Good Will Hunting (1997) : Gus Van Sant ♥♥♥♡
Will Hunting คือเด็กหนุ่มอัจฉริยะที่ทำตัวเกรียนไปวันๆ แต่จะมีใครสามารถทำความเข้าใจสาเหตุผล เพราะอะไร? ทำไม? ที่มาที่ไป เบื้องหลังความเป็นมา ไม่มีทางที่จู่ๆมนุษย์คนหนึ่งจะแสดงนิสัยเห็นแก่ตัว เอาแต่ใจ ต่อต้านสังคมระดับนี้หรอกนะ, “ต้องดูให้ได้ก่อนตาย”
เมื่อตอนสมัยผมเรียนมัธยมปลาย ม.6 ช่วงใกล้ๆวันเรียนจบ ครูแนะแนวเปิดห้องโสตฯฉายภาพยนตร์ Good Will Hunting (1997) เพื่อหวังว่าเด็กๆนักเรียนจะได้ข้อคิดบางอย่าง … ตอนรับชมครานั้นผมแค่รับรู้สีกว่าหนังค่อนข้างดีมีสาระ สอนให้รู้จักการเผชิญหน้าตนเอง ก้าวข้ามผ่านอดีตผิดพลาด เพื่อสามารถเป็นคนดีมีอนาคตสดใส
หวนกลับมารับชมครานี้ทำให้ผมรับรู้สึกว่า นี่ไม่ใช่ภาพยนตร์ที่ครูควรเปิดให้เด็กดูเท่านั้น ในมุมกลับตารปัตรนักเรียนย่อมสามารถนำมาเปิดให้ครูรับชมด้วยเช่นกัน! เพื่อบอกว่าอย่ามองพวกเขาแค่เพียงเปลือกนอกการกระทำ เคยบ้างไหมที่ครูฝ่ายปกครองจะทำความเข้าใจกลุ่มเด็กมีปัญหา ให้ความสนใจเบื้องหลังสาเหตุผลแท้จริงของการแสดงออกมา
Good Will Hunting เป็นภาพยนตร์ที่นำเสนอเกี่ยวกับ ‘มุมมอง’ แนะนำให้ลองทำความเข้าใจผู้อื่น เอาใจเขามาใส่ใจเรา เพราะผู้คนยุคสมัยนี้ล้วนสวม ‘หน้ากาก’ เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว เอาแต่ใจ ตัดสินคนที่เปลือกนอกการกระทำ หาได้ใคร่สนใจเบื้องหลัง สาเหตุผล ที่มาที่ไป ปฏิเสธเปิดเผยตัวตนธาตุแท้จริงออกมา
Matthew Paige Damon (เกิดปี 1970) นักแสดงสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Cambridge, Massachusetts ครอบครัวหย่าร้างเมื่อเขาอายุ 2 ขวบ อาศัยอยู่กับมารดา(และพี่ชาย)ในบ้านเช่าที่มีอีก 6 ครอบครัวอาศัยอยู่ร่วมกัน, วัยเด็กไม่ค่อยคบหาเพื่อน จมอยู่ในกองหนังสือกระทั่งเข้าเรียน Cambridge Rindge and Latin School กลายเป็นเพื่อนสนิทของ Ben Affleck ทำให้สนใจด้านการแสดง สอบเข้า Havard University และพัฒนาบทหนัง Good Will Hunting จำนวน 40 หน้า ส่งเป็นโปรเจคจบของตนเอง
เกร็ด: Matt Damon ให้สัมภาษณ์บอกว่า บทหนังที่ส่งโปรเจคเรียนจบหลงเหลือกลายมาเป็นภาพยนตร์เพียงฉากเดียวเท่านั้น คือขณะ Will Hunting แรกพบเจอจิตแพทย์ Dr. Maguire
Damon นำบทหนังมาพัฒนาต่อร่วมกับเพื่อนสนิท Ben Affleck ตั้งใจให้เป็นแนว Thriller เรื่องราวเกี่ยวกับเด็กหนุ่มอัจฉริยะ กำลังถูกไล่ล่าตกเป็นเป้าหมายหน่วยงานลับของรัฐ ที่ต้องการให้เขากลายมาเป็นสมาชิกเพื่อไขปริศนาบางอย่าง
Castle Rock Entertainment ซื้อลิขสิทธิ์บทหนังราคา $675,000 เหรียญ ได้รับคำแนะนำจากเจ้าของสตูดิโอ Rob Reiner ให้ตัดเนื้อหาส่วน Thriller ทิ้งไป แล้วไปมุ่งเน้นพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่าง Will Hunting กับจิตแพทย์ Dr. Maguire ที่มีความน่าสนใจยิ่งกว่า
ระหว่างนั้นเอง Damon และ Affleck มีโอกาสรับประทานอาหารเย็นกับ Terrence Malick ให้คำแนะนำตอนจบถึงการตัดสินใจของ Will Hunter ควรเริ่มต้นออกเดินทางติดตามแฟนสาว (ไม่ใช่ทั้งสองออกเดินทางไปด้วยกัน)
นอกจากนี้ Reiner ยังติดต่อนักเขียน William Goldman (Butch Cassidy and the Sundance Kid, All the President’s Men, The Princess Bride) มาเป็น Script Doctor ให้คำแนะนำขัดเกลาบทหนังเพิ่มเติม
เมื่อได้บทหนังที่น่าพึงพอใจ ทั้ง Damon และ Affleck ต่างเสนอตัวเพื่อรับบทแสดงนำ แต่กลับถูกปฏิเสธเพราะ Castle Rock Entertainment อยากได้ Brad Pitt ประกบ Leonardo DiCaprio นั่นทำให้สองหนุ่มตัดสินใจมองหาสตูดิโอใหม่ ติดต่อไปหลายแห่งล้วนบอกปัด (เพราะไม่เชื่อในพลังการแสดงของทั้งคู่) ก่อนมาลงเอยยัง Miramax ของ Harvey Weinstein อ่านบทมีความประทับใจอย่างมาก และยินยอมพร้อมให้พวกเขารับบทแสดงนำอีกต่างหาก!
(Harvey Weinstein แม้ได้รับการจดจำในฐานะโปรดิวเซอร์ผู้โฉดชั่วร้าย แต่ก็มีหลายๆผลงาน(อย่างเรื่องนี้)ที่ถือว่าทรงคุณค่ามากๆ ถ้าคุณเกิดอคติต่อหนังเพราะตัวผู้สร้าง แสดงว่าคุณยังมองโลกด้านเดียว เพียงเปลือกนอกการแสดงออก ไม่ต่างจากสิ่งเกิดขี้นในภาพยนตร์เรื่องนี้สักเท่าไหร่)
นอกจากนี้ Weinstein ยังให้โอกาสสองหนุ่มคัดเลือกผู้กำกับที่พวกเขาสนใจ แรกเริ่มคือ Kevin Smith ที่เคยกำกับทั้ง Affleck และ Damon เรื่อง Chasing Amy (1997) แต่เจ้าตัวบอกปัดปฏิเสธเพราะรับรู้ว่าตนเองไม่ใช่ผู้กำกับที่ดี เรื่องราวดังกล่าวสมควรได้รับโอกาสจากยอดฝีมือด้านนี้จริงๆ … Smith ได้รับเครดิต Excusive Producer คอยให้ความช่วยอยู่ห่างๆ
ตัวเลือกอื่นๆ อาทิ Mel Gibson, Michael Mann, Steven Soderbergh ก่อนมาลงเอย Gus Van Sant จากความประทับใจภาพยนตร์เรื่อง Drugstore Cowboy (1989)
Gus Green Van Sant Jr. (เกิดปี 1952) ผู้กำกับ/นักเขียน/ศิลปิน หนึ่งในผู้บุกเบิก New Queer Cinema สัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Louisville, Kentucky ในครอบครัวชนชั้นกลาง ต้นตระกูลเชื้อสาย Dutch ตั้งแต่เด็กมีความสนใจใน Visual Art ทั้งวาดภาพ ถ่ายหนัง เริ่มทำงานโฆษณา ผู้ช่วยผู้กำกับ Ken Shapiro เก็บหอมรอมริดสร้งภาพยนตร์เรื่องแรก Mala Noche (1986) ได้รับคำชื่นชมล้นหลาม สตูดิโอ Universal เคยให้ความสนใจแต่ก็แค่น้ำลาย, ผลงานถัดมา Drugstore Cowboy (1989), My Own Private Idaho (1991), Elephant (2003) ** คว้ารางวัล Palme d’Or, Milk (2008) ฯ
เรื่องราวของ Will Hunting (รับบทโดย Matt Damon) เด็กหนุ่มอัจฉริยะทำงานเป็นภารโรงยัง Massachusetts Institute of Technology (MIT) แอบแก้ปัญหาโจทย์คณิตศาสตร์ของ Professor Gerald Lambeau (รับบทโดย Stellan Skarsgård) ถูกต้องอย่างน่าตกตะลึง! แต่ตัวเขากลับมีทัศนคติชื่นชอบใช้ความรุนแรง ต่อต้านสังคม แม้สามารถเกี้ยวพาราสีหญิงสาว Skylar (รับบทโดย Minnie Driver) นักเรียนแพทย์จาก Harvard College แต่ปฏิเสธจะก้าวออกจาก Safe Zone ตอบตกลงเป็นคนรักของเธอ
Prof. Gerald พยายามติดตามจนพบเจอ ยื่นข้อเสนอให้ความช่วยเหลือ พร้อมส่งเสริมให้ Will ได้มีโอกาสทำงานเหมาะสมอัจฉริยภาพ ขณะเดียวกันต้องการจิตแพทย์เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้สามารถเข้าสังคมได้ ล้มเหลวหลายคราจนกระทั่งมาพบเจอ Dr. Sean Maguire (รับบทโดย Robin Williams) เพื่อนเก่าร่วมชั้นเรียนที่มักมีมุมมองทัศนคติตรงกันข้ามตนเอง แต่กลับสามารถเข้าถึงเปิดใจเด็กหนุ่ม ให้คำปรีกษา แก้ปัญหาชีวิต สอนให้รู้จักเผชิญหน้าตนเอง และก้าวข้ามผ่านสู่อนาคตอันสดใส
Will Hunting อายุ 20 ปี มาจาก South Boston เป็นเด็กกำพร้า เคยถูกบิดาบุญธรรมใช้กำลังทุบตีเลยโต้ตอบกลับด้วยความรุนแรงจนกลายเป็นปมฝังใจ แสดงออกด้วยการต่อต้านสังคม ปิดกั้นตนเอง แต่ลึกๆยังคงโหยหาใครสักคนที่สามารถเข้าใจ
อัจฉริยภาพของ Will เกิดจากการอ่านหนังสือ เรียนรู้ด้วยตนเอง ไม่มีครูสอน แต่เขากลับปฏิเสธความสามารถดังกล่าว เพราะครุ่นคิดว่าเป็นสิ่งได้มาโดยง่าย ไม่ได้มีคุณค่าความสำคัญใดๆ อาชีพอย่างภารโรง กรรมกรก่อสร้าง ใช้แรงงาน มีความน่าภูมิใจยิ่งกว่า
จนกระทั่งได้พบเจอนักจิตแพทย์ Dr. Sean Maguire ค่อยๆเรียนรู้ที่จะเปิดตนเอง มีความกล้า ไม่เสแสร้ง เชื่อมั่นในผู้อื่น และได้รับคำแนะนำอันเป็นบทเรียนครั้งสำคัญแห่งชีวิต สามารถครุ่นคิดตัดสินใจ เลือกหนทางเดินของตนเองในสิ่งที่อยากทำได้สำเร็จ
เรื่องราวดังกล่าวแทบจะถือได้ว่าเป็นอัตชีวประวัติ Matt Damon (ก็จากบทหนังที่เจ้าตัวเขียนขี้น!) แม้จะดูหลงตนเอง เย่อหยิ่งทะนงไปสักนิด แถมยกยอปอปั้นระดับอัจฉริยะ แต่มันคือความเท่ห์ เติมเต็มเพ้อฝันของชายหนุ่ม การแสดงจีงออกมาอย่างสมจริง มั่นอกมั่นใจ กล้าได้กล้าเสีย และเป็นตัวของตนเอง
นี่ถือเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกๆของ Damon ที่ประสบความสำเร็จล้นหลาม (ขณะนั้นอยู่ในวงการมาเกือบๆ 11 ปีแล้ว) ชื่อเสียงถาโถมเพียงชั่วข้ามคืน สร้างความคาดไม่ถึงเลยทีเดียว
“nearly indescribable—going from total obscurity to walking down a street in New York and having everybody turn and look”.
Matt Damon
ถ้าใครเคยรับชมหลายๆผลงานพี่แก คงจะพบเห็นสไตล์ลายเซ็นต์ ลีลาการแสดง Charisma อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว มักรับบทตัวละครที่มีความเฉลียวฉลาด เก่งกาจ อัจฉริยภาพบางอย่าง สามารถต่อสู้ดิ้นรนเอาตัวรอด พร้อมปมปัญหาเล็กๆจากอดีตส่งผลกระทบถึงปัจจุบัน … ผมว่า Damon เป็นนักแสดงที่โคตร Typecast มากๆคนหนึ่ง มักรับบทไม่ค่อยมีความท้าทายสักเท่าไหร่ (เอาความพึงพอใจตนเองเป็นที่ตั้ง) แต่ผู้ชมกลับไม่รู้สีกเบื่อหน่าย แถมมีสิ่งใหม่ๆมานำเสนอได้อย่างต่อเนื่อง เรียกได้เป็น Superstar ค้างฟ้เลยยังได้!
Robin McLaurin Williams (1951 – 2014) นักแสดง/ตลก สัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Chicago, Illinois วัยเด็กเป็นคนขี้อาย ไม่ค่อยชอบพูดจา จนกระทั่งมีโอกาสเป็นนักแสดงละครเวทีของโรงเรียน เพื่อนๆต่างชื่นชมในความตลกโปกฮา เคยร่ำเรียนคณะรัฐศาสตร์ Claremont Men’s College แต่ตัดสินใจลาออก/ย้ายมา College of Marin แล้วได้ทุนเรียนต่อ Juilliard School รุ่นเดียวกับ Christopher Reeve, William Hurt, Mandy Patinkin ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็เรียนไม่จบ (เพราะครูไม่มีอะไรจะสามารถสอนได้) ออกมาเริ่มต้นทำงาน Stand-Up Comedy ไม่นานเข้าตาโปรดิวเซอร์ชักชวนมาเล่นตลกในรายการโทรทัศน์ เข้าสู่วงการภาพยนตร์ปี 1977 แต่เริ่มมีชื่อเสียงกับ Popeye (1980) ผลงานเด่นๆ อาทิ Good Morning, Vietnam (1987), Dead Poets Society (1989), Awakenings (1990), The Fisher King (1991), Good Will Hunting (1997), Patch Adams (1998) ฯ
รับบทจิตแพทย์ Dr. Sean Maguire ที่ยังคงจมอยู่ในความทุกข์โศกหลังการสูญเสียภรรยา ครั้งแรกพบเจอ Will Hunting ได้รับคำพูดเสียดแทงถึงขั้วหัวใจ ตัดสินใจยินยอมรับเป็นที่ปรีกษา อาจเพราะคาดหวังว่าตนเองจะสามารถก้าวข้ามผ่านความทรงจำร้ายๆ ไปพร้อมๆกับเด็กชายหนุ่มคนนี้
การทำงานของ Dr. Sean มีลำดับเป็นขั้นเป็นตอนอย่างมาก แรกพบเจอเพราะยังไม่รู้จักอีกฝ่ายจึงแสดงออกด้วยอคติ รุนแรง ตรงไปตรงมา, ครั้งสองชักนำพาออกไปข้างนอกเพื่อพูดบอกบางสิ่งอย่าง, จากนั้นเฝ้ารอคอยให้อีกฝ่ายเริ่มต้น สร้างความเชื่อใจ แล้วเล่าเหตุการณ์เปรียบเทียบคู่ขนานกับเรื่องราวของชายหนุ่ม เพื่อลงท้ายประโยคอันทรงพลัง
“It’s not your fault”.
Dr. Sean Maguire
คนส่วนใหญ่มักจดจำ Robin Williams คือบุคคลผู้สร้างเสียงหัวเราะ หนี่งในตลกยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล แต่ใช่ว่าตัวจริงจะสามารถยิ้มร่าเริงได้ขนาดนั้น อดีตเต็มไปด้วยปมปัญหา เคยเสพยา ชีวิตคู่น่าผิดหวัง เครียดจากงาน และอาการเจ็บป่วยทางกาย ทำให้เขาตัดสินใจแขวนคอฆ่าตัวตายเมื่อปี 2014
รับชมภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้ผมรับรู้สึกว่า ตัวละครมีปม/อดีต/ความหลัง ค่อนข้างคล้ายคลีงกับ Williams พอสมควรเลยละ ไม่น่าแปลกจะสามารถถ่ายทอดอารมณ์ ความรู้สึกแสดงถึงความเข้าใจ คำพูดเรียบๆง่ายๆ น้ำเสียงกดต่ำ แต่ทรงพลังระดับสั่นสะเทือนโลกทั้งใบ เน้นย้ำเพื่อให้เกิดความหนักแน่น ทบทวนตนเอง ตระหนักความจริงที่ซ่อนเร้นของอีกฝ่าย … นี่อาจเป็นบทบาทดราม่ายอดเยี่ยมสุดในชีวิต Robin Williams เลยก็ว่าได้!
Benjamin Géza Affleck-Boldt (เกิดปี 1972) นักแสดงสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Berkeley, California ก่อนย้ายมาปักหลังยัง Cambridge, มารดาจบจาก Harvard University ทำงานเป็นครูโรงเรียนอนุบาล, ส่วนบิดารับจ้างทำงานหลากหลาย ช่างทาสี, ซ่อมรถ, ช่างไฟ, บาร์เทนเดอร์ รวมไปถีงภารโรงที่ Harvard, ครอบครัวหย่าร้างตอนเขาอายุ 11 ขวบ ระหว่างเข้าเรียน Cambridge Rindge and Latin มีโอกาสรับรู้จักกลายเป็นเพื่อนสนิท Matt Damon ต่างมีความสนใจด้านการแสดงเหมือนกัน เริ่มจากเป็นนักแสดงเด็กในซีรีย์ Dark Side of the Street (1981), The Voyage of the Mimi (1984), มีชื่อเสียงจาก Chasing Amy (1997), Going All the Way (1997), Good Will Hunting (1997), โด่งดังกับ Armageddon (1998), Shakespeare in Love (1998), Pearl Harbor (2001) ฯ
รับบท Chuckie Sullivan เป็นคนใจนักเลงแต่รักพรรคพวกพ้อง ทำงานกรรมกรก่อสร้าง ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยไปวันๆ ลีกๆคงแอบอิจฉาอัจฉริยภาพของ Will Hunting แต่แอบส่งเสริมผลักดัน ให้ได้มีชีวิตดีกว่าปัจจุบัน
ความเก้งๆก้างๆของ Affleck วางมาดเหมือนนักเลงหัวโจ๊ก แต่สายตาเหม่อล่องลอย แสดงถึงความไร้จุดมุ่งหมายของตัวละคร สีหน้าอมทุกข์ น่าจะสะท้อนตัวตนของเขาเองขณะนั้น ยังไม่พบเจอความสำเร็จในอาชีพการงานสักที
Affleck เป็นคนที่ดูเครียด เก็บกด จริงจังกับชีวิต แทบจะตรงกันข้ามกับ Damon ที่ค่อนข้างจะเรื่อยเปื่อย โอลัลล้า อะไรก็ได้ทั้งได้ น่าที่งที่พวกเขาสามารถเติมเต็มกันและกัน ให้ความช่วยเหลือส่งเสริมผลักดันอีกฝ่าย เป็นมิตรภาพหาได้ยากยิ่งแม้ในปัจจุบัน
Amelia Fiona J. ‘Minnie’ Driver (เกิดปี 1970) นักแสดงสัญชาติอังกฤษ เกิดที่ Marylebone, London มารดาเป็นนักออกแบบผ้าทอ (Fabric Designer) แยกกันอยู่กับบิดาเมื่อเธออายุ 6 ขวบ จากนั้นถูกส่งไปโรงเรียนประจำ ด้วยความชื่นชอบด้านการแสดงเข้าเรียนต่อ Webber Douglas Academy of Dramatic Art ตามด้วย Collingham College, เริ่มต้นจากแสดงโฆษณา ละครเวที ซีรีย์โทรทัศน์ สมทบภาพยนตร์ GoldenEye (1995), Sleepers (1996), Good Will Hunting (1997) ฯ
รับบท Skylar นักเรียนจบจาก Harvard College ขณะนั้นกำลังวางแผนเรียนต่อ Stanford University School of Medicine พบเจอตกหลุมรัก Will Hunting แม้ลึกๆอิจฉาในอัจฉริยภาพของเขา แต่ก็ไม่พยายามเอาตนเองมาเปรียบเทียบ ต้องการมุ่งมั่นในสิ่งที่สนใจ เพียงแค่ต้องการให้เขาร่วมก้าวเดินไปด้วยกัน กลับถูกบอกปัดปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย
เกร็ด: ตัวละครนี้ได้แรงบันดาลใจจาก Skylar Satenstein นักเรียนแพทย์ที่ Matt Damon เคยจีบอยู่จริงๆ แต่ไม่รู้ความสัมพันธ์ทั้งคู่ลงเอยแบบในหนังเลยรึป่าวนะ
การแสดงของ Driver ได้รับคำชื่นชมมากๆในการแสดงออกซี่งความรักแท้ แต่กลับถูกบอกปัดปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย ยังคงรอคอยจนถึงที่สุดก่อนเดินทางจากไป คราบน้ำตาของเธอทำให้ผู้ชมรู้สึกเจ็บปวดรวดร่าว ด่าทอความโง่เขลาเบาปัญญาอ่อนของฝ่ายชาย ทำไมถึงมองไม่เห็น ครุ่นคิดไม่ได้ ทอดทิ้งโอกาสที่อาจเป็นครั้งเดียวในชีวิตนี้ไปได้อย่างไร!
เห็นว่า Matt Damon และ Minnie Driver ในชีวิตจริงเคยจีบกันอยู่สักพักหนึ่ง แต่ไม่รู้เกิดอะไรขี้น Damon ไปออกรายการโทรทัศน์ของ Oprah Winfrey แล้วบอกว่าตนเองยังโสด ไม่ได้เป็นแฟนกับ Driver นั่นทำให้เธอฟิวส์ขาดโดยทันที!
“It’s horrendous breaking up with someone anyway, but to have it be so public and to be cast in a role that I would never play if they were paying me–this wronged woman! It’s unfortunate that Matt went on ‘Oprah’; it seemed like a good forum for him to announce to the world that we were no longer together, which I found fantastically inappropriate”.
Minnie Driver ให้สัมภาษณ์กับ Los Angeles Times
Stellan John Skarsgård (เกิดปี 1951) นักแสดงสัญชาติ Swedish เกิดที่ Gothenburg, มีผลงานการแสดงตั้งแต่ยังเด็กทั้งภาพยนตร์ โทรทัศน์ ละครเวที แต่เป็นที่รู้จักเฉพาะในประเทศสวีเดน จนกระทั่งมีโอกาสร่วมงาน Lars von Trier เรื่อง Breaking the Waves (1996) จีงค่อยๆเริ่มมีชื่อเสียงระดับนานาชาติ ผลงานเด่นๆ อาทิ Good Will Hunting (1997), Deep Blue Sea (1999), Exorcist: The Beginning (2004), Pirates of the Caribbean: Dead Man’s Chest (2006), Mamma Mia! (2008), Angels & Demons (2009), Thor (2011) ฯ
รับบท Professor Gerald Lambeau นักคณิตศาสตร์รางวัล Fields Medal (เทียบเท่ากับ Nobel Prize) ยินยอมรับตนเองมิอาจเทียบเท่าอิจฉริยะอย่าง Will Hunting ชื่นชมพร้อมอิจฉาริษยา พยายามให้ความช่วยเหลือแต่มิอาจเข้าถึง จนกระทั่งติดต่อหาเพื่อนเก่า Dr. Sean Maguire โดยไม่รับรู้ตัว จิตใจเขากำลังค่อยๆแปรเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน
Professor Gerald สนเพียงอัจฉริยภาพของ Will Hunting ต้องการหาวิถีทางนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ตรงกันข้ามกับ Dr. Sean ที่มองชายหนุ่มคือมนุษย์คนหนึ่ง ค้นหาว่าชีวิตเคยพานผ่านอะไรมา เพราะเหตุใด ทำไม ปัจจุบันถึงแสดงพฤติกรรมต่อต้านสังคมออกมา, การเผชิญหน้าของทั้งสอง จึงค่อยๆทวีความขัดแย้งทางความคิดรุนแรงขี้นเรื่อยๆ เพราะต่างฝ่ายต่างเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นในตนเอง/อีโก้สูงลิบลิ่ว ไม่มีใครยอมใคร แต่ท้ายสุดพวกเขาก็สามารถโอนอ่อนให้แก่กัน พบเจอครึ่งทาง ยินยอมรับอีกฝั่งฝ่าย เลิกนิสัยเห็นแก่ตัวอีกต่อไป!
คงเป็นภาพลักษณ์ของ Skarsgård ที่ดูเหมือนอาจารย์ผู้ทรงภูมิ มีความเฉลียวฉลาดแต่ไม่ถึงระดับอัจฉริยะ นิสัยดื้อรันเอาแต่ใจ แม้มิติการแสดงจะไม่เท่าไหร่ แต่ถือเป็นตัวละครคู่ขนานกับ Ben Affleck ต้องการให้คนที่ตนช่วยเหลือได้ดี ไม่ว่าจักต้องแลกมาด้วยอะไร
ถ่ายภาพโดย Jean-Yves Escoffier (1950 – 2003) ตากล้องสัญชาติฝรั่งเศส ผลงานเด่นๆ อาทิ Boy Meets Girl (1984), Mauvais sang (1986), Les amants du Pont-Neuf (1991), Good Will Hunting (1997) ฯ
แม้หนังจะมีพื้นหลังเมือง Boston แต่กลับเลือกถ่ายทำยัง Toronto, มหาวิทยาลัย MIT และ Harvard เปลี่ยนมาเป็น University of Toronto
งานภาพของหนังแทบไม่เคยหยุดอยู่นิ่ง มักต้องมีการเคลื่อนไหวอยู่เล็กๆตลอดเวลา อาทิ
- Will Hunting ขณะกำลังครุ่นคิดคำนวณ, พูดเล่า หรือโอ้อวดความรู้ประวัติศาสตร์ กล้องค่อยๆเคลื่อนเลื่อนเข้าไป และเมื่อจบเนื้อหาสาระสำคัญจะถอยออกมาอย่างรวดเร็ว
- หลังการพบเจอกันครั้งแรก ค่ำคืนนั้น Dr. Sean Maguire กำลังครุ่นคิดถึงอะไรบางอย่าง กล้องค่อยๆถอยออกจากอ่างล้างจาน (นัยยะจมปลักกับความทุกข์) แล้วตัดไปภาพของ Dr. Sean กำลังเคลื่อนเลื่อนกล้องเข้าหา
- การพบเจอครั้งที่สองกับ Dr. Sean ถ่ายระยะ Close-Up จับจ้องใบหน้า ค่อยๆเคลื่อนไหลช้าๆขณะกำลังพูดบอกเรื่องราวบางอย่าง
- หลายครั้งระหว่างกำลังสนทนา กล้องจะเคลื่อนเลื่อนจากศีรษะด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่ง (นัยยะถึงมุมมองที่เปลี่ยนแปลงไป)
- Will Hunting กอดกลมกับ Dr. Sean กล้องค่อยๆถอยหลังออกมา (นัยยะถึงคลายความวิตกกังวล/แก้ปัญหาปมในใจได้สำเร็จ)
ฯลฯ
มุมกล้องจัดองค์ประกอบสวยๆก็พอมีบ้างเช่นกัน อาทิ โถงทางเดิน มองซ้ายขวาไม่เห็นใคร Will Hunting เลยแอบเขียนคำตอบโจทย์คณิตศาสตร์ ความว่างวังเวงของช็อตนี้ สะท้อนความโดดเดี่ยวเดี่ยวดายของตัวละคร แม้รอบข้างรายล้อมผู้คน แต่ไม่ต่างจากการมีชีวิตอยู่ตัวคนเดียว
หลังจากเขียนคำตอบบนกระดานดำ ฉากถัดมา Will เล่นเป็นพิชเชอร์โยนลูกเบสบอลใส่เพื่อนสนิท Chuckie Sullivan ซี่งไม่เคยตรงเป้าเลยสักครั้ง! นั่นสื่อนัยยะถึงชีวิตอันไร้เป้าหมายของตัวละคร แม้มีความเฉลียวฉลาดระดับอัจฉริยะ แต่กลับปฏิเสธยินยอมรับความสามารถของตัวตนเอง สร้าง Safe Zone ขี้นมาเพื่อผลักไสคนแปลกหน้าที่ไม่เคยเข้าใจตนเอง
Will โทรหา Skylar ครั้งแรกขณะที่เขาถูกคุมขังอยู่ในคุก ทั้งๆไม่รับรู้ว่าตนเองจะได้รับอิสรภาพหรือเปล่ากลับกำหนดเวลานัดหมายเสร็จสรรพ, ขณะที่ทางฝั่งหญิงสาว มุมกล้องช็อตนี้ถ่ายให้เห็นห้องนอน รูปภาพสี่สาวเปลือยเต้นรำวง นั่นสะท้อนถึงความต้องการของพวกเขา ทีแรกเริ่มก็เพียงเรื่องบนเตียงเท่านั้น
เรือลำน้อยลอยเคว้งคว้างอยู่กลางทะเล นี่เป็นภาพวาดสไตล์ Impressionist ที่ประทับความโดดเดี่ยว อ้างว้าง ล่องลอยคอของผู้วาดซี่งก็คือ Dr. Sean ได้รับการวิเคราะห์เกือบตรงเผงจาก Will Hunting ด้วยคำพูดอันเสียดแทงใจดำ สั่นสะท้านไปถึงขั้วหัวใจ แต่นั่นบังเกิดจากความอ่อนเยาว์วัยไร้เดียงสา เพราะเขาไม่เคยรับล่วงรู้เบื้องหลังข้อเท็จจริง เลยพร่ำเอ่ยกล่าวโดยไม่ใคร่สนความรู้สึกผู้ฟังแต่ประการใด
นัดเดทแรกของ Will กับ Skylar เดินเข้าร้านขายของเด็กเล่น หยิบแว่น ใส่หมวก แล้วสวมบทบาท หนึ่งในนั้นพบเห็น Will สวมหมวกกะลาสี ซึ่งสะท้อนเข้ากับคำวิพากย์วิจารณ์รูปภาพวาดของ Dr. Sean นั่นแฝงนัยยะกลายๆว่าทั้งสองมีอดีต/เบื้องหลัง ปัจจุบันกำลังล่องลอยคออยู่กลางท้องทะเล ไม่แตกต่างกัน!
(เรื่องราวของ Will จะคู่ขนานกับ Dr. Sean ขณะที่ Chuckie จะคู่ขนานกับ Prof. Gerald)
กล้องค่อยๆเคลื่อนเข้าหา Will และ Skylar ขณะกำลังรับประทานแซนวิช (ประกบคู่ชาย-หญิง) สังเกตว่าพวกเขาถูกล้อมรอบด้วยกรอบ ผนัง-เสา ราวกับนี่คือโลกส่วนตัวของพวกเขา
ขณะที่ Will คาดหวังการเดทครั้งนี้จะไปถึงห้องนอน แต่สำหรับ Skylar กลับให้เขามาสุดเพียงการจุมพิตขณะอาหารเต็มปาก นั่นเพราะเธอให้ความสนใจสานสัมพันธ์กับเขามากกว่าแค่คู่หลับนอนอ #ons (One Night Stand) ต้องการสานสัมพันธ์ระยะยาว ซี่งต่อไปจะร้องขอให้เขาแนะนำพี่ๆน้องๆ ครอบครัว แต่เจ้าตัวกลับพยายามปกปิดบัง ปฏิเสธเปิดเผยเบื้องหลัง(เพราะเจ้าตัวครุ่นคิดว่า คงไม่สมควรค่ากับเธอ)
การเปลี่ยนสถานที่/บรรยากาศพูดคุยครั้งที่สองของ Will กับ Dr. Sean มายังสวนสาธารณะที่เปิดกว้าง มีลักษณะตรงกันข้ามกับภาพช็อตบนที่ Will และ Skylar ห้อมล้อมอยู่ในกรอบเกณฑ์
นี่เป็นการสะท้อนวิธีให้คำปรึกษาของ Dr. Sean ที่นำพา Will ออกนอกกฎกรอบ ระเบียบแบบแผนเดิมๆที่ใช้ในการรักษาผู้ป่วย เลือกที่จะมอบอิสรภาพในการครุ่นคิด พูดบอก อยากจะเล่าเรื่องอะไรก็เอ่ยมา เป็นการสร้างความเชื่อใจ Safe Zone ให้อีกฝ่าย ค่อยๆกล้าจะเปิดเผยตัวตนเองออกมาทีละเล็ก
หนึ่งในช็อตน่าสนใจมากๆขณะ Dr. Sean เล่าเดทแรกกับว่าที่ภรรยา พอดิบพอดีวันเดียวกับการแข่งขันเบสบอลคู่หยุดโลก! มุมกล้องถ่ายลงจากเพดาน (ระหว่างสนทนากันอย่างออกรส พวกเขาจะลุกขี้นแล้วขยับเดินวนโดยรอบ ราวกับเก้าอี้ทั้งสี่คือตำแหน่งในสนามเบสบอล) สะท้อนช่วงเวลาสำคัญชีวิตที่สุด ยิ่งใหญ่เหนือกว่าเหตุการณ์หยุดโลกอื่นๆเสียอีก
ฉากนี้ถ่ายทำยังร้าน Au Bon Pain, Harvard Square (สถานที่จริงนะครับ) แต่เห็นว่าปัจจุบันมีการ Renovate ไม่หลงเหลือสภาพเดิมอีกต่อไปแล้ว
ขณะที่ Skylar พยายามเรียนรู้ ทำความเข้าใจเนื้อหาสอบเข้าโรงเรียนแพทย์ สังเกตโต๊ะข้างหลังกำลังเล่นหมากรุกอย่างเคร่งเครียด นี่เป็นการนำเสนอเหตุการณ์คู่ขนาน(ในภาพ)ที่สามารถสื่อนัยยะความหมายลักษณะเดียวกัน
อัจฉริยะอย่าง Will Hunting กลับเลือกประกอบอาชีพกรรมกรแรงงาน เอาจริงๆมันก็ไม่ผิดอะไร แต่คำพูดของเพื่อนสนิท Chuckie Sullivan ย้ำเตือนสติว่านั่นเป็นการดูถูกผู้อื่น (ไม่ใช่แค่ดูถูกตนเองอย่างเดียวนะครับ) คนมากมายเพ้อฝันโอกาส ความเฉลียวฉลาดขนาดนั้น แต่การลดตัวลงมาของนาย มันเป็นความเสียของโดยแท้!
ภาพพื้นหลังที่เป็นซากปรักหักพังของตึก ยังสามารถสะท้อนถึงสภาพจิตใจของ Will Hunting ขณะนั้นยังคงไร้รูปร่าง เป้าหมาย อนาคต แม้มีมันสมองอัจฉริยะแค่ไหน กลับไม่ต่างจากขยะสังคม
หลังจากที่ Will Hunting ได้กระจ่างแจ้ง ก้าวข้ามผ่านปมด้อยของตนเอง เขานั่งรถไฟเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง กลับมาบ้านจับจ้องมองหลอดไฟช็อตนี้ ราวกับได้พบเห็นแสงสว่าง เป้าหมายแห่งชีวิต กำลังครุ่นคิดตัดสินใจว่าจะเลือกเดินทางเส้นไหน
วันที่ Will Hunting ค้นพบเป้าหมายชีวิตของตนเอง พอดิบพอดีวันเกิดครบรอบ 21 ปี และผองเพื่อนมอบของขวัญคือรถกระป๋อง Chevrolet Nova แม้อัปลักษณ์ที่สุดในโลกแต่กลับเป็นพึงพอใจอย่างสูงสุด
รถกระป๋องคันนี้ มองในเชิงสัญลักษณ์คือการออกเดินทาง ได้รับในครบรอบวันเกิดซึ่งสื่อถีงการเริ่มต้นใหม่ ซี่งในเชิงรูปธรรม Will Hunting ก็ได้ทอดทิ้งทุกสิ่งอย่าง แล้วขับรถออกเดินทางไปติดตามเสียงเพรียกเรียกร้องของหัวใจ (ขับรถไปหาสาวคนรักยัง California)
ตัดต่อโดย Pietro Scalia (เกิดปี 1960) สัญชาติ Italian ผลงานเด่นๆ อาทิ JFK (1991), Good Will Hunting (1997), Gladiator (2000), Hannibal (2001), Black Hawk Down (2001), Memoirs of a Geisha (2005), The Martian (2015) ฯ
เรื่องราวดำเนินไปโดยมี Will Hunting เป็นจุดศูนย์กลาง รายล้อมด้วย 4 ตัวละครรอง
- เพื่อนสนิท Chuckie Sullivan และพรรคพวกอีกสอง ชอบเที่ยวเตร่สำมะเลเทเมา
- Skylar หญิงสาวที่กำลังเกี้ยวพา ตกหลุมรัก
- Professor Gerald Lambeau ชอบให้โจทย์คณิตศาสตร์มาแก้ปัญหา
- และ Dr. Sean Maguire พยายามหาเหตุผล ปมด้อย ทำความเข้าใจ Will เพื่อสามารถให้คำแนะนำที่เหมาะสม
ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร สามารถโยงใยได้อย่างยุ่งเหยิง มีทั้งความคล้ายคลึงและแตกต่างตรงกันข้าม อาทิ
- อดีตของ Will Hunting จะมีความคล้ายคลึงกับ Dr. Sean Maguire
- Will Hunting มีความแตกต่างตรงกันข้ามเพื่อนสนิท Chuckie Sullivan
- แม้ไม่เคยพบเจอ แต่ Chuckie Sullivan มีความหวังดีต่อเพื่อนรัก คล้ายกับ Professor Gerald Lambeau พยายามช่วยเหลืออุปถัมป์ Will Hunting
- Professor Gerald Lambeau มีความแตกต่างตรงกันข้าม Dr. Sean Maguire
ขณะที่การลำดับเรื่องราว เหตุการณ์บังเกิดขี้นในแต่ละฉาก มักส่งผลกระทบต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ยังซีนถัดไป อาทิ
- หลังจาก Will แก้ปัญหาโจทย์คณิตศาสตร์ ฉากถัดมากำลังเล่นเบสบอลกับ Chuckie (สื่อนัยยะถึงการกระทำที่ไร้เป้าหมาย ไม่เข้าเป้า)
- การสนทนาระหว่าง Will กับ Dr. Sean มักส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างเขากับ Skylar
- เมื่อ Will เลิกรากับแฟนสาว -> โต้เถียงกับ Professor Gerald เผาทำลายคำตอบคณิตศาสตร์ -> ไปยังบ้านของ Chuckie (สถานที่ Safe Zone) -> พูดพร่ำไม่หยุดเมื่อสนทนากับ Dr. Sean
แต่ตลอดทั้งเรื่องจะมีเพียงช่วงท้ายเท่านั้นที่ตัดสลับกลับไปมาระหว่าง
- Will Hunting ขับรถออกจากบ้าน ส่งจดหมายขอบคุณให้ Dr. Sean ขณะกำลังเก็บข้าวของเตรียมตัวออกเดินทาง
- และเพื่อนสนิท Chuckie Sullivan เดินมาเคาะประตูบ้าน (ของ Will) แต่ไม่พบเห็นใครอยู่ข้างใน เพราะเขาออกเดินทางไปก่อนหน้านั้นแล้ว
ต้องชื่นชมเลยว่าการตัดต่อ มีลวดลีลาที่เฉลียวฉลาด หลักแหลม คมคาย (ว่าไปก็เหมือนตัวละคร Will Hunting) สมควรค่าได้เข้าชิง Oscar: Best Film Editing, ซึ่งฉากที่สร้างความประทับใจให้ผมมากสุด คือระหว่างการสนทนาอย่างออกรสระหว่าง Will กับ Dr. Sean แล้วจู่ๆแทรกใส่ภาพ Archive Footage การแข่งขันเบสบอลนัดหยุดโลกเข้ามา ทำให้ผู้ชมเห็นภาพชัดเลยว่าบังเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นในนัดนั้น ก่อนจบลงด้วยการหักมุมแบบคาดไม่ถึง มีบางสิ่งอย่างที่สำคัญยิ่งใหญ่ว่าเกมนี้จริงๆนะหรือ?
เพลงประกอบโดย Daniel Robert Elfman (เกิดปี 1953) นักแต่งเพลงยอดฝีมือชาวอเมริกัน ขาประจำ Tim Burton, Sam Raimi, Gus Van Sant เคยได้เข้าชิง Oscar เพียง 4 ครั้ง ยังไม่เคยได้รางวัล Good Will Hunting (1997), Men in Black (1997), Big Fish (2003), Milk (2008), ผลงานเด่นอื่นๆ อาทิ Batman (1990), Mission: Impossible (1997), Spider-Man (2003), Alice in Wonderland (2010), Fifty Shades of Grey (2015) ฯ
ต้องถือว่า Elfman ได้สร้างความมหัศจรรย์ให้กับหนัง ด้วยท่วงทำนองที่จะทำให้ผู้ชมราวกับล่องลอยอยู่ในโลกความคิดของ Will Hunting จินตนาการเห็นตัวเลข สมการคณิตศาสตร์ ซึ่งปัญหาชีวิตก็มิได้แตกต่างจากการคิดคำนวณสักเท่าไหร่ จำเป็นต้องศึกษากฎ เรียนรู้ทฤษฎี วิธีการ จึงสามารถสรรหาคำตอบที่ถูกต้องเพียงหนึ่งเดียวได้
บทเพลง Closing Credit ชื่อ Miss Misery แต่ง/ขับร้องโดย Elliott Smith แนว Alternative Rock ท่วงทำนองเศร้าๆ เนื้อคำร้องถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึก จากชีวิตที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบาก
ว่ากันว่าบทเพลงนี้จริงๆแล้วเป็นตัวเต็งคว้า Oscar: Best Original Song แต่พอ Madonna ประกาศผู้ชนะ My Heart Will Go On จาก Titanic (1997) เธอลงท้ายต่อว่า ‘What a shocker!’ คือคาดไม่ถึงจริงๆ นั่นเองทำให้ Smith พยายามหลีกเลี่ยงไม่พูดถึง/เล่นบทเพลงนี้ในคอนเสิร์ต เพราะความทรงจำไม่ค่อยดีเท่าไหร่นี้
เรื่องราวของ Will Hunting ที่แม้เฉลียวฉลาดระดับอัจฉริยะ แต่พฤติกรรมแสดงออกต่อต้านสังคม ชื่นชอบใช้ความรุนแรง หรือเรียกว่า Bad Will Hunting ต่อมาได้รับความช่วยเหลือจากบุคคลต่างๆมากมาย สุดท้ายก็สามารถค้นพบตนเอง ก้าวข้ามผ่านปมด้อย/อุปสรรคปัญหา กลับกลายเป็น Good Will Hunting สำเร็จได้ด้วยดี
เนื้อหาสาระของภาพยนตร์เรื่องนี้ ต้องการให้ผู้ชมอย่าตัดสินคนที่เปลือกภายนอกหรือพฤติกรรมแสดงออก เพราะมนุษย์ทุกคนล้วนมีสิ่งดีงามอยู่ภายในจิตใจ แต่บริบททางสังคม สิ่งแวดล้อมรอบข้าง ล้วนคือปัจจัยส่งผลกระทบ/อิทธิพลสำคัญในการครุ่นคิดกระทำ ถ้าเราสามารถรับเรียนรู้เบื้องหลัง สาเหตุผล ที่มาที่ไป เข้าใจจิตวิญญาณธาตุแท้ของผู้อื่น ความมีเมตตาธรรม รู้สึกสงสารเห็นใจ อยากให้ความช่วยเหลือ นั่นต่างหากคือสิ่งจักบังเกิดขึ้นภายใน
แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้นำเสนอความ ‘โลกสวย’ เกินไปนิด ลองครุ่นคิดว่าถ้าตัวละคร Will Hunting ไม่ใช่อัจฉริยะ เป็นเพียงสามัญชนคนธรรมดาทั่วไปอย่าง Chuckie Sullivan เป็นคุณจะยังอยากให้ความช่วยเหลือ รู้สึกสงสารเห็นใจ บังเกิดเมตตาธรรมค้ำจุนโลกขึ้นบ้างหรือเปล่า??
สำหรับ Matt Damon พัฒนาบทภาพยนตร์เรื่องนี้ สร้างอุดมคติชวนฝันให้ตนเอง (ขณะเดียวกันสามารถมองได้ว่า เป็นการยกยอปอปั้นในอัจฉริยภาพของตนเอง) สะท้อนเรื่องราวชีวิต ก้าวข้ามผ่านอุปสรรคปัญหา และเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ (Coming-of-Age) แต่ถึงกระนั้นชีวิตจริง ชายคนนี้ยังคงเกรียนไม่สร่าง โดยเฉพาะความสัมพันธ์จอมปลอมกับ Minnie Driver ราวกับเธอเป็นเพียงของเล่นชิ้นหนึ่งสำหรับประชาสัมพันธ์หนังก็เท่านั้น
ในมุมมองของผู้กำกับ Gus Van Sant พยายามสอดแทรกความสัมพันธ์ Bromance ชวนจิ้นระหว่าง Will Hunting กับ Chuckie Sullivan และอีกคู่ของ Professor Gerald Lambeau กับ Dr. Sean Maguire ขณะที่ใจความสำคัญหลักๆของหนังที่เป็นการยินยอมรับตนเอง เผชิญหน้าอดีต ก้าวสู่อนาคตที่สดใส ประเด็นนี้สามารถมองในมุม ยินยอมรับความเป็นเกย์ ได้เฉกเช่นกัน (Van Sant เป็นเกย์เปิดเผยตนเอง ผลงานของเขาเลยมักสอดแทรกแนวความคิด การยินยอมรับตนเอง(ในความเป็นเกย์)อยู่เสมอๆ)
ความไม่รู้คือสิ่งไร้เดียงสา เราควรสามารถยกโทษให้อภัยกับผู้ที่ไม่เคยรับรู้จัก/เข้าใจในตัวเรา แต่การเพิกเฉยถือเป็นอาชญากรรม เพราะทำให้เราไม่รู้จักเผชิญหน้าความจริง หลงผิดต่างๆนานา มองโลกในแง่มุมเดียว แสดงออกด้วยความเห็นแก่ตัว ปิดกั้นตนเอง นั่นแหละคือ Bad Will Hunting คงไม่มีใครอยากเป็นแบบตัวละครเมื่อตอนต้นเรื่องหรอกกระมัง
ด้วยทุนสร้าง $10 ล้านเหรียญ เริ่มต้นสัปดาห์แรกจากการฉายจำกัดโรงทำเงิน $272,912 พอฉายวงกว้างสามารถทำเงิน $10,261,471 รวมตลอดทั้งโปรแกรม $138,433,435 และรายรับทั่วโลก $225,933,435 ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม ตบหน้าบรรดาสตูดิโอทั้งหลายที่บอกปัดปฏิเสธโปรเจคนี้อย่า
งเจ็บแสบกระสันต์ซ่าน
ช่วงต้นปี 1998, หนังเข้าฉายเทศกาลหนังเมือง Berlin สามารถคว้า Silver Bear: Outstanding Single Achievement รางวัลพิเศษมอบให้ Matt Damon จากเป็นผู้พัฒนาบทภาพยนตร์และรับบทนำได้อย่างยอดเยี่ยม
เข้าชิง Golden Globe 4 สาขา คว้ามา 1 รางวัล
- Best Motion Picture – Drama
- Best Actor – Drama (Matt Damon)
- Best Supporting Actor (Robin Williams)
- Best Screenplay ** คว้ารางวัล
และเข้าชิง Oscar 9 สาขา คว้ามา 2 รางวัล
- Best Picture
- Best Director
- Best Actor (Matt Damon)
- Best Supporting Actor (Robin Williams) ** คว้ารางวัล
- Best Supporting Actress (Minnie Driver)
- Best Original Screenplay ** คว้ารางวัล
- Best Film Editing
- Best Original Score
- Best Original Song บทเพลง Miss Misery
น่าเสียดายที่การรับชมหนังรอบนี้ทำให้ผมรู้สึกแค่ชอบเล็กๆ เพราะเรื่องราวคาดเดาง่ายเกินไป, หลายๆตัวละครเป็นเพียง Stereotype ทำให้ขาดมิติไม่น่าติดตามเท่าไหร่, โดยเฉพาะการแสดงออกตัวละคร สะท้อนตัวตนของ Matt Damon เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง จองหอง อ้างอวดดี หาความน่าชื่นชมไม่ได้สักเท่าไหร่
แต่ผมชื่นชอบนัยยะแอบแฝงของผู้กำกับ Gus Van Saint มากๆเลยนะ สามารถหาจุดแทรกความสนใจ ใส่ตัวตนเอง และความเป็น ‘เกย์’ ลงไป ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้มีนัยยะซ่อนเร้นมากกว่าแค่ที่ควรเป็น!
“ต้องดูให้ได้ก่อนตาย” สิ่งน่าสนใจสุดของภาพยนตร์เรื่องนี้คือ ‘มุมมอง’ นำเสนอผ่านตัวละครของ Robin Williams ที่พยายามให้คำแนะนำผู้ชม อย่าตัดสินคนที่เปลือกภายนอกหรือการกระทำแสดงออกมา เพราะทุกสิ่งอย่างล้วนมีเหตุผลเบื้องหลัง ลองค้นหามันให้พบ เอาใจเขามาใส่ใจเรา แล้วคุณจะรับรู้จักตัวตนแท้จริงของบุคคลนั้นๆ
ใครชอบภาพยนตร์แนวอัจฉริยะ มอบความหวังการใช้ชีวิต แนะนำต่อกับ Rain Man (1988), Forrest Gump (1994), A Beautiful Mind (2003), The Theory of Everything (2014) ฯ
จัดเรต 13+ กับพฤติกรรมนอกคอก นิสัยเห็นแก่ตัว ชอบใช้ความรุนแรงของตัวละคร
Leave a Reply