Delicatessen (1991) French : Jean-Pierre Jeunet & Marc Caro ♥♥♥♥

ในโลกยุค post-apocalyptic ข้าวยากหมากแพง อพาร์ทเม้นท์แห่งหนี่งประกาศรับสมัครคนงาน แต่จุดประสงค์แท้จริงเพื่อล่อลวงเหยื่อผู้โชคร้าย สบโอกาสเมื่อไหร่ก็จักเข่นฆาตกรรม ฉับ! ฉับ! นำเนื้อหนังมาทำเป็นอาหารรับประทาน

ถ้าคุณมองเพียงเปลือกภายนอกของหนัง ย่อมรู้สึกรังเกียจ ขยะแขยง ยินยอมรับไม่ได้กับการกินเนื้อมนุษย์ (cannibal) แต่เนื้อหาสาระแท้จริงของ Delicatessen (1991) ต้องการสะท้อนเสียดสีหายนะที่กำลังจะบังเกิดขึ้น (หรือจะมองว่าคือสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ก็ได้เช่นกัน) เมื่อทรัพยากรมีปริมาณจำกัด มนุษย์ก็พร้อมละทอดทิ้งศีลธรรม/มโนธรรม ยินยอมทำทุกสิ่งอย่างเพื่อธำรงชีพรอด

ในขณะเดียวกันถ้าเรามองหนังในเชิงสัญลักษณ์/นามธรรมทั้งหมด การกินเนื้อมนุษย์ สามารถสื่อถึงการกอบโกย/แสวงหาผลประโยชน์ คิดคด-ทรยศ-หักหลัง ถูกกดขี่ข่มเหง ควบคุมครอบงำ (social oppression) ทำให้อีกฝั่งฝ่ายสูญเสียทรัพย์สิน ร่างกาย-จิตวิญญาณ ไม่สามารถธำรงความเชื่อมั่นศรัทธาต่อบุคคล สังคม สิ่งต่างๆรอบข้างได้อีกต่อไป

แซว: ใครเป็น vegan น่าจะชื่นชอบหนังเรื่องนี้ กระมัง

ผมได้ยินชื่อเสียงเรียงนาม Delicatessen (1991) มาตั้งแต่เขียนถึง Amélie (2001) ของผู้กำกับ Jean-Pierre Jeunet คุณภาพโดยรวมถือว่ายอดเยี่ยม น่าประทับใจ โดยเฉพาะออเคสตร้า ‘Squeaky Bedsprings’ อึ้งทึ่งอย่างที่สุด แต่รสชาติโดยรวมมีความเป็น ‘à la carte’ อาจไม่อร่อยถูกปากทุกคน และไคลน์แม็กซ์ดูสับสน มึนงง รายละเอียดเยอะไปนิด ดูครั้งแรกๆเลยยากจะติดตามทัน

เกร็ด: Délicatesse รากศัพท์มาจากภาษาละติน delicatus แปลว่า giving pleasure, delightful, pleasing แต่ความหมายที่ใช้กันในปัจจุบัน สื่อถึงร้านของชำคุณภาพสูง ขายชีส เนยแข็ง เนื้อนำเข้า อาหารจากต่างประเทศ ฯ


Jean-Pierre Jeunet (เกิดปี 1953) ผู้กำกับ สัญชาติฝรั่งเศส เกิดที่ Roanne, Loire เมื่ออายุ 17 สามารถเก็บเงินซื้อกล้อง Super8 เริ่มถ่ายทำหนังสั้น แล้วไปร่ำเรียนอนิเมชั่นยัง Cinémation Studios รู้จักสนิทสนมนักวาดการ์ตูน Marc Caro ร่วมงานสรรค์สร้างอนิเมชั่น(ขนาดสั้น) L’évasion (1978), Le manège (1980) ** คว้ารางวัล César Award: Best Animated Short Film, นอกจากนั้นยังมีโฆษณา, Music Video, และภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องแรก Delicatessen (1991)

Marc Caro (เกิดปี 1956) นักวาดการ์ตูน อนิเมชั่น สัญชาติฝรั่งเศส เกิดที่ Nantes ซึ่งเป็นบ้านเกิดของ Jules Verne สร้างแรงบันดาลใจให้ชื่นชอบหลงใหล Sci-Fi, โตขึ้นเริ่มจากเขียนการ์ตูน ตีพิมพ์ลงนิตยสาร L’Écho des savanes และ Fluide Glacial, กระทั่งปี 1974 มีโอกาสพบเจอ Jean-Pierre Jeunet จึงก้าวเข้าสู่วงการอนิเมชั่นและภาพยนตร์

การร่วมงานของทั้งสองจะแบ่งแยกตามความถนัด Jeunet เป็นผู้กำกับ ให้คำแนะนำนักแสดง ปรับบทพูดสนทนา, ส่วน Caro เป็นนักออกแบบ Storyboard ให้คำแนะนำทีมงานจัดแสง มุมกล้อง งานสร้างพื้นหลัง, กระบวนการอื่นๆ เขียนบท ตัดต่อ pre/post production ถึงค่อยทำงานร่วมกัน

Jean-Pierre handles direction in the traditional sense of the word, that is, the direction of the actors, etc., while I do the artistic direction. Beyond that, in the day-to-day workings of the shoot of preproduction, it’s obviously much more of a mixture. We write together, film together, edit together. According to each of our specialties, sometimes we’ll be drawn to what we do best. There’s a real complicity between us.

Marc Caro

จริงๆแล้วภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องแรกที่ทั้งสองอยากสรรค์สร้างก็คือ The City of Lost Children (1995) วางแผนเตรียมงานกันมาตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 80s แต่ติดปัญหาเงินทุนไม่เพียงพอ สตูดิโอขาดความเชื่อมั่นเพราะพวกเขายังไม่เคยมีผลงาน(ภาพยนตร์ขนาดยาว)เป็นชิ้นเป็นอัน ด้วยเหตุนี้เลยครุ่นคิดพัฒนา Delicatessen (1991) ใช้ทุนน้อยกว่า ก่อสร้างเพียงฉากเดียว (อพาร์ทเม้นท์ทั้งหลัง) คาดหวังความสำเร็จ จะสามารถสานต่อด้วยโปรเจคในฝัน

แรงบันดาลใจของ Delicatessen (1991) มาจากผู้กำกับ Jeunet เคยอาศัยอยู่อพาร์ทเมนท์ที่ด้านล่างเป็นร้านขายเนื้อสัตว์ ทุกเช้าตอน 7 โมงจะได้ยินเสียงลับมีด ฉับ! ฉับ! นอกจากนี้ช่วงปี 1988 ระหว่างเดินทางไปท่องเที่ยวสหรัฐอเมริกา อาหารในโรงแรมมื้อหนึ่งรสชาติแย่มากๆ จนพึมรำพันว่า ‘รสชาติเหมือนเนื้อมนุษย์’


ยุคสมัยที่ข้าวยากหมากแพง คนกินเนื้ออาศัยอยู่บนภาคพื้น คนกินพืชอาศัยอยู่ใต้ดิน เรื่องราวดำเนินขึ้นในอพาร์ทเม้นท์หลังหนึ่ง Clapet (รับบทโดย Jean-Claude Dreyfus) เจ้าของห้องเช่าและร้านขายเนื้อ ประกาศรับสมัครคนงานโดยมีจุดประสงค์เคลือบแอบแฝง หลังจากใช้แรงงาน ขุนให้อ้วน ก็จักเข่นฆาตกรรม นำเนื้อหนังมาจัดจำหน่ายให้ผู้เข้าพักอื่นๆ

การมาถึงของ Louison (รับบทโดย Dominique Pinon) นักแสดงตลกร่างเล็ก อัธยาศัยดี มีความร่าเริงสดใส กลายเป็นที่รักของใครๆโดยเฉพาะ Julie (รับบทโดย Marie-Laure Dougnac) บุตรสาวของ Clapet ไม่ต้องการให้เขาถูกบิดาเข่นฆาตกรรม จึงแอบลงท่อใต้ดิน ติดต่อกับกลุ่ม Troglodistes ชี้ช่องทางร่ำรวยและขอความช่วยเหลือลักพาตัวชายคนรัก


Dominique Pinon (เกิดปี 1955) นักแสดงสัญชาติฝรั่งเศส เกิดที่ Saumur โตขี้นร่ำเรียนสาขาวรรณกรรม University of Poitiers จากนั้นเดินทางสู่ Paris ร่ำเรียนการแสดง Cours Simon School of Dramatic Arts เริ่มมีผลงานละครเวที หนังสั้น พากย์เสียง กลายเป็นเพื่อนสนิทขาประจำของ Jean-Pierre Jeunet ร่วมงานกันตั้งแต่ Delicatessen (1991)

รับบท Louison นักแสดงตลกร่างเล็ก จากเคยทำงานในคณะละครสัตว์ (ร่วมชุดการแสดงกับชิมแปนซี) พอได้ออกรายการโทรทัศน์ก็เริ่มมีชื่อเสียงพอสมควร สามารถเรียกเสียงหัวเราะ ผ่อนคลายให้กับทุกคนรู้จักรอบข้าง มีความขยันขันแข็งในการทำงาน นั่นเองทำให้เขาได้รับการช่วยเหลือจาก Julie รอดพ้นหายนะแบบโชคช่วยครั้งแล้วครั้งเล่า

ผมชอบหนังยุโรปตรงที่นักแสดงไม่เน้นขายหน้าตา (เหมือน Hollywood) ขอเพียงมีความสามารถ เข้ากับบทบาท ก็เล่นเป็นพระเอกได้สบายๆ Pinon ถือเป็นอีกนักแสดงน่าสนใจ รูปร่างเล็ก หน้าแบนๆ ปากเบะๆ ภายนอกค่อนข้างอัปลักษณ์ แต่จิตใจน่ารัก น่าคบหา แถมเล่นเข้าขา Marie-Laure Dougnac โดยเฉพาะฉากรินน้ำชา ทำให้ผู้ชมอมยิ้มกริ่ม รู้สีกอิ่มเอิบจากภายใน

เคมีระหว่าง Pinon กับ Dougnac อาจไม่ได้โรแมนติกหวานแหวว แต่พวกเขาเข้าขาใน Comedy รับส่งมุกตลกได้อย่างพอดิบพอดี อีกฉากที่ผมชอบมากๆคือในห้องน้ำ ถอดเสื้อผ้า เห็นสีหน้าหญิงสาวก็นีกว่าฉันจะเสียความบริสุทธิ์แล้ว แต่ที่ไหนได้ … (เป็นยังไงไปอมยิ้มในหนังดีกว่านะครับ สปอยไปจะเสียอารมณ์เปล่าๆ)


Marie-Laure Dougnac (เกิดปี 1962) นักแสดง/นักพากย์ สัญชาติฝรั่งเศส เกิดที่ Lyon เริ่มจากเป็นนักแสดงละครเวทีที่ Café-théâtre de la Graine, มีชื่อเสียงจากการเป็นนักพากย์หนัง/อนิเมะ, นานๆครั้งถีงแสดงซีรีย์ หรือภาพยนตร์ ได้รับการจดจำสูงก็คือ Delicatessen (1991)

รับบท Julie Clapet บุตรสาวเจ้าของหอพัก แต่เธอไม่ชมชอบการกระทำของบิดาสักเท่าไหร่ ปฏิเสธรับประทานเนื้อหนัง และเมื่อได้พบเจอเหยื่อรายถัดไป Louison โดยไม่รู้ตัวตกหลุมรัก จีงพยายามทำทุกสิ่งอย่างให้เขาสามารถเอาตัวรอดชีวิต แม้จะต้องทรยศหักหลังพ่อแท้ๆของตนเอง

พอสวมแว่น Dougnac ดูเหมือนสาวโก๊ะๆ ชอบทำตัวป้ำๆเป๋อๆ ลุกลี้ลุกรน รู้ว่าตนเองไม่สวยแต่ก็อยากดูดี มีความพยายามปรับเปลี่ยนแปลงตนเองตลอดเวลา ซี่งพอแรกพบเจอตกหลุมรัก เลยพร้อมยินยอมทุ่มเทเสียสละ ไม่หวาดหวั่นกลัวเกรงกลัว แม้จะถูกรายล้อมรอบด้วยภยันตราย

นางเอกในหนังของผู้กำกับ Jeunet มักเด๋อๆด๋าๆ แต่เป็นสาวมั่น เชื่อในตัวของตนเองค่อนข้างสูง หาญกล้าทำในสิ่งเชื่อมั่นว่าถูก แม้ภาพลักษณ์ของ Dougnac อาจไม่บริสุทธิ์สดใสเทียบเท่า Audrey Tautou แต่เธอก็มีเสน่ห์น่าหลงใหล ทำให้ผู้ชมตกหลุมรักได้เฉกเช่นเดียวกัน … เป็นนักแสดงอีกคนที่ผมตกหลุมรักแรกพบ แต่ก็ผิดหวังโคตรๆเพราะเธอแทบไม่มีผลงานโดดเด่นอื่นๆ (เหมือนจะชอบเป็นนักพากย์มากกว่า)


Jean-Claude Dreyfus (เกิดปี 1946) นักแสดง/ตลก สัญชาติฝรั่งเศส เกิดที่ Paris ขี้นเวทีเป็นนักมายากลตั้งแต่อายุ 15 จากนั่นฝีกฝนการเล่นตลกกับ Tania Balachova โด่งดังจากแสดงคาบาเร่ (แต่งหญิง เล่นเป็นกะเทย) ติดตามด้วยภาพยนตร์ มักได้รับบทตัวร้าย นักฆ่า หรือพ่อค้าขายเนื้อ ผลงานเด่นๆ อาทิ Delicatessen (1991), The City of Lost Children (1995) ฯ

รับบท Clapet เจ้าของอพาร์ทเม้นท์ร่างใหญ่ เปิดร้านขายเนื้ออยู่ชั้นล่าง มีจิตใจเหี้ยมโหดต่ำทราม เพลิดเพลินไปกับการเข่นฆาตกรรมเพื่อนำเนื้อหนังมาแจกจ่ายบริโภค จนกระทั่งการมาถีงของ Louison ถูกบุตรสาวพยายามติดต่อรอง แต่ที่สุดเมื่อหายนะบังเกิด จีงต้องรีบเร่งกำจัดภัยพาล

แค่ภาพลักษณ์ของ Dreyfus ก็กินขาดในบทบาท รูปร่างใหญ่โต ดูโหดโฉดชั่วร้าย เวลายิ้มเยาะหรือส่งเสียงหัวเราะใช้ลิ้นดันเพดานปาก (ประกอบกับมุมกล้อง Close-Up) มันช่างดูอัปลักษณ์เหลือหลาย ไม่แปลกที่สมาชิกในหอพักล้วนยินยอมก้มหัว ศิโรราบต่อเผด็จการ

การกระทำของตัวละครผมถือว่าเป็นผลจากอุปสงค์-อุปทาน ลีกๆเขาคงไม่ได้อยากเข่นฆาตกรรมใครตาย แต่เมื่อทำแล้วก่อให้เกิดประโยชน์สาธาระ เนื้อหนังผู้เสียชีวิตถูกนำแจกจ่ายให้สมาชิกหอพัก เติมเต็มความกระหายของร่างกาย ใครกันจะกล้าหือรือ … ด้วยเหตุนี้เราจีงไม่ควรมองว่าเขามีความโฉดชั่วร้ายแง่มุมเดียว อิทธิพลจากสังคม การต้องต่อสู้ดิ้นรน ความทุกข์ยากลำบากในชีวิต ล้วนคือเหตุผลให้มนุษย์ทำทุกสิ่งอย่างโดยไม่สนถูก-ผิด ดี-ชั่ว ศีลธรรม-มโนธรรม


ถ่ายภาพโดย Darius Khondji (เกิดปี 1955) สัญชาติ Iranians-French, บิดาเป็นชาวอิหร่านแต่งงานกับมารดาชาวฝรั่งเศส เกิดที่ Tehran แล้วมาปักหลักอยู่ Paris ตั้งแต่เด็กมีความสนใจเล่นกล้อง Super-8 พอโตขี้นเดินทางสู่สหรัฐอเมริกา ร่ำเรียนสาขาภาพยนตร์ UCLA ตามด้วย New York University และ International Center of Photography, หลังสำเร็จการศีกษาเดินทางกลับฝรั่งเศส เริ่มจากเป็นผู้ช่วยตากล้อง, ถ่ายหนังทุนต่ำ, โด่งดังกับ Delicatessen (1991), The City of Lost Children (1995), Se7en (1995), Stealing Beauty (1996), Evita (1996), Midnight in Paris (2011), Amour (2012), Okja (2017), Uncut Gems (2019) ฯ

งานภาพของหนังมีการใส่ฟิลเลอร์ ปรับโทนสีเหลือง-ส้ม ให้มีความเป็น post-apocalyptic เข้ากับความโลกที่ล่มสลาย อพาร์ทเม้นท์ใกล้ผุพังทลาย มอบสัมผัสแห้งเหือด หมดสิ้นหวัง (โทนสีเดียวกับ Stalker (1979)) ฉากภายนอกมักเต็มไปด้วยฝุ่นควัน กลางวันก็ดูหม่นๆเหมือนพลบค่ำ (ยกเว้นช่วงท้ายที่พอเห็นแสงสว่างรำไร)

อีกสิ่งที่ต้องชมก็คือลีลาการเคลื่อนกล้อง มีความโฉบเฉี่ยว ฉวัดเฉวียน รวมทั้งมุมมองแปลกๆ Dutch Angle และ Close-Up ไม่ใช่แค่สะท้อนความบิดๆเบี้ยวๆภายในจิตใจมนุษย์ (และความผิดปกติของโลกในหนัง) ยังสามารถสร้างความตลกขบขัน เรียกเสียงหัวเราะได้ด้วยเช่นกัน

อพาร์ทเม้นท์ไร้นามแห่งนี้ ภายนอกมีสภาพเหมือนเศษซากปรักหักพัง ดูชำรุดทรุดโทรม ไม่ได้รับการทำนุบำรุงรักษา ซึ่งลักษณะเหล่านี้เป็นการแสดงให้เห็นถึงผลกระทบของหายนะ (post-apocalyptic) อาจจะสงครามโลกหรือภัยพิบัติบางอย่าง (หนังไม่ได้มีการบ่งชี้ชัดว่าคืออะไร)

เกร็ด: หนังมีการบอกใบ้เล็กๆว่าโลกกำลังก้าวย่างเข้าสู่ ‘age of Virgo’ ซึ่งตามปฏิทิน ‘Astrological age’ น่าจะอยู่ช่วงระหว่าง ค.ศ. 12,150 – 14,300

บันไดวนถือเป็นศูนย์กลางอพาร์ทเม้นท์ สัญลักษณ์ของวังวนชีวิต ที่ทุกคนต้องขึ้นๆลงๆ เส้นทางสาธารณะที่ผู้คนจะได้พบปะ ชะเง้อมอง ต่อสู้ดิ้นรน หาหนทาง(หลบหนี)เอาตัวรอด

ห้องพักของแต่ละคนก็มีการออกแบบ บรรยากาศ โทนสีสัน เฟอร์นิเจอร์ของตกแต่งแตกต่างกันไปตามอุปนิสัย รสนิยม ชนชั้นฐานะ ขอไม่อธิบายทั้งหมดแล้วกัน นำเสนอเฉพาะบุคคลน่าสนใจ

Frog Man เป็นห้องที่น่าจะถือว่าแปลกประหลาดสุดๆแล้ว ไม่รู้อาศัยอยู่ชั้นใต้ดินหรืออย่างไรถึงเจิ่งนองไปด้วยน้ำ เต็มไปด้วยคางคก หอยทาก สรรพสัตว์น้ำทั้งหลาย และการจัดโทนสีเขียว สัญลักษณ์ความชั่วร้าย อันตราย ถูกทอดทิ้งขว้าง มีเพียงเด็กๆที่ชอบกลั่นแกล้ง จับกบกิน (กระมัง)

แซว: รสนิยมฟังเพลงของ Frog Man ชอบเปิดเพลงมาร์ชปลุกใจ Julius Fucik: Entry of the Gladiators (1897) สร้างความฮึกเหิมให้กับชีวิต (กระมัง)

ห้องของ Julie จะมีโทนสีส้มอ่อนๆ (ที่ไม่หยาบกระด้างเหมือนฉากภายนอก) ผนัง/วอลเปเปอร์สีชมพู (แต่ดูไม่ค่อยออกเท่าไหร่) ให้ความรู้สึกอบอุ่น ผ่อนคลาย ชุ่มชื่นหฤทัย แต่แผนการที่เธออุตส่าห์เตรียมไว้กลับตารปัตร เฉกเช่นเดียวกับทิศทางมุมกล้อง

  • ตอนซักซ้อมถ่ายจากมุมซ้ายของโต๊ะ ด้านหลังคือกำแพงมืดมิด
  • เหตุการณ์จริงถ่ายจากมุมขวาของโต๊ะ ตำแหน่งของ Louison มีพื้นหลังภาพวาดดอกไม้ และแสงสว่างสาดส่องจากด้านนอก (สื่อถึงการเป็นบุคคลที่ทำให้เธอมีความสุขฤทัย)

ถ้าไม่นับออเคสตร้า ‘Squeaky Bedsprings’ ผมมีความชื่นชอบฉากนี้ที่สุดเลย โดยเฉพาะการรินชาที่ Louison พยายามอย่างยิ่งจะขยับเคลื่อนไหวติดตาม หาหนทางมิให้หกเปื้อนผ้าคลุมโต๊ะ นั่นแสดงถึงการยินยอมรับ พร้อมปรับให้เข้ากับตัวตนของอีกฝั่งฝ่าย … ถึงเป็นฉากขำขัน แต่ก็ทำให้ตัวละครดูหล่อเหลาขึ้นมาโดยพลัน

ช็อตนี้ที่เป็นการบรรเลงดนตรี duet ร่วมกันครั้งแรก มีเฟอร์นิเจอร์ประกอบฉากหลายชิ้นที่น่าสนใจทีเดียว

  • ซ้ายสุดคือรูปปั้นนกสองตัว (lovebird) พวกมันออกมาจากกรงขังหรืออย่างไร (แต่อพาร์ทเม้นท์แห่งนี้ก็มีสภาพไม่ต่างจากกรงขังสักเท่าไหร่)
  • ดอกไม้ด้านหลัง Julie พร้อมกับทรงผมปัดขึ้น ชวนให้นึกถึงนกยูงรำแพนหาง แทนถึงความบริสุทธิ์ที่อยู่ภายในจิตใจ
  • ด้านหลังของ Louison พบเห็นภาพวาดดอกไม้ (อีกแล้ว) แทนถึงความงดงามที่อยู่ภายในจิตใจ

ห้องของสามี-ภรรยา Interligator ดูมีความหรูหรา เต็มไปด้วยสิ่งข้าวของมีราคา ใช้โทนสีเขียวแสดงถึงธนบัตร ความมั่งมีเงินทอง ไม่มีอะไรต้องเดือดเนื้อร้อนใจ แต่ภรรยา Aurora วันๆกลับครุ่นคิดหาวิธีฆ่าตัวตาย ที่สุดแปลกประหลาดพิศดาร ไม่รู้ต้องการเรียกร้องความสนใจ หรืออยากลาจากโลกนี้ไปจริงๆกันแน่

เอาจริงๆผมมองไม่เห็นเหตุผลที่ Aurora ต้องการคิดสั้นฆ่าตัวตาย ชีวิตก็สุขสบาย ไม่มีอะไรให้ต้องต่อสู้ดิ้นรน เดือดเนื้อร้อนใจ หรืออาจเพราะสามี (ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามีปัญหาอะไร) ไม่ก็ผลกระทบจากปัจจัยภายนอก สภาพแวดล้อม ความเสื่อมโทรมของอพาร์ทเม้นท์ โลกหลังหายนะ (post-apocalyptic) สะสมอาการเก็บกดดัน (social oppression) แปรสภาพสู่ความคลุ้มคลั่ง

ในบรรดาความพยายามสร้างงานศิลปะแห่งการฆ่าตัวตาย มันจะมีความเพี้ยน บ้าบอคอแตก หลุดโลกขึ้นเรื่อยๆ สังเกตว่าแทบทั้งนั้นจะใช้ประโยชน์จากสิ่งข้าวของเครื่องใช้ ที่สามารถเกิดอุบัติเหตุแล้วเป็นอันตรายต่อผู้ใช้ อาทิ กดกระดิ่ง, โคมไฟ (ไฟช็อต), จักรเย็บผ้า (เครื่องมันหนัก ล้มทับก็ได้รับบาดเจ็บ), เปิดประตู (หนีบ), ปืนไรเฟิล, เตาแก๊ส, ยานอนหลับ, ตกเก้าอี้ ฯ

โดยส่วนตัวชื่นชอบสุดก็เกือบถูกไฟช็อตตายในห้องน้ำ เพราะจังหวะขณะกดกริ่ง ครั้งสอง ครั้งสาม สร้างความตื่นเต้นลุ้นระทึกได้ไม่น้อยเลยละ ก่อนตบมุกแบบคาดไม่ถึง (มันน่าจะเป็นการรอดชีวิตที่คาดไม่ถึงสุดแล้วนะ)

ฉากอุโมงค์ใต้ดิน จะมีเพียงแสงสว่าง-ความมืดมิด โทนเหลือง-ส้ม แทบไม่พบเห็นเฉดสีอื่น เป็นสถานที่อยู่อาศัยของบรรดาคนกินพืช/กลุ่มปฏิวัติ Troglodistes สวมชุดสำรวจติดไฟบนศีรษะ (แลดูคล้ายตัวตุ่น) ชอบพูดจาโผงผาง ตรงไปตรงมา สนแต่ทำในสิ่งตอบสนองความพึงพอใจส่วนตน และเวลาไปไหนก็มักแห่ตามกันไป (หมาหมู่) เอาเข้าจริงก็พึงพาอะไรไม่ค่อยได้เท่าไหร่ (ดีแต่เล่นท่า โยกเต้นตบแปะไปมา)

เกร็ด: Troglodistes หรือ troglodytes แปลว่า ฤษี, นักพรต, บุคคลอาศัยอยู่ในถ้ำ

ดาดฟ้า/หลังคาอพาร์ทเม้นท์ ถูกใช้เป็นสถานที่ต่อสู้ระหว่าง Clapet vs. Louison เพื่อแก่งแย่งชิงอำนาจสูงสุด ผู้ชนะจะได้ปรับจูนเสาสัญญาณโทรทัศน์ (ให้เปลี่ยนแปลงไปตามวิสัยทัศน์/ความต้องการของผู้นำ) แม้ขนาดรูปร่าง พละกำลังจะเป็นรอง แต่ Louison ได้รับความช่วยเหลือจาก Julie จึงสามารถต่อกร หลบหนีเอาตัวรอด และผลักดัน Clapet ให้ตกลงเบื้องล่าง (แต่บังเอิญมีเชือกเกี่ยวขาไว้ รอดตายหวุดหวิด เลยพักรบชั่วคราว)

และหลังการต่อสู้สิ้นสุด Louison กับ Julie ก็ขึ้นมาบรรเลงเพลง duet แม้ท่วงทำนองยังคงโหยหวน ล่องลอย แต่สายลมพัดปลิดปลิวฝุ่นควัน ให้พอมองเห็นท้องฟ้าครามอยู่ด้านหลัง แม้โลกที่พวกเขาอาศัยอยู่จะยังคงปกคลุมด้วยอิทธิพลจากหายนะ แต่อพาร์ทเม้นท์แห่งนี้ได้จุดประกายแสงสว่าง/ความหวังเล็กๆ ให้ชีวิตสามารถดำเนินไป

Louison พยายามทำทุกสิ่งอย่างเพื่อกีดกันไม่ให้ Clapet บุกเข้ามาในห้อง (แรงบันดาลใจจาก The Shinning (1980) เปลี่ยนจากขวานเป็นปังตอ) แต่มันคงถ่วงเวลาได้ไม่นาน และเมื่อไร้หนทางหลบหนี วิธีเดียวเท่านั้นจะเอาตัวรอดก็คือ … ทีแรกผมครุ่นคิดว่าทั้งคู่จะยอมตาย ร่วมรักกันครั้งสุดท้าย แต่ที่ไหนได้ เออเว้ยเห้ย มันทำแบบนี้ก็ได้ด้วย!

ห้องน้ำ มักใช้เป็นสถานที่ซุกซ่อนเร้นความสกปรกโสมม อึดอัดอั้นไว้ภายใน ซึ่งหนังทำการอุดรูรั่ว เปิดน้ำให้ท่วมสูง แล้วเฝ้ารอคอยเวลา ให้เขื่อนแตก แผ่นดินถล่ม = หายนะ/ภัยพิบัติจากภายใน มนุษย์ด้วยกันเอง หรือประชาชนในชาติเรา

ฉากนี้ก็น่าจะได้แรงบันดาลใจจาก The Shining (1980) เปลี่ยนจากเลือดไหลนอง (สื่อถึงจิตวิญญาณที่แตกสลาย) กลายมาเป็นน้ำท่วมอพาร์ทเม้นท์ (สัญลักษณ์ของความเก็บกด อึดอัดอั้นที่ซ่อนไว้ภายใน) เมื่อเปิดประตู เขื่อนแตก ระบายออก ก็ทำให้ทุกสิ่งอย่างล่มจม พัดพาสิ่งชั่วร้ายให้ไหลลงไปตามกระแสธารา

สังเกตว่าโทนสีเขียวๆของน้ำ ตัดกับทุกผู้คนรายล้อม แสดงถึงพลังอำนาจของธรรมชาติ เป็นสิ่งที่มนุษย์มิอาจฝืนกระแส(น้ำ) ต่อต้านทานความยิ่งใหญ่

นี่เป็นฉากที่ทุกสิ่งอย่างกำลังกลับตารปัตร กลุ่มคนกินเนื้อที่อาศัยอยู่เหนือพื้นดินตอนนี้อยู่ชั้นล่าง (ใต้พื้นถล่ม) ส่วนกลุ่มคนกินพืชอาศัยอยู่ใต้ดิน ขณะนี้อยู่บนเพดาน เจาะพื้น/ผนังกำลังให้ความช่วยเหลือ Julie … ความกลับตารปัตรดังกล่าวสะท้อนสภาวะทางจิตใจแท้จริงของตัวละคร สูง-ต่ำไม่ใช่เรื่องเงินทอง อำนาจบารมี แต่คือความมีจิตสำนึก/มโนธรรม และคุณค่าความเป็นคน

ซึ่งสำหรับ Julie เธอได้รับการช่วยเหลือก่อนใคร นั่นสื่อถึงสภาพจิตใจที่ได้ยกระดับ ยินยอมรับ มีมนุษยธรรม ส่วน Louison แม้ยังกอดโถส้วมไว้เหนียวแน่น (คือยังมีความโสมมอยู่ในใจ) แต่ด้วยโชคชะตาฟ้าลิขิต และกรรมติดตามสนอง Clapet บูมเมอแรงออสเตรเลียหวนกลับมาปักศีรษะ (สิ้นสภาพความเป็นผู้นำ ใช้มันสมองในทางมิชอบธรรม)

แซว: จริงๆคำพูดประโยคสุดท้ายของ Clapet มีการบอกใบ้ถึงนัยยะบางอย่าง ซึ่งสามารถสื่อถึงภาพยนตร์ทั้งเรื่อง และความตั้งใจของผู้สร้าง

Have I got something here? Answer me, meathead! You, tell me … I’m not dreaming: I’ve got something, right?

Clapet

ตัดต่อโดย Hervé Schneid (เกิดปี 1956) สัญชาติฝรั่งเศส เริ่มมีชื่อเสียงจาก Europa (1991), จากนั้นกลายเป็นขาประจำ Jean-Pierre Jeunet ตั้งแต่ Delicatessen (1991)

หนังดำเนินเรื่องโดยใช้อพาร์ทเม้นท์หลังนี้คือจุดศูนย์กลาง ร้อยเรียงเหตุการณ์ต่างๆที่บังเกิดขึ้นกับสมาชิก ตัดสลับไปมาอย่างแยบยล ชวนฉงน โดยตัวละครหลักก็คือ Louison, Julie และ Clapet

ผมขอแบ่งเรื่องราวออกเป็นสี่องก์

  • อารัมบท, ผู้โชคร้ายรายแรกของ Clapet
  • แนะนำตัวละคร สมาชิกในอพาร์ทเม้นท์หลังนี้
    • การมาถึงของ Louison พาไปที่ห้องพัก และเริ่มต้นทำงานจิปาถะ
    • ออเคสตร้า Squeaky Bedsprings
    • และสมาชิกคนอื่นๆในอพาร์ทเม้นท์
  • ความเปลี่ยนแปลงเล็กๆในอพาร์เม้นท์
    • Julie ชักชวน Louison มาดื่มชาที่ห้อง แล้วร่วมกันบรรเลงเพลง duet (เชลโล่+เลื่อย)
    • Louison ซ่อมเตียงสปริงให้ Plusse
    • Julet พยายามต่อรองร้องขอบิดา ไม่ต้องการให้ Louison ถูกเข่นฆาตกรรม
    • ผู้โชคร้ายรายที่สองของ Clapet
  • การมาถึงของคณะปฏิวัติ/กลุ่มคนกินพืช Troglodistes
    • Julie ลงท่อใต้ดิน ติดตามหา และขอความช่วยเหลือจาก Troglodistes
    • การลักพา(ผิด)ตัวของ Troglodistes
  • หายนะ และจุดสิ้นสุดระบอบเผด็จการ
    • เริ่มจาก Clapet เขย่าเสาอากาศเพื่อลากพา Louison ให้มาเผชิญหน้ากันบนดาดฟ้า
    • Louison และ Julie หลบซ่อนตัวในห้องน้ำ พร้อมแผนการที่จะทำลายล้างทุกสรรพสิ่งอย่างให้ล่มจม
    • ความพยายามฉุดคร่า และกรรมสนองของ Clapet
  • ปัจฉิมบท, สองหนุ่มสาวร่วมกันบรรเลงเพลง duet บนดาดฟ้า

ลีลาการตัดต่อถือเป็นไฮไลท์ของหนัง มีความฉับ! ฉับ! เข้ากับจังหวะเสียงเพลง โดยเฉพาะออเคสตร้า Squeaky Bedsprings ซึ่งไม่เพียงตัดสลับตาม Sound Effect แต่ยังเป็นการร้อยเรียงวิถีชีวิต แนะนำให้รู้จักสมาชิกในอพาร์ทเม้นท์ ว่าใครมีบทบาท หน้าที่ กำลังทำอะไรอยู่ … ได้อย่างสร้างสรรค์และชาญฉลาดมากๆ


เพลงประกอบโดย Carlos d’Alessio (1935-92) สัญชาติ Argentine เกิดที่ Buenos Aires ระหว่างร่ำเรียนสถาปนิก เกิดความสนใจด้านภาพยนตร์ ออกเดินทางสู่ New York เปลี่ยนมาเล่นดนตรี แต่งเพลง พอย้ายมาฝรั่งเศส สนิทสนมกลายเป็นขาประจำผู้กำกับ Marguerite Duras ผลงานเด่นๆ อาทิ India Song (1975), The Children (1985), Delicatessen (1991) ฯ

แค่เสียงแอคคอร์เดียนจาก Main Theme ก็ทำให้ผู้ชมสัมผัสกลิ่นอายประเทศฝรั่งเศส (มันเป็นการสื่อโดยนัยว่า เรื่องราวของหนังต้องการเปรียบเปรยถีงฝรั่งเศสยุคสมัยนั้น) ซี่งถ้าใครเคยรับชม Amélie (2001) มันคงอดใจได้ยากหากจะไม่เปรียบเทียบถีง แต่แนวเพลงแบบนี้ผมชอบหมดนะ ฟังสบาย ผ่อนคลาย ภายนอกช่างโลกสวยดูดี (ปกปิดซ่อนเร้นบางสิ่งอย่างชั่วร้ายไว้ภายใน)

หลายคนอาจไม่เคยรับรู้มาก่อนว่า เลื่อย สามารถใช้เป็นเครื่องดนตรี สร้างเสียงที่เหมือนกับ theremin มีความหลอหลอน โหยหวน ราวกับวิญญาณกำลังล่องลอยออกจากร่าง ซี่งการบรรเลงดูโอ้กับเชลโล่ สองเสียงที่ตัดกันสามารถสื่อถีง ร่างกาย-จิตใจ ภายนอก-ใน ความจริง-เท็จ ทุกสิ่งอย่างในอพาร์ทเม้นท์แห่งนี้ล้วนมีขั้วตรงข้ามเสมอๆ

เอาจริงๆผมอยากจะถือว่าบทเพลงนี้คือ Main Theme สามารถสื่อแทนหนังได้โดดเด่นชัดกว่า เพราะภาพภายนอกที่ดูสวยสดงดงาม (เชลโล่) กลับซ่อนเร้นความโหดโฉดชั่วร้าย เต็มไปด้วยภยันตราย (เลื่อย) และการเล่นเพลงนี้อีกครั้งบนหลังคาตอนจบ มันไม่ใช่ ‘Happy Ending’ เพราะพวกเขายังคงอาศัยอยู่บนโลกที่ต้องต่อสู้ดิ้นรน เหตุการณ์แบบในหนังยังคงเกิดขึ้นซ้ำรอยเดิม(ในโลกความจริง)ไม่รู้จบสิ้น

หนังยังมีการใช้บทเพลงมีชื่อในลักษณะ ‘diegetic music’ ที่ต้องชมเลยว่ามีความสร้างสรรค์โคตรๆคือ Dreams of Old Hawaii (1944) แต่งโดย Joe White, Lani McIntyre, Larry Stock, ขับร้อง/บรรเลงโดย Lani McIntyre และ Lani McIntyre’s Orchestra ในหนังคือดังขี้นจากโทรทัศน์ ช่วงขณะ Louison กำลังขย่มเตียงร่วมกับ Plusse เพื่อหาว่าสปริงตัวไหนขี้นสนิม ช่างมีจังหวะ (บทเพลงกับการโยก) ที่สอดคล้อง พร้อมเพรียง เรียกเสียงหัวเราะ อมยิ้มกริ่ม เป็นฉากที่น่าหลงใหลยิ่งนัก

ผมนำ Music Video (สมัยนั้นยังถือว่าเป็นหนังสั้น) ฉบับที่ฉายในโทรทัศน์มาให้รับชมกันเลย

สำหรับไฮไลท์ออเคสตร้า ‘Squeaky Bedsprings’ คือการร้อยเรียงชุดเสียง สปริง, เชลโล่, ตบผ้าห่ม, สูบลม, ส้อมเสียง ฯ ซึ่งจะเริ่มจากจังหวะช้าๆแล้วค่อยๆเร่งความเร็ว พร้อมตัดสลับไปมา โยกศีรษะตามเป็นจังหวะ … มันฉากโคตรสร้างสรรค์ที่สุดของหนังแล้วละ

นัยยะของ Sequence นี้คือการแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในอพาร์ทเม้นท์ แม้พวกเขาอยู่คนห้อง ทำกิจกรรมคนละอย่าง แต่ทุกสิ่งล้วนสอดคล้องประสาน กลมเกลียว เป็นอันหนึ่งอันเดียว … สามารถเปรียบได้กับประชาชนในประเทศชาติ ทุกคนล้วนมีส่วนร่วม ต้องรับผิดชอบสิ่งบังเกิดขึ้นเช่นเดียวกัน

เราสามารถเทียบแทนอพาร์ทเม้นท์หลังนี้ ได้กับประเทศแห่งหนี่ง ประกอบด้วยผู้นำเผด็จการ ปกครองผู้อยู่อาศัยด้วยความหวาดระแวง สร้างกฎข้อบังคับให้สมาชิกหอพักต้องปฏิบัติทำตาม แม้ขัดแย้งต่อหลักศีลธรรม/มโนธรรม แต่การกระทำนั้นถือเป็นประโยชน์สาธารณะ เลยไม่มีใครครุ่นคิดต่อต้าน (อีกทั้งไม่มีใครอยากมือเปื้อนเลือด เลยยินยอมให้เจ้าของหอพักฉกฉวยคว้าโอกาส)

สมาชิกอพาร์ทเม้นท์แต่ละคน ล้วนมีบทบาท/ชนชั้นฐานะในสังคมที่แตกต่างกันไป อาทิ

  • Clapet เจ้าของอพาร์ทเม้นท์ ตัวแทนชนชั้นผู้นำ สามารถควบคุมครอบงำ ออกคำสั่งต่อสมาชิกหอพัก
  • Julie บุตรสาวของ Clapet ย่อมได้รับอภิสิทธิ์หลายๆอย่าง งานอดิเรกคือเล่นเชลโล่ สามารถเทียบแทนชนชั้นสูง
  • บุรุษไปรษณีย์ คือตัวแทนความสัมพันธ์/สื่อสารโลกภายนอก นำจดหมาย ข่าวสาร หนังสือพิมพ์มาส่งยังอพาร์ทเม้นท์หลังนี้
  • Mademoiselle Plusse ตัวแทนของโสเภณี ขายบริการให้ Clapet แลกกับความอิ่มหนำ สุขสบาย ไม่ต้องจ่ายค่าเช่าห้อง
  • Marcel Tapioca ตัวแทนของพ่อค้า ขายของจิปาถะ แต่ไม่เพียงพอจ่ายค่าห้องพัก จีงถูกบีบบังคับให้ต้องเอาคุณยาย/แม่สะใภ้ (ที่วันๆไม่ได้ทำอะไรนอกจากเย็บปักถักร้อย) กลายมาเป็นเหยื่ออันโอชะรายถัดไป
    • แม่สะใภ้ของ Marcel Tapiocaตัวแทนผู้สูงวัยที่วันๆไม่ได้ทำอะไร กลายเป็นภาระครอบครัวให้ต้องเลี้ยงดูแล การจากไปของเธอจีงสร้างประโยชน์ทั้งขี้นทั้งล่อง (เนื้อหนังสามารถนำมาเป็นอาหาร, และการจากไปของเธอแบ่งเบาภาระครอบครัวได้มาก)
    • ภรรยาของ Tapioca ตัวแทนของแม่บ้าน เลี้ยงดูแลบุตรชายทั้งสอง ที่วันๆเอาแต่ซุกซน วิ่งเล่นสนุกสนาน ระรานคนอื่นไปทั่วอพาร์ทเม้นท์
  • Aurore Interligator แต่งหน้าแต่งตัวอย่างสวยงาม ดูดีมีฐานะ เป็นตัวแทนชนชั้นกลาง (Middle Class) ไม่ได้ต้องต่อสู้ดิ้นรนเหมือนคนอื่นๆในอพาร์ทเม้นท์ แต่เธอกลับพยายามเข่นฆ่าตัวตายอยู่หลายครั้ง แม้ไม่เคยประสบความสำเร็จก็ตามที
  • Roger และ Robert พี่-น้อง พบเห็นตัวติดกันแทบตลอดเวลา คนหนี่งเจาะกระป๋อง อีกคนหนี่งติดสติ๊กเกอร์ข้างกล่อง ต่างก้มหน้าก้มตา ทำงานประสานกัน ถือเป็นตัวแทนชนชั้นแรงงาน/กรรมกร (Working Class)
  • Frog Man คือตัวแทนชนชั้นล่าง อาศัยอยู่ในห้องฉ่ำด้วยน้ำ พร้อมสรรพสัตว์มากมาย

สำหรับ Louison ถ้ามองตามบทบาทก็คือตัวตลกในสังคม รับทำงานจิปาถะ ซ่อมแซมได้แทบทุกสรรพสิ่งอย่าง (โดยเฉพาะสปริงใต้เตียง/ขจัดสิ่งชั่วร้ายที่ถูกซุกซ่อนไว้ในสังคม) ขณะเดียวกันก็สามารถสร้างเสียงหัวเราะ ความสนุกสนานครื้นเครง เรียกว่านำพา ‘ชีวิต’ กลับคืนสู่อพาร์ทเม้นท์หลังนี้

การกระทำของ Julie มองมุมหนี่งคือการคิดคด-ทรยศ-หักหลัง บิดา/ประเทศชาติบ้านเกิด แต่เราสามารถมองกลับตารปัตรถีงความพยายามเปลี่ยนแปลง ‘ปฏิวัติ’ โค่นล้มผู้มีอำนาจ เผด็จการ เพื่อให้อพาร์ทเม้นท์หลังนี้มีทิศทางดำเนินไปที่ถูกต้องเหมาะสม เป็นประชาธิปไตย ไม่ขัดต่อสามัญสำนีก ศีลธรรม/มโนธรรม และความเป็นมนุษย์!

แซว: มันเป็นการเปรียบเทียบที่สุดโต่งสักนิด แต่ก็น่าคิดไม่น้อย คนกินเนื้อ=อนุรักษ์นิยม (อาศัยอยู่บนดิน), คนกินพืช=เสรีนิยม (อาศัยอยู่ใต้ดิน), มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่กินได้ทั้งพื้นและสัตว์ แล้วความสมดุลของโลกมันอยู่ตรงไหนกัน?

ทุกการเปลี่ยนแปลง ปฏิวัติ หรือโค่นล้มผู้มีอำนาจ ย่อมต้องเกิดความสูญเสียทั้งทรัพย์สิน ร่างกายและจิตใจ แต่ปัจจัยภายนอก (อพาร์ทเม้นท์หลังนี้) สามารถก่อร่างสร้างขี้นใหม่ แค่ว่าต้องถอนรากถอนโคน ทำลายต้นตอปัญหา ซี่งสิ่งบังเกิดขี้นกับ Clapet ถือเป็นกฎแห่งกรรม เคยทำอะไรไว้สุดท้ายย่อมได้ผลนั้นกลับคืนสนอง (บูมเบอแรง)

ผมไม่ค่อยแน่ใจว่าผู้กำกับ Jean-Pierre Jeunet ต้องการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ภาพยนตร์เรื่องนี้กับฝรั่งเศส (ในยุคสมัยนั้น) มันเลวร้ายขนาดนี้เลยหรือ? แต่ถ้าเปรียบเทียบสารขัณฑ์ประเทศยุคสมัยนี้ มันช่างเหมือนเปี๊ยบราวกับแกะ เรากำลังปล่อยให้เผ็ดการขูดเลือดกินเนื้อคนในชนชาติเดียวกันมานมนาน คงหลงเหลือวิธีเดียวเท่านั้นคือทำให้ประเทศมันล่มจ่ม (เหมือนน้ำท่วมอพาร์ทเม้นท์) ทั้งระบอบต้องพังทลาย แล้วถีงค่อยเริ่มต้นนับหนี่งสร้างบ้านหลังใหม่ ถีงอาจมีรุ่งอรุณที่สว่างสดใส


ด้วยทุนสร้าง $3.8 ล้านเหรียญ เท่าที่มีรายงานรายรับทั่วโลก $12.4 ล้านเหรียญ ถือว่าประสบความสำเร็จไม่น้อยเลยนะ ส่วนเสียงตอบรับถือว่าดีเยี่ยม (แม้นักวิจารณ์บางคนเต็มไปด้วยอคติ ไม่สามารถยินยอมรับการกินเนื้อมนุษย์) ได้เข้าชิง César Awards ถึง 10 สาขา คว้ามา 4 รางวัล

  • Best First Work **คว้ารางวัล
  • Best Supporting Actor (Jean-Claude Dreyfus)
  • Most Promising Actress (Marie-Laure Dougnac)
  • Best Screenplay, Original or Adaptation **คว้ารางวัล
  • Best Cinematography
  • Best Editing **คว้ารางวัล
  • Best Production Design **คว้ารางวัล
  • Best Costume Design
  • Best Sound
  • Best Music

ส่วนตัวมีความชื่นชอบหนังมากๆ โปรดักชั่นดีเยี่ยม ภาพสวย เพลงเพราะ โดยเฉพาะลีลาการตัดต่อ ฉับ! ฉับ! ตัดได้เข้ากับจังหวะการลับมีด แล่เนื้อ แม้ช่วงท้ายจะดูสับสนอลม่านไปสักหน่อย แต่โดยรวมถือว่ายอดเยี่ยม พึงพอใจ ไดเรคชั่นผู้กำกับ Jean-Pierre Jeunet น่าหลงใหล คลั่งไคล้จริงๆ

แนะนำคอหนัง post-apocalyptic แนวสะท้อนเสียดสี dark comedy มีอะไรให้ขบครุ่นคิดมากมาย, ชาวมังสวิรัติหรือ vegan ที่ไม่ชอบกินเนื้อ, คนเบื้องหลังภาพยนตร์ โดยเฉพาะนักตัดต่อ งดงามเหนือคำบรรยาย, และใครชื่นชอบ Brazil (1985), Sweeney Todd (2007) หรือผลงานของ Terry Gilliam, Tim Burton ก็ไม่น่าพลาดเรื่องนี้นะครับ

จัดเรต 18+ กับความบัดซบของมนุษย์ในโลกยุค post-apocalyptic

คำโปรย | Delicatessen รสชาติอาจไม่อร่อยถูกปากทุกคน แต่สามารถหั่นเนื้อหนัง ฉับ ฉับ ถึงทรวงใน 
คุณภาพ | ฉั! ฉั!
ส่วนตัว | ชื่นชอบมากๆ

Leave a Reply

avatar

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

  Subscribe  
Notify of
%d bloggers like this: