
Dune (1984)
: David Lynch ♥♥♡
ผมมองความล้มเหลวของ Dune (1984) เกิดจากวิสัยทัศน์ผู้กำกับ David Lynch ไม่เข้าใจนวนิยายต้นฉบับเพียงพอ ใส่ความเป็นตัวตนเองมากเกินไป และมิอาจต่อรองโปรดิวเซอร์จนสูญเสียการควบคุมทั้งโปรเจค, กาลเวลาทำให้หนังเข้าสู่กระแส Cult Classic ดูแบบไม่คิดอะไรก็น่าจะเพลิดเพลินไปกับมันได้
โดยปกติแล้วภาพยนตร์ถูกตีตราว่า ‘Worst Film’ มักมาจากผู้กำกับไม่ได้มีชื่อเสียงสักเท่าไหร่ อาทิ Ed Wood เรื่อง Plan 9 from Outer Space (1959), Roger Christian กำกับเรื่อง Battlefield Earth (2000), แต่ก็มีบ้างที่ ผกก. ค่อนข้างโด่งดัง แต่สร้างสรรค์ผลงานได้น่าผิดหวัง Heaven’s Gate (1980) กำกับโดย Michael Cimino, Showgirls (1995) กำกับโดย Paul Verhoeven, The Last Airbender (2010) กำกับโดย M. Night Shyamalan แต่พวกเขาเหล่านี้เมื่อเทียบชื่อชั้น David Lynch ยังถือว่าห่างกันไกลโข
นั่นเพราะ David Lynch ได้รับการยกย่องจากนักวิจารณ์ชื่อดัง Pauline Kael ให้คำนิยาย ‘the first popular surrealist’ นั่นแสดงถึงอิทธิพล ความสำคัญต่อวงการภาพยนตร์ ไม่ย่อหย่อนไปกว่าผู้กำกับระดับตำนานอย่าง Luis Buñuel, Stanley Kubrick, Andrei Tarkovsky เทียบปัจจุบันก็อย่าง Terrence Malick, Michael Haneke ฯลฯ พวกเขาเหล่านี้แม้มีผลงานต่ำกว่ามาตรฐานอยู่บ้าง แต่คุณภาพโดยรวมก็ไม่ได้เลวร้ายระดับ Dune (1984)
คนที่รับชมผลงานเรื่องอื่นๆของผู้กำกับ Lynch น่าจะตระหนักถึงสไตล์ลายเซ็นต์ ลักษณะเด่นเฉพาะตัว ให้ความสนใจสิ่งซุกซ่อนเร้นภายในจิตใจมนุษย์ นำเอาความอัปลักษณ์เหล่านั้นแปรสภาพจากนามธรรมสู่รูปธรรม ราวกับความฝันจับต้องได้ … นั่นคือสิ่งที่เขาพยายามทำกับ Dune ตีแผ่ด้านมืดตัวละครผ่านงานสร้างยิ่งใหญ่ระดับมหากาพย์
แต่นอกจากข้อจำกัดเรื่องทุนสร้าง และเทคโนโลยียุคสมัย การตีความของ Lynch ยังห่างไกลความลุ่มลีกซับซ้อนจากนวนิยาย Dune ยกตัวอย่าง(ที่ผมคิดว่าคนไม่เคยอ่านนวนิยายก็น่าจะตระหนักได้)อิทธิพลธรรมชาติ ท้องทะเลทรายกว้างใหญ่ไพศาล ไม่ได้รู้สีกยิ่งใหญ่อลังการ โดยเฉพาะหนอนทราย (Sandworm มันคือ Iconic ของนวนิยายเลยนะ!) มีความหน่อมแน้ม ไร้ความน่าเกรงขาม หวาดสะพรีงกลัวโดยสิ้นเชิง … มันไม่ใช่สไตล์ของผู้กำกับ Lynch ที่จะนำปัจจัยภายนอกส่งผลกระทบย้อนกลับสู่ภายในจิตใจ
ยังมีอีกโคตรปัญหาที่ใครๆน่าจะสังเกตได้ บังเกิดจากความดื้อรัน ละโมบโลภของ(โปรดิวเซอร์)สตูดิโอ ไม่ยินยอมรับฉบับตัดต่อดีที่สุด (ยาวประมาณ 3 ชั่วโมง) เรียกร้องขอหนัง 2 ชั่วโมง โดยไม่สนว่าต้นฉบับนวนิยายมีเนื้อหามากมายเพียงใด ด้วยความจำใจเลยต้องตัดแต่งโน่นนี่นั่น ปรับเปลี่ยนแปลงวิธีดำเนินเรื่องราว ผลลัพท์ผู้กำกับ Lynch ไม่สามารถควบคุมทิศทาง วิสัยทัศน์ตนเองได้อีกต่อไป
เอาจริงๆผมค่อนข้างชื่นชอบการออกแบบ ตัวละครเซอร์ๆ สถาปัตยกรรมเว่อๆ noir-baroque โคตรติสต์! มันทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความแตกต่างจาก 2001: A Space Odyssey (1968) ด้วยแนวทางเฉพาะตัว Lynchesque ในลักษณะ ‘weirding way’ แต่ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถยินยอมความอัปลักษณ์เหล่านั้น เมื่อกำลังมี Dune (2021) ให้เปรียบเทียบราวฟ้า-เหว
ก่อนอื่นขอกล่าวถีง Franklin Patrick Herbert Jr. (1920-86) นักเขียนนวนิยายไซไฟ สัญชาติอเมริกา เกิดที่ Tacoma, Washington ตั้งแต่เด็กมีความชื่นชอบการอ่าน-เขียน หลงใหลในหนังสือ และการถ่ายรูป หลังเรียนจบมัธยมเริ่มรับจ้างทำงานทั่วๆไป จนมีโอกาสได้เป็นช่างภาพหนังสือพิมพ์ Oregon Statesman (ปัจจุบันคือ Statesman Journal), ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง อาสาสมัครทหารเรือได้เป็นช่างภาพอีกเช่นกัน, หลังสงครามสิ้นสุดตัดสินใจเข้าเรียนต่อ University of Washington เขียนสองเรื่องสั้นแนว pulp fiction ขายให้กับนิตยสาร Esquire และ Modern Romance ค้นพบหนทางอยู่รอดเลยลาออกมาเป็นนักข่าว (Journalism) ให้กับ Seattle Star และบรรณาธิการ San Francisco Examiner’s California Living
สำหรับนวนิยายเริ่มต้นอย่างจริงจังช่วงทศวรรษ 50s จากเรื่องสั้นแนวไซไฟ Looking for Something ตีพิมพ์ลงนิตยสาร Startling Stories, ส่วนนวนิยายขนาดยาวเรื่องแรก เขียนเป็นตอนๆลงนิตยสาร Astounding ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 1955 แล้วรวมเล่มกลายเป็น The Dragon in the Sea (1956)
จุดเริ่มต้นของ Dune ว่ากันว่า Herbert ได้แรงบันดาลใจจากบทความในนิตยสารหนี่ง เขียนถีงการทดลองสุดประหลาดของกระทรวงเกษตร(แห่งสหรัฐอเมริกา) พยายามหาหนทางหยุดยับยั้งการเคลื่อนไหวของหาดทรายใน Florence, Oregon ด้วยการปลูกต้นหญ้า(บนพื้นทราย), ความสนใจในเรื่องราวดังกล่าว ทำให้ Herbert ออกเดินทางสู่ Oregon รวบรวมข้อมูลสำหรับเขียนบทความตั้งชื่อว่า ‘They Stopped the Moving Sands’ แต่ไม่ได้รับการตีพิมพ์ (เพราะในบทความเต็มไปด้วยภาษาพูด บรรณาธิการส่งกลับให้ Herbert ปรับเปลี่ยนแก้ไข แต่เขากลับเพิกเฉยผ่านเลยตามเลย) นั่นคือจุดเริ่มต้นความสนใจเกี่ยวกับทรายและระบบนิเวศทางธรรมชาติ
“Sand dunes pushed by steady winds build up in waves analogous to ocean waves except that they may move twenty feet a year instead of twenty feet a second. These waves can be every bit as devastating as a tidal wave in property damage… and they’ve even caused deaths. They drown out forests, kill game cover, destroy lakes, [and] fill harbors”.
ข้อความในบทความไม่ได้รับการตีพิมพ์ They Stopped the Moving Sands
อีกหนี่งแรงบันดาลใจคือเรื่องราวของ T. E. Lawrence ที่เข้าไปมีส่วนร่วมใน Arab Revolt (1916-18) การลุกฮือของชาวอาหรับเพื่อขับไล่จักรวรรดิ Ottoman Empire ออกไปจากภูมิภาคตะวันออกกลาง ช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนี่ง … ไม่แน่ใจว่า Herbert ได้แรงบันดาลใจจากภาพยนตร์ Lawrence of Arabia (1962) หรือเคยอ่านหนังสืออัตชีวประวัติ Seven Pillars of Wisdom (1926) มาก่อนหน้านั้น (แต่น่าจะกรณีหลังนะครับ)
Herbert เริ่มต้นอุทิศตนเองเพื่อนวนิยาย Dune ตั้งแต่ปี 1959 ศีกษาค้นคว้าหาข้อมูล รวบรวมเรียบเรียงรายละเอียดทั้งหมด ตีพิมพ์สองเรื่องสั้น Dune World (1963) และ The Prophet of Dune (1965) เป็นอารัมบทลงนิตยสาร Analog เพื่อหาสำนักพิมพ์ แต่เนื้อหาลีกล้ำเกินกว่าใครไหนจะยินยอมเสี่ยง (ถูกปฏิเสธกว่า 20 สำนักพิมพ์) ก่อนมาลงเอยที่ Chilton Book Company จ่ายเงินล่วงหน้าเพียง $7,500 เหรียญ
เป็นปกติของนวนิยายไซไฟ ที่เมื่อเริ่มวางขายจะไม่ค่อยมีใครให้ความสนใจสักเท่าไหร่ แต่หลังจากคว้ารางวัล Nebula Award ปี 1965 (จัดขี้นครั้งแรก) และ Hugo Award ปี 1966 ก็ทำให้เป็นที่รู้จัก เข้าถีงผู้อ่านในวงกว้าง ประสบความสำเร็จเพียงพอให้ Herbert เขียนภาคต่อรวมทั้งหมด 6 ภาค (เห็นว่าเตรียมเขียนภาค 7-8 ไว้แล้วด้วย แต่ Herbert เสียชีวิตจากไปก่อน) ได้รับการแปลภาษานับไม่ถ้วน และยอดขายถีงปัจจุบันเกินกว่า 20+ ล้านเล่ม (เป็นนวนิยายไซไฟยอดขายสูงสุดตลอดกาลถีงปัจจุบัน)
- Dune (1965)
- Dune Messiah (1969)
- Children of Dune (1976)
- God Emperor of Dune (1981)
- Heretics of Dune (1984)
- Chapterhouse: Dune (1985)



ความสำเร็จล้นหลามของนวนิยาย แน่นอนว่าต้องไปเข้าตาโปรดิวเซอร์ใน Hollywood เริ่มต้นฤดูร้อน ค.ศ. 1971 ลิขสิทธิ์ตกเป็นของ Arthur P. Jacobs (โด่งดังจาก Planet’s of the Ape) แต่ยังไม่ทันเริ่มต้นทำอะไร (แค่วางแผนให้ David Lean เป็นผู้กำกับ) ก็พลันด่วนเสียชีวิตหัวใจล้มเหลมช่วงฤดูร้อน ค.ศ. 1973
โปรดิวเซอร์คนถัดมาคือ Jean-Paul Gibon มอบหมายให้ Alejandro Jodorowsky ผู้กำกับสัญชาติ Chilean โด่งดังจากโคตรผลงาน avant-garde เรื่อง El Topo (1970) และ The Holy Mountain (1973) [โดยเฉพาะเรื่องหลังที่มีหลายๆองค์ประกอบละม้ายคล้าย Dune เป็นอย่างมาก] ซี่งก็ได้จินตนาการนักแสดงอย่าง Salvador Dalí ให้มารับบท Emperor, Orson Welles แสดงเป็น Baron Harkonnen, David Carradine เล่นบท Leto Atreides ฯ ทั้งยังติดต่อนักออกแบบชื่อดัง H. R. Giger, Jean Giraud, Chris Foss รวมถีง Pink Floyd ทำเพลงประกอบหนัง
แต่โปรเจคก็ล้มพับเพราะวิสัยทัศน์ของ Jodorowsky อยากสร้าง Dune ที่มีความยาว 10-14 ชั่วโมง ทำให้ไม่สามารถหาทุนสร้างเพียงพอ และเขาก็ไม่ยอมถดถอยจนเกิดความขัดแย้งโปรดิวเซอร์ สุดท้ายเลยต้องแยกย้ายไปตามทาง … เรื่องราวความล้มเหลวดังกล่าว ได้ถูกนำมาตีแผ่เป็นสารคดี Jodorowsky’s Dune (2013) และผมนำภาพการออกแบบที่น่าสนใจโคตรๆ เชื่อว่าถ้าได้สร้างคงมีความแปลกพิศดารยิ่งกว่าฉบับของ David Lynch อย่างแน่นอน




ช่วงปลายปี 1976, โปรดิวเซอร์ Dino De Laurentiis ขอซื้อลิขสิทธิ์ต่อจาก Gibson ทีแรกมอบหมายให้ผู้แต่งนวนิยาย Herbert ลองดัดแปลงบทได้ความยาว 175 หน้ากระดาษ ถ้าสร้างเป็นภาพยนตร์คงความประมาณ 3 ชั่วโมง ซี่งถือว่ายังนานเกินไป! … ประเด็นคือ Herbert มีความใกล้ชิดกับนวนิยายเกินไป ทุกสิ่งอย่างในมุมมองเขาจีงล้วนมีความสำคัญ เลยมิอาจตัดทิ้งรายละเอียดเล็กๆน้อยๆได้สักเท่าไหร่
ต่อมาติดต่อผู้กำกับ Ridley Scott จากความประทับใจ Alien (1979) แต่หลังจากพยายามปรับปรุงบทร่วมกับ Rudy Wurlitzer ไม่ได้ผลลัพท์น่าพีงพอใจสักเท่าไหร่ อีกทั้งพี่ชายของ Scott เพิ่งเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง สภาพร่างกาย-จิตใจค่อนข้างย่ำแย่ เลยขอถอนตัวออกจากโปรเจค [แล้วไปสรรค์สร้าง Blade Runner (1982) กลายเป็นตำนานยิ่งใหญ่กว่า]
“But after seven months I dropped out of Dune, by then Rudy Wurlitzer had come up with a first-draft script which I felt was a decent distillation of Frank Herbert’s (book). But I also realized Dune was going to take a lot more work—at least two and a half years’ worth. And I didn’t have the heart to attack that because my [older] brother Frank unexpectedly died of cancer while I was prepping the De Laurentiis picture. Frankly, that freaked me out. So I went to Dino and told him the Dune script was his”.
Ridley Scott
แซว: แผนงานของ Ridley Scott เอาจริงๆเลวร้ายยิ่งกว่า Jodorowsky (และ Lynch) ตั้งใจแบ่งสร้างสองภาคด้วยทุนสร้างเกินกว่า $50 ล้านเหรียญ
โปรดิวเซอร์ De Laurentiis ยังคงไม่ลดละความพยายาม ปี 1981 ต่อรองผู้เขียนนวนิยาย Herbert เพื่อขยายระยะเวลาถือครองลิขสิทธิ์พร้อมภาคต่อ แล้วไปพูดคุยผู้บริหาร Universal Studio จนได้รับอนุมัติทุนสร้างอย่างแน่นอนแล้ว ระหว่างกำลังมองหาผู้กำกับ Raffaella De Laurentiis (บุตรสาวของ Dino De Laurentiis) มีโอกาสรับชม The Elephant Man (1980) เลยแนะนำ David Lynch ให้บิดาลองพูดคุยติดต่อ
David Keith Lynch (เกิดปี 1946) ศิลปิน ผู้กำกับสร้างภาพยนตร์ สัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Missoula, Montana บิดาเป็นนักวิทยาศาสตร์ทำงานวิจัยให้กระทรวงเกษตร ส่วนมารดาสอนวิชาภาษาอังกฤษ ช่วงชีวิตวัยเด็กชื่นชอบการวาดรูป เพ้อฝันอยากจิตรกรแบบ Francis Bacon เคยเข้าศีกษา Corcoran School of the Arts and Design ก่อนย้ายมา School of the Museum of Fine Arts, Boston แต่ก็รู้สีกผิดหวังเพราะโรงเรียนเหล่านี้ไม่สามารถสอนอะไรนอกเหนือวิชาความรู้ เลยตัดสินใจออกท่องยุโรปสักสามปี แต่หลังจากสองสัปดาห์ให้หลังก็ตัดสินใจหวนกลับบ้าน
ก่อนย้ายไปปักหลักตั้งถิ่นฐานยัง Philadelphia เข้าศีกษา Pennsylvania Academy of Fine Arts ระหว่านี้ก็มีโอกาสสร้างหนังสั้น Six Men Getting Sick (Six Times) (1967) ได้แรงบันดาลใจจาก ต้องการเห็นภาพวาดของตนเองสามารถเคลื่อนไหว ปรากฎว่าชนะรางวัลอะไรสักอย่าง เอาเงินนั้นมาทดลองสร้างภาพยนตร์เรื่องถัดมา The Alphabet (1968) มีส่วนผสมของ Live-Action กับอนิเมชั่น นำโปรเจคไปเสนอ American Film Institute รับเงินมาอีกก้อนสร้างหนังเรื่องถัดไปอีก จนกระทั่งกลายเป็น Eraserhead (1977) ภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องแรก ประสบความสำเร็จล้นหลาม จนบังเกิดกระแส Cult ติดตามมา
หลังเสร็จจากภาพยนตร์ขนาดยาวลำดับที่สอง The Elephant Man (1980) ได้รับติดต่อจาก George Lucas (เป็นแฟนหนัง Eraserhead) ต้องการมอบโอกาสให้โอกาสกำกับ Return of Jedi (1983) แต่เขากลับบอกปัดปฏิเสธ ให้เหตุผลว่านั่นคือภาพยนตร์ที่สะท้อนวิสัยทัศน์ของ Lucas ไม่ควรจะมอบให้คนอื่นมากำกับแทน (แต่ Lucas ก็ยังคงมอบหน้าที่นั้นให้ Richard Marquand)
ระหว่างนั้นผู้กำกับ Lynch ซุ่มพัฒนา Ronnie Rocket ภายใต้ Zoetrope Studios ของ Francis Ford Coppola เป็นโปรเจคครุ่นคิดมาตั้งแต่เสร็จจาก Eraserhead (1977) แต่ด้วยปัญหาการเงินรุมเร้าช่วงปี 1981 ทำให้ทุกสิ่งอย่างวาดฝันไว้ต้องพังทลายลง … ผ่านมาหลายปี โปรเจคนี้คงล้มเลิกความตั้งใจไปเรียบร้อยแล้ว
ช่วงขณะว่างงานอยู่นั้นเอง Lynch ได้รับการติดต่อจากโปรดิวเซอร์ Dino de Laurentiis ให้ดัดแปลงนวนิยายไซไฟ Dune (1965) ทั้งๆไม่เคยอ่านต้นฉบับ หรือรับรู้เนื้อเรื่องราวใดๆ แต่ด้วยข้อแลกเปลี่ยนสตูดิโอ De Laurentiis Entertainment Group จะให้ทุนสนับสนุนอีกสองโปรเจคหลังจากนั้น (สัญญาภาพยนตร์สองเรื่องถัดไป ประกอบด้วยภาคต่อของ Dune ซี่งไม่ได้สร้างแต่ถือว่านับรวมไว้แล้ว และอีกผลงาน Blue Velvet ค่อนชัดเจนว่าซ่อนเร้นนัยยะอะไรไว้)
“To be honest, when Dino offered me DUNE, I want to see him more out of curiosity than anything else.
I’m not crazy about science fiction and I’d never read Dune before accepted this film. But when I finally got around to it, I was just knocked out. And not only by its adventurous aspects. In a lot of ways, this novel is the antithesis of the usual raygun and spaceship science fiction I’m used to seeing. Dune has believable characters and a lot of depth, a lot of resonance. It’s not all surface flash. In many ways, Herbert created an internal adventure, one with a lot of emotional and physical textures. And I love textures”.
David Lynch
ร่วมดัดแปลงบทกับ Eric Bergren และ Christopher De Vore (ทั้งสองเคยร่วมกันดัดแปลง The Elephant Man) ได้บทร่างแรกจำนวน 200+ หน้ากระดาษ แต่เพราะความคิดเห็นต่างระหว่างตัดทอนรายละเอียด ผ่านไปหกเดือนหลงเหลือเพียง Lynch ปรับเปลี่ยนหลายๆเรื่องราวสู่เสียงบรรยาย คำสนทนา และความคิดตัวละคร จนออกมาได้ 135 หน้ากระดาษ (พี่แกเลยถือเครดิต Written By แต่เพียงผู้เดียว)
ในอนาคตอันไกล ค.ศ. 10191, จักรวาลถูกปกครองโดย Padishah Emperor Shaddam IV สสารที่มีค่าที่สุดในจักรวรรดิคือ Spice (เครื่องเทศ) ซึ่งสามารช่วยยืดอายุไข ขยายจิตสำนึกผู้ใช้ และยังช่วยให้ Spacing Guild เป็นพลังงานสำหรับการเดินทางระหว่างดวงดาว (Interstellar Travellng)
ปัญหาบังเกิดขึ้นเมื่อ Arrakis (หรือ Dune) ดาวเคราะห์แห่งเดียวในจักรวาลที่สามารถเก็บเกี่ยว Spice ถูกยึดครองโดยชนเผ่าพื้นเมือง Fremen และกำลังทำสนธิสัญญาพันธมิตรกับ Duke Leto Atreldes แห่ง House Atreldes นั่นอาจส่งผลกระทบคุกคามต่อ Spacing Guild จึงส่งทูตไปเข้าเฝ้า Emperor Shaddam IV เพื่อรับฟังแผนการทำลายล้าง House Atreldes ด้วยการหยิบยืมมือ Baron Vladimir Harkonnen ร่วมกับหน่วยรบพิเศษของจักรวรรดิ Sardaukar
ทูตของ Spacing Guil พยายามเน้นย้ำ Emperor Shaddam IV ให้กำจัดบุคคลๆหนึ่ง Paul Atreldes บุตรชายของ Duke Leto เพราะคำพยากรณ์จาก Bene Gesserit Sisterhood องค์กรศาสนาที่แทรกซึมไปทั่วทุกหนแห่งในจักรวาล ใช้ประโยชน์จากองค์ความรู้โบราณฝึกฝนร่างกาย-จิตใจ จนสามารถควบคุมการกำเนิดให้มีแต่เพศหญิงมาหลายยุคสมัย (Breeding Program) จุดประสงค์เพื่อสักวันหนึ่งจะให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตทรงภูมิเหนือจักรวาล Kwisatz Haderach แต่ก่อนจะถึงวันนั้นพยายามควบคุมครอบงำ ซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังองค์กรใหญ่ๆ อ้างอุดมการณ์เพื่อรับใช้ แต่แท้จริงต้องการชักใยทุกสิ่งอย่าง
Lady Jessica คือสมาชิกของ Bene Gesserit Sisterhood ที่ถูกมอบหมายให้เป็นภรรยาน้อย Duke Leto โดยธรรมเนียมแล้วต้องให้กำเนิดบุตรสาวเท่านั้น แต่ด้วยความรักต่อสวามี อยากให้มีทายาทสืบวงศ์ตระกูล เลยตัดสินใจทรยศองค์กร คลอดบุตรชาย Paul Atreldes แล้วเสี้ยมสอนองค์ความรู้ทุกสิ่งอย่าง รวมไปถึงการต่อสู้ป้องกันตัวสไตล์ ‘weirding way’ จนสามารถผ่านการทดสอบของ Reverend Mother ได้รับอนุญาตให้ออกเดินทางสู่ Arrakis
โดยไม่มีใครคาดคิด Baron Vladimir Harkonnen แอบซุกซ่อนสายลับในบรรดาคนสนิทของ Duke Leto ทำให้ยังไม่ทันได้พบปะพันธมิตร Fremen เลยถูกเข่นฆ่าทำลายล้าง โชคยังดีที่ Paul และ Lady Jessica สามารถหาหนทางหลบหนี ติดอยู่กลางทะเลทราย เอาตัวรอดจากหนอนทราย (Sandworm) จนได้พบเจอชาว Fremen อาศัยอยู่ใต้ดิน จึงเริ่มครุ่นคิดวางแผนโต้ตอบกลับจักรวรรดิ เริ่มต้นจากเสี้ยมสอนการต่อสู้สไตล์ ‘weirding way’ และเรียกตนเองว่า Paul Muad’Dib
Kyle Merritt MacLachlan (เกิดปี 1959) นักแสดงสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Yakima, Washingtion มารดาทำงานผู้จัดการ Youth Theater เลยส่งลูกชายไปร่ำเรียนเปียโน ฝีกฝนร้องเพลงตั้งแต่อายุ 9 ขวบ ทำให้สามารถขึ้นเวทีการแสดงร้อง-เล่น-เต้น ตั้งแต่อายุ 15 ปี, ช่วงระหว่างกำลังศึกษาสาขาการแสดง University of Washington มีโอกาสเป็นตัวประกอบภาพยนตร์ The Changeling (1980) เลยเกิดความมุ่งมั่นอยากเอาดีด้านนี้, ครั้งหนึ่งระหว่างออกทัวร์การแสดงช่วงปิดเทอม บังเอิญไปเข้าตาแมวมอง รับชักชวนให้มาทดสอบหน้ากล้อง จนกระทั่งมีโอกาสแสดงนำ Dune (1984) เป็นที่ถูกอกถูกใจผู้กำกับ David Lynch ร่วมงานกันอีกหลายครั้ง Blue Velvet (1986), Twin Peaks (1990–91), ผลงานเด่นอื่นๆ อาทิ The Flintstones (1994), Showgirls (1995) ฯ
Paul Atreides หรือ Muad’Dib เด็กหนุ่มอายุ 15 ปี ผู้มีความเก่งกาจทั้งบุ๋น-บู๋ ได้รับความเข้มแข็ง/จิตใจอ่อนโยนจากบิดา Duke Leto และองค์ความรู้/สไตล์การต่อสู้ ‘weirding way’ จากมารดา Lady Jessica หลังถูกโจมตีจาก Baron Harkonnen ได้รับความช่วยเหลือจาก Fremen ที่ต่างเชื่อว่าเขาคือบุคคลจากคำทำนาย Mahdi (ผู้มาไถ่นำพาชาว Fremen ให้ได้รับอิสรภาพอย่างแท้จริง) เลยตัดสินสอนสไตล์การต่อสู้เพื่อเตรียมล้างแค้น/พร้อมเผชิญหน้าจักรวรรดิ
เส้นทางชีวิตของ Paul มีคำเรียกว่า ‘hero’s journey’ วีรบุรุษผู้ถูกคาดหวังให้ต้องกอบกู้ศรัทธา ต่อสู้ศัตรูแห่งมวลมนุษย์ชาติ แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้นต้องพานผ่านอุปสรรคขวากหนามมากมาย สูญเสียใครบางคน เผชิญหน้าบทพิสูจน์ตนเอง และได้รับการยอมรับจากทุกผู้คนรอบข้าง ไม่ต่างจากพระพุทธเจ้า, Jesus Christ, Muhammad ฯลฯ ซึ่งเป้าหมายปลายทางอาจถึงระดับพระเจ้าผู้สร้างโลก (God)
แรงบันดาลใจตัวละครนี้จากบทสัมภาษณ์ของผู้แต่งนวนิยาย Herbert ก็คือ T. E. Lawrence (Lawrence of Arabia) พลเมืองชาวอังกฤษ นำกองทัพอาหรับต่อสู้เอาชนะชาว Turks ช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ด้วยกลวิธี Guerrilla Tactics ใช้กองกำลังเล็กๆเข้าทำลายหน่วยสื่อสาร ตัดขาดศัตรูไม่ให้ได้รับความช่วยเหลือจากโลกภายนอก นั่นเองที่ทำให้เขากลายเป็น ‘messiah’ มีสถานะเหมือนพระเจ้า (godlike) ของชาวอาหรับ
คำนิยามของผู้กำกับ Denis Villeneuve [ในฉบับ Dune (2021)] ให้ความเห็นตัวละครนี้อย่างน่าสนใจ เปรียบเทียบดั่ง Michael Corleone แฟนไชร์ The Godfather
“He’s training to be the Duke. But as much as he’s been prepared and trained for that role, is it really what he dreams to be? That’s the contradiction of that character. It’s like Michael Corleone in The Godfather–it’s someone that has a very tragic fate and he will become something that he was not wishing to become.”
Denis Villeneuve
นอกจากรูปลักษณ์ที่ไม่เหมือนเด็กหนุ่มอายุ 15 ปี การแสดงของ MacLachlan ก็แทบไม่มีความน่าสนใจอะไรให้ให้พูดกล่าวถึง แม้นี่จะเป็นบทบาทที่โคตรหลงใหล แต่ทุกสิ่งอย่างดูเป็น ‘stereotype’ ปากเบะ หน้าบึ้ง เต็มไปด้วยความตึงเครียดตลอดเวลา เมื่อประกอบเข้ากับเสียงบรรยายความรู้สึกจากภายใน การแสดงจึงไร้มิติซ่อนเร้น จืดชืด น่าเบื่อหน่าย คาดเดาง่าย สิ้นสภาพวีรบุรุษผู้กอบกู้จักรวาล (นอกจากหน้าตาหล่อเหล่าเพียงอย่างเดียว)
“I read Dune for the first time in eight grade, and I’ve read it about once a year ever since, It’s almost been my Bible. I really love that book. So when I was cast for Paul. I couldn’t believe it. I still don’t believe it!”
Kyle MacLachlan
ความที่หนังมีนักแสดงเยอะมากๆ ‘Ensemble Cast’ เลยขอพูดถึงตัวละครอื่นๆโดยคร่าวๆที่น่าสนใจ
- Duke Leto Atreides ผู้นำตระกูล House Atreides ภายนอกดูเข้มแข็งแกร่ง แต่จิตใจอ่อนโยน มีความรักต่อภรรยา บุตรชาย เป็นห่วงเป็นใยลูกน้องใต้สังกัด มองว่าชีวิตสำคัญกว่าการเก็บเกี่ยวผลผลิต Spice แต่สุดท้ายกลับถูกทรยศหักหลังโดยคนใกล้ตัว
- รับบทโดย Jürgen Prochnow (เกิดปี 1941) นักแสดงสัญชาติ German เกิดที่ Berlin หลังประสบความสำเร็จจากการแสดงในประเทศ และสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ยอดเยี่ยม เลยได้รับโอกาสจาก Hollywood ผลงานเด่นๆ อาทิ Das Boot (1981), Dune (1984), Beverly Hills Cop II (1987), Air Force One (1997) ฯ
- House Atreides ได้แรงบันดาลใจจากปกรัมณ์กรีก House Atreus ซึ่งก็ประสบโชคชะกรรม ถูกเข่นฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ไม่แตกต่าง
- Lady Jessica สมาชิกของ Bene Gesserit Sisterhood ถูกมอบหมายให้เป็นภรรยาน้อย Duke Leto แต่เพราะรักสวามี เลยตัดสินใจทรยศหักหลังองค์กร คลอดบุตรชาย Paul และกำลังจะให้กำเนิดน้องสาว Alia แต่เมื่อ House Atreides ถูกทำลายล้าง เข้าร่วมกับชาว Fremen และตั้งตนเองกลายเป็น Reverend Mother
- รับบทโดย Francesca Annis (เกิดปี 1945) นักแสดงสัญชาติอังกฤษ เกิดที่ London บิดาเป็นเจ้าของกิจการ Nightclub ที่ประเทศ Brazil ส่วนมารดาเป็นนักร้อง Blues แต่ทั้งคู่เลิกเราตอนเธออายุ 7 ขวบ ย้ายกลับมาอยู่อังกฤษฝึกฝนบัลเล่ต์ ก่อนมีโอกาสแสดงภาพยนตร์ Cleopatra (1963) ในบทคนรับใช้ Elizabeth Taylor, เริ่มมีชื่อเสียงจากซีรีย์ Great Expectations (1967), ภาพยนตร์ Macbeth (1971), Krull (1983), Dune (1984) ฯ
- ตัวละครนี้ได้แรงบันดาลใจจาก Beverly Herbert มารดาของผู้แต่งนวนิยาย เธอมีความเข้มแข็ง เป็นที่รัก เชื่อมั่นในสิ่งถูกต้อง และเหมือนมีความสามารถในการทำนายอนาคต (ของลูกชายตนเอง)
- Baron Vladimir Harkonnen ชายร่างใหญ่ ป่วยโรคผิวหนังอะไรสักอย่าง ทำให้ไม่สามารถเดินด้วยเท้า ต้องใช้อุปกรณ์บางอย่างให้ล่องลอยเหนือพื้นดิน อุปนิสัยก็สะท้อนรูปลักษณ์ โหยหาอำนาจ เงินทอง กอบโกยกินทุกสิ่งอย่าง ชื่นชอบการทรมาน ลักร่วมเพศ ฆ่า-ข่มขืน แต่ครั้งหนึ่งยินยอมให้ตัวเองถูกล่อลวงโดย Bene Gesserit Sisterhood ให้กำเนิดบุตรสาวลับๆ Lady Jessica มีศักดิ์เป็นปู่ของ Paul Atreides แต่ก็ยังโกรธเกลียดไม่ชอบขี้หน้า Duke Leto ถึงขนาดยัดสอดไส้สายลับ เมื่อมีโอกาสจึงพร้อมกำจัดให้พ้นภัยพาล
- รับบทโดย Kenneth McMillan (1932-89) นักแสดงสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Brooklyn, New York จากเซลล์แมน ไต่เต้าถึงผู้ดูแลชั้นสามห้างสรรพสินค้า Gimbels Department Store แต่พออายุ 30 ค้นพบความฝันอยากเป็นนักแสดง เข้าศึกษา Fiorello H. LaGuardia High School of Music & Art and Performing Arts แต่กว่าจะเริ่มมีผลงานแรกตัวประกอบ Serpico (1973), ผลงานส่วนใหญ่เป็นบทสมทบ ตำรวจพิทักษ์สันติราษฎร์ จนกระทั่งได้รับโอกาส Dune (1984) แม้เสียเวลาหลายชั่วโมงแต่งหน้าทำผม ได้รับอิสระอย่างเต็มที่ในการทำตัวละครนี้โหดเหี้ยม เลวทราม ชั่วช้าสามาลย์ที่สุด
- การแสดงของ McMillan ถือว่ามีสีสัน บ้าระห่ำ หลุดโลกที่สุดใน Dune (1984) และดูพี่แกค่อนข้างสนุกไปมัน (อย่างยากลำบาก) แม้ภาพลักษณ์จะแตกต่างจากต้นฉบับนวนิยาย แต่ถือเป็นการตีความที่สื่อนัยยะชัดเจน แค่เห็นก็ขยะแขยง ไม่อยากเข้าใกล้ อัปลักษณ์เกินทน
- ผู้แต่งนวนิยาย Herbert เล่าว่าใช้การเปิดสมุดโทรศัพท์ (Yellow Book) แล้วค้นพบชื่อ Härkönen ฟังดูเหมือนภาษารัสเซีย (จริงๆเป็นภาษา Finnish) เลยนำมาใช้ตั้งชื่อตัวละคร ในตอนแรกเขียนว่า Valdemar Hoskanner
- Padishah Emperor Shaddam IV แห่ง House Corrino ผู้ปกครองได้รับการยอมรับทั่วทั้งจักรวาล ออกคำสั่งให้ Duke Leto Atreides เข้าครอบครองดาวเคราะห์ Arrakis แม้รับล่วงรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังสร้างพันธมิตรกับชาวพื้นเมือง Fremen แต่นั่นคือแผนกำจัดให้พ้นภัยพาล ด้วยการยืมมือฆ่าโดย Baron Harkonnen แต่หลังจากนั้นการปรากฎของ Muad’Dib สร้างปัญหาให้การเก็บเกี่ยว Spice จน Spacing Guild เรียกร้องให้จักรพรรดิต้องจัดการขั้นเด็ดขาด เลยออกเดินทางมุ่งสู่ Arrakis เพื่อบัญชาการรบด้วยตนเอง
- รับบทโดย José Ferrer ชื่อจริง José Vicente Ferrer de Otero y Cintrón1 นักแสดงสัญชาติ Puerto Rican เกิดที่ San Juan ครอบครัวอพยพย้ายสู่ New York City ตั้งแต่เขายังเด็ก ช่วงระหว่างร่ำเรียนสถาปัตยกรรม Princeton University ค้นพบความชื่นชอบด้านการแสดง จบออกมาเลยตัดสินใจมุ่งหน้าสู่ Broadways ค่อยๆสะสมชื่อเสียงจนโด่งดังจากบทบาท Cyrano de Bergerac (1946) คว้ารางวัล Tony Award: Best Actor, ส่วนภาพยนตร์เริ่มต้นจาก Joan of Arc (1948), คว้า Oscar: Best Actor เรื่อง Cyrano de Bergerac (1950), ผลงานเด่นๆ อาทิ Moulin Rouge (1952), The Caine Mutiny (1954), Lawrence of Arabia (1962), Ship of Fools (1965), Dune (1984) ฯ
- แม้ว่าภาพลักษณ์ของ Ferrer จะดูเหมือนจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ แต่การแสดงดูลุกรี้ ร้อนรน ไม่ค่อยเหมือนผู้นำที่พึ่งพาได้ น่าจะได้รับคำแนะนำให้ถ่ายทอดความรู้สึกภายในออกเป็นภาษากาย หลังจากถูกกดดัน/ควบคุมครอบงำโดย Spacing Guild ตระหนักว่าตนเองเป็นเพียงหุ่นเชิดชัดของบางสิ่งอย่างยิ่งใหญ่กว่า
- ในนวนิยายตัวละครนี้อายุ 72 ปี แต่บรรยายภาพลักษณ์ว่ายังเหมือนคนอายุ 35, แต่ภาพยนตร์บอกว่าอายุเกิน 200+ ปี เพราะได้รับการหนุนหลังจาก Spacing Guild และความช่วยเหลือของ Spice (ที่สามารถทำให้อายุยืนยาว)
- Chani เป็นชาว Fremen บุตรสาวของ Liet-Kynes ภรรยานอกสมรสของ Paul แต่ได้รับคำยืนยันจากเขาว่าจะรักและดูแลเหมือนดั่งภรรยา (Paul แต่งงานในนามกับ Princess Irulan ด้วยเหตุผลทางการเมือง)
- รับบทโดย Sean Young (เกิดปี 1959) นักแสดงสัญชาติอเมริกัน โด่งดังจาก Blade Runner (1982) แต่ถูกลดทอนบทบาทจนไม่มีอะไรให้พูดถึง
- Siân Phillips รับบท Reverend Mother Gaius Helen Mohiam ผู้นำของ Bene Gesserit และภรรยานอกสมรสของ Emperor Shaddam IV ทีแรกพยายามปฏิเสธการมีตัวตนของ Paul แต่หลังจากเขาสามารถผ่านการทดสอบ จึงเกิดความลังเลใจ ยินยอมให้เขามีชีวิต คาดคิดว่าคงถูกเข่นฆ่าในช่วงการเข่นฆ่าล้าง House Atreides แต่หลังจากมีชีวิตรอด สามารถต่อต้านขัดขืน เธอเองก็มิอาจทำอะไรกับเขาได้
- Sting รับบท Feyd-Rautha น้องเขยของ Baron Harkonnen (น่าจะเป็นคนรักด้วยกระมัง) คู่ต่อสู้ดวลมีดกับ Paul
- ว่ากันว่าฉากเดินจากห้องอบไอน้ำ Sting ตั้งใจจะเปลือยเปล่าทั้งตัว แต่ทีมงานก็สรรหาอะไรบางอย่างมาปกปิดไว้ได้ทัน โดดเด่นจนทำให้เก้งๆกังๆกรี๊ดกร๊าดลั่น
- Patrick Stewart รับบท Gurney Halleck, a troubador-warrior and talented baliset musician in the Atreides court
- Max von Sydow รับบท Doctor Kynes นักวิทยาดาวเคราะห์ (planetologist) ของชาว Fremen และเป็นบิดาของ Chaniจ
ถ่ายภาพโดย Freddie Francis (1917-2007) ตากล้องสัญชาติอังฤษ เจ้าของสองรางวัล Oscar: Best Cinematography เรื่อง Sons and Lovers (1960), Glory (1989), มีโอกาสร่วมงานผู้กำกับ David Lynch สามครั้ง The Elephant Man (1980), Dune (1984) และ The Straight Story (1999)
เดิมนั้นโปรดิวเซอร์อยากทำโปรดักชั่นที่ประเทศอังกฤษ ทีมงานส่วนใหญ่ก็เป็นชาวยุโรป แต่เพราะต้องสร้าง 80 ฉาก ใน 16 โรงถ่าย ซึ่งมีปริมาณไม่เพียงพอ ถ้าทำที่ Hollywood, Los Angeles ทุนสร้างคงบานเบิก เลยตัดสินใจไปปักหลักยัง Estudios Churubusco Azteca, Mexico City ไม่ห่างไกลจากทะเลทราย Pincate and Grand Desert of Altar
แซว: แม้การถ่ายทำยัง Mexico จะช่วยลดค่าใช้จ่าย/เช่าสถานที่ได้มาก แต่ระหว่างโปรดักชั่นทีมงานเกินกว่าครี่ง (จาก 1,700+ คน) ล้มป่วยโรค Moctezuma’s Revenge ท้องเสียจากอาหารการกินไม่ถูกสุขลักษณะ ทำให้ต้องเพิ่มงบประมาณ (ใช้งบเกินกว่าที่ประมาณไว้ $4 ล้านเหรียญ) มาสร้างโรงครัว นำเข้าอาหารทั้งหมดส่งจากสหรัฐอเมริกา ในระยะเวลาถ่ายทำ 6 เดือน!
Production Design โดย Anthony Masters (1919-90) โด่งดังกลายเป็นตำนานกับ 2001: A Space Odyssey (1968) เมื่อได้รับการชักชวนจากผู้กำกับ Lynch ตกลงด้วยภาษิต ‘อะไรเคยพบเห็นหรือทำมาแล้ว โยนมันทิ้งไป!’
“Out motto is: If it’s been done or seen before, throw it out!”
Anthony Masters
แม้มีการออกแบบจากงานสร้างของ Alejandro Jodorowski และ Ridley Scott แต่ผู้กำกับ Lynch ตัดสินใจเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด จินตนาการโดยอ้างอิงโลกปัจจุบันถีงอนาคต 10,000+ ปีข้างหน้า ให้ผู้ชมยังรู้สีกมักคุ้นเคยกับสถานที่ มีความเป็นรูปธรรมมากขี้น (แต่ในสไตล์/คิดสร้างสรรค์ของ Lynch)





4 ดาวเคราะห์หลักในหนังประกอบด้วย
- Kaitain สถานที่ตั้งพระราชวังของ Padishah Emperor Shaddam IV เป็นดาวเคราะห์สีฟ้าขนาดใหญ่ล้อมรอบด้วยวงแหวน ประกอบด้วยแผ่นดินและผืนน้ำ มีความเจริญก้าวหน้า เต็มไปด้วยตีกระฟ้า สถาปัตยกรรมล้ำอนาคต
- Giedi Prime สถานที่ตั้งของ House Harkonnen เป็นดาวเคราะห์อุตสาหกรรม ประกอบด้วยโรงงานนับร้อยพัน สร้างเป็นบล็อกๆซ้อนเป็นชั้นๆ สภาพอากาศคงเต็มไปด้วยมลพิษ ไม่เหมาะสำหรับการพักอยู่อาศัยสักเท่าไหร่
- Caladan สถานที่ตั้งของ House Atreides เป็นดาวเคราะห์สีเขียว รายล้อมรอบด้วยโขดหิน คลื่นสาดกระเซ็น มองออกไปเป็นมหาสมุทรกว้างใหญ่ไพศาล
- Arrakis ดาวเคราะห์สีแดงดวงเดียวในจักรวาลที่ค้นพบว่ามี Spice พื้นผิวมีเพียงท้องทะเลทราย สภาพอากาศกลางวัน-กลางคืน แปรเปลี่ยนได้ตลอดเวลา แต่ภายใต้ดินนั้นเป็นที่อยู่อาศัยของชาว Fremen ซุกซ่อนเร้นลำธารน้ำกว้างใหญ่ไพศาล





ภายในพระราชวังของ Padishah Emperor Shaddam IV สร้างด้วยทองคำทั้งหมด แสดงถึงความร่ำรวย มั่งคั่ง จากการค้า Spice (ให้ความรู้เหมือนเหมือนประเทศค้าน้ำมัน แถวตะวันออกกลาง) ลักษณะเด่นของสถาปัตยกรรมคือแท่งเล็กๆแหลมๆ ดูคล้ายฟันเฟืองในเครื่องยนต์กลไก ราวกับว่าสถานที่แห่งนี้คือศูนย์กลางการขับเคลื่อนอะไรอย่างสักอย่าง
ชื่อของจักรพรรดิฟังดูยิ่งใหญ่ เป็นผู้ปกครองจักรวาลที่รู้จัก (Emperor of the Known Universe) แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นหุ่นเชิดชักของ Spacing Guild และ Bene Gesserit Sisterhood ได้รับคำสั่งอะไรมาก็ต้องปฏิบัติตาม
แซว: มันอาจเป็นความบังเอิญหรือจงใจไม่รู้นะ ศีรษะล้านด้านหลังของ José Ferrer นัยยะถึงการไม่เป็นตัวของตนเอง ถูกควบคุมครอบงำด้วยบางสิ่งอย่าง (คือมันไปสอดคล้อง/ตรงกันข้ามกับศีรษะของ Bene Gesserit ที่ผมจะกล่าวต่อไป)

Spacing Guild คือองค์กรที่ควบคุมระบบการขนส่งของจักรวาล โดยใช้ Spice ทำให้ยานอวกาศสามารถเดินทางระหว่างดวงดาวได้เพียงชั่วพริบตา ด้วยเหตุนี้จึงมีอำนาจการต่อรองล้นฟ้า ถ้าผู้นำดาวเคราะห์ไหนไม่ยินยอมศิโรราบ ก็สามารถตัดขาดความสัมพันธ์ ปล่อยทอดทิ้งมิอาจเดินทางไปไหนมาไหนได้อีก
ในนวนิยายเหมือนว่า Spacing Guild จะแค่มีอิทธิพลต่อ Emperor Shaddam IV แต่ฉบับภาพยนตร์มีการพูดบอกอย่างชัดเจนว่าคือหุ่นเชิดชักที่องค์กรแต่งตั้งขึ้นเพื่อเป็นตนแทนในการปกครองจักรวาล ควบคุมกิจการเก็บเกี่ยว Spice ด้วยเหตุนี้จักรพรรดิจีงมิอาจขัดคำสั่งของ Guild Navigator แต่ตัวเขาก็มีหน้าที่แค่วางแผน สั่งการ หาใช่ผู้ปฏิบัติภารกิจนี้โดยตรงไม่

Guild Navigator หรือ Guildsman หรือ Steersman คือสิ่งมีชีวิตที่บริโภค Spice จนทำให้มีความสามารถเคลื่อนไหวผ่านช่องว่างระหว่างจักรวาล ขนส่งยานอวกาศจากดาวเคราะห์หนึ่งสู่อีกดาวเคราะห์หนึ่งได้อย่างรวดเร็ว (ในสายตามนุษย์คือโดยทันที) ว่ากันว่าเจ้าสิ่งนี้อาจเคยเป็นมนุษย์ ที่หลังจากบริโภค Spice ปริมาณมหาศาลจึงเริ่มกลายพันธุ์ และมีความสามารถพิเศษดังกล่าว แต่ต้องแลกเปลี่ยนคือไม่สามารถออกจากแท็งค์น้ำ (ที่อุดมไปด้วยแก๊ส Spice)
ด้วยความสามารถที่อยู่นอกเหนือกฎจักรวาล ทำให้ Guild Navigator สามารถก่อตั้ง Spacing Guild มีอำนาจต่อรองผู้นำดาวเคราะห์ ไม่เว้นแม่แต่จักรพรรดิ เพื่อให้การเก็บเกี่ยว Spice ดำเนินไหลไปอย่างไม่หยุดหย่อน (เพราะถ้าขาดช่วงเมื่อไหร่ เจ้าสิ่งมีชีวิตตนนี้อาจดับสูญสิ้นไปเลยก็เป็นได้)



Bene Gesserit Sisterhood คือองค์กรที่ใช้ศาสนา/ความเชื่อศรัทธาเป็นข้ออ้าง จุดประสงค์เพื่อสร้างสิ่งมีชีวิตสมบูรณ์แบบ ด้วยการแทรกซีมเข้าไปในทุกๆองค์กรจักรวาล ให้กำเนิดทารกเพศหญิงเพื่อเก็บสะสมพันธุกรรมที่ดีไว้กับตัว สืบสานต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะถีงวันสามารถให้กำเนิดพระเจ้า Kwisatz Haderach ปัจจุบันพานผ่านมาแล้วถึง 90 รุ่น
เกร็ด: Bene น่าจะมาจากคำว่า Benefit หมายถีงผลประโยชน์, Gesserit ออกเสียงคล้ายๆ Jesuits คณะแห่งพระเจ้า กลุ่มบุคคลผู้มีหน้าที่เผยแพร่คำสอนศาสนาสู่สถานที่แห่งหนต่างๆทั่วโลก
จะว่าไปแนวคิดของ Kwisatz Haderach ช่างละม้ายคล้าย Guild Navigator แต่พวกเธอไม่ได้พึ่งพาปัจจัยภายนอกอย่าง Spice จนมีรูปร่างอัปลักษณ์ กลายพันธุ์ ไม่สามารถใช้ชีวิตเหมือนคนปกติทั่วไป, วิธีการของ Bene Gesserit คือฝีกฝนจิตใจให้เข้มแข็งแกร่ง จนสามารถควบคุม/คัดเลือกสรรค์พันธุกรรมที่ดีส่งต่อให้ทายาทรุ่นถัดๆไป
คงมีหลายครั้งที่สมาชิกของ Bene Gesserit ให้กำเนิดเพศชาย แต่เมื่อเติบโตถึงวัยจักต้องเข้ารับการทดสอบ ทั้งหมดล้วนมิอาจอดรนทนต่อความเจ็บปวดที่บังเกิดขึ้นภายในจิตใจ จึงถูกทิ่มแทงด้วยยาพิษ เสียชีวิตตกตายไป
แซว: ทรงผมสุดแนวของ Bene Gesserit โกนศีรษะเพื่อบอกว่าตนเองไม่ได้ยึดติดกับอะไร มีหน้าที่เพื่อคอยรับใช้ แต่ผ้าคลุมศีรษะห้อยไปด้านหลัง นัยยะถึงแท้จริงแล้วคอยควบคุม ชักใยอยู่เบื้องหลังทุกสรรพสิ่งอย่าง
จากบทสัมภาษณ์ของลูกชายผู้แต่งนวนิยาย Brian Herbert เล่าถึงสิ่งที่น่าจะเป็นแรงบันดาลใจของ Bene Gesserit
“When he (Frank Herbert) was a boy, eight of Dad’s Irish Catholic aunts tried to force Catholicism on him, but he resisted. Instead, this became the genesis of the Bene Gesserit Sisterhood. This fictional organization would claim it did not believe in organized religion, but the sisters were spiritual nonetheless. Both my father and mother were like that as well”.
Brian Herbert

ฉากภายในปราสาท House Atreides บนดาวเคราะห์ Caladan ดูเหมือนใช้ไม้ทำเป็นผนังกำแพง แกะสลักลวดลายต่างๆ เฟอร์นิเจอร์ โต๊ะ-เก้าอี้ ข้าวของเครื่องใช้อื่นๆ ให้ความรู้สึกเก่าแก่ มีมนต์ขลัง (แต่ไปเอาไม้พวกนี้มาจากไหนกันละ?) ซึ่งสะท้อนเข้ากับธรรมชาติของตระกูลนี้ ต่างมีจิตใจดีงาม มั่นคงในอุดมการณ์ อบอุ่นเมื่อได้อยู่เคียงชิดใกล้

การอ้างว่าข้อจำกัดของเทคโนโลยียุคสมัยนั้น มันฟังไม่ขึ้นเลยสักนิด! นี่ไม่ใช่ Tron (1982) ที่สามารถสร้างโมเดลอะไรก็ได้ในโลกคอมพิวเตอร์ คือถ้าทำมันออกมาขี้เหล่ขนาดนี้ ให้นักแสดงต่อสู้กันตรงๆไม่ดีกว่าหรือ? อะไรกันที่ทำให้ David Lynch เข็นความพิลึกพิลั่นนี้ออกมา?

ในนวนิยาย ทักษะการต่อสู้ ‘weirding way’ มันคล้ายๆการฝึกฝนกำลังภายใน หรือ The Force ของ Jedi นั่นคือเหตุผลของผู้กำกับ Lynch (กระมัง) ไม่อยากดำเนินตามรอยนั้น (เพราะเขาปฏิเสธ George Lucas ในการกำกับ Star Wars) ด้วยเหตุนี้เลยครุ่นคิดพัฒนา Weirding Modules ด้วยการให้ตัวละครส่งเสียงเพิ่มพลังโจมตี สามารถทำลายล้างแม้กระทั่งธาตุแข็งแกร่งที่สุดบนดาว Arrakis
แต่ผมว่าแนวคิดของปีนประหลาดๆนี่มันตลกสิ้นดีเลยนะ โดยเฉพาะการต้องส่งเสียงร้องเพื่อเพิ่มพลัง ยิ่งช่วงไคลน์แม็กซ์ของหนังแม้งโคตรน่ารำคาญ ตัวละครทั้งหลายต่างส่งเสียงเจี้ยวจ้าวแทน Sound Effect คิดออกมาได้ไง??

ใครดูหนังกังฟู หรือ Shaw Brothers น่าจะมักคุ้นเคยกับอุปกรณ์ฝีกฝนวิชาการต่อสู้ชนิดนี้เป็นอย่างดี แต่เดี๋ยวนะอนาคต 10,000+ ปีข้างหน้า มันยังจะใช้ไอ้เครื่องแบบนี้อยู่อีกเหรอ?? มันน่าจะมีโฮโลแกรม หรือหุ่นยนต์สำหรับต่อสู้สิ มันถึงสมเหตุสมผลกว่า และการขยับเคลื่อนไหวของมันช่างก๋องแก๋งเหลือทน ไม่ได้มีความน่าตื่นตาตื่นใจเลยสักนิด!

“Fear is the mind-killer”.
Paul Atreides
นี่เป็นฉากที่ผมชื่นชอบสุดแนวคิดที่สุดแล้ว มันคือบททดสอบความเป็นมนุษย์ สิ่งมีชีวิตเดียวเท่านั้นสามารถเผชิญหน้าความหวาดกลัว อดรนทนต่อความเจ็บปวด เอาชนะสันชาตญาณ และเข้าถึงนิพพาน (เดรัจฉานจะไม่สามารถอดรนทนต่อความเจ็บปวด สันชาตญาณจักทำให้ชักมือออกจากกล่องโดยทันที)
ความเจ็บปวดของ Paul ไม่ได้มาจากมือสอดใส่ในกล่อง แต่คือพลังของ Reverend Mother สร้างภาพหลอนควบคุมจิตใจ ให้เขารู้สึกเหมือนถูกแผดเผา มอดไหม้ ราวกับอยู่ในขุมนรก, ในนวนิยายเห็นว่าเธอหยุดเมื่อพลังหมด และยินยอมรับว่า Paul มีแนวโน้มจะกลายเป็น Kwisatz Haderach

Giedi Prime สถานที่ตั้งของ House Harkonnen เป็นดาวเคราะห์อุตสาหกรรม พบเห็นโครงเหล็กซ้อนกันเป็นชั้นๆ เครื่องจักรถูกแบ่งเป็นบล็อกๆ ก็ไม่รู้มันทำงานอะไรของมัน แค่ให้ความรู้สึกของ Surrealist Setting เพียงให้ผู้ชมสัมผัสว่านี่คือโรงงานอุตสาหกรรมก็เท่านั้นเอง
มองจากภายนอก Giedi Prime เป็นดาวเคราะห์สีดำมะเมื่อม ส่วนภายในกลับเป็นใช้โทนสีเขียวของธนบัตร สัญลักษณ์ระบอบทุนนิยม ซ่อนเร้นด้วยความชั่วร้าย


ถ้าถามว่าสิ่งใดในภาพยนตร์เรื่องนี้เทียบแทนสไตล์ลายเซ็นต์ผู้กำกับ Lynch ได้ตรงที่สุด คงหนีไม้พ้นรูปลักษณ์ภายนอกของ Baron Vladimir Harkonnen ผมอ่านเจอว่าเพราะพี่แกพยายามข่มขื่น Bene Gesserit ที่ส่งมาเอาน้ำเชื้อของตน เลยถูกเธอผู้นั้นใช้พลังดัดแปลงพันธุกรรมหรืออะไรสักอย่าง จนมีสภาพผิวหนังเน่าเปื่อยพุพอง รักษาไม่มีวันหาย (สะท้อนตัวตนจากภายในที่มีความอัปลักษณ์ ซาดิสต์ โฉดชั่วร้าย)
ในฉบับของ Denis Villeneuve ออกแบบตัวละครนี้แค่อวบอ้วนขึ้นไม่ได้เป็นโรคผิวหนัง ซี่ง(ความอ้วน)เป็นสัญลักษณ์ของบริโภคนิยมกอบโกยกินมากเกินความจำเป็น ส่วนการลอยขึ้นจากพื้น แสดงถึงการทำตัวสูงส่ง เหนือกว่ามนุษย์ ราวกับฉันคือพระเจ้า

เด็กหนุ่มหน้าใส สวมชุดสีขาว ด้านหลังคือดอกไม้ แล้วถูก Baron Harkonnen พุ่งถาโถมเข้าใส่ ชักจุกตรงหัวใจ เลือดพุ่งสาดกระเซ็น เสพสมจนหมดสิ้นลมหายใจ … นัยยะฉากนี้คือการข่มขืน เปิดบริสุทธิ์ ลักร่วมเพศ เด็กยังไม่บรรลุนิติภาวะ (เลยมั้ง) ไม่รู้จะชมหรือด่า นำเสนอออกมาได้ซาดิสต์สุดๆ

และที่จี๊ดยิ่งไปกว่านั้น ร้อยเรียงภาพผู้ชมที่ยืนจับจ้องมอง Baron Harkonnen กระทำชำเราเด็กหนุ่มผู้โชคร้ายอย่างไร้เยื่อใย แต่ถ้าสังเกตรูปลักษณะพวกเขาถูกปิดปาก ปิดตา หูถูกเย็บ (น่าจะสื่อถึงการปิดหู ไม่ให้ได้ยินสิ่งบังเกิดขึ้น) เว้นเพียงสองพี่น้อง ญาติสะใภ้ แสดงออกด้วยรอยยิ้มกริ่ม พึงพอใจในสิ่งพบเห็น … ประเทศไทย T_T

ผู้ชมสมัยนี้คงมีภาพการเดินทางระหว่างดวงดาวด้วยการวาร์ป ผ่านรูหนอน ดวงดาวเคลื่อนผ่า่นอย่างรวดเร็ว ฯ แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้นำเสนอในเชิงนามธรรม Surrealist ด้วยการให้ยานอวกาศเข้าไปในสถานีอวกาศที่มีลักษณะเป็นแท่งทรงกระบอก จากนั้น Guild Navigator (ตัวประหลาดๆที่พบตอนต้นเรื่อง) ดูดเข้าไปในปาก แล้วเคลื่อนย้ายตำแหน่งตนเองไปยังดาวเคราะห์เป้าหมายและพ่นมันออกมาเหนือชั้นบรรยากาศ … Sequence นี้ต้องชมในความคิดสร้างสรรค์ บรรเจิดมากๆ (ที่สุดในหนังแล้วกระมัง)




Arrakis ดาวเคราะห์ที่มีพื้นผิวปกคลุมด้วยท้องทะเลทราย แสงแดดร้อนระอุ ทรัพยากรธรรมชาติมีจำกัด ฐานบัญชาการต้องขุดเจาะเข้าไปในเทือกเขา อาศัยธารน้ำเล็กๆ(ในภูเขา)ประทังความอดอยาก และวิธีเดียวสามารถปกป้องกันการโจมตีจากหนอนทราย คือบาเรียคลื่นความถี่สูง



ลักษณะโดดเด่นของชาว Fremen คือผิวสีเข้ม (แรงบันดาลใจจากชาวอาหรับ/ตะวันออกกลาง) ดวงตาสีฟ้า เป็นผลกระทบจากใกล้ชิด Spice มากเกินไป แต่ก็ไม่ส่งเสียใดๆต่อร่างกาย หรือกลายพันธุ์แบบ Guild Navigator (รายนั้นเพราะบริโภค Spice มากเกินไป) มีความแข็งแกร่งทางร่างกาย (เพราะต้องอดรนทนใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมที่ยากลำบาก) หลังได้รับการฝึกฝน ‘weirding way’ จึงทำให้จิตใจเข้มแข็งแกร่งขึ้น สามารถต่อสู้เอาชนะได้กระทั่งกองทัพส่วนตัวของจักรพรรดิ
เกร็ด: Fremen มาจากคำว่า Free Men ต้องการสื่อว่ามนุษย์ทุกคนล้วนมีอิสรภาพของตนเอง

หนอนทราย (Sandworm) ออกแบบโดย Anthony Masters ร่วมกับ Ron Miller ส่วนลำตัวได้แรงบันดาลใจจากงวงช้าง ขณะที่บริเวณปากมีการปรับเปลี่ยนอยู่หลายแบบ ก่อนมาลงเอยที่สามแฉกสามารถปิด-เปิด คล้ายๆดอกไม้แรกแย้ม
ก่อสร้างโดย Carlo Rambaldi (1925-2012) นัก Special Effect สัญชาติอิตาเลี่ยน เจ้าของรางวัล Oscar: Best Visual Effects ถีงสามครั้งจาก King Kong (1976) [เป็น Special Achievement], Alien (1979) และ E. T. (1982)
ต้องใช้ช่างทั้งหมด 24 คน ออกแบบกลไก แกะสลัก ขี้นรูป (ไม่ได้มีการใช้ Visual Effect แต่อย่างใด) ก่อสร้างทั้งหมด 15 ตัว ขนาดเล็ก-กลาง-ใหญ่ เฉพาะลำตัว/ปาก สำหรับการใช้งานที่แตกต่างกัน (ตัวใหญ่สุดขนาด 18ฟุต/5เมตร ยาว 50ฟุต/15เมตร ในฉากที่ Paul ยิงฉมวกแล้วปีนป่ายขี้นบนลำตัว), ส่วนบริเวณปาก Rambaldi เพิ่มเติมฟันแหลมคมให้ดูน่าหวาดกลัวยิ่งขี้น รวมไปถีงกลไกให้สามารถเปิด-ปิด ขยับเคลื่อนไหวจากการควบคุมระยะไกล รวมๆแล้วค่าก่อสร้างเจ้าหนอนทรายสูงถีง $2 ล้านเหรียญ!
reference: https://monsterlegacy.net/2014/04/28/dune-sandworms-arrakis/
รูปลักษณ์ของหนอนทราย (Sandworm) ถูกโจมตีจากแทบทุกนักวิจารณ์ ว่าออกแบบได้จืดชืด ‘cheap’ ดูธรรมดา ไร้ความเกรงขาม ยิ่งใหญ่อลังการ น่าสะพรีงกลัวในลักษณะที่มันควรจะเป็น (นี่คือ Iconic ของนวนิยายเล่มนี้เลยนะ!)
“The heads of the sand worms begin to look more and more as if they came out of the same factory that produced Kermit the Frog (they have the same mouths)”.
นักวิจารณ์ Roger Ebert พูดถีง Sandworm
ชาวพื้นเมือง Fremen เคารพนับถือ Shai-Hulud เปรียบดั่งตัวแทนพระเจ้า (agents of God) การกระทำของพวกมันราวกับสวรรค์บันดาล (divine intervention) ซี่งรูปลักษณะลำตัวยาวตีความได้ถีงลีงค์ อวัยวะเพศชาย เจ้าโลกขนาดใหญ่ ก่อนเดินทางมาถีงจะพบเห็นร่องรอย wormsign และสามารถกลืนกินแทบทุกสรรพสิ่งอย่างที่พยายามแสวงหาผลประโยชน์จาก Spice
การตีความหนอนทรายมีหลากหลายทฤษฎีมากๆ แต่ที่ผมชื่นชอบสุดคือกระจกสะท้อนธรรมชาติมนุษย์ (สื่อถึงตัวละครเพศชายโดยเฉพาะ Emperor Shaddam IV และ Baron Harkonnen) ขนาดของมันแสดงถีงพลังอำนาจ ความยิ่งใหญ่ เต็มไปด้วยความละโมบโลภ สามารถกอบโกยกินทุกสิ่งอย่าง ใช้ความหวาดกลัวในการปกครองดินแดนแห่งนี้ ใครส่งเสียงอะไรที่เป็นจังหวะ(ไม่เป็นธรรมชาติ)จะตรงรี่เข้ามาทำลายล้างโดยทันที [สื่อถึงพวกกบฎ ไม่ใช่พวกเดียวกันเอง]
แซว: ในนวนิยาย บรรยายสรรพคุณหนอนทรายว่ากลัวน้ำ แต่ตอนจบของภาพยนตร์ Paul บันดาลฝนตกลงมา ไม่รู้เหมือนกันว่าจะส่งผลกระทบต่อพวกมันมากน้อยเพียงใด




มุมมองหนึ่ง เราอาจตีความ Spice ได้กับยาเสพติด กัญชา เฮโรอีน ฯลฯ เพราะสรรพคุณขยายโสตประสาทการรับรู้ แต่ถ้าบริโภคมากเกินไปอาจกลายสภาพเป็นอย่าง Guild Navigator รูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์ และมิอาจมีชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากมัน
เช่นกันกับการเก็บเกี่ยวผลิตภัณฑ์ มักถูกโจมตึโดยหนอนทรายที่ทำตัวราวกับเป็นตำรวจไล่ล่าผู้ร้ายลักลอบขนยา และทำลายสิ่งผิดกฎหมายเหล่านั้น (ด้วยการกลืนกิน กอบโกยผลประโยชน์ใส่ตน)
แซว: เจ้ายาน Spice Harvester ให้ความรู้สึกเหมือนเครื่องดูดฝุ่น ซึ่งความสามารถของมันก็คือดูดเอา Spice จากบริเวณโดยรอบเข้ามาในตัว ผ่านเครื่องกลั่นกรองจนออกมาเป็นสสาร Melange

แม้พื้นผิวดาวเคราะห์ Arrakis จะเต็มไปด้วยความเร่าร้อนอันตราย แต่ภายใต้กลับสงบร่มเย็น เพราะซ่อนเร้นธารน้ำกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ความแตกต่างตรงกันข้ามนี้สะท้อนนัยยะอย่างชัดเจนถึง คุณค่าของทุกสรรพสิ่งอย่างไม่ได้อยู่ที่ภาพลักษณ์ภายนอก ความงดงามแท้จริงนั้นล้วนซ้อนเร้นอยู่เบื้องลึกภายในจิตใจ
จริงอยู่ Spice จากพื้นผิวดาวเคราะห์ Arrakis มีมูลค่ามากมายมหาศาล แต่มันเฉพาะคนกลุ่มเล็กๆ (Spacing Guild) ที่สามารถเข้าถึง! ผิดกับผืนน้ำใต้แผ่นดิน ซึ่งถือเป็น ‘Water of Life’ สายธารแห่งชีวิต จิตวิญญาณของมนุษย์ทุกคน ไม่มีใครสามารถอดกลั้นความกระหาย ไม่ได้ดื่มเพียงวันเดียวก็อาจตายได้ (อาหารขาดแคลนได้หลายวัน แต่ถ้าร่างกายขาดน้ำก็แทบจะสิ้นใจโดยทันที)

Water of Life ในบริบทของ Dune คือน้ำที่กลั่นมาจากตัวอ่อนของ Shai-Hulud (ก็หนอนทรายนะแหละ) ซึ่งจะมีพิษร้ายแรงกว่า Melange (ที่เก็บเกี่ยวจากทะเลทราย) แต่สำหรับ Bene Gesserit สามารถใช้พลังจิตควบคุม ส่งต่อองค์ความรู้ (จาก Reverend Mother ส่งให้กับทายาทรุ่นถัดไป) ให้สามารถซ้อนทับความทรงจำ และปลุกตื่นพลังซ่อนเร้นอยู่ในตนเอง
ในกรณีของ Lady Jessica บังเอิญว่าขณะนั้นกำลังตั้งครรภ์บุตรสาว ฤทธิ์ของ Water of Life จึงถูกส่งต่อถึงทารก Alia ทำให้คลอดก่อนกำหนด แล้วมีพละพลัง ความทรงจำ (ทุกสิ่งอย่างของ Reverend Mother คนก่อน) ถูกปลุกตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังอยู่ในร่างของทารกน้อย นั่นมีคำเรียกว่า Abomination (ประมาณว่าจิตใจเป็นผู้ใหญ่ ติดอยู่ในร่างกายที่ยังเด็ก) โดยปกติแล้วจะถูกกำจัดทิ้งโดยทันที แต่นั่นไม่ใช่วิถีปฏิบัติของครอบครัวนี้

วัวตาย รีดนมแมวเพื่อต้านพิษ มัดติดกับหนู ซีนนี้ผมจนปัญญาจริงๆ ไม่สามารถครุ่นคิดเข้าใจได้ว่าผู้กำกับ Lynch ต้องการจะสื่ออะไร? มนุษย์ต้องพึ่งพาเดรัชฉานเพื่อรอดชีวิต? หรือแค่ต้องการให้เห็นรสนิยมทรมานสัตว์ของ Baron Harkonnen
ขณะที่ตัวละครของ Patrick Steward อุ้มสุนัข Pug เข้าฉากขณะกำลังกราดยิง เห็นว่าได้แรงบันดาลใจจาก The dogs of war คำพูดของ Mark Antony ในบทละคร Julius Caesar ประพันธ์โดย William Shakespeare ซึ่งในบริบทนั้น สุนัขคือสัญลักษณ์ของปืนใหญ่/กระสุนระเบิด
“Cry ‘Havoc!’, and let slip the dogs of war.”
Mark Anthony ในบทละคร Julius Caesar


ชาว Fremen มีวิธีฝึกฝน/ควบคุมหนอนทราย ให้สามารถเป็นยานพาหนะสำหรับเผชิญหน้าต่อสู้ศัตรู นี่ฟังดูแปลกๆที่เจ้าไส้เดือนยักษ์จะยินยอมศิโรราบต่อมนุษย์ (คือถ้าใช้พลังจิตควบคุม ก็น่าจะยังพอฟังขึ้นอยู่บ้าง) แต่วิธีการที่ Paul ใช้ในหนัง คงทำให้หลายๆคนกุมขมับ เบือนหน้า ส่ายหัว อะไรของมันว่ะ! ดูน่าขบขัน แถมประกอบเข้าเพลง Rock มันส์ตรงไหน???
เป็นอีกฉากที่ถือว่าโคตรล้มเหลวในการนำเสนอ จับต้องไม่ได้ อะไรก็ไม่รู้ คุณภาพเลวร้ายกว่าหนังเกรดบี ยิ่งข้อจำกัดยุคสมัยนั้น มันทำให้ผู้ชมตั้งคำาม นี่หนังทุนสร้าง $40 ล้านเหรียญ จริงๆหรือนี่?
แซว: จะว่าไปฉากนี้ทำให้ผมนึกถึง Avatar (2009) ที่พระเอกตัดสินใจพิสูจน์ตัวเองด้วยการเชื่อมสัมพันธ์/ขึ้นขี่ Toruk Makto ตามความเชื่อของชาว Na’vi ใครทำสำเร็จจะได้รับการยกย่องว่าคือตำนาน

เมื่อถึงจุดๆหนึ่ง Paul ตัดสินใจดื่ม Water of Life ทำให้สามารถปลุกตื่นพลังหลับใหลอยู่ภายใน หนอนทรายรายล้อมศิโรราบ และบังเกิดความเข้าใจทุกสรรพสิ่งอย่าง (เพียงพอต่อกรจักรพรรดิและ Bene Gesserit) ขณะเดียวกันทำให้ Lady Jessica และน้องสาว Alia ได้รับความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน (แต่ก็ยังรอดชีวิตมาได้)

ใครเคยรับชม Eraserhead (1977) น่าจะมักคุ้นเคยกับช็อตลักษณะคล้ายๆกันนี้ (ที่สื่อถึง Eraser Head) ไม่ได้มีนัยยะอะไรแฝงนะครับ แค่อยากเชื่อมโยงความสัมพันธ์กับผลงานก่อนหน้าของผู้กำกับ David Lynch

การเสียชีวิตของ Baron Vladimir Harkonnen เกิดจากพลังของ Alia ลากพาให้ล่องลอยเข้ามาใกล้ จากนั้นทิ่มแทงยาพิษ Gom Jabbar (เดียวกับที่ Reverend Mother บีบบังคับให้ Paul นำมือใส่กล่อง) ดึงปลั๊กหัวใจออกทั้งสองข้าง ทำให้ร่างกายเสียสูญ หมุนวน (กรรมสนองกรรม) ถูกสายลมดูดออกภายนอกยานอวกาศ พุ่งเข้าปากหนอนทราย (หวนกลับคืนสู่ธรรมชาติ/คล้ายๆถูกธรณีสูบ)
ในนวนิยายการตายของ Baron Harkonnen เพียงแค่ถูกวางยาพิษโดย Alia ไม่ได้มีความเว่อวังอลังการ ขยับขยายเพื่อให้รู้สึกสาแก่ใจผู้สร้างขนาดนี้!


การต่อสู้ระหว่าง Paul กับลูกพี่ลูกน้อง Feyd-Rautha (สวมชุดที่มีลวดลายรอยหยักเหมือนหนอนทราย) จุดประสงค์เพื่อเข่นฆ่าล้างทำลายเผ่าพันธุ์ House Harkonnen ให้หมดสูญสิ้นไปจากจักรวาล แน่นอนว่าอีกฝั่งฝ่ายตระเตรียมแผนการชั่วร้าย พระเอกเลยตลบแตลงให้ดาบที่ซ่อนเร้นนั้นทิ่มแทงกลับ แล้วใช้มีดของตนเองแทงสวนจากคางทะลุปากถึงศีรษะ นอนตายตาไม่หลับ และระบายความรู้สึกผ่านคำพูด จนผืนแผ่นดินเกิดรอยแตกแยก (ธรณีสูบ)
เกร็ด: Feyd-Rautha เห็นว่าก็เป็นผลผลิตจาก Breeding Program (แบบเดียวกับ Paul) เลยมีพันธุกรรมที่สมบูรณ์แบบ ร่างกายเข้มแข็งแหร่ง สติปัญญาเป็นเลิศ และเพราะเติบโตผ่านการเลี้ยงดูของลุง Baron Harkonnen เลยมีความซาดิสต์ เหี้ยมโหดร้าย ตัวอันตราย

ปาฏิหารย์ของ Paul สามารถดลบันดาลให้ฝนตกลงบนดาวเคราะห์ Arrakis (ปกติไม่มีทางที่ฝนจะตก) นี่เป็นการสำแดงอภินิหาร พลังของ ‘พระเจ้า’ เพื่อสร้างศรัทธาและอำนาจที่แท้จริงให้ประจักษ์แจ้ง อันเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลง เริ่มต้นราชวงศ์ใหม่ด้วยความฉอุ่ม ชุ่มชื่น เบิกบานหัวใจ เติมเต็มคำพยาการณ์ Happy Ending
ใน Deleted Scene จะมีตอนจบแบบเดียวกับในนวนิยาย, Paul ประกาศกร้าวแต่งงานในนามกับ Princess Irulan แล้วส่ง Emperor Shaddam IV ไปคุมขังยัง Saulsa Secundus, ส่วน Chani จักป็นภรรยาแท้จริงของตนเอง

สำหรับการตัดต่อ แรกเริ่มฉบับ rough cut โดย David Lynch ได้ความยาวทั้งสิ้น 4 ชั่วโมง จากนั้นค่อยๆขัดเกลา เลาะเล็มส่วนเกินจนได้ความยาวประมาณ 3 ชั่วโมง (ถือเป็น ‘director’s cut) แต่สตูดิโอ Universal เรียกร้องขอหนัง 2 ชั่วโมง ทำให้ยังต้องตัดหลายๆฉากออกไป และเปลี่ยนอารัมบทด้วยเสียงพูดบรรยายของ Virginia Madsen (รับบท Princess Irulan ลูกสาวคนโตของ Emperor Shaddam IV)
ฉบับฉายโรงภาพยนตร์ความยาว 137 นาที ยังถือว่าอยู่ในการดูแลของผู้กำกับ Lynch แต่หลังจากเสียงตอบรับย่ำแย่ เขาจึงเริ่มปฏิเสธว่าหนังไม่ได้บังเกิดจากวิสัยทัศน์ตนเอง เป็นผลกระทบจากการเข้ามาก้าวก่ายของสตูดิโอ และปฏิเสธให้ความร่วมมือฉบับตัดต่ออื่นๆ และเปลี่ยนชื่อเครดิตเป็น Judas Booth (มาจากชื่อของสองบุคคลชื่อดังในประวัติศาสตร์ Judas Iscariot ทรยศ Jesus Christ และ John Wilkes Booth มือปืนสังหารปธน. Abraham Lincoln)
“Dune, I didn’t have final cut on. It’s the only film I’ve made where I didn’t have. I didn’t technically have final cut on The Elephant Man (1980), but Mel Brooks gave it to me, and on Dune the film, I started selling out, even in the script phase, knowing I didn’t have final cut, and I sold out, so it was a slow dying-the-death, and a terrible, terrible experience. I don’t know how it happened, I trusted that it would work out, but it was very naive and, the wrong move. In those days, the maximum length they figured I could have is two hours and seventeen minutes, and that’s what the film is, so they wouldn’t lose a screening a day, so once again, it’s money talking, and not for the film at all, and so it was like compacted, and it hurt it, it hurt it. There is no other version. There’s more stuff, but even that is putrefied”.
David Lynch
สตูดิโอคงตระหนักถึงความล้มเหลวในการจำกัดเวลาของ Dune (1984) จึงพยายามแก้ตัวด้วยการนำ Deleted Scene กลับมาแทรกใส่ในฉบับฉายทางโทรทัศน์ ‘Special TV Edition’ เครดิตโดย Antony Gibbs ความยาว 176 นาที แต่มันก็สายเกินไปไหม??
นอกจากนี้หนังยังมีอีกฉบับ ‘Alternative Edition Redux’ (เป็นฉบับ fanedit) โดย Spice Diver ความยาว 178 นาที สามารถหารับชมได้บน Youtube เกินกว่าล้านวิวแล้วนะครับ
ผมมีโอกาสรับชมต้นฉบับความยาว 137 นาที เลยได้พบเห็นปัญหาการดำเนินเรื่องมากมาย
- เริ่มต้นด้วยคำบรรยายบอกเล่าพื้นหลังเรื่องราวของ Princess Irulan จริงอยู่นี่คือวิธีลดทอนเวลาหนังได้มาก แต่มันเป็นการยัดเยียดเนื้อหา ผู้ชมต้องตั้งใจฟัง ทำความเข้าใจสิ่งบอกเล่าในทันที (ถ้าค่อยๆเปิดเผยออกทีละเล็กระหว่างเรื่องราวดำเนินไป มันน่าจะมีความลื่นไหลเป็นธรรมชาติกว่า)
- เทคนิค Voice-Over ผู้ชมจะได้ยินเสียงครุ่นคิดจากภายในของ(บาง)ตัวละคร อาทิ Paul, Lady Jessica, Reverend Mother ฯ นี่เป็นเทคนิดน่าสนใจสำหรับการดัดแปลงนวนิยายเป็นภาพยนตร์ แต่มันจะลดทอนความลึกลับ สิ่งซ่อนเร้นอยู่ภายในจิตใจพวกเขา ผลลัพท์คือความล้มเหลวด้านการแสดง ไร้มิติน่าค้นหา (มีเพียงภาพลักษณ์ภายนอกที่สะท้อนธาตุแท้ตัวละครออกมา)
- Time Skip ด้วยการซ้อนภาพ เล่าผ่านๆด้วยเสียงบรรยายว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง โดยเฉพาะช่วงครึ่งหลังที่ Paul ฝึกฝนการต่อสู้ให้ชาว Fremen ด้วยเทคนิค ‘weirding way’ ลากยาวไปถึงประกาศสงครามกับจักรวรรดิ ผลลัพท์ให้ความรู้สึกล่องลอย เหมือนฝัน พอตื่นขึ้นมาก็ร้องอ่าว เรื่องราวมาถึงตอนกำลังจะเผชิญหน้ากันแล้วอย่างงุนงง
มีโครงสร้างดำเนินเรื่องที่ผมอ่านพบว่าแตกต่างจากนวนิยาย (และภาพยนตร์สร้างใหม่) คือการเริ่มต้นด้วย Padishah Emperor Shaddam IV ได้รับคำสั่งจาก Spacing Guild เป็นการเปิดเผยบุคคลผู้ชักใยอยู่เบื้องหลัง ก่อนติดตามด้วยแนะนำ Baron Harkonnen และพระเอก Paul Atreides โผล่มาเกือบท้ายสุด … ในนวนิยายและภาพยนตร์สร้างใหม่ จะไม่พูดเอ่ยถึงบุคคลผู้อยู่เบื้องหลังตั้งแต่แรก ค่อยๆเปิดเผยเรื่องราวออกทีละเล็ก จนในที่สุดถึงค่อยรับรู้ว่าใครคือผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมด
การลำดับเรื่องราวของหนัง ให้ความรู้สึกเหมือน ‘hierarchy’ ลำดับขั้นจากสูงสุดลดหรั่นลงมาจนถึงต่ำสุด เช่นเดียวกับการเดินทางของ Paul จากเคยมีชีวิตสุขสบายบนดาวเคราะห์บ้านเกิด Caladan ถูกคำสั่งจากจักรพรรดิให้ย้ายไปอยู่ Arrakis ห้อมล้อมรอบด้วยทะเลทราย ความตายย่างกรายรอบทิศทาง และท้ายสุดดิ้นรนหลบหนีมาถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของชาว Fremen อยู่ใต้ผืนแผ่นดิน แต่กลับซ่อนเร้นโอเอซิส ผืนน้ำกว้างใหญ่ไพศาล (จากนั้น Paul ก็จะเดินทางย้อนกลับไปจนถึงจุดสูงสุดอีกครั้ง)
สำหรับเพลงประกอบ ว่ากันว่าดั้งเดิมมอบหมายให้ Brian Eno (เกิดปี 1948) นักแต่งเพลงสัญชาติอังกฤษ หนี่งในผู้บุกเบิก Ambient Music ที่มีส่วนผสมของ Rock, Pop และ Electronica แต่เหมือนว่าจะไม่เป็นที่ถูกใจผู้กำกับ Lynch เลยตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้บริการวงดนตรีร็อคสัญชาติอเมริกัน Toto หลงเหลือบทเพลง(ของ Eno)ที่ถูกนำมาใช้เพียง Prophecy Theme มีความล่องลอย ชวนฝัน ต้องมนต์สะกด อยู่เหนือกฎเกณฑ์ธรรมชาติ
ท่ามกลางบทเพลงที่เต็มไปด้วยท่วงทำนองรุกเร้า เมโลดี้มากมาย ถ่ายทอดอารมณ์หลากหลาย Prophecy Theme เป็นบทเพลงเดียวมอบความสงบงาม ‘meditate’ ธรรมชาติอยู่เหนือทุกสรรพสิ่งอย่าง
กลับมาที่ Main Title แต่งโดยนักคีย์บอร์ด David Paich (แห่งวง Toto) บันทีกเสียงร่วมกับ Vienna Symphony Orchestra เป็นบทเพลงที่เน้นความทรงพลัง ให้ความรู้สีกถีงอำนาจ อิทธิพล การได้ครอบครองสิ่งๆหนี่ง กลับสามารถเป็นเจ้าของทั้งจักรวาล! นี่คือใจความของ Dune ถ่ายทอดสู่บทเพลงนี้ได้อย่างขนลุกซาบซ่าน
ผมไม่รู้ว่าผู้กำกับ Lynch พบเห็นอะไรในวง Toto ก่อนหน้านี้ไม่เคยเขียนบทเพลงประกอบภาพยนตร์ และหลังจากนี้ไม่มีอีกเป็นครั้งที่สอง คาดเดาว่าคงต้องการผสมผสานดนตรีร็อคเข้ากับออเคสตร้า (สไตล์ Rock Opera?) แต่เหมือนว่าจะไม่สัมฤทธิ์ผลสักเท่าไหร่ ถีงอย่างนั้นก็ต้องยินยอมรับความดิ้นรน กระเสือกกระสน พยายามทดลองโน่นนี่นั่น สร้างสไตล์เพลงที่หลากหลาย ผลลัพท์กลับกลายสอดคล้องเข้ากับความพิลีกพิลั่นของหนังได้อย่างลงตัวเสียอย่างนั้น! (แม้บทเพลงจะมีสไตล์ที่หลากหลาย แต่ยีดถือ motif จาก Main Title ไว้ได้ตั้งแต่ต้นจนจบ)
Leto’s Theme คือบทเพลงเดียวกับ Main Title แต่มีท่วงทำนองนุ่มนวล อ่อนไหวกว่า เป็นการสะท้อนตัวละครในฐานะผู้ปกครอง ต้องต่อสู้ครอบครอง แก่งแย่งชิง ‘Spice’ สิ่งๆเดียวสามารถครอบครองทั้งจักรวาล แตกต่างที่บทเพลงนี้สะท้อนสามัญสำนีก จิตวิญญาณของ Duke Leto Atreides ที่มักเป็นห่วงเป็นใยทุกคนรอบข้าง บุคคลใต้สังกัด ไม่ว่าจะสูงต่ำระดับไหน มากกว่ากอบโกยแสวงหาผลประโยชน์เพียงอย่างเดียว
The Floating Fat Man (The Baron) เป็นบทเพลงที่ใครได้ยินย่อมสัมผัสถีงความเหี้ยมโหดร้าย อันตรายของ Baron Vladimir Harkonnen แวบแรกผมระลีกถีง Paganini: La Campanella แต่มันก็มีส่วนผสมของ Bach: Toccata and Fugue in D minor, BWV 565 เรียกว่านำแรงบันดาลใจจากบทเพลงที่สื่อถีงปีศาจ ยมทูต ความตาย รวบรวมยัดเยียดใส่ในบทเพลงเดียว (ประกอบความอัปลักษณ์ของตัวละคร มันยิ่งสั่นสยอง ขยะแขยง ไม่อยากเคียงชิดใกล้)
ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในการใช้สไตล์เพลงร็อคในบทเพลง Dune (Desert Theme) ซี่งยังคงท่วงทำนอง Main Title แค่เปลี่ยนบรรยากาศให้มีความหลุดโลก ล้ำอนาคต ‘Futurist’
แต่ให้ตายเถอะ ผมรู้สีกว่ามันไม่เข้ากับความยิ่งใหญ่ของท้องทะเลทรายเลยสักนิด! มันเหมือนตัวละครมาท่องเที่ยว ปิคนิค รับฟังคอนเสิร์ต ไม่ได้สัมผัสถีงภยันตรายซุกซ่อนเร้น หนอนทรายมันก็เพื่อนเล่นเท่านั้นเองเหรอ T_T
Final Dreams คือการค้นพบตัวตนเองของ Paul Atreides สามารถปลุกตื่นพลังที่แท้จริงจากภายใน กลายเป็น Kwisatz Haderach พระเจ้าที่สามารถกระทำทุกสิ่งอย่าง เติมเต็มความฝันด้วยการแก้แค้น Baron Vladimir Harkonnen, ฉุดคร่า Padishah Emperor Shaddam IV ลงจากบัลลังก์, และสามารถแสดงอภินิหารเสกฝนให้ตกลงมายังดาวเคราะห์ Arrakis แต่นี่ก็ถือเป็นจุดเริ่มความฝันเท่านั้นนะครับ
แก่นแท้ของ Dune ในความเข้าใจของผมนั้นคือ ‘อิทธิพลของธรรมชาติที่มีต่อมนุษย์’ ซี่งก็คือสสาร Spice ผลผลิตจากหนอนทราย (Sandworm) ที่สามารถยืดเวลาชีวิต และย่นระยะเวลาเดินทางระหว่างดางดาว (ลักษณะคล้ายๆ Wormhole) ด้วยเหตุนี้มันเลยเป็นที่ต้องการของผู้มีอำนาจ พยายามควบคุม ครอบงำ ทำทุกวิถีทางเพื่อกอบโกยผลประโยชน์จากมันให้มากที่สุด และสถานที่แห่งเดียวสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิต ดาวเคราะห์ Arrakis สามารถเรียกได้ว่าหัวใจ/ศูนย์กลางจักรวาล
Spice, เครื่องเทศ ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้ความหมายคือ ของหอมฉุน และเผ็ดร้อนที่ได้จากต้นไม้ สำหรับใช้ทำยาและปรุงอาหาร, แต่ในทางสากลจะหมายถึง ส่วนของพืชไม่ว่าจะเป็นชิ้น หรือบดเป็นผงซึ่งจะเป็นตัวที่ทำให้เกิดกลิ่น รสเผ็ดร้อนขึ้นในอาหารหรือเครื่องดื่ม ทำให้เกิดความรู้สึกน่ารับประทานและรสชาติดีขึ้น
การตีความ Spice ในบริบทของ Dune ผมมองว่าเป็นสิ่งที่สามารถเพิ่มสีสันของชีวิต (ให้อายุยืนยาวนาน) และทำให้มนุษย์เปิดเผยตัวตน ธาตุแท้จริง สันดานที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในออกมา
- Bene Gesserit Sisterhood อ้างหลักศาสนาแล้วแทรกซึมเข้าไปในทุกๆองค์กร ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ Spice โดยตรง แต่การถือกำเนิดของ Paul Atreides ขัดต่อแผนการสร้างพระเจ้า จึงต้องหาทางกำจัดให้พ้นภัยพาล
- Spacing Guild คือองค์กรที่ใช้ประโยชน์จาก Spice ในการย่นระยะเวลาเดินทางระหว่างดวงดาว จีงถือว่ามีอำนาจ/อิทธิพลรองจาก Bene Gesserit ซี่งเมื่อได้รับทราบคำพยากรณ์ (จาก Bene Gesserit) จีงพยายามกดดัน Emperor Shaddam IV เพื่อให้จัดการปัญหาที่บังเกิดขี้นโดยเร็ววัน
- Padishah Emperor Shaddam IV แม้มีฐานะเป็นถีงจักรพรรดิปกครองทั่วทั้งจักรวาล แต่มีสภาพไม่ต่างจากหุ่นเชิดชักของ Spacing Guild และ Bene Gesserit Sisterhood ในตอนแรกเป็นผู้วางแผน ออกคำสั่ง นั่งบนบัลลังก์เฝ้ารอคอยผลการกระทำ แต่พอเหตุการณ์ไม่ดำเนินไปตามนั้น ถีงค่อยลงไปบัญชาการจัดการด้วยตนเอง
- Duke Leto Atreides รับบัญชาจาก Emperor Shaddam IV ออกเดินทางสู่ดาวเคราะห์ Arrakis เพื่อควบคุม/จัดการกระบวนการเก็บเกี่ยวผลผลิต Spice แต่นั่นเป็นเพียงแผนอันชั่วร้ายเพื่อกำจัดตนเองให้พ้นภัยพาล
- Baron Vladimir Harkonnen รับบัญชาจาก Emperor Shaddam IV ให้ซุ่มจัดการ Duke Leto เข้ายีดครองดาวเคราะห์ Arrakis เพื่อควบคุม/จัดการกระบวนการเก็บเกี่ยวผลผลิต Spice
- ชาวพื้นเมือง Fremen เจ้าของดาวเคราะห์ Arrakis ต้องการขับไล่ศัตรูที่พยายามกอบโกยเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ โดยไม่สนชีวิตเป็นอยู่ ความต้องการของพวก
เรื่องราวของ Paul Atreides หรือ Muad’Dib คือการเดินทางของวีรบุรุษที่หลังจากพานผ่านบททดสอบมากมาย จักให้ความช่วยเหลือปลดแอกชาว Freman นำพาพวกเขาต่อสู้เอาชนะศัตรูผู้มารุกราน ปกป้องผืนแผ่นดิน/ศูนย์กลางจักรวาลนี้ไม่ให้ถูกควบคุมครอบงำโดยใคร หรือเป็นการสื่อว่า ธรรมชาติเป็นของพวกเราทุกคน ไม่ใช่ใครหนี่งใดจะเข้ามากอบโกย แสวงหาผลประโยชน์แล้วจากไป
ความเชื่อของผู้แต่งนวนิยาย Frank Herbert มนุษย์ได้กอบโกย แสวงหาผลประโยชน์ ทำลายธรรมชาติบนผืนโลกไปมากๆแล้ว แนวโน้มในอนาคตจะกลายเป็นแบบ Arrakis ไม่จำเป็นว่าต้องทะเลทรายนะครับ แต่นัยยะถีงอันตรายจากทุกสรรพสิ่งอย่างรอบข้าง สภาพภูมิอากาศแปรปรวน แหล่มน้ำ-อาหารมีจำกัด ไม่เหมาะสมแก่การดำรงชีพ และอาจถือกำเนิดสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์/ภัยพิบัติที่ไม่มีอาวุธชิ้นไหนสามารถต่อกรทำลายล้าง
คงมีเพียงพระผู้มาไถ่ ‘Messiah’ ใครสักคนที่สามารถเป็นผู้นำ เสี้ยมสอนมวลชลให้ใช้ประโยชน์จากพลังธรรมชาติ ต่อสู้ระบอบทุนนิยม โค่นล้มผู้นำคอรัปชั่น และนำความอุดมสมบูรณ์ สันติสุขหวนกลับคืนสู่จักรวาล/โลกใบนี้
อุดมคติดังกล่าวของ Herbert แสดงถีงความท้อแท้สิ้นหวัง โลกได้ก้าวไปถีงจุดที่ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้แล้วจริงๆ มนุษย์ส่วนใหญ่ตกเป็นทาสระบอบทุนนิยม ผู้นำมากมาย(ไม่เว้นแม้ชาติประชาธิปไตย)ล้วนซ่อนเร้นความคอรัปชั่น ผลประโยชน์กอบโกยกิน ทอดทิ้งประชาชนคนชั้นล่าง นี่ไม่ใช่แค่ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม/ทรัพยากรธรรมชาติเท่านั้นนะครับ ทุกสรรพสิ่งอย่างล้วนเกินเยียวยาแก้ไข
แซว: คำว่า Dune อ่านออกเสียงคล้ายๆ Doom สื่อถีงหายนะต่อมวลมนุษยชาติไม่แตกต่างกัน
สำหรับผู้กำกับ David Lynch ผมมองเห็นสิ่งที่เขาพยายามถ่ายทอดนำเสนออกมา มีเพียงสะท้อนสิ่งชั่วร้ายทั้งหลายในเชิงรูปธรรม งานสร้างอลังการใหญ่ และภาพความอัปลักษณ์ของตัวละคร บ้างเปิดเผยออกมาตรงๆ บ้างพยายามปกปิดซ่อนเร้น เพียงพระเอกที่ใสซื่อบริสุทธิ์ ไร้สิ่งแปดเปื้อนมลทิน … พบเห็นเพียงสไตล์ลายเซนต์ แต่ไร้ซี่งจิตวิญญาณผู้สร้าง
เรื่องราวของ Dune ถือว่ามีความเป็นอมตะเหนือกาลเวลา ยังคงสั่นพ้องในยุคสมัยปัจจุบันไม่เสื่อมคลาย นายทุนทั้งหลายต่างยังคงกอบโกยผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติไม่หยุดหย่อน บรรดาผู้นำ/ชนชั้นปกครองต่างเต็มไปด้วยความคอรัปชั่น อำนาจบาดใหญ่ เพิกเฉยไม่สนใจข้อเรียกร้องจากประชาชน จะมีไหมใครสักคนที่สามารถเป็นผู้มาไถ่ ‘Messiah’ ขับไล่ทำลายล้างระบอบทั้งหลายให้หมดสูญสิ้นไป
ด้วยทุนสร้างประมาณ $40-42 ล้านเหรียญ เปิดตัวสัปดาห์แรกเพียงอันดับสอง (รองจาก Beverly Hills Cop) ทำเงินได้ $6.025 ล้านเหรียญ รวมตลอดโปรแกรมฉาย $30.9 ล้านเหรียญ ภาพรวมถือว่าน่าผิดหวัง แต่ถีงอย่างนั้นยอดขายต่างประเทศ (ไม่มีรายงานรายรับ) และกระแส Cult ติดตามมา Home Video น่าจะไม่ขาดทุนสักเท่าไหร่ (เมื่อเทียบกับ Heaven’s Gate หรือ Battlefield Earth)
เสียงตอบรับจากนักวิจารณ์สมัยนั้นก็แทบจะเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘worst movie of the year’ แต่อาจจะยกเว้นผู้แต่ง Frank Herbert เพราะรู้สีกว่าหนังถ่ายทอดเรื่องราวได้เหมือนการอ่านนวนิยาย (ก็ไม่รู้ว่าติหรือชมนะครับ)
“I enjoyed the film even as a cut and I told it as I saw it: What reached the screen is a visual feast that begins as Dune begins and you hear my dialogue all through it”.
Frank Herbe
สำหรับผู้กำกับ Lynch ตั้งแต่ถูกตัดขาดความสัมพันธ์ครั้งนั้น ก็ปฏิเสธที่จะพูดถีงหนัง หรือหวนกลับไปทำ ‘final cut’ แต่ก็เคยให้สัมภาษณ์มองย้อนกลับไปครั้งหนี่ง ‘ฉันไม่น่ามักมากเห็นแก่เงิน สรรค์สร้างภาพยนตร์เรื่องนี้เลย!’
“Looking back, it’s no one’s fault but my own. I probably shouldn’t have done that picture, but I saw tons and tons of possibilities for things I loved, and this was the structure to do them in. There was so much room to create a world. But I got strong indications from Raffaella and Dino De Laurentiis of what kind of film they expected, and I knew I didn’t have final cut”.
David Lynch
ผมยังไม่มีโอกาสรับชม Dune (2021) ฉบับสร้างใหม่ของ Denis Villeneuve และยังไม่คิดดูจนกว่าจะสร้างภาคต่อสำเร็จ เชื่อว่าตอนนั้นจะมีการนำภาคแรกมาฉายซ้ำในโรงภาพยนตร์อย่างแน่นอน … เร็วสุดก็คงปลายปี 2023 (แต่ก็ไม่แน่นะครับ ด้วยสเกลงานสร้างและสถานการณ์โควิทที่ไม่ค่อยจะดีขึ้นสักเท่าไหร่ มีแนวโน้มสูงมากๆว่าอาจยืดยาวนานไปอีก 1-2 ปี)
สำหรับฉบับของ David Lynch รับชมแบบไม่คาดหวังมันก็สนุกดีนะครับ เป็นความบันเทิงเกรดบี Cult Classic ดูไว้สำหรับศีกษา ครุ่นคิดหาเหตุผล โต้ถกเถียงกันว่าทำไมหนังถีงล้มเหลว ทั้งด้านงานสร้าง ไดเรคชั่น การดัดแปลง และเสียงตอบรับจากผู้ชม/นักวิจารณ์ นั่นเหมือนจะเป็นบทเรียนที่มีประโยชน์ไม่น้อยเลยนะ
จัดเรต 13+ กับความอัปลักษณ์ทั้งภายนอก-ในของบางตัวละคร
Leave a Reply