Let the right one in (2008)
เวอร์ชั่นที่ผมจะพูดถึงนี้ เป็นต้นฉบับจากประเทศ Sweden ไม่ใช่ฉบับ remake ของ hollywood นะครับ ว่ากันว่านี่เป็นหนัง Vampire ที่ยอดเยี่ยม น่าสะพรึงกลัวที่สุดในโลก นับจาก Nosferatu เมื่อต้นศตวรรษก่อน ซึ่งผมก็เห็นด้วยอย่างมาก นี่เป็นหนัง Vampire ที่ทำให้คุณขนหัวลุก รู้สึกเสียวสันหลังวาบ ความเย็นแผ่ซ่าน สั้นสะท้านไปถึงหัวใจ และที่เด่นที่สุดคือการตีความหมายของ Let the right one in ที่แตกต่างจากหนัง Vampire ทั่วไป เป็นอะไรที่ผมชอบมากๆ
ผมดูหนังเรื่องนี้ครั้งแรก น่าจะในโรงหนัง Lido หลายปีผ่านไปกลับมาดูใหม่ ถึงจะไม่รู้สึกกลัวจนขนลุกเหมือนตอนนั้น แต่ก็ได้เห็นความสวยงาม ทั้งภาพและเนื้อเรื่องที่เด่นชัดมากๆ มองดูเผินๆนี่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กชายและเด็กหญิง (ที่เป็นแวมไพร์และไม่ใช่ผู้หญิง) เด็กชายเป็นคนมีปม มักจะถูกแกล้งจากเพื่อนที่ทำตัวเป็นนักเลง เขาไม่เคยสู้กลับ แต่ในใจก็คิดอยู่ตลอดว่าจะทำยังไงดี ปมประเด็นแบบนี้เราเห็นอยู่เรื่อยๆในสังคมนะครับ ผู้ใหญ่ก็ไม่เคยที่จะสอนเราว่าถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้เราจะต้องทำยังไง ถ้าสอนก็มักจะบอก ให้อดทน หรือไม่ก็ไม่ต้องสนใจ การจะบอกให้โต้ตอบกลับไป มันแฝงความรุนแรงที่จะทำให้เด็กโตขึ้นกลายเป็นคนก้าวร้าว การได้พบกับแวมไพร์ ที่เป็นเหมือนสิ่งมีชีวิตที่ไม่น่ามีตัวตนอยู่ ผมมองแวร์ไพร์ในหนังเรื่องนี้เหมือนกับความชั่วร้าย จริงๆแล้วแวมไพร์ก็หาได้อยากต้องการเป็นสิ่งไม่ดี แต่เพราะเขาเป็นแวมไพร์เขาถึงทำสิ่งไม่ดี Let the right one in ผมตีความก็คือ การจะเราจะยอมรับ “ความชั่วร้าย” เข้ามาในจิตใจหรือเปล่า ผมอ่านเจอว่า จริงๆแล้วกฎที่ว่านี้ เป็น vampire lore ผมไม่เคยเห็นหนังเกี่ยวกับ Vampire เรื่องไหนเล่าว่ามีกฎแบบนี้มาก่อนเลย คงเพราะหนัง vampire หลายๆเรื่อง พยายามที่จะตีความให้เหมือนกับ Nosferatu หนัง Dracula/Vampire เรื่องแรกของโลก ซึ่งคนดูต่างจดจำภาพลักษณ์ว่า Vampire ควรจะมีลักษณะแบบนั้น นี่เป็นจุดที่ผมมองว่าหนังเรื่องนี้มีการตีความ Vampire ต่างไปจากหนังเรื่องอื่นๆ การที่ Vampire ต้องกินเลือดฆ่าคนอื่น ในหนังเรื่องอื่นๆ ถ้าไม่เกี่ยวกับพวกลักร่วมเพศ ก็เกี่ยวกับโรคติดต่อ แต่ Let the right one in มอง vampire เป็นสัญลักษณ์ทางความคิด เราอาจจะมองว่าเป็นสิ่งชั่วร้าย เพราะ vampire ต้องกินเลือดฆ่าคนอื่น แต่กับมุมมองของเด็กชายในหนัง vampire อาจจะเป็นสิ่งดีก็ได้ เพราะเขายอมรับให้มันเข้ามาเข้าใน
กฎที่ว่า ถ้า Vampire จะเข้าบ้านคนอื่น ต้องขออนุญาติจากเจ้าของบ้าน ผมเปรียบบ้านเหมือนกับจิตใจของคน การจะให้บางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าความดีหรือความชั่วเข้ามา มันต้องผ่านกระบวนการบางอย่าง สิ่งที่หนังใช้คือ “คำพูด” แต่สิ่งที่ถูกคือ “จิตใจ” ของเจ้าของบ้าน เขาต้องเต็มใจเปิดรับมัน ถึงจะสามารถเข้าได้ ผมเปรียบ vampire เป็นสัญลักษณ์ทางความคิด เพราะปมของเด็กชายคนนี้ เขาต้องการที่จะเอาคืนเพื่อนนักเลงที่พยายามแกล้งเขา มีความตั้งใจแต่ทำไม่ได้ เขาต้องการแรงผลักดันบางอย่าง การได้เจอกับ”สิ่ง”ที่กลายเป็นแรงผลักดันให้กับเขา ทำให้เขาสามารถตอบโต้กลับไปได้ การฆ่าคนของ Vampire ในหนังเรื่องนี้ ผมรู้สึกถึงความ innocent kill มากๆ ผมคิดว่า Vampire ก็เข้าใจนะ ว่าการฆ่าคนมันผิด แต่เขาต้องทำเพื่อให้ตัวเองมีชีวิตอยู่ มันคือความจำเป็น แต่เด็กชาย เขาสามารถเลือกได้ และเขาได้เลือกที่จะรับมันเข้ามา มีช่วงหนึ่งที่ผมชอบมากๆ คือฉากสุดท้าย ที่เกิดในโรงยิม เพื่อนนักเลงที่ถูกเขาโต้กลับ ไปขอให้รุ่นพี่มาช่วย ณ ตอนนั้นเด็กชายไม่สามารถที่จะทำอะไรได้แล้ว เขาไม่มีพลังที่จะต่อต้านกับสิ่งที่เหนือกว่าเขา แต่ไม่ใช่กับ vampire นี่คือจุดที่หนังพยายามบอกว่า เมื่อเรายอมรับความชั่วร้ายเข้ามาในจิตใจแล้ว ไม่มีสิ่งไหนที่ความชั่วร้ายนั้นจะทำให้เราไม่ได้
ความสวยงามมากๆของหนังเรื่องนี้ คือการดูอย่างผิวเผิน เราก็จะเข้าใจมันในมุมมองหนึ่ง เห็นถึงความน่ากลัว ภาพหิมะที่ตกตลอดเรื่องในหนังทำให้เรารู้สึกหนาวเหนํบ แต่เมื่อวิเคราะห์ลึกลงไปนี่เป็นหนังที่ยิ่งน่ากลัวกว่าภาพที่เห็น อนาคตของเด็กชายจะเป็นอย่างไรเมื่อเขาเลือกเดินทางในเส้นทางสายนี้ สุดท้ายมันจะลงเอยเหมือนกับชายสูงวัยที่อยู่กับแวมไพร์ตอนต้นเรื่อง เด็กหญิงแวมไพร์ เธอไม่โตไปกว่านี้ ไม่แก่ ไม่ตาย ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง แต่กับมนุษย์ เด็กน้อยจะโตขึ้นกลายเป็นผู้ใหญ่ และแก่ และตาย แวมไพร์ก็จะหาเพื่อนคนใหม่ที่สามารถช่วยให้เขามีชีวิตอยู่ได้ การตายของแวมไพร์คือแสงอาทิตย์และการลุกเป็นไฟ นี่เป็นความเข้าใจทั่วๆไป ซึ่งถ้ามองแสงสว่างเป็นเหมือนความดี การจะเอาชนะความชั่วเราต้องเอาชนะด้วยไฟ คือให้มันมอดไหม้กลายเป็นเถ้าถ่านไม่ให้เหลือซาก ไม่ให้มันกลับมาได้อีก
สองนักแสดงนำ Kåre Hedebrant และ Lina Leandersson ทั้งคู่ได้รับคำชมมากๆ แต่นี่เป็นหนังเรื่องเดียวที่ผมเห็นในเครดิตทั้งสอง ปัจจุบันทั้งคู่คงโตเป็นหนุ่มสาวแล้ว ผมอ่านบทสัมภาษณ์ Lina บอกว่า มีฉากที่เธอต้องถอดรองเท้าเดินบนหิมะ ใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้น มันหนาวถึงหัวใจเลยนะ แต่เป็นอะไรที่สนุกมากๆ สนุกที่สุดในชีวิตเลย การคัดเลือกสองตัวละครนี้ เห็นว่าใช้เวลาเกือบปี เด็กชายต้องดูใสซื่อไร้เดียงสา ส่วนหญิงสาวต้องดูเหมือนผ่านชีวิตมาเยอะ เข้มแข็งและดูน่ากลัว เป็นสองตัวละครที่แตกต่างกันสุดขั้วเลย
หนังกำกับโดย Tomas Alfredson ดัดแปลงจากนิยายเรื่อง Let the Right One In ของ John Ajvide Lindqvist เห็นว่าผู้เขียนร่วมดัดแปลงให้กลายเป็นบทหนังด้วย หนังมีการตัดรายละเอียดต่างๆออกไปมากมาย ตัวละครเล็กๆน้อยหายไป เน้นสาระสำคัญที่ต้องการนำเสนอเท่านั้น ซึ่งเมื่อ John Ajvide Lindqvist ได้ดูหนัง เขาก็พึงพอใจมากๆ บอกว่า ถึงแม้นี่จะไม่ใช่มุมมองตรงตามนิยายที่เขาอยากให้ออกมาเปะๆ แต่ภาพทีออกมาก็สวยงามมากๆ ทำเอาเขาถึงกับร้องไห้ “It doesn’t really matter that [Alfredson] didn’t want to do it the way I wanted it in every respect. He could obviously never do that. The film is his creative process”
ต้องให้เครดิตกับผู้กำกับภาพ Hoyte van Hoytema ที่ถ่ายทอดความสวยงามของหิมะออกมาได้อย่างหนาวเหน็บ นี่เป็นหนัง Sweden เรื่องแรกที่ผมดูเลยนะ การได้เห็นภาพจากหนังเรื่องนี้ทำให้ผมคิดว่า Sweden เป็นประเทศที่ปกคลุมด้วยหิมะตลอดทั้งปีแน่ๆ (ก็เกือบนะครับ) กลางวันกลางคืนที่นั่นแปลกมาก เอะ อ๋อใช่แล้ว นี่เป็นประเทศที่อยู่ค่อนไปทางขั่วโลกเหนือ จะมีช่วงหนึ่งของปีที่มืดทั้งวัน และช่วงหนึ่งของปีที่สว่างทั้งวัน (จำเรื่อง Insomnia ได้ พระเอกนอนไม่หลับเพราะตะวันไม่ยอมตกดิน) นี่เป็นประเทศที่น่าจะอยู่ยากไม่น้อย ผลงานของผู้กำกับภาพคนนี้ เชื่อว่าสักวันเขาต้องได้ Oscar แน่ๆครับ เขาได้ร่วมงานกับ Christopher Nolan ใน Interstellar และเห็นว่าหนังเรื่องต่อไป Durkirk ก็จะเป็นตากล้องให้ด้วย The Fighter (2010), Her (2013), James Bond-Spectre (2015) โกอินเตอร์เรียบร้อย
นักตัดต่อ Tomas Alfredson และ Daniel Jonsäter ด้วยความที่นี่เป็นหนังที่มีบรรยากาศ การตัดต่อมีความเรียบง่ายลงตัว เพลงประกอบโดย Johan Söderqvist เพลงมีส่วนผสมของความหวัง มีโทนหม่นๆและใสสว่าง และเติมแต่งความโรแมนติกเข้าไป
เราจะเห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างเด็กชายกับแวมไพร์ ไปไกลถึงที่สุดแค่เพื่อน ความสวยงามมันอยู่ตรงนี้ครับ เพราะถ้านี่เป็นหนังผู้ใหญ่ มันคงไปถึง sex แล้ว แต่กับเด็กอายุ 12 มันควรจะยังไม่ไปไกลถึงขนาดนั้น ฉากที่แวมไพร์นอนเตียงเดียวกัน ใช้นิ้ววาดลากไปที่แขนของเด็กหนุ่ม “เธอเป็นแฟนของฉันได้ไหม” เธอตอบกลัว่า “ฉันไม่ใช่ผู้หญิง” ผมเชื่อว่าหลายคนอาจมองประเด็นนี้ แล้วนึกถึงการตีความ Vampire ในหนังเรื่องอื่นๆ ที่บางทีจะพูดถึงลักร่วมเพศ ประเด็นนี้มีอยู่ในหนังหลายจุดเลย พ่อของเด็กที่พอเพื่อนชายมาหา สายตาและหลายๆ มันดูเหมือนว่าเขาอาจจะเป็นเกย์, ตัวแวมไพร์เอง สรุปแล้วเขาเพศอะไรกัน ชาย/หญิง หรืออะไร ชั่ววินาทีที่หนังตัดให้เราเห็น ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสรุปแล้ว แวมไพร์ตัวนี้เพศอะไร แต่เราจะตีความว่ามันไม่มีเพศก็ได้นะครับ ถ้ามองในเชิงสัญลักษณ์ ความชั่วร้ายมันไม่มีเพศอยู่แล้ว
ผมขอเสริมประเด็นการโต้ตอบกลับของเด็กชายเสียหน่อย นั่นใช่สิ่งที่ถูกต้องหรือเปล่า ปัญหาของเด็กวัยนี้เมื่อถูกแกล้ง คือเขาจะเก็บกด และถ้าทางบ้านไม่สามารถช่วยเขาได้ ในหนังนำเสนอพ่อกับแม่แยกกันอยู่ ถ้าเด็กไม่ได้รับการปลดปล่อย โตขึ้นไปเป็นปัญหาสังคมแน่ๆ และการเจอ vampire มันไม่ใช่ทางออกที่ถูกเลยนะครับ ในหนังเด็กคนนี้ turn into dark side เรียบร้อยแล้ว วิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้อง คือครอบครัวต้องคอยรับฟังและช่วยแก้ปัญหา แต่ถ้าครอบครัวช่วยไม่ได้ก็ต้องพึ่งดวงนิดๆ เพื่อนที่ดีๆจะมีไหม ถ้ามีก็โชคดีไป ถ้าไม่ คนต่อไปคือครู แต่ครูที่ผมเจอส่วนใหญ่ ก็มักจะเป็นพวกที่ฟังความข้างเดียว เชื่อในสิ่งที่เห็น ถ้าได้ครูที่ดีก็จะโชคดีไป แต่ถ้าได้ครูไม่ดีอีก ผมเชื่อว่าถ้า 3 อย่างนี้ไม่สามารถช่วยเด็กคนนี้ได้แล้ว ก็จบเลยครับ ไม่มีใครช่วยเขาได้แล้ว dark side นี่แหละเป็นทางเลือกสุดท้าย
นี่เป็นหนังที่สวยงามมากๆ ผมไม่เคยดูเวอร์ชั่น remake เห็นว่าก็ไม่เลว แต่อยากให้ดูต้นฉบับนี่แหละ เพราะผมคิดว่า casting ตัวละครได้ตรงกว่ามากๆ และผู้แต่งก็มาร่วมในกระบวนการดัดแปลงให้เป็นหนังเลย ทำให้หลายๆประเด็นสำคัญๆจากหนังสืออยู่ครบถ้วน หนังเรื่องนี้ติดอันดับ 9 หนังยอดเยี่ยมแห่งปีของนิตยสาร Sight & Sound ด้วยนะครับ ในขณะที่นิตยสาร Empire ให้หนังเรื่องนี้ติดอันดับ 15 ของ The 100 Best Films Of World Cinema สำหรับผมเห็นด้วยและมองว่า นี่เป็นหนัง Vampire ที่ดีที่สุดและสวยงามที่สุดในโลก
จัดเรตที่ 15+ ตรงฉากรุนแรงและเลือด อย่าไปหลงคิดว่า นักแสดงอายุ 12 จะเป็นหนังเด็กนะครับ แนวคิดเกี่ยวกับการตอบโต้กลับของความรุนแรง เด็กที่ยังไม่โตพอ อาจได้แรงบันดาลใจที่ผิดๆจากหนังเรื่องนี้ได้
คำโปรย : “Let the right one in คือหนัง vampire ที่สวยงาม และยอดเยี่ยมที่สุดในโลก”
คุณภาพ : LEGENDARY
ความชอบ : FAVORI
Leave a Reply