The Nun

The Nun (1966) French : Jacques Rivette ♥♥♥♥

Anna Karina ไม่ได้มีความเต็มใจอยากเป็นแม่ชี (The Nun) แต่ถูกครอบครัวบีบบังคับ ขายให้กับอารามชีลับ จึงพยายามแสดงอารยะขัดขืน หาหนทางออกไปจากคุกคุมขังสตรี แต่ช่วงกลางศตวรรษที่ 18 เรื่องพรรค์นี้มันทำได้เสียทีไหนกัน!

La Religieuse (1966) หนึ่งในผลงานยอดเยี่ยมที่สุดของผกก. Rivette แต่เจ้าตัวกลับส่ายหัว เบือนหน้าหนี ไม่ค่อยอยากจดจำภาพยนตร์เรื่องนี้สักเท่าไหร่ เพราะมันไม่มีสไตล์ลายเซ็นต์ ความเป็นตัวตนเอง พยายามยึดรายละเอียดตามต้นฉบับนวนิยายเป๊ะๆ ทุกสิ่งอย่างล้วนวางแผน ตระเตรียมการ วาดภาพ Storyboard พร้อมเสร็จสรรพ จนแทบไม่หลงเหลือพื้นที่ว่างสำหรับแทรกใส่อิสรภาพทางความคิดสร้างสรรค์

It was the film where I had the greatest means at my disposal, but still not enough, which is the worst situation—so it was the hardest to make… It was a very difficult shooting and moreover, I’d been turning it over in my mind for too long. La Religieuse may appear to be an uncharacteristic work, but it isn’t one for me.

Jacques Rivette

กับหนังอิงศาสนา แน่นอนว่ามันต้องมีเรื่องขัดแย้ง (Contraversy) แต่ประเด็นคือ La Religieuse (1966) ได้รับอนุญาตผ่านกองเซนเซอร์ พูดคุยกันอย่างใกล้ชิดตั้งแต่การพัฒนาบท, โบสถ์คาทอลิกแม้ออกมากล่าวประณาม (Condemned) แต่ก็ไม่ได้เข้ามายุ่งย่ามก้าวก่ายใดๆ, เหตุผลที่ถูกห้ามฉายเพราะโดยคำสั่งลบล้าง (Overrule) โดย Yvon Bourges รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสารสนเทศ (Minister of Information) พยายามทำทุกสิ่งอย่างเพื่อกีดกัน ผลักไส ไม่ต้องการให้หนังสร้างความเสื่อมเสียหาย … ต้องรอคอยปีกว่าๆหลังจากนายคนนี้ลงจากตำแหน่ง ถึงสามารถเข้าฉายโรงภาพยนตร์ จัดเรต 18+ ไม่เห็นมีปัญหาอะไร

When you make a film, you never do it innocently. Any work that tries to be a work of art will try to provoke the viewer, to shock them, to push them to their limits. This can be done without causing a scandal. That’s not what we were looking for here.

บทสัมภาษณ์ Jacques Rivette เมื่อตอนหนังออกฉายเทศกาลหนังเมือง Cannes ค.ศ. 1966

อาจเพราะผมเป็นคนนอกศาสนา จึงไม่รับรู้สึกว่า La Religieuse (1966) มีลักษณะดูหมิ่นแคลน (Blasphemous) แต่พยายามสำแดงให้เห็นถึงความคอรัปชั่นภายในองค์กร พฤติกรรมลุ่มหลงระเริง การอำนาจในทางไม่เหมาะสมของแม่อธิการ (Mother Superior) และโดยเฉพาะหญิงสาวไม่ได้มีกะจิตกะใจบวชเป็นแม่ชี เช่นนั้นแล้วจะยังกักขัง หน่วงเหนี่ยว บีบบังคับเธออยู่ทำไม? … ฟากฝั่งอนุรักษ์นิยมมักมองว่าเรื่องพรรค์นี้ไม่เหมาะสมนำมาเผยแพร่สาธารณะ แต่ฝ่ายเสรีชนจะบอกว่าสามารถใช้เป็นอุทาหรณ์ สอนใจ เตือนสติผู้คน เพื่อไม่ให้เหตุการณ์ลักษณะนี้บังเกิดขึ้นซ้ำอีก


Jacques Pierre Louis Rivette (1928-2016) นักวิจารณ์/ผู้กำกับภาพยนตร์ สัญชาติฝรั่งเศส เกิดที่ Rouen, Seine-Maritime บิดาเป็นเภสัชกร บ้านอยู่ติดกับโรงภาพยนตร์ วัยเด็กหลงใหลการวาดรูปและอุปรากร หลังมีโอกาสอ่านหนังสือของ Jean Cocteau เกี่ยวกับการถ่ายทำ Beauty and the Beast (1946) ตัดสินใจมุ่งมั่นเอาจริงเอาจังด้านนี้ เข้าร่วมกลุ่ม Ciné-Clubs ถ่ายทำหนังสั้น 16mm เรื่องแรก Aux Quatre Coins (1948), จากนั้นออกเดินทางสู่ Paris แล้วได้พบเจอ Jean Gruault ที่ร้านขายหนังสือ ชักชวนมารับชมภาพยนตร์ที่ Ciné-Club du Quartier Latin แล้วได้พูดคุยถกเถียงหลังการฉายกับว่าที่เพื่อนสนิท Éric Rohmer

Rivette ส่งหนังสั้นที่สร้างขึ้นเพื่อสมัครเรียน Institut des Hautes Études Cinématographiques แต่ได้รับคำตอบปฏิเสธ จึงเข้าคอร์สภาพยนตร์ระยะสั้น University of Paris ระหว่างนั้นแวะเวียนขาประจำ Cinémathèque Française ก่อนได้รับชักชวนเป็นนักวิจารณ์นิตยสาร Gazette du Cinéma (ก่อตั้งโดย Éric Rohmer และ Francis Bouchet) ติดตามด้วย Cahiers du Cinéma มีชื่อเสียงจากเขียนบทความชื่นชม Howard Hawks, Fritz Lang, Roberto Rossellini, Kenji Mizoguchi แล้วด่าทอบรรดาผู้กำกับฝรั่งเศสรุ่นใหม่ๆที่ไม่กล้าได้กล้าเสี่ยง สนเพียงกำไรความสำเร็จ และยังร่วมกับ Truffaut (ตั้งชื่อเล่น “Truffette and Rivaut”) แบกเครื่องบันทึกเสียง เดินทางไปสัมภาษณ์/ตีพิมพ์บทความเชิงลึกจากบรรดาผู้กำกับที่พวกเขาโปรดปราน อาทิ Alfred Hitchcock, Howard Hawks, Fritz Lang, Jean Renoir, Roberto Rossellini, Orson Welles ฯ

ระหว่างการตัดต่อ Paris Belongs to Us (1961) เพื่อนนักเขียน Jean Gruault มีความกระตือรือล้นอยากพัฒนาบทละคอนเวที จึงแนะนำผกก. Rivette ให้รับรู้จักกับนวนิยาย La Religieuse บทประพันธ์ของ Denis Diderot (1713-87) นักเขียน/นักปรัชญาแห่งยุคสมัย Age of Enlightenment (ช่วงระหว่างศตวรรษที่ 17-18th) ว่ากันว่าแต่งเสร็จตั้งแต่ ค.ศ. 1780 แต่ตีพิมพ์ครั้งแรกภายหลังการเสียชีวิต ค.ศ. 1792

เกร็ด: La Religieuse ได้แรงบันดาลใจจากจดหมายของแม่ชี Marguerite Delamarre ส่งมาให้กับ Marquis de Croismare (เพื่อนสนิทของ Diderot) เต็มไปด้วยคำพร่ำบ่นถึงชีวิตที่ยากลำบาก ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับการเป็นแม่ชี อ้างว่าถูกครอบครัวบีบบังคับ ขายตนเองให้กับอารามชีลับ ต้องการละทิ้งคำปฏิญาณ ด้วยความรู้สึกสงสารเห็นใต Croismare จึงพยายามใช้เส้นสายคนใหญ่คนโต แต่ผลลัพท์กลับไม่ประสบความสำเร็จ Marguerite จึงถูกกังขัง กลายเป็นแม่ชีตลอดชีวิต ณ Abbey of Longchamp

Jean Gruault wanted to write plays, and during the editing of Paris Nous Appartient he brought me the first draft of a stage adaptation of La Religieuse. “La Religieuse is really a play,” he told me. And, “while I was writing the play, I was thinking it would be even better as a film.”

Jacques Rivette

หลังช่วยกันปรับปรุง ขัดเกลาบทหนัง นำไปยื่นข้อเสนอต่อกองเซนเซอร์สมัยนั้น Commission de classification des œuvres cinématographiques ได้รับคำตอบปฏิเสธโดยพลัน! เพื่อนผู้กำกับ Jean-Luc Godard จึงแนะนำให้เปลี่ยนมาเป็นโปรดักชั่นละคอนเวที ทำการแสดงที่ Studio des Champs-Elysées ระหว่างวันที่ 6 กุมภาพันธ์ – 5 มีนาคม ค.ศ. 1963 นำแสดงโดย Anna Karina แม้ไม่ค่อยประสบความสำเร็จ แต่เสียงตอบรับค่อนข้างดีเยี่ยม และไม่ได้มีกระแสลบอะไรเกิดขึ้น!

หลังเสร็จสิ้นโปรดักชั่นละคอนเวที ผกก. Rivette จึงมีความมั่นใจว่าจะสามารถดัดแปลงสร้างภาพยนตร์ จึงนำบทหนังไปพูดคุยกับกองเซนเซอร์ ยินยอมปรับแก้ไขรายละเอียดโน่นนี่นั่นจนผ่านการอนุมัติ ขอทุนสร้าง เข้าสู่กระบวนการโปรดักชั่นได้สำเร็จ

Freely adapted from a polemical work by Diderot bearing the same title, this film is a work of imagination. It does not claim to present an accurate picture of religious institutions, even in the 18th century. Viewers will not fail to place it for themselves in this dual historical and romantic perspective and to refrain from any hasty, unjust and obviously indefensible generalization.

คำอนุญาตของ Jean d’Ormesson สมาชิก Commission de classification des œuvres cinématographiques

เรื่องราวของ Suzanne Simonin (รับบทโดย Anna Karina) ถูกครอบครัวบีบบังคับให้บวชเป็นแม่ชี ในตอนแรกพยายามต่อต้านขัดขืน แต่ถูกโน้มน้าวให้ครุ่นคิดถึงสถานะครอบครัวที่กำลังยากลำบาก จึงยินยอมตอบตกลงแม้ด้วยความไม่เต็มใจ

โชคดีที่แม่อธิการคนแรก Mme de Moni (รับบทโดย Micheline Presle) รับรู้เบื้องหลังความจริง จึงมอบความรัก ความเอ็นดู ด้วยความสงสารเห็นใจ แต่หลังจากเธอเสียชีวิต แม่อธิการคนใหม่ Sister Sainte-Christine (รับบทโดย Francine Bergé) กลับเต็มไปด้วยความรังเกียจเดียดฉันท์ พยายามบีบบังคับ ควบคุมครอบงำ กักขังหน่วงเหนี่ยว ตีตราว่าถูกวิญญาณร้ายเข้าสิง โชคดีที่ระหว่างนั้น Suzanne แอบเขียนจดหมายถึงทนายความ Monsieur Manouri เล่าถึงความทุกข์ยากลำบาก ได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม เรียกร้องขออิสรภาพ แม้คำตัดสินจะไม่อนุญาตให้เธอล้มเลิกคำปฏิญาณ แต่สามารถย้ายสู่อารามชีลับแห่งใหม่

Suzanne เดินทางมาถึงอารามชีลับแห่งใหม่ ได้รับการต้อนรับอย่างดีจากแม่อธิการ Mme de Chelles (รับบทโดย Liselotte Pulver) มอบอิสระในการใช้ชีวิตอย่างไร้ขีดจำกัด โดยไม่รู้ตัวค่อยๆถูกคุกคามทางเพศ เรียกร้องอยากร่วมเพศสัมพันธ์(เลสเบี้ยน) โชคยังดีได้รับความช่วยเหลือจากบาทหลวง Dom Morel (รับบทโดย Francisco Rabal) พาหลบหนีออกจากอารามชี แต่ไม่ทันไรอีกฝ่ายกลับพยายามใช้กำลังข่มขืน สามารถดิ้นหลบหนีได้อย่างหวุดหวิด ปลอมตัวเป็นสาวชาวบ้าน ขอทานข้างถนน โดนล่อหลอกโดยแม่เล้า เมื่อชีวิตอับจนหนทาง เลยตัดสินใจกระโดดตึกฆ่าตัวตาย


Anna Karina ชื่อจริง Hanne Karin Bayer (1940-2019) เกิดที่ Frederiksberg, Denmark โตขึ้นเริ่มจากเป็นนักร้อง-เต้นคาบาเร่ต์ ตามด้วยโมเดลลิ่ง แสดงหนังสั้นที่คว้ารางวัลเทศกาลหนังเมือง Cannes เลยตัดสินใจปักหลักอยู่กรุง Paris (ยังพูดภาษาฝรั่งเศสไม่ได้ด้วยซ้ำ) ได้รับการค้นพบโดยแมวมอง พามาถ่ายแบบ นิตยสาร กระทั่ง Jean-Luc Godra ชักชวนมารับบทนำ Breathless (1960) แต่กลับบอกปัดปฏิเสธเพราะไม่อยากเข้าฉากนู๊ด ถึงอย่างนั้นก็ยินยอมร่วมงานตั้งแต่ A Woman Is a Woman (1961), My Life to Live (1962), The Little Soldier (1963), Band of Outsiders (1964), Pierrot le Fou (1965), Alphaville (1965) และ Made in USA (1966), ผลงานเด่นๆหลังจากนั้น อาทิ The Nun (1966), The Stranger (1967), Man on Horseback (1969), Chinese Roulette (1976) ฯ

รับบท Suzanne Simonin บุตรสาวคนโตเกิดในครอบครัวผู้ดีมีสกุล เป็นคนหัวขบถ รักอิสระ ไม่ชอบการถูกบีบบังคับ แต่วันหนึ่งครอบครัวกลับพยายามเรียกร้องขอให้เธอบวชเป็นแม่ชี ใช้ข้ออ้างโน่นนี่นั่น เหตุผลแท้จริงเกิดจากความสำส่อนของมารดา ท้องก่อนแต่งงาน บุคคลเลี้ยงดูมาหาใช่บิดาแท้ๆ (ไม่ยินยอมเปิดเผยด้วยว่าใครคือบิดาแท้ๆ) จึงต้องการขับไล่ ผลักไส ถึงขนาดคุกเข่าร้องขอ จึงจนจำยินยอมบวชชีโดยไม่มีความเต็มใจเลยแม้แต่น้อย

ในช่วงแรกๆยังโชคดีที่ได้แม่อธิการผู้มีความสงสารเห็นใจ แต่หลังจากเธอจากไป แม่อธิการคนใหม่ไม่รู้จงเกลียดจงชังอะไร พยายามกดขี่ข่มเหง บีบบังคับโน่นนี่นั่น แม้ตอนย้ายอารามชียังถูกคุกคามทางเพศ พอหลบหนีออกมาก็เกือบโดนข่มขืนกระทำชำเรา เมื่อชีวิตไร้หนทางออก จึงตัดสินใจกระทำอัตวินิบาต

หลังเสร็จจาก My Life to Live (1962) สามีขณะนั้น Jean-Luc Godard เป็นคนแนะนำ Karina ให้รู้จักกับ Rivette แรกพบเจอก็เห็นคุณภาพที่ราวกับหลุดจากหนังเงียบของ D.W. Griffith ตกลงปลงใจให้มารับบทแสดงนำ แต่ก็ถูกโปรดิวเซอร์ทัดทานเพราะเธอไม่ใช่ชาวฝรั่งเศส เวลาพูดยังติดสำเนียง Danish ถึงอย่างนั้นยินยอมลงทุนเข้าคอร์สเรียนภาษาฝรั่งเศสอย่างจริงจัง เพื่อโอกาสครั้งสำคัญที่สุดในชีวิต!

I really worked a lot for La Religieuse because, you know, I’m not French. And when I came to Paris, of course I couldn’t speak French. So I went to the movies to learn French and took lessons and all that. And when Jacques Rivette asked me to do La Religieuse, I worked day and night to speak this language Denis Diderot had written centuries ago. So we did it on stage to begin with.

Anna Karina

ถ้าไม่นับการร่วมงานกับ Godard ผมครุ่นคิดว่า Karina ในบทบาทแม่ชี Suzanne สำแดงศักยภาพ ความเป็นตัวตนเองออกมาได้อย่างทรงพลังที่สุด! เจ้านกน้อยเต็มไปด้วยความร้อนรน กระวนกระวาย พยายามต่อสู้ดิ้นรน ไม่ยินยอมถูกผูกมัด พันธนาการ ก้มหัวให้กับความอยุติธรรม ทำทุกสิ่งอย่างเพื่อโบยบินสู่อิสรภาพ

มีสิ่งหนึ่งที่ผมคาดไม่ถึงอย่างยิ่งยวด ทั้งๆปากบอกว่าไม่อยากบวชเป็นแม่ชี แต่ Suzanne กลับเป็นคนที่มีความเชื่อศรัทธาอย่างแรงกล้า ปฏิเสธกระทำสิ่งขัดต่อหลักคำสอนศาสนา ศัตรูของเธอคือบิดา-มารดา แม่อธิการ บาทหลวง บุคคลภายนอกที่เต็มไปด้วยอคติต่อต้าน สำแดงความอิจฉาริษยา พยายามสรรหาสรรพข้ออ้าง เพื่อทำการกดขี่ข่มเหง ควบคุมครอบงำ ครอบครองเป็นเจ้าของ … ศาสนาไม่เคยเสื่อม แต่บุคคลในศาสนาต่างหากที่เสื่อม

นั่นแสดงว่าทั้ง Karina และแม่ชี Suzanne ต่างรับรู้ความต้องการ เข้าใจในตนเองอย่างถ่องแท้! แต่มันเป็นบริบทภายนอก ผู้คนรอบข้าง วิถีทางสังคม และกฎหมายบ้านเมืองต่างหากที่ไม่ถูกต้อง สร้างขึ้นเพื่อตอบสนองผลประโยชน์ของใครบางคน บุคคลบางกลุ่ม ใช้อำนาจสร้างความชอบธรรมให้กับตนเอง … มันเป็นเรื่องน่าเศร้าที่เรื่องราวเกิดขึ้นในหนัง ยังคงสะท้อนสภาพความจริงในปัจจุบัน


ถ่ายภาพโดย Alain Levent (1934-2008) ตากล้อง/ผู้กำกับภาพยนตร์ สัญชาติฝรั่งเศส โตขึ้นฝึกงานยัง GTC Laboratoires เข้าสู่วงการจากเป็นผู้ช่วยตากล้อง Charles L. Bitsch, Henri Decaë (Le Beau Serge, The 400 Blows), Nicolas Hayer (Le Signe du lion, Le Doulos), ถ่ายทำภาพยนตร์ Cléo from 5 to 7 (1962), The Nun (1966), Far frim Vietnam (1967), L’amour fou (1969) ฯ

แตกต่างจากสไตล์ของผกก. Rivette ที่เลื่องชื่อในอิสรภาพระหว่างการถ่ายทำ, The Nun (1966) มีการครุ่นคิดวางแผน ตระเตรียมการ วาดภาพ Storyboard ไว้ล่วงหน้าเสร็จสรรพ! ทีมงานส่วนใหญ่ก็จากโปรดักชั่นละคอนเวที เพียงปรับเปลี่ยนมาใช้สถานที่จริง ถ่ายทำยังคอนแวนซ์ La Chartreuse, 58 rue de la République ตั้งอยู่ Villeneuve-les-Avignon, Gard ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส

ประมาณ 90% ของหนังถ่ายทำฉากภายใน พบเห็นผนังกำแพงห้อมล้อมรอบ ไม่ก็ต้องมีบางสิ่งอย่างกีดกั้นขวางตัวละคร อารามชีดูราวกับเรือนจำ แม่ชีพักอาศัยอยู่ในกรงขัง เวลาถ่ายทำกล้องมักตั้งอยู่กับที่ ค่อยๆขยับเคลื่อนไหวอย่างช้าเนิบ (ด้วยดอลลี่/รางเลื่อน) ระยะภาพ Medium & Long Shot (ไม่มีระยะ Close-Up) เฉดสีน้ำเงิน (กลมกลืนเข้ากับสีชุดแม่ชี) มอบสัมผัสหนาวเหน็บ เย็นยะเยือก ไร้ชีวิตชีวา … งานภาพของหนังมีลักษณะเหมือนยุคสมัย Classical มากกว่าสไตล์ New Wave เพื่อให้สอดคล้องกับพื้นหลังช่วงกลางศตวรรษที่ 18

อารามชีลับทั้งสองแห่ง ช่างมีความแตกต่างตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง ในเครดิตระบุเพียงสถานที่เดียว La Chartreuse เลยบอกไม่ได้มีการเปลี่ยนสถานที่หรือเปล่า หรือทั้งสองคอนแวนซ์ถ่ายทำในสถานที่เดียว?

ความแตกต่างที่สังเกตเห็นได้ชัดคือบรรยากาศ การจัดแสง สีสันของฉากภายนอก ล้วนสะท้อนตัวตนของแม่อธิการ

  • อารามชีแห่งแรก มีบรรยากาศทะมึน อึมครึม ปกคลุมด้วยความมืด ไร้ซึ่งสีสัน ห้องพักแทบไม่มีเฟอร์นิเจออะไร เก้าอี้-ตั่ง-เตียงนอนแข็งๆ ฉากภายนอกก็เต็มไปด้วยใบไม้ร่วงโรย แห้งเหี่ยวเฉา บรรดาแม่ชีต่างก้มหน้าก้มตา ซุบซิบนินทา เคร่งเครียด เคร่งครัด ทุกสิ่งอย่างต้องเป็นไปตามระเบียบแบบแผน ไม่มีการโอนอ่อนผ่อนปรนใดๆ
  • อารามชีของ Mme de Chelles อาบฉาบด้วยแสงสว่าง ห้องพักเต็มไปด้วยสิ่งข้าวของเครื่องใต้ เตียงนอนนุ่มๆ รวมถึงกระจกไว้ส่องความงาม ทิวทัศน์ภายนอกก็อร่ามด้วยสีสัน (พบเห็นแสงอาทิตย์สาดส่อง) บรรดาแม่ชีต่างมีพฤติกรรมหย่อนยาน ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว วิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน ไม่สนความเหมาะสมตามสมณเพศ

ชีลับ หรือชีมืด (Cloistered Nun) หรือเจ้าสาวของพระเจ้า คือสตรีคาทอลิกผู้สละชีวิตสังคม ละทิ้งทางโลก มาใช้ชีวิตในอาราม จำกัดเขตพรตภายใน ต้องผ่านพิธีกรรมสำคัญ 3 ครั้ง

  1. วันรับเสื้อคณะ เปรียบเสมือนวันหมั้นหมายกับพระเยซูเจ้า
  2. เมื่อครบ 1 ปีนับจากวันหมั้น ก็ถึงวันปฏิญาณตนถวายตัวชั่วคราวเป็นเจ้าสาวของพระเจ้า
  3. และอีก 3 ปีต่อมาจึงเข้าสู่พิธีถวายตัวปฏิญาณตนตลอดชีวิต เปรียบดังวันวิวาห์ (สวมใส่ชุดเจ้าสาวสีขาว สวมมงกุฏดอกไม้ขาว) เป็นการตอกย้ำยืนยันความมั่นคงในความรักต่อพระเจ้าอีกครั้ง

Do you promise to speak the truth?
Are you here of your own free will?
Do you promise poverty, chastity and obedience to God?

LINK: https://www.sarakadeelite.com/faces/nun-bride-of-christ/

โดยปกติแล้วแสงสีแดง มักคือสัญลักษณ์ของเลือด สัญญาณเตือน อันตราย ความตาย ฯ (มักเกี่ยวกับสถานการณ์ร้ายๆ) แต่ในบริบทของหนังถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของผู้มีอำนาจ ผู้นำศาสนา มุขนายก (Bishop) สามารถตัดสิน ออกคำสั่ง ควบคุมครอบงำ อ้างความถูกต้องชอบธรรม

ค่ำคืนฝนฟ้าคะนอง แม่อธิการ Mme de Chelles พยายามย่องเข้ามาในห้องของ Suzanne ต้องการที่จะ !@#$%^& เสียงฟ้าร้อง ท้องฟ้าแลบ (แสงไฟกระพริบ) และเฉดสีน้ำเงิน มันช่างสร้างสัมผัสอันตราย เกือบจะสูญเสียความบริสุทธิ์/พรหมจรรย์

ทิ้งท้ายกับภาพความตายของ Suzanne เผื่อคนไม่ทันสังเกต เธอกางแขนสองข้างเหมือนตอนพระเยซูถูกตรึงกางเขน นี่ก็สำแดงถึงความเชื่อมั่นศรัทธาอันแรงกล้าต่อพระเป็นเจ้า … มันไม่ใช่ว่าการที่หญิงสาวปฏิเสธบวชเป็นแม่ชี จักหมายถึงไม่มีความเชื่อศรัทธานะครับ ในบริบทของหนังคือเธอรับรู้ตนเองว่าไม่เหมาะกับการเป็นแม่ชี แต่เรื่องศรัทธาศาสนา เชื่อมั่นในพระเจ้า ต้องถือว่าไม่เป็นสองรองใคร!

แซว: หนังมี Post-Credits Scene เป็นข้อความทิ้งท้ายของมุขนายก Jacques-Bénigne Bossuet ผมขี้เกียจพิมพ์ ไปหาดูเอาเองนะครับ

ตัดต่อโดย Denise de Casabianca (1931-2020) สัญชาติฝรั่งเศส เริ่มต้นจากเป็นผู้ช่วยตัดต่อ Rififi (1955), แล้วกลายเป็นขาประจำผู้กำกับ Jacques Rivette ผลงานเด่นๆ อาทิ Paris Belongs to Us (1961), The Nun (1966), Out 1: Spectre (1972), The Mother and the Whore (1973) ฯ

หนังดำเนินเรื่องผ่านมุมมองของ Suzanne Simonin ตั้งแต่พยายามยื้อย่างกับครอบครัว ไม่ต้องการปฏิญาณตนเป็นแม่ชี แต่เมื่อมิอาจดิ้นหลบหนี ก็ค่อยๆเรียนรู้ ปรับตัวเข้ากับวิถีชีวิตในอารามชีลับ ซึ่งก็ได้พบเจอเรื่องลับๆ ทั้งดีและร้าย กลายเป็นบทเรียนแก่ผู้ชมสมัยใหม่

  • Suzanne พยายามยื้อย่างกับครอบครัว ไม่ต้องการปฏิญาณตนเป็นแม่ชี
    • Suzanne ไม่ยินยอมปฏิญาณตนเป็นแม่ชี
    • ถูกครอบครัวกดดัน กระทั่งมารดาคุกเขาร้องขอ จึงจำยินยอมตอบรับโชคชะตา
  • แม่อธิการคนแรก Mme de Moni มอบความรัก ความเอ็นดู
    • ช่วงแรกๆเป็นแม่ชีฝึกหัด ค่อยๆเรียนรู้ ปรับตัว แม้มีจิตใจต่อต้าน แต่ได้รับความรัก ความเอ็นดูจากแม่อธิการ จึงสามารถพานผ่านช่วงเวลาดังกล่าวไปได้ด้วยดี
    • เมื่อถึงจุดๆหนึ่งจึงยินยอมสวมชุดเจ้าสาว (แต่งงานกับพระเจ้า) กลายเป็นแม่ชีเต็มตัว
  • แม่อธิการคนใหม่ Sister Sainte-Christine เต็มไปด้วยความรังเกียจเดียดฉันท์
    • ความตายของแม่อธิการคนก่อน สร้างอคติแต่แม่อธิการคนใหม่ ไม่ชอบใจพฤติกรรมของ Suzanne
    • Suzanne แอบเขียนจดหมายฝากให้กับทนายความ เพื่อเรียกร้องขออิสรภาพ
    • แม่อธิการ ตีตราว่า Suzanne ถูกวิญญาณร้ายเข้าสิง จึงทำการกักขัง หน่วงเหนี่ยว
    • แม้ศาลจะไม่ให้อิสรภาพแก่ Suzanne แต่เมื่อบาทหลวงมาพบเห็นสภาพของเธอ จึงอนุญาตให้ย้ายอารามชี
  • ย้ายอารามชีลับ มาอยู่กับแม่อธิการคนที่สาม Mme de Chelles
    • เมื่อมาถึงอารามชีแห่งใหม่ ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี
    • แต่โดยไม่รู้ตัว Suzanne ค่อยๆถูกคุกคามทางเพศจากแม่อธิการ
    • บาทหลวง Dom Morel จึงชักชวนเธอหลบหนีออกจากอารามชี
  • หลบหนีออกจากอารามชีลับ
    • พอสามารถหลบหนีออกจากอารามชี บาทหลวง Dom Morel ก็พยายามจะข่มขืน Suzanne
    • พอหลบหนีออกมาได้สำเร็จ กลายเป็นสาวชาวบ้าน หญิงขอทาน ถูกล่อหลอกโดยแม้เล้า ก่อนตัดสินใจกระทำอัตวินิบาต

เพลงประกอบโดย Jean-Claude Éloy (เกิดปี ค.ศ. 1938) คีตกวีสัญชาติฝรั่งเศส เกิดที่ Mont-Saint-Aignan ร่ำเรียนการแต่งเพลงยัง Conservatoire de Paris มีผลงานซิมโฟนี ออร์เคสตรา อุปรากร เพลงประกอบภาพยนตร์ The Nun (1966), L’amour fou (1969), สารคดี La spirale (1976)

หลายคนอาจเกิดความฉงนสงสัย เพราะแทบไม่ได้ยินเพลงประกอบใดๆ แต่การทำเพลงของ Éloy พยายามแทรกแซม คลอประกอบพื้นหลัง ในช่วงเวลาที่บังเกิดเหตุการณ์ส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของหญิงสาว อาทิ ตอนตัดสินใจบวชชี, ค่ำคืนแรกในอารามชีลับ, ถูกแม่อธิการคนใหม่สั่งคุมขัง, ค่ำคืนแห่งความกระวนกระวาย (หวาดกลัวต่อแม่อธิการเลสเบี้ยน) ฯ

เหตุผลที่หลายคนไม่ตระหนักถึงเพลงประกอบ เพราะหนังมีความโดดเด่นกับการใช้ ‘diegetic music’ (ขับร้อง ประสานเสียง บรรเลงเครื่องดนตรีฮาร์ปซิคอร์ด) และเสียงประกอบ (Sound Effect) นกร้อง สายลม ฟ้าร้อง ฝนตก โดยเฉพาะระฆังดังกึกก้องกังวาล สามารถสะท้อนสภาวะทางอารมณ์ สภาพจิตใจหญิงสาวที่เต็มไปด้วยความเก็บกด อัดอั้น แทบอยากจะคลุ้มบ้าคลั่ง


La Religieuse (1966) นำเสนอเรื่องราวของหญิงสาว ไม่ได้อยากบวชเป็นแม่ชี แต่ถูกบีบบังคับจากครอบครัว พอเข้ามาอาศัยในอารามชีก็โดนกดขี่ข่มเหง คุกคามทางเพศ หลบหนีออกมาก็ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับโลกภายนอก ชีวิตไร้หนทางออกจึงตัดสินใจฆ่าตัวตาย ดีกว่ายินยอมสูญเสียเกียรติให้ใคร

Do not enter rashly into such a high calling. And if you don’t feel extreme disgust with the world, sister, leave that enclosure.

มุขนายก Jacques-Bénigne Bossuet (1627-1704)

ระหว่างรับชม ผมนึกถึงภาพยนตร์อย่าง Viridiana (1961), Mouchette (1967) ฯ หญิงสาวผู้มีจิตใจบริสุทธิ์ แต่กลับต้องทนทุกข์ทรมานในโลกแห่งความสิ้นหวัง ถูกกดขี่ข่มเหง ควบคุมครอบงำ ปู้ยี้ปู้ยำสารพัด จนหมดสูญสิ้นความเชื่อมั่นศรัทธา ก่อนยินยอมศิโรราบต่อโชคชะตา

การมีภาพยนตร์ลักษณะคล้ายๆกัน ออกฉายในช่วงเวลาไล่ๆเลี่ยๆกัน มันก็แสดงให้เห็นว่าสังคมขณะนั้น (ช่วงทศวรรษ60s) ปฏิบัติต่อสตรีเพศอย่างย่ำแย่ถึงขีดสุด! พวกเธอไร้ซึ่งสิทธิ เสรีภาพ เสมอภาคเทียม แค่เพียงพลเมืองชั้นสองที่ตกเป็นเบี้ยล่าง วัตถุทางเพศของบุรุษ มันสมควรแก่กาลเปลี่ยนแปลงแล้วหรือยัง? … คงไม่ผิดอะไรว่าภาพยนตร์เหล่านี้พยากรณ์การมาถึงของ Mai ’68 ปฏิวัติสังคม วัฒนธรรม (และการเมือง) ครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์โลกยุคใหม่

ในแง่มุมศาสนา หลายคนมักมีความเข้าใจผิดๆว่า “ศาสนาเสื่อมเพราะคน” จริงๆแล้วศาสนาไม่เคยเสื่อม (แต่ไม่ใช่ทุกศาสนานะครับ) มันอยู่ที่คนต่างหากว่าจะเข้าหาศาสนา พยายามทำให้ศาสนาปรับเข้าหาตนเอง!

  • คนที่เข้าหาศาสนา คือทำการศึกษาเรียนรู้ แล้วนำมายึดถือปฏิบัติ ปรับตัวเข้ากับหลักคำสอน
  • คนที่เรียกร้องให้ศาสนาปรับตัวเข้าหาตนเอง มักนำเอาหลักคำสอนเหล่านั้นมาเป็นข้ออ้าง สร้างผลประโยชน์ใส่ตน ทำการปรับเปลี่ยน/บิดเบือนเพื่อให้สอดคล้องเข้ากับวิถีทางส่วนตน

คนที่มองว่า La Religieuse (1966) เป็นภาพยนตร์ดูหมิ่นศาสนา (Blasphemous) เพราะเอาแต่มองภาพลบ แม่อธิการทำตัวสกปรก คุกคามทางเพศ บ้าอำนาจบาดใหญ่ ฯ พฤติกรรมชั่วร้ายเหล่านี้ไม่ได้ทำให้ศาสนาแปดเปื้อน แต่มันเป็นเรื่องของตัวบุคคล ทุกแห่งหนล้วนมีคนดี-ชั่ว อุทิศตน-แสวงหาผลประโยชน์ เหมือนดั่งที่เพิ่งอธิบายไป ปรับตัวเข้าหาศาสนา หรือเรียกร้องให้ศาสนาปรับเข้าหาตนเอง

เกร็ด: ผมอ่านเจอว่า La Religieuse (1966) สร้างขึ้นระหว่างการสังคายนาวาติกันครั้งที่สอง Second Vatican Council (1962-65) ตามรับสั่งของ Pope John XXIII เพื่อทำการปรับปรุง “updating” ฟื้นฟูทุกสิ่งที่จำเป็น กับบุคลากรภายใน พระศาสนจักรด้วยความรอบคอบ และตรงไปตรงมา

ผกก. Rivette ไม่ได้เป็นบุคคลที่มีความเชื่อศรัทธาศาสนานัก แต่ความสนใจต่อ La Religieuse (1966) ไม่ใช่ประเด็นต่อต้านศาสนา เพียงต้องการนำเสนอการต่อสู้ดิ้นรนภายใต้ขนบกฎกรอบสังคม นั่นคือจิตวิญญาณ อุดมการณ์กลุ่มเคลื่อนไหว French New Wave พร้อมต่อสู้เพื่ออิสรภาพ ยินยอมตายดีกว่ากลายเป็นทาสพวกบ้าอำนาจนิยม


La Religieuse (1966) สร้างเสร็จตั้งแต่ปี ค.ศ. 1965 แต่ติดที่ Yvon Bourges รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสารสนเทศ (Minister of Information) ออกคำสั่งลบล้าง (Overrule) ห้ามฉายในฝรั่งเศส! นั่นสร้างกระแสไม่พึงพอใจในวงกว้าง Jean-Luc Godard, Claude Chabrol ผองเพื่อนผู้กำกับ นักแสดง นักวิจารณ์ ร่วมกันออกแคมเปญ “Manifesto of the 1,789” ลงนามเรียกร้องให้ปลดการแบน เปรียบเทียบการห้ามฉายหนัง ไม่แตกต่างจากการประหารชีวิตด้วยเครื่องกิโยติน “It was as though they had guillotined us.”

โชคดีที่ Bourges ไม่ได้มีอำนาจสั่งห้าม La Religieuse (1966) เข้าร่วมเทศกาลหนังเมือง Cannes (เป็นอำนาจของกระทรวงวัฒนธรรม) เลยสามารถฉายรอบปฐมทัศน์ในสายการประกวด (In-Competition) วันที่ 6 พฤษภาคม ค.ศ. 1966 เสียงตอบรับถือว่าดีล้นหลาม แต่กลับไม่ใครกล้ามอบรางวัลใดๆ

Since the presentation of a film at an international festival is subject only to an artistic judgment, I see, as far as I am concerned, no objection to your transmitting the candidacy of the film in question to the commission

André Malraux รัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรม ยินยอมอนุญาตให้ La Religieuse (1966) เข้าฉายเทศกาลหนังเมือง Cannes

ต้องรอคอยอีกปีกว่าๆเมื่อเกิดการปรับเปลี่ยนรัฐมนตรีมาเป็น Georges Gorse ถึงอนุญาตให้หนังออกฉายวงกว้างในฝรั่งเศสตั้งแต่วันที่ 27 กรกฎาคม ค.ศ. 1967 ตรวจบัตรเฉพาะผู้ชมอายุเกิน 18 ปี เข้าฉายเพียง 5 โรงภาพยนตร์ในกรุง Paris ระยะเวลา 5 สัปดาห์ ยอดจำหน่ายตั๋ว 165,000+ ถือว่าประสบความสำเร็จ แม้ไม่สามารถคืนทุนทำกำไร

ปัจจุบันหนังได้รับการบูรณะ ‘digital restoration’ คุณภาพ 4K โดย L’Immagine Ritrovata Laboratory เสร็จสิ้นเมื่อปี ค.ศ. 2018 เห็นว่ามีการนำเข้าฉายโรงภาพยนตร์โดยไม่มีจำกัดอายุ “All Audiences” สามารถหาซื้อ Blu-Ray ของค่าย Kino Lorber ของแถมมากกว่า Studio Canal

ส่วนตัวหลงใหลคลั่งไคล้การแสดงของ Anna Karina มากกว่าทุกๆผลงานที่เคยร่วมงาน Jean-Luc Godard เสียอีก! และแม้ไม่พบเห็นสไตล์ลายเซ็นต์ผกก. Rivette แต่ก็เต็มไปด้วยมุมมอง วิสัยทัศน์ งานภาพที่สร้างความอึดอัด ห้อมล้อมด้วยสรรพเสียง (Soundscape) คอยกดดัน บีบเค้นคั้น ต้องการหนีออกไปจากสถานที่คุมขังแห่งนี้

จัดเรต 15+ กับใจความต่อต้านศาสนา ถูกบีบบังคับ กดขี่ข่มเหง ล่อลวงทางเพศ และอัตวินิบาต

คำโปรย | Anna Karina สวมบทบาทเป็นแม่ชี The Nun มีความระริกระรี้ ต้องการหนีออกจากอารามชีลับ คุกคุมขังสตรี
คุณภาพ | วิจิศิป์
ส่วนตัว | อัดอั้น

Leave a Reply

avatar

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

  Subscribe  
Notify of
%d bloggers like this: