Malcolm X (1992) : Spike Lee ♥♥♥♥
วิธีจะดูหนังเรื่องนี้ คุณต้องวางตัวเป็นกลางตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วจะพบว่า Malcolm X เป็นบุคคลที่มีอะไรมากกว่าที่เห็น แถมตัวหนังก็ถือว่ายอดเยี่ยมสุดๆ, ชีวประวัติสุด Epic ความยาว 200 นาทีเรื่องนี้ กำกับโดย Spike Lee นำแสดงโดย Denzel Washington ที่ถึงจะถูกปล้น Oscar ไป แต่เขาก็ได้ Silver Bear for Best Actor จากเทศกาลหนังเมือง Berlin เป็นรางวัลปลอบใจ
เห็นจากชื่อ คนที่ไม่รู้จัก Malcolm X คงคิดว่าเป็นหนังเรต 18+ … ไม่ใช่นะครับ ชื่อเดิมของเขาคือ Malcolm Little ภายหลังตัดนามสกุลออกเปลี่ยนเป็น X ที่คืออะไรก็ได้ (Anonymous) เพื่อแสดงถึงการไม่ยอมรับในสกุลที่ไม่ใช่ต้นกำเนิดของตน, ผมมารู้จักหนังเรื่องนี้ ตอนเขียนรีวิวหนังของ Muhammad Ali ขณะที่เขาเปลี่ยนไปนับถืออิสลาม ทำให้ได้รู้จักกับ Elijah Muhammad ผู้นำ Nation of Islam และนักพูด รณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชนของชาวมุสลิมและชาวอเมริกันผิวสีที่ชื่อ Malcolm X
เดี๋ยวก่อน เชื่อว่าหลายคนพอเห็นคำว่าอิสลาม, คนผิวสี ก็เกิดอาการขยาด ผมแนะนำตั้งแต่ประโยคแรกของรีวิวนี้แล้วนะครับ ว่าคุณต้องวางตัวเป็นกลางก่อน ไม่เช่นนั้นจะพลาดหนังที่ถือว่าแฝงข้อคิดดีๆ มีเซอร์ไพรส์ช่วงท้ายๆ เป็นแน่, ผมเองพอรู้ว่ามีหนังเรื่องนี้ ก็ไม่ได้มีความอยากดูเท่าไหร่หรอก เพราะไม่มีความสนใจเรื่องพรรค์นี้เลย เข้าใจว่ามันต้องเป็นแนวชวนเชื่อ propaganda ที่แอบปลูกฝังแนวคิดอะไรบางอย่างแน่ๆ และแถมหนังยาวกว่า 3 ชั่วโมงครึ่ง ใครมันจะไปทนดูหนังที่ไม่ชอบความยาวขนาดนี้ได้ …แต่ผมก็ตัดสินใจดูนะครับ เพราะคำวิจารณ์ที่สูงมากๆ และ Denzel Washington ยังเกือบได้ Oscar เอาว่ะ! คิดในใจ ถ้าผมวางตัวเป็นกลาง แบบตอนดูหนังเรื่อง Triump of Will ไม่เข้าข้างฝ่ายในฝ่ายหนึ่ง ก็น่าจะสามารถแยกแยะออกได้ว่าอะไรควรเชื่อไม่ควรเชื่อ
ผลลัพท์ออกมา น่าทึ่งมากๆ สิ่งที่ผมได้รับหลังจากหนังจบ ไม่ใช่สิ่งที่หนังพยายามจะชวนเชื่อ แต่เป็นการได้รู้จักชีวประวัติ Malcolm X ผมยอมรับนับถือจิตใจพี่แกเลยละ ว่าเป็นคนที่มีความสามารถจริงๆ สามารถโน้มน้าวใจตัวเองได้ และโน้มน้าวใจของผู้คนจำนวนมาก (สุดยอดการแสดงของ Denzel ด้วยที่โน้มน้าวผู้ชมให้เข้าใจจิตใจของตัวละครได้) แม้ Malcolm จะไม่ได้มีอายุยืนยาวนัก แต่ก่อนที่เขาจะเสียชีวิต ได้ค้นพบสิ่งที่ตัวเองค้นหามาตลอด น่าเสียดายศัตรูของเขาแข็งแกร่งเกินไป และตัวเองได้ถลำลึกลงในสิ่งที่ไม่สามารถย้อนกลับขึ้นมาได้, ถ้า Malcolm X ไม่ถูกยิงตายวันนั้น ผมเชื่อว่าเขาจะกลายเป็นแบบ Martin Luther King หรือ Nelson Mandela ที่ใครๆก็คงรู้จักมากกว่านี้ (ชื่อของ Malcolm X ก็เป็นที่รู้จักในอเมริกาและชาวมุสลิมทั้งหลาย แต่กับประเทศไทยเรา น้อยคนคงจะรู้จัก) หนังไม่ได้พยายามชักนำผู้ชมด้วยการปลูกฝังความคิดต่างๆในหัวเรา แต่สอนให้เราคิดว่า สิ่งที่เห็นได้ยินคุณรับได้หรือเปล่า มีความเป็นไปได้หรือเปล่า ถ้าคุณสามารถเอาสิ่งที่หนังเล่าไปคิดวิเคราะห์ เข้าใจได้ด้วยตนเอง จะเห็นมุมมองที่แตกต่าง อีกด้านหนึ่งของเหรียญที่คุณอาจไม่เคยคิดมาก่อน, นี่ไม่ใช่หนังชวนเชื่อ propaganda แน่ๆ แต่ถ้าคุณยังโตไม่พอจะคิดวิเคราะห์ระดับนั้นเองได้ นี่จะคือหนังปลูกฝังแนวคิดที่อันตรายและรุนแรง ผมต้องขอจัดเรตตั้งแต่ตรงนี้ ว่าหนังเรื่องนี้ 18+ นะครับ ไม่ใช่แค่กับเด็กเล็กที่อาจะถูกปลูกฝังอะไรผิดๆ แต่รวมถึงผู้ใหญ่หัวอ่อนที่เชื่อคนง่าย ไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง IQ ต่ำๆ ดูหนังจบแล้วไม่แน่ว่าคุณอาจอยากเปลี่ยนศาสนาเลยก็เป็นได้
มีสิ่งหนึ่งถ้าคุณมองไม่เห็นในหนังเรื่องนี้ แสดงว่าที่คุณเข้าใจมานั้นผิดหมด, “คนมุสลิมแท้ๆ ไม่ใช่คนหัวรุนแรง” ผมเชื่อว่าทุกศาสนาไม่สอนให้คนใช้ความรุนแรง ศาสนาไหนที่พูดถึงความรุนแรงนั่นไม่ใช่ศาสนา ผมถือเอาใจความนี้เสมอเวลาได้ยินข่าวที่ว่า มุสลิมระเบิดนี่นั่น ฆ่าคนโน่นนี่ ไม่ว่าจะในหนังหรือในโลกจริงๆ ใครหน้าไหนที่พูดว่า มุสลิมต้องตอบโต้, มุสลิมต้องต่อสู้ ฯ คนพวกนี้เอาศาสนาบังหน้าเท่านั้น ไม่ได้ใช้เป็นที่พึ่งทางใจแน่นอน, การอ้างศาสนาเพราะมันทำให้พวกเขามีจุดยืน ที่จะใช้เป็นข้ออ้างในการตอบโต้กับคนที่ไม่เห็นด้วย ว่าขัดต่อวัตถุประสงค์ของศาสนา… ฟังดูก็รู้ว่าไร้สาระ แต่ยังมีคนอีกมากที่เชื่อสนิทใจว่าศาสนาสอนความรุนแรงให้พวกเขา
My Name is Khan และ Malcolm X เป็นหนังสองเรื่องที่พูดถึง มุสลิมนิสัยไม่ดี เอาชื่อพระเจ้าแอบอ้างและชักจูงคนอื่นให้เข้าใจผิดๆไปพร้อมกับตนเอง, กับคนที่ไม่ใช่มุสลิมหรือคนผิวสีในอเมริกา จะเห็นว่า Elijah Muhammad ก็แค่คนธรรมดาๆคนหนึ่ง ที่ไม่ได้อ้างหลักคำสอนของศาสนาอย่างถูกต้องด้วยซ้ำ เรียกตัวเองว่า Nation of Islam และสอนคนด้วยความเกลียดชัง ให้ต่อต้านรัฐ เชื้อชาติ สีผิว ฯ ผู้คนในยุคนั้นที่เพิ่งได้รับอิสระภาพ (จากการเลิกทาส) จำต้องมองหาที่พึ่งทางใจ นั่นทำให้แนวคิดของ Elijah Muhammad สามารถชัดจูงผู้คนจำนวนมากได้ ผมไม่ปฏิเสธในความสามารถของเขาได้ ต้องขอบคุณด้วยที่ Elijah สามารถปลุกปั้น Malcolm X ขึ้นมา, ตอนที่ Malcolm อยู่ในคุกนั้นถือว่ากู่ไม่กลับแล้ว แต่เมื่อได้รู้จัก Elijah ที่ทำให้เขาได้เห็นอีกมุมมอง เข้าใจตัวเองในแง่มุมหนึ่ง ซึ่งถือว่าตอบสนองต่อตัวของเขาที่โตมากับความรุนแรง นั่นทำให้เขาสงบลง สามารถพูดสอนโดยใช้ความรุนแรงนี้แนะนำต่อคนอื่น กลายเป็นที่ชื่นชอบและมีผู้ติดตามมากมาย, เมื่อศิษย์เก่งกว่าอาจารย์ น้อยสำนักจะรับได้ เมื่อถึงจุดที่ Malcolm โตมากเกินไป เขาจึงถูกปองร้ายจากผู้เสียประโยชน์ (อาจไม่ใช่จาก Elijah แท้ๆ เป็นคนใกล้ตัวที่เสียประโยชน์) หลังจาก Malcolm ออกมาจาก Nation of Islam ที่เขารู้สึกเหมือนโดนทรยศ แต่ชีวิตต้องเดินต่อไป สิ่งที่เหลืออยู่คือหลักศาสนา นั่นทำให้เขาเดินตามรอยแนวทางดั้งเดิม จนได้ค้นพบว่า แท้จริงแล้ว “ศาสนาไม่ได้สอนความรุนแรงแม้แต่น้อย”
ถ้าไม่มี Elijah Muhammad ก็ไม่มี Malcolm X กระนั้นถ้าไม่มี Malcolm X ความฝันของ Elijah จะไม่มีทางเป็นจริง, การสอนคนด้วยความรุนแรง มันใช้ได้แค่ชั่วครั้งชั่วคราว ช่วงเวลาหนึ่งที่มีกระแสเท่านั้น ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ยอมรับ แถมยังเป็นการปลูกฝังความที่สร้างความขัดแย้งรุนแรง ไม่มีประโยชน์อะไรเลย นี่คือเหตุผลที่ผมไม่ขอจดจำ Elijah Muhammad เพราะแนวคิดนี้ผิดมหันต์ แต่จะจดจำ Malcolm X ไม่ใช่ในฐานะมุสลิม แต่เป็นคนที่เคยผ่านอะไรมาหลายๆอย่าง ได้ค้นหาและสุดท้ายเข้าใจตัวเอง พบคำตอบที่สามารถแก้ไขได้ทุกอย่าง (แม้จะไม่ได้มีโอกาสทำให้มันเกิดขึ้นจริงก็เถอะ)
ผู้กำกับผิวสีชาวอเมริกัน Spike Lee เติบโตขึ้นมาทันในยุคสมัยของ Malcolm X (ตอนนั้น Lee คงเด็กมากๆ), เริ่มเข้าวงการมาในช่วงยุค 80s หนัง debut คือ She’s Gotta Have It (1986) ในเครดิตมีหนังดังๆ อาทิ Do the Right Thing (1989), 4 Little Girls (1998) สองเรื่องนี้ได้เข้าชิง Oscar แต่ไม่ใช่ในสาขา Best Director เลยนะครับ, Lee ได้ Honorary Award เมื่อปี 2015 คงเพราะมีความเป็นไปได้สูงมาก ว่าเขาอาจจะไม่มีวันได้ Oscar สักตัวแน่
เดิมที Malcolm X เป็นโปรเจคของผู้กำกับ Norman Jewison ที่ถูกวางตัวเพราะเคยทำหนัง Oscar เรื่อง In the Heat of the Night (1967), โปรดิวเซอร์ Marvin Worth ได้ลิขสิทธิ์จากหนังสือ The Autobiography of Malcolm X เขียนโดย Malcolm X กับ Alex Haley มาตั้งแต่ปี 1967, Worth ต้องการสร้างหนังตั้งแต่ตอนนั้น แต่มีคำครหามากมาย (เป็นบทหนัง Blacklist) รวมถึงปัญหาในการจัดหาสตูดิโอออกทุนสร้าง ลากยาวมาถึงต้นทศวรรษที่ 90s ถึงได้เริ่มสร้าง (รวมเวลา 25 ปีกว่าจะได้สร้าง), คำครหาที่รุนแรงโดยเฉพาะ Jewison ที่เป็นคนผิวขาว จะให้มากำกับหนังชีวประวัติคนผิวสีได้ยังไง ภายหลัง Jewison จึงถอนตัวออกไป หวยมาตกที่ Spike Lee (นี่เป็นโปรเจคในฝันของเขาเลย) ได้เขียนบทภาพยนตร์ขึ้นมาใหม่หมด ร่วมกับ Arnold Perl, สำหรับ Lee เองก็โดยคำครหาเช่นกัน เพราะจากผลงานก่อนหน้าที่ดูเหมือนอเมริกันมาไปและความที่ Lee ไม่ใช่มุสลิม เขาอาจนำเสนอช่วงก่อนที่ Malcolm เปลี่ยนศาสนามากเกินไป (ในหนังก็กินเวลาไปเกือบๆ 2 ชั่วโมงกว่า Malcolm จะเปลี่ยนมาเป็นมุสลิม)
Denzel Washington เข้าร่วมโปรเจคนี้ตั้งแต่ Jewison เป็นผู้กำกับ หลังจากเปลี่ยนมือมาเป็น Spike Lee ทั้งสองก็ยังไปด้วยกันได้ดีเพราะเคยร่วมงานกันมาแล้วใน Mo’ Better Blues (1990), Washington ก่อนหน้านี้เคยได้ Oscar มาแล้วตัวหนึ่ง สาขา Best Supporting Actor จากหนังเรื่อง Glory (1989) สำหรับ Malcolm X ได้แค่เข้าชิง Lee เป็นคนให้ความเห็นว่า คนผิวขาวปล้น Oscar ของ Washington ไป (ปีนั้น Al Pacino จาก Scent of a Woman ได้รางวัล)
ถ่ายภาพโดย Ernest Dickerson ขาประจำของ Spike Lee
– ในช่วงต้นของหนัง Harlem จะมีสีสันที่สดใส อบอุ่น
– จากนั้นในคุกจะมืดหม่น (เล่นกับแสงเงาได้เจ๋งมากๆ)
– ช่วงครึ่งหลังจะมีถ่ายฟุตเทจที่เหมือนจากรายการทีวี (ภาพสีกับ ขาว-ดำ) แสดงถึงภาพ Malcolm ต่อสายตาประชาชน
นี่เป็นหนัง hollywood เรื่องแรกที่ได้รับอนุญาติให้ถ่ายภาพในนคร Mecca แม้ทั้ง Lee และ Washington จะไม่สามารถเข้าไปร่วมเดินประกอบพิธีฮัจญ์ (เพราะพวกเขาไม่ใช่มุสลิม) แต่ก็ได้ภาพสวยๆที่น้อยคนจะได้เคยเห็น, นอกจากนี้ยังมีไปอิยิปต์ เห็นพีระมิด สฟิงค์ ขี่อูฐ ฯ ฉากที่ผมชอบที่สุดอยู่ขณะที่ Malcolm พูดในที่สาธารณะ นอกจากสุดยอดการแสดง (จำบท) ของ Washington แล้ว การถ่ายภาพที่เราจะรู้สึกได้ว่ามีมุมทั้งจากด้านล่างเงยขึ้นไป (คล้ายๆกับงานภาพตอน Hitler ปราศัยใน Triumph of Will) และภาพของ Elijah Muhammad ที่ใหญ่คับฟ้าอยู่ด้านหลัง (เหมือน Citizen Kane), ฉากนี้มันคือการชวนเชื่อ ที่คนใจอ่อนดูแล้วคล้อยตามได้เลย ผมดูไปยิ้มแฉ่ง นี่คือสิ่งที่ผมกลัวตอนก่อนดูหนัง พอถึงจุดนี้ กระหยิ่มรู้ตัวว่าไม่ได้เลวร้ายกว่าที่คิดไว้
ตัดต่อโดย Barry Alexander Brown ช่วงต้นๆเรื่องมีจังหวะที่ทำเอาผมมึนตึบเลยนะครับ ผมเรียกว่าใช้การตัดต่อ 3 จังหวะ (ตอนที่พ่อของ Malcolm ถูกทุบหัว และทิ้งบนรางรถไฟให้รถทับตาย) มัน ฉับ ควับ ฟับ! ใช้การตัด 3 ครั้ง กับภาพ 3 ฉาก (ต้น, กลาง, จบ)ที่เร็วมาก จนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น (ยังดีที่หนังมีคำอธิบาย ไม่งั้นตึบเลย) ผ่านจุดนี้ที่เหลือภาพรวมยอมรับเลยหนังตัดได้ไม่น่าเบื่อเลยสักนิด ทั้งๆที่ความยาว 200 นาที ผมไม่ลุกไปไหนเลยนะครับ, เราสามารถแบ่งหนังออกได้เป็น 4 ส่วนชัดเจนเลย
1. ช่วงชีวิตของ Malcolm ก่อนจะเข้าคุก
2. ช่วงที่อยู่ในคุก และได้รู้จักกับ Elijah Muhammad
3. ช่วงที่อยู่กับ Elijah Muhammad ได้ขึ้นพูดปราศัยและกลายเป็นคนสำคัญของ Nation of Islam
4. ช่วงหลังจากออกจาก Nation of Islam จนเสียชีวิต
ช่วงที่ผมชอบที่สุดคือ 4 แต่เจ๋งที่สุดในหนังคือช่วง 3 แต่ละช่วงก็กินเวลาเกือบๆชั่วโมง, จำได้ว่ากว่าที่หนังจะพูดชื่อ Elijah Muhammad เรื่องราวก็ผ่านไปประมาณ 1 ชั่วโมงแล้ว (ตอนที่อยู่ในคุก) นี่คือเหตุผลความ Epic ของหนังนะครับ ไม่ใช่จำเป็นต้องฉากสวยงามอลังการ แต่เรื่องราวที่โคตรอลังการ ยิ่งช่วง 3 ขณะที่ Malcolm พูดในที่สาธารณะ เวทีปราศัยมันค่อยๆยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จากข้างถนน ในห้องเรียน หอประชุม พูดต่อหน้าคนนับร้อยนับพัน จนออกรายการโทรทัศน์ต่อหน้าคนเป็นล้าน
เพลงประกอบโดย Terence Blanchard, นึกถึงหนังของคนผิวสี Jazz, R&B, Soul, Blues ร้องเล่นเต้น เหล่านี้มีเต็ม ครบทุกอรรรสในหนังเรื่องนี้ (ไม่คิดว่า Washington จะเต้นได้เจ๋งขนาดนี้), เพลงประกอบหลัก จะมีใจความของรักชาติและความทรยศ, ส่วนเพลงอื่นๆได้นักร้องผิวสีดังๆมาร้องให้เพียบเลยนะครับ อาทิ Ray Charles, Louis Jordan, Big Joe Turner, Ella Fitzgerald ฯ ผมเอาเพลงตอนจบของหนังมาฝากนะครับ A Change Is Gonna Come เขียน/ขับร้องโดย Sam Cooke
คลิปนี้คือภาพจากตอนจบในหนังเลย (จะเห็น Muhammad Ali อยู่แวบหนึ่งด้วย) ฟังแล้วใจยังหวิวๆ การตายของ Malcolm ถือว่า เป็นการสูญเสียที่น่าเสียดายมากๆ ผมอยากรู้มากว่าถ้ายังมีชีวิตอยู่ เขาจะสามารถทำอะไรได้บ้าง, การตายครั้งนี้ ต้องบอกเลยว่าทำตัวเองล้วนๆ การออกมาจาก Nation of Islam แทนที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ เลือกออกจากวงจรนี้ไปเลย ไม่กลับอเมริกา หรือไม่พยายามทำสิ่งเดียวกับที่ Elijah Muhammad เคยทำ คงไม่มีใครมุ่งร้ายเขาอยู่แล้ว, มันชัดมากว่า การสร้างองค์กรใหม่ขึ้นมาของ Malcolm ก็เพื่อที่จะต่อสู้/ต่อต้านกับ Nation of Islam ในหนังทำให้เขาเพิ่งมามองเห็นตอนคืนสุดท้าย(ก่อนตาย) ว่านี่เป็นการสู้กับองค์กรที่เขาไม่อาจเอาชนะได้ แต่ก็ยังดั้นด้นเอาหัวดันสู้ชนฝา และถูกบดขยี้จนไม่เหลือชิ้นดี
คำปราศัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ Malcolm X คือ การเรียกร้องให้คนผิวดำมีสิทธิทางการเมืองในการออกเสียงเลือกตั้งเช่นเดียวกับที่คนผิวขาวมีสิทธิ “ไม่ว่าใครจะนับถือศาสนาอะไร มีผิวสีอะไร ขอให้ลืมความแตกต่าง ทุกคนเป็นพลเมืองเดียวกัน มีสิทธิเสรีภาพทางด้านความคิดเหมือนกัน” นี่คือคำพูดที่ทำให้ Malcolm X กลายเป็นตำนาน
มีคำถามหนึ่งที่เชื่อว่าบางคนอาจเกิดคำถาม พระเจ้าผิวสีอะไร?… คงต้องเกริ่นตั้งแต่ Michelangelo วาดภาพ The Creation of Adam ผมคิดว่าเขาน่าจะเป็นคนแรกที่นำเสนอภาพวาดของพระเจ้าในรูปลักษณะของมนุษย์ ในคำภีร์ใบเบิ้ลก็มีคำพูดประมาณว่า พระเจ้าสร้างมนุษย์จากภาพของตน, เหล่านี้คือจินตนาการที่มนุษย์วาดภาพพระเจ้าขึ้นมานะครับ ไม่มีความรู้จริงๆว่าแท้จริงแล้วพระเจ้าเป็นคนผิวขาว ผิวน้ำตาล หรือผิวดำ มันขึ้นกับศิลปินคนที่วาดภาพออกมา และความเชื่อของผู้พบเห็น การจะมาบอกว่า พระเจ้าเป็นคนผิวสี นี่เรียกอุปโหลกนะครับ เช่นกันกับพระเจ้าเป็นคนผิวขาว ก็ไม่ใช่ว่าจะจริง ไม่มีใครรู้พิสูจน์ได้ ไม่แน่ว่าพระเจ้าของคุณอาจจะผิวสีเขียว (พญานาค), สีแดง (แบบกวนอู) แคร์ทำไมเรื่องสีผิว!
สิ่งที่หนังเรื่องนี้ทำให้ผมหลงรักมันก็คือ ช่วงที่ 4 เมื่อ Malcolm ออกมาจาก Nation of Islam เขาได้เดินทางไปแสวงบุญยังที่ต่างๆทั่วโลก นครเมกกะ อิยิปต์ ฯ ได้พบกับความหลากหลายของผู้คน ต่างเชื้อชาติ ต่างสัญชาติ ความไม่ถือตน ไม่มีการแบ่งแยกชนชั้น นี่ทำให้ Malcolm ตระหนักได้ว่า สิ่งที่เขารู้เห็นในอเมริกานั้น เปรียบได้ดั่งกบในกะลา ถ้าไม่ออกมาพบเจอสิ่งเหล่านี้ในโลกกว้าง คงไม่รู้ว่าสิ่งต่างๆที่ตนเคยทำมา มันไร้ค่าสิ้นดี นี่เป็นช่วงเวลาที่ผมเซอร์ไพรส์มากๆ เพราะไม่คิดว่า Malcolm X จะสามารถเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้ ถ้าเปรียบกับ Rat Race เขาได้ออกมาจากการแข่งขัน และได้พบกับโลกความจริงไม่เหมือนกับสิ่งที่เขารู้ อเมริกาก็แค่ประเทศหนึ่ง น่าจะเป็นประเทศเดียวด้วยซ้ำที่มีปัญหาความแตกต่างระหว่างสีผิว, เขาเอาสิ่งที่ได้ ตั้งใจกลับอเมริกาเพื่อบอกเล่าให้ใครๆได้เห็น น่าเสียดาย…
จากนักเลง หัวขโมย กลายมาเป็นคนที่เข้าใจชีวิต มองเห็นคุณค่าชีวิตของคนอื่น, จะมีมนุษย์สักกี่คนที่ จากโคลนตมกลายมาเป็นดอกบัว Malcolm X คือหนึ่งในนั้น
หนังใช้ทุนสร้าง $33 ล้านดอลลาร์ ถือว่าสูงนะครับในสมัยนั้น และแถม Lee ใช้เงินเกินไปที่วางแผนไว้ (วางแผนที่ $28 ล้าน) หนังทำเงิน $48.2 ล้าน ขาดทุนพอสมควร
ไม่แนะนำหนังกับคนที่หัวอ่อน เชื่ออะไรใครง่ายๆ ถ้าคุณอายุเกิน 18 และสามารถคิดวิเคราะห์ เข้าใจอะไรต่างๆได้เอง วางตัวเป็นกลางแล้วดูหนังเรื่องนี้ จะเห็นความสวยงาม และชีวประวัติของยอดคน, ผมอยากจัดหนังเรื่องนี้ ต้องดูให้ได้ก่อนตาย ด้วยซ้ำ แต่ใช่ว่าทุกคนจะคิดได้เหมือนผม บางคนดูจบคงจะยังต่อต้านอิสลามหรือคนผิวสีเหมือนเดิม และมองว่านี่เป็นหนังชวนเชื่อที่เต็มไปด้วยความชั่วร้าย หนังมันไม่ได้ชั่วร้ายนะครับ คุณดูแล้วคิดอะไรแบบนั้น มันแสดงถึงความชั่วร้ายที่แฝงอยู่ในใจของคุณเอง
Leave a Reply