Ed Wood (1994) : Tim Burton ♥♥♥♥
ถ้าไม่ใช่กับคนที่หลงใหล คลั่งไคล้ใน Edward Davis Wood Jr. ก็คงไม่สามารถสร้างหนังชีวประวัติของชายผู้ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็น ‘ผู้กำกับที่ห่วยแตกที่สุดในโลก’ ได้, และนักแสดงที่รับบท ถ้าไม่กล้า บ้าบิ่นมากพอ ก็คงสวมบทบาทผู้กำกับสุดประหลาดคนนี้ไม่ได้เช่นกัน, หนังเรื่องที่สองของคู่ขา Tim Burton และ Johnny Depp ที่จะพาคุณสู่อีกมุมหนึ่งของวงการภาพยนตร์ มีดีที่สุดก็ต้องมีเลวที่สุด
หลังจากรีวิวหนังดีๆไปหลายเรื่อง ผมก็นึกขึ้นมาได้ว่ามีหนังที่ได้รับการกล่าวขวัญว่า ‘ห่วยแตกที่สุดในโลก’ อยู่ด้วย แต่ก่อนที่จะไปรู้จักกับหนังเรื่องนั้น เราก็ควรรู้จักกับผู้สร้างหรือผู้กำกับหนังกันก่อน
Edward Davis Wood Jr. (10 ตุลาคม 1924 – 10 ธันวาคม 1978) โปรดิวเซอร์ นักแสดง นักเขียนบทและผู้กำกับ, ในยุค 50s Ed Wood เริ่มต้นงานภาพยนตร์จากการทำหนังทุนต่ำ (low-budget) แนวที่ถนัดคือ Sci-Fi, Comedy และ Horror โดยมักมีการนำเอาภาพ Stock Footage จาก Archive ใส่ประกอบเข้าไปในหนังด้วย, ยุค 60s-70s ด้วยความที่หาทุนสร้างหนังยากขึ้นจึงหันมาทำหนังโป๊ใต้ดิน (sexploitation movie), หลังจากเสียชีวิต ในปี 1980 เขาได้รับ Golden Turkey Award รางวัล Worst Director of All Time ทำให้เขากลายเป็นผู้กำกับที่โด่งดังในชั่วข้ามคืน มีผู้คนสนใจงานของเขาเป็นอย่างมาก จนหนังของเขาถูกเรียกว่า ภาพยนตร์เกินวิสัย (Cult Film)
ว่าไปมันก็เป็นเรื่องประหลาด หนังดีๆมีมากมาย ที่ไม่รู้จักกันก็เยอะ แต่พอพูดถึงหนังห่วยที่สุด ใครๆกลับจะรู้จักกัน (มันน่าน้อยใจแทนคนทำหนังดีๆเสียนี่กระไร) ผมเข้าใจความรู้สึกนะ ตอนที่ได้ยิน ‘หนังห่วยแตกที่สุดในโลก’ ก็เกิดความสนใจ อยากรู้อยากเห็น รีบหามาดู, มันเหมือนคำท้าทาย มีหนังดีที่สุดในโลกก็ต้องมีหนังที่ห่วยที่สุดในโลก ใครๆก็อยากรู้ว่ามันเป็นยังไง?
จำได้ว่าตอนผมดู Plan 9 From Outer Space หนังที่ได้รับการกล่าวขานว่า ‘ห่วยที่สุดในโลก’ มีคำถามเกิดขึ้นทันที “หนังมันห่วยยังไง?” คำตอบที่หาได้มันก็ไม่น่าพึงพอใจอะไรเสียเลย เพราะไม่รู้สึกว่าหนังมันห่วยเลยสักนิด แต่หลังจากได้ดู Ed Wood ซึ่งช่วยไขข้อกระจ่างของคำถามนี้ เพราะหนังจะพาเราไปสำรวจตัวตน แนวคิด อิทธิพลที่ส่งผลต่อการสร้างหนังของ Ed Wood, ผมได้ข้อสรุปว่า “หนังของ Ed Wood ไม่ใช่หนังที่ห่วย แต่เพราะคุณไม่ได้มีความสามารถในการรับรู้ หรือพื้นเพระดับเดียวกับเขา จึงไม่อาจเข้าใจสิ่งที่เขาถ่ายทอดออกมาได้อย่างถูกต้อง”
สำหรับหนังชีวประวัติของผู้กำกับสุดห่วยคนนี้ มันก็ไม่ได้เริ่มต้นขึ้นง่ายๆ นักเขียนบท Scott Alexander และ Larry Karaszewski มีความสนใจเกี่ยวกับชีวประวัติของ Ed Wood มาตั้งแต่ตอนยังเป็นนักเรียนอยู่ แต่ใครที่ไหนในโลกจะมาสนใจให้สร้าง เพราะนี่ไม่ใช่หนังประเภทที่ใครๆจะอยากสร้างหรืออยากดู (There would be no one on the planet Earth who would make this movie or want to make this movie, because these aren’t the sort of movies that are made.) กระนั้นทั้งสองก็เขียนบทร่าง (treatment) จำนวน 10 แผ่น ขายไอเดียให้กับ Michael Lehmann ซึ่งเอาไอเดียมาจากหนังสือชีวประวัติเขียนโดย Rudolph Grey เรื่อง Nightmare of Ecstasy ที่ได้ไปสัมภาษณ์ครอบครัวและเพื่อนร่วมงานของ Ed Wood แบบเจาะลึก, หลังจาก Lehmann ได้อ่านบทร่างก็เกิดความสนใจนำไปเสนอโปรดิวเซอร์ Denise Di Novi และเอาไปคุยกับ Tim Burton ทั้งสองเคยร่วมงานกันใน Edward Scissorhands, Batman Return และ The Nightmare Before Christmas, ตอนแรกได้วางแผนไว้ให้ Lehmann เป็นผู้กำกับ ส่วน Burton และ Di Novi เป็นโปรดิวเซอร์
หลังจาก Burton ได้อ่าน Nightmare of Ecstasy เขาเกิดความต้องการ อยากสร้างหนังเรื่องนี้โดยทันที เพราะเขาชื่นชอบ Ed Wood เป็นทุนเดิม เห็นบทดีๆอย่างนี้จึงไม่อยากเสียโอกาส, Lehmann ขณะนั้นติดสัญญากำกับหนังเรื่องอื่นไปแล้วจึงยังไม่สะดวก Burton เลยรับหน้าที่เป็นผู้กำกับแทน โดยยก Lehmann ขึ้นเป็น Executive Producer
บทหนังของ Alexander และ Karaszewski เขียนเสร็จใน 6 สัปดาห์ ซึ่งพอ Burton อ่านฉบับร่างแรกก็เริ่มต้นดำเนินงานสร้างทันทีโดยไม่มีการแก้ไขปรับปรุงใดๆ, เขาให้สัมภาษณ์ว่า “กับหนังแบบนี้ คุณไม่จำเป็นต้องใช้ Storyboard ใดๆทั้งสิ้น คุณสามารถทำงานร่วมกับนักแสดงได้เลย โดยไม่มีต้องกังวลถึงผลกระทบที่อาจส่งผลต่อมุมมองของหนัง” (On a picture like this I find you don’t need to storyboard. You’re working mainly with actors, and there’s no effects going on, so it’s best to be more spontaneous.)
สำหรับนักแสดงนำ Burton ติดต่อ Johnny Depp ที่ได้เคยร่วมงานกันใน Edward Scissorhands, เห็นว่าแค่ฟัง Burton เล่าถึงหนังแค่ 10 นาที Depp ก็ตบปากรับคำนำแสดงทันที เพราะนี่เป็นหนังที่เปิดโอกาสให้เขาทำอะไรกับตัวละครก็ได้ (chance to stretch out and have some fun.), ส่วนผสมของตัวละครนี้ Depp ศึกษาการแสดงของ Jack Haley ที่เล่นเป็น Tin Man ใน The Wizard of Oz, การแสดงของ Mickey Rooney, Ronal Reagan และ Casey Kasem, โดยเฉพาะสไตล์การพูดของ Reagon ที่เหมือนคนมองโลกด้านเดียว คล้ายๆกับ Ed Wood ไม่มีผิด
การแสดงของ Depp ถือว่ามีสีสันและความโดดเด่นอย่างมาก และการที่ Ed Wood เป็น Transvestite (ตุ๊ด) ชอบใส่เสื้อผ้าผู้หญิง (เพราะถูกพ่อแม่จับแต่ง) นี่เป็นปมที่ถือเป็นแรงขับเคลื่อนรูปแบบวิธีการกำกับของเขา, การพึงพอใจอะไรง่ายๆ (เช่น ถ่ายเทคเดียวผ่าน) เพราะเขาไม่ใช่คนที่มองแค่ภายนอก จึงไม่สนใจรายละเอียดเล็กๆน้อยนัก ความสำคัญแฝงอยู่ข้างใน ใจความของหนังคือสิ่งที่เขาต้องการนำเสนอ และหลังจากเขาได้พบกับ Orson Welles ทำให้เขามีความเชื่อมั่นต่อสิ่งที่ตนทำ (ต่อทั้งความเป็น Transvestite และแนวทางการกำกับ) ว่านี่แหละคือสิ่งที่ถูกต้องแล้ว
Martin Landau รับบท Bela Lugosi นี่ถือเป็นหนึ่งสุดยอดการแสดง ในการรับบทนักแสดงที่มีตัวตนอยู่จริงในอดีต, Lugosi เป็นทั้งเพื่อน, Idol และอาจารย์ (mentor) ของ Ed Wood ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ในหนังเรื่องนี้ ถือว่ามีความงดงามและเศร้าสลด, การแสดงของ Landau แสดงออกทางอารมณ์และสีหน้าเป็นอย่างมาก เห็นว่าเขาดูหนังของ Lugosi แทบทุกเรื่อง รวมถึงศึกษาตัวตนผ่านบทสัมภาษณ์ในช่วง 1931 ถึง 1956, เหตุผลหนึ่งที่หนังเรื่องนี้ถ่ายทำเป็นภาพขาว-ดำ เพราะ Burton ไม่รู้จะนำเสนอ Lugosi ออกมาเป็นภาพสีได้อย่างไร เขาเกิดและตายกับภาพยนตร์ยุคขาว-ดำ ถ้าให้เขาปรากฎตัวเป็นภาพสีในหนังเรื่องนี้ ผู้ชมคงรู้สึกแปลกไม่น้อย
“Lugosi was theatrical, but I never wanted the audience to feel I was an actor chewing the scenery…I felt it had to be Lugosi’s theatricality, not mine.”
การแสดงของ Martin Landau ทำให้เขาได้ Oscar สาขา Best Supporting Actor ซึ่งในประวัติศาสตร์ มีนักแสดงที่ได้ Oscar จากการรับบทเป็นนักแสดงชื่อดังในอดีต แค่ Landau กับ Cate Blanchett ที่ได้ Best Supporting Actress ใน The Aviator (2004) บท Katharine Hepburn เท่านั้น
Sarah Jessica Parker รับบท Dolores Fuller แฟนคนแรกของ Ed Wood ก่อนที่จะรู้ความจริงว่าเขาเป็น Transvestism ซึ่งทำให้ต้องเลิกกัน, Patricia Arquette รับบท Kathy O’Hara แฟนคนที่สองของ Ed Wood เธอไม่ถือสาเรื่องที่เขาเป็น Transvestism แต่งงานอยู่กินกับ Ed Wood จนเขาเสียชีวิตเธอก็ไม่เคยแต่งงานใหม่, เห็น Arquette ยังสวยใสทำเอาผมใจละลาย นึกถึงภาพแม่ที่เป็นหญิงแกร่งใน Boyhood แล้ว คิดไม่ถึงเลย ว่าโตขึ้นเธอกลายเป็นเช่นนั้นได้ยังไง, เห็นว่า Arquette ได้พบกว่า O’Hara ตัวจริงที่ยังมีชีวิตอยู่ระหว่างการถ่ายทำ ‘เธอเป็นหญิงที่อ่อนหวานและน่ารักมาก’ (She is very graceful and very nice.), Depp ก็เจอกับเธอนะครับ O’Hara ทักเขาว่า “That’s my Eddie.”
นอกจากนี้หนังยังมีนักแสดงอย่าง Bill Murray รับบท Bunny Breckinridge เพื่อนสนิทของ Ed ที่เป็นเกย์แบบเปิดเผย (openly-gay), Lisa Marie รับบท Vampira หญิงสาวที่เป็นผู้ดำเนินรายการ Horror Show คนแรกของอเมริกา, Jeffrey Jones ในบท The Amazing Criswell นักพยากรณ์จอมมั่วซั่ว ชอบทำนายโน่นนี่นั่นแต่ไม่เคยถูก, George “The Animal” Steele รับบท Tor Johnson นักมวยปล้ำที่กลายมาเป็นนักแสดงประจำของ Ed Wood และ Vincent D’Onofrio ในบท Cameo เป็น Orson Welles
เดิมทีนั้น Ed Wood ถูกพัฒนาขึ้นกับ Columbia Picture แต่เมื่อ Burton ตัดสินใจถ่ายหนังด้วยภาพขาว-ดำ ทำให้เจ้าของสตูดิโอไม่เห็นด้วย แต่ก็ปล่อยให้ Burton ไปหาผู้สร้างอื่นได้ ซึ่งมาจบลงที่ Walt Disney Studio ภายใต้ Touchstone Pictures มอบทุนสร้าง $18 ล้าน (เพราะคิดว่าหนังมีความเสี่ยงต่ำ) และเปิดโอกาสให้ Burton แสดงวิสัยทัศน์อย่างเต็มที่โดยไม่ควรคุมอะไร ซึ่ง Burton ก็ตอบแทนด้วยการไม่รับค่าตัวสักแดงเดียว
เกร็ด: ว่ากันว่าทุนสร้างหนังเรื่องนี้ มากกว่าทุนสร้าง+รายได้ของหนัง Ed Wood ทุกเรื่องรวมกันเสียอีก
การถ่ายทำเริ่มต้นเมื่อเดือนสิงหาคม 1993 ใช้เวลา 72 วัน, ถ่ายภาพโดย Stefan Czapsky ที่เคยร่วมงานกับ Burton มาแล้วใน Edward Scissorhands และ Batman Return, หลายฉากแทบได้แรงบันดาลใจมาจากหนังของ Ed Wood ทั้งนั้นเลยนะครับ อย่างฉากแรกสุด ที่ Criswell ลุกขึ้นจากโลงพูดเกริ่นก่อนเข้าหนัง ใครดู Plan 9 แล้วก็จะหัวเราะลั่นเลย ประโยคพูดคล้ายๆกัน แถมใบหน้าตัวละครยังพิมพ์เดียวกันด้วย
ตอนจบของหนัง มีฉาก Criswell ลุกขึ้นจากโลงอีกครั้ง ที่จริงมีบทพูดด้วยนะครับ แต่หนังตัดเสียงพูดออก ใน Commentary ได้ใส่ประโยคที่ Criswell พูดไว้ด้วยว่า “My friends, you have seen these incidents based on sworn testimony. Can you prove that it didn’t happen?”
ตัดต่อโดย Chris Lebenzon, หนังความยาว 127 นาทีถือว่าไม่ยาวเลยนะครับ การตัดต่อที่กระชับ และมีเหตุการณ์ที่ทำให้เราหัวเราะท้องแข็งได้อย่างต่อเนื่อง, จะเรียกว่า ตลกหน้าตายก็ได้ (Black/Dark Comedy) เพราะในหนังไม่มีใครหัวเราะเลย แต่ผู้ชมจะเข้าใจ gag และหัวเราะจนท้องแข็ง
เพลงประกอบ Burton เลือก Howard Shore แทนที่ Danny Elfman หลังจากหนัง 6 เรื่องที่ทำด้วยกัน แต่หนังเรื่องล่าสุดมีงอนกันนิดหน่อย เพราะเห็นต่างในการสร้างสรรค์, เพลงประกอบของหนัง มีทั้งที่มาจากประกอบหนังของ Ed Wood ซึ่งเป็น Stock Music ใช้ได้โดยไม่ต้องขอลิขสิทธิ์ แค่ใส่เครดิตผู้แต่งให้ด้วย, มีเพลงคลาสสิคดังๆอย่าง Pyotr Ilyich Tchaikovsky: Swan Lake, เพลงประกอบหนังที่ Bela Lugosi เคยเล่นอย่าง Dracula (1931), Murders in the Rue Morgue (1932) และ The Mummy (1932) [เรื่องสุดท้าย Boris Karloff เล่นนะครับ]
มีหนัง 3 เรื่องของ Ed Wood ที่ปรากฎในหนังเรื่องนี้ Glen or Glenda (1953), Bride of the Monster (1955) และ Plan 9 from Outer Space (1957), Burton ทำหนังเรื่องนี้โดยไม่ได้ตั้งใจนำเสนอเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเปะๆ แต่ทำการดัดแปลงให้กลายเป็นภาพยนตร์ในรูปแบบของเขา, กับคนที่เคยดู Plan 9 หรือ Bride of the Monster มาแล้ว จะเห็นว่าหลายๆฉากที่ปรากฎในหนัง ไม่ได้เหมือนกับในหนังจริงๆสักนิด เช่น ซีนสุดท้ายของ Lugosi จริงๆแล้วถ่ายที่หน้าบ้านของ Tor Johnson ไม่ใช่หน้าบ้านของ Lugosi, หรือฉากที่ Lugosi สู้กับปลาหมึกยักษ์ จริงๆเขาไม่ได้สู้นะครับ ไม่มีฉากที่ Lugosi สู้กับสัตว์ประหลาดเลย ฯ
เกร็ด: ตอนที่ Lugosi บำบัดอาการติดยา พอเขาเป็นข่าวหน้าหนังสือพิมพ์ Frank Sinatra ได้ยื่นข้อเสนอ เป็นผู้จ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ ซึ่ง Lugosi ไม่รู้จัก Sinatra จึงได้ปฏิเสธไป
มีคำพูดว่า คนห่วยๆมักจะอยู่ด้วยกันกับคนห่วยๆ (Worst always with worst.) กับหนังเรื่องนี้ท่าจะจริง, มันเป็นเรื่องน่าพิศวง ที่กลุ่มคนเหล่านี้สามารถอยู่ด้วยกันได้ จะมองว่า Ed Wood เป็นกัปตัน และมีต้นหนเป็น Bela Lugosi เรือลำนี้เป็นลำเล็กๆ อายุใช้งานกว่า 50 ปี สภาพล่อแล่ พังแหล่มิพังแหล่ แต่ยังสามารถฝ่าคลื่นลมแรง พายุใหญ่กลับถึงฝั่งได้อย่างไม่น่าเชื่อ ลูกเรือส่วนใหญ่ก็เก็บตกจากที่ถูกทิ้งลอยคออยู่ในมหาสมุทร พวกเขาเหมือนไม่มีทางเลือก ต้องเชื่อมั่นในตัวกัปตัน สั่งให้ทำอะไรก็ต้องทำ ถ้ายังอยากมีชีวิตรอด, นี่เป็นเรื่องอัศจรรย์จริงๆ แม้ไม่ใช่พระมหาชนกที่ลอยคออยู่ในทะเล 7 วัน 7 คืน แต่สภาพเรือลำนี้ ให้ตายเถอะ! เลวร้ายยิ่งกว่าบ้านผีสิงอีก
หนังเรื่องนี้ทำให้ผมตระหนักได้อีกอย่างหนึ่ง คือการปฏิบัติของ hollywood ต่อดาราที่ตกยุคไปแล้ว, แทบจะทุกคนเลยที่ Ed Wood ไปขอทุนและบอกว่านักแสดงนำคือ Bela Lugosi จะถามว่า ‘ยังมีชีวิตอยู่เหรอ’ ในหนังฟังดูอาจตลกๆ แต่นี่เป็นคำถามที่แรงมาก พวกเขาทิ้งคว้างบุคคลที่ไม่ทำประโยชน์ให้อีกแล้วอย่างไม่แยแสแลดู เห็นแล้วเจ็บครับ ไม่แปลกเลยที่เราจะเห็นนักแสดง hollywood ไม่ว่าจะสมัยไหน ถ้าไม่ติดยา ติดหญิง ก็ใช้เงินฟุ่มเฟือย ‘ชื่อเสียงไม่ใช่สิ่งจีรัง’
ข้อคิดอีกหนึ่งจากหนัง ‘ถ้าคุณมีความตั้งใจทำอะไรสักอย่างในชีวิต จงทำมัน ไม่ต้องแคร์เสียงนกเสียงกา’ ต่อให้ใครต่อใครบอกว่าสิ่งที่คุณทำมันไม่มีประโยชน์ ห่วย ไร้ค่า แต่ถ้านั่นคือเลือดเนื้อ แรงกาย แรงใจของคุณ อย่าเสียใจที่ได้ทำมัน, ถ้าจะห่วยก็ต้องห่วยให้สุดๆ ถ้าจะดีก็ต้องให้ดีสุดๆ อย่าไปครึ่งๆกลางๆ นั่นแย่กว่าห่วยที่สุดอีก
จริงๆแคร์เสียนกเสียงกาหน่อยก็ได้นะครับ ถ้าโลกส่วนตัวของคุณสูงเกินไป มันจะถึงเส้นแบ่งบางๆระหว่าง อัจฉริยะกับบ้า ซึ่งถ้าคุณไม่ได้เจ๋งจริง คนจะมองว่าคุณบ้า เหมือนกับ Ed Wood ในมุมของคนทั่วไป แทบทั้งนั้นจะมองว่าเขาเป็นคนบ้า แต่กับอีกหลายๆคนที่ชื่นชอบผลงานเขา Ed Wood นี่จะว่าเป็นโคตรแห่งอัจฉริยะเลย คิดและทำในสิ่งที่ ไม่มีใครหน้าไหนจะกล้าทำได้เหมือนเขา, ถ้ารู้ตัวว่าคุณไม่ได้เป็นคนสุดโต่งซ้ายหรือขวา ก็จงแคร์เสียงนกเสียงกานะครับ เพราะมันจะทำให้คุณเอาตัวรอดได้ แต่ระวังอย่าฟังมากไปจนไม่เหลืออะไรเป็นตัวของตนเองละ
ภาพรวมหนังทำออกมาได้ดีมากๆ ได้รับคำวิจารณ์ค่อนข้างสูง โดยเฉพาะการแสดงของ Depp ที่ดูเหมือนเขาสนุกกับการรับบทประเภทนี้มาก, และความงดงามในความสัมพันธ์ระหว่าง Ed Wood กับ Bela Lugosi ที่สะท้อนให้เห็นด้านมืดของวงการ Hollywood ในสมัยก่อน, หนังทำเงินแค่ $5.9 ล้านดอลลาร์ในอเมริกา ถือว่าขาดทุนย่อยยับ แต่ยังได้เข้าชิง 3 Golden Globe Award (Best Picture – Comedy or Musical, Best Actor – Johnny Depp และ Best Supporting Actor – Martin Landau) ได้มา 1 รางวัล (Best Supporting Actor) ส่วน Oscar เข้าชิง 2 ได้มา 2 รางวัล (Best Supporting Actor และ Best Makeup)
แนะนำกับคนชอบหนังแปลก และอยากรู้จักหนังที่ได้ชื่อว่า “ห่วยแตกที่สุดในโลก” นี่เป็นหนังที่จะแนะนำให้คุณรู้จักกับผู้สร้าง ผู้กำกับ ทีมงานและทำให้เราเข้าใจที่มาที่ไป แรงบันดาลใจที่ทำให้เกิดการสร้างหนังเรื่องนั้น
แนะนำกับคนที่ต้องการแรงบันดาลใจ ชีวิตพบแต่ความล้มเหลว ขาดกำลังใจ ผมว่าหนังเรื่องนี้จะสอนคุณได้อย่างดีว่า ให้ดูอย่าง Ed Wood หมอนี่มันทั้งห่วย ทั้งล้มเหลว แต่ก็ไม่เคยย่อท้อ ท้อแท้ ไม่สู้ เขาทำในสิ่งที่ตัวเองเชื่อมัน อย่างแน่วแน่และถึงที่สุด เชื่อว่าชีวิตคุณคงไม่เลวร้ายขนาด Ed Wood หรอกนะ
จัดเรต 13+ มีฉากการใช้ยาและคำสถบหยาบ, ในอเมริกาจัดเรต R ถือว่าสูงมากนะครับ คงเพราะเรื่อง Cross-Dressing ที่สมัยนั้น Hollywood โคตรต่อต้าน LGBT เลย
ลูโกซีสู้กับปลาหมึกจริงๆครับ ในBride of the Monster
https://youtu.be/9khbafUb-mQ