Boogie Nights

Boogie Nights (1997) hollywood : Paul Thomas Anderson ♥♥♥

แรงบันดาลใจจาก John Holmes (1944 – 1988) นักแสดงหนังโป๊ผู้ได้รับการยกย่อง ‘ราชาแห่งยุค Golden Age of Porn’ กลายเป็นภาพยนตร์สร้างชื่อให้ Paul Thomas Anderson สะท้อนความเพ้อฝัน ตัวตน วัฏจักรชีวิต ในช่วงวัยรุ่นเปลี่ยนผ่านของตนเอง

หลายคนคงคลุ้มคลั่งกับลีลา ไดเรคชั่นของ Paul Thomas Anderson สามารถนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับการถ่ายทำหนังโป๊ โดยไม่เปิดเผยไอ้จ้อนขนาดก้องโลกจนกระทั่งวินาทีสุดท้าย แต่โดยส่วนตัวรู้สึกผิดหวังกับเรื่องนี้โดยสิ้นเชิง พบเห็นความเย่อหยิ่งจองหอง ทะนงตน อวดดี ไอ้เด็กเมื่อวานซืนไม่รู้จักโต รำคาญใจสุดก็การ Show-Off ไม่รู้เพราะผมได้รับอิทธิพลจาก Burt Reynolds ด้วยรึเปล่านะที่ให้สัมภาษณ์บอกไม่ชอบหนัง ด้วยสาเหตุ

“I think mostly because he was young and full of himself. Every shot we did, it was like the first time [that shot had ever been done]. I remember the first shot we did in ‘Boogie Nights,’ where I drive the car to Grauman’s Theater. After he said, ‘Isn’t that amazing?’ And I named five pictures that had that same kind of shot”.

ค่อนข้างเชื่อว่าผู้ชมส่วนใหญ่คงมองแค่เพียงหน้าหนัง กึ่งๆชีวประวัตินักแสดงหนังโป๊ระดับตำนาน ผสมลักษณะของ Mockumentary แต่ถ้าคุณติดตามผลงานของ Anderson มาหลายๆเรื่อง จะพบว่ามันต้องมีบางสิ่งอย่างหลบซ่อนเร้นอยู่เสมอ ซึ่งในกรณีของ Boogie Night คือแรงผลักขับเคลื่อนด้วยสันชาติญาณทางเพศ การเติบโตของวัยรุ่น ถ่ายทำหนังโป๊แตกต่างอะไรจากภาพยนตร์ และวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงของมนุษย์ (แต่ในบริบทนี้ถือเป็น วัฏจักร จะตรงกว่า)

หลังจากที่ Quentin Tarantion สร้าง Reservoir Dogs (1992) ต่อด้วย Pulp Fiction (1994) เปิดประตูสู่ยุคสมัย ‘Post-Modern แห่งวงการภาพยนตร์’ ผู้กำกับ Paul Thomas Anderson ถือเป็นบุคคลถัดๆมารุ่นเดียวกัน แทบทุกสิ่งอย่างในผลงานสามารถอ้างอิงหนังเรื่องเก่าๆในยุค Classic และ Modern ปรับเปลี่ยนแปลงให้เข้ากับความเป็นตัวของตนเอง สำหรับ Boogie Nights ก็อาทิ On the Waterfront (1954), Touch of Evil (1958), I Am Cuba (1964), Enter the Dragon (1973), Nashville (1975), Saturday Night Fever (1977), Raging Bull (1980), Goodfellas (1990), The Player (1992) ฯ

Paul Thomas Anderson (เกิดปี 1970) ผู้กำกับสร้างภาพยนตร์สัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Studio City, California, มีพี่น้องทั้งหมด 9 คน ไม่สนิทกับแม่เท่าไหร่ ติดพ่อที่เป็นนักแสดง/จัดรายการโทรทัศน์ เลยมีความต้องการโตขึ้นอยากเป็นผู้กำกับ หัดสร้างหนังสั้นตั้งแต่อายุ 8 ขวบด้วยกล้อง Betamax (กล้องบันทึกเทป) โตขึ้นเริ่มทำงานเป็น Production Assistant ในรายการโทรทัศน์, Music Video ฯ เก็บหอมรอมริด สร้างภาพยนตร์ขนาดสั้น The Dirk Diggler Story (1988), Cigarettes & Coffee (1993) เรื่องหลังส่งไปฉายเทศกาลหนัง Sundance ได้นายทุนให้โอกาสสร้างภาพยนตร์เรื่องแรก Hard Eight (1996), ตามด้วยผลงานแจ้งเกิด Boogie Nights (1997), Magnolia (1999), Punch-Drunk Love (2002), There Will Be Blood (2007), The Master (2012) ฯ

Boogie Nights เป็นการดัดแปลง The Dirk Diggler Story (1988) หนังสั้นเรื่องแรกของ Anderson ที่มีลักษณะเป็น Mockumentary นำเสนอเรื่องราวชีวิตของนักแสดงหนังโป๊ชื่อดัง Dirk Digger จากเคยประสบความสำเร็จล้นหลาม ติดยาจนนกเขาไม่ขัน สูญเสียอนาคต และสิ้นชีวิตด้วยการเสพยาเกินขนาด ซึ่งเรื่องราวดังกล่าวก็ได้แรงบันดาลใจจากสารคดี Exhausted: John C. Holmes, the Real Story (1981) นำเสนอชีวิตจริงของ John C. Holmes นักแสดงหนังโป๊ผู้ได้รับฉายา ‘ราชาแห่งยุค Golden Age of Porn’ มีผลงานอมตะอย่าง Deep Throat (1972), Behind the Green Door (1972), The Devil in Miss Jones (1973) ฯ จากเคยประสบความสำเร็จโด่งดังด้วยเจ้าโลกขนาดมหึมา หลังติดยาชีวิตค่อยๆตกต่ำ แถมติดโรค AIDS จนเสียชีวิตก่อนวัยอันควร

แซว: ไม่มีใครล่วงรู้ขนาดเจ้าโลกของ John Holmes แม้พบเห็นในฟีล์มหนังแต่ก็ไร้ซึ่งตัวเลขยืนยัน บรรดานักแสดงหญิง/เพื่อนคนรู้จัก ประมาณกันตั้งแต่ 10-16 นิ้ว (25.4 – 40.6 เซนติเมตร) ใหญ่สุดในวงการทศวรรษนั้น

เริ่มต้นปี 1977, Eddie Adams (รับบทโดย Mark Wahlberg) เลิกเรียนมัธยมทำงานเป็นเป็นเด็กเสิร์ฟ Reseda Nightclub ได้รับการพบเจอโดยผู้กำกับหนังโป๊ Jack Horner (รับบทโดย Burt Reynolds) แค่เพียงสบตาก็รับรู้ได้ถึงบางสิ่งอย่างหลบซ่อนอยู่ภายใต้ ชักชวนให้เข้าวงการเป็นนักแสดง ซึ่งเมื่อไอ้จ้อนได้รับการเปิดเผยออก สร้างความตกตะลึงให้กับทุกคนโดยเฉพาะนักแสดงหญิง Maggie (รับบทโดย Julianne Moore) โหยหาต้องการครอบครองเป็นเจ้าของแต่โดยไว เปลี่ยนชื่อใหม่ให้กับตนเอง Dirk Diggler ประสบความสำเร็จล้นหลามในวงการอย่างรวดเร็ว

Mark Robert Michael Wahlberg (เกิดปี 1971) นักแสดงสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Dorchester, Boston เป็นลูกคนเล็กมีพี่น้อง 9 คน ไม่นานพ่อแม่หย่าร้างทำให้ตอนอายุ 13 ติดโคเคนจนเรียนไม่จบ ทำร้ายร่างกายผู้อื่น ถูกจับติดคุก ได้รับการผ่อนผันเลยหันมาเอาดีด้านการร้องเพลง ไปๆมาๆได้รับโอกาสเป็นนักแสดงโฆษณา โมเดลลิ่ง ภาพยนตร์เรื่องแรก Renaissance Man (1994), เริ่มมีชื่อเสียงกับ The Basketball Diaries (1995) ทั้งรักทั้งเกลียดเพื่อนสนิท Leonardo DiCaprio, สร้างชื่อให้กับตนเอง Boogie Nights (1997), Planet of the Apes (2001), The Italian Job (2003), The Departed (2006), The Fighter (2010) ฯ

ในตอนแรก Anderson ติดต่อชักชวน DiCaprio ให้รับบทนำ แต่เจ้าตัวตกลงปลงใจไปแล้วกับ Titanic (1997) กระนั้นก็ได้แนะนำเพื่อนสนิท Wahlberg และภายหลังรู้สึกเสียดาย เพราะตนเองชื่นชอบหนังมาก (จนถึงปี 2018, DiCaprio ก็ยังไม่เคยมีโอกาสร่วมงานกับ Anderson เลยนะ)

รับบท Eddie Adams วัยรุ่นหนุ่มที่กำลังเติบโตเป็นผู้ใหญ่ หลงใหลใน Bruce Lee, Robert DeNiro และรถสปอต แต่เพราะที่บ้านแม่ไม่เคยเข้าใจเลยมีเรื่องทะเลาะปากเสียงรุนแรง เป็นเหตุให้หนีออกจากบ้านไม่เคยหวนกลับ ปรับเปลี่ยนตนเองให้ชื่อ Dirk Diggler แจ้งเกิดในวงการ Pornography ไม่ใช่แค่เจ้าโลกที่ขนาดใหญ่โต แต่คือหนึ่งในผู้ปฏิวัติวงการ ผสมผสานการแสดงดราม่าเข้าร่วมกับฉาก Sex Scene ที่โจ๋งครึ่ม

เพราะความเย่อหยิ่งทะนงจนหลงตัวเอง คิดว่าข้าคือผู้ยิ่งใหญ่คับฟ้า เมื่อเริ่มเลอะเลือนจากการติดยา นกเขาไม่ขัน ขัดแย้งกับผู้กำกับเลยถูกไล่ออก ชีวิตค่อยๆตกต่ำลงเรื่อยๆ เสียงร้องเพลงเลวร้ายยิ่งกว่าแมวคราง เงินทองร่อยหรอ ค้ายาก็ประสบความล้มเหลว สุดท้ายซมซานหวนกลับหาเพื่อนเก่า ร้องขอซบตักรับไออุ่นเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่

ว่าไปชีวิตของ Mark Wahlberg มีความคล้ายคลึงกับตัวละครนี้เป็นอย่างมาก มิน่าละจึงสามารถถ่ายทอดออกมาได้อย่างเกรี้ยวกราดสมจริง แต่โดยส่วนตัวมองว่าภาพลักษณ์ของพี่แกมีความจืดจางยิ่งกว่า นอกจากเจ้าโลกอันใหญ่โตที่เป็น MacGuffin ไปจนถึงได้รับการเปิดเผยช่วงท้าย (ก็ไม่ใหญ่เท่าไหร่นะเมื่อเทียบกับนักแสดงหนังโป๊สมัยนั้น) ไม่พบเห็นสีสันความโดดเด่นอะไรเท่าไหร่ให้น่าระลึกจดจำ

ในตอนแรก Wahlberg ไม่คิดอยากรับบทนักแสดงหนังโป๊สักเท่าไหร่ เพราะติดกระแส Showgirls (1995) ของผู้กำกับ Paul Verhoeven ล้มเหลวห่วยแตกโดยสิ้นเชิง แต่เมื่อได้อ่านบทไปประมาณ 35 กว่าหน้า เริ่มอยากพูดคุยพบเจอผู้กำกับ ตอนนั้นยินยอมพร้อมใจอยากให้ทำอะไรก็ว่ามา จนถือว่าเป็นการแสดงที่ ‘Breakthrough’ อาชีพของตนเอง แต่กาลเวลาผ่านไปเจ้าตัวก็มักให้สัมภาษณ์ว่า รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่กับการตัดสินใจครั้งนี้ เพราะเมื่อกลายเป็นพ่อคนคิดย้อนเมื่อลูกเติบโตขึ้นมาพบเจอ จะรู้สึกเช่นไร?

“I just always hope that God is a movie fan and also forgiving, because I’ve made some poor choices in my past. ‘Boogie Nights’ is up there at the top of the list.”

เกร็ด: น่าจะดูออกกันนะว่าเจ้าโลกอันนั้นเป็นของปลอม ซึ่ง Wahlberg ก็ได้รับมันเก็บไว้เป็นที่ระลึกด้วย

Burton Leon Reynolds Jr. (1936 – 2018) นักแสดงสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Lansing, Michigan มีเชื้อสาย Dutch, Scottish, วัยเด็กวาดฝันเป็นนักกีฬาอเมริกันฟุตบอล แต่ได้รับบาดเจ็บเข่าหลายครั้งจนต้องเลิกเล่น ต่อมาสนใจอาชีพตำรวจแต่พ่อแนะนำให้เรียนจบก่อนแล้วสมัครเป็นเจ้าหน้าที่ทัณฑ์บน (Parole Officer) ซึ่งระหว่างเรียน Palm Beach Junior College ครูสอนวิชาภาษาอังกฤษผลักดันให้เขาเล่นละครเวทีของโรงเรียนจนเกิดความสนใจด้านนี้ แถมคว้ารางวัล Florida State Drama Award ได้รับทุนเรียนการแสดงที่ Hyde Park Playhouse, New York ได้มีบทสมทบเล็กๆในละคร Broadway จนเข้าตาผู้กำกับ Hollywood เกือบได้แสดง Sayonara (1957) แต่หน้าเหมือน Marlon Brando ไปหน่อย เลยถูกส่งต่อให้วงการโทรทัศน์ เริ่มมีชื่อเสียงจากซีรีย์ Riverboat (1959-61), Gunsmoke (1962-65), สำหรับภาพยนตร์ลุ่มๆดอนๆจนมาถึง Deliverance (1972) จากนั้นกลายเป็นนักแสดงยอดนิยม ‘Superstar’ แห่งทศวรรษ 70s อาทิ The Longest Yard (1974), Smokey and the Bandit (1977), Semi-Tough (1977), Hooper (1978), Smokey and the Bandit II (1980), The Cannonball Run (1981) และเข้าชิง Oscar: Best Supporting Actor จากเรื่อง Boogie Nights (1997)

มีนักแสดงมากมายที่ได้รับการติดต่อ อาทิ Warren Beatty, Sydney Pollack, Albert Brooks, Harvey Keitel, Bill Murray, Jack Nicholson ฯ ส่วนใหญ่จะปฏิเสธเพราะเรื่องราวเกี่ยวกับวงการหนังโป๊ เฉกเช่นเดียวกับ Burt Reynolds บอกปัดผู้กำกับไปถึง 7 ครั้ง จนกระทั้งสุดท้ายแสดงความหงุดหงิดเกรี้ยวกราดใส่ แล้ว Anderson บอกว่า ถ้าคุณนำทัศนคติดังกล่าวติดตัวไปด้วยขณะแสดง การันตีว่าเข้าชิง Oscar อย่างแน่นอน

รับบท Jack Horner ผู้กำกับหนังโป๊ยอดฝีมือ วาดฝันการค้นพบนักแสดงหน้าใหม่ สร้างสรรค์ผลงานให้โลกจดจำตนเองไว้ชั่วนิรันดร์ ซึ่งการพบเจอ Eddie Adams ผู้กลายมาเป็น Dirk Diggler ต้องถือว่าฟ้าประทานมาโดยแท้ แต่กาลเวลาก็ค่อยๆผันเปลี่ยนแปร จากยุคฟีล์มกลายเป็นวีดิโอเทป ไม่ง่ายจะปรับตัวเปลี่ยนแปลง ทั้งยังต้องมองหาอะไรใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา เพราะใช่ว่าทุกคนจะอยู่ค่ำฟ้าไปตลอดกาล

ปกติแล้ว Reynolds จะไม่รับบทบาทที่มีความตึงเครียดหนักขนาดนี้ พี่แกจะเฮฮา ลัลล้า Macho มาดเก๋า ลูกผู้ชายพันธุ์แท้ แต่ใช่ว่าจะเป็นคนไร้ฝีมือทางการแสดง นี่เป็นการพิสูจน์ให้โลกตระหนักรู้ ดราม่าจริงจังฉันก็ทำได้ ขณะเกรี้ยวกราดโกรธพาลให้ขนลุกขนพองกันไปเลย โดยเฉพาะขณะขับไล่ออก Dirk Diggler มาเหนือเมฆจริงๆ

ถึงกระนั้น Reynolds ก็ไม่ชื่นชอบหนังเรื่องนี้สักเท่าไหร่ ขัดแย้งเกือบชกต่อยผู้กำกับ Anderson อยู่คราหนึ่ง หลังรับชมฉบับตัดต่อแรกๆ เกือบจะไล่ออกผู้จัดการส่วนตัว (บางแหล่งข่าวก็ว่าไล่ออกไปเลย ไม่รู้ใครจริง) คว้า Golden Globe, เข้าชิง Oscar ผมว่ามันก็คุ้มนะกับทุกสิ่งอย่างที่ทุ่มเทลงแรงไป

สิ่งน่าทึ่่งในคำขอบคุณของ Reynolds คือการพูดถึงมุมมองของหนังที่คนส่วนใหญ่อาจไม่เข้าใจ และตบท้ายด้วยวลีที่โคตรคมคาย

“the old Stratovarius plays better then the new ones”.

Julianne Moore ชื่อเดิม Julie Ann Smith (เกิดปี 1960) นักแสดงหญิงสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Fort Bragg, North Carolina แม่มีเชื้อสาย Scottish พ่อเป็นทหารพลร่มทำให้ต้องย้ายถิ่นฐานอยู่บ่อยๆ เด็กๆไม่ค่อยมีเพื่อนเท่าไหร่วาดฝันโตขึ้นเป็นหมอ ขณะเดียวกันเพราะความเป็นนักอ่าน มีงานอดิเรดคือแสดงละครเวทีของโรงเรียนจนครูสอนภาษาอังกฤษโน้มน้าวผลักดันให้สนใจวงการแสดง เข้าเรียนต่อ Boston University จบสาขาละครเวที, มุ่งสู่ New York ทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟ มีบทบทเล็กๆใน Off-Broadway, ได้รับบทนำใน Soap Opera, ภาพยนตร์แจ้งเกิด Short Cuts (1993), 3 Women (1977), The Lost World (1997), The Big Lebowski (1998), Hannibal (2001), เข้าชิง Oscar ทั้งหมด 5 ครั้ง จาก Boogie Nights (1997), The End of the Affair (1999), The Hours (2002), Far from Heaven (2002), คว้ามาได้เรื่อง Still Alice (2014)

รับบท Maggie เจ้าแม่นักแสดงหนังโป๊หญิง ก่อนหน้านี้เคยแต่งงานมีลูกชายแต่หย่าขาดสามีเพราะจับได้ว่าเธอทำงานในวงการ Pornography หลงใหลใน Sex และโคเคน เสพเป็นกิจวัตรจนหลายครั้งคลุ้มคลั่งหยุดนิ่งอยู่กับที่ไม่ได้ เมื่อพยายามขึ้นศาลเพื่อขออำนาจต่อรองในการพบลูก ถูกปฏิเสธโดยอดีตสามีไม่ให้พบเจออีกสักครั้งเดียวตราบใดยังทำงานอยู่ในวงการนี้

มีฉากหนึ่งตอนตัวละครนี้เสพยากับ Rollergirl (รับบทโดย Heather Graham) มันคงจะลุ่มร้อนจนมิอาจนั่งสงบนิ่งอยู่บนเตียงได้ เดินระส่ำระส่ายอย่างคนเสียสติวิกลจริต มือกวัดแกว่งไปมา สีหน้าลุ่มร้อนรน พูดประโยคซ้ำๆ ‘too many things’ ทีแรกผู้กำกับบอก 1-2 ครั้งก็เพียงพอ แต่ Moore พูดวนไปเรื่อยๆนับครั้งไม่ท้วน นี่เสพโคเคนเข้าไปจริงๆหรือเปล่าเนี่ย สมบูรณ์แบบมากๆ

การแสดงของ Moore ถือว่ามีสีสันในทุกๆเรื่อง ตัวละครมักมีความบ้าๆบอๆ จริตแตก แสดงพฤติกรรมอันผิดแผกแหวก แตกต่างจากชาวบ้านชาวเมืองพอสมควร เรียกได้ว่าระดับน้องๆ Meryl Streep/Bette Davis ไม่ห่วงสวย เละแค่ไหนก็ได้ โป๊เปลือยล่อนจ้อน ทำได้ทุกสิ่งอย่าง

“I never care that [my characters] are ‘strong’. I never care that they’re even affirmative. I look for that thing that’s human and recognizable and emotional”.

สมทบด้วยนักแสดงสร้างสีสันมากมาย, John C. Reilly ในบท Reed Rothchild นักแสดงหนังโป๊ที่กลายเป็นเพื่อนสนิท บั๊ดดี้ของ Dirk Diggler ไปไหนไปด้วยร่วมจมหัวจมท้าย แต่ก็กลายมาเป็นนักเล่นมายากลหลังออกจากวงการแสดง

Don Cheadle รับบท Buck Swope ทำงานในร้านขายเครื่องเสียง คงจะเป็นคนคุมเรื่องการบันทึกเสียงในกองถ่าย วาดฝันมีร้านขายเป็นของตนเอง แต่รสนิยมแฟชั่นโคตรจะไม่เคยดูตนเอง แต่โชคดีชิบหายได้แฟนสาวอดีตนักแสดงหนังโป๊สุดเซ็กซี่ ทั้งยังรอดชีวีจากการดวลปืนสามเส้า นำเอาเงินฟ้าประทานมาเปิดร้านของตนเอง

William H. Macy รับบท ‘Little’ Bill Thompson พ่อหนุ่มผู้น่าสงสาร จับได้ตั้งแต่แรกว่าภรรยาลักลอบมีชู้ ร่วมรักต่อหน้าต่อตาเขาอย่างไร้ยางอาย พบเห็นอีกครั้งเธอมีผู้ชมมากมาย สุดท้ายตัดสินใจยิงปืนฆ่าเธอและชู้ตาย ก่อนยิงตัวตามเสียชีวิตตั้งแต่กลางเรื่อง เที่ยงคืนปี 1980

ไฮไลท์สุดของหนังต้องคนนี้ Philip Seymour Hoffman รับบท Scotty J. น่าจะดูรู้กันว่าเป็นแต๋วแบบแอบๆ คลั่งไคล้ในเจ้าโลกของ Dirk Diggler เพ้อคลั่งอยากสัมผัสลูบไล้มาครอบครอง (แต่ Diggler ดันไม่รู้ว่าหมอนี่เป็นเกย์ เป็นไปได้ยังไง) เคยหักห้ามใจตัวเองไม่อยู่ครั้งหนึ่ง เลยทำให้ประดับฉากอยู่ด้านหลังตลอดเวลา แสดงปฏิกิริยาสำเร็จความใคร่กระตุกโดยไม่ต้องใช้มือสัมผัส

Alfred Molina รับบท Rahad Jackson พ่อค้าขายยาที่มีความบ้าบอเสียสติแตก (Molina ใส่ที่อุดหูไว เลยไม่สะทบสะเทือนเวลาเสียงระเบิดดังสักครั้งเดียว) ไร้ซึ่งความหวาดกลัวเกรง ละอายใดๆในชีวิต แต่เมื่อใดใครคิดคดหักหลังทรยศ ก็เอามันให้ชีพวาย ตายห่าตายโหงกันไปข้างหนึ่ง

ถ่ายภาพโดย Robert Elswit จากเคยเป็นผู้สร้าง Visual Effect กลายมาเป็นตากล้องถ่ายทำภาพยนตร์ ขาประจำของ Anderson และ Clooney คว้า Oscar: Best Cinematography เรื่อง There Will Be Blood (2007)

หลายๆช็อตของหนังเป็นการ Show-Off ของผู้กำกับ ที่แทบทั้งนั้นล้วนมีอิทธิพลแรงบันดาลใจจากภาพยนตร์เรื่องเก่าก่อน มุมกล้อง เคลื่อนไหว Long-Take ยังหาความเป็นตัวของตนเองไม่ได้ชัดเจนนัก

Long Take แรกของหนัง เป็นส่วนผสมระหว่าง Touch of Evil (1958) กับ Goodfellas (1990) โดยมีพื้นหลังคือผับดิสโก้ที่มีลักษณะคล้าย Saturday Night Fever (1977) จบลงที่ช็อตนี้ ใบหน้ายังเยาว์ของ Eddie Adams สวมเสื้อสองชั้นคลุมข้างในสีแดง (ปกปิดบางสิ่งอย่างเร้นลับภายใน) และพื้นหลังพบเห็นดาวระยิบระยับ เป็นการพยากรณ์อนาคตของหมอนี่ที่ต้องประสบความสำเร็จค้างฟ้าอย่างแน่นอน

กล้องถ่ายมุมเงยหมุน 360 องศารอบโลก ห้องของ Eddie Adams พบเห็นภาพของ Bruce Lee จากหนังเรื่อง Enter the Dragon (1973), โปสเตอร์ Serpico (1973) นำแสดงโดย Robert DeNiro, รถสปอตสีแดง (สักกลางเรื่องก็จะได้มาครอบครอง)

Sequence นี้ก็ Saturday Night Fever (1977) วัยรุ่นสวมกางเกงในส่องกระจก เพื่อค้นหาอัตลักษณ์ตัวตนของตนเอง หุ่นของ Wahlberg เทียบไม่ได้กับ John Travolta เลยสักนิด

ตัวละครของ Don Cheadle สะท้อนลักษณะหนึ่งของคนที่อยู่ในวงการบันเทิง แวะเวียนเข้ามาเพราะความสามารถหน้าที่และเงิน เป้าหมายแท้จริงคืออย่างอื่น แต่แล้วต้องแลกกับอคติไม่ยอมรับจากสังคม คงต้องหวังให้ถูกหวยเพียงอย่างเดียว จึงมีโอกาสประสบพบความสำเร็จได้ดั่งใจในชีวิต

ฉากนี้มีการเอ่ยถึง TK421 เป็นการอ้างอิงรหัสของ Stormtroopers ที่ Han กับ Luke โจมตีหลังจากแอบเข้าไปใน Death Star หนังเรื่อง Star Wars (1977)

ใครชื่นชอบหนังถ่ายทำ Long-Take ให้ค้นหา I Am Cuba (1964) โคตรผลงานของ Mikhail Kalatozov ครั้งแรกของโลกกับกาเคลื่อนกล้องจากบนบกลงสู่สระน้ำ สมัยนั้นสร้างความตกตะลึงอย่างมากว่าถ่ายทำได้อย่างไร? (คือกล้องสมัยก่อนมันไม่ได้กันน้ำ แล้วก่อนหน้านี้มันเป็น Long-Take ยาวหลายนาที ถึงค่อยจบที่ภาพจมดิ่งลงสู่ใต้ผืนน้ำ)

นัยยะของฉากนี้ยังหมายถึง ชีวิตสองด้าน (บนบก/ใต้น้ำ) จากเคยกระโดดขึ้นสูง เมื่อถึงจุดๆหนึ่งก็จะตกต่ำแทบติดพื้นสระ

สองตัวละครพูดคุยกันอยู่ติดหน้ากล้อง พบเห็นข้างหลังกำลังยืนรุม ชาย-หญิงนอนมี Sex อย่างโจ๋งครึ่มไม่อายใคร, นัยยะของฉากนี้คล้ายๆ Film within Film เมื่อตัวละครกลายเป็นผู้ชม กำลังจับจ้องมองการแสดงสดๆต่อหน้า ปฏิกิริยาของพวกเขาแทนคนดูหนังเรื่องนี้ได้เลยละ!

ปฏิกิริยาของ Colonel James (รับบทโดย Robert Ridgely) เมื่อได้เห็นเจ้าโลกของ Dirk Diggler เป็นอะไรที่หื่นกระหาย ยิ้มกริ่ม ทรงคุณค่าอย่างมาก ซึ่งการค้างช็อตไว้สักแปป สร้างจังหวะ Comedy ให้ผู้ชมรู้สึกยิ้มเยาะ ใคร่สนใจอยากรู้อยากเห็นว่ามันจะอลังการขนาดไหน (แต่ลึกๆกับคนไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีปรากฎเห็นช่วงท้าย จะครุ่นคิดว่าคงเป็นเพียง MacGuffin แน่ๆ เพราะคงติดเรตเกินไปจะปรากฎบนฟีล์มภาพยนตร์)

เอาจริงๆวินาทีที่หนังเปิดเผยภาพไอ้จ้อนของ Dirk Diggler คนไม่เคยรู้มาก่อนย่อมตกตะลึงคาดคิดไม่ถึง แต่ไม่ใช่เรื่องขนาดนะ ชื่นชมความกล้าที่จะนำภาพอันตำตามาให้ปรากฎเห็นได้เช่นไร!

Anderson เคยให้สัมภาษณ์ถึงชื่อ Dirk Diggler ว่าทำการค้นหาใน Index Card โดยเลือกคำที่มี G สองตัว และ K อีกหนึ่งตัว เพราะคิดว่ามันคงเหมาะสมกับชื่อนักแสดงหนังโป๊

“I mean, I think a good porn name has to have two Gs in it. It just-it just looks good, and it sounds good for a good porn name, and you know, a K is pretty important, too. So you know, I wish I really knew, but it just kind of hit me like it hit him, I guess, like ‘Dirk Diggler,’ wow”.

หนังใช้การเล่าเรื่องด้วยการคลุกคล้า Mockumentary เลียนแบบสารคดีเข้าไป หลายๆฉากจึงเลือกถ่ายทำด้วยฟีล์ม 16mm นี่รวมถึงฟุตเทจถ่ายทำหนังโป๊ พบเห็นภาพสองฝั่งซ้ายขวาถูกตัดออก คุณภาพจะดูห่วยๆหน่อย ซึ่งลีลาการถ่ายภาพ Sex Scene จะเน้นที่ Close-Up ใบหน้าของตัวละครเท่านั้น ตัดสลับกับปฏิกิริยาของทีมงานที่จะค่อยๆเคลื่อนกล้องเข้าหา

หนึ่งในนั้นที่กลายเป็นตำนานคือ Philip Seymour Hoffman ไม่ได้มีบทบาทอะไรมาก แต่ทุกๆปฏิกิริยาของพี่แกช่างสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ

หนึ่งในฉากที่ผมโคตรผิดหวังของหนัง ไม่ใช่แค่ลีลาการเต้น Disco เทียบไม่ได้กับ Saturday Night Fever (1977) แต่ไดเรคชั่นถ่ายภาพที่แสนธรรมดา, เมื่อเทียบกับโคตรผลงานเรื่องนั้น มุมกล้องจะถ่ายติดทั้งพื้นและเพดาล เคลื่อนไหวโฉบเฉี่ยว ตัดต่อสลับไปมาสร้างความเร้าใจลีลา ขณะที่ฉากนี้ของหนัง มีเพียงกล้องแพนไปมาซ้าย-ขวา หาความงดงามไม่ได้ครึ่งหนึ่งของที่ควรเป็น

เวลาเสพยา มันจะมีสองลีลาที่พบเห็น
– คล้ายๆกับ Requiem for a Dream (2000) ที่ผู้กำกับ Darren Aronofsky ให้นิยามตัดต่อภาพสามสี่ช็อตในเสี้ยววินาทีว่า Hip Hop Montage แต่แรงบันดาลใจของหนังมาจาก All That Jazz (1979) ของผู้กำกับ Bob Fosse
– วินาทีเสพเข้าไป กล้องเคลื่อนเข้าหาใบหน้าตัวละครด้วยความเร็วเพิ่มขึ้นดั่งกราฟเอกซ์โพเนนเชียล คล้ายๆ GIF ภาพนี้ที่นำมา (แต่จะเร็วกว่านิดนึง) นี่เพื่อสร้างสภาวะของสูบความสุขเข้าหาตนเอง

ช็อตนี้ผมไม่ค่อยได้สนใจการหมดน้ำยาของ Dirk Diggler หรือถกเถียงกับผู้กำกับ แต่คือโคตรปฏิกิริยาของ Philip Seymour Hoffman หลบอยู่ด้านหลัง มันช่าง ‘Gold’ ล้ำค่าเสียเหลือเกิน

บทเพลง The Touch (1986) แนว Hard Rock แต่งโดย Lenny Macaluso ขับร้องโดย Stan Bush ประกอบภาพยนตร์อนิเมชั่นเรื่อง The Transformers: The Movie (1986) ในตอนแรกโปรดิวเซอร์เพลงไม่ยอมมอบลิขสิทธิ์ให้นำไปใช้ แต่หลังจากได้ยินเสียงขับร้องโดย Wahlberg กับ Reilly ขำกลิ้งไม่หยุดยกย่องสดุดีและยินยอมความ

Rollergirl ไม่เคยถอดรองเท้าสเก็ตของตนเองแม้ขณะอยู่บนเตียงหรือมี Sex นี่เป็นการสะท้อนทัศนคติของวัยรุ่นทุกยุคทุกสมัย ทุกสิ่งอย่างต้องเคลื่อนดำเนินไปตามเทรนด์แฟชั่น มิอาจสงบหยุดนิ่งลงได้โดยง่าย จนกระทั่งเธอได้พบเจอแม่บุญธรรม ผ่านเหตุการณ์โคตรเxยกับผู้ชายบางคน นั่นทำให้หญิงสาวครุ่นคิดได้ ฉันควรเรียนให้จบดีกว่าไหม เป็นหนทางออกอนาคตคาดหวังได้พบเจออะไรดีๆกว่าปัจจุบันนี้

นี่น่าจะเป็นฉากถ่ายทำโดยม้วนเทป ทำให้สามารถนอกสถานที่ เกิดเป็นการทดลองใหม่ๆในวงการหนังโป๊สมัยนั้น หลายคนอาจมองเป็นของแปลก แต่คนดูหนังโป๊มาเยอะๆจะรู้ว่านี่เรียก ‘Service’ สำหรับตอบสนองแฟนๆ ให้มีโอกาสร่วมรักกับดาราหนังโป๊แบบฟรีๆ (อาจได้ค่าขนมเป็นของแถม)

สมัยนี้มันมีเลวร้ายกว่านี้เยอะๆเลยนะ อาทิ FakeTaxi, FakeAgent, FakeDoctor, สารพัด Fake ที่บางครั้งแอบซ่อนกล้องโดยหญิงสาวไม่รับรู้เรื่องด้วย แต่มันคงขายดีมากๆเลยมีสตูดิโอที่ทำแนวนี้ออกมาเป็นล่ำเป็นสัน

นัยยะของการ Fan Service ทำให้ผมนึกถึงภาพยนตร์ยุคสมัย French New Wave โดยเฉพาะ Jean-Luc Godard ปฏิวัติวงการภาพยนตร์ด้วยการแบกกล้องออกถ่ายทำตามท้องถนน กล่าวว่าโลกทั้งใบสามารถกลายเป็นฉากในหนังของเขา, เช่นเดียวกันจากที่หนังโป๊เคยถูกสร้างถ่ายทำอยู่แต่ในสตูดิโอ มันก็พัฒนาต่อเนื่องมาสู่ท้องถนน Outdoors ใครที่ไหนก็ได้ในโลก มนุษย์สามารถร่วมรักมี Sex ได้ทั้งนั้น

ซึ่งการตัดต่อสลับไปมาระหว่าง Fan Service กับการที่ Dirk Diggler หวนกลับไปโชว์ของตนเองข้างถนน เป็นการเปรียบเทียบจุดตกต่ำของสิ่งที่เคยอยู่สูงทรงคุณค่า กาลเวลาค่อยๆฉุดคร่าให้หมดสิ่นความสำคัญ

เริ่มต้นจากมุมมองของคนขายโดนัท หยิบชิ้นโน่นนี่นั่นให้ตัวละครของ Don Cheadle นี่เป็นการอารัมบทเรียกน้ำย่อย สิ่งเกิดขึ้นแท้จริงของฉากนี้ว่าไปคล้าย Reservoir Dogs (1992) กับ Pulp Fiction (1994) ยิงปืนสามเส้าแบบเศร้าชิบหาย คนไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรด้วยต้องตาย สุดท้ายเงินในถุงกลายเป็นของใครก็ไม่รู้ดั่งฟ้าประทาน

ตัวละครของ Molina ไม่สะทกสะท้านต่อเสียงพลุระเบิด ภยันตรายเล็กๆน้อยๆที่เกิดขึ้นจากเด็กหนุ่มเชื้อสายจีน (หน้าตาเหมือน Bruce Lee?) ตลอด Sequence นี้ สร้างความรำคาญจนทำให้ทั้งสามหนุ่มและผู้ชมเกิดความคลุ้มคลั่งเสียสติแตก, นัยยะสื่อถึง มีแต่คนบ้าเท่านั้นสามารถอาศัยอยู่ในโลกที่รอบข้างเต็มไปด้วยอันตรายแล้วไม่สะทกสะท้าน สังเกตว่าหนึ่งในสามแม้งเสียสติแตกควักปืนขึ้นมายิงเลย ขณะที่อีกสองหนีหัวซุกหัวซุน ไม่เอาแม้งอีกแล้วโลกใบนี้ ใครไหนจะไปอาศัยอยู่ได้

เรียกว่า Nuts House คงไม่ผิดอะไร แต่บ้านหลังนี้เปรียบได้กับโลกทั้งใบของหนัง วงการภาพยนตร์/หนังโป๊/อาชญากรรม สิ่งแย่ๆเลวร้ายเกิดขึ้นทุกวี่ทุกวัน ก็มีทั้งคนไม่สะทกสะท้าน ทนไม่ไหวก็บ้าคลั่งเสียสติแตก หรือวิ่งหนีหางจุกตูด

Sequence นี้ได้แรงบันดาลใจจากรายการโชว์ของพ่อตนเอง Cleveland TV show ซึ่งมีตัวละครหนึ่งชื่อ Ghoulardi วันดีคืนดีชอบจุดประทัดเล่นสดๆกลางรายการ ซึ่งกลายเป็นแรงบันดาลใจภาพยนตร์เรื่อง Putney Swope (1969) นำแสดงโดย  Robert Downey Sr.

ไม่ใช่ความตั้งใจของผู้กำกับที่จะขึ้นชื่อผิด แต่โดยไม่รู้ตัว Anderson พิมพ์พลาดตั้งแต่ในบทภาพยนตร์ ซึ่งก็ไม่มีใครคิดแก้ไขให้ มารู้ตัวอีกทีก็ตอนป้ายเสร็จแล้ว เกิดความชื่นชอบประทับใจ ปรับแก้ไขใส่มุกใหม่ให้กับหนังโดยพลัน, แม้ชีวิตเหมือนจะได้เริ่มต้นใหม่ แต่ก็มักมีบางสิ่งอย่างผิดพลาดคาดคิดไม่ถึงเกิดขึ้นเสมอ

เกร็ด: คำที่ถูกคือ Rodriguez (ตัว G ไม่ใช่ Q)

มายากลของ Reed Rothchild ได้แรงบันดาลใจจาก Is There Sex After Death? (1971), มีทั้งหมด 3 ชุดในฉากนี้
– เล่นกับไฟ (สื่อความตรงกับนามธรรมของหนัง)
– เล่นกับมีดดาบของมีคม (คล้ายๆเล่นกับไฟ, อุปสรรคที่ต้องต่อสู้ฟันฝ่าก้าวข้าม)
– ปรากฎหญิงสาวเปลือย (ก็วงการหนังโป๊อ่ะนะ)

เริ่มต้นที่ประโยคคำพูดของ Marlon Brando ใน On the Waterfront (1954) กลายมาเป็น Robert De Niro สนทนากับตนเองหน้ากระจกเรื่อง Raging Bull (1980) แม้ฉากนี้จะมีลักษณะสะท้อนกัน แต่ Dirk Diggler ก็ครุ่นคิดคำพูดใหม่ให้กับตนเอง ก่อนโชว์ของสงวนให้โลกประจักษ์พร้อมตกตะลึง

ตัดต่อโดย Dylan Tichenor ยอดฝีมือสัญชาติอเมริกัน จากเคยเป็นผู้ช่วยตัดต่อหนังอย่าง The Player (1992), Short Cuts (1993) เลื่อนขั้นมาเป็นผู้ประสานงาน Hard Eight (1996) และตัดต่อขาประจำ Anderson ตั้งแต่ Boogie Nights (1997) ผลงานเด่นๆ อาทิ The Royal Tenebaums (2001), Brokeback Mountain (2005), There Will Be Blood (2007), Zero Dark Thirty (2012), ฯ

ความตั้งใจแรกของ Anderson ต้องการหนัง 3 ชั่วโมงเรต NC-17 แต่โปรดิวเซอร์ที่ไหนจะยินยอม เลยตัดออก 20 นาที และเพื่อให้ได้เรต R รับคำแนะนำมาให้ฉาก Sex Scene นักแสดงต้องไม่พูดไปโยกไป ต้องเลือกเอาสักอย่าง??

“They had a problem with humping and talking at the same time. And essentially it boiled to when they said ‘She’s humping there and she’s talking. Can you pick one?’

Well, the talking is more important. So we just went and shot a shot of Nina Hartley, and I said, ‘Nina, hump once, stop, say your lines, and we’ll move on.’ And we did that and put it in and got the R”.

หนังไม่ได้ดำเนินเรื่องผ่านตัวละครหนึ่งใดเป็นพิเศษ (แต่ของ Dirk Diggler ถือว่าเยอะสุด เพราะเป็นตัวหลักของหนัง) พยายามกระจายไกล่เกลี่ยให้ถ้วนทั่ว เพราะแต่ละเรื่องราวต่างเติมเต็มเสริมกันได้อย่างลงตัว อาทิ
– Dirk Diggler ต้องการพิสูจน์ตนเองต่อแม่(และผู้อื่น) ว่าสามารถประสบความสำเร็จเอาตัวรอดด้วยตนเองได้ สุดท้ายไม่สำเร็จซมซานกลับมา
– Jack Horner ผู้กำกับที่มีความใฝ่ฝันอยากได้รับการจดจำเป็นอมตะ พบเจอความสำเร็จแล้วแต่ยังไม่เพียงพอ ก็ไม่รู้ต้องการอะไรไปมากกว่านี้
– Maggie (Julianne Moore) แม่ผู้สูญเสียการเลี้ยงดูแลลูกแท้ๆของตนเองเพราะอาชีพ Pornography แต่กลับได้ลูกบุญธรรมถึงสองคน (Rollergirl กับ Dirk Diggler)
– Rollergirl จากเด็กสาวผู้ขี้เกียจคร้าน สนแต่ความสุขส่วนตน ครุ่นคิดได้ว่าชีวิตต้องการการเปลี่ยนแปลง
– Buck Swope (Don Cheadle) จากเป็นลูกน้อง ข้องเอี่ยวกับวงการ Pornography โชคหล่นใส่กลายเป็นเจ้าของกิจการร้านเครื่องเสียงของตนเอง
ฯลฯ

หลายครั้งของหนังมีการตัดต่อสลับไปมา แทบจะฉากต่อฉาก นี่เพื่อเป็นการเปรียบเทียบของทั้งสองสาม Sequence สื่อความหมายคล้ายคลึงกัน
– ปัญหาที่บ้านของ Eddie Adams (แม่ไม่ค่อยพอใจกลับบ้านดึก), Maggie (โทรศัพท์หาลูก), Little Bill Thompson (เมียมีชู้)
– Dirk Diggler กับ Reed Rothchild ขับร้องเพลง The Touch, Jack Horner ถ่ายทำหนังโป๊กับนักแสดงหน้าใหม่, Maggie เสพยากับ Rollergirl จนแทบเสียสติ
– ไฮไลท์เป็นตอน Jack Horner ถ่ายทำ Fan-Service ตัดสลับกับ Dirk Diggler ทำ Service ช่วยตนเองโชว์แฟนๆ
ฯลฯ

สำหรับเพลงประกอบ ถือว่าเป็นอัลบัมรวมเพลงฮิตแห่งทศวรรษ 70s มีทั้งแนว Disco, Pop, Soul ซึ่งจะมีหนึ่งเพลงประกอบ Soundtrack โดย Michael Penn & Patrick Warren นักร้องนักดนตรี สัญชาติอเมริกัน ถนัดในแนว Alternative Pop/Rock ก่อนหน้านี้ร่วมงานกับ Anderson เรื่อง Hard Eight (1996)

บทเพลงแรกของหนัง The Best Of My Love (1977) แต่งโดย Maurice White กับ Al McKay ขับร้องโดยวง The Emotions ประกอบอัลบัม Rejoice ติดอันดับ 1 ชาร์ท Billboard Hot 100 ถึง 5 สัปดาห์ ยอดขายระดับ Platinium (ระหว่าง 1-4.99 ล้านก็อปปี้) ได้รับการยกย่องอันดับ 10 ชาร์ท 100 Greatest Girl Group Songs of All-Time

เชื่อว่าหลายคนอาจคิดว่าเพลง Joy โดยวง Apollo 100 คือ Main Theme ของหนังแน่ๆ (ผมเองก็คนหนึ่งละ)

บทเพลงได้แรงบันดาลใจมาจากผลงานของ Johann Sebastian Bach: Jesu, Joy of Man’s Desiring ท่อนที่สิบของบทเพลง Cantata ชื่อ Herz und Mund und Tat und Leben, BWV 147 (แปลว่า Heart and Mouth and Deed and Life) ประพันธ์ช่วงประมาณ 1716-23

บทเพลง The Touch (1986) ต้นฉบับ พร้อม Opening Credit อนิเมะเรื่อง The Transformers: The Movie (1986) แน่นอนว่าไพเราะกว่าฉบับของ Wahlberg เป็นไหนๆ

บทเพลง Sister Christian (1984) แนว Power Ballad ขับร้องโดยวง Hard Rock ชื่อ Night Ranger ประกอบอัลบัม Midnight Madness นี่เป็นเพลงฮิตสุดของวง ติดอันดับ 5 ชาร์ท Billboard Hot 100, แต่งโดย Kelly Keagy ซึ่งชื่อเพลงหมายถึงน้องสาวของเธอที่ตอนนั้นอายุ 10 ขวบ โตเร็วเป็นบ้า!

อีกเพลงหนึ่ง Jessie’s Girl (1981) แต่ง/ขับร้องโดย Rick Springfield สัญชาติ Australian ค่อยๆได้รับความนิยม 19 สัปดาห์ถึงติดอันดับ 1 ชาร์ท Billboard Hot 100 (ช้าสุดเมื่อสมัยนั้น) ใจความของเพลงนี้เกี่ยวกับความรักที่เป็นไม่ได้ ชายหนุ่มตกหลุมรักแฟนสาวของเพื่อนสนิท

แซว: เนื่องจากเป็นวงอเมริกัน ซึ่ง Molina เป็นชาวอังกฤษ เลยไม่รู้จักสองเพลงนี้ ให้สัมภาษณ์บอกว่าใช้เวลาสามวันเต็มในการซึมซับทุกอณูวิญญาณของบทเพลงนี้เพื่อใช้ในการแสดง

Boogie Nights คือเรื่องราวของไอ้จ้อน/แรงขับเคลื่อน(ทางเพศ)/สันชาตญาณ/ลูกผู้ชาย พยายามดิ้นรนให้หลุดออกจากกางเกง เพื่อพิสูจน์-เปิดเผยตนเอง-แสดงออกให้โลกรับรู้การมีตัวตน ว่าของข้ายิ่งใหญ่ไม่น้อยหน้ากว่าใคร ได้รับการยกย่องกล่าวขวัญถึงเหนือกาลเวลา

เราสามารถเปรียบเทียบตรงๆถึงวงการหนังโป๊ แทบไม่ต่างอะไรจากวงการภาพยนตร์ ประกอบด้วยผู้กำกับ นักแสดง ทีมงาน คู่แข่ง งานประกาศรางวัล วิวัฒนาการเทคโนโลยี/ยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป แต่สุดท้ายแล้วต่อให้โลกหมุนวนไปแค่ไหน ทุกสิ่งอย่างก็หวนย้อนกลับมารูปแบบวิถีดั้งเดิมดั่งวัฎจักรชีวิต

ทุกสิ่งอย่างของหนังเรื่องนี้เริ่มต้นด้วยปัญหา -> ออกค้นหา -> พิสูจน์ตัวเอง -> และพบเจอเป้าหมายปลายทาง
– Dirk Diggler มีปัญหากับที่บ้าน -> กลายมาเป็นนักแสดงหนังโป๊จนประสบความสำเร็จ -> พิสูจน์ตัวเองว่าควรต้องเอาตัวรอดเองได้แต่ไม่สำเร็จ -> สุดท้ายหวนกลับบ้านมาหาครอบครัวตนเอง
– Jack Horner ผู้กำกับที่มีความเพ้อฝันต้องการเป็นตำนาน -> มองหานักแสดงแห่งอนาคต -> ค้นพบเจอ Dirk Diggler สร้างผลงานชิ้นเอง -> ประสบความสำเร็จได้รับการจดจำสูงสุดในวงการ
– Maggie กำลังสูญเสียลูกแท้ๆในไส้เพราะอาชีพการงานของตนเอง -> พยายามทำตัวเป็นแม่ที่ดี -> สุดท้ายแม้จะไม่ได้ใกล้ชิดลูกแท้ๆ แต่ได้ลูกบุญธรรมถึงสองคน
– Buck Swope ทำอะไรไม่ถูกใจใคร -> พบเจอคนรักสาวสวย -> ยื่นข้อเสนอเงินกู้ทำธุรกิจส่วนตน -> โชคดีหล่นใส่ มีโอกาสทำตามฝัน
ฯลฯ

ส่วนหนึ่งของหนังบันทึกอัตชีวประวัติของ Paul Thomas Anderson อยู่เดียว, ในฉากที่ Eddie Adams ทะเลาะโต้เถียงขึ้นปากเสียงกับแม่ (รับบทโดย Joanna Gleason) หลังถ่ายทำเสร็จเธอหันมาถามผู้กำกับ

“Is the material reflected the relationship between Anderson and his own mother”.

อ้ำอึ้งไม่ตอบคำถาม Gleason วางมือบนบ่าแล้วพูดกับเขาว่า

“You don’t have to forgive her”.

ก็ด้วยเหตุนี้กระมัง ครอบครัวที่ไม่มีความสุข ทำให้ Anderson หลงใหลคลั่งไคล้ในหนังโป๊

“I was 17 years old so I was completely immersed in watching porno in a kind of horny young boy way but also in sort of a filmmaker way”.

ซึ่งความตั้งใจจริงๆของเขา เคยให้สัมภาษณ์บอกว่า ‘เรื่องราวของหนังคือการติดตามหาครอบครัว มันอาจจะฟังดูบิดเบือนไปมากพอสมควร แต่สุดท้ายแล้วการได้พบสถานที่ของตนเองมีคนรัก ทะนุถนอม ดูแลเอาใจใส่ นั่นคือสิ่งสำคัญสูงสุดในชีวิต’

“It’s about finding a family, to tell you the truth, I know that sounds kinda preposterous, ‘cause it’s about porno! That’s a really kinda weird thing, is that you want to say ‘Well, it’s about the pornography industry’ and then you want to quickly say well, not really … But I think ultimately, the thing that I really liked most and really focused on is, that it’s about a lot of people searching for their dignity, and trying to find any kind of love and affection they can get. And they find it in really f***ked up and twisted ways—but they get it, you know?”

ด้วยทุนสร้าง $15 ล้านเหรียญ ทำเงินในอเมริกา $26.4 ล้านเหรียญ รวมทั่วโลก $43.1 ล้านเหรียญ กำไรพอสมควร, เข้าชิง Oscar 3 สาขา
– Best Supporting Actor (Burt Reynolds)
– Best Supporting Actress (Julianne Moore)
– Best Adapted Screenplay

สำหรับ Golden Globe Award เข้าชิง 2 สาขา คว้ามา 1 รางวัล
– Best Supporting Actor (Burt Reynolds) ** คว้ารางวัล
– Best Supporting Actress (Julianne Moore)

หนังเรื่องนี้ได้เปิดเผยจุดอ่อนหนึ่งของ Anderson คือความสามารถในการไกล่เกลี่ยเรื่องราว/ตัวละคร ที่มีปริมาณเยอะมากๆ ให้เกิดความสมดุลรวบรัดกระชับ เทียบกับโคตรหนังรวมดาราอย่าง Nashville (1975), The Player (1992) ถือว่ายังห่างชั้นอีกหลายขุม ซึ่งถ้าใครติดตามผลงานถัดๆไปของเขา จะพบเห็นตัวละครหลักๆไม่ค่อยเกิน 4-5 คน แล้วไปขยายสเกลในแง่ปริมาณด้านอื่นแทน

และปัญหาใหญ่มากๆที่ทำให้ผมโคตรรำคาญใจ คือการแสดงของ Mark Wahlberg พระเอกที่ขาดสีสันน่าสนใจโดยสิ้นเชิง (ถ้าเป็น Leo เล่นจริงๆ คงจัดจ้าน แซ่บกว่ามาก) ถ้าไม่เพราะตัวละครมีเจ้าโลกขนาดใหญ่โต คงนึกว่าหมอนี่เป็นเพียงตัวประกอบรองๆเท่านั้นเอง

แนะนำคอหนังโป๊ หรือคนทำงานในวงการนี้ ถึงหนังจะไม่ทำให้คุณสำเร็จเสร็จกามกิจ แต่จะมีทัศนคติบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป, แฟนๆผู้กำกับ Paul Thomas Anderson และนักแสดงดังคับคั่ง Mark Wahlberg, Burt Reynolds, Julianne Moore, John C. Reilly, Don Cheadle ฯ

จัดเรต 18+ กับภาพโป๊เปลือย เสพยา อาชญากรรม ฆ่าคนตาย

TAGLINE | “Boogie Nights ค่ำคืนของ Paul Thomas Anderson ที่ไร้ซึ่งความเป็นตัวของตนเอง”
QUALITY | SUPERB
MY SCORE | SO-SO

Leave a Reply

avatar

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

  Subscribe  
Notify of
%d bloggers like this: