Arrival

Arrival (2016) hollywood : Denis Villeneuve ♥♥♥♥♡

สิ่งที่มาถึงใน Arrival ไม่ใช่ยานอวกาศหน้าตาเหมือนเสี้ยวพระจันทร์ หรือเอเลี่ยนหน้าตาเหมือนปลาหมึก แต่คือจุดบรรจบระหว่าง อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต ที่เรียกว่า ‘เวลา’, ภาพยนตร์ไซไฟที่ชวนให้ผู้ชมครุ่นคิดจนปวดหัว มีความสนุกระดับ Blockbuster ที่ทำให้อะดรีนาลีนพลุ่งพล่าน แต่จักสนุกยิ่งกว่าถ้าสามารถหาคำตอบของหนังได้

บทความนี้จะเน้นการวิเคราะห์เรื่องราวเป็นหลักนะครับ ใครยังไม่ได้รับชมหนังไม่แนะนำอย่างยิ่ง เพราะมีการเปิดเผยเรื่องราวอย่างมาก จะเสียอรรถรถในการรับชมเสียเปล่า

แต่จะขอแนะนำวิธีรับชมหนังไซไฟไว้สักนิดหนึ่ง คืออย่ารับชมด้วยอารมณ์หรือความรู้สึก บอกว่าหนังสนุกตื่นเต้นดีหรือไม่สนุกดูไม่รู้เรื่อง แบบนี้เรียกว่าดูหนังไซไฟไม่เป็น! วิธีการรับชมหนังประเภทนี้ที่ถูกต้อง คือใช้สมองคิดตามให้มากๆ สังเกตองค์ประกอบทุกสิ่งอย่าง วิเคราะห์เปรียบเทียบมีอะไรเกิดขึ้น ค้นหาความสัมพันธ์ รับรู้ให้ได้ว่าคำถามของหนังคืออะไร และมันจะมีอยู่สิ่งหนึ่งที่ถ้าคิดเจอคำตอบ ก็จะสามารถต่อยอดทำความเข้าใจได้เกือบทั้งหมด

จากผู้กำกับ Denis Villeneuve ลูกครึ่งสัญชาติฝรั่งเศส-แคนนาดา ที่มีผลงานดังอย่าง Incendies (2010), Prisoners (2013) และ Sicario (2015), ดัดแปลงจากเรื่องสั้น Story of Your Life ในหนังสือชื่อ Starlight 2 เขียนโดย Ted Chiang ตีพิมพ์เมื่อปี 1998 ได้รางวัล Nebula Award สำหรับ Best Novella (รางวัลเรื่องสั้นไซไฟยอดเยี่ยม) เป็นบทภาพยนตร์โดย Eric Heisserer

ฉากแรกของหนัง กล้องค่อยๆเคลื่อนลงจากเพดาน บ้านของนักภาษาศาสตร์ Louise Banks (รับบทโดย Amy Adams) เห็นกระจกบ้านด้านหนึ่ง มีลักษณะคล้ายๆกับภาพวาด Abstract ของ Piet Mondrian ที่รูปของเขามีใจความคือ ‘การแปรสภาพของธรรมชาติ’ (denaturalization) [ภาพวาดที่ดูเป็นธรรมชาติ แต่ไม่ใช่ภาพวาดธรรมชาติ] มองออกไปข้างนอกเห็นวิวทิวทัศน์ ทะเลสาบ โลกอันกว้างใหญ่

(จริงๆในหนังช็อตนี้เป็นตอนกลางวันนะครับ แต่ผมหาภาพ capture จากตัวอย่างหนังไม่ได้ เห็นแต่ภาพกลางคืน เลยขอใช้ภาพนี้แทนไปก่อน)

นี่มีลักษณะคล้ายๆกับตู้ปลาในยานอวกาศ ที่มีกระจกปิดกั้นแบ่งแยกระหว่างมนุษย์กับเอเลี่ยน มีนัยยะคือเปรียบมนุษย์เป็นเหมือนดั่งนกในกรง/ปลาในตู้ปลา ทำได้แค่มองออกไป (ไม่ใช่มองเข้าไปนะครับ) แต่ยังไม่สามารถก้าวผ่านสู่อีกด้านหนึ่งได้

จักรวาลมีอะไรอีกมากมายที่มนุษย์ยังไม่สามารถพิสูจน์ รับรู้ หรือทำความเข้าใจได้ เหมือนดั่งหมอกหนาทึบที่ลงปกคลุมพื้นที่ (ช็อตนี้ในขณะ Louise Banks กำลังเดินทางไปยานอวกาศ สวยมว๊ากๆ)

กับสิ่งที่มนุษย์ไม่รู้ไม่เข้าใจ หนังนำเสนอเป็น side-story ถ้ากับคนเปิดกว้างเรื่องพวกนี้ ก็จะมีท่าทีประณีประณอม ไม่แสดงความหวาดกลัวหรือแสดงอาการต่อต้านอย่างรุนแรง ผิดกับคนประเภทเห็นแก่ตัว หรือยึดมั่นในความคิด/ความเชื่อของตนเองอย่างแรงกล้า ก็จะทนรับไม่ได้ หัวชนฝา แสดงความรุนแรงทั้งกายและใจออกมา

ผมรู้สึกว่าหลายท่านที่หลงเข้ามาอ่านบทความนี้ มักจะได้อ่านบทวิเคราะห์อื่นก่อนหน้ามามากมาย จนเกิดความคิดยึดมั่นฝังใจบางอย่าง ต่อต้านเมื่อคนอื่นคิดไม่เหมือนตนเอง หัวชนฝาแบบว่า ถ้าข้าไม่ถูกเอ็งก็ต้องผิด, ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันทำไมมนุษย์เราถึงทำตัวเหมือนดั่งพวกหัวรุนแรงแบบในหนังเรื่องนี้ ไม่ได้จดจำเป็นบทเรียนเลยหรือว่า ถ้าพบเห็นเอเลี่ยน (มนุษย์ต่างดาว, คนคิดต่าง) ในชีวิตจริงควรจะทำตัวยังไง! ผมยินดีสนทนากับคนที่ต้องการโต้เถียงเห็นด้วยไม่เห็นด้วย เห็นต่างเห็นเหมือน แสดงทัศนะความคิดเห็น มากกว่าพวกที่คอยจ้องจับผิดอะไรเล็กๆน้อย เขียนอะไรผิดนิดหน่อยก็โวยวายสามบ้านเจ็ดบ้านเหมือนคนไร้อารยธรรม

กลับมาที่หนัง, ช่วงครึ่งแรกเป็นการนำเสนอความพิศวงของจักรวาล สร้างเงื่อนไขในขอบเขตที่มนุษย์สามารถมองเห็น ทำความเข้าใจและหาคำตอบได้ (แม้จะมีหลายสิ่งอย่างที่ก็ยังหาคำตอบไม่ได้ก็เถอะ)

กับฉากที่ผมชอบที่สุด หนังเสียเวลามากๆกับการกว่าจะขึ้นไปพบเอเลี่ยนครั้งแรก กล้องจะค่อยๆเคลื่อนอย่างช้าๆ เพลงประกอบสร้างอารมณ์ระทึกขวัญที่ทรงพลังขึ้นเรื่อยๆ, เมื่อทางเข้ายานด้านล่างเปิดออก เครนยกคนขึ้นไป จากนั้นต้องกระโดดเปลี่ยนทิศทางการเดินเข้าสู่ยาน (ราวกับเป็นสุญญากาศ/ไร้แรงโน้มถ่วง) จากพื้นเป็นเพดาน/จากเพดานเป็นพื้น นี่มีนัยยะถึงการเปิดโลกทัศน์ ให้คิดใหม่นอกกรอบ/อีกด้านหนึ่ง

เอเลี่ยนมีสองตัว (น่าจะตัวผู้/ตัวเมีย) รูปลักษณะคล้ายๆปลาหมึก เป็นสัญลักษณ์ของสิ่งทรงภูมิปัญญา มีหนวด/ขา มือมี 7 นิ้วเป็นแฉกสมมาตรกัน (Heptapod) ใช้การพ่นหมึกสีดำเป็นละอองฝอยๆที่สามารถแปรสภาพเป็นตัวอักษรได้, ส่วนเสียงนั้นน่าจะความถี่’สูง’เกินกว่าที่มนุษย์จะฟังจับใจความเข้าใจได้

การสนทนา ภาษาที่ใช้สื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวสากลที่สุดคือ ภาษาเขียน, ภาษาของเอเลี่ยน มีลักษณะเป็นวงกลมที่มีความหนาบาง รูปลักษณะของเส้นที่แตกต่างออกไป, หนังอธิบายว่าหนึ่งวงกลมบรรจุข้อความที่ใช้สื่อสารไว้มากมาย เหมือนว่า 1 วงกลมจะคือ 1 ย่อหน้า (ไม่ใช่แค่ 1 ข้อความ) ที่สามารถคิดเขียนขึ้นได้โดยทันที ไม่ต้องใช้การลำดับจากต้นไปท้ายประโยค หรือมี คำนาม/สรรพนาม/กิริยา ทั้งย่อหน้าเกิดขึ้นได้พร้อมกัน

ผมนั่งครุ่นคิดอยู่สักพักว่าไอ้วงกลมนี้สื่อถึงอะไรได้บ้าง ก็มาร้องอ๋อกับรูปลักษณ์ของ ‘นาฬิกา’ (รูปข้างบนนี่ก็ใบ้เยอะมาก เห็นเส้นบางๆแบ่งออกเป็น 12 ส่วน) ที่เป็นตัวแทนของ ‘เวลา’ นี่ตรงกับที่ว่าทำไมยานอวกาศถึงมี 12 ลำ (นาฬิกามีถึงเลข 12) รูปลักษณะของยานอวกาศก็เป็นเสี้ยวเศษ 1/12 หรือ 0.0833 ถ้าเอามาเรียงต่อกันคงกลายเป็นทรงกลม/วงกลม, นี่อธิบายอะไรได้ทุกสิ่งอย่างเลยนะครับ

ยานอวกาศมีสสารสีดำเข้ม นี่อาจทำให้หลายคนหวนระทึกถึงแท่งสีดำใน 2001: A Space Odyssey (1968) ที่ถ้ายึดตามแรงบันดาลใจของผู้สร้างแรกสุด จะคือสิ่งประดิษฐ์ทรงภูมิของมนุษย์ต่างดาว ที่พอได้สัมผัสแล้วทำให้มนุษย์/ลิง มีความเฉลียวฉลาดมากขึ้น, เสียงเพลงประกอบหนังเรื่องนี้ ก็มีความพยายามทำให้ใกล้เคียงกัน (คือเกิดความฉงนสงสัยในความลึกลับที่ยิ่งเข้าใกล้มากจะยิ่งตื่นเต้นมาก และเสียงที่เป็นตัวแทนของยาน ฟังดูล้ำหน้าเกินกว่ามนุษย์จะเข้าใจ) ลักษณะ/เหตุผลของการปรากฎก็ใกล้เคียง คือเพื่อมอบอะไรบางอย่างให้กับสิ่งมีชีวิตที่เฉลียวฉลาดที่สุดในโลก

ผมไปอ่านเจอแผ่นจารึก Pioneer plaque บนยานไพโอเนียร์ คือแผ่นโลหะที่ติดอยู่ข้างยานสำรวจอวกาศ ที่มนุษย์พยายามใช้สื่อสารกับสิ่งมีชีวิตนอกโลก (ซึ่งทรงภูมิปัญญา) จะมีลักษณะเป็นวงกลม 2 วงและมีขีด ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของ สัญลักษณ์ของธาตุไฮโดรเจน ในระดับโครงสร้างพื้นฐาน

http://1.bp.blogspot.com/_1Z5_frqW26w/Szn_oSMUgUI/AAAAAAAAJl0/NMr7RVI-MuY/s400/702px-Pioneer_plaque_hydrogen.svg.png

แผ่นจารึกที่ว่านี้ยังมีอีกหลายรูปนะครับ หนึ่งในนั้นหลายคนอาจรู้จัก คือรูปมนุษย์ชายหญิง ในสภาพร่างเปลือย ผู้ชายยกมือขวาแยกนิ้วโป้งออก ต้องการสื่อว่าสามารถเคลื่อนไหวและใช้มือได้อย่างคล่องแคล่ว ยังเป็นนัยถึงการทักทายด้วยไมตรีจิต ส่วนการที่เปลือยกาย สื่อถึงความแตกต่างระหว่างเพศ ว่ามีชายหญิง

http://4.bp.blogspot.com/_1Z5_frqW26w/Szn_nzTpd2I/AAAAAAAAJls/0_UD-C5bl1A/s400/547px-Pioneer_plaque_humans.svg.png

reference: http://wowboom.blogspot.com/2009/12/pioneer-plaque.html

ครึ่งหลังของหนัง หลังจากที่การสนทนาได้เกิดขึ้นแล้ว ต่อจากนี้คือการทำความเข้าใจ (กระบวนการของการสื่อสาร เริ่มจากการรับรู้->ทำความเข้าใจ->ตอบโต้/สื่อสารกลับ) เข้าสู่คำถามที่เป็นข้อสงสัยของหนัง เพราะเหตุใดยานอวกาศของเอเลี่ยนถึงมาจอดที่โลก?

คำตอบที่หนังอธิบาย คือ เพื่อให้อาวุธ (Weapon) นี่คงเป็นความตั้งใจของผู้กำกับให้ผู้ชมเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน หลงคิดว่ามันต้องมีรูปลักษณะ พลังทำลายล้างที่สูง … นี่เพราะสันชาติญาณของมนุษย์เวลาได้ยินคำว่า ‘อาวุธ’ มักจะคิดถึงอะไรสักอย่างที่เป็นการทำลาย แต่อาวุธที่เหล่าเอเลี่ยนทั้ง 12 ตั้งใจมอบให้เป็นนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ผมว่าไปในย่อหน้าที่แล้วนะครับ (เชื่อว่าหลายคนคงเอาแต่มองหาสิ่งรูปธรรม ไหนว่ะอาวุธ!)

อาวุธที่ว่านี้คือ ‘knowledge’ องค์ความรู้ที่จะทำให้มนุษย์ชาติสามารถมองเห็นอดีต/อนาคต พร้อมกันได้ ซึ่งสิ่งที่มอบให้นี้ก็คือ ‘ภาษา’ (ไอ้กลมๆนั่นนะแหละ)

การศึกษาภาษาของเอเลี่ยนนี้ จักทำให้มนุษย์จมดิ่งเข้าสู่โลกของอดีต/ปัจจุบัน/อนาคต คือถ้าสามารถหลับตาคิดฝันเป็นวงกลม หรือภาษาที่สมองใช้คิดพูดกับตัวเอง ถ้ากลายเป็นภาษาเอเลี่ยนได้นะ ก็จะถึงจุดบรรลุเลยละ, แบบนางเอก ที่สามารถมองเห็นเสี้ยวหนึ่งของอนาคตได้ (นี่คือเหตุผลทำไมช่วงหนึ่ง นางเอกถึงสามารถเข้าไปอยู่ฝั่งเดียวกับเอเลี่ยนได้ เพราะเธอเรียนรู้จนก้าวข้ามผ่านขีดจำกัดของมนุษย์ กลายเป็นปลานอกตู้ นกนอกกรงแล้ว) ซึ่งถ้าต้องการเห็นอดีต/อนาคตทุกสิ่งอย่าง คงจำเป็นต้องศึกษาให้ครบทั้ง 12 เสี้ยว … แต่หนังไม่ได้นำเสนอไปจนถึงจุดนั้น

วิธีการที่หนังใช้ เพื่ออธิบายปรากฎการณ์นี้ คือตัดภาพอดีต/อนาคต ใส่เข้ามาแบบไม่เรียงลำดับ เห็นเหมือนเป็น Flashback/ความทรงจำ/นิมิต/ เรื่องราวของลูกสาวที่แวบเข้ามาในหัวของนางเอก ในอนาคต/หรือว่าในปัจจุบัน/หรือเป็นอดีต … นี่คือ ‘อาวุธ’ ที่เอเลี่ยนพูดถึงนะครับ

อาวุธที่มีชื่อว่า ‘เวลา’ ถือว่าเป็นสิ่งทรงพลังที่สุดในโลก ร้ายแรงยิ่งกว่านิวเคลียร์หลายร้อยพันล้านเท่า เพราะการรับรู้อนาคต ทำให้คนๆหนึ่งสามารถโทรศัพท์กริ๊งเดียวคุยกับผู้นำประเทศ บอกว่า ‘ฉันมาจากอนาคต คำสั่งเสียสุดท้ายของภรรยาท่านก่อนตาย …(อะไรก็ไม่รู้)… ขอให้หยุดการโจมตียานอวกาศของเอเลี่ยนโดยพลัน’ กับคำพูดประมาณนี้ สามารถเปลี่ยนโลกได้เลย

อธิบายแบบนั้นอาจยังไม่เห็นภาพ ลองสมมติถ้าคุณมองเห็นอนาคตได้ เช่น รู้ว่าพรุ่งนี้จะถูกรถชนตาย การันตีได้ว่าคงไม่มีใครออกจากบ้านไไปไหนแน่!, การล่วงรู้อนาคต สามารถทำให้ทุกสิ่งอย่างในโลกและจักรวาลเปลี่ยนแปลงได้ (ไปคิดต่อยอดเอาเองนะ) แบบนี้ไม่เรียกว่า อาวุธทรงพลังที่สุดในโลก ไม่สิ…ในสากลจักรวาลได้ยังไง

(มีเกร็ดหนึ่งที่น่าสนใจ เพราะหนังเหมือนทำการพยากรณ์ ประเทศมหาอำนาจที่กล้าตอบโต้เป็นปรปักษ์กับอเมริกา ไม่ใช่รัสเซียอีกต่อไป แต่เป็นจีนโดย General Shang ที่อะไรๆก็ประเทศนี้ก่อนเลย)

มันจะเกิดอะไรขึ้นในอีก 3,000 ปีข้างหน้า? ไม่รู้สิครับหนังไม่ได้บอกไว้ แต่ผมเชื่อว่าเมื่อใดที่มีใครสักคนศึกษาตัวอักษรครบทั้ง 12 ส่วน ก็จะสามารถเห็นได้ว่าเกิดอะไรขึ้น (คาดการณ์ว่าคงคือ จุดจบของโลก/มนุษยชาติ) นี่เป็นสิ่งที่ถ้าสามารถรับรู้ล่วงหน้าได้ตั้งแต่ปัจจุบัน ก็จักมีการวางแผนเตรียมตัวป้องกัน เมื่อถึงตอนนั้นความรุนแรงจะได้ลดลงบรรเทาหรือไม่เกิดขึ้น, ในหนังบอกว่า เอเลี่ยนมาขอความช่วยเหลือมนุษย์ในอีก 3,000 ปีข้างหน้า แต่ไม่บอกว่าช่วยเหลืออะไร เชื่อว่าเหล่าบรรดาเอเลี่ยนทั้ง 12 คงสามารถเห็นอนาคตนี้แล้ว รู้ว่าการมาครั้งนี้ต้องเป็นประโยชน์ จึงเดินทาง(อาจจะย้อนเวลา)มามอบของขวัญสุดล้ำค่านี้ให้ในช่วงเวลานี้ ไม่เช่นนั้นจะมาทำไมให้เสียเวลาตั้งแต่แรก

มีอีกประเด็นหนึ่งที่เป็นคำถามปิดท้าย แต่หนังแอบใส่มาตั้งแต่ต้นเรื่องเลย ภาพอนาคต(หรืออดีต)ของลูกสาว … เธอเสียชีวิตจากโรคอะไรสักอย่าง กับแม่ที่สามารถมองเห็นอนาคต รับรู้ว่าบางสิ่งไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ เป็นคุณจะยังทำให้มันเกิดขึ้นหรือเปล่า? (คือ ยังคิดจะมีลูกอยู่อีกหรือเปล่า?)

คำตอบของพระเอก คือเขาไม่อยากรู้อนาคต สนใจแค่ปัจจุบัน แต่ถ้ารู้ก็จะรับไม่ได้ (ความคิดของนักวิทยาศาสตร์)
คำตอบของนางเอก คือสิ่งที่จะเกิดยังไงก็ต้องเกิด ไม่ว่ายังไงก็ยอมรับได้ (ความคิดของคนเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติ, รับรู้ความจริง)

การแสดงของ Amy Adams ถือว่าแบกหนังไว้ทั้งเรื่องคนเดียว เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ แนวคิด อุดมการณ์ และความหวังของมวลมนุษย์ชาติ, แต่ผมยังคิดว่าเธอยังคงไม่ดีพอสำหรับ Oscar ปีนี้ (ถ้าถึงขนาดได้เข้าชิงเป็นครั้งที่ 6 ก็น่าจะยังไม่ได้) ถือว่าเป็นนักแสดงที่อาภัพจริงๆ

ส่วนนักแสดงอื่นอย่าง Jeremy Renner และ Forest Whitaker เป็นแค่ตัวประกอบสมทบเท่านั้น ไม่มีอะไรให้พูดถึงเท่าไหร่

ถ่ายภาพโดย Bradford Young ตากล้องผิวสีชาวอเมริกัน, ลีลาการเคลื่อนภาพถือว่าโดดเด่นมาก หลายครั้งใช้การค่อยๆเลื่อนหรือเคลื่อนเข้าไปแบบไม่เร่งรีบ ให้สัมผัสเดียวกับ 2001: A Space Odyssey (1968) และ Tree of Life (2011) เหมือนกับชีวิตที่ค่อยเป็นค่อยไป ไม่อะไรต้องรีบเร่ง แต่นี่อาจทำให้คอหนังรุ่นใหม่เบื่อง่าย แต่ผู้กำกับก็มีเทคนิค ใส่เพลงประกอบที่สร้างความระทึกเข้าไปพร้อมๆกันด้วย นี่จะทำให้หัวใจของผู้ชมค่อยๆเต้นแรงขึ้น อยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

ตัดต่อโดย Joe Walker ที่มีผลงานเด่นอย่าง 12 Years a Slave (2013) กับ Sicaro (2015) เชื่อว่าคงมีหลายคนสับสนกับ Timeline ที่ไม่เรียงลำดับข้ามไปข้ามมา, เวลาในหนังเรื่องนี้ไม่ใช่เส้นตรง สามารถกระโดดจากอดีตไปอนาคตสลับไปมาได้ตลอด นี่เราไม่จำเป็นต้องไปทำความเข้าใจอะไรเลยนะครับ เพราะฉากไหนที่เป็นภาพของอนาคต ล้วนมีเรื่องราวบางอย่างสะท้อนกับเหตุการณ์ปัจจุบันอยู่แล้ว

จุดแรกที่ผู้ชมสงสัยแน่ๆคือ นางเอกมีลูกก่อนหรือหลังพบเอเลี่ยน คำตอบนี้จะอยู่ประมาณยี่สิบนาทีแรก ก่อนหมอฉีดยาถามว่า เคยท้องหรือเปล่า แล้วเธอตอบว่าไม่ (แต่หลายคนคงลังเล เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง) ช่วงหลังๆจะมีการยืนยัน ว่าสิ่งที่เราเห็นตั้งแต่ฉากแรกคือภาพอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้น

แต่เราก็สามารถมองให้มันเป็นอดีตที่เล่าย้อนไปก็ได้ เพราะหนังเริ่มต้นจากนางเอกมีลูก เติบโต และเสียชีวิต เหตุการณ์ทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นอาจเป็นเพียงภาพ Flashback ที่ย้อนเวลาไปแล้ว แล้วกระโดดไปมาสลับหน้าหลัง, หนังจงใจให้เรามองได้ทั้งสองอย่าง

เรื่องราวของลูกสาวนางเอก เกิดขึ้น->เติบโต->ตายจาก นี่สะท้อนกับ การมาของยานอวกาศ->ศึกษาเรียนรู้เอเลี่ยน->เสร็จแล้วจากไป, จะเห็นว่า prologue ตอนต้นเรื่อง เป็นการแอบปอยหนังทั้งเรื่องไว้แล้ว ซึ่งตอนดูผมก็คิดไว้แล้วว่าต้องจบแบบนี้แน่ และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ (ถ้าคุณดูหนังบ่อยๆ เห็นเหตุการณ์ลักษณะนี้จากหลายๆเรื่อง จะสามารถมโนขึ้นมาได้เลย ไม่ใช่ว่าผมเก่งอะไรนะ)

ไฮไลท์การตัดต่อคือช่วงไคลน์แม็กซ์ ณ งานเลี้ยงที่ผู้นำประเทศจีนเดินตรงเข้ามาหานางเอก พูดคุยกระซิบกระซาบ ตัดภาพสลับกับ หญิงสาวต้องหาทางเพื่อที่จะลักลอบโทรคุยติดต่อกับผู้นำประเทศจีน, นี่คือวินาทีที่ อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต เกิดขึ้นพร้อมกัน หนังใช้การอธิบายด้วยการตัดสลับไปมา เป็นภาษาภาพยนตร์ที่ทำให้ผู้ชมเข้าใจได้ว่า เพราะเธอรู้คำพูดบางอย่างในอนาคต จึงสามารถแก้ไขสถานการณ์ในปัจจุบันได้

เพลงประกอบโดย Jóhann Jóhannsson ที่มีผลงานดังอย่าง The Theory of Everything (2014), Sicaro (2015) เชื่อว่าหลายคนคงนึกถึง Hanz Zimmer หรือ James Newton Howard จากหนังของ Christopher Nolan เป็นแน่ ด้วยลักษณะของเพลงประกอบที่สร้างบรรยากาศความระทึกขวัญตื่นเต้น แต่รูปแบบของดนตรีต่างกันโดยสิ้นเชิง

บทเพลงที่ได้ยิน ไม่เชิงว่าเป็น avant-garde ออกไปทางทดลองมากกว่า คือใช้เสียงร้องและเปียโน ทำเป็นวนรอบ (loop) คือโน๊ตตัวเดียวหรือคู่หนึ่ง ท่อนหนึ่ง เล่นซ้ำๆไปเรื่อยๆ

ผมชอบเพลงนี้มากๆ (แต่ได้ยินในโรงมีหลายคนหัวเราะ) ชื่อเพลง Heptapod B เริ่มต้นจากเสียงร้อง na-na-na อะไรสักอย่างวนซ้ำอยู่นั่นตลอดทั้งเพลง (เชื่อว่าคนร้องคงไม่กี่ท่อนหรอก แล้วมาทำ Sound Edited ตัดต่อเป็นลูบพื้นหลัง) นัยยะของมันคือ tick-tick-tick คล้ายเสียงวินาที/เข็มนาฬิกาเดิน ไม่ใช่ในจังหวะของวินาที แต่คือห้วงเวลาของชีวิต, ตอนผมได้ยินเพลงนี้ ความรู้สึกเหมือน อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต เป็นภาพ Flashback/นิมิต ปรากฎขึ้นพร้อมกันในหัว ในเวลาเพียงเสี้ยววินาที

สำหรับ Opening & Ending มีการใช้เพลงของ On the Nature of Daylight แต่งโดย Max Richter อยู่ในอัลบัม The Blue Notebooks วางขายเมื่อปี 2004, Richter แต่งเพลงอัลบัมนี้ในลักษณะดนตรี Mediation จุดประสงค์เพื่อต่อการทำสงคราม โจมตีประเทศ Iraq (หลังเหตุการณ์ 9/11) สะท้อนใส่ความรู้สึกประสบการณ์ส่วนตัว เกี่ยวกับความรุนแรงของสงครามและเด็ก

เพลงนี้ฟังแล้วรู้สึกเจ็บปวด โหยหวน ล่องลอย สัมผัสได้ถึงความรุนแรงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น, ในหนังฉากเปิดเรื่อง มีเหตุการณ์แห่งกายสูญเสีย ส่วนตอนจบ เป็นเหตุการณ์ที่ชวนให้หวนระลึกทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมา ก่อนที่จะตัดสินใจเดินหน้าก้าวต่อ เพราะชีวิตหยุดอยู่กับที่ไม่ได้ ตราบใดที่ยังมีลมหายใจก็ต้องสู้ต่อไป (นี่เป็นเพลงที่ให้สัมผัส อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต ได้อย่างสวยงามมากๆ)

บทเพลง On the Nature of Daylight เคยใช้ประกอบหนังมาแล้วหลายเรื่อง อาทิ
– Stranger than Fiction (2006)
– Shutter Island (2010)
– Disconnect (2012)
– The Face of an Angel (2014)
– The Innocents (2016)

ใจความของ Arrival คือ ‘ปัจจุบัน’ ของการมีชีวิตอยู่, อดีตเป็นสิ่งที่ผ่านไปแล้วไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ อนาคตอาจไม่ใช่เรื่องน่าสนใจนักเพราะเป็นสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น แต่มีหลายคนสนใจต้องการรู้สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้า, ลองทบทวนไตร่ตรองดูสักนิดนะครับ การรู้อนาคตจริงอยู่มันอาจมีประโยชน์ เพราะทำให้สามารถแก้ไขบางสิ่งอย่าง หรือยอมรับทำใจในสิ่งที่อาจเกิดขึ้น แต่ชีวิตมันจะมีสีสันอะไรถ้าเรารู้ล่วงหน้า มีอะไรหลงเหลือให้ตื่นเต้นประหลาดใจ เหมือนการใช้ชีวิตอยู่ในความฝันที่ไม่รู้จักตื่น, ความไม่รู้เป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์มีชีวิตอยู่ ถ้าเราล่วงรู้ทุกสิ่งอย่าง แล้วจะมีชีวิตไปเพื่ออะไร?

นี่ทำให้ผมนึกถึงสำนวนไทยคลาสสิก “ทำวันนี้ให้ดีที่สุด”

ปัจจุบันนี่แหละที่เป็นจุดเชื่อมระหว่างอดีตกับอนาคต วินาทีนี้คือปัจจุบัน วินาทีก่อนหน้าคืออดีต วินาทีถัดไปคืออนาคต สามสิ่งนี้เกิดขึ้นพร้อมๆกันโดยที่เราไม่รู้ตัว เหมือนดั่งลมหายใจเข้า-ออก นี่เรียกว่าชีวิต ถ้าคุณเข้าใจถึงสิ่งนี้ การจดจำอดีต/ล่วงรู้อนาคตก็ไม่มีความจำเป็นเสมอไป เพราะจะทำให้คุณมีสติอยู่กับปัจจุบัน

ดังคำที่พระพุทธเจ้าเคยสอนไว้ อานาปานสติ คือ สติที่ระลึกรู้เป็นไปในลมหายใจ ซึ่งไม่ใช่มีแต่สติเท่านั้นแต่ต้องมีปัญญาด้วย จึงจะสามารถบรรลุเข้าถึงสัจธรรมความจริงของโลก มุ่งสู่นิพพาน อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต ล่วงรู้ได้ทุกสิ่งอย่าง แต่ไม่มีอะไรสำคัญอีกต่อไป, ซึ่งถ้ามองจุดนี้ คนที่สามารถล่วงรู้อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต ได้พร้อมกันจริงๆ มีแต่พระพุทธเจ้ากับพระอรหันต์เท่านั้นนะครับ เป็นความทะเยอทะยานของผู้กำกับที่สามหาวจริงๆ!

หนังที่สามารถวิเคราะห์ลากยาวได้ถึงจุดนี้ ถือว่าธรรมดาเสียที่ไหน การให้คะแนนหนังไซไฟมันควรจะต้องมองจากจุดสูงสุดนี้ลงไป ถึงจะสามารถรู้ได้ว่าความล้ำของหนังมันลึกขนาดไหน สวยงาม เพียงพอ น่าประทับใจหรือเปล่า, หนังเรื่องไหนที่ต้องใช้สมองครุ่นคิดมากๆ จักคือหนังไซไฟที่ดี แต่ถ้าสาระแทรกอยู่ด้วยจะได้รับการยกย่องจดจำ เหลือเพียงแค่กาลเวลาเท่านั้นจะทำให้กลายเป็นอมตะได้หรือเปล่า

ส่วนตัวหลงรักหนังเรื่องนี้ตั้งแต่แทบจะนาทีแรกเลย คือ Direction แนวทางของผู้กำกับ ที่เปิดเรื่องด้วยการเลื่อนกล้องลงมาช้าๆ และเพลงประกอบที่เลือกมาได้อย่างไพเราะลงตัว, นับจากวินาทีนั้นมา สมองผมก็รู้หน้าที่ ทำงานไม่หยุด ครุ่นคิดจนกว่าจะเข้าใจถึงจุดที่พอใจ ก็นี่แหละครับที่คิดได้ ลึกซึ้งพอไหมละ

แนะนำกับคอหนังไซไฟ ชื่นชอบการครุ่นคิดวิเคราะห์หนัง มันไม่จำเป็นว่าคุณต้องเห็นแบบเดียวกับสิ่งที่ผมเห็น ที่เขียนอธิบายก็ใช่ว่าจะถูกต้องเสียหมด ขอแค่ได้คิดก็ถือว่าคุ้มค่ากับการเป็นหนังไซไฟแล้ว

แฟนหนัง Amy Adams ที่ยังคงลุ้น Oscar ตัวต่อไป, แฟนๆ Jeremy Renner หล่อขึ้นมั้ง (แต่ผมอยากรู้ค่าตัวของทั้งสองมาก หนังเรื่องนี้ Amy แบกหนังไว้ทั้งเรื่อง แต่เธอจะได้ค่าตัวน้อยกว่า Jeremy หรือเปล่า?)

จัดเรต 13+ กับบรรยากาศที่ระทึกขวัญ เครียดไปสักนิดสำหรับเด็กเล็ก

TAGLINE | “Arrival หนังไซไฟชั้นดี ลึกล้ำ ลึกซึ้ง และมีการแสดงอันน่าประทับใจของ Amy Adams”
QUALITY | RARE-GENDARY
MY SCORE | LOVE

3
Leave a Reply

avatar
3 Comment threads
0 Thread replies
3 Followers
 
Most reacted comment
Hottest comment thread
2 Comment authors
chanpitsanu roddee Recent comment authors

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

  Subscribe  
newest oldest most voted
Notify of
pitsanu roddee
Guest

ชอบเหมือนกัน ดูลุ้นสุดๆๆ

chan
Guest
chan

คิดได้ดีมากๆเลยค่ะ สุดยอดมากๆ

chan
Guest
chan

คิดได้ดีมากๆเลยค่ะ สุดยอดมากๆ

%d bloggers like this: