โรงแรมนรก (พ.ศ. ๒๕๐๐)
: รัตน์ เปสตันยี ♥♥♡
ดำเนินเรื่องภายในโรงแรมชื่อสวรรค์ ที่วันๆเต็มไปด้วยผู้คนมากมายผ่านมาสุงสิง แต่กลับเพียงห้องพักเดียวให้แก่งแย่งชิง ใครเป็นชาย-หญิง สุภาพบุรุษ-สตรี วัดด้วยหน้าตา คำพูด หรือการกระทำ
รับชมภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้ผมเกือบๆอยู่ในสภาพ ‘ตกนรกทั้งเป็น’ เมื่อก่อนไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ เดี๋ยวนี้เริ่มรับรู้ได้ว่าจุดอ่อนของหนังไทยคือ ‘ความตั้งใจ’ อยากให้มันออกมาดี แต่ก็มีปัญญาทำได้แค่นี้ ไม่เป็นไรค่อยๆเติบโตไป … อวยอย่างนั้นก็ไม่ถูกเท่าไหร่นะครับ
แซวๆว่าคนไทยชื่นชอบ BNK48 กันเยอะ เพราะเป็นวงที่ใช้ความพยายามเป็นจุดขาย เลยไม่แปลกอะไรกับหนังไทยสมัยก่อนๆ คุณภาพไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ความตั้งใจของผู้กำกับ ทรงคุณค่ายิ่งใหญ่เหนือกาลเวลา
เชื่อว่าส่วนใหญ่คงมองชั่วโมงแรกของโรงแรมนรก (พ.ศ. ๒๕๐๐) อารัมบทอยากเล่าอะไรก็ใส่มา เป็นส่วนเกินที่หาคุณค่าความต่อเนื่องไม่ค่อยได้สักเท่าไหร่ ครึ่งหลังต่างหากคือไฮไลท์ ไม่มีใครสามารถคาดเดาตอนจบได้อย่างแน่แท้, แต่ผมกลับรู้สึกตรงกันข้ามตารปัตร ครึ่งแรกแนวคิดออกมาโคตรเจ๋งเป้ง แต่หลังๆพาลเกาหัวกุมขมับสับสนอลเวง อะไรของมันเยิ่นเย้อยืดยาดโตงเตง สลับซับซ้อนซ่อนเงื่อนเป็นพลันวัน
อีกหนึ่งปัญหาของหนังไทยยุคก่อน คือความด้อยประสบการณ์ในการบันทึกเสียงพูดสด Sound-on-Film เพราะตั้งแต่ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศเรามีเทรนด์นิยมที่เรียกว่า ‘นักพากย์หน้าโรง’ เพื่อตัดตอน ลดต้นทุนการบันทึกเสียงหรือพากย์ทับ ก็จนกว่าสิ้นสุดยุคสมัยของ มิตร ชัยบัญชา (พ.ศ. ๒๕๑๓) ถูกโลกบีบบังคับให้ต้องก้าวสู่ยุคหนังอัดเสียง ฟีล์ม 35mm อย่างจริงจังเสียที ล่าช้าล้าหลังกว่า Hollywood ถึง ๔๓ ปี (นับที่ พ.ศ. ๒๔๗๐ เมื่อตอน The Jazz Singer หนัง Talkie เรื่องแรกของอเมริกันประสบความสำเร็จล้นหลาม)
เพราะนักแสดงหนังไทยเติบโตมากับฟีล์ม 16mm ไม่ค่อยมีประสบการณ์แสดง-พูดตามบท ไปพร้อมๆกัน เลยไม่แปลกที่ผู้ชมสมัยนี้เมื่อหวนกลับไปรับชมหนังเก่าๆ หลายครั้งจะจับใจความหนัง Sound-on-Film ไม่ค่อยรู้เรื่อง เพราะบางทีก็พูดแบบเถไถลไถออกนอกประเด็นไร้สาระ ไม่ได้มีความเกี่ยวเนื่องอะไรด้วยเลย ชักแม่น้ำทั้งสี่ห้าสายมารายล้อม นี่สะท้อนถึงการรับอิทธิพลเต็มๆจากบรรดานักพากย์หน้าโรง (ที่มากด้วยลีลา เวลาสนทนาบางครั้งนอกเรื่องเพ้อเจ้อไปไกลเรียกเสียงหัวเราะเฮฮา หนังไทยคลาสสิกหลายๆเรื่อง ฟังการพากย์เสียงสนุกกว่าตัวหนังที่ฉายเสียอีก!)
รัตน์ เปสตันยี (พ.ศ. ๒๔๕๑ – ๒๕๑๓) ผู้กำกับชาวไทย เกิดที่จังหวัดพระนคร บรรพบุรุษมาจากเตหะราน, Persia ซึ่งมาทำการค้าขายในประเทศไทยกว่าร้อยปีมาแล้ว, เข้าโรงเรียนอัสสัมชัญ กรุงเทพฯ จบ ม.๓ ศึกษาต่อยังอินเดีย ตามด้วยอังกฤษ จบวิศวกรรมเครื่องกล, London University ด้วยความสนใจในภาพยนตร์ ทดลองกำกับหนังสั้น แตง (พ.ศ. ๒๔๘๑) คว้ารางวัลจากการประกวดภาพยนตร์สมัครเล่นเมือง Glasgow มอบให้โดยผู้กำกับดัง Alfred Hitchcock เลยคิดเอาจริงจังด้านนี้ กลับมาเมืองไทยก่อตั้ง บริษัทหนุมานภาพยนตร์ เริ่มจากเป็นตากล้อง พันท้ายนรสิงห์ (พ.ศ. ๒๔๙๒), เขียนบท-กำกับเองเรื่องแรก ตุ๊กตาจ๋า (พ.ศ. ๒๔๙๔), และโด่งดังทัวโลกกับ สันติ-วีณา (พ.ศ. ๒๔๙๗)
แม้ว่ากระแสนิยมหนังไทยสมัยนั้น ภาพยนตร์นิยมดัดแปลงจากบทละครเวที หรือนิยายดังที่มีชื่อเสียง เพราะจะการันตีฐานผู้ชมได้ปริมาณหนึ่ง แต่ความสนใจของคุณรัตน์ อยากทดลองทำอะไรใหม่ๆที่แตกต่าง และเพื่อจำกัดงบประมาณทุนสร้าง สร้างเพียงฉากเดียวให้ทุกสิ่งอย่างเกิดขึ้นดำเนินไปในโรงแรมแห่งนี้
เมื่อพูดถึงภาพยนตร์สมัยก่อนหน้านี้ที่มีโรงแรมเป็นสถานที่ดำเนินเรื่อง อาทิ The Lodger (1927), Grand Hotel (1932), ขณะที่หนังมีฉากเดียวดังๆก็ Dial M for Murder (1954) [คุณรัตน์ คงเป็นแฟนตัวยงของ Alfred Hitchcock แน่ๆเลยนะครับ เคยพบเจอ รับรางวัลจากมือ ไหนจะตอนมาไทยยังเห็นภาพจับมือกันเลย], ส่วน 12 Angry Man (1957) ไม่รู้มีโอกาสทันได้ดูก่อนเริ่มสร้างเรื่องนี้หรือเปล่า
ณ โรงแรมสวรรค์ มีลุงกับหลานร่วมกันดูแลกิจการ ประกอบด้วยบาร์ขายเหล้า ขายอาหาร และหนึ่งห้องพักสำหรับค้างแรม พนักงานต้อนรับชื่อ น้อย (ประจวบ ฤกษ์ยามดี) นักเลงงัดข้อแชมเปี้ยมโลก วันนี้ประสบพบความวุ่นวายเหลือทน
– รับแขกขาประจำ ชนะ (ชนะ ศรีอุบล) ผู้ไม่เคยบอกวัตถุประสงค์เข้าพักโรงแรม
– หญิงแปลกหน้า เรียม (ศรินทิพย์ ศิริวรรณ) อ้างว่าอายุหกสิบห้า มีลูกสิบสองคน สนแต่จะหลับนอนในห้องพัก แต่ถูก ชนะ ใช้สิทธิ์มาก่อนได้ก่อน มาหลังก็ทนนอนข้างนอกไป
– มาจากไหนไม่รู้สามนักเลงหัวไม้ เสือสิทธิ์ (สุรสิทธิ์ สัตยวงศ์), ไกร (ไกร ภูตโยธิน), เชียร (วิเชียร ภู่โชติ) ทั้งสามล่วงรู้ว่า ชนะ เป็นสมุห์บัญชีของบริษัทปรีดาไทย แวะพักโรงแรมแห่งนี้เพื่อรอรับเงิน ๖ แสนบาท แต่ไม่มีใครรับรู้ได้ว่า เงินจำนวนมหาศาลนั้นจะมาถึงตอนไหน และใครเป็นคนคุมมา
– สุดท้ายคือ เสือดิน (ทัต เอกทัต) จอมโจรที่ได้รับการขนานนามถึงความโหดเหี้ยมทารุณ ต้องการได้ครอบครองเงินก้อนเดียวกัน
ชนะ ศรีอุบล (พ.ศ. ๒๔๗๕ – ๒๕๓๙) นักแสดงชาวไทย เกิดที่กรุงเทพฯ เรียนจบ ม. ๘ จากโรงเรียนสีตบุตรบำรุง เข้าสู่วงการบันเทิงครั้งแรก เครือฟ้า (พ.ศ. ๒๔๙๔) จากการชักนำของ เฉลิม บุญยเกียรติ นอกจากกล้ามแกร่ง มาดแมน หน้าตาคมคาย แต่แท้จริงแล้วภายในอ่อนหวาน จัดเป็นสุภาพบุรุษ ที่รักยิ่งของเพื่อนฝูง, ได้รับการจดจำสูงสุด ชั่วฟ้าดินสลาย (พ.ศ. ๒๔๙๘), บ้านทรายทอง (พ.ศ. ๒๔๙๙), โรงแรมนรก (พ.ศ. ๒๕๐๐), ผู้ชนะสิบทิศ (พ.ศ. ๒๕๐๙-๑๐) ฯ
รับบท ชนะ วันนี้มันช่างซวยดีแท้! ตั้งใจมาทำงานแต่ถูกก่อกวนสร้างความรำคาญตั้งแต่หัววัน ซ้อม/ขับร้องดนตรียังไม่เท่าไหร่ พบเจอหญิงแปลกหน้า เรียม มาจากไหนไม่รู้ทรามยิ่งกว่านักเลงหัวไม้ ไม่ว่าอย่างไรก็เสียสละห้องนี้ให้ไม่ได้ เพราะจะใช้เป็นสถานที่เก็บเงินเมื่อถึงเวลาส่งมอบ, หลังอารัมภบทผ่านไป นรกแท้จริงจึงได้มาเยือน เริ่มจากสามเสือ สิทธิ์ ไกร เชียร์ โน้นน้าวล้วงเอาความจริง ระหว่างรอคอยฤกษ์ยามก็ตามมาอีกคน เสือดิน วันนี้คงต้องมีคนตาย-รอด อย่างแน่แท้
แซว: มันเป็นซ้อนมุกกันอยู่นะ เพราะช่วงแรกๆจะมีการกล่าวถึง ส่างหม่อง-ยุพดี ล่ามโซ่กันมาจากชั่วฟ้าดินสลาย (ผลงานก่อนหน้าที่คุณรัตน์ อำนวยการสร้างและกำกับภาพให้) ซึ่งเรื่องนั้น ชนะ รับบท ส่างหม่อง หนีเอาตัวรอดมาได้ยังไงก็ไม่รู้
ผมชื่นชอบบุคลิกนี้ของ ชนะ มากเลยนะ คมเข้ม บึกบึน ช่วงแรกๆชวนให้สงสัยว่าหมอนี่มันนักเลง ตุ๊ดหรือว่ะ! ทำตัวเลวทรามต่ำช้าขนาดนั้น จนกว่าจะครึ่งหลังเริ่มเข้าใจเหตุผลของการแสดงออก และเลือกผู้หญิง/ชีวิตคนสำคัญกว่าเงิน จากคู่กัดพ่อแง่-แม่งอน กลายเป็นตกหลุมรักคลั่งไคล้ ก็แน่ละย่อมได้ใจผู้ชมไปอย่างมาดแมน
ศรินทิพย์ ศิริวรรณ ชื่อจริง ไพลิน คอลลิน (เกิดปี พ.ศ. ๒๔๖๙) นักแสดงหญิงชาวไทย เกิดที่อำเภอนครชัยศี จังหวัดนครปฐม พ่อเป็นชาวเนเธอร์แลนด์ จบการศึกษาจากโรงเรียนผดุงดรุณี แล้วสมัครไปเป็นนักร้องวงดนตรีกรมสรรพสามิต ได้พบเจอตกหลุมรักแต่งงานกับ ชาลี อินทรวิจิตร ฝากฝังกับ อรรถ อรรถไกวัลวที ผู้จัดการคณะละครเทพศิลป์ ชักนำเข้าสู่วงการ ตั้งชื่อให้ และแสดงภาพยนตร์เรื่องแรก โรงแรมนรก (พ.ศ. ๒๕๐๐), ผลงานเด่นๆ อาทิ ขบวนเสรีจีน (พ.ศ. ๒๕๐๒), ลูกอีสาน (พ.ศ. ๒๕๒๕), บ้านทรายทอง (พ.ศ. ๒๕๒๓), ไม่สิ้นไร้ไฟสวาท (พ.ศ. ๒๕๒๙) ฯ
รับบท เรียม สาวลึกลับที่เริ่มต้นมาพูดจาโกหกหลอกลวงปลิ้นปล้อน แท้จริงแล้วเพื่อปกปิดตัวตนเอง จะได้ไม่ถูกโจรผู้ร้ายดักซุ่มโจมตีลักขโมยของ เหตุที่ต้องการห้องพักก็เช่นเดียวกัน เพราะตอนนั้นยังไม่รู้ว่าใครคือผู้ติดต่อของบริษัท แต่เมื่อถูกขับไล่ไสส่ง นอนข้างนอกตรงโซฟาซุกกระเป๋าไว้ใต้เตียง โอ้มายก็อด! มันรอดสายตาโจรไปได้อย่างไร หักมุมดีแท้
ฉากยิงปืนเป็นอะไรที่สะดีดสะดิ้งมาก มันฟลุ๊คหรืออย่างไร หลับตาปี๋แต่กลับยังโดนขวดแตก?, ผมมองว่าเป็นสะท้อนตัวตนของ เรียม ถึงภายนอกจะดูเข้มแข็งแกร่ง ก้าวร้าว แต่ภายในก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่ง หวาดกลัวสั่นเกรงต่ออันตราย แค่เล็งให้ตรงๆแล้วหันมองทางอื่นขณะเหนี่ยวไก ผู้ชมจะมองเห็นตัวตนของฉันหรือเปล่าว่าเป็นคนอย่างไร
คงเพราะความที่พ่อเป็นต่างชาติ เลยไม่แปลกที่ ศรินทิพย์ จะมีภาพลักษณ์สาวหัวขบถ ทำตัวเหมือนนักเลงหัวไม้ แก่นแก้ว พูดจาตรงไปตรงมา หยาบคายเล็กๆ เรื่องอะไรจะต้องทำตัวเรียบร้อยดั่งผ้าพับไว้ตลอดเวลา คนสมัยก่อนพบเห็นแบบนี้คงแสดงความดัดจริตรับไม่ได้ แต่ลึกๆแล้วอาจลุ้นเชียร์อยากเป็นแบบนั้นเหลือเกิ้น
ประจวบ ฤกษ์ยามดี (พ.ศ. ๒๔๗๖ – ๒๕๕๙) นักแสดงชาวไทย ฉายาดาวร้ายผู้น่ารัก เกิดที่ กรุงเทพฯ เป็นน้องภรรยาของครูมารุต (ทวี ณ. บางช้าง) เลยต้วมเตี้ยมอยู่แถวโรงถ่ายหนุมานภาพยนตร์ เข้าสู่วงการเรื่อง ชั่วฟ้าดินสลาย (พ.ศ. ๒๔๙๘), โด่งดังสุดๆกับ รักริษยา (พ.ศ. ๒๕๐๑), มือโจร (พ.ศ. ๒๕๐๔), มนต์รักลูกทุ่ง (พ.ศ. ๒๕๑๓) ฯ
รับบท น้อย สงสัยทริคของการงัดข้อคือยาทากันศอกลื่น เหนียวหนึบจนไม่มีใครสามารถโค้งลง ชอบพูดอ้างปากดีว่าวางมาดนักเลง ‘ฉันไม่ใช่บ๋อย’ เอาเข้าจริงฝีไม้ลายมือก็ไม่เท่าไหร่ และคงเพราะเริ่มต้นวันนั้นโชคดีผิดปกติ ดวงซวยเลยตามมาติดๆตอนท้ายวัน
ก็สมฉายา ‘ผู้น่ารัก’ สร้างสีสันให้กับหนังได้อยู่เรื่อยๆ โดยเฉพาะฝีปากวาทะไม่เป็นสองรองใคร แถมใบหน้าทำตายียวนกวนประสาทโดยแท้ ภาพวาดสะท้อนทั้งตัวละคร นักแสดง ได้อย่างน่าประทับใจมากๆ
สุรสิทธิ์ สัตยวงศ์ (พ.ศ. ๒๔๖๖ – ๒๕๒๖) นักร้อง/นักแสดงชาวไทย เกิดที่พระนครศรีอยุธยา เข้าสู่วงการจากการชัดนำของหม่อมเจ้าศุกรวรรณดิศ ดิศกุล รับราชการเป็นนักร้องวงดุริยางค์กองทัพเรือ (รุ่นเดียวกับ สมยศ ทัศนพันธุ์, เสน่ห์ โกมารชุน) เรียนร้องเพลงกับครูล้วน ควันธรรม (รุ่นเดียวกับ ชาลี อินทรวิจิตร) จากนั้นเป็นนักร้องในวงดนตรีของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมากษัตริย์, เริ่มมีชื่อเสียงในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ รับบทพระเอกละครเวที พันท้ายนรสิงห์ ตามด้วยผันตัวสู่วงการแสดง โด่งดังประสบความสำเร็จล้นหลามกับ สุภาพบุรุษเสือไทย (พ.ศ. ๒๔๙๒), ผลงานเด่นอื่นๆ สุรนารี (พ.ศ. ๒๕๐๐), กตัญญูประกาศิต (พ.ศ. ๒๕๐๑), แม่นาคพระโขนง (พ.ศ. ๒๕๐๒), จอมโจรมเหศวร (พ.ศ. ๒๕๑๓), ฝนใต้ (พ.ศ. ๒๕๑๓) ฯ
รับบท เสือสิทธิ์ หัวหน้าสามโจรที่ก็ไม่รู้ไปล่วงความลับเงินหลายแสนของบริษัทปรีดาไทย มาได้อย่างไร เดินทางมายังโรงแรมสวรรค์เพื่อต่อรองกับนายชนะ สนเฉพาะการใหญ่ไม่ใช่แค่เงิน ๔-๕ พันบาทเล็กๆน้อยๆ แต่เพราะแค่นั้นก็ทำให้เกิดความขัดแย้งกับลูกน้องเสือไกร หมอนั่นมันเป็นโจรกระจอก โลภละโมบสนแต่ใช้กำลัง/ปืน เป็นเครื่องตัดสินเท่านั้น
ผู้ชมสมัยก่อนจะติดภาพลักษณ์ของ สุรสิทธิ์ คือสุภาพบุรุษเสือ(โจร)ไทย ต่อให้ก่ออาชญากรรมปล้น ชั่วร้ายแค่ไหน แต่ไม่เคยเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ หรือกระทำการลักเล็กขโมยน้อยให้เสียเกียรติ ‘สุภาพบุรุษ’ ก็ถือว่าหนังเรื่องนี้นำเอาภาพลักษณ์ติดตัวของนักแสดงมา อย่างอื่นคงไม่ต้องพูดถึงไม่มีอะไรมากให้กล่าวความ
น่าเสียดายที่ผมหารายละเอียดของ ไกร ภูตโยธิน ไม่ได้เลยสักนิดในอินเตอร์เน็ต, เสือไกร เป็นโจรกระจอก สมองน้อย มีแต่ความโลภละโมบ มืดบอด/สนแต่ความพึงพอใจส่วนตนเฉพาะหน้า ใช้กำลัง/ปืน เป็นเครื่องตัดสินเอาเปรียบผู้อื่น ขนาดว่าตอนเล่น Russian Roulette กับเสือดิน เมื่อถึงคราตนเองถือปืน คิดได้ไงว่ะเนี่ย! ร้ายกาจกว่าตอน Robert DeNiro ขอกระสุนสามนัดกับเวียดกงเรื่อง The Deer Hunter (1978) เสียอีกนะ
ทัต เอกทัต ชื่อจริง ประวัติ ผิวเผือก (พ.ศ. ๒๔๕๗ – ๒๕๒๒) เกิดที่อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี มีโอกาสเข้าเรียนยังกรุงเทพฯ สำเร็จการศึกษาโรงเรียนมัธยมวัดบวรนิเวศน์ (ม.๘) ทำงานเป็นครูที่โรงเรียนหนองจอก ต่อด้วยกรมไปรษณีย์ แต่ด้วยใจรักในการแสดงและมีพรสวรรค์ด้านนี้ ได้รับการถวายตัวกับ พระนางลักษมีลาวัณย์ ขณะนั้นก่อตั้งคณะละครเวที ปรีดาลัย มีผลงานเรื่องแรก ถิ่นไทยงาม ค่อยๆประสบความสำเร็จมีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นเรื่อยๆ จนตัดสินใจลาโรงสู่วงการภาพยนตร์ ผลงานเรื่องแรก พันท้ายนรสิงห์ (พ.ศ. ๒๔๙๒), คว้ารางวัลตุ๊กตาทองจากเรื่อง ชะโลมเลือด (พ.ศ. ๒๕๐๘), มักได้รับบทดาวร้าย แต่ตัวจริงเป็นสุภาพบุรุษ จริงใจ นิสัยโอบอ้อมอารีย์
รับบทเสือดิน เริ่มต้นมาโดยนาม ตามด้วยเงา ยามดึกดื่นหลังสามเสือยิงกันเสร็จสรรพโผล่หน้าเข้าร่วมวงทัก อ้างว่ารู้จัก ชนะ และบริษัทปรีดาไทยเป็นอย่างดี คาดหวังได้เงินหลายแสนในครอบครองเพียงผู้เดียว แต่ติดที่ต้องท้าดวลกับเสือไกร ใช้เกม Russian Roulette แต่โชคร้ายถูกหักเหลี่ยมจนเสียคม เพราะความโง่งมสุภาพบุรุษของตนเอง
เสียงลือเสียงเล่าอ้างของเสือดิน แบบว่าโคตรโหดโฉดชั่ว นักเลงเลวทรามต่ำช้าแบบสุดๆ ล่องลอยมากับสายลม แค่เงายังชวนให้ใครๆสยิวขนลุกทั่วกาย แต่พอปรากฎตัวเข้าจริงก็แค่คนปอดแหกหน้าไม่อาย ฉวยโอกาส อ้างความเป็นลูกผู้ชาย สุดท้ายกลับตายหยั่งเขียดทำเอาผมขำกลิ้ง
ถ่ายภาพโดย ประสาท สุขุม สมาชิกในสมาคมช่างถ่ายภาพยนตร์อเมริกัน (American Society of Cinematographer : A.S.C.) คนแรกของเมืองไทย ได้ไปร่ำเรียนและฝึกงานการถ่ายทำภาพยนตร์ในโรงถ่ายภาพยนตร์ที่ Hollywood ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๖๖ รุ่นเดียวกับ James Wong Howe ตากล้องชื่อดังชาวจีน กลับมาสามารถถ่ายทำกล้องฟีล์ม 35mm บันทึกเสียง Sound-on-Film แต่แทนที่เป็นภาพสี กลับใช้ขาว-ดำ สะท้อนความมืดคล้ำ เรื่องราวออกนัวร์ๆ เกี่ยวกับอาชญากรรม คนชั่วร้าย ฆ่ากันตาย
ด้วยข้อจำกัดของยุคสมัยนั้น กล้องมีขนาดใหญ่เทอะทะทำให้เคลื่อนย้ายลำบาก เราจึงพบเห็นเพียง ๒-๓ เทคนิคที่ใช้ในหนัง หลักๆคือจัดวางองค์ประกอบให้อยู่ในรัศมีที่กำหนด, แพนนิ่งหมุนกล้องไปรอบๆ, และบางครั้งจะเป็น Whip-Pan/Swish-Pan หมุนกล้องแบบรวดเร็ว เปลี่ยนทิศทางจากด้านหนึ่งสู่อีกด้านหนึ่ง
มันจะมีอยู่ ๓-๔ มุม ที่หนังถ่ายวนไปเรื่อยๆโดยรอบห้องโถงโรงแรม ประกอบด้วย
– ทางเข้า พร้อมเคาน์เตอร์ต้อนรับ บาร์เหล้า ซึ่งจะมี ชนะ ประจำอยู่
– มุมโซฟา สำหรับนั่งพักผ่อน ซึ่งต่อมาจะกลายเป็นที่นอนของ เรียม
– โต๊ะอาหาร และประตูห้องพัก
– มุมของเวที มีเปียโน และสถานที่ซ้อมดนตรี
– และฉากที่อยู่นอกเหนือจากห้องโถง ก็คือ ภายในห้องพักโรงแรม
แซว: หลายคนคงชอบจับจ้องมองนาฬิกาติดผนัง ตรงเคาน์เตอร์ต้อนรับ มันก็ช่างหมุนเวียนเปลี่ยนไปเรื่อยๆจริงๆนะ!
ช่วงขณะได้รับการพูดถึงมากสุดของหนัง คือยามค่ำคืนดึกดื่นใกล้ตีสี่ แสงเงาให้สัมผัสหนังนัวร์เล็กๆ ไฮไลท์คือตอนเสือไกรฟื้นคืนสติ เดินย่องหยิบปืนพร้อมจ่อยิงเสือสิทธิ์ คงเพื่อไม่ให้ดูเป็นการหักหลังรุนแรงเกินไป และมีความอาร์ทเทียบเท่า Nosferatu (1922) เลยพบเห็นเพียงเงาขณะยกปืนขึ้นจ่อยิงเท่านั้น
และเมื่อปืนของเสือไกรหมดลูกกระสุน กล้องทำการ Whip-Pan หมุน ๑๘๐ องศา จากมุมเก้าอี้โซหา ไปถึงประตูทางเข้าหน้าเคาน์เตอร์โรงแรม พบเห็นเสือดินยืนเก็กหล่อเท่ห์รอคอยจังหวะอยู่ (สังเกตเงาของเสือดินช็อตนี้ดูนะครับ ถึงปืนถือชี้ขึ้น แต่เงามันสาดลง ช่างดูเหมือนไอ้จ้อนของพี่แกเหลือเกิน!)
ตัดต่อโดย รัตน์ เปสตันยี, ใช้โรงแรมสวรรค์นรก เป็นจุดหมุนเล่าเรื่อง ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็นสามองก์
– ชั่วโมงแรก อารัมบทเรื่อยเปื่อย ร้อยเรียงสิ่งต่างๆอยากเล่าอะไรก็ใส่มา และมักตัดสลับไปมากับภาพปฏิกิริยาของ ชนะ ไม่พึงพอใจอย่างมาก จนต้องพูดจาเสียดสีประชดประชัน ‘ผมขอตั้งชื่อให้ใหม่ โรงแรมนรก!’
– สี่สิบถัดไป เริ่มต้นเรื่องราวจริงจัง การมาถึงของสามเสือเพื่อทำการปล้นเงิน
– ยี่สิบนาทีสุดท้าย นับตั้งแต่เมื่อเริ่มหลับนอน และการมาถึงของเสือดิน
รูปภาพของ น้อย เพราะความที่นักเลงงัดข้อ ขุ่นข้องหมองมัวกับความพ่ายแพ้ เลยทำการชกต่อยภาพวาดของน้อย ทำให้หน้าบูดบี้ยวโดยทันที เจ้าตัวพบเห็นเข้านำเอาเครื่องไม้เครื่องมือมาทุบเปลี่ยนกลับรูปเดิม เป็นการการตัดต่อแบบตรงไปตรงมา แต่มีความกวนประสาทโดยแท้
เพลงประกอบจากวงลูกฟ้า ควบคุมวงโดย ปรีชา เมตไตรย์ มีทั้งไทยเทศ คลาสสิก งิ้วจีน โอเปร่าของ Georges Bizet: Carmen ฯ จัดเต็มในแง่ความเป็นสากล สร้างสีสันให้กับหนัง แต่ก็ไม่วายจิกกัดความอดอยากปากแห้งของศิลปิน ศาสตราจารย์สมพงษ์ (สมพงษ์ พงษ์มิตร) ‘ถ้าผ่านมา ผมจะนำเงินมาให้’ แต่ถ้าไม่ผ่านมาก็ไม่ให้
ขี้ตู่กลางนา ขี้ตาตุ๊กแก ขี้มูกยายแก่ ออละแร้ ออละซอน นี่ก็ล้อเลียนโอเปร่า Carmen บทเพลง Habanera
เผื่อคนนึกไม่ออก นำ Habanera มาให้รับฟังกันด้วย, ชื่อฝรั่งเศสของเพลงนี้คือ L’amour est un oiseau rebelle” แปลว่า Love is a rebellious bird ใช้นักร้องเสียง Mezzo-Soprano ใครอยากรู้คำแปลก็อ่านซับเอานะครับ
Dahil Sa Iyo แต่งโดย Mike Velarde, Jr. ประกอบภาพยนตร์ฟิลิปปินส์เรื่อง Bituing Marikit (1938) ขับร้องโดย Rogelio de la Rosa เจ้าของฉายา ‘King of the Philippine Movies’ ได้รับความนิยมอย่างสูงในหมู่ชาวฟิลิปปินส์และอเมริกาแถบ Honolulu, American West Coast, Virginia มีการแต่งคำร้องภาษาอังกฤษชื่อว่า Because of You (1964) ขับร้องโดย Nat King Cole และ The Letter Men, ฉบับในหนังรับเชิญจากฟิลิปปินส์ Flor Oriente
โรงแรมนรก มีเรื่องราวของการงัดข้อ ต่อสู้ Russian Roulette ดวลกันระหว่างชาย-หญิง นักมวยฝ่ายแดง-น้ำเงิน คนดี-ชั่ว สวรรค์-นรก ทุกครั้งมันต้องมีผลลัพท์คนหนึ่งได้รับชัยชนะ และอีกฝ่ายพ่ายแพ้ปราชัย
อะไรๆก็เกิดขึ้นได้ในโรงแรมแห่งนี้ ความที่มีเพียงห้องพักเดียวทำให้เกิดการแก่งแย่งช่วงชิง เฉกเช่นเดียวกับเงินทอง ของล่อตาล่อใจของเสือทั้งหลาย ไม่ว่าปริมาณน้อยหรือมาก ต่างมีคุณค่าทางกาย ร่ำรวยแล้วจะสุขสบาย ทัศนคติโลกแคบของคนมองเห็นสิ่งสวยๆงามๆแค่รูปลักษณ์ภายนอก
โรงแรมบ้าอะไรมีห้องพักเดียว? นี่คงเป็นการเปรียบเทียบเชิงสัญลักษณ์นามธรรมกระมัง เหมือนดั่งห้องหัวใจของชายหนุ่ม ชีวิตนี้ย่อมอยากครองคู่กับหญิงสาวแค่เพียงรักเดียวคนเดียว และเฉพาะผู้ที่มาถึงก่อนเท่านั้นจะได้รับโอกาสช่วงชิง
โรงแรมบ้าอะไร มีแต่คนผ่านไปผ่านมา ทั้งนักร้อง วงดนตรี เวทีมวย? ก็อย่างที่บอกว่ามันคือนามธรรม เปรียบดั่งชีวิตและการพบเจอ ใช่ว่าทุกคนจะมีสิทธิ์ข้องเกี่ยวแว้ง แวะเข้ามาถึงห้องหับในหัวใจ สิ่งไหนชื่นชอบรับได้ก็โอบรัดมันมา ขัดแย้งตรงข้ามสร้างความรำคาญ ก็หงุดหงิดหัวเสียส่ายหน้าถีบไสส่ง ซึ่งก็มีบางกลุ่มใช้พละกำลังถีบส่งพังกำแพงเข้าไป แต่เพราะมันมิได้สมยอมเต็มใจ ก็พยายามต่อสู้ขัดขืนจนสุดความสามารถ
ไม่มีการกระทำใดในโลกสามารถสร้างความพึงพอใจให้กับทุกคน หลายครั้งเริ่มต้นด้วยความขัดแย้งภายนอก แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์บางอย่าง เรียนรู้จักตัวตนภายใน ก็เป็นเหตุให้คนสองมองตาเข้าใจ นี่ไม่ได้สื่อถึงแค่หนุ่ม-สาว ชนะ-เรียม เท่านั้น แต่ยัง ชนะ-น้อย, ชนะ-เสือสิทธิ์, ผิดก็กับ เสือสิทธิ์-เสือไกร ความโลภละโมบเห็นแก่ตัวของคน รังแต่จะสร้างความขัดแย้งร้าวฉาน เข่นฆ่าแกงกันเองให้ตายตกฟาก ดีชั่วถูกผิดไม่รู้ สุขส่วนตนเท่านั้นสำคัญสูงสุด
ใจความของโรงแรมนรก, สิ่งสำคัญที่สุดของชีวิต บางทีมันอาจหลบซ่อนอยู่ภายใต้เก้าอี้โซฟา นี่ไม่ได้หมายถึงธนบัตรเงินตรา แต่คือตัวตนแท้จริงของคน มิอาจมองเห็นรับรู้ด้วยตา เฉกเช่นเดียวกับสวรรค์-นรก วัดคุณค่าจากภายในจิตใจ
ทัศนคติของสังคมไทยยุคสมัยก่อน ราวกับถูกล่ามโซ่ไว้กับขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมดั้งเดิมตั้งแต่โบราณ สิ่งที่ รัตน์ เปสตันยี ถ่ายทอดนำเสนอออกมา (ในผลงานหลายๆเรื่อง) พยายามเสี้ยมสั่งสอน ชี้ชักนำ เปิดโลกทัศน์ชาวไทย ให้เรียนรู้จักรับอิทธิพลต่างชาติเข้ามาศึกษาดู แล้วจะพบเห็นความน่าตื่นเต้นแปลกตา อย่ามัวเป็นแต่กบในกะลา หมกตัวอยู่ในโรงแรมนรก เฉกเช่นนั้นแล้วจะพลิกตลบขึ้นสู่สรวงสวรรค์ได้เช่นไร
แต่มันก็ไม่ใช่ว่าคุณรัตน์ ปฏิเสธเสียงขันแข็งกับขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมไทยนะครับ คือเป็นคนที่เปิดรับ ปรับตัว และมองหาสิ่งถูกต้องเหมาะสมที่สุดในการใช้ชีวิต สันติ วีณา, แพรดำ นี่ชัดเจนมากๆถึงความเป็นไทย แทรกใส่แนวคิดพุทธศาสนา ยุคสมัยนั้นเรื่องราวแบบนี้ก็ไม่เคยมีใครคิดสร้าง หมกอยู่กับมาม่าราคาถูกสูตรสำเร็จ กินตอนไม่มีเงินก็พอเอาตัวรอดอยู่ แต่ถ้าแบงค์พันเต็มกระเป๋าเข้า MK, Fuji, ภัตตาคารหรูๆไม่ดีกว่าหรือ?
ต้นฉบับฟิล์มภาพยนตร์เรื่องนี้สูญหายไปจากประเทศไทยเป็นเวลาหลายปี จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๕๓๘ หอภาพยนตร์แห่งชาติ ได้รับมอบฟิล์มภาพยนตร์ที่สร้างในระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๙๘-๒๕๑๒ จากห้องแล็บของบริษัทแรงค์ แลบอราทอรี่ส์ ประเทศอังกฤษ ซึ่งเก็บรักษาในสภาพที่ค่อนข้างสมบูรณ์ จำนวนประมาณ ๒๐ เรื่อง อาทิ ชั่วฟ้าดินสลาย (พ.ศ ๒๔๙๘), โรงแรมนรก (พ.ศ. ๒๕๐๐), สวรรค์มืด (พ.ศ. ๒๕๐๑), แพรดำ (พ.ศ. ๒๕๐๔), เงิน เงิน เงิน (พ.ศ. ๒๕๐๘), อีแตน (พ.ศ. ๒๕๑๑), เกาะสวาท หาดสวรรค์ (พ.ศ. ๒๕๑๑) ฯ
ในปีที่ออกฉาย ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เนื่องจากความล้ำสมัยของเรื่องราว และตัวละครที่ฉีกแนวพระ-นาง ตรงกันข้ามกับขนบธรรมเนียมความเป็นไทย แต่ก็ได้คว้าสามรางวัลตุ๊กตาทอง ครั้งที่ ๓ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๐๒ ประกอบด้วย
– ผู้กำกับการแสดงยอดเยี่ยม (รัตน์ เปสตันยี)
– ถ่ายภาพยอดเยี่ยม ประเภท ๓๕ ม.ม. (ประสาท สุขุม)
– บันทึกเสียงยอดเยี่ยม (ปง อัศวินิกุล)
เรื่องได้รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมปีนั้น คือ ไอ้แก่น (พ.ศ. ๒๕๐๒) กำกับการแสดงโดย น้อย กมลวาทิน นำแสดงโดย รัตนาภรณ์ อินทรกำแหง, ลือชัย นฤนาท, วิน วิษณุรักษ์
ส่วนตัวประทับใจแนวคิด ความตั้งใจ ไดเรคชั่นของคุณรัตน์ เปสตันยี ที่ได้สร้างสรรค์ความแตกต่างให้กับยุคสมัยได้สมคำล่ำลือ แต่ปัญหาของหนังคือจังหวะ การพูดของนักแสดง และเรื่องราวอันซับซ้อนซ่อนเงื่อน ไม่ค่อยกลมกล่อมลงตัวเสียเท่าไหร่
แนะนำคนรักหนังไทยรุ่นคลาสสิก บันทึกประวัติศาสตร์ภาพยนตร์สมัยก่อน, กลิ่นอายนัวร์ สุภาพบุรุษเสือไทย, แฟนๆนักแสดง รัตน์ ศรีอุบล, ศรินทิพย์ ศิริวรรณ, สุรสิทธิ์ สัตยวงศ์, ประจวบ ฤกษ์ยามดี ไม่ควรพลาด
จัดเรต PG กับการทรยศหักหลัง ก่ออาชญากรรม บรรยากาศอันลึกลับน่าสะพรึงกลัว
อยากให้ทบทวนดูใหม่ ผมอายุ 40ปี ดูหนังไทยมาตั้งแต่ 6 ขวบ นี่คือหนังไทยอันดับหนึ่งตลอดกาลในใจผม
รสนิยมการดูหนังของแต่ละคนมันไม่เหมือนกันนะครับ ผมดูหนังต่างประเทศมาเยอะ เห็นความพยายามของหนังไทยก็อยากชื่นชม แต่ถ้ามันเทียบไม่ได้แล้วมัวหลอกตัวเองก็ไม่ใช่
ปัญหาของหนังผมก็อธิบายไปแล้วคือความเยิ่นเย้อลอยชาย ขาดจังหวะที่กลมกล่อมลงตัว ผู้สร้างยังไร้ประสบการณ์ Sound-On-Film ถ้าคุณดูหนังซ้ำบ่อยๆความรู้สึกเหล่านี้จะหายไป และเกิดความคล้อยตามไปกับมันจนยินยอมรับได้
ขณะที่ส่วนดีของหนัง นัยยะซ่อนเร้น ใจความสำคัญผมก็อธิบายไปแล้วเช่นกัน โดยไม่ได้ใส่อคติอะไรลงไปเท่าไหร่
ส่วนความชอบไม่ชอบเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ใช่เรื่องที่จะมาพูดข่ม โอ้อวด ย้อนแย้งกันนะครับ ถกเถียงด้วยเนื้อหาสาระจะยังมีประโยชน์เสียกว่า
“”โรงแรมนรก” ซึ่งนับเป็นความกล้าหาญที่ได้ทำตามความคิดของตัวเองโดยไม่ตามใจตลาด ถ่ายเป็นหนังขาว-ดำ เพราะคิดว่าจะให้ภาพและเงาแสงได้ความรู้สึกมากกว่า อีกทั้งยังล้างเองได้ภายในประเทศ ลงทุนได้ต่ำไม่ต้องกลัวขาดทุนหนัก จึงน่าลอง รัตน์เขียนบทและกำกับการแสดงเอง ใช้ฉากในโรงแรมแห่งเดียวเล่นกับความรู้สึกคนดูเต็มที่ วันแรกที่ออกฉาย “โรงแรมนรก” ก็ได้รับการต้อนรับพอสมควร แต่แล้วก็เกิดการรัฐประหาร ทหารถือปืนออกมายืดเส้นยืดสายทั่วเมือง โดยเฉพาะแถวศาลาเฉลิมไทย “โรงแรมนรก” ก็เลยเฉาจนต้องเลิกฉายไป”
“โรม ดารา (โรม บุนนาค)” เขียนถึงโรงแรมนรก และรัตน์ เปสตันยีไว้ในหนังสือ “แวดวงบันเทิงเมื่อวันวาน : สุดยอดเรื่องเด็ดในวงการบันเทิงไทยตั้งแต่ยุคเริ่มหนังไทย” บทที่ 22 นักสร้างผู้ตายคาสมรภูมิ หน้า 134 ที่บอกเล่าแง่มุมอีกด้านของการฉายหนัง ว่าที่จริงแล้วคนไทยก็ดูจะตอบรับกันดี แต่พอดีทหารกร่างหลังรัฐประหาร 2500 หนังเลยเจ๊ง
ป.ล. ต่อมาโรม บุนนาค ได้มาเป็นผู้เขียนบทหนังเรื่อง “1-2-3 ด่วนมหาภัย” (2520) ซึ่งเป็นแนวตัวละครมากมายหลากหลายชีวิตที่มานั่งรถเมล์สายนึง แล้วโดนผู้ก่อการร้ายปล้นลักพาตัวไปกักขัง ทั้งหมดเลยต้องหาทางหลบหนีการตามล่า ซึ่งหนังส่วนใหญ่ดำเนินเกิดขึ้นในและรอบรถเมล์คันเดียว (คล้ายๆเมล์นรกหมวยยกล้อ) ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากหนังฝรั่งเป็นหลัก และได้จากโรงแรมนรกอยู่บ้างไม่น้อย