Black Book (2006)
: Paul Verhoeven ♥♥♥♡
หนังสัญชาติ Holland เรื่องนี้ ตอนฉายอาจดูไม่น่าสนใจเท่าไหร่ ปัจจุบันมองย้อนกลับไปกลับรู้สึกน่าสนใจมากขึ้น สร้างโดยผู้กำกับ Paul Verhoeven (ที่ปีล่าสุด หนังเรื่อง Elle ได้ฉายในเทศกาลหนังเมือง Cannes และได้รับเสียงตอบรับล้นหลาม) นำแสดงโดย Carice van Houten (Red Woman ในซีรีย์ Games of Throne) เรื่องราวของหญิงสาวชาว Jewish ที่กลายเป็น Spy ตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 ขณะ Nazi เข้ายึด The Hague, Netherlands
ผมได้มีโอกาสดูหนังเรื่องนี้ตอนที่เข้าฉายในไทย น่าจะโรงภาพยนตร์ Lido ตอนนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นหนังจากประเทศ Netherlands สนใจหนังจากตัวอย่าง และได้ยินว่าเป็นหนังเรต X ในหลายๆประเทศ แค่นี้ก็เพียงพอให้วัยรุ่นหนุ่มคนหนึ่งเกิดความใคร่รู้ใคร่สนใจแล้ว, จำได้ว่าหลังการดูครั้งนั้น รู้สึกเหมือนกินข้าวไม่อิ่มเท่าไหร่ ภาพรวมเป็นหนังที่ดี แต่ก็ไม่ได้มีอะไรเลิศหรู จบแล้วก็ผ่านมันไป กลับมาดูครั้งนี้ น่าจะถือว่ารู้สึกแบบเดียวกันเลย นี่ไม่ใช่เป็นหนังที่ดีเลิศน่าจดจำอะไร แต่มีข้อคิดหลายๆอย่างที่น่าสนใจ
ผู้กำกับ Paul Verhoeven (1938-ยังมีชีวิตอยู่) เกิดที่ Amsterdam เชื้อชาติ Dutch ได้อพยพไปอยู่อเมริกา ทำหนัง Hollywood ดังๆหลายเรื่อง เชื่อว่าหลายคนต้องรู้จักแน่ อาทิ RoboCop (1987), Total Recall (1990), Starship Troopers (1997), โด่งดังที่สุดคงเป็น Basic Instinct (1992) หนัง Erotic Thriller หนึ่งในหนังที่ทำเงินสูงสุดในยุค 90s และทำให้ Sharon Stone ดังพลุแตก, สำหรับ Black Book เป็นหนังที่เขากลับไปสร้างที่บ้านเกิด ในรอบ 20 กว่าปี นับแต่ The Fourth Man (1983) เรื่องราวส่วนหนึ่งของหนังเกิดจากความทรงจำของผู้กำกับเอง ที่เติบโตขึ้นผ่านช่วงเวลาสงครามโลกครั้งที่ 2 ขณะ Nazi เข้ายึดครอง The Hague, Netherlands
สงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้นในช่วงต้นทศวรรษ 40s ขณะที่ Verhoeven ยังเด็กมากๆ แต่บ้านของเขาอยู่ใกล้กับฐานทัพของ German นั่นทำให้ในความทรงจำของเขา พบเห็นอะไรๆเลวร้ายที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ซึ่งดูแล้วน่าจะเป็นอิทธิพลต่อความคิด ความโหดร้าย รุนแรงที่เขาชอบนำเสนอมาในผลงานภาพยนตร์หลายๆเรื่อง, สำหรับ Black Book ถึงได้ว่า เริ่มต้นจากภาพความทรงจำสมัยเด็ก นี่เหมือนเป็นสิ่งที่ Verhoeven พยายามหลีกเลี่ยงมาหลายปี เพราะเขาสามารถสร้างหนังเรื่องนี้ได้ตั้งแต่ช่วงเขายังหนุ่มๆ แต่เพื่อเก็บสะสมประสบการณ์ทางภาพยนตร์ นำมาใช้ในการสร้างหนัง ที่จะคือตัวตายตัวแทน กึ่งชีวประวัติของตนเอง ผมคิดว่านี่คือหนังเรื่องที่เขาอยากให้ผู้คนจดจำเขาได้มากที่สุด ว่าเคยเติบโตขึ้นผ่านช่วงเวลาลักษณะนี้ ทำทุกสิ่งอย่างเพื่อให้ตนเองมีชีวิตรอด จากสงครามที่สุดเลวร้ายนี้
ตัวเอกของหนังเป็นหญิงสาว นักร้องเสียงดี เชื้อสาย Jewish ชื่อ Rachel Stein/Ellis de Vries รับบทโดย Carice van Houten เป็นคนโชคดีมากๆ สามารถเอาตัวรอดจากเหตุการณ์เฉียดตายนับครั้งไม่ถ้วน จนสามารถแทรกซึม-ใช้ร่างกายเข้าแลก-กลายเป็นสายลับใน Nazi แต่พอสงครามจบกลับถูกกล่าวหา ใส่ร้ายป้ายสี ว่าเป็นกบฎต่อประเทศชาติของตน, การแสดงของ Carice van Houten ถือว่าใช้ได้เลยนะครับ เธอเข้าใจพื้นฐาน แล้วนำเสนอออกมาให้ผู้ชมสัมผัส เข้าถึงความรู้สึกส่วนลึกอันเจ็บปวดรวดร้าว ยิ่งคราวเธอสั่นกลัวจะทำให้หัวใจผู้ชมสั่นไหวไปด้วย คิดว่านี่อาจเป็นการแสดงที่ดีที่สุดในชีวิตของเธอเลย
ในประเทศที่ถูกยึดครองโดย Nazi ใครก็ตามที่เป็นชาว Jewish จะถูกหมายหัวเพื่อจับไปทรมานหรือประหารชีวิต ไม่เว้นแม้แต่ในประเทศ Netherlands ใครก็ตามที่เป็น Jewish ต้องหลบซ่อน หลบหนีหัวซุกหัวซุน ถ้าโชคดีไม่ถูกพบก็สามารถเอาตัวรอดได้ คนโชคร้ายส่วนใหญ่มีชะตากรรมเดียวคือถูกฆ่าสังหารอย่างเลือดเย็น, ใน Nazi เอง ก็มีเจ้าหน้าที่คอรัปชั่นอยู่เยอะ พวกเขาแสวงหาผลประโยชน์ โดยการใช้สายลับปลอมตัว อ้างตนว่าเป็นผู้ช่วยเหลือชาว Jews ให้หลบหนีออกนอกประเทศ รวบรวมคนมีฐานะเงินทอง ขุดบ่อล่อปลาให้มาติดกับ แล้วฆ่าทิ้งอย่างเลือดเย็น เก็บสะสมกอบโกยทุนทรัพย์ เพื่อความสุขสบายหลังสงคราม
ความชั่วร้ายของ Nazi ยังมีอีกเยอะแยะมากมายอย่าให้สาธยาย ล้วนกัดกร่อนจิตใจของผู้คนที่ได้รับผลกระทบ เรารู้ว่าสิ่งที่ Nazi ทำมันชั่วร้าย แต่เมื่อใดที่มนุษย์ตอบโต้ด้วยสิ่งหรือการกระทำแบบเดียวกัน นั่นแสดงถึงความชั่วร้ายได้เข้าครอบงำบุคคลผู้นั้นไปแล้ว ‘ประวัติศาสตร์ไม่สอนอะไรเลย’ ถึงจะให้พูดย้ำแค่ไหนก็อาจไม่มีประโยชน์ เพราะนี่เปรียบได้กับโรคระบาดที่ร้ายแรงยิ่งกว่ามะเร็ง ตัดทิ้งไปก็ไม่มีวันหายขาด จดจำตัดตัวไปจนวันตาย
ถ่ายภาพโดย Karl Walter Lindenlaub ชาว German, สังเกตโทนสีและการจัดแสงของหนัง ถ้าเป็นฝั่ง Nazi จะเป็นสีเทาเข้มๆ เห็นแล้วเยือกเย็น หดหู่ แต่ถ้าเป็นฝั่ง Dutch จะใช้โทนสีสว่างสดใส อบอุ่น นุ่มนวล, สำหรับฉากโป๊เปลือย หนังไม่ได้มีฉาก Sex ที่เร่าร้อนอะไรนะครับ ใครคาดหวังตรงนี้คงผิดหวังแน่ จะมีแค่เห็นหน้าอกเปลือยและขนส่วนล่างของนางเอง (เธอย้อมสีขน เพื่อปลอมตัวให้แนบเนียน), ชุดสีแดงของนางเอกสวยเด่นมาก (เด่นกว่าสีเลือดอีก) นี่น่าจะมีความหมายบางอย่าง?
ตัดต่อโดย Job ter Burg และ James Herbert, หนังใช้มุมมองของนางเอกเล่าเรื่องทั้งเรื่อง เริ่มต้นหนังที่ปี 1956 ประเทศ Israel หลังสงครามจบกว่า 10 ปี การพบกันของหญิงสาวสองคนที่เป็นเพื่อนกันในช่วงสงคราม จากนั้นถึงจะเล่าย้อนอดีตเป็น Flashback เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น, ผมรู้สึกการทำแบบนี้กับหนังเรื่องนี้ไม่เวิร์คเท่าไหร่ เพราะแทนที่จะให้เราลุ้นในแต่ละฉากว่านางเอกจะรอดไหม ในสถานการณ์ที่ดูแล้วไม่น่ารอดแน่ แต่กลายเป็นว่า เรารู้ว่าเธอรอดแน่ แค่จะรอดยังไง นี่ทำให้หนังลดความตื่นเต้นลงไปพอสมควร
เพลงประกอบโดย Anne Dudley ใช้ Orchestra เต็มวง เน้นไวโอลิน โอโบ ฯ ใช้ประกอบคลอหนังเบาๆ สร้างบรรยากาศที่อึมครึม พิศวง แทนความรู้สึกของนางเอก แต่ก็ไม่มีทำนองที่ไพเราะติดหูสักเท่าไหร่, เสียงร้องของ Carice von Houten ต่างหากที่หวานแหวว ไพเราะ น่าจดจำอย่างยิ่ง สร้างสีสันให้กับทุกฉากในหนังเลย
ผมเลือกเพลง Ich Tanze Mit Dir in Den Himmel Hinein (I Dance With You In the Sky) ร้องโดย Carice von Houten มาให้ฟังนะครับ ถึงฟัง German ไม่รู้เรื่อง แต่รู้สึกว่าเพราะก็ใช้ได้แล้ว
นอกจากความชั่วร้ายของ Nazi แล้ว ใจความของหนังยังกล่าวถึง อีกคนหนึ่งที่ได้รับผลกระทบของสงคราม, เราจะเห็นว่า นางเอก หลังจากเธอสูญเสียทุกสิ่งอย่าง ก็ทุ่มเทเสียสละตัวเอง ยอมแลกทุกสิ่งอย่างเพื่อประเทศชาติ แต่กลับกลายเป็นอีกหนึ่งเหยื่อของสงคราม ที่ถูกทรยศหักหลัง เข้าใจผิด แม้ช่วงท้ายเธอจะหาคำอธิบายไขข้อแก้ต่างของเธอได้สำเร็จ แต่ก็ไม่สามารถแบกหน้าอาศัยอยู่ในประเทศบ้านเกิดของตนเองได้
ความสมจริงในความรุนแรงของหนัง คือเหตุให้หนังได้เรต X ในหลายประเทศ กับฉากโป๊เปลือยเล็กหน้า เห็นหน้าอกหรือขนที่ลับของ Carice van Houten ผมไม่คิดว่าจะมีผลอะไรต่อหนังมากนะครับ หรือฉาก Sex Scene ก็อย่างที่บอกไป แทบไม่มีอะไรให้ตื่นตาตื่นใจเลย, กับฉากที่อาจทำให้หลายคนใจหายวาบ เชื่อว่าคอหนังสงครามเก่าๆอาจเคยเห็นมาแล้วทั้งนั้น ในสถานการณ์ที่อาจไม่ได้เหมือนกัน แต่ใจความเป็นแบบเดียวกัน นี่ทำให้หนังเรื่องนี้ไม่ถือว่ามีอะไรแปลกใหม่เสียเท่าไหร่ แต่กับผู้ชมยุคใหม่ที่ไม่ค่อยได้ดูหนังเก่าๆ นี่เป็นหนังที่สร้างความตระหนัก ชวนให้หวนระลึกถึงช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ เราอาจไม่โกรธเกลียดชาว German เท่ายุคสมัย Nazi ก็จริง แต่หนังสร้างขึ้นเพื่อให้ความทรงจำนี้จะคงอยู่ต่อไป ไม่ให้ถูกลบเลือนไปง่ายๆ มันจึงจำเป็นที่ต้องถ่ายทอดความรุนแรงออกมาแบบตรงๆและสมจริง ที่จะทำให้คนรุ่นใหม่รู้ซึ้ง ว่าสมัยนั้นมันโหดร้ายจริงๆ
นี่ถือเป็นหนังสุด Epic ของประเทศ Netherlands ใช้ทุนสร้างกว่า $21 ล้านเหรียญ สูงที่สุดในประเทศขณะนั้น แต่เอาจริงๆก็ไม่ได้ออกมาอลังการสุด Epic เสียเท่าไหร่ ผมมองเป็นหนังระดับกลางๆที่ดูสนุกเรื่องหนึ่ง สะท้อนความชั่วร้ายของ Nazi ให้ผู้ชมยังคงจดจำไม่ลืมเลือน, หนังเรื่องนี้มีอิทธิพลอย่างมากต่อผู้ชมชาว Dutch เพราะเป็นเรื่องใกล้ตัว ผู้กำกับ/นักแสดง ก็สัญชาติ Dutch จึงมีความรู้สึกใกล้ชิดอย่างมาก เป็นหนังที่ทำเงินสูงสุดในประเทศเมื่อตอนออกฉาย และได้รับการโหวต (จากชาว Holland เอง) ว่าเป็นหนัง Dutch ที่ยอดเยี่ยมที่สุด
สำหรับวงการภาพยนตร์ของประเทศ Netherlands หลายคนอาจไม่รู้จักคุ้นเคยเท่าไหร่ แต่มีหนังหลายเรื่องทีเดียวที่คว้า Oscar มาแล้ว ในสาขา Best Foreign Language Film เข้าชิง 7 ครั้ง ได้มาแล้ว 3 รางวัล แม้จะไม่มีผู้กำกับดังระดับตำนานที่ใครๆจะสามารถเอ่ยชื่อได้ แต่ก็ถือว่าผลิตผลงานศิลปะในระดับที่น่าทึ่งออกมาไม่น้อย, สำหรับนักแสดงที่ประสบความสำเร็จ และสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ นอกจาก Carice van Houten แล้วยังมีที่คุณอาจรู้จักอย่าง Rutger Hauer (Blade Runner), Jeroen Krabbé (The Fugitive), Famke Janssen (X-Men) ฯ ว่าไป Black Book เป็นหนังเรื่องแรก และเรื่องเดียวของ Holland ที่ผมเคยดูนะครับ หวังว่าจะมีโอกาสได้หามาแนะนำกันอีกนะครับ
ผมคิดว่าถ้าคุณไม่ได้มีความชื่นชอบในนักแสดง หรือสนใจในแนวทางของผู้กำกับ หรือได้รู้จักหรือมีความสนใจชาว Dutch โอกาสโคจรมาดูหนังเรื่องนี้น้อยมากๆ ส่วนตัวค่อนข้างชอบหนังเรื่องนี้ โดยเฉพาะการแสดงของ Carice van Houten และเรือนร่างของเธอที่น่าตื่นตาตื่นใจ (ไม่ใช่แล้ว!) ผมอยากแนะนำไว้ เพราะเป็นหนังที่ค่อนข้างดี นำเสนออีกมุมมองของอีกประเทศในขณะ WWII ที่คงไม่ค่อยได้เห็นบ่อยเท่าไหร่ และเป็นโอกาสที่ทำให้ได้รู้จักหนังจากประเทศนี้ด้วยนะครับ
แนะนำกับคอหนังสงครามโลกครั้งที่ 2 ความชั่วร้ายของ Nazi กับเรื่องราวเกิดในประเทศ Netherlands, ใครชอบ Carice van Houten ไม่ควรพลาดเลย
จัดเรต 18+ กับภาพโป๊เปลือย และความชั่วร้ายจากจิตใจของมนุษย์
Leave a Reply