Plan 9 from Outer Space (1959)
: Edward Davis Wood Jr. ♥♥♥
หนังที่ครั้งหนึ่งได้รับการขนานนามว่า ‘ห่วยแตกที่สุดในโลก’ กำกับโดย Edward Davis Wood Jr. ผู้กำกับที่ได้ชื่อว่า ‘ห่วยที่สุดในโลก’, แต่หนังเรื่องนี้ต่อมาได้รับการจดจำในฐานะหนัง Cult ที่ดูสนุกได้อย่างพิลึก ถ้าคุณไม่คิดอะไรมากกับมัน
ผมไม่คิดว่าหนังเรื่องนี้ห่วยนะ ตอนผมดูครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน เพราะความอยากรู้ว่าห่วยยังไง ดูจบกลับชอบหนังเสียอีก แถมหนังมีสาระกว่าที่คิดไว้เยอะเลย นอกจากโปรดักชั่นที่ดูเหมือนหนังเกรดต่ำธรรมดาๆทั่วไป แต่กลับมีอะไรหลายอย่างที่มีคุณค่ามากๆ, การดูครั้งนี้ ความรู้สึกชอบยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เพราะผมสามารถมองให้มันเป็นหนัง Cult ได้ และจากการได้ดูหนังเรื่อง Ed Wood (1994) ทำให้เข้าใจความคิด ความตั้งใจ แรงบันดาลใจ อิทธิพลของผู้กำกับ ‘นี่เป็นหนังของรวมพลคนห่วย ที่ทำออกมาได้ไม่ห่วยเลย’
ต้องขอบคุณ Michael Medved นักวิจารณ์ชื่อดัง เขาดูหนังเรื่องนี้เมื่อปี 1980 (ฉายในโทรทัศน์) ตอนนั้นทำงานประจำอยู่ที่ CNN และเป็น host จัดรายการโทรทัศน์ช่อง Channel 4 ของอังกฤษ ชื่อว่า The Worst of Hollywood ได้เรียกหนังเรื่อง Plan 9 from Outer Space ว่าเป็นหนังที่ห่วยแตกที่สุดในโลก (worst movie ever made), มนุษย์เราก็แปลกนะครับ หนังดีมีมากมายไม่ค่อยสนใจ แต่พอบอกว่าหนังห่วยที่สุดในโลก กลับให้ความสนใจ อยากรู้กันว่าห่วยยังไง (ผมก็คนหนึ่ง) นับจากนั้นมาหนังเรื่องนี้ก็ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม โดยเฉพาะกับคนชอบของแปลก กลายเป็นภาพยนตร์เกินวิสัย (Cult film) ระดับขึ้นหิ้งในตำนาน ที่ใครๆต่างก็อยากหามาดูชม
แทบจะทุกบทความรีวิวในโลกนี้ที่ผมหาเจอ จะพูดแต่ว่า หนังเรื่องนี้ห่วยยังไง? ซึ่งผมขอประชดกลับ วันนี้จะเขียนด้วยความตั้งใจที่ว่า หนังเรื่องนี้ดียังไง!
- นี่เป็นหนังเรื่องสุดท้ายของ Bela Lugosi, กับคอหนัง Horror คงไม่ใครไม่รู้จัก Bela Lugosi นักแสดงสัญชาติ Hungarian เจ้าของบทบาท Count Dracula, ช่วงบั้นปลายชีวิตถูกทอดทิ้งจาก Hollywood (ไม่มีใครจ้าง), เมียทิ้ง, ติดยา (มอร์ฟีน) ก่อนได้พบกับ Ed Wood ที่ให้การช่วยเหลือ กลายเป็นเพื่อนสนิท และมอบงานการแสดงให้, ฉากที่ Lugosi ถ่ายในหนังเรื่องนี้ เป็นขณะที่ก่อนหนังจะเริ่มกระบวนการสร้างเสียอีก ไม่มีบท ไม่มีสคริป แค่อยากถ่ายก็บันทึกภาพไว้, หลังจากเสียชีวิต Ed Wood ถึงได้เริ่มสร้างหนังเรื่องนี้ ที่มีฉากสุดท้ายเพื่อเป็นการระลึกถึง Lugosi โดยเฉพาะ
- สมัยนั้นยังไม่มี cg เมื่อ Lugosi เสียชีวิตไปแล้ว การจะหานักแสดงหน้าคล้ายเขาก็ไม่ง่าย วิธีที่ Ed Wood ใช้คือ เขาเจอนักแสดงแทนคนหนึ่ง Tom Mason ที่ใบหน้าส่วนบนเหมือน Lugosi เลยให้มาเข้าฉากแล้วเอาผ้ายกปิดส่วนล่างไว้, นี่เป็นสิ่งที่ผมเชื่อว่าไม่มีใครในโลกคิดได้แบบ Ed Wood แน่นอน, ถึงหนังเรื่องนี้ Tom Mason จะไม่ได้รับโอกาสให้เห็นหน้า แต่เขาได้รับโอกาสจาก Ed Wood ให้แสดงในเรื่องถัดไป Night of the Ghouls คราวนี้ไม่ต้องปิดหน้าแล้ว
- ในฉากเกริ่นของหนัง พูดนำโดย Criswell นักโทรจิต จอมพยากรณ์จอมมั่วซั่ว, กับคนที่ฟังภาษาอังกฤษรู้เรื่อง จะรู้สึกว่าเป็นบทบรรยายที่แปลกประหลาดมาก ไม่มีใครในโลกน่าจะพูดจูงใจได้แบบเขา ใน 1 นาทีเขาพูดคำว่า my friends 4 ครั้ง และคำพูดเกริ่นประโยค “future events such as these will affect you in the future” ซึ่งพูดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอนาคต แต่คำอธิบายประโยคถัดมากลับเป็น Past Tense (“… the full story of what happened on that fateful day”)
- เดิมหนังชื่อว่า Grave Robbers from Outer Space ที่ให้ความรู้สึกเหมือนหนังมีเรื่องราวมาจาก pulp magazine แต่เพราะหนังได้ทุนสนับสนุนจาก Baptist Church (ใน Beverly Hills, California) ทำให้ทีมงานในหนังต้องได้รับการ full-body baptism ก่อนเริ่มสร้างหนัง (น่าจะเป็นหนังเรื่องเดียวในโลกที่ทีมงาน มีความบริสุทธิ์ราวกับเด็กเกิดใหม่) Ed Wood ถูกร้องขอ(กึ่งบังคับ)ให้เปลี่ยนชื่อหนังเป็น Plan 9 เพราะความไม่เหมาะสมในชื่อ Grave Robbers ที่ทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของโบสถ์, เห็นว่าหลังจากหนังฉาย มีคนเข้าร่วม Baptist Church เพิ่มขึ้นกว่าพันคน … (เป็นไปได้ยังไง!)
- ในยุค 50s มีรายการทีวีแนว horror เรื่องแรก Vampira มีโฮสชื่อ Maila Nurmi ฉายช่อง KABC ของ Los Angeles, ขณะนั้นเหมือนว่าเรตติ้งรายการกำลังต่ำ Nurmi เลยมารับจ็อบเล่นหนัง, ในหนังเรื่องนี้ Nurmi รับบทที่คล้ายกับ Vampira แต่ตัวละครนี้ไม่ได้เอ่ยปากพูดสักคำ, เธอบอกว่า Ed Wood ให้บทพูดกับเธอ แต่ความที่ไม่ชอบบทหนังเลยยืนกรานที่จะไม่พูด ซึ่งการแสดงของเธอถือว่า … สุดยอด! ไม่ทำอะไรเลยนอกจากเดินไปเดินมา และทำหน้าทำตาให้คนอื่นกลัว, หลังจากหนังเรื่องนี้ เรตติ้งรายการของเธอก็พุ่งกระฉูด (ในทางลบ)
- แผลเป็นที่สุดน่ากลัวของ Tor Johnson, หลังจากการเสียชีวิตของนักสืบ Clay (รับบทโดย Johnson) เขากลายเป็นศพที่เคลื่อนไหวได้ ซึ่งนักแต่งหน้ายอดฝีมือ Harry Thomas ได้ทำให้ตัวละครนี้ดูน่ากลัวด้วยแผลเป็นปลอม ทำมาจาก สำลี (Cotton), หมากฝรั่งชนิดพิเศษ (spirit gum) และ Collodion ซึ่งภายหลัง Thomas ได้ให้สัมภาษณ์ว่า เขาต้องระวังให้มากตอนแต่งหน้า เพราะ Collodion ถ้าใช้ซ้ำๆตำแหน่งเดิมจะทำให้ผิวไหม้ ทุกครั้งที่มีการแต่งหน้า เขาจะทำการขยับเปลี่ยนตำแหน่งแผลเป็นนิดหน่อย เพื่อไม่ให้ Johnson ได้แผลเป็นจริงๆจาก Collodion, นี่เป็นหนังเรื่องแรกของโลกที่แผลเป็นขยับเองได้ (หรือเปล่า?)
- ใจความแฝงของหนังมีความลึกซึ้งสมกับการเป็นหนัง Sci-Fi ตั้งคำถามกับมนุษย์ว่า เอเลี่ยนมีจริงไหม?, จักรวาลที่แสนกว้างใหญ่ มันเป็นไปได้ยังไงที่จะไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นนอกจากมนุษย์อาศัยอยู่เลย, นอกจากนี้หนังยังจิกกันรัฐบาล ผู้นำประเทศที่ชอบเผิกเฉยกับความจริง และชอบใช้กำลัง ขีปนาวุธยิงต่อสู้กับศัตรูที่ไม่รู้ว่ามาดีหรือไม่ดี ใช้หลักการ ‘ยิงก่อนถามทีหลัง’
- หนังเรื่องนี้มีหลายเวอร์ชั่นนะครับ (ทั้งๆที่ก็จากฟีล์มม้วนเดียวกัน) ในสมัยก่อนมีความวุ่นวายในอัตราส่วนหน้าจอภาพที่ฉาย ภาพจากโทรทัศน์จะมีอัตราส่วน 4:3 (ตามขนาดทีวี) แต่ถ้าเป็นจอภาพยนตร์ บางครั้งก็จะ 16:9 หรือ 2.39:1 ซึ่งหนังเรื่องนี้ ในฉบับที่ฉายทางโทรทัศน์ จะมีฉากหนึ่งที่เห็นเงาของไมค์ที่ปรากฎอยู่ด้านบนของภาพ ซึ่งถ้าดูในโรงภาพยนตร์จะไม่มีใครมองเห็นข้อผิดพลาดนี้ เพราะ Widescreen จะตัดขอบด้านบน-ล่างของภาพออก, นี่แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ (ที่ใครๆคงไม่คิดว่า Ed Wood มี) ที่แม้แต่ผมก็ประหลาดใจเหมือนกัน
- คันบังคับเครื่องบินใน cockpit เป็นอะไรที่ทันสมัยมากๆ ล้ำยุคสุดๆ, กับคนที่ดูหนังเรื่อง Ed Wood มาแล้วจะรู้ว่า ฉากนี้ถูกสร้างขึ้นโดยใช้เวลาไม่ถึง 1 นาที เอาฉากมาตั้งประกอบกันกลายเป็นห้องขับเครื่องบิน
- นี่เป็นหนังที่ใช้ทุนสร้าง Special Effect ที่ถูกที่สุดในโลก, กับหนัง Blockbuster ระดับ $100 ล้านดอลลาร์, หนังเรื่องนี้ใช้ทุนสร้างเพียง $60,000 เหรียญ, กับสถานีอวกาศทำมาจาก ถัง (hubcaps), กระป๋องพาย (pie tins), และจาน (dinner plates) ส่วนจานบิน UFO ทำมาจาก model kits ที่ซื้อจากร้าน hobby shop ของบริษัท Paul Lindberg ที่ฮิตมากในปี 1956
- หนังมีเพลงประกอบที่สมจริง โดดเด่น ยิ่งใหญ่ ใครๆคงคิดว่าเป็น original soundtrack … ไม่ใช่นะครับ หนังไม่มีงบที่จะไปจ้างใครทำเพลงประกอบได้ ดังนั้นเพลงประกอบที่ใช้จึงนำมาใช้จาก stock music รวบรวมโดย Gordon Zahler แต่ตอนนั้นเขาไม่ได้ให้เครดิตว่าเป็นเพลงของใคร, จนกระทั่งช่วงปี 1990s นักประวัติศาสตร์ Paul Mandell ได้ทำการสืบเสาะ และค้นพบว่าเพลงประกอบของหนังเรื่องนี้แต่งโดย Trevor Dunca ชื่อเพลง Grip of the Law เชื่อว่าเจ้าตัวคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเพลงที่แต่งถูกเอามาใช้ประกอบหนังเรื่องนี้
- ตอนที่หนังฉาย ได้รับการวางให้เป็นหนังควบ ประกบกับ Time Lock (1957) นำแสดงโดย Sean Connery, The Trap (1959) film noir ของ Richard Widmark, Devil Girl From Mars (1954), ใครตีตั๋วจะดูหนังเรื่องนี้ จะได้ดูหนังเรื่องอื่นแถมไปด้วยฟรีๆ, ภายหลังได้ถูกซื้อไปฉายในโทรทัศน์ ที่ทำให้ Michael Medved ได้ชมแล้วบอกว่านี่เป็นหนังที่ห่วยแตกที่สุดในโลก
ว่ากันตามตรง หนังเรื่องนี้ถือว่าห่างไกลคำว่าห่วย มากๆนะครับ หนังไทยหลายๆเรื่องผมว่ายังเลวร้ายกว่าโปรดักชั่นของหนังเรื่องนี้อีก, การที่คุณชอบหนังห่วย ไม่ได้แปลว่าเป็นคนแปลกหรือยังไงนะครับ มันคือรสนิยมหนึ่ง ผมก็ชอบหนังเรื่องนี้ ดูไปอมยิ้มไป คือดูแล้วให้ความบันเทิง สนุกสนาน เริงรมย์มากกว่าหนังหลายๆเรื่องอีก, ถ้าคุณเปิดใจกับมันสักนิด ไม่แน่คุณอาจจะหลงรักหนังเรื่องนี้แบบ Tim Burton ก็ได้ (ที่ขนาดเขาสร้างหนังเรื่อง Ed Wood เพราะชื่อชอบเป็นการส่วนตัว)
แนะนำหนังกับ…ใครดีละ? เอาว่าคนชอบหนัง Cult, หนังแปลกๆ, อยากรู้อยากเห็น กับหนังที่ได้ชื่อว่าห่วยแตกที่สุดในโลก, ผมแนะนำให้คุณดูหนังเรื่องนี้คู่กับ Ed Wood ของ Tim Burton นะครับ (จะดูก่อนหรือหลังก็ได้) จะได้เข้าใจไปเลยว่า Ed Wood ทำหนังแบบนี้ได้ยังไงกัน
จัดเรต General ทั่วไป
Leave a Reply