
Inland Empire (2006)
: David Lynch ♥♥♥♡
ภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องสุดท้ายของผู้กำกับ David Lynch ทำการทดลองผสมผสานทุกสิ่งอย่าง เลือนลางระหว่างอดีต-ปัจจุบัน-อนาคต ชีวิตจริง-ความฝัน เชื่อมโยงใยราวกับหยากไย่ ไม่มีทางดิ้นหลบหนีจากสังสารวัฏ
We are like the spider. We weave our life and then move along in it. We are like the dreamer who dreams and then lives in the dream. This is true for the entire universe.
จากคัมภีร์อุปนิษัท (Upaniṣad) ของศาสนาฮินดู
ในหลายๆบทสัมภาษณ์ผกก. Lynch เวลานักข่าวสอบถามถึงภาพยนตร์เรื่องสุดท้าย Inland Empire (2006) มักยกคำกล่าวจากคัมภีร์อุปนิษัท เปรียบเทียบชีวิตกับแมงมุม ถักทอหยากไย่ไปในทิศทางต่างๆ คล้ายการนอนหลับฝันซ้อนฝัน ตื่นขึ้นมาก็ยังฝัน(กลางวัน) ฝันโน่นนี่นั่นไม่รู้จักจบจักสิ้น
เมื่อกล่าวถึงเรื่องราวของความฝัน มันอดไม่ได้จะต้องเปรียบเทียบถึง Inception (2010) แต่เรื่องนั้นนำเสนอความฝันแบบเส้นตรง (Linear Dream/Narrative) ชั้นหนึ่ง → ชั้นสอง → ชั้นสาม → Limbo, แตกต่างจากความฝันของ Inland Empire (2006) มันสะเปะสะปะ ไร้ทิศทาง (Non-Linear) กระโดดจากฝันหนึ่ง → ไปฝันสี่ ← วกกลับมาฝันสาม ↑ ดำเนินสู่ฝันห้า ↓ หวนกลับมาฝันสอง → และแต่ละความฝันยังมีบางสิ่งอย่างเชื่อมโยงใยราวกับหยากไย่ เวียนวกไปวนมา ไม่รู้จักจบจักสิ้น
[T]he structure of Inland Empire differs from prior Lynch films, Lost Highway or Mulholland Drive. It is neither a Möbius strip that endlessly circles around itself, nor is it divisible into sections of fantasy and reality. Its structure is more akin to a web where individual moments hyperlink to each other and other Lynch films—hence the musical number that closes the film which contains obvious allusions to everything from Blue Velvet to Twin Peaks.
อาจารย์/นักวิจารณ์ Zoran Samardžija
และสิ่งที่ทำให้ Inland Empire (2006) สมควรค่าแก่การเป็นภาพยนตร์(ขนาดยาว)เรื่องสุดท้ายของผกก. Lynch คือการผสมผสานผลงานอื่น ไม่ใช่แค่หนังสั้น Rabbits (2002) ยังหลายสิ่งอย่างอ้างอิงถึง Blue Velvet (1986), ซีรีย์โทรทัศน์ Twin Peaks (1990-91) … ชวนให้ผมนึกถึงไตรภาค Three Colours ของผู้กำกับ Krzysztof Kieślowski ที่เรื่องสุดท้าย Red (1994) ได้ทำการเชื่อมโยง Blue (1993) และ White (1994) เข้าด้วยกัน!
แซว: สงสัยเพราะเป็นแฟนหนัง Krzysztof Kieślowski เลยทำให้ผกก. Lynch เดินทางไปถ่ายทำ Inland Empire ยังประเทศ Poland
ขอเตือนไว้ก่อนสำหรับคนที่อยากเชยชม Inland Empire (2006) เป็นหนังดูยากชิบหาย (จัดความยากระดับ Veteran) คุณควรไล่เรียง สะสมประสบการณ์จากผลงานอื่นๆของผกก. Lynch จนพอเข้าใจแนวคิด สไตล์ภาพยนตร์ และต้องเตรียมตัวเตรียมใจ ฟิตร่างกายให้พร้อมสามชั่วโมง รับชมรอบเดียวอาจไม่เพียงพอด้วยซ้ำไป
สิ่งที่หลายคนอาจยินยอมรับความพ่ายแพ้ในไม่กี่นาที คือภาพถ่ายด้วยกล้องดิจิตอล มันดูคุณภาพต่ำๆ (ทั้งๆผ่านการบูรณะ 4K) จัดแสงจร้าเกิน-มืดเกิน เลือกมุมกล้องให้นักแสดงดูอัปลักษณ์ที่สุด … นั่นคือความจงใจของผกก. Lynch เพื่อสร้างความฝันบิดๆเบี้ยวๆ สัมผัสเหนือจริง (Surrealist)
ในส่วนของการแสดง มันอาจจะมีดีบ้าง แย่บ้าง (บางครั้งเหมือนจงใจ บางครั้งมันเหมือนอะไรก็ไม่รู้) แต่สำหรับ Laura Dern สมควรต้องได้เข้าชิง Oscar (แต่ไม่ได้เข้าชิง) ขนาดว่าผกก. Lynch เคยพยายามช่วยโปรโมทด้วยการนั่งสูบซิการ์อยู่ตรงหัวมุม Hollywood Boulevard เคียงข้างแม่วัว
I ate a lot of cheese during the film, and it made me happy. Cheese is made from milk, get it? I’m looking forward to meeting theater owners and getting out among the people with the cow.
You know, there are a bunch of Academy members and all sorts of other awards activity going on out there. And people solve problems with money normally; well, I don’t have any money. And I also feel that the Academy members must be sick of seeing ad after ad after ad costing a fortune with no one really paying attention.
Honestly, I’m out there with the cow, and meeting the greatest bunch of people. The other day, we had my friend (director of USC’s Polish Music Center) Marek Zebrowski out there playing piano. It was so beautiful, such a great day, out with Georgia the cow, beautiful piano music, meeting so many great people.
David Lynch

David Keith Lynch (เกิดปี ค.ศ. 1946) ศิลปินวาดภาพ นักเขียน เล่นดนตรี Visual Artist กำกับภาพยนตร์ สัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Missoula, Montana บิดาเป็นนักวิทยาศาสตร์ทำงานวิจัยกระทรวงเกษตร (U.S. Department of Agriculture) ส่วนมารดาสอนวิชาภาษาอังกฤษ ครอบครัวมีเชื้อสาย Finnish-Swedish อพยพสู่สหรัฐอเมริกาประมาณศตวรรษที่ 19, ช่วงชีวิตวัยเด็กชื่นชอบการวาดรูป เพ้อฝันอยากจิตรกรแบบ Francis Bacon เคยเข้าศีกษา Corcoran School of the Arts and Design ก่อนย้ายมา School of the Museum of Fine Arts, Boston แต่ก็รู้สีกผิดหวังเพราะโรงเรียนเหล่านี้ไม่สามารถสอนอะไรนอกเหนือวิชาความรู้ เลยวางแผนออกท่องยุโรปสักสามปี แต่หลังจากสองสัปดาห์ให้หลังก็ตัดสินใจหวนกลับบ้าน
ก่อนลงหลักปักถิ่นฐานยัง Philadelphia เข้าศีกษา Pennsylvania Academy of Fine Arts ระหว่างนี้ก็มีโอกาสสร้างหนังสั้น Six Men Getting Sick (Six Times) (1967) เพราะต้องการเห็นภาพวาดของตนเองสามารถขยับเคลื่อนไหว ปรากฎว่าชนะรางวัลอะไรสักอย่าง นำเงินที่ได้มาทดลองสร้างภาพยนตร์เรื่องถัดมา The Alphabet (1968) มีส่วนผสมของ Live-Action กับอนิเมชั่น นำโปรเจคไปเสนอต่อ American Film Institute รับเงินมาอีกก้อนสร้างหนังเรื่องถัดไป จนกระทั่งกลายเป็น Eraserhead (1977) ภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องแรก ประสบความสำเร็จล้นหลาม (ทุนหลักหมื่น แต่ทำเงินหลายล้านเหรียญ!) จนบังเกิดกระแส Cult ติดตามมา
การมาถึงของอินเตอร์เน็ตในสหัสวรรษใหม่ ผกก. Lynch ได้เปิดเว็บไซด์ davidlynch.com (ปัจจุบัน Re-Directed ไปยังช่อง Youtube @DAVIDLYNCHTHEATER) ปีถัดมาเริ่มสร้างอนิเมชั่นขนาดสั้นออนไลน์ DumbLand (2002) แนว Black Comedy จำนวน 8 ตอนละ 3-4 นาที
ติดตามด้วยซิทคอมเหนือจริง (Surreal Sitcom) ชื่อว่า Rabbits (2002) เกี่ยวกับครอบครัวกระต่าย โดยให้นักแสดงสวมใส่ชุดกระต่าย Jack & Jane & Suzie (แสดงโดย Scott Coffey, Laura Elena Harring และ Naomi Watts) อาศัยอยู่ในห้อง/กล่องกระดาษ ทั้งสามต่างสนทนาอะไรกันก็ไม่รู้ ไม่มีความต่อเนื่อง กระต่ายตัวหนึ่งพูดอย่าง กระต่ายอีกตัวพูดอย่าง กระต่ายอีกตัวพูดอีกอย่าง (มีคำเรียก ‘disjointed conversations’) และมักถูกขัดจังหวะด้วยเสียงหัวเราะ/ปรบมือ น่าจะดังจากมาจากภายนอกห้อง
หลังจากผกก. Lynch หาซื้อกล้องดิจิตอล ใช้ถ่ายทำหนังสั้นสยองขวัญ Darkened Room (2002) มีลักษณะเป็นการทดลองคล้ายๆ Rabbits (2002) ความยาว 8 นาที ดำเนินเรื่องภายในอพาร์ทเม้นท์ หญิงชาวญี่ปุ่นกล่าวถึงเรื่องกล้วยๆ, หญิงผมบลอนด์นั่งร่ำร้องไห้บบนโซฟา และหญิงอีกคน(ผมน้ำตาล)เดินเข้ามาพูดดูถูก เหยียดหยาม ก่อนข่มขู่ว่าจะบอกความจริงอะไรสักอย่าง
ผกก. Lynch มีความหลงใหลในสัมผัส (Texture) ของกล้องดิจิตอลเป็นอย่างมากๆ คุณภาพหยาบๆชวนให้ถึงนึกยุคสมัยแรกๆของฟีล์ม 35mm ไม่มีใครรู้ว่าควรจะทำอะไรกับมันดี ราวกับดินแดนแห่งใหม่ที่ยังไม่ได้รับการสำรวจ … นั่นคือจุดเริ่มต้นให้อยากสรรค์สร้างภาพยนตร์ขนาดยาว (Feature Length)
The quality is pretty terrible, but I like that. It reminds me of the early days of 35mm, when there wasn’t so much information in the frame or emulsion. But the human being is a beautiful creature, you act and react, and the medium starts talking to you. So I love working in digital video. High-def is a little bit too much information.
David Lynch
แม้จะมีความตั้งใจใช้กล้องดิจิตอลสรรค์สร้างภาพยนตร์ขนาดยาว แต่ทว่าผกก. Lynch กลับไม่มีเรื่องราวที่อยากนำเสนอในใจ เพียงติดต่อหานักแสดง Laura Dern ชักชวนมาร่วมงานโดยไม่อธิบายรายละเอียดใดๆ
I can’t seem to remember if it’s today, two days from now, or yesterday. I suppose if it was 9:45, I’d think it was after midnight! For instance, if today was tomorrow, you wouldn’t even remember that you owed on an unpaid bill. Actions do have consequences. And yet, there is the magic. If it was tomorrow, you would be sitting over there.
การถ่ายทำเริ่มต้นขึ้นโดยไม่มีบทหนัง ไม่มีพล็อตเรื่องราว ไม่มีตอนจบ ทุกๆเช้าผกก. Lynch จะยื่นบทที่เพิ่งเขียนเสร็จสดๆร้อนๆให้กับนักแสดง
I’ve never worked on a project in this way before. I don’t know exactly how this thing will finally unfold … This film is very different because I don’t have a script. I write the thing scene by scene and much of it is shot and I don’t have much of a clue where it will end. It’s a risk, but I have this feeling that because all things are unified, this idea over here in that room will somehow relate to that idea over there in the pink room.
ด้วยการที่ไม่มีบทหนัง หรือกระทั่งพล็อตเรื่องราว จึงไม่มีสตูดิโอไหนใน Hollywood ให้ความสนใจออกทุนสร้าง ด้วยเหตุนี้จึงต้องเดินทางสู่ยุโรป ใช้เพียงชื่อผู้กำกับ Lynch สามารถขอเงินจาก StudioCanal (ของฝรั่งเศส) และเทศกาลหนัง Camerimage (ของ Poland)
สำหรับชื่อหนังเห็นว่ามาจากบทสนทนาระหว่างผกก. Lynch และ Laura Dern เล่าว่าสามี(ขณะนั้น) Ben Harper มาจาก Southern California ซึ่งมีคำเรียก Inland Empire ฟังดูน่าสนใจ “I like the word inland. And I like the word empire.” แต่กลับไม่มีสักฉากเดินทางไปถ่ายทำในบริเวณ Inland Empire
หนังเริ่มต้นที่ภาพของหญิงสาว/โสเภณี (ในเครดิตขึ้นชื่อ Lost Girl) หลังให้บริการลูกค้า นั่งร้องไห้อยู่หน้าจอโทรทัศน์ รับชมรายการเกี่ยวกับครอบครัวกระต่าย (จากหนังสั้น Rabbits (2002))
เรื่องราวหลักเริ่มต้นเมื่อเพื่อนบ้านคนหนึ่ง เดินทางมาแนะนำตัวกับนักแสดงสาว Nikki Grace (รับบทโดย Laura Dern) แสดงความยินดีที่เธอได้รับบทนำภาพยนตร์เรื่องใหม่ On High in Blue Tomorrows แต่นั่นกลับคือเหตุการณ์กำลังจะบังเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้
ระหว่างซักซ้อมการแสดง Nikki และนักแสดงนำชาย Devon Berk (รับบทโดย Justin Theroux) ได้รับฟังคำสารภาพจากผู้กำกับ Kingslet Stewart (รับบทโดย Jeremy Irons) บอกว่าบทหนังเรื่องนี้เป็นการสร้างใหม่ (Remake) ขึ้นจากภาพยนตร์สัญชาติเยอรมันที่สร้างไม่เสร็จชื่อว่า Vier Sieben (แปลว่า 47) ดัดแปลงจากปรัมปราพื้นบ้านต้องคำสาป (Polish cursed folktale) เพราะระหว่างถ่ายทำหนังเยอรมันเรื่องนั้น นักแสดงนำทั้งสองได้ถูกฆาตกรรมโดยไม่ทราบสาเหตุ
นักแสดงนำทั้งสองต่างไม่เชื่อเรื่องคำสาป ยังยืนกรานจะถ่ายทำภาพยนตร์ แต่ไปๆมาๆตัวละคร Sue และ Billy เริ่มซ้อนทับเข้ากับชีวิตจริงของ Nikki และ Devon เกินความเลือนลางจนเริ่มแยกออกไม่ และเมื่อเธอเดินเข้าประตูเขียนว่า “Axxon N.” ทุกสิ่งอย่างก็เกิดความเปลี่ยนแปลง เดินเข้าประตูหนึ่ง ไปโผล่ยังสถานที่อีกแห่งหนึ่ง มันเกิดเหตุการณ์ห่าเหวอะไรขึ้นกันแน่?
Laura Elizabeth Dern (เกิดปี ค.ศ. 1967) นักแสดงหญิง สัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Los Angeles บุตรสาวของนักแสดง Bruce Dern และ Diane Ladd หลังพ่อ-แม่แยกทาง อาศัยอยู่กับมารดา (และย่าเชื้อสาย Norwegian) ได้รับการเลี้ยงดูแบบคาทอลิก โดยมีแม่ทูนหัว Shelley Winters, เริ่มเข้าสู่วงการจากตัวประกอบ White Lightning (1973), Alice Doesn’t Live Here Anymore (1974), พออายุ 15 ได้รับเลือกให้เป็น Miss Golden Globe, เริ่มมีชื่อเสียงจาก Mask (1985) คือเหตุผลที่ David Lynch เลือกมาร่วมงาน Blue Velvet (1986) โดยไม่เคยได้ทดสอบหน้ากล้องด้วยซ้ำ ติดตามด้วย Wild at Heart (1990) และ Inland Empire (2006)
รับบท Nikki Grace นักแสดงสาวชื่อดัง อาศัยอยู่คฤหาสถ์หรู อยู่กินกับสามี Piotrek Krol (สัญชาติ Polish) วันหนึ่งได้รับเลือกแสดงภาพยนตร์ On High in Blue Tomorrows เล่นบทนางเอก Susan Blue หรือ Lost Girl แต่งงานอยู่กินกับ Smithy แล้วแอบสานสัมพันธ์กับ Billy Side (ที่ก็มีคู่ครองอยู่แล้ว) … เมื่อการถ่ายทำดำเนินไป Niki ก็เริ่มบังเกิดความสับสน แยกแยะไม่ออกระหว่างชีวิตจริง-เรื่องราวในภาพยนตร์
เล่นหนังของผกก. Lynch ต้องมีความหาญกล้า ไม่ห่วงสวย ตั้งแต่ภาพยนตร์ Blue Velvet (1986) แสดงสีหน้ารังเกียจขยะแขยง (รับไม่ได้ที่แฟนหนุ่มสานสัมพันธ์กับโสเภณี) มาจนถึง Inland Empire (2006) ทุกๆมุมกล้องพยายามจะทำให้ใบหน้าของ Dern ดูอัปลักษณ์พิศดารที่สุด
ตัวละครของ Dern บางครั้งเล่นเป็น Nikki Grace บางครั้งเล่นเป็น Sue Blue ช่วงแรกๆยังพอแยกแยะได้ แต่เมื่อเรื่องราวดำเนินไปผู้ชมจะเริ่มเกิดความสับสน มึนงง ดูไม่ออกว่ากำลังเล่นบทบาทไหน? ชีวิตจริง-การแสดงค่อยๆเลือนลางเข้าหากัน … เราไม่จำเป็นต้องค้นหาคำตอบ แค่เพลิดเพลินกับการดำเนินไปของเรื่องราวก็เพียงพอแล้ว
การทำงานของผกก. Lynch ที่ไม่รู้อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต บอกไม่ได้ว่าเรื่องราว/ตอนจบจะดำเนินไปเช่นไร สิ่งที่ Dern สามารถทำได้ในฐานะนักแสดง คือสำแดงความเชื่อมั่นต่อผู้กำกับ บอกให้ทำอะไรก็ทำ ใช้สันชาติญาณเล่นบทบาทขณะนั้น “in the moment” ให้ดีที่สุด … กล่าวคือ Dern เองก็ไม่รู้ว่าวันนี้เล่นเป็นใคร บอกไม่ได้ว่าหนังเกี่ยวกับอะไร แค่แสดงตามบทบาทได้รับเท่านั้นเอง
David would write a scene and we would film that, and then he would write another scene and we would film that, and so on. It forced me very luxuriously into the moment. I didn’t necessarily know what would come before or what was coming after and whether one perceives it that I am different people or that I am aspects of one person. Either way, you can really only act that one way which is being the person you are in that moment. So in a way, not knowing everything [helped]. I was freed from any of that by David keeping me in the moment with whatever character I was playing or whichever aspect of the story I was involved in. And that was extremely freeing.
Laura Dern
แทนที่จะติดต่อหาช่างภาพมืออาชีพ David Lynch ตัดสินใจใช้กล้องดิจิตอล Sony DSR-PD150 ที่มีน้ำหนักเบา สามารถขยับเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ (Hand Held) ไม่ต้องตระเตรียมการอะไรมาก ใช้เพียงแสงธรรมชาติ เทปม้วนหนึ่งถ่ายทำได้ 40+ กว่านาที ด้วยคุณภาพ SD 480p (Standard Edition)
It was so lightweight and fast. Small lights, lightweight camera, long takes — those three things right there change everything. Of course, now you’ve got digital cameras that are giant with lenses that weigh 50,000 pounds and you’re back in the old world, with a long time to wait for lighting. But there are also smaller and smaller cameras that have more and more features — better automatic focus, more steadying gizmos.
David Lynch

แต่จุดประสงค์หลักของการเลือกใช้กล้องดิจิตอลคุณภาพต่ำ (จริงๆกล้องสมัยนั้นสามารถบันทึกภาพ HD 1080p แต่กลับเลือกใช้ SD 480p) เพราะต้องการผิวสัมผัส (Texture) ของภาพที่ดูเบลอๆ หยาบกระด้าง เป็นการสร้างโลกอีกใบที่ดูฉาบฉวย จอมปลอม ราคาถูก ไม่ได้มีความสวยงามสักเท่าไหร่
และอิสระในการถ่ายทำ สามารถขยับเคลื่อนไหวอะไรยังก็ได้ (Unchained Camera) จึงสามารถเลือกตำแหน่ง-ทิศทาง-มุมกล้องที่แตกต่างจากปกติ พยายามบันทึกภาพใบหน้านักแสดงด้านที่ดูอัปลักษณ์ บิดๆเบี้ยวๆ เพื่อสร้างความอึดอัด กระอักกระอ่วนใจแก่ผู้ชม ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะอดรนทนรับชมหนัง
หนังได้ทุนสนับสนุนจาก Camerimage Festival จึงเลือกปักหลักถ่ายทำยัง Łódź & Warsaw (Poland) และบางฉากหวนกลับมาที่ Hollywood, Los Angeles รวมระยะเวลาโปรดักชั่นทั้งหมด 3 ปี
ภาพแรกของหนังซูมออกจากเครื่องเล่นแผ่นเสียง (Gramophone) ได้ยินคำบรรยาย “Axxon N., the longest running radio play in history” นั่นแสดงว่า Axxon N. คือ(ประตูทางเข้า)สถานีวิทยุเก่าแก่ที่แพร่กระจายสัญญาณมาเนิ่นยาวนาน ซึ่งอาจสื่อถึงการดำเนินไปของเรื่องราว สิ่งเชื่อมโยงจากโบราณกาล จนถึงอนาคตกาล ไม่รู้จักจบจักสิ้น

โสเภณี (Prostitute) ก็เป็นอาชีพที่มีมาแต่โบราณกาล การถ่ายภาพขาว-ดำก็เพื่อสร้างสัมผัสเก่าแก่ โบร่ำราณ ส่วนเหตุผลที่เบลอใบหน้า ไม่ใช่จะปกปิดบังใครรับบท แต่สามารถเหมารวมถึงหญิงสาว/เพศหญิง เธออาจเป็นใครก็ได้ หรือเป็นได้ทุกคน
The scenes at the start of the film, where you can see the characters but their faces are all blurred, I did on [Apple] Shake. I started doing that effect myself and then Noriko Miyakawa, my assistant editor, finished the shots. But then I found that when you up-res’d the blurs from low res, a lot of times you’d get all these lines coming in, so we then had to go and re-blur all those shots in high def. I also used [Adobe] After Effects for various shots, but I don’t want to talk about what I did exactly.
David Lynch

มันอาจจะใช่-หรือไม่ใช่คนเดียวกัน แต่เราสามารถเหมารวมว่าเธอคนนั้นคือ Lost Girl หลังเสร็จกามกิจ ปรากฎแสง Lens flare พร้อมคำร้อง ♪Shining♪ หญิงสาวนั่งร่ำไห้อยู่บนเตียง ใครเคยรับชมหนังสั้น Darkened Room (2002) ก็น่าจะมักคุ้นเคยเป็นอย่างดี! ชักชวนผู้ชมขบครุ่นคิด ตั้งคำถามว่าเธอเสียน้ำตาทำไม? มีใครทำให้เศร้าโศกเสียใจ? หรือเจ็บปวดจากการขายบริการ? รู้สึกรันทดกับชีวิต? หรือเพราะรายการโทรทัศน์ที่กำลังรับชม?
คำตอบในหนังคือ Lost Girl ร่ำไห้ครุ่นคิดตนเองว่าสูญเสียสามี(และบุตร) ก่อนตระหนักว่านั่นอาจเป็นเพียงความฝัน เลือนลางกับสิ่งรับชมในโทรทัศน์ ท้ายที่สุดสามารถหวนกลับสู่อ้อมอกคนรัก

ระหว่างที่หญิงสาวรับชมโทรทัศน์ ในตอนแรกพบเห็นเพียงสัญญาณ Blue Noise (ใครเคยรับชม Twin Peaks น่าจะรับรู้ถึงนัยยะของสัญญาณเหนือธรรมชาติ) จากนั้นรายการแรกที่ฉายคือเพื่อนบ้านเดินทางไปยังคฤหาสถ์หรู (รับชมไปเรื่อยๆจะรับรู้ว่านั่นคือเหตุการณ์ที่กำลังจะบังเกิดขึ้นต่อไป) ช็อตถัดมายังพบเห็นภาพซ้อนลางๆระหว่างภายในห้องพักโรงแรม กับเหตุการณ์บนจอโทรทัศน์ นี่ถือเป็นการอารัมบทความเหลื่อมล้ำ/ซ้อนทับระหว่างโลกความจริง-เหตุการณ์ในโทรทัศน์
ครั้งถัดๆมากล้องจับสัญญาณ Blue Noise ค่อยๆเลือนหายกลายเป็นรายการซิทคอม Rabbits (2002) นักแสดงสามคนสวมใส่ชุดกระต่าย อาศัยอยู่ร่วมกันในห้องที่เหมือนลังกระดาษ ช่างมีลักษณะไม่แตกต่างจากห้องพักโรงแรม


เมื่อครั้นกระต่ายตนหนึ่งเปิดประตู ก้าวออกจากห้อง แล้วมาโผล่ยังคฤหาสถ์หลังหนึ่ง พอไฟสว่างขึ้นเจ้ากระต่ายก็ค่อยๆเฟดหาย ก่อนตัดไปภาพชายสองคนกำลังพูดคุยสนทนาอะไรสักอย่างในห้องหับเดียวกัน! และหลังการสนทนาเสร็จสิ้นยังมีการ Blur-Out แล้วปรากฎภาพกระต่ายตัวเดิมก้าวออกจากห้อง พร้อมหรี่ไฟดับ
ปล. การเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ (พุทธและฮินดูมีแนวคิดเดียวกัน) ไม่จำเป็นว่าต้องเกิดเป็นมนุษย์เท่านั้น ชาติภพหนึ่งอาจเคยเกิดเป็นกระต่าย สรรพสัตว์อื่นๆก็ได้เช่นกัน


การใช้กล้องดิจิตอล Hand-Held ที่น้ำหนักเบา สามารถถือได้ด้วยมือข้างเดียว ทำให้ผกก. Lynch มีอิสระในการเลือกทิศทาง มุมกล้อง ไม่ต้องจัดองค์ประกอบอะไรมากมาย แต่มันอาจไม่ใช่รสนิยม (Taste) เป็นที่ชื่นชอบของผู้ชมทั่วไป อย่างฉากการสนทนาระหว่างเพื่อนข้างบ้าน เดินทางมาแนะนำตัวเองกับ Nikki มันสร้างความอึดอัด กระอักกระอ่วน โคลสอัพใกล้เกินไปไหม ทำให้ใบหน้าพวกเธอดูบิดๆเบี้ยวๆ เรียกได้ว่าอัปลักษณ์ เหมือนมีลับลมคมในอะไรบางอย่าง


เมื่อเรื่องราวดำเนินไปได้สักพัก Nikki เริ่มบังเกิดความสับสน มึนงง ไม่รับรู้ตนเองว่ากำลังทำการแสดง? หรือเหตุการณ์เบื้องหน้าคือชีวิตจริง? ผู้ชมสังเกตได้ตอนเธอกำลังเข้าฉากกับ Devon Berk ที่รับบทเป็นชู้รัก Billy Side แล้วจู่ๆพูดขึ้นมาว่า “This sound like dialogue from our script!” หรือว่าชีวิตจริงของพวกเขามีลับลมคมในอะไรบางอย่างด้วยกัน?

ฉากร่วมรักระหว่าง Nikki กับ Devon มันคือชีวิตจริง? หรือการแสดง? นี่ผมก็ตอบไม่ได้เช่นกัน เพราะฝ่ายหญิงพยายามบอกว่า “It’s me… Nikki” แต่ฝ่ายชายกลับบอกว่าเธอคือ “What is this, Sue?” ใครกันที่เกิดความสับสน? หรือเข้าใจผิดด้วยกันทั้งคู่?


จุดเปลี่ยนสำคัญคือการเดินเข้าประตู “Axxon N.” แม้ภายในยังเป็นโรงถ่าย แต่สิ่งผิดแผกคือ Nikki ย้อนเวลากลับไปพบเห็นตอนเริ่มต้นซักซ้อมการแสดง ระลึกว่าตอนนั้นมีใครสักคนแอบเข้ามาในโรงถ่าย และมาเปิดเผยตอนนี้ว่าคือตนเองจากอนาคต?


Nikki วิ่งหนีเข้าห้องแห่งหนึ่งในโรงถ่าย แล้วจู่ๆภายนอกเปลี่ยนเป็นสวนหน้าบ้าน (ของ Sue Blue) จากนั้นออกเดินสำรวจเห็นห้องนอน Smithy (สามีของ Sue Blue) และพอเข้าไปอีกห้องพบเจอสาวๆโสเภณี นี่มันเกิดเหตุการณ์ห่าเหวอะไร? ไม่รู้ไม่เข้าใจ? นั่นอาจคือเหตุผลที่เธอร่ำร้องไห้ออกมา




ครุ่นคิดว่าเหตุการณ์ทั้งหมดอาจคือความฝัน Nikki จึงยกมือขึ้นมาปิดตา แต่พอเปิดออกกลับพบว่าตนเองกำลังยืนอยู่บนท้องถนน ฤดูหนาวในเมือง Łódź, Poland ช่วงทศวรรษ 1930s … ตลอดทั้งซีเควนซ์นี้นำเสนอการเดินทางข้าม Space & Time ชีวิตไม่ต่างจากความฝัน ล่องลอยไปอย่างไร้จุดสิ้นสุด

การร้องไห้ของ Nikki เพราะไม่เข้าใจว่ามันเกิดเหตุการณ์ห่าเหวอะไร? ชวนให้นึกถึง Lost Girl ตอนต้นเรื่อง โดยหนังยังทำการเปรียบเทียบ/เชื่อมโยงด้วยการแทรกภาพเครื่องเล่นแผ่นเสียง (Gramophone) ราวกับว่ามันคือความรู้สึก/อารมณ์เดียวกันที่ถูกส่งต่อผ่าน Space & Time

การลุกขึ้นมาโยกเต้นของสาวๆ สามารถสื่อตรงๆถึงการกระโดดไปกระโดดมาของความฝัน ชีวิตล่องลอย/เริงระบำอยู่ในสังสารวัฏ เดี๋ยวเกิด-เดี๋ยวตาย เต้นๆอยู่หายตัวไปอย่างลึกลับ สนเพียงความสุขในปัจจุบัน ระเริงรื่นอย่างไม่รู้วัน-เดือน-ปี

Do you want to see? You have to be wearing the watch. You light a cigarette. You push and turn right through the silk. You fold the silk over and then… you look… through the hole.
นำเอาบุหรี่จุดไฟจี้เสื้อให้เป็นรู ซ้อนภาพนาฬิกาหมุนๆ (หยุดที่ 10:10) จากนั้นพับผ้า จับจ้องมองเข้าไป จักพบเห็นโลกอีกใบ … นี่คงคือเป็นคำอธิบายการเดินทางข้าม Space & Time (Wormhole) ด้วยวิธีของ Surrealist กระมังนะ

ระหว่างที่กล้องซูมเข้าไปในรูไหม้ พบเห็นลวดลายทักถอเสื้อ = ฉากถัดไปคือ Lost Girl กำลังรับชม(อดีต)ตนเองในโทรทัศน์ เคยถูกสามีทุบตี กระทำร้ายร่างกาย นั่นอาจคือเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เธอร่ำร้องไห้ออกมา จากนั้นรายการซิทคอม Rabbits (2002) ซึ่งจู่ๆอาบฉาบแสงสีแดง แถมพบเห็นกองไฟเล็กๆ กระต่ายตนหนึ่งแสดงท่าทีลุกรี้ร้อนรน ส่วนกระต่ายอีกตนกลับนั่งเพิกเฉยอยู่บนโซฟา มันคงสะท้อนความรู้สึกขณะนั้นอย่างตรงไปตรงมา



ตอนต้นเรื่องมีกระต่ายตนหนึ่งก้าวออกจากห้อง เข้ามายังคฤหาสถ์หรู เพื่อทำการเปรียบเทียบมนุษย์ = กระต่าย, คราวนี้ก็ละม้ายคล้ายกัน แต่มันอาจต้องใช้การสังเกตสักหน่อยเพราะภาพมืดมากๆ กระต่าย(น่าจะอีก)ตนหนึ่งนั่งลงตรงเก้าอี้ แล้วฉากถัดมาตัวละครของ Sue Blue ก็นั่งลงตำแหน่งเดียวกัน!
สภาพของ Sue Blue ขณะนี้เหมือนคนเพิ่งโดนกระทำร้ายร่างกาย จริงๆเมื่อเรื่องราวดำเนินไปจะมีการเปิดเผยว่าเธอถูกตบโดย Doris Side (ภรรยาของ Billy Side ที่แอบคบชู้นอกใจ) แต่ฉากก่อนหน้านี้เพิ่งฉายภาพ Lost Girl ถูกสามีซ้อม มันอาจฟังดูงงๆ แต่เราสามารถเหมารวมทั้งสองเหตุการณ์คือสิ่งหนึ่งเดียวกัน หญิงสาวจากคนละชาติภพ
ฉากนี้ยังล้อกับตอนต้นเรื่องที่ Doris Side ให้การกับตำรวจ บอกว่าถูกสะกดจิตให้ลงมือเข่นฆ่าใครคนหนึ่ง แต่กลับกลายเป็นว่าใช้ไขควงทิ่มแทงตนเอง, คราวนี้ในทิศทางตรงกันข้าม Sue Blue กำลังให้การกับตำรวจ ซึ่งเธอคือบุคคลที่กำลังจะถูกทิ่มแทงในฉากถัดๆไป


ผมขี้เกียจลงรายละเอียดเรื่องราวในฟากฝั่งของ Sue Blue เลยขอสรุปคร่าวๆแค่เธอแต่งงานกับ Smithy สามีอารมณ์ร้อน ชอบใช้ความรุนแรง กระทำร้ายร่างกาย ระหว่างปาร์ตี้ในสวน ชักชวนเพื่อนร่วมคณะละคอนสัตว์ (Baltic Travelling Circus?) ทำงานเป็นผู้ดูแลสรรพสัตว์ … นั่นอาจเป็นอีกเหตุผลที่หนังเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ = กระต่าย, ชายสูงวัยสามคนราวกับกระต่ายกลับชาติมาเกิด? จัดวางตำแหน่งนักแสดง และกระต่ายได้อย่างพอดิบพอดี

ทีแรกผมไม่ได้ทันสังเกตเพราะมันมืดมากๆ แต่พอไล่ๆดูอีกรอบถึงพบว่า Sue Blue ได้แอบถ้ำมอง ลอดรู (ล้อกับตอนเอาบุหรี่จี้เสื้อ) แล้วฉากถัดมาเธอตรงไปยังคฤหาสถ์หรูของชู้รัก Billy (สถานที่เดียวกับคฤหาสถ์หรูของ Nikki ตอนต้นเรื่อง) ป่าวประกาศความรักต่อหน้าภรรยา Doris Side ลุกขึ้นมาตบหน้าชา


เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความอิจฉาริษยาให้ Doris Side เลยแก่งแย่งไขขวงมาทิ่มแทง Sue Blue เดินตุปัดตุเป๋ผ่านดาวดาราบนท้องถนน Hollywood Walk of Fame (นักแสดง/ดาวดาราสวมบทบาทเป็นบุคคลในภาพยนตร์ = ความฝัน = ชาติภพต่างๆ) แล้วพอจะเดินข้ามถนนมีการใช้เทคนิค Step Printing หรือ Slow Shutter ที่มีความเบลอๆ หน่วงๆ เหมือน ‘Time Lapse’ เห็นลำแสงเป็นเส้นยาว ใกล้ถึงวาระสุดท้ายของชีวิต

หนังนำเสนอความตายของ Sue Blue ไม่ต่างจากหมาข้างถนน ทิ้งตัวลงนอนเคียงข้างคนไร้บ้าน พูดคุยสนทนาแบบที่ดูรู้ว่าคือการอ่านบท ตัวประกอบไร้ความสมจริง (เพื่อให้ผู้ชมตระหนักว่านี่คือการแสดง) จากนั้นกล้องค่อยๆซูมออก เคลื่อนถอยหลัง พบเห็นกล้องอีกตัวที่กำลังถ่ายทำ ก่อนผู้กำกับสั่ง Cut! ฉากสุดท้าย ปิดกองถ่ายทำ
ความน่าสนใจของฉากนี้ไม่ใช่เสร็จสิ้นการถ่ายทำภาพยนตร์ แต่ผมครุ่นคิดว่าผกก. Lynch ต้องการนำเสนอแนวคิดความตายไม่ใช่จุดสิ้นสุด! ตายในภาพยนตร์นักแสดงยังมีชีวิตอยู่ ตายในชีวิตจริงก็ยังมีจิตวิญญาณล่องลอยอยู่ มันจึงเป็นแค่เพียงช่วงเวลาเปลี่ยนแปรสภาพจากภาพยนตร์เรื่องหนึ่งสู่อีกภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง ความฝันหนึ่งสู่อีกความฝันหนึ่ง ชาติภพหนึ่งสู่อีกชาติภพหนึ่ง เกิด-ตาย (Reborn) ดำเนินไปอย่างไร้จุดสิ้นสุด

หลังเสร็จสิ้นการถ่ายทำ ถ้าว่ากันตามสามัญสำนึกใครๆย่อมต้องครุ่นคิดว่า Nikki ฟื้นตื่นขึ้นมา แต่มันเป็นเช่นนั้นจริงๆนะหรือ? เพราะปฏิกิริยาของเธอดูสับสน มึนงง (เหมือนครึ่งแรกที่พอ Nikki ก้าวเข้าประตู “Axxon N.” ก็เต็มไปด้วยความสับสน มึนงงกับเหตุการณ์ประหลาดๆบังเกิดขึ้น) ก้าวออกเดินเรื่อยเปื่อย ไม่ได้สนใจผู้กำกับ/สมาชิกกองถ่าย และพอมาถึงโรงภาพยนตร์แห่งหนึ่ง พบเห็นตนเองบนจอที่กำลังฉาย สรุปแล้วฉันคือใคร? Nikki Grace? Sue Blue? Laura Dern? หรือตัวละครใหม่?

เธอคนนั้นผมขอเรียกว่า Laura Dern ก็แล้วกัน เพราะไม่รู้ว่าตอนนี้คือ Nikki หรือ Sue หรือใคร? ดำเนินมาถึงห้องพัก พบเจอกับ Smithy ที่มีท่าทางเคลิบเคลิ้ม ล่องล่อย ใบหน้าสาดแสงสว่างจร้า พอยกปืนขึ้นจ่อยิง มีการซ้อนภาพใบหน้าบิดๆเบี้ยวๆของ Laura Dern ซึ่งก็ไม่รู้อีกว่าใคร แต่อาจสื่อถึงการถูกสิงสถิต ร่างกายปัจจุบัน ซ้อนทับจิตวิญญาณจากอดีต
นัยยะของภาพนี้ชวนให้ผมนึกถึงโคตรภาพยนตร์ Persona (1966) ที่ทำการแบ่งครึ่งใบหน้าสองนักแสดงแล้วนะมาใส่ร่วมเฟรมเดียวกัน แต่คราวนี้เป็นการเอาภาพใบหน้าเต็มๆของอีกคน ซ้อนทับใบหน้านักแสดงอีกคน เพื่อสื่อถึงการรวมตัวระหว่างร่างกาย-จิตวิญญาณ


หนังเริ่มต้นจาก Lost Girl ร่ำร้องไห้ระหว่างรับชมรายการโทรทัศน์ พอเรื่องราวดำเนินมาถึงขณะนี้บุคคลที่อยู่ในรายการดังกล่าวได้ปรากฎตัวขึ้นมาต่อหน้า! นี่เช่นกันคือการเลือนลาง/ซ้อนทับระหว่างชีวิตจริง-การแสดง แบบเดียวการฉายภาพเหตุการณ์บังเกิดขึ้นบนหน้าจอโทรทัศน์พร้อมๆกัน
การจุมพิต ไม่ใช่เพราะทั้งสองตกหลุมรัก หรือบังเกิดอารมณ์ทางเพศใดๆ แต่คือสัญลักษณ์ของการรวมเป็นหนึ่ง เธอคือฉัน ฉันคือเธอ (ความหมายเดียวกับเพศสัมพันธ์) ทำให้ใครคนหนึ่งค่อยๆเลือนหาย หรือจะตีความว่าทั้งสองกลายเป็นบุคคลเดียวกัน

หลังจากสองหญิงรวมตัวเป็นหนึ่ง หนังก็นำเสนอบทสรุปตัวละคร Lost Girl ตระหนักว่าทุกสิ่งอย่างรับชมในโทรทัศน์เป็นแค่เพียงความฝัน เดินทางกลับห้องพักพบเจอสามีและบุตร … แม้บทเพลงตรงกับท่อน ♪I cry♪ แต่ปฏิกิริยาสีหน้าของเธอกลับเบิกบานด้วยรอยยิ้ม หรืออาจมองว่าร่ำไห้จากความดีใจก็ได้กระมัง


ขณะที่ตัวละครของ Laura Dern (น่าจะเป็น Nikki) ปรากฎตัวขึ้นที่บ้านกระต่าย ได้ยินเสียงปรบมือ แสงสปอร์ตไลท์สาดส่อง สำหรับคนช่างสังเกตจะพบการซ้อนภาพหญิงสาวเต้นบัลเล่ต์หมุนตัว ราวกับฝันเป็นจริง บังเกิดรอยยิ้ม … จริงๆผมไม่ค่อยเข้าใจฉากนี้นัก แต่ครุ่นคิดว่ามันคือภาพสะท้อนของ Lost Girl ที่กลับสู่โลกความเป็นจริง, ตรงกันข้ามกับ Nikki เดินทางสู่ดินแดนแห่งความฝัน/ภาพยนตร์


หลายคนอาจเกาหัวกับความขัดย้อนแย้ง (Paradox) เพราะหนังเริ่มต้นที่ Lost Girl ร่ำร้องไห้ในห้องโรงแรม รับชมรายการโทรทัศน์ พบเห็นเพื่อนบ้านเดินทางมาเยี่ยมเยียนนักแสดง Nikki Grace, แต่ตอนจบกลับเริ่มที่ Sue Blue เดินทางมาหาโสเภณีคนนั้น แล้วฉากสุดท้าย Nikki Grace สิ้นสุดการสนทนากับเพื่อนบ้าน
ความขัดย้อนแย้งดังกล่าวก็เพื่อสื่อถึงความเป็นไปได้ไม่รู้จบของเรื่องราว จักรวาลไม่ได้ถูกจำกัดด้วย Space & Time แต่คือขอบเขตศักยภาพของมนุษย์ที่จะทำความเข้าใจเรื่องพรรค์นี้เสียมากกว่า


การเริงระบำใน Closing Credit บางคนอาจตีความถึงการปลดปล่อย เป็นอิสระจากวังเวียนวน ดูหนังจบ หลุดพ้นจากวัฏฏะสังสาร, แต่ทว่าผกก. Lynch เลือกบทเพลง Sinner Man ซึ่งเป็นแนว Spiritual/Gospel เกี่ยวกับความพยายามหลบหนีของคนบาปในวันพิพากษา (Judgement Day) แต่ทว่าพวกเขามิอาจดิ้นหลุดพ้น ย่อมต้องถูกพระเจ้าลงทัณฑ์ หรือว่ายเวียนวนอยู่ในสังสารวัฎชั่วกัปชั่วกัลป์

ในส่วนของการตัดต่อ โดยปกติแล้วจะส่งต่อให้ภรรยา(ขณะนั้น) Mary Sweeney ร่วมงานกันมาตั้งแต่ Blue Velvet (1986) แต่เพราะหนังเรื่องนี้ไม่มีบท ไม่มีโครงสร้าง ไม่มีใครรับรู้อะไรใดๆไปมากกว่าผกก. Lynch เขาจึงต้องลงมือตัดต่อด้วยตนเอง … แต่ Sweeney ยังคงเครดิต Produced by เป็นคนช่วยหางบประมาณ และจัดการกองถ่าย
I did it all on [Apple] Final Cut Pro at my home office, and it took me over six months. I absolutely love editing. I used to work a lot with [producer] Mary Sweeney who cut Mulholland Drive and Lost Highway for me, but no one else could edit this since there wasn’t a real organized script to go by and no one knew what was going on except me. But it wasn’t a problem because digital editing is such a dream, and when you go in there on your own you discover elements that you wouldn’t if you were one step removed, like an ordinary editor. For me it’s so important to get in there on your own and go through the whole process.
David Lynch
หนังดำเนินเรื่องผ่านมุมมองของนักแสดงนำ Laura Dern บางครั้งรับบทเป็นนักแสดงชื่อดัง Nikki Grace บางครั้งสวมบทบาท (Role within Role) เป็นตัวละคร Sue Blue พานผ่านสถานที่ วันเวลา (Space & Time) กระโดดไปกระโดดมา ไม่รู้จักจบจักสิ้น
- อารัมบท
- ภาพขาว-ดำ โสเภณีขายบริการทางเพศ
- Lost Girl นั่งร้องไห้ระหว่างรับชมรายการโทรทัศน์
- โทรทัศน์กำลังฉายรายการซิทคอม Rabbits
- Nikki’s Reality
- เพื่อนบ้านคนหนึ่ง เดินทางมาแนะนำตัว พูดคุยกับนักแสดงสาว Nikki Grace
- วันถัดมา Nikki ได้รับเลือกแสดงภาพยนตร์ On High in Blue Tomorrows
- เดินทางไป Hollywood พบปะทีมงาน และออกรายการโทรทัศน์โปรโมทภาพยนตร์
- เดินทางไปโรงถ่าย ซักซ้อมการแสดง แล้วผู้กำกับเล่าถึงเบื้องหลังโปรเจค
- Doris Side พูดคุยกับตำรวจ บอกอยากจะฆ่าใครสักคน ก่อนพบไขควงทิ่มแทงที่ท้องตนเอง
- ช่วงแรกๆ Nikki ยังแยกแยะออกว่านี่คือการแสดงกับชีวิตจริง แต่หลังจากเข้าฉากโรแมนติก Nikki ก็เริ่มบังเกิดความสับสน
- วันหนึ่ง Nikki เข้าไปในประตูที่เขียนข้อความ Axxon N. กลับมาโผล่ยังวันที่เธอเดินทางไปโรงถ่าย ซักซ้อมการแสดงวันแรก
- Sue’s Reality
- Nikki กลายเป็น Sue Blue หลบหนีสามีเข้าไปในตู้เสื้อผ้า ก่อนมาพบเจอกับกลุ่มสาวๆโสเภณีบนท้องถนน Łódź ช่วงทศวรรษ 1930s
- Lost Girl นั่งร้องไห้ระหว่างรับชมรายการซิทคอม Rabbits
- Sue Blue ในสภาพถูกซ้อม พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจบนชั้นสองไนท์คลับ จากนั้นเริ่มเล่าความหลัง
- Sue Blue กับบรรดาเพื่อนๆโสเภณี เริงระบำในห้องพัก
- Smithy จัดงานเลี้ยงในสวนหน้าบ้าน ชักชวนเพื่อนๆมาร่วมทานอาหาร
- Lost Girl มีเรื่องทะเลาะกับสามี เลยถูกทำร้ายร่างกาย
- Sue Blue แอบคบชู้กับ Billy Side เดินทางไปหาที่คฤหาสถ์ เลยถูก(ภรรยา) Doris Side ตบหน้าเลือดกลบปาก
- Sue Blue เดินทางมายังชั้นสองไนท์คลับ พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก่อนค้นพบว่า…
- ระหว่างเดินบนท้องถนน Hollywood ถูก Doris Side แก่งแย่งไขควง ทิ่มแทงเข้าที่ท้อง
- Sue Blue ทิ้งตัวลงบนทางเท้า ก่อนสิ้นใจตาย
- เลือนลางระหว่างการแสดง-ชีวิตจริง
- การถ่ายทำภาพยนตร์เสร็จสิ้น แต่ทว่า Nikki ยังคงสับสนตนเองกับ Sue Blue
- Nikki/Sue Blue ก้าวเดินไปยังโรงภาพยนตร์ เห็นหนังของตนเองกำลังฉายอย่างงงๆ
- เดินขึ้นชั้นสองโรงภาพยนตร์ กลับมาโผล่ยังอพาร์ทเม้นท์ เข่นฆ่าสามีตนเอง
- Nikki/Sue Blue มาโผล่ยังห้องพักโรงแรมของโสเภณี (ที่ร่ำร้องไห้ขณะรับชมซิทคอม Rabbits)
- หญิงสาวคนนั้นกลับไปหาสามีและบุตร
- Nikki จบการพูดคุยกับเพื่อนบ้าน
- Closing Credit
- Nikki/Sue Blue เริงระบำกับสาวๆโสเภณี
ผมรู้สึกว่ามันไม่มีความจำเป็นใดๆที่เราจะเสียเวลาทำความเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด เพียงเพลิดเพลินไปกับช่วงขณะนั้น “in the Moment” พบเห็นการแสดงอันเจิดจรัสของ Laura Dern ก็เพียงพอแล้วละ
เกร็ด: ด้วยความที่หนังถ่ายทำนานนับปี แถมใช้กล้องถึงสามตัว ย่อมต้องมีฟุตเทจหลงเหลือทิ้งมากมาย ซึ่งผกก. Lynch ได้ทำแบบ Twin Peaks: The Missing Piece นำเอา Deleted Scene มาแปะติดปะต่อเข้าด้วยกัน ตั้งชื่อว่า More Things That Happened ความยาว 75 นาที รวบรวมอยู่ใน Special Features
You know, there are things in More Things That Happened that give a feeling that could be like a brother or sister to the film. It’s like if you know a family but you haven’t met the sister yet, you go over to Ohio and meet the sister and it adds more to the feeling of the whole family.
สำหรับเพลงประกอบ นอกจากบทเพลงคำร้องจากศิลปินมีชื่อ ที่มักดังขึ้นท่อนสั้นๆ เนื้อคำร้องสอดคล้องเรื่องราวขณะนั้น, ในส่วนบทเพลงดั้งเดิม (Original Soundtrack) แทนที่จะร่วมงานนักแต่งเพลงขาประจำ Angelo Badalamenti ครานี้ผกก. Lynch ตัดสินใจลงมือทำเพลงด้วยตนเอง (ที่ปรึกษาคือ Marek Zebrowski สัญชาติ Polish) ด้วยการผสมเสียงเพลง เสียงเอ็ฟเฟ็กด้วยโปรแกรม Pro Tools ทำออกมาในลักษณะ Minimalist Ambient
งานเพลงของ Lynch ก็ไม่เชิงว่าเป็นเพลงประกอบ ผมรู้สึกว่าเขาพยายามมองหา ‘เสียง’ ที่สอดคล้องเข้ากับบรรยากาศทะมึนอึมครึมของหนัง ซึ่งอาจเป็นเสียงประกอบ (Sound Effect) เสียงกระซิบกระซาบ (Dialogue) หรือบทเพลง (Song & Soundtrack)
บทเพลง Polish Poem คำร้องโดย David Lynch, ขับร้องโดย Chrysta Bell ดังขึ้นระหว่างหญิงสาว (ตอนต้นเรื่องคือโสเภณี ช่วงท้ายตัวละครของ Laura Dern เดินทางมาหาเธอคนนั้น) ในเครดิตขึ้นชื่อว่า Lost Girl กำลังรับชมรายการซิทคอม Rabbits แล้วร่ำร้องไห้ออกมา
I sing this poem to you
On the other side I see
Shining waves glowingIt’s far away, far away from me
I can it see there, I can see it thereThe wind blows outside and I have no breath
I breathe again and know I’ll have to live
To forget my world is ending
I’ll have to liveI hear my heart beat
Fluttering in pain, missing something
Tears are coming to my eyes
I cry, I cryI cannot feel the warmth of the sun
I cannot hear the laughter
Choking with every thought
I see the faces, my hands are tired as I wish
But no one comes, no one comesWhere are you? Where are you?
What will make me want to live
What will make me want to love
Tell me, tell meI sing this poem to you
To youIs this mystery unfolding
As a wing floating
Something is coming true
The dream of an innocent child
Something is happening
Something is happening
Ghost of Love แต่งโดย David Lynch ดังขึ้นกลางเรื่องเมื่อตัวละครของ Laura Dern (น่าจะขณะรับบท Sue Blue) จู่ๆไปโผล่กลางถนน Łódź, Poland ช่วงฤดูหนาวทศวรรษ 30s ได้ยินคำร้องท่อนแรก ♪Strange♪ ความรู้สึกของผู้ชมก็เป็นเช่นนั้นเปะๆ
Strange, what love does
So strange, uh huh, what love does
So strange, what love does
When you’re all alone
Strange, when you’re flying the ghost of love
Those ghosts of love
บทเพลงที่สาวๆโสเภณีลุกขึ้นมาเต้นรำกลางเรื่องคือ The Loco-Motion (หรือ Locomotion) แต่งโดย Gerry Goffin & Carole King, ตอนแรกตั้งใจให้นักร้อง Dee Dee Sharp แต่เธอตอบปฏิเสธ เลยส้มหล่นใส่ Little Eva วางแผงปี ค.ศ. 1962 สามารถไต่ถึงอันดับ #1 ชาร์ท US Billboard Hot 100 และได้รับการโหวตจากนิตยสาร Rolling Stone: The 500 Greatest Songs of All Time (2004) ติดอันดับ #359
Everybody’s doing a brand-new dance now
(Come on, baby, do the Loco-motion)
I know you’ll get to like it if you give it a chance now
(Come on, baby, do the Loco-motion)My little baby sister can do it with ease
It’s easier than learning your A-B-C’s
So come on, come on, do the Loco-motion with meYou gotta swing your hips now
Come on, baby
Jump up
Jump back
Well now, I think you’ve got the knack
Whoa, whoaNow that you can do it, let’s make a chain now
(Come on, baby, do the Loco-motion)
A chug-a chug-a motion like a railroad train now
(Come on, baby, do the Loco-motion)Do it nice and easy now, don’t lose control
A little bit of rhythm and a lot of soul
Come on, come on
Do the Loco-motion with meYeah, yeah, yeah, yeah
Move around the floor in a Loco-motion
(Come on, baby, do the Loco-motion)
Do it holding hands if you get the notion
(Come on, baby, do the Loco-motion)There’s never been a dance that’s so easy to do
It even makes you happy when you’re feeling blue
So come on, come on, do the Loco-motion with me
you gotta swing your hips now(Come on, baby, do the Loco-motion) that’s right
You’re doing fine
(Come on, do the Loco-motion) come on, baby
(Come on, do the Loco-motion) mmh, jump up
(Come on, baby, do the Loco-motion) jump back
You’re looking good
(Come on, do the Loco-motion) mmh, jump up
(Come on, baby, do the Loco-motion) jump back
(Come on, do the Loco-motion) mmh, yeah, yeah, yeah, yeah
ช่วงระหว่างที่ตัวละครของ Laura Dern เดินเรื่อยเปื่อยอยู่บนท้องถนน Hollywood (ก่อนจะถูกทิ่มแทง) ได้ยินบทเพลงออลเทอร์นาทิฟร็อค Black Tambourine (2005) แต่งโดย Beck Hansen, Eugene Blacknell และ Dust Brothers, ขับร้องโดย Beck Hansen
Black hearts in effigy
We sing a song that was hated
All dressed in rag and bones
Sharks smell the blood that I’m bleeding
I know there’s something wrong
Might take a fire to kill it
Might take a hurricane
Don’t know what life that I’m livin’Oh oh oh
Black tambourine
Oh oh oh
Black tambourineMy baby run to me
She lives in broken down buildings
Can’t pay the rent again
These spider webs are my home now
And when the sun is down
We’ll shake and rattle our bodies
To keep it warm at night
My tambourine is still shakingOh oh oh
Black tambourine
Oh oh oh
Black tambourineBlack hearts in effigy
We sing a song that was hated
All dressed in rag and bones
Sharks smell the blood that I’m bleeding
I know there’s something wrong
Might take a fire to kill it
Might take a hurricane
Don’t know what life that I’m livin’Black tambourine
Oh oh oh
Black tambourine
Closing Credit คือบทเพลง Sinner Man (1956) แนว Spiritual/Gospel แต่งโดย Les Baxter & Will Holt, เนื้อเพลงเกี่ยวกับบรรดาคนบาปที่พยายามวิ่งหลบหนี ซ่อนตัวจากการถูกตัดสินในวันพิพากษา (Judgment Day) ก่อนหน้านี้มีการบันทึกเสียงมาแล้วหลายครั้ง แต่ฉบับโด่งดังที่สุดขับร้องโดย Nina Simone เมื่อปี ค.ศ. 1965
Oh, sinnerman, where you gonna run to?
Sinnerman where you gonna run to?
Where you gonna run to?
All on that day
We got to run to the rock
Please hide me, I run to the rock
Please hide me, run to the rock
Please hide here
All on that day
But the rock cried out
I can’t hide you, the rock cried out
I can’t hide you, the rock cried out
I ain’t gonna hide you there
All on that day
I said rock
What’s the matter with you rock?
Don’t you see I need you, rock?
Good Lord, Lord
All on that day
So I run to the river
It was bleedin’, I run to the sea
It was bleedin’, I run to the sea
It was bleedin’, all on that day
So I run to the river
It was boilin’, I run to the sea
It was boilin’, I run to the sea
It was boilin’, all on that daySo I run to the Lord
Please hide me, Lord
Don’t you see me prayin’?
Don’t you see me down here prayin’?
But the Lord said
Go to the Devil, the Lord said
Go to the Devil
He said go to the Devil
All on that day
So I ran to the Devil
He was waitin’, I ran to the Devil
He was waitin’, ran to the Devil
He was waitin’, all on that day
I cried, power, power (power, Lord)
Power (power, Lord)
Power (power, Lord)
Power (power, Lord)
Power (power, Lord)
Power (power, Lord)
Power (power, Lord)
Kingdom (power, Lord)
Kingdom (power, Lord)
Kingdom (power, Lord)
Kingdom (power, Lord)
Power (power, Lord)
Power (power, Lord)
Power (power, Lord)
Power (power, Lord)
Power (power, Lord)
Power (power, Lord)
Power (power, Lord)
Power (power, Lord)
Power (power, Lord)
Power (power, Lord)
Power (power, Lord)
Power (power, Lord)Oh yeah
Oh yeah
Oh yeah
Well, I run to the river
It was boilin’, I run to the sea
It was boilin’, I run to the sea
It was boilin’, all on that day
So I ran to the Lord
I said Lord, hide me
Please hide me
Please help me, all on that day
He said, hide?
Where were you?
When you oughta have been prayin’
I said Lord, Lord
Hear me prayin’, Lord, Lord
Hear me prayin’, Lord, Lord
Hear me prayin’, all on that day
Sinnerman, you oughta be prayin’
Oughta be prayin’, sinnerman
Oughta be prayin’, all on that dayUp come power (power, Lord)
Power (power, Lord)
Power (power, Lord)
Power (power, Lord)
Power (power, Lord)
Power (power, Lord)
Power (power, Lord)
Power (power, Lord)
Power (power, Lord)
Power (power, Lord)
Power (power, Lord)
Power (power, Lord)
(Power, Lord)
Hold down (power, Lord)
Go down (power, Lord)
Kingdom (power, Lord)
Power (power, Lord)
Power (power, Lord)
Power (power, Lord)
Na-na-na, na-na-na-na
Na-na-na, na-na-na-na
Na-na-na, na-na-na-naWoah, ho
Ha-ha-ha-ha
Ha-ha-ha-ha, oh Lord
Nu, nu, nu
No-no-no-no, ma-na-na-na-na, don’t you know I need you Lord?
Don’t you know that I need you?
Don’t you know that I need you?Oh, Lord
Wait
Oh, Lord
Oh, Lord, Lord
ผกก. Lynch เป็นคนไม่ชอบพูดอธิบายอะไรเกี่ยวกับผลงานของตนเอง ไม่ต้องการสปอยความลึกลับ ให้อิสระผู้ชมในการขบครุ่นคิดตีความ ซึ่งสิ่งเดียวที่เขาเคยกล่าวถึง Inland Empire (2006)
It’s about a woman in trouble, and it’s a mystery, and that’s all I want to say about it.
David Lynch
Inland Empire (2004) นำเสนอเรื่องราวของหญิงสาวผู้หลงทาง (Lost Girl) ไม่รับรู้ว่าตนเองเป็นใคร มาจากไหน กำลังทำอะไร และจะดำเนินไปแห่งหนไหน เพียงล่องลอยจากสถานที่หนึ่งสู่อีกสถานที่หนึ่ง (Space) วันเวลาหนึ่งสู่อีกวันเวลาหนึ่ง (Time) ว่ายเวียนวนอยู่ใน Inland Empire ไม่รู้จักจบจักสิ้น
การตีความง่ายสุดของหนังก็คือ เลือนลางระหว่างชีวิตจริง-ความฝัน Laura Dern บางครั้งรับบทนักแสดงชื่อดัง Nikki Grace บางครั้งเล่นเป็นโสเภณี Sue Blue เมื่อถึงจุดๆหนึ่งเธอไม่สามารถแยกแยะว่าตนเองเป็นใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร ทุกสิ่งอย่างผสมผสานปนเป จนกลายเป็นอันหนึ่งเดียวกัน … ชีวิต=ความฝัน, อดีต=ปัจจุบัน=อนาคต
ความหลงใหลในอินเตอร์เน็ตของผกก. Lynch อาจไม่ใช่แค่มันคือเทคโนโลยีสมัยใหม่ แต่เพราะแนวคิด Hyperlink และ World Wide Web (WWW) มันยังสอดคล้องเข้ากับภาพยนตร์เรื่องนี้! เราสามารถท่องเว็บไซด์ผ่านการคลิกลิ้งค์ ก็เหมือนล่องลอยจากความฝันหนึ่ง สู่อีกความฝันหนึ่ง (เปิดประตูห้องหนึ่ง แล้วไปโผล่อีกสถานที่หนึ่ง) … จะว่าไปคำว่า World Wide Web สามารถแปลว่าเครือข่ายใยแมงมุม ตรงเผงกับคำกล่าวจากคัมภีร์อุปนิษัท (Upaniṣad) ของศาสนาฮินดู
ชื่อหนัง Inland Empire อาจหมายถึงบริเวณทางตอนใต้ Southern California แต่เนื่องจากไม่มีสักฉากเดินทางไปถ่ายทำละแวกนั้น เช่นนั้นแล้วจะสื่อถึงอะไร? ผมครุ่นคิดว่า Inland อาจเกี่ยวพันกับ Transcendental Meditation (รูปแบบหนึ่งของการทำสมาธิ ริเริ่มต้นโดยมหรรษิ มเหศ โยคีชาวอินเดีย อ้างว่าการทำสมาธิแบบนี้สนับสนุนให้เกิดการรู้ตน, คลายความเครียด และเข้าถึงสภาวะแห่งการมีสติในระดับที่สูงกว่า) การฝึกฝนทำสมาธิ สงบจิตสงบใจ นำเสนอเรื่องราวจักรวรรดิ/จักรวาลที่อยู่ภายใน
Transcendental meditation speaks of inner revelation. Transcendental meditation gives you peace of mind.
Stevie Wonder
ผกก. Lynch ทำการฝึกฝน Transcendental Meditation (TM) มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1973 เคยมีโอกาสสนทนาธรรมกับมหรรษิ มเหศ โยคี และเมื่อปี ค.ศ. 2005 ยังได้ก่อตั้งมูลนิธิ David Lynch Foundation for Consciousness-Based Education and Peace สำหรับให้ทุนนักเรียน/นักศึกษาที่ต้องการฝึกฝนการทำสมาธิดังกล่าว มันเลยไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะเคยศึกษาคัมภีร์อุปนิษัท (Upaniṣad) ของศาสนาฮินดู ทำความเข้าใจเกี่ยวกับชีวิต-ความตาย จิตวิญญาณว่ายเวียนวนในวัฏฏะสังสาร (แนวคิดเดียวกับพุทธศาสนา) สรรพสิ่งบนโลกไม่ต่างจากความฝัน ภาพมายา ล่องลอยจากชาติภพหนึ่ง ไปอีกชาติภพหนึ่ง ไม่รู้จักจบจักสิ้น
แม้ตอนจบของ Inland Empire (2006) เหมือนว่าตัวละครของ Laura Dern ไม่สามารถดิ้นหลุดพ้นจากวัฏฏะสังสาร แต่ไม่ใช่สำหรับผู้ชม (ดูหนังจบก็หลุดพ้นความทุกข์ทรมาน) และผู้กำกับ Lynch หลังเสร็จสร้างผลงานเรื่องนี้ ก็ตัดสินใจเกษียณตัวเอง (=หลุดพ้นออกจากวงการภาพยนตร์)
ปล. หลังจากนี้แม้เลิกสร้างภาพยนตร์ขนาดยาว แต่ผกก. Lynch ยังคงกำกับหนังสั้น ซีรีย์โทรทัศน์ Twin Peaks: The Return (2017) วาดภาพ เขียนหนังสือ ออกอัลบัม จนกระทั่งเสียชีวิตจากโรคถุงลมโป่งพอง ค.ศ. 2025
ตอนแรกวางแผนฉายรอบปฐมทัศน์เทศกาลหนังเมือง Cannes แต่ตัดต่อไม่เสร็จเลยย้ายไป Venice Film Festival (นอกสายการประกวด) เสียงตอบรับค่อนข้างดี สามารถคว้ารางวัล Future Film Festival Digital Award และผกก. Lynch ยังได้ประกาศเกียรติคุณ Golden Lion for Lifetime Achievement
ด้วยทุนสร้าง $2.9-3 ล้านเหรียญ เข้าฉายจำกัดโรงในสหรัฐอเมริกา (เพียง 15 โรง) ทำเงินได้ $861,355 เหรียญ ส่วนรายรับจากทั่วโลก $3.176 ล้านเหรียญ รวมแล้วประมาณ $4 ล้านเหรียญ น่าเสียดายยังไม่เพียงพอคืนทุน
ปัจจุบันหนังได้รับการบูรณะ 4K (ด้วยการใช้โปรแกรม AI Upscale) โดย Janus Films ผ่านการตรวจอนุมัติโดยผกก. Lynch เสร็จสิ้นเมื่อปี ค.ศ. 2022 จัดจำหน่าย Blu-Ray โดย Criterion Collection
Inland Empire was shot in SD 4×3 480i29.97 on DV tape. After being captured, the footage was edited in the same format in Avid. The footage was then converted to HD 16×9 1080p23.98 and input into Clipster for remote DaVinci 2K grading. During this process, a Teranex converter was used to treat video noise on selected shots. With the digital-intermediate (DI) master complete, it was output to 35 mm film and HDCAM-SR tape.
In 2021, the HDCAM-SR source was recaptured and upscaled to UHD/4K 16×9 via numerous algorithms in Topaz Labs’ Gigapixel AI software. Those tests were compared against the original HD video master as well as a 4K scan of the first reel of the 35 mm digital negative.
From these tests, director David Lynch chose the upscale made using the GaiaHD algorithm and footage that had first been downscaled back to SD in order to throw away false detail introduced during the original HD conversion and allow the most effective use of the AI upscale (footage upscaled directly from the HD was less noticeably “4K-looking”).
แม้ส่วนตัวจะไม่ค่อยชื่นชอบหนังสักเท่าไหร่ เพราะรู้สึกว่ามันสับสนวุ่นวายเกินไป แต่ก็เข้าถึงแนวคิด/ความตั้งใจของผกก. Lynch พยายามผสมผสานทุกสรรพสิ่งอย่างเข้าด้วยกัน ชีวิตคือความฝัน ล่องลอยเรื่อยเปื่อย ไร้หนทางออก ไม่รู้จักจบจักสิ้น … คงเฉพาะแฟนคลับ Lynchian ที่มีความกระตือรือล้นมากพอจะครุ่นคิดหาคำตอบ/หนทางออกจาก Lynchian Empire
จัดเรต 18+ กับบรรยากาศเหนือจริง เลือนลางระหว่างชีวิต-การแสดง
Leave a Reply