Gravity

Gravity (2013) hollywood : Alfonso Cuarón ♥♥♥♥

ผู้กำกับ Alfonso Cuarón หลังเสร็จจาก Children of Men (2006) ตั้งใจจะทำโปรเจคหนึ่งแต่ประสบความล้มเหลว แถมยังเลิกร้างรากับภรรยาคนที่สอง ทำให้เขาตกอยู่ในหายนะสิ้นหวังสุดเหวี่ยง ราวกับกำลังล่องลอยเคว้งคว้างบนห้วงอวกาศ ค่อยๆเรียนรู้ที่จะปลดปล่อยวางความทุกข์โศก เมื่อเริ่มครุ่นคิดปรับตัวเข้าใจราวกับการได้เกิดใหม่ แหวกว่าย คืบคลาน ชันเข่า ลุกยืนขึ้น และก้าวเดินสู่โลกทัศนคติใบใหม่

คนส่วนใหญ่คงไม่ครุ่นคิดอะไรมากกับ Gravity (2013) เข้าไปรับชมในโรง IMAX เพื่อสัมผัสประสบการณ์อันตื่นตราตะลึง! เมื่อพบเห็นความงดงามของโลกจากมุมมองสายตานักบินอวกาศ ล่องผ่านแหลมทองสยามประเทศด้วยช็อตหนึ่ง ถือเป็นอรรถรสภาพยนตร์สุดยิ่งใหญ่ ไม่ย่อหย่อนไปกว่าเมื่อครั้น 2001: A Space Odyssey (1968)

แต่ลึกๆแล้วภาพยนตร์เรื่องนี้ มีความเป็น ‘ส่วนตัว’ ของผู้กำกับ Alfonso Cuarón สูงมากๆ ทุกอย่างใน Gravity มีนัยยะสื่อความหมายในเชิงอุปมาอุปไมย ‘Metaphor’ ถึงสิ่งที่ตัวเขาประสบพบในช่วงเวลาก่อนหน้านั้นเพียงเล็กน้อย

“Gravity is also a very personal film for me because it was a film that was born out of necessity. The film came about after a project I had been preparing fell through and I was at a moment in my life in which I was experiencing one adversity after another. And that film is all about adversity. Everything that happens in the film is a metaphor for those adversities. During that time in my life, all I wanted was to put my feet on the ground; I needed an anchor”.

– Alfonso Cuarón

ชีวิตเมื่อประสบคราวเคราะห์ พบเจอมรสุมอุปสรรค การต่อสู้ดิ้นรนเพื่อที่จะก้าวข้ามผ่านเหตุการณ์/ช่วงเวลาดังกล่าว จำเป็นอย่างยิ่งต้องเรียนรู้ที่จะยินยอมรับ สามารถปรับทัศนคติความ’เข้าใจ’ ไม่ใช่ให้หลงลืม แต่เลือกที่จะอยู่อาศัยกับมัน เหมือนดั่งตัวละคร Dr. Ryan Stone (รับบทโดย Sandra Bullock) เมื่อเกิดหายนะพลัดหลุดจากกระสวยอวกาศ Explorer ตื่นตระหนกลุ่มร้อนรน หายใจถี่ๆจนเกือบหมดออกซิเจนหายใจ ล่องลองเคว้งคว้างอยู่ท่ามกลางอวกาศอันมืดมิด ได้รับการช่วยเหลือจาก Lieutenant Matt Kowalski (รับบทโดย George Clooney) ทั้งในเชิงรูปธรรม-นามธรรม ค่อยๆทำความเข้าใจในสัจธรรมของการปลดปล่อยวางสิ่งยึดติด และในที่สุดตั้งปฏิญาณถ้าสามารถเอาตัวรอดกลับสู่พื้นผิวแผ่นดินโลก

“I have one hell of a story to tell”.

Gravity ถือเป็นอีกหนึ่งหลักไมล์ระดับปฏิวัติวงการภาพยนตร์ ที่ถ้าคุณสามารถรับรู้เข้าใจเบื้องหลัง ความยุ่งยากซับซ้อนกว่าจะกลายมาเป็นภาพที่ปรากฎให้ได้พบเห็นรับชม ย่อมตระหนักถึงคุณค่าสำคัญ ความทุ่มเท สร้างสรรค์ของคนทำงานเบื้องหลัง ไม่ใช่แค่อัจฉริยภาพ/วิสัยทัศน์ของผู้กำกับ แต่ทุกๆฝ่ายงานไล่ตั้งแต่ นักแสดง, ตากล้อง, ออกแบบฉาก, Visual Effect, งานด้านเสียง และเพลงประกอบ มีความสมบูรณ์แบบเรียกได้ว่า Masterpiece

Alfonso Cuarón Orozco (เกิด 1961) ผู้กำกับสร้างภาพยนตร์สัญชาติ Mexican เกิดที่ Mexico City พ่อเป็นนักนิวเคลียร์ฟิสิกส์ ทำงานที่ International Atomic Energy Agency แห่งสหประชาชาติ ตอนอายุ 8 ขวบ โตพอได้ทันพบเห็น Neil Armstrong ก้าวย่างเหยียบบนดวงจันทร์ เกิดแรงผลักดันใฝ่ฝันอยากเป็นนักบินอวกาศ แต่ก็รู้ตัวเองศักยภาพสามารถไปไม่ถึงขั้นนั้น โตขึ้นเข้าเรียนสาขาปรัชญา National Autonomous University of Mexico ตามด้วยสร้างภาพยนตร์จาก Centro Universitario de Estudios Cinematográficos รุ่นเดียวกับผู้กำกับ Carlos Marcovich และตากล้องคู่ใจ Emmanuel Lubezki สร้างหนังสั้นเรื่องแรก Vengeance Is Mine

เริ่มต้นอาชีพในวงการด้วยฝ่ายเทคนิครายการโทรทัศน์ ก้าวขึ้นมาเป็นผู้กำกับบางตอน ช่วยงานภาพยนตร์ ผลงานเรื่องแรก Sólo con Tu Pareja (1991) ได้รับความนิยมอย่างสูงใน Mexico จึงถูกรับการเรียกตัวจาก Sydney Pollack กำกับตอนหนึ่งของซีรีย์ Fallen Angels (1993-95), ต่อมาเลยได้โอกาสสร้างหนัง Hollywood เลือกดัดแปลงวรรณกรรมเยาวชนชิ้นเอกของโลก A Little Princess (1995) ได้รับเสียงตอบรับดีล้นหลามแต่กลับไม่ทำเงินเท่าไหร่ ผลงานถัดมาเลยหวนกลับบ้านสร้าง Y Tu Mamá También (2001) ทุบสถิติหนังทำเงินสูงสุดใน Mexico แถมยังได้เข้าชิง Oscar: Best Foreign Language Film เข้าตา J.K. Rowlings เรียกตัวให้มากำกับภาคสามของ Harry Potter and the Prisoner of Azkaban (2004) แม้จะทำเงินน้อยสุดแต่น่าจะถือว่าเป็นภาคดีที่สุด, และผลงานล่าสุดคือ Children of Men (2006) ได้เข้าชิง Oscar 3 สาขา (Best Cinematography, Best Edited, Best Adapted Screenplay)

สำหรับ Gravity ผู้กำกับ Alfonso ร่วมงานกับลูกชายคนแรก Jonás Cuarón (เกิดปี 1981) ที่ถูกพ่อปลุกปั้นให้เป็นนักแสดงตั้งแต่ Sólo con Tu Pareja (1991), A Little Princess (1995), ทีแรกก็ไม่ได้ใคร่สนใจตามรอยเท้าสักเท่าไหร่ ตั้งใจโตขึ้นจะกลายเป็นนักเขียน จนกระทั่งเมื่อเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้รับแรงกระตุ้นจากแฟนสาว จบออกมากำกับหนังเรื่องแรก Año uña (2007) ได้แรงบันดาลใจจาก La Jetee (1962)

ขณะนั้น Jonás พัฒนาบทหนังเรื่อง Desierto นำไปให้พ่ออ่านเพื่อหวังจะได้รับคำวิจารณ์/แนะนำ แต่ไปๆมาๆกลายเป็นว่า

“I really like this concept. I’d like to do something like that”.

แต่ Alfonso ก็ไม่ได้จะขโมยบทหนังของลูกชาย พวกเขาร่วมกันพัฒนาเรื่องราวขึ้นใหม่ ในความสนใจเกี่ยวกับการสำรวจอวกาศ หายนะนอกโลก [รับอิทธิพลจากภาพยนตร์เรื่อง Marooned (1969)] คงไว้เพียงแนวคิดบางอย่างเท่านั้น, ซึ่งหลังเสร็จงานเรื่องนี้ Jonás ถึงมีเวลาไปสร้าง Desierto (2015) เข้าฉายเทศกาลหนังเมือง Toronto คว้ารางวัล FIPRESCI Prize

กระสวยอวกาศ Explorer นำโดย Lieutenant Matt Kowalski (รับบทโดย George Clooney) ทะยานสู่วงโคจรนอกโลกเพื่อทำการปรับปรุง/ซ่อมแซมกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล (Hubble Space Telescope) โดยมี Dr. Ryan Stone (รับบทโดย Sandra Bullock) ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ ออกเดินทางไปด้วยในภารกิจแรกของชีวิต

แต่โดยไม่รู้ตัว พวกเขาได้รับแจ้งการใช้ขีปนาวุธ (Missile) ทำลายดาวเทียมที่หมดอายุใช้งานของรัสเซีย ก่อให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่จากเศษซากขยะอวกาศ โคจรรอบโลกด้วยความเร็วสูงกว่ากระสุนปืน พุ่งเข้าหากระสวยอวกาศ Explorer ได้รับความเสียหายอย่างหนัก เป็นเหตุให้ Dr. Stone หมุนเหวี่ยงหลุดล่องลอยเคว้งคว้างในห้วงอวกาศ โชคยังดีได้รับการค้นพบเจอโดย Kowalski พากลับมาที่ยานแต่ไม่มีหลงเหลือใครรอดชีวิต จำเป็นต้องเสี่ยงเดินทางต่อไปยังสถานีอวกาศใกล้เคียง International Space Station (ISS) ขึ้นยานของรัสเซีย Soyuz และเดินทางต่อไปยังสถานีของจีน Tiangong ขึ้นกระสวย Shenzhou เพื่อหวนกลับคืนสู่ชั้นบรรรยากาศโลก

สำหรับบทนำ แรกสุดเลยที่สตูดิโอ Universal Pictures ติดต่อไว้คือ Angelina Jolie แต่โปรเจคถูกขึ้นหิ้งไว้นานจนเธอขอถอนตัวออกไป ตามด้วย Natalie Portman เห็นว่าได้ตอบตกลงแล้ว แต่พอรู้ตัวว่าครรภ์คิดว่าไม่เหมาะแน่ นักแสดงอื่นๆ อาทิ Rachel Weisz, Naomi Watts, Marion Cotillard, Abbie Cornish, Carey Mulligan, Sienna Miller, Scarlett Johansson, Blake Lively, Rebecca Hall, Olivia Wilde, ก่อนมาลงตัวที่ Sandra Bullock

Sandra Annette Bullock (เกิดปี 1964) นักแสดงสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Arlington, Virginia แม่เป็นนักร้องโอเปร่าสัญชาติเยอรมัน วัยเด็กเลยมักติดตามไปออกทัวร์ เติบโตขึ้นที่ Nuremberg, Vienna, Salzburg พูดภาษาเยอรมันได้คล่องแคล่ว วัยรุ่นกลับมาอเมริกา เข้าเรียนสาขาการแสดงที่ East Carolina University จบออกมาเป็นนักแสดงละครเวที Off-Broadway เข้าตาผู้กำกับ Alan J. Levi ชักชวนมาแสดงภาพยนตร์โทรทัศน์ Bionic Showdown: The Six Million Dollar Man and the Bionic Woman (1989), เริ่มมีชื่อเสียงจาก Demolition Man (1993), Speed (1994), Miss Congeniality (2000), Crash (2004), คว้า Oscar: Best Actress เรื่อง The Blind Side (2009) ฯ

รับบท Dr. Ryan Stone วิศวกรรมการแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านเครื่องยนต์กลไก แต่กลับขับกระสวยยานอวกาศไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่, เธอเป็นคนติดอยู่ในโลกของตนเอง คงนับตั้งแต่ลูกสาวได้รับอุบัติเหตุเสียชีวิตก่อนวัย เลยท้อแท้หมดอาลัยอยู่ไปวันๆแบบไม่ค่อยสนอะไรอื่น ตัดสินใจเป็นนักบินอวกาศคงคิดหวังนำพาตนเองปลีกหลีกหนีทุกสิ่งอย่างไปให้ไกลแสนไกล แต่เธอกำลังจะได้รับบทเรียนครั้งสำคัญ เรียนรู้การปลดปล่อยวาง และคุณค่าความสำคัญของการยังคงมีชีวิตอยู่

Bullock ตบปากรับคำเล่นหนังเรื่องหนังหลังจากหย่าขาดสามี Jesse James เพียงไม่กี่เดือน (เรียกว่าพบเจอชะตากรรมเดียวกับ Cuarón) อ่านบทแล้วคงรู้สึกสะท้อนเข้ากับหายนะชีวิตของตนเองในช่วงขณะนั้น

“My situation was somewhat like the situation the character was in. There’s no one around, you’re frustrated, nothing works, you’re in pain, you’re lonely, you want someone to fix everything for you but they can’t – all those things I was feeling.”

ทีแรกคาดคิดว่าถ่ายทำไม่นานคงเสร็จสิ้น แต่ไปๆมาๆก็ลากยาวเกือบๆปีมั้งนะ แค่ตระเตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับห้อยต่องแต่งบนสลิงก็ 6 เดือนเข้าไปแล้ว ถ่ายทำวันหนึ่งประมาณ 10 ชั่วโมง ไหนยังต้องจดจำทุกท่วงท่าการเคลื่อนไหวให้ได้อย่างแม่นยำ เพราะบางฉาก Long Take ยาวสิบๆนาที ผิดพลาดเพียงเล็กน้อยก็ต้องเริ่มต้นใหม่หมด

เกร็ด: Bullock ต้องเข้าหานักกายภาพบำบัดอยู่บ่อยครั้ง เพื่อปรับร่างกายให้คืนสภาพเดิม

สีหน้าอารมณ์ก็อย่างหนึ่ง แต่สิ่งที่ต้องยกย่องปรบมือให้ Bullock คือศักยภาพทางร่างกายของเธอ ก็ขนาด James Cameron เปรียบเทียบกับการแสดงของนักกายกรรม Cirque du Soleil

“She’s the one that had to take on this unbelievable challenge to perform it. (It was) probably no less demanding than a Cirque du Soleil performer, from what I can see. There’s an art to that, to creating moments that seem spontaneous but are very highly rehearsed and choreographed. Not too many people can do it. … I think it’s really important for people in Hollywood to understand what was accomplished here”.

เกร็ด: เนื่องด้วยความสำเร็จอันล้นหลามของหนัง The Hollywood Reporter ประเมินว่า Bullock น่าจะได้รับค่าตัว+โบนัส ไม่น่าน้อยกว่า $70 ล้านเหรียญ (ถือเป็นนักแสดงหญิงค่าตัวสูงสุดขณะนั้นเลยก็ว่าได้)

George Timothy Clooney (เกิดปี 1961) นักแสดง/ผู้กำกับ สัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Lexington, Kentucky พ่อของเขา Nick Clooney เป็นนักข่าวจัดรายการโทรทัศน์ประจำ AMC Network เลี้ยงดูนับถือ Roman Catholic อย่างเคร่งครัด วัยเด็กชื่นชอบเล่นเบสบอล บาสเกตบอล เข้าเรียน Northern Kentucky University สาขาสื่อสารมวลชน แต่เหมือนจะเรียนไม่จบออกมาทำงาน เป็นเซลล์แมน จับพลัดพลูกลายเป็นตัวประกอบมินิซีรีย์ Centennial (1978) เลยเลือกเอาดีทางด้านนี้, ผลงานสร้างชื่อคือซีรีย์ ER ระหว่างปี 1994-99, ภาพยนตร์สร้างชื่อ From Dusk till Dawn (1996), Batman & Robin (1997), The Perfect Storm (2000), O Brother, Where Art Thou? (2000), แฟนไชร์ Ocean’s, คว้า Oscar: Best Supporting Actor เรื่อง Syriana (2005) ฯ

รับบท Lieutenant Matt Kowalski กัปตันกระสวยอวกาศ Explorer ด้วยประสบการณ์บินสูงลิบลิ่วจนใกล้ทำลายสถิติ ตั้งใจจะรีไทร์หลังสิ้นสุดภารกิจนี้ เลยบินเที่ยวเล่น เล่าเรื่องตลกฮาเฮ สร้างบรรยากาศครึกครื้นเครงในการทำงาน แต่เมื่ออุบัติเหตุอันไม่คาดฝันเกิดขึ้น ออกติดตามให้ความช่วยเหลือ Dr. Ryan Stone และเสียสละตนเอง เพื่อให้เธอสามารถเริ่มต้นนับหนึ่งมีชีวิตใหม่

ก่อนมาลงเอยที่ Clooney มีนักแสดงชื่อดังมากมายที่พัวพันกับบท อาทิ Robert Downey Jr., Daniel Craig, Tom Cruise, Tom Hanks, Harrison Ford, John Travolta, Bruce Willis, Russell Crowe, Kevin Costner, Denzel Washington ฯ

ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม Clooney ถึงตบปากรับคำแสดงหนังเรื่องนี้ อาจเพราะความสนิทสนมรู้จักกับ Bullock มาตั้งแต่สมัยเรียน กลับยังไม่เคยมีโอกาสร่วมงานกันสักครั้งหนึ่ง แม้ว่าการห้อยโหนบนสลิงจะสร้างความเจ็บปวดรวดร้าวให้เขาอย่างมาก เพราะตอนถ่ายทำ Syriana (2005) เคยได้รับอุบัติเหตุเกี่ยวกับหลังอย่างรุนแรง (จนเคยครุ่นคิดอยากฆ่าตัวตาย) แม้เพียงระยะเวลาสามสัปดาห์ แต่เทียบกับ Bullock ที่ห้อยเป็นปีๆ แค่นี้สำหรับเขาคงเรื่องจิ๊บๆกระมัง

บทบาทของ Clooney แทบจะสะท้อนนิสัยของเขาเลยนะ มาแบบเล่นๆยียวนกวนประสาท แต่ถือว่าคือบุคคลผู้เป็นแรงกระตุ้นผลักดันให้นางเอก สามารถคืบคลานลุกขึ้นก้าวเดินต่อไปในชีวิตได้ และไม่ใช่แค่ทางกายภาพเท่านั้น ฉากที่เหมือนเป็นผี/จินตนาการเข้ามาในกระสวย พูดคำแนะนำปลุกให้ฟื้นตื่น นั่นเป็นข้อเสนอแนะของพี่แกเองเลย เพราะ Cuarón ยังขบคิดไม่ออกว่าจะสร้างแรงผลักดันอย่างไรให้ตัวละคร ผลลัพท์ฉากนั้นออกมาถือว่าเกินความคาดหมายจริงๆ

Ed Harris มารับเชิญด้วยเสียงปลายสาย Mission Control Station, Houston นี่ย่อมเป็นความจงใจล้วนๆ เพราะพี่แกเล่นหนังเกี่ยวกับอวกาศมาแล้วถึงสองเรื่อง The Right Stuff (1983) และ Apollo 13 (1995)

ถ่ายภาพโดย Emmanuel Lubezki หรือ Chivo ตากล้องยอดฝีมือสัญชาติ Mexican เพื่อนสนิทร่วมรุ่นเดียวกับ Cuarón เจ้าของสามรางวัลติด Oscar: Best Cinematography ประกอบด้วย Gravity (2013), Birdman or (The Unexpected Virtue of Ignorance) (2014), The Revenant (2015) ผลงานเด่นอื่นๆ Sleepy Hollow (1999), The New World (2005), Children of Men (2006), The Tree of Life (2011) ฯ

จริงๆแล้วสไตล์ถนัดของ Chivo คือการใช้แสงจากธรรมชาติ เลือกทิศทาง มุมกล้อง Long Take ถ่ายทอดออกมาได้อย่างสวยงาม ‘Groundbreaking’ แต่สำหรับ Gravity มีเพียงฉากสุดท้ายเท่านั้นที่ถ่ายยังสถานที่จริง นอกนั้นคุดคู้อุดอู้อยู่ในสตูดิโอ Shepperton Studios และ Pinewood Studio ประเทศอังกฤษ [คาดว่าเพราะ 2 เหตุผล 1) ค่าใช้จ่ายถูกกว่า Hollywood 2) Cuarón ย้ายบ้านไปอยู่ London]

คำถามคือ หนังแทบทั้งเรื่องอยู่บนอวกาศ เช่นนั้นแล้วจะถ่ายทำอะไร? ข้อสรุปของ Lubezki และ Tim Webber ผู้ควบคุมงานสร้าง Visual Effects ให้คำตอบง่ายๆว่า

“We decided to shoot (the actors’) faces and create everything else digitally”.

เริ่มต้นด้วยการสร้าง CG คร่าวๆของหนังทั้งเรื่อง เพื่อให้พบเห็นว่าจะถ่ายทำนักแสดงในมุมมองทิศทางเช่นไร แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่ดี เพราะความต้องการของ Cuarón ประกอบด้วย
– กล้องหรือนักแสดงต้องเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา
– ไร้ซึ่งทิศทาง บน/ล่าง พื้น/เพดาน เพราะในอวกาศวัตถุสามารถหมุนล่องลอย 360 องศา
– และเพื่อให้เกิดสัมผัสความต่อเนื่อง ถ่ายทำแบบ Long Take โดยเฉลี่ย 45 วินาที นานสุดคือเกือบๆ 13 นาที! (รวมแล้วหนังทั้งเรื่อง 90 นาที มีเพียง 156 ช็อต)

เทคโนโลยีปัจจุบันนี้ ได้สร้างแขนหุ่นยนต์ที่สามารถขยับเคลื่อนไหว หมุนรอบ 360 องศา ควบคุมการทำงานจากแผง หรือเขียนโปรแกรมกำหนดทิศทาง-เวลา อย่างเปะๆเลยก็ยังได้, แต่ในมุมมองของ Lubezki สิ่งที่เขาสนใจมากสุดคือ แสงอาบลงบนใบหน้านักแสดง เหตุผลหลักๆคงเพื่อลดทอนงานของ Visual Effect (ถ้าใครเคยเรียนทำ 3 มิติ จะรู้ว่าการเรนเดอร์แสง เป็นอะไรที่ยุ่งยากวุ่นวาย และที่สำคัญคือช้ามากๆ ยิ่งแหล่งกำเนิดแสงเยอะๆวินาทีนึงอาจเป็นวัน-เดือนเลยกว่าจะเสร็จ)

ความยุ่งยากอยู่ที่
– เมื่ออยู่บนอวกาศ มันไม่ว่าจุดกำเนิดแสงมาจากดวงอาทิตย์เท่านั้น จากพื้นผิวบนโลกโดยเฉพาะยามค่ำคืน แสงไฟเมืองใหญ่ๆมองเห็นได้จากอวกาศ
– เวลากล้องเคลื่อนไหล หรือนักแสดงลอยเคว้งคว้าง ทิศทางของแหล่งกำเนิดแสงจะเปลี่ยน
– แถมด้วยหมวกของนักบินอวกาศ เป็นกระจกใสสะท้อนแสงเสียด้วยนะ

สิ่งประดิษฐ์ที่ Lubezki ครุ่นคิดสร้างขึ้น ตั้งชื่อว่า Light Box เป็นกล่องลูกบาศก์ กว้างยาว 10 ฟุต สูง 20 ฟุต รอบด้านรายล้อมด้วยจอภาพหลอด L.E.D. ปริมาณ 4,096 ชิ้น (จอภาพ 196 แผง) นักแสดงเข้าไปยืนข้างใน แล้วให้แสงจากจอเคลื่อนหมุนตามทิศทางเรื่องราวของมัน

ในส่วนของการทำ 3D คงต้องถือว่าเป็น ‘หนังที่สามารถใช้ประโยชน์จากภาพสามมิติได้อย่างงดงามคุ้มค่าที่สุด’ เหนือชั้นกว่า Avatar (2009) อยู่หลายเท่าตัวนัก โดยเฉพาะการล่องลอยเคว้งขว้างของวัตถุ ตัวละคร หยาดน้ำตา หรือการกวัดแกว่งหมุน 360 องศา พบเห็นระยะใกล้-ไกล แบ่งชั้นเป็นมิติได้อย่างตื้นลึกหนาบาง (นี่ต้องโรงภาพยนตร์สามมิติเท่านั้น ถึงจะพบเห็นอรรถรสดังกล่าว)

ตัดต่อโดย Alfonso Cuarón กับ Mark Sanger, ใช้มุมมองการเล่าเรื่องของ Dr. Ryan Stone และมีเพียงครั้งเดียวที่แทรกภาพในความฝัน/จินตนาการเข้ามา แต่ก็ทำเป็น Long-Take ให้ผู้ชมฉงนเล่นๆว่า Lieutenant Matt Kowalski หายตัวไปได้อย่างไร

จริงๆผมไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นะ หนังน้อยคัตแบบเรื่องนี้ กลับสามารถคว้า Oscar: Best Film Editing เอาชนะตัวเต็งอย่าง Captain Philips, American Hustle หรือเรื่องที่หลุดโผลไม่ได้เข้าชิงอย่าง The Wolf of Wall Street ไปได้เช่นไร?

เพลงประกอบโดย Steven Price สัญชาติอังกฤษ ก่อนหน้านี้ทำงานเป็น Music Editor ให้หนังอย่าง The Lord of the Rings Trilogy, Batman Begins (2005) ฯ ได้รับโอกาสแต่งเพลงประกอบ Attack the Block (2011), The World’s End (2013), Gravity (2013), Suicide Squad (2016), Baby Driver (2017) ฯ

อยู่ในห้องอวกาศ จริงๆแล้วควรจะไม่ได้ยินเสียงอะไร คือก็มีทั้งช่วงเวลาที่ทุกสิ่งอย่างเงียบสงัด และหลายครั้งแทรกใส่ Incidental Music (ผสม Sound Effect) ให้สัมผัสราวกับว่า มีบางสิ่งอย่างที่เป็น ‘เสียง’ ล่องลอยอยู่โดยรอบ

ไฮไลท์ของบทเพลงประกอบ ไม่ใช่แค่สัมผัสทางอารมณ์ สร้างความลุ้นระทึก บีบคั้น สั่นประสาท แต่คือการเล่นกับระยะ ทิศทาง เบา-ดังของเสียง (Sound Editing) คือถ้ารับชมในโรงภาพยนตร์จะรู้สึกแบบว่า บทเพลงมันจะล่องลอย วูบวาบ เดี๋ยวซ้าย-ขวา หน้า-หลัง บน-ล่าง สลับสับเปลี่ยนไปมาเหมือนการโลดแล่นเคว้งคว้างของตัวละครไร้ทิศทางแรงโน้มถ่วง นี่ต่อให้ลำโพงที่บ้าน Surround 5.1 6.1 7.1 ยังไงก็สู้ความสมจริงในโรงหนังไม่ได้อย่างแน่นอน

บทเพลงที่ผมชื่นชอบสุดของหนัง Aningaaq หลงใหลในความวูบวาบ สั่นพ้อง (เสียง Bullock กำลังเห่าหอน) ดั่งลมหายใจที่กำลังค่อยๆสูดเข้าลึกๆยาวๆ สัมผัสผ่อนคลาย ราวกับดวงอาทิตย์กำลังค่อยๆเคลื่อนขึ้นจากสุดปลายขอบฟ้า ทอแสงประกายส่องสว่าง มอบความอบอุ่นให้เกิดขึ้น(ภายในจิตใจ)ทีละเล็กละน้อย

แม้จะอยู่ภายในกระสวย ไม่ได้มีทิวทัศน์อันงดงามตราตะลึง แต่นี่คือช่วงเวลาที่ผมชื่นชอบสุดในหนัง เพราะ Dr. Stone กำลังค่อยๆสามารถปลดปล่อยวางทุกสิ่งอย่างหนักอึ้งภายในจิตใจลงได้ ฉันคงใกล้ถึงวาระสุดท้ายของชีวิตแล้วแน่ๆ การสื่อสารวิทยุขอความช่วยเหลือ กลับได้ยินเพียงเสียงหมาเห่าหอน จากมุมเล็กๆตรงไหนก็ไม่รู้บนโลก เต็มเปี่ยมด้วยชีวิตชีวารอยยิ้มสุขสันต์ เออเนอะ! ไม่เห็นจำเป็นต้องแบกความคิด/ความทรงจำให้วุ่นวายอะไรเลย หยาดน้ำตาไหลออกมาเป็นเม็ด ก็แค่นั้นเองสินะที่เกิดมา

จากนี้จะเป็นการวิเคราะห์ตีความหมายหลายๆของหนัง ดูสิว่ามันจะอุปมาอุปไมยเป็นอะไรได้บ้าง!

ซีนเล็กๆที่สะท้อนกับเรื่องราวของหนังได้อย่างกึกก้อง ระหว่างกำลังทำงานบ้านซ่อมแซมกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล** สองผัวเมียช่วยกันขันสกรู และมีขณะหนึ่งน็อตหลุดจากมือของ Dr. Stone (อาการน็อตหลุด คือสภาวะคลุ้มคลั่ง เสียสติแตก ควบคุมตนเองไม่อยู่) ได้รับการช่วยเหลือจาก Kowalski เอื้อมมือเก็บกลับมาได้ (นั่นแปลว่า เขาคือบุคคลผู้จะทำให้ สติสตางค์ของ Dr. Stone หวนกลับมาเป็นปกติ)

กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล คืออุปกรณ์ที่สามารถถ่ายภาพระยะไกลๆให้สามารถมองเห็นชัดๆ ซึ่งการที่ Dr. Stone กำลังอัพเกรด/ซ่อมแซมอยู่ นั่นสะท้อนถึง’มุมมอง’ต่อชีวิตของเธอ ทีี่ยังคงพร่ามัว มองเห็นไม่ค่อยชัด … ซึ่งช็อตนี้มี Kowalski กำลังช่วยซ่อมอยู่ด้วยไง

นี่เป็นความจงใจของผู้กำกับ Cuarón สังเกตให้ดีจะพบนักบินอวกาศถือกล้องและไมโครโฟน สะท้อนอยู่ในหมวกของ Clooney เพื่อจะแซวเล่นว่า หนังถ่ายทำบนอวกาศ เลยต้องใช้นักบินอวกาศถ่ายทำ

กระสวยอวกาศ Explorer (แปลว่า การสำรวจ/ออกค้นหา/เอื้อมมือไขว่คว้า) ว่าไปมีลักษณะเหมือนลึงค์ (อวัยวะเพศชาย) แรกเริ่มค่อยๆเคลื่อนเข้ามาอย่างเชื่องช้า เมื่อถูกกระตุ้นด้วยขยะอวกาศ ทำให้เกิดการหมุนควงสว่าน ทุกสิ่งอย่างพุ่งกระจัดกระจายเหมือนน้ำอสุจิก็ไม่ปาน

เกร็ด: ทฤษฎี Kessler Syndrome ได้รับการเสนอแนะโดยนักวิทยาศาสตร์นาซา Donald J. Kessler เมื่อปี 1978 ถึงความเป็นไปได้ว่าอุบัติเหตุอันทำให้วัตถุขนาดเล็กบนชั้นอวกาศเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูง อาจก่อให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่จนมิอาจส่งกระสวยอวกาศออกนอกโลกได้เป็นทศวรรษ

ในช่วงวินาทีวิกฤตคับขัน ลมหายใจเป็นสิ่งบ่งบอกสภาวะทางอารมณ์จิตใจ ถี่เร็วใช้ออกซิเจนมาก ก็แปลว่ามิสามารถควบคุมตนเองได้ ซึ่งอากาศในชุดถือว่ามีความสำคัญด้วยเพราะถือว่าปริมาณจำกัด แต่ก็น่าพิศวงที่ช่วงใกล้หมด กลับสามารถยืดเวลาขาดอากาศหายใจออกไปได้นานทีเดียว (ให้มองเป็นเชิงสัญลักษณ์ น่าจะเข้าใจง่ายกว่า)

ทุกการผสมพันธุ์ของรังไข่+อสุจิ จำต้องมีชาย-หญิง เชื่อมโยงติดกัน (เหมือนดั่งโยโย่ กระแทกกระทั้นไปมา เปรียบได้กับการร่วมรัก/มี Sex) ซึ่งบุคคลอยู่หน้ามักคือผู้ชายเสมอคอยนำทางเสมอ

ฉากนี้ถูกนักฟิสิกส์ตำหนิอย่างรุนแรง ว่าหาความสมจริงไม่ได้สักนิด! ประมาณว่า เชือกร่มไม่น่ารั้งแรงฉุดได้อยู่ หรือไม่ก็ถ้าพวกเขาสามารถหยุดอยู่นิ่งได้แล้ว ก็น่าจะสามารถชักรอกดึงกลับได้ แต่ในนัยยะความหมายของฉากนี้คือ ชาย-หญิงประกบร่วมรักกันไม่ได้ตลอดเวลา เมื่อเสพสมอารมณ์หมายบุรุษจำต้องถอน(อวัยวะเพศ)ออก เพื่อให้ต่างคนต่างไปใช้ชีวิตของตนเองต่อไปได้

สังเกตว่าฉากนี้ไม่ใช่ Dr. Stone ที่คนปล่อยปล่อย Kowalski เพราะเธอยังคงยึดติดแน่นอยู่กับความคิด โลกทัศนคติของตนเอง แถมยังพูดพร่ำต้องการให้ความช่วยเหลืออยู่อีกสักพักใหญ่ เป็นเขาเองที่เลือกปลดเชือกออกเสียสละตนเอง จนได้เติมเติมความฝันทำลายสถิติอยู่ในห้วงอวกาศยาวนานที่สุดของ Anatoly Solovyev

เกร็ด: สถิติของ Solovyev คือระยะเวลา’รวม’ที่อยู่นอกอวกาศยาวนานที่สุด 82 ชั่วโมง 21 นาที จากทั้งหมด 16 ครั้ง, ส่วนสถิติอยู่นอกอวกาศครั้งเดียวยาวนานที่สุด ถือร่วมโดย Susan Helms และ James Voss คือ 8 ชั่วโมง 56 นาที

เมื่อ Dr. Stone สามารถหาหนทางเข้ามาในสถานีอวกาศ ISS สิ่งแรกที่เธอทำคือถอดชุดอวกาศแล้วขดตัวเองให้มีลักษณะเหมือนทารกในครรภ์มารดา (สายระโยงระยาง ว่าไปก็เหมือนรกแม่อยู่นะ) นี่ก็แสดงว่าสถานีอวกาศแห่งนี้เปรียบดั่งมดลูก/ครรภ์แม่

จิตใจของ Dr. Stone ขณะนั้น เต็มไปด้วยความรวดร้าวทุกข์ทรมานแสนสาหัส ไหนจะความทรงจำจากอดีตที่สูญเสียลูกสาว หรือขณะนี้เหลือตัวคนเดียวในห้วงอวกาศอันเวิ้งว้างว่างเปล่า อยากเหลือเกินจะหวนกลับคืนสู่ครรภ์มารดา เป็นทารกน้อยบริสุทธิ์ไร้เดียงสา มิต้องรับรู้สนใจปัญหาใดๆในสากลจักรวาล

แต่ชีวิตยังคงต้องดิ้นรน หลังจากใช้เวลาเป็นทารกอยู่ชั่วครู่หนึ่ง รีบบึ่งทะยานมาห้องสื่อสารเพื่อติดต่อศูนย์บัญชาการ มองออกไปนอกหน้าต่างพบเห็นตาไต้ฝุ่นขนาดใหญ่ ภาพเงาลางๆของเธอปรากฎขึ้นบนกระจก สะท้อนถึงสภาวะทางจิตใจตอนนี้ ปั่นป่วนว้าวุ่นวายดั่งมรสุม มิได้มีความผิดแผกแปลก แตกต่างกันแม้แต่น้อย

ลึกๆแล้วฉากนี้ยังตีความได้ว่า ทารกน้อยในครรภ์มารดาถึงยังคงไม่รับรู้เรื่องประสีประสา แต่โลกภายนอก ปัญหาอุปสรรค มรสุมลูกใหญ่ ก็ยังคงมีอยู่มิเสื่อมคลาย การหมกตัวอยู่เฉยๆในโลกของตนเองย่อมไม่สามารถแก้ไขปัญหาอะไรได้ … ซึ่งเธอเองก็กำลังจะถูกผลักไสให้ไปยังยาน Soyuz (เพราะอุบัติเหตุไฟลุกไหม้) บีบบังคับให้ต้องออกไปเผชิญหน้ากับปัญหาภายนอก (ก็เหมือนครรภ์มารดาอายุนานสุดแค่ 10 เดือน ยังไงทารกก็ต้องคลอดออกมา)

ร่มชูชีพ มักถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของรก ที่พยายามฉุดดึงเหนี่ยวรั้งไม่ให้ยาน Soyuz หลุดออกจากมดลูก ซึ่งก็ต้องทำการตัดออกเสียก่อนถึงสามารถคลอดออกมาได้

จดจำคร่าวๆได้แค่ว่า หยาดน้ำตาหยดนี้ในโรง IMAX มันจะแบบว่าลอยล่องออกมานอกจอภาพยนตร์เลย แต่ผมลืมไปว่าพื้นหลังที่เห็นเบลอๆอยู่นี้ ในโรงเห็นมันชัดหรือเปล่า (หรือก็เบลอๆแบบภาพนี้)

การโฟกัสเฉพาะที่หยดน้ำตา สังเกตให้ดีๆจะพบเห็นภาพสะท้อนของตัวละครอยู่ภายใน นี่ราวกับว่าบางสิ่งอย่างในตัวเธอได้หลุดล่อยลอยออกมาด้วย หรือคือวินาทีแห่งการค่อยๆสามารถปลดปล่อยความทุกข์เศร้า อดีต/ความทรงจำอันหนักอึ้ง ให้มันล่องลอยหายลับไป

เรื่องราวของ Aningaaq (แปลว่า Full Moon) ชาวประมง Inuit อาศัยอยู่บนเกาะ Greenland ผู้สดับรับฟังการสื่อสารของ Dr. Stone ได้ถูกนำมาสร้างเป็นหนังสั้น กำกับโดย Jonás Cuarón แถมอยู่ใน DVD/Blu-ray

จริงๆมันก็ไม่มีอะไรเลยนะ –” เพิ่มเติมแค่คำบรรยายให้รู้เรื่องขึ้นว่าพวกเขาสนทนาอะไรกันเท่านั้นเอง

ถึงกายจะจากไป แต่ความทรงจำ จิตวิญญาณ ของคนที่เรารัก/รู้จัก ยังคงอยู่คู่กับเราไม่ห่างหาย และบางทีเวลาเราคิดถึงใครคนนั้น ก็มักจินตนาการตนเองถ้าเป็นเขาจะครุ่นคิด พูด แสดงออก กระทำเช่นไร?

เพิ่งนึกได้ว่าจำสลับกับ Interstellar ตัวละครของ Matt Damon พูดว่า ‘เวลาเรากำลังใกล้ตาย มักจินตนาการ เห็นภาพของคนที่เรารักที่สุด’ จะตีความฉากนี้ในลักษณะเช่นนั้นก็ได้ เพราะเมื่อ Dr. Stone ตั้งใจจะฆ่าตัวตาย ขณะกำลังค่อยๆเอนกาย ภาพของ Kowalski ปรากฎขึ้นในหัวสมองของตนเอง ซึ่งก็โดยไม่รู้ตัว เขากลายเป็นแรงผลักขับเคลื่อนให้เธอเกิดความตั้งใจ ‘มีชีวิต’ เป็นครั้งแรก

แซว: เป็นฉากเดียวที่เห็นใบหน้าของ Clooney แบบไม่ใส่หมวก

เมื่อ Dr. Stone เรียนรู้ที่จะปลดปล่อยบางสิ่งอย่างออกไปจากชีวิต/ความทรงจำ ของตนเองบ้าง เฉกเช่นเดียวกันกับกระสวยอวกาศ Soyuz ต้องกดปุ่มเพื่อแยกชิ้นส่วนออกจากกัน แล้วทำการหลอกเครื่องยนต์ว่าขณะนี้กำลังอยู่ในระยะ 3 เมตร กำลังจะแตะพื้น เพื่อให้พ่นพลังงานเฮือกสุดท้ายออกมา (นี่สื่อถึงพลังชีวิตเฮือกสุดท้ายตรงๆเลยนะเนี่ย ถ้าครั้งนี้ผิดพลาดก็ถึงคราตายได้เลย)

หนังได้รับการตีความถึงศาสนาเช่นกัน ตั้งแต่การพูดถึงแม่น้ำคงคา (แม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ของชาวฮินดู), รูปภาพนักบุญ St. Christopher (องค์อุปถัมภ์ของนักเดินทาง), รูปปั้น Budai (พระพุทธเจ้าในความเชื่อของ Zen), ชื่อสถานีอวกาศ Tiangong (แปลว่า Heavenly Palace) ฯ เหล่านี้คงเป็นการสื่อถึง เมื่อเทคโนโลยีไม่สามารถเป็นที่พึ่งพาให้แก่มนุษย์ได้ ความเชื่อศรัทธา สามารถสร้างพลังแห่งจิตวิญญาณ แรงผลักดันให้เกิดการขับเคลื่อนสู่เป้าหมาย/ความสำเร็จ

เกร็ด: ตอนที่หนังออกฉาย Tiangong เป็นแค่ชื่อโมดูลเล็กๆ (ส่วนประกอบหนึ่งของสถานีอวกาศ) เพิ่งตกกลับมาชั้นบรรยากาศโลกวันที่ 2 เมษายน 2018, แต่ขณะนี้ได้เปลี่ยนมาเป็นชื่อโปรแกรม/สถานีอวกาศเต็มตัว คาดหวังให้กลายเป็นคล้ายๆแบบในหนังเมื่อถึงปี 2022

ฉากนี้ถ่ายทำยัง Lake Powell, Arizona สถานที่เดียวกับนักบินอวกาศ Taylor ขับมาตกในโลกของ Planet of the Apes (1968) [โลกอนาคตที่ถูกวานรเข้ายึดครอง] และถ้าใครสังเกตหน่อยจะพบความลื่นไหลที่ดู Surreal เสียเหลือเกิน นั่นเพราะถ่ายทำด้วยกล้อง Arri 765 ฟีล์ม 65mm (ไม่ใช่ Digital นะครับ)

วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต แรกเริ่มจากใต้พื้นผิวน้ำ (พบเห็นกบแหวกว่ายขึ้นบก), เลื้อยคลานขึ้นมาเกยตื้นถึงริมหาด ไร้เรี่ยวแรงเพราะอยู่ในสภาวะไร้น้ำหนักบนอวกาศเสียนาน, ค่อยๆลุกขึ้นชันเข่า, และสามารถยืนขึ้น กระดูกสันหลังตั้งฉากพื้นโลก (กลายเป็นมนุษย์/สัตว์ประเสริฐ), ก้าวย่างคือชีวิตที่สามารถเดินไปต่อ

(ชาวคริสต์จะมองฉากกระสวยตกลงในน้ำแล้วนางเอกตะเกียกตะกายว่ายขึ้นมา เทียบกับการจุ่มศีล Baptism ซึ่งหมายถึงการเกิดใหม่ได้เช่นกัน)

Gravity คือเรื่องราวของบุคคลผู้พานพบเจอหายนะ เต็มไปด้วยความรวดร้าวทุกข์ทรมานหนักอึ้ง จิตใจล่องลอยเคว้งคว้างไร้ที่ยึดเกาะเหนี่ยวพึงพิง ไม่สามารถปลดปล่อยวางทุกสิ่งอย่างเหล่านั้นลงได้ให้ผ่อนคลาย แต่หลังจากค่อยๆเรียนรู้จักมุมมองชีวิต คำแนะนำจากผู้อื่น ได้รับโอกาสแรงผลักดันจากใครก็ไม่รู้อยู่ เริ่มเข้าใจถึงคุณค่าความหมายการมีชีวิตอยู่ จากนั้นราวกับได้ถือกำเนิดขึ้นใหม่ วิวัฒนาการจนสามารถแหวกว่าย คืบคลาน ชันเข่า ลุกยืนขึ้น และก้าวเดินสู่โลกทัศนคติที่แตกต่าง

แต่หนังก็มีความย้อนแย้งกันอยู่ Kowalski เสี้ยมสอนให้ Dr. Stone เรียนรู้จักการปลดปล่อยวางจากบางสิ่ง เพื่อให้สามารถหวนกลับสู่แรงดึงดูดยึดติด ถึงกระนั้นเราสามารถตีความได้ว่า นี่คือการแปรสภาพของหนัง จากเรื่องราวนามธรรมบนห้วงอวกาศ กลายเป็นรูปธรรมจับต้องได้บนโลก เพราะในทัศนคติของ Alfonso Cuarón มนุษย์จำเป็นต้องมีสิ่งยึดเหนี่ยวเกาะ ‘Gravity’ ดึงดูดไว้ ไม่สามารถเคว้งคว้างเรื่องเปื่อยไร้แก่นสาน ทุกสิ่งล้วนมีเป้าหมายของมัน ถ้ามัวแต่ปล่อยตนเองล่องลอยไปวันๆ ก็เป็นเรื่องน่าเสียดายของการเกิดขึ้นมีชีวิตอยู่

นั่นถือเป็นโลกทัศนคติ ‘ความเชื่อ’ ของชาวตะวันตก ก็ตั้งแต่หลักคำสอนศาสนา พระเจ้าเป็นผู้สร้างโลก นั่นทำให้พวกเขาเกิดความลุ่มหลงใหล ยึดติดกับสิ่งจับต้องได้ไม่ว่าจะรูปธรรม-นามธรรม มีตัวตน-ไม่มีตัวตน พลอยสร้างอิทธิพลครอบงำ ชี้นำชักจูงชาวตะวันออกหัวอ่อนให้เห็นพ้องสอดคล้องตามไปด้วย

จริงอยู่มนุษย์จำเป็นต้องมีเป้าหมาย แต่สำหรับบุคคลผู้นับถือพุทธศาสนา ปลายทางของเราไม่ใช่การยึดเกาะติดอยู่กับอะไรบางสิ่งอย่าง แต่คือปลดปล่อยวางจากรูปกายและจิต ไร้แรงดึงดูดยึดเหนี่ยวมิได้แปลว่าเคว้งคว้างล่องลอย หมายถึงสามารถมีสติควบคุมตนเองแม้อยู่ในสภาวะไร้น้ำหนัก หายใจเข้าออกด้วยจังหวะหัวใจของเราเอง นั่นต่างหากคือความสุขจริงแท้และชั่วนิรันดร์

ด้วยทุนสร้าง $100 ล้านเหรียญ หลังได้รับเสียงตอบรับดีล้นหลามจากออกฉายเปิดเทศกาลหนังเมือง Venice สัปดาห์แรกในอเมริกาทำเงินได้ $55.8 ล้านเหรียญ ยึดครองเป็นเจ้าของสถิติทำเงินสูงสุดเดือนตุลาคมแทน Paranormal Activity 3 (2011) [เพิ่งถูกแซงได้โดย Venom (2018)] จบโปรแกรมในอเมริกาทำเงินได้ $274 ล้านเหรียญ รวมทั่วโลก $723.2 ล้านเหรียญ นิตยสาร Deadline Hollywood ประเมินว่าได้กำไรกว่า $209.2 ล้านเหรียญ

แซว: ทุนสร้าง $100 ล้านเหรียญของหนัง แพงกว่าราคายานสำรวจดาวอังคาร Indian Mars Orbiter Mission ของประเทศอินเดีย ราคาเพียง $74 ล้านเหรียญ

เข้าชิง Oscar 10 สาขา คว้ามา 7 รางวัล ประกอบด้วย
– Best Picture
– Best Director ** คว้ารางวัล [Alfonso Cuarón กลายเป็นผู้กำกับสัญชาติ Mexican คนแรกที่คว้ารางวัลนี้]
– Best Actress (Sandra Bullock)
– Best Cinematography ** คว้ารางวัล [รางวัลแรกของ Emmanuel Lubezki ก่อนทำแฮตทริกอีก 2 ปีติด]
– Best Film Editing ** คว้ารางวัล
– Best Production Design
– Best Sound Editing ** คว้ารางวัล
– Best Sound Mixing ** คว้ารางวัล
– Best Original Score ** คว้ารางวัล
– Best Visual Effect ** คว้ารางวัล

รางวัลใหญ่ปีนั้นตกเป็นของ 12 Years a Slave (2013) คาดการณ์ด้วยสองเหตุผลใหญ่ๆ
– เพราะจักกลายเป็นครั้งแรกที่นักเขียน และโปรดิวเซอร์ผิวสี ขึ้นรับรางวัล Oscar เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
– ต่อจาก Avatar (2009) คณะกรรมการ Oscar มองหนังที่ตระการตาด้วย Visual Effect หรือ Sci-Fi เทียบคุณค่าไม่ได้กับโปรเจคเล็กๆที่ใช้แรงงานคนบริหารจัดการได้ดีกว่า

เกร็ด: ในบรรดาภาพยนตร์กวาด Oscar มากสุดแต่ดันพลาดรางวัลใหญ่ Best Picture มีเพียง Cabaret (1972) คว้า 8 จาก 10 รางวัล ที่มากกว่าหนังเรื่องนี้

ส่วนตัวค่อนข้างชื่นชอบหนังเรื่องนี้อย่างมาก เพราะปีนั้นผมมีโอกาสรับชมบนจอใหญ่ IMAX ตื่นตระการตา คุ้มค่าตั๋ว ทึ่งในวิสัยทัศน์ ความทะเยอทะยานของผู้กำกับ Alfonso Cuarón และโคตรสงสารเห็นใจ Sandra Bullock กว่าจะได้การแสดงเคลื่อนไหวออกมาสมจริงขนาดนั้น คู่ควรคว้ารางวัล Oscar มากกว่าเรื่อง The Blind Side (2009) เสียอีกนะ

ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ถึงขนาดต้องดูให้ได้ก่อนตาย แต่ผมจะให้คำแนะนำว่า “ต้องดูให้ได้ในโรง IMAX” ถ้ามีโอกาสถูกนำกลับมาฉายใหม่ ใครเป็นแฟนพันธุ์แท้ที่ยังไร้โอกาส พลาดไปถือว่าโคตรน่าเสียดาย

แนะนำคอหนัง Thriller Sci-Fi แนวหายนะบนห้วงอวกาศ, ชื่นชอบดาราศาสตร์ เพ้อฝันอยากเป็นนักบินอวกาศ, ผู้สร้างภาพยนตร์ ทำงานเบื้องหลัง นักออกแบบ Visual Effect ทั้งหลาย, วิศวกร นักจิตวิทยา นักคิด นักปรัชญา, แฟนๆผู้กำกับ Alfonso Cuarón และสองนักแสดงนำ Sandra Bullock, George Clooney ไม่ควรพลาด

จัดเรต 13+ กับหายนะ คนตาย และความตื่นเต้นลุ้นระทึกขวัญ

TAGLINE | “Gravity คือแรงผลักดันให้ Alfonso Cuarón คงค้างฟ้า ส่องแสงระยิบระยับตระการตาเหนือกาลเวลา”
QUALITY | RARE-GENDARY
MY SCORE | LIKE

1
Leave a Reply

avatar
1 Comment threads
0 Thread replies
1 Followers
 
Most reacted comment
Hottest comment thread
1 Comment authors
ราจิตร Recent comment authors

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

  Subscribe  
newest oldest most voted
Notify of
ราจิตร
Guest
ราจิตร

ผมดูเรื่องนี้ในโรง 4DX และการันตีเลยว่านี่คือ 4DX ที่ดีที่สุด
ตั้งแต่ฉากเปิดที่กล้องควงในอวกาศพร้อมเก้าอี้ ทำให้เราหลุดออกจากแรงโน้มถ่วงและโลกของความจริง
ดังนั้นถ้ามีใครถามว่าอยากให้ 4dX เอาเรื่องอะไรมาฉายอีกรอบ ผมขอสนับสนุนเรื่องนี้มากๆแน่นอนครับ

%d bloggers like this: