living like this forever? From the outside, this place seemed only a tiny spot of earth, but when you were at the bottom of the hole you could see nothing but limitless sand and sky. A monotonous existence enclosed in an eye. She had probably spent her whole life down here, without even the memory of a comforting word from anyone. Perhaps her heart was throbbing now like a girl’s because they had trapped him and given him to her. It was too pitiful!

ความคิดของ Niki Junpei ที่อยู่ในนวนิยาย แต่ไม่ปรากฎในภาพยนตร์

มันมีบทความ งานวิจัย วิเคราะห์ถึงการเลือกใช้ชื่อหนัง ‘Woman’ ความยาวหลายสิบหน้ากระดาษ ผมเปิดผ่านๆเพราะขี้เกียจอ่าน จนกระทั่งสามสี่หน้าสุดท้ายพบเห็นหัวข้อหญิงสาว = ภาพสะท้อนตัวตนของบุรุษ (The Mirror of Others) จะว่าไปหญิงหม้ายนิรนามก็มีความแตกต่างตรงกันข้าม Niki Junpei โดยสิ้นเชิง!

  • Niki Junpei มาจากสังคมเมือง มีความเย่อหยิ่งทะนงตน เป็นคนเฉลียวฉลาด แต่กลับหมกมุ่นยึดติดกับสิ่งต่างๆ
  • หญิงหม้ายนิรนามเป็นคนชนบท ไร้ความทะเยอทะยาน เป็นคนขยับขันแข็ง เพียงยึดติดกับสถานที่แห่งนี้ (แต่เพราะไม่รู้จักอะไรอย่างอื่นเสียมากกว่า)

การสร้างตัวละครที่เป็นภาพสะท้อนตัวตนเอง จักทำให้เราเรียนรู้จักตัวเราเองเพิ่มมากขึ้น ทบทวนว่าฉันเป็นใคร สิ่งไหนชอบ-ไม่ชอบ ทำโดยรู้ตัว-ไม่รู้ตัว นั่นจักทำให้เราสามารถปรับปรุงตนเอง รวมถึงเข้าใจมุมมองของผู้อื่นที่มีต่อตัวเรา เหล่านี้ก็ถือเป็นการ “ค้นพบตัวตนเอง” ได้ด้วยเช่นกัน! … Sex Scene ของทั้งสองจึงเปรียบเหมือนการโอบรับสิ่งดี-ชั่ว ตรงกันข้ามในตนเอง เพื่อท้ายที่สุดจักสามารถให้กำเนิดชีวิต ตัวตน กลายเป็นบุคคลใหม่


หนังเริ่มเข้าฉายในญี่ปุ่นตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1964 ด้วยความยาวเต็ม 146 นาที แต่พอได้รับเลือกเข้าร่วมเทศกาลหนังเมือง Cannes ถูกร้องขอให้ตัดต่อใหม่ ร่นระยะเวลา หลงเหลือเพียง 127 นาที เสียงตอบรับยังคงดียอดเยี่ยม สามารถคว้ารางวัล Prix spécial du Jury (Special Jury Prize) เทียบเท่ากับ Prix du Jury (Jury Prize)

เกร็ด: เทศกาลหนังเมือง Cannes เมื่อปี ค.ศ. 1964 มีการยกเลิก(ชั่วคราว)ชื่อ Palme d’Or เปลี่ยนมาใช้ Grand Prix du Festival International du Film จนถึงปี ค.ศ. 1975 ถึงกลับมาใช้ Palme d’Or และตอนนั้นยังไม่มีรางวัลที่สอง Grand Prix (มีครั้งแรกปี ค.ศ. 1967) เลยถือว่า Prix spécial du Jury เป็นรางวัลใหญ่อันดับสองของเทศกาล

ความสำเร็จดังกล่าวทำให้ Woman in the Dunes (1964) ได้รับเลือกเป็นตัวแทนประเทศญี่ปุ่นส่งลุ้นรางวัล Oscar: Best Foreign Language Film สามารถผ่านเข้าถึงรอบห้าเรื่องสุดท้าย แต่พ่ายให้กับ Yesterday, Today and Tomorrow (1963) ของ Vittorio De Sica จากประเทศ Italy

และเนื่องจากช่องโหว่ของ Best Foreign Language Film ไม่จำกัดว่าหนังต้องเข้าฉายในสหรัฐอเมริกา (แค่เข้าฉายประเทศต้นสังกัดภายในปีที่ส่งเข้าประกวด) ทำให้ปีถัดมาเมื่อ Woman in the Dunes (1964) เข้าฉายสหรัฐอเมริกา เลยสามารถเข้าชิงอีกสาขา Best Director แต่ก็พ่ายให้กับ Robert Wise ภาพยนตร์ The Sound of Music (1965)

เมื่อปี ค.ศ. 2007, Criterion Collection ได้ออก DVD Boxset ชื่อว่า Three Films by Hiroshi Teshigahara ประกอบด้วย Pitfall (1962), Woman in the Dunes (1964) และ The Face of Another (1966) ซึ่งพอขายหมดสต็อกจึงมีการแยกเฉพาะ Woman in the Dunes (1964) ออกมาจำหน่าย Blu-Ray เมื่อปี ค.ศ. 2016 ลงรายละเอียด ‘digital restoration’ (จริงๆแค่ ‘digital transfer’) คุณภาพ HD (High Definition)

หวนกลับมารับชมครานี้รู้สึกคุ้มค่าอย่างมากๆ เป็นภาพยนตร์ที่มีความลุ่มลึกล้ำ มอบอิสระในการครุ่นคิดตีความอย่างไม่รู้จบ เท่าที่ผมยกมาอธิบายก็ยังแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น นั่นแสดงถึงความเป็นสากล จักรวาลแซ่ซ้อง ยิ่งใหญ่เหนือกาลเวลา เรียกได้ว่ามาสเตอร์พีซแห่งวงการภาพยนตร์!

เกร็ด: Woman in the Dunes (1964) คือหนึ่งในภาพยนตร์เรื่องโปรดของผู้กำกับ Andrei Tarkovsky

จัดเรต 18+ กับการกักขังหน่วงเนี่ยว ชาย-หญิงตามลำพัง อารมณ์เก็บกดอัดอั้น

คำโปรย | Woman in the Dunes นำพาผู้ชมติดหล่มในทะเลทราย เพื่อจักได้ศึกษาจุลภาคชีวิต สังคม การเมือง และจักรวาล
คุณภาพ | ร์พี
ส่วนตัว | ตกหลุมรัก


Woman in the Dunes

Woman in the Dunes (1964) Japanese : Hiroshi Teshigahara ♥♥♥♥♡

(26/9/2016) หญิงสาวในทะเลทราย Suna no Onna หนังรางวัล Jury Prize จากเทศกาลหนังเมือง Cannes ของผู้กำกับ Hiroshi Teshigahara นี่ไม่ใช่หนัง Sci-Fi แต่เป็น Drama สุดเข้มข้น ที่จะพาคุณไปสู่โลกอันสุด Extreme กับสถานการณ์ที่เงินไม่มีความหมาย การยังมีชีวิตเท่านั้นสำคัญที่สุด, “ต้องดูให้ได้ก่อนตาย”

Woman in the Dunes เป็นหนังที่ผมใคร่สงสัย อยากดูมานานมากแล้ว แต่ยังไม่เคยมีโอกาสได้รับชมสักที สมัยก่อนเพราะคิดอยู่เสมอ ว่านี่อาจเป็นหนังแนว 18+ คล้ายๆ In the Realm of Senses (1976) เลยซื้อกลับไปดูที่บ้านไม่ได้, มาครั้งนี้โตพอมีโอกาสได้ดูเสียที ก็พบว่าไม่ได้ใกล้เคียงกับที่จินตนาการคาดหวังไว้เลย คือมันก็มีความ Erotic ระดับหนึ่งนะ แต่ในสถานการณ์ของหนัง ถือว่านั่นไม่ใช่ประเด็นหลัก, หนังมีความน่าสนเท่ห์ พิศวง ลึกลับ ที่หนังจบคนดูไม่จบ ต้องมานั่งขบคิดต่อว่าอะไรคือสิ่งที่แอบซ่อนอยู่ และผมได้ข้อสรุปว่า นี่เป็นหนังที่แฝงแนวคิดทางปรัชญาได้อย่างลึกซึ้งมากๆ ชีวิตคืออะไร? เกิดมาเพื่ออะไร?

ดัดแปลงมาจากนิยายเรื่อง The Woman in the Dunes เขียนและดัดแปลงโดย Kōbō Abe ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 1962 นี่ไม่ใช่นิยายเรื่องแรกของ Abe ที่ได้รับการดัดแปลงเป็นภาพยนตร์นะครับ, กับผู้กำกับ Hiroshi Teshigahara ทั้งสองน่าจะกลายเป็นเพื่อนสนิทกัน มีการดัดแปลงนิยายสร้างเป็นภาพยนตร์ ร่วมกันถึง 4 เรื่อง ประกอบด้วย The Pitfall (1962), Woman in the Dunes (1964), The Face of Another (1966) และ The Man Without a Map (1968)

นำแสดงโดย Eiji Okada รับบท Niki Junpei อาจารย์สอนหนังสือ นักกีฎวิทยา (ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับแมลง) ที่ออกเดินทางมายังทะเลทราย เพื่อค้นหาแมลงตัวหนึ่ง แต่กลับตกอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้า คายไม่ออก กลายเป็นเสมือนนักโทษที่ถูกขังอยู่ในบ้านใต้หลุมทรายกับหญิงสาวคนหนึ่ง

มีคำพูดประโยคหนึ่ง ยาวๆของพระเอก ที่น่าจดจำมากๆ เป็นบทสรุปย่อชีวิตของเขาก่อนที่จะออกเดินทางมายังทะเลทรายแห่งนี้

“The certificates we use to make certain of one another: contracts, licenses, ID cards, permits, deeds, certifications, registrations, carry permits, union cards, testimonials, bills, IOUs, temporary permits, letters of consent, income statements, certificates of custody, even proof of pedigree. Is that all of them? Have I forgotten any? Men and women are slaves to their fear of being cheated. In turn they dream up new certificates to prove their innocence.”

ตัวละคร Junpei ถ้าเปรียบก็คือมนุษย์ทุกคนในโลก ที่เกิดและใช้ชีวิตไปวันๆ ซ้ำไปซ้ำมา แม้เราจะมีอิสระสามารถคิด พูด ทำอะไรก็ได้ดั่งใจ แต่โลกทั้งใบก็เปรียบเสมือนหลุมทราย มีกำแพงที่มองไม่เห็น เกิด-ตาย วนเวียน ซ้ำๆซากๆ ไม่คิดที่จะหาทางออกไปสู่โลกข้างนอก, Junpei หลังจากกลายเป็นนักโทษในหลุมทราย ช่วงแรกๆเขาพยายามต่อสู้ดิ้นรนขัดขืน เพื่อหาทางหนีเอาตัวรอด แต่จนแล้วจนเล่าก็ไม่สามารถทำสำเร็จ วนกลับมาสู่ที่เดิม นี่คือวงเวียนวัฎจักรของมนุษย์ ซึ่งเมื่อมาถึงจุดๆหนึ่ง ขณะที่ทางหนีได้เปิดออก เขากลับเลือกที่จะไม่ไป ยอมจมอยู่ภายในหลุมทราย วังวนแห่งนี้ต่อไป

แมลงที่ Junpei ค้นหาคือด้วงเสือ (Tiger beetle) จัดอยู่ในวงศ์ Cicindelidae มีสีสันฉูดฉาดสะดุดตา บางชนิดมีสีแดง, น้ำเงิน, เขียว บางชนิดมีสีเหลืองและดำ ดัวงเสือเป็นแมลงนักล่าที่น่ากลัว มันมีเขี้ยวยาวโค้ง นิสัยดุร้าย ขายาว วิ่งได้เร็ว ตัวอ่อนของด้วงเสือก็ดุร้ายไม่แพ้ตัวเต็มวัย, ด้วงเสือวางไข่ในดิน ตัวอ่อนที่ฟักออกมาจะขุดโพรงลึกลงไปถึง 60 เซนติเมตร และรอเหยื่ออยู่ในโพรง เมื่อพื้นดินสั่นสะเทือนแม้เพียงเล็กน้อยมันจะรีบพุ่งออกมา และลากเหยื่อลงไปกินในโพรง, ว่ากันว่าด้วงเสือถือเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความเร็วมากที่สุด นักวิทยาศาสตร์ประเมินว่าถ้าด้วงเสือมีขนาดเท่ากับมนุษย์จะวิ่งได้เร็วประมาณ 494 กม./ชม.

กับคนที่ดูหนังมาแล้ว ได้อ่านวิธีการล่าเหยื่อของด้วงเสือ ก็จะระลึกได้ว่า มันคล้ายกับเรื่องราวของพระเอก Junpei ที่ได้ประสบพบเจอในหนัง นี่แสดงถึง แมลงเป็นสัตว์สัญลักษณ์ที่แทนด้วยเป้าหมายชีวิตของ Junpei, ซึ่งเป้าหมายของเขา ในหนังอธิบายไว้คือ ต้องการหาแมลงที่ไม่เคยมีใครพบมาก่อน จะได้นำไปตั้งชื่อเป็นของตนเองกลายเป็นคนมีชื่อเสียง ซึ่งในหนังเขาไม่ได้พบแมลงสายพันธุ์ใหม่ และตอนจบของหนังเขาก็ไม่พบคำตอบของเป้าหมายชีวิตเช่นกัน

Kyōko Kishida รับบทหญิงหม้ายสาวที่เสียสามีและลูกไปจากการโดนทรายถล่ม เธอไม่มีมีชื่อ อาศัยอยู่ในบ้านใต้หลุมทราย วันๆเอาแต่ขุดทรายเพื่อไม่ให้มันถล่มทับบ้าน, วันหนึ่งมีชายหนุ่มจากต่างแดนหลงเดินทางผ่านมา ชาวบ้านได้หลอกพาชายคนนั้นให้มาอาศัยอยู่กับเธอ, แม้เขาจะไม่เต็มใจ แต่เธอพลีกายถวายใจยอมรับ เพราะมันจะทำให้เธอมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าการอยู่โดดเดี่ยวคนเดียว

สำหรับตัวละครนี้ Kishida ที่รับบท ต้องการให้เธอเป็นสัญลักษณ์ ตัวแทนของ ‘ผู้หญิงทุกคนในโลก’ แต่ผู้กำกับ Teshigahara ต้องการให้เธอเป็น ‘ตัวแทนของญี่ปุ่น’ แม้ผลลัพท์ที่เกิดขึ้นในหนัง Teshigahara จะเป็นผู้ชนะ ที่นำเสนอตัวละครนี้ในฐานะ ตัวแทนของญี่ปุ่น แต่ผมมองว่าก็ยังมองเห็นว่า เธอก็เป็นตัวแทนของ ‘เพศหญิง’ และในอีกมุมหนึ่ง เธอคือ ‘กิเลส’ ของมนุษย์

ด้วยความที่ผู้กำกับ Teshigahara และคนเขียนบท Abe มีชีวิตวัยรุ่นผ่านช่วงทุกข์ยากลำบากที่สุดของญี่ปุ่น หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ผลงานของพวกเขาจึงมีใจความแฝงหนึ่ง ที่เปรียบเปรยถึงความทุกข์ยากลำบากของการมีชีวิต ซึ่งเราสามารถมองได้ว่าตัวละครหญิงหม้ายในหนัง สามารถแทนได้ด้วย คนญี่ปุ่นทั้งประเทศ (ไม่ใช่แค่ผู้หญิงนะครับ แต่รวมผู้ใหญ่ ลูกเด็กเล็กแดง ทั้งหมดเลย) ที่เหมือนอาศัยอยู่ในหลุมทราย จะไปไหนก็ไม่ได้ ตกกลับลงมาที่เดิม ต้องคอยน้อมรับ ยอมรับทำตามสิ่งที่คนอื่นสั่งโดยดุษฎี

ในประเด็นที่ผมมองเห็น หญิงหม้ายคือตัวแทนของกิเลส ความยั่วยวนที่ยึดติด เป็นคนที่เหนี่ยวรั้ง Junpei โดยใช้ทุกสิ่งอย่างเข้าแม้กระทั่งร่างกายเข้าแลก, เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่สวย แต่ในสถานการณ์ที่ ชายและหญิง อยู่ด้วยกัน มันก็ไม่มีอะไรที่จะหักห้ามความต้องการของมนุษย์ได้

กับคนที่มองหนังเรื่องนี้ด้วยประเด็น Feminist ผมว่าคุณมองแคบไปนิดนะครับ จริงอยู่ที่ Junpei ใช้กำลังขืนใจหญิงหม้ายที่ดูแล้วครั้งแรกๆเธออาจไม่ได้สมยอมเลย แต่นั่นไม่ใช่บริบทของหนังเลยนะครับ มันคือจุดเริ่มต้นของการยอมรับ และการเอาคืนในทุกสิ่งที่มี ถ้ามองประเด็นของประเทศญี่ปุ่น นี่คือความ Racist แต่ถ้าในประเด็นของโลกมันคือวัฏจักรของมนุษย์

ถ่ายภาพโดย Hiroshi Segawa นี่เป็นหนังที่ถ่ายภาพ Extreme Close-Up ในระดับที่ว่าถึงรูขุมขน เห็นทรายเป็นเม็ดๆ (ผิวมนุษย์กับผืนทรายก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่) ถ่ายใกล้จนรู้สึกสัมผัสใกล้ชิดได้, กับฉากแรกของหนัง เริ่มถ่ายจากคริสทัลใสเม็ดหนึ่ง ตัดไปเห็นหลายๆเม็ด ตัดไปอีกทีเห็นเป็นก้อนกรวดทราย และตัดไปอีกครั้งเห็นผืนทราย จากระดับเล็กๆ (micro) กลายเป็นมวลรวม (macro) นี่แสดงถึงการเปรียบเทียบของหนัง มนุษย์แต่ละคนเปรียบได้กับเม็ดทรายหนึ่งเม็ด หลายคนก็คือผืนทราย ถึงจะมีเรื่องราวแค่ ชายหญิงคู่หนึ่ง ที่เป็นระดับ micro แต่ก็มีใจความเทียบได้กับ macro โลกมนุษย์/สิ่งมีชีวิตทั้งหมด

มีการถ่ายภาพช็อตหนึ่งของหนัง ที่ทำให้ผมนึกถึงหนังเรื่อง The Graduate (1967) เชื่อว่าได้แรงบันดาลใจมาจากช็อตนี้แน่นอน

ต้องบอกว่าหนังถ่ายทรายได้สวยมากๆ ซึ่งระหว่างถ่ายทำฉากทรายไถล/ถล่ม Teshigahara ได้รู้ความจริงข้อหนึ่งว่า เขาไม่สามารถทำให้ทรายให้เอียงกว่า 30 องศาได้ เพราะมันจะไหลทันที (I found it physically impossible to create an angle of more than 30 degrees.)

เมื่อพูดถึงหนังเกี่ยวกับทะเลทราย ก็ต้องนึกถึง Lawrence of Arabia (1962) แต่หนังสองเรื่องนี้คนละระดับเลยนะครับ เรื่องนั้นใช้การถ่ายเน้น Macro ภาพไกลๆเห็นเป็นมวลรวม สัมผัสได้ถึงความอบอ้าว ร้อนระอุ, แต่หนังเรื่องนี้ เราจะเห็นทรายเป็นเม็ดๆ เคลื่อนไหวเป็นริ้วๆราวกับมีชีวิต ระดับ Micro แม้จะเป็นภาพขวา-ดำ แต่สัมผัสถึงความเหนียวเหนอะหนะของเม็ดทราย ครั่นเนื้อครั่นตัว หยาบกระด้าง, ถ้า Lawrence of Arabia คือหนังที่สร้างความรู้สึกร้อนระอุให้เกิดขึ้นในจิตใจ Woman in the Dune จะคือหนังที่สร้างสัมผัสหยาบกระด้างของเม็ดทรายในระดับจับต้องได้

ตัดต่อโดย Fusako Shuzui, ในช่วงต้นเรื่องที่ตัวละครและผู้ชมยังไม่รู้เรื่องราวอะไร หนังค่อยๆสร้างปริศนา หยอดคำพูด ให้เกิดความฉงนสงสัย นั่นพูดจริงหรือพูดเล่น หรือกำลังจะมีอะไรเกิดขึ้นต่อไป, เชื่อว่าหลายๆลางสังหรณ์ในหนัง ผู้ชมย่อมคาดเดาได้อยู่แล้วว่าต้องเกิดขึ้นจริง เมื่อถึงเวลาสิ่งนั้นเกิดขึ้นกับตัวละคร ในใจเราจะกระหยิ่ม ‘ว่าแล้วต้องเป็นแบบนี้’ จากนั้นก็จะเฝ้ามองการแสดงออกและครุ่นคิดตาม ถ้าฉันตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น จะทำตัวเช่นไร เหมือนตัวละครนี้ไหม และคิดถึงตอนจบ พระเอกจะเอาตัวรอดได้อย่างไร

นี่เป็นการตัดต่อที่เหมือนคิดล่วงหน้าแทนผู้ชม ราวกับอ่านใจได้ แต่จริงๆแล้วนั่นเป็นสิ่งที่ผู้กำกับวางไว้เป็นเหยื่อล่อ ให้ผู้ชมติดตามแล้วตกลงในหลุมกับดักที่เขาเตรียมไว้ (พูดเหมือนด้วงเสือ) ผมมาย้อนนึกดูก็เป็นแบบนี้จริงๆนะครับ เพราะขณะดูผมก็คิดตามแบบที่เล่าให้ฟังนี้ ฤาว่านี่เป็นหนังที่สามารถควบคุมการคิดของผู้ชมได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ผมคงต้องกราบคารวะ ยอมศิโรราบให้กับหนังเลยทันที

เพลงประกอบโดย Toru Takemitsu (คนนี้เคยทำเพลงประกอบให้หนังเรื่อง Ran-1985 ของ Akira Kurosawa ด้วยนะครับ) กับหนังเรื่องนี้เพลงประกอบต้องถือว่า Avant-Garde มากๆ เป็นแนวทดลองที่ฟังยาก แต่เหมือนได้สร้างโลกอีกใบให้กับหนัง, เน้นเสียง high pitch แหลมสูง แสบแก้วหู ทำเอาผมไม่แน่ใจเลยว่านั่นเสียงไวโอลินหรือเสียงอะไร ส่วนเครื่องดนตรีอื่นๆก็จะมาแบบประปรายดังขึ้นมาแล้วก็หายไป ฟังไม่ได้สรรพเป็นทำนอง เหมือนเสียง Sound Effect ลมโหยหวน ที่พัดมาแล้วจากไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น, กับฉาก Sex Scene เพลงประกอบแบบว่าหลอน…เข้ากระดูกดำ คือดูแล้วไม่ได้เกิดอารมณ์ความต้องการใดๆทั้งนั้น แต่ขนลุกซู่ มันเหมือนลูกหมาจิ้งจอกตัวหนึ่งกำลังเดินเข้าถ้ำเสือ แล้วถูกขยุ้มฆ่าตายเป็นเหยื่อโดยไม่รู้ตัว

แม้ตรรกะต่างๆในหนังเรื่องนี้จะดูไม่สมเหตุสมผลเลย อาทิ หมู่บ้านเอาเงินมาจากไหน? ขุดทรายไปขาย… แล้วทำไมต้องขุดจากหลุมนี้? ถ้าเราไม่ขุดบ้านอื่นก็จะถูกทรายทับเดือดร้อน … ไหนบ้านอื่น? ฯลฯ แต่ก็ไม่ได้ทำให้อรรถรสในการรับชมหนังเสียไปแม้แต่น้อย เพราะคำตอบของคำถามพวกนี้ ไม่ได้ทำให้สถานการณ์ที่เป็นอยู่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย เป็นองค์ความรู้ที่ไม่มีประโยชน์อะไร รู้ไปก็ทำอะไรไม่ได้ มีค่าเท่ากับไม่รู้ (เหมือนโลกขนาดใหญ่เท่าไหร่?, ค่า PI ทำไมเท่ากับ 3.14 ? ฯ เรื่องพรรค์นี้ไม่ต้องรู้ก็ได้)

วิธีการจะดูหนังเรื่องนี้ให้สนุก คือคุณต้องคิดตาม หาเหตุผล ทำความเข้าใจหนังด้วยตนเอง ใจความของหนังเกี่ยวกับการค้นหาคำตอบ ชีวิตคืออะไร? เกิดมาเพื่ออะไร? หนังไม่มีคำตอบให้นะครับ แต่ท้าทายให้คุณคิดหาคำตอบด้วยตนเอง ซึ่งคุณอาจไม่พบคำตอบก็ถือเป็นเรื่องปกติ เพราะคำตอบของชีวิตมันไม่ได้หากันมาง่ายๆ แต่ผมก็รู้คำตอบนะครับ และมีคำตอบเดียวเท่านั้นคือ พุทธศาสนา

ผมไม่รู้ว่าผู้กำกับ Teshigahara และคนเขียนบท Abe สร้างหนังเรื่องนี้อิงทางพุทธศาสนามากแค่ไหน (เชื่อว่าอาจจะไม่ได้สนใจหรือศึกษาอ้างอิงอะไรเลย) ซึ่งการวิเคราะห์หนังเรื่องนี้ทางพุทธ ผมรู้สึกว่าเป็นอะไรที่สนุกมาก, ถ้าเปรียบหลุมทรายแห่งนี้คือ วัฎจักรของมนุษย์ และการเอาตัวรอดคือการหนีพ้นวัฎจักร ความต้องการของมนุษย์มีแค่ กิน/ขี้/ปี้/นอน ในพื้นฐานทั้ง 4 อาหาร/เครื่องนุ่งห่ม/ที่อยู่อาศัย/ยารักษาโรค เมื่อมีเหล่านี้ครบ ก็พอเพียงที่จะมีชีวิตอยู่ได้, พระเอกในหนัง ช่วงแรกพยายามหาทางหนีออกจากวัฏจักรนี้ แต่สุดท้ายก็ไปไม่รอด หลงใหลยึดติดในรูป/รส/กลิ่น/เสียง/สัมผัส สุดท้ายเมื่อหนทางออกเปิดกว้าง เขาเลือกยอมศิโรราบกับกิเลส กลายเป็นมนุษย์ธรรมดาทั่วไปคนหนึ่ง, ถ้าจบแบบทางพุทธ ยังไงพระเอกก็ต้องหนีออกไปเมื่อเห็นทางสว่าง (คือหลุดพ้นจากวัฎจักร) แต่เมื่อไม่ไป นี่แสดงว่า ตัวเขายอมรับความพ่ายแพ้ หลงใหลยึดติดในกิเลส ยอมที่จะวนเวียนอยู่ในวัฏจักรนั้นไม่มีจบสิ้น

ถ้าคุณเป็นชาวพุทธ พยายามคิดต่อหนังให้ได้แบบที่ผมเล่ามาในย่อหน้าที่แล้วนะครับ แต่ถ้าไม่ใช่ ก็ลองไปคิดหาคำตอบในมุมมอง ความเชื่อของตัวคุณเองดูแล้วกัน, ใบ้ให้ว่าคือการมีชีวิต ใช้ชีวิต การยอมรับ และการค้นหาตัวตน สำหรับผมมันไม่มีค่าอะไรเลยที่จะคิดเรื่องพรรค์นั้น เพราะเมื่อมองเห็นทางพุทธแบบนี้ จะเห็นใจความของหนัง คือ การต่อสู้เพื่อหาหนทางหลุดพ้น แต่สุดท้ายกลับพ่ายแพ้ต่อกิเลสและมาร

นี่แหละครับเหตุผลที่ผมจัดหนังเรื่องนี้ “ต้องดูให้ได้ก่อนตาย” ดูแล้วคิดตามได้ประโยชน์มหาศาล

หนังได้ฉายในเทศกาลหนังเมือง Cannes และคว้ารางวัล Special Jury Prize มารอง, ปลายปีเป็นตัวแทนของญี่ปุ่นส่งชิง Oscar สาขา Best Foreign Language Film ได้เข้ารอบ 5 เรื่องสุดท้ายก่อนแพ้ให้กับ Yesterday, Today and Tomorrow หนังสัญชาติ Italian ของผู้กำกับ Vittorio De Sica, และมีเรื่องตลกคือ ปีถัดมาเมื่อหนังได้ไปฉายที่อเมริกา Hiroshi Teshigahara ได้เข้าชิง Oscar สาขา Best Director จากหนังเรื่องนี้ย้อนหลังด้วย (หนังเรื่องเดียวกันแท้ๆ แต่ได้เข้าชิงสองปีติด) ก่อนแพ้ให้ Robert Wise จาก Sound of Music

กรณีเช่นนี้เกิดขึ้นเพราะ หนังที่เป็นตัวแทนประเทศส่งเข้าชิง Best Foreign Language Film ไม่จำเป็นต้องได้ฉายในอเมริกา (แค่เข้าฉายในประเทศที่เป็นตัวแทนภายในเวลาที่กำหนดก็พอ) ส่วนสาขาอื่นๆ ต้องฉายในอเมริกาแล้วเท่านั้นถึงมีสิทธิ์ได้เข้าชิง ซึ่งกรณีนี้ Women in the Dunes ไม่ได้ฉายในอเมริกาปี 1964 เลยได้เข้าชิงแค่ Best Foreign Language Film ในปีนั้น แล้วพอเข้าฉายในอเมริกาปี 1965 จึงได้โอกาสเข้าชิงสาขา Best Director โดยปริยาย

นี่ถือเป็นกรณีพิลึกพิลั่นหนึ่งของ Oscar ที่หลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ได้ออกกฎเพิ่มเติมว่า ถ้าหนังต่างประเทศเรื่องไหนได้เข้าชิงติด 1 ใน 5 เรื่องสุดท้าย แม้จะยังไม่ได้ฉายในอเมริกา ก็จะหมดสิทธิ์เข้าชิงสาขาอื่นในปีถัดไปทันที, กระนั้นมันก็มีกรณีของ City of God (2002) หนังสัญชาติ Brazillian ที่ผมเคยเล่าไปแล้ว เพราะหนังไม่ได้เข้าชิงติด 1 ใน 5 สาขา Best Foreign Language Film ในปี 2003 ผู้สร้างเลยจัดฉายทั่วอเมริกาในปีถัดมา และหนังได้เข้าชิง Oscar ถึง 4 สาขา

Roger Ebert เปรียบเทียบว่า Woman in the Dunes เปรียบเสมือนเทพนิยาย Sisyphus สมัยใหม่ ที่ชายคนหนึ่งถูกพระเจ้าสั่งให้เข็นหินขึ้นเขาตลอดเวลา เพียงเพื่อให้เห็นก้อนหินตกลงมา, เฉกเช่นกับการขุดทราย ขนทราย มันไม่ได้มีเหตุผลความจำเป็นอะไร ขุดทรายตรงนี้ออกเดี๋ยวมันก็ทับถมขึ้นมาใหม่ ในหนังพระเอกถามหญิงหม้าย ‘นี่เธอขุดทรายเพื่อที่จะเอาตัวรอด หรือเอาตัวรอดเพื่อขุด’ (Do you shovel to survive, or survive to shovel?) คำถามนี้ไม่มีคำตอบ

ผมหลงรักหนังเรื่องนี้เมื่อสักครึ่งชั่วโมงแรกผ่านไป ตอนเริ่มจับใจความได้ว่าเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร คงเพราะความสุดโต่งหลายๆอย่าง โดยเฉพาะงานภาพและเพลงประกอบ ที่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนเข้าไปถึงข้างในจิตใจ สิ่งที่อยู่ข้างในเนื้อหนังมังสาของนักแสดง สัมผัสได้ถึงความอึดอัดทรมาน เหนียวเหนอะหนะ จมูกได้กลิ่นทราย ความกระหายทำให้แสบคอ กับคนที่สัมผัสได้ จะพบว่าหนังเรื่องนี้มีความสมจริงอย่างที่สุด

ถ้าผมตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้นะ จะนั่งคุยแบบเปิดอกกับหญิงสาวให้เข้าใจไปเลยว่าทำไม เพื่ออะไร อาจมีเล่นตัวสักนิดแล้วก็จะยอมรับโชคชะตา ไม่ดื้อดึงดันนานแบบพระเอกในหนังแน่นอน, นี่เพราะผมคิดว่า คนฉลาดไม่ใช่คนที่ดิ้นรน แต่คือคนที่รู้จักหาจังหวะและฉวยโอกาส ดังที่เราจะเห็นได้ในหนัง เมื่อถึงเวลาของมัน เราก็แทบไม่ต้องดิ้นรนอะไรเลย ขณะนั่นแหละถึงจะเป็นการเลือกตัดสินใจที่แท้จริง ว่าเราจะหนีหรือจะอยู่ (แน่นอนว่าผมเลือกหนี)

เกร็ด: นี่เป็นหนังเรื่องโปรดของผู้กำกับ Andrei Tarkovsky

เหตุผลเดียวที่หนังเรื่องนี้ไม่ได้กลายเป็นหนังเรื่องโปรดของผม ทั้งๆที่บอกตามตรงโคตรชอบเลยละ เพราะตอนจบพระเอกเลือกที่จะไม่หนีออกไป ยอมวนเวียนหลงใหลในวัฏจักร นี่ทำเอาผมเสียดายอย่างยิ่ง เพราะถ้าหนังจบที่เขาหนีไป มันจะสมบูรณ์แบบในทางพุทธอย่างสวยงาม

แนะนำกับคนชื่นชอบหนังแนว Drama แนวคิดสุดโต่ง แบบ Avant-Garde, นักกีฏวิทยา นักภูมิศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ นักมนุษยศาตร์ ศึกษามนุษย์/แมลง ภูมิทัศน์ และการใช้ชีวิตเอาตัวรอดในทะเลทราย, นักเรียน คนทำงานสายภาพยนตร์ มีอะไรให้น่าศึกษาเยอะเลย

แนะนำอย่างยิ่งกับนักปรัชญา ศาสนา นักคิดที่ชอบตั้งคำถาม ชีวิตคืออะไร? เกิดมาเพื่ออะไร? หนังเรื่องนี้ไม่มีคำตอบให้คุณนะครับ รังแต่จะสร้างคำถามเพิ่ม กระนั้นมันก็น่าสนใจไม่ใช่เหรอ หนังที่ทำให้คุณต้องขบคิดหาคำตอบ

จัดเรต 18+ กับบรรยากาศหนังและความ Erotic

TAGLINE | “Woman in the Dunes คือหนังที่ตั้งคำถามกับการเป็นมนุษย์ สุดยอดทั้งงานภาพ เพลงประกอบ และการแสดงที่สมจริง”
QUALITY | RARE-GENDARY
MY SCORE | LOVE

1
Leave a Reply

avatar
1 Comment threads
0 Thread replies
5 Followers
 
Most reacted comment
Hottest comment thread
0 Comment authors
Recent comment authors

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

  Subscribe  
newest oldest most voted
Notify of
trackback

[…] 10. Woman in the Dunes (1964)  : Hiroshi Teshigahara ♥♥♥♥♡ […]

%d bloggers like this: