My Darling Clementine

My Darling Clementine (1946) hollywood : John Ford ♥♥♥♥

หนังแนว Western มักขึ้นชื่อเรื่องความดิบ เถื่อน รุนแรง แต่การมาถึงของหญิงสาวผู้ดีสุดสวย Clementine ทำให้แม้แต่ Henry Fonda ในบท Wyatt Earp นายอำเภอแห่งโคตรเมืองโหด Tombstone ยังต้องถอดหมวก หวีผมหล่อ ฉีดน้ำหอม กลายเป็นสุภาพบุรุษขึ้นมาทันที, “ต้องดูให้ได้ก่อนตาย”

อีกหนึ่งผลงาน Masterpiece ของผู้กำกับ John Ford ที่ผู้ชมส่วนใหญ่คงไม่รู้ว่ามันยอดเยี่ยมยังไง ตอนผมรับชมครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อนก็เกาหัว หวนกลับมาครานี้ค่อนข้างเซอร์ไพรส์ทีเดียว คงเพราะมีโอกาสดูหนังแนวนี้มาหลายเรื่องติดๆจึงพบเห็นว่า ไม่มี Cowboy Western เรื่องอื่นไหน จะมีความเป็น ‘สุภาพบุรุษ’ เทียบเท่า My Darling Clementine อีกแล้ว

เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินชื่อของ Wyatt Earp นายอำเภอเมือง Tombstone มีการสร้างอ้างอิงถึงในภาพยนตร์มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
– ครั้งแรกยุคหนังเงียบ Wild Bill Hickok (1923) นำแสดงโดย Bert Lindley
– Frontier Marshal (1934) ดัดแปลงจากนิยายชีวประวัติเรื่อง Wyatt Earp: Frontier Marshal นำแสดงโดย George O’Brien
– Frontier Marshal (1939) เป็นการ Remake ฉบับปี 1934 ดัดแปลงจากนวนิยายเล่มเดียวกัน นำแสดงโดย Randolph Scott
– Winchester ’73 (1950) นำแสดงโดย James Stewart แต่ Will Geer รับบท Wyatt Earp
– Gunfight at the O.K. Corral (1957) นำแสดงโดย Burt Lancaster, Kirk Douglas, กำกับโดย John Sturges
– Cheyenne Autumn (1964) นำแสดงโดย James Stewart, กำกับโดย John Ford
– Hour of the Gun (1967) นำแสดงโดย James Garner, กำกับโดย John Sturges
– Tombstone (1993) นำแสดงโดย Kurt Russell
– Wyatt Earp (1994) นำแสดงโดย Kevin Costner
ฯลฯ

เรื่องได้รับการยกย่องพูดถึงมากสุด คือ My Darling Clementine (1946) ครั้งที่สามของการดัดแปลงจากนวนิยายเรื่อง Wyatt Earp: Frontier Marshal (1931) แต่งโดย Stuart Nathaniel Lake (1889 – 1964) นักเขียนสัญชาติอเมริกัน นำเสนอชีวประวัติของ Wyatt Earp นายอำเภอแห่งเมือง Tombstone, Arizona Territory และตำนานการต่อสู้ดวลปืนต่อสู้กับ Newman Haynes Clanton (เจ้าของฉายา Old Man Clanton) ที่ O.K. Corral เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 1881

เห็นว่า Ford มีโอกาสพบเจอตัวจริงของ Wyatt Earp (1848 – 1926) ตอนสมัยยังหนุ่มๆ ขณะเดินทางมา Hollywood เพื่อถ่ายทำหนังเรื่อง Wild Bill Hickok (1923) และได้รับฟังคำบรรยายจากปาก ถึงตำนานการต่อสู้ที่ O.K. Corral

“I used to give him a chair and a cup of coffee, and he told me about the fight at the O.K. Corral. So in My Darling Clementine, we did it exactly the way it had been.”

ภาพถ่ายจากตัวจริงของ Wyatt Earp จากหนังเรื่อง Wild Bill Hickok (1923)

John Ford ชื่อเดิม John Martin ‘Jack’ Feeney (1894 – 1973) ผู้กำกับภาพยนตร์สัญชาติอเมริกา เกิดที่ Cape Elizabeth, Maine มีความสนใจด้านภาพยนตร์ตามรอบพี่ชาย Francis Ford สู่ Hollywood เริ่มต้นจากเป็น Stuntman, นักแสดงสมทบ แล้ว Universal จับเซ็นสัญญาให้กลายเป็นผู้กำกับ ผลงานหนังสั้นเรื่องแรก The Tornado (1917) [สูญหายไปแล้ว] ประสบความสำเร็จมีชื่อเสียงกับ The Iron Horse (1924), Three Bad Men (1926) มีผลงานหนังพูดเรื่องแรก Mother Machree (1928), ถือสถิติคว้า Oscar: Best Director ถึง 4 จาก 5 ครั้งที่ได้เข้าชิง ประกอบด้วย The Informer (1935), Stagecoach (1939) ** เรื่องเดียวที่ไม่ได้รางวัล, The Grapes of Wrath (1940), How Green Was My Valley (1941), The Quiet Man (1952)

ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นทหารเรือสังกัดหน่วยข่าวกรอง (Office of Strategic Services) ประดับยศนาวาโท (Commander) สร้างภาพยนตร์สามเรื่อง
– The Battle of Midway (1942) แนว Semi-Documentary
– December 7th: The Movie (1943) แนวชวนเชื่อ Propaganda
– และ They Were Expendable (1945) ออกฉายหลังสงครามจบ

สำหรับภาพยนตร์ Post-Wars เรื่องแรกคือ My Darling Clementine ชื่อนิยายเล่มใหม่ของ Stuart Lake ที่นำ Wyatt Earp: Frontier Marshal (1931) มาปัดฝุ่นปรับปรุงเพิ่มเติม [ก็คือเรื่องเดียวกันนะแหละ] ออกทุนสร้างโดยสตูดิโอ Fox และโปรดิวเซอร์ Darryl F. Zanuck

ผู้กำกับ Ford ไม่ชื่นชอบความจุ้นจ้าน (เสือก) ของ Zanuck แต่เพราะยังติดสัญญาหลงเหลือต้องสร้างภาพยนตร์ให้สตูดิโอ Fox อีกเรื่อง นี่จึงคือเรื่องสุดท้ายที่ทั้งสองร่วมงานกัน และเป็นผลงานที่ Zanuck เข้ามาก้าวก่ายวุ่นวายกับผลลัพท์สุดท้ายของหนังที่สุดด้วย

สี่พี่น้องนำโดย Wyatt Earp (รับบทโดย Henry Fonda) ต้อนฝูงวัวผ่านมาถึง California พบเจอกับ Old Man Clanton (รับบทโดย Walter Brennan) และลูกๆของเขา ติดต่อขอซื้อแต่ไม่ยินยอมขาย แนะนำให้รู้จักเมืองชื่อ Tombstone ที่ซึ่งไร้กฎหมายและนายอำเภอ ในตอนแรก Wyatt ก็ไม่ได้ใคร่สนใจอะไร แต่เมื่อพบว่าน้องคนเล็กถูกฆ่า วัวที่ต้อนมาถูกขโมย จึงรับอาสาเป็นนายอำเภอเมืองนี้เพื่อทวงคืนความยุติธรรม

นำแสดงโดย Henry Jaynes Fonda (1905 – 1982) นักแสดงสัญชาติอเมริกา เกิดที่ Grand Island, Nebraska ในครอบครัว Christian Scientist วัยเด็กเป็นคนขี้อาย หวาดกลัวสาวๆ ชอบว่ายน้ำ เล่นสเก็ต และออกวิ่ง โตขึ้นวาดฝันเป็นนักข่าว เข้าเรียน University of Minnesota แต่ไม่จบ กลายมาเป็นนักแสดงที่ Omaha Community Playhouse ครั้งหนึ่งได้ร่วมงานกลายเป็นเพื่อนสนิทกับ James Stewart อาศัยอยู่ห้องพักเดียวเดียวกัน, หลังประสบความสำเร็จจากการแสดง Broadway เรื่อง The Farmer Takes a Wife (1934) กลับมารับบทเดิมในฉบับภาพยนตร์ปี 1935 ตามด้วย You Only Live Once (1937), Jezebel (1938), Young Mr. Lincoln (1939) ร่วมงานครั้งแรกกับผู้กำกับ Ford เรื่อง Jesse James (1939), ผลงานที่กลายเป็นตำนานเริ่มตั้งแต่ The Grapes of Wrath (1940), The Lady Eve (1941), The Ox-Bow Incident (1943), My Darling Clementine (1946), War and Peace (1956), 12 Angry Men (1957), How the West Was Won (1965) ฯ

รับบท Wyatt Earp หนุ่มหล่อ เท่ห์ คมคาย ตบปากรับเป็นนายอำเภอเพียงต้องการทวงคืนความยุติธรรมให้กับพี่น้องของตนเอง ไม่ชอบพกปืน คลั่งไคล้การพนันแต่ไม่ชอบเอาชีวิตผู้อื่นมาเสี่ยง เป็นสุภาพบุรุษแต่ก็เฉพาะกับสุภาพสตรีเท่านั้น

คงไม่ผิดอะไรจะบอกว่า Wyatt ตกหลุมรักแรกพบ Clementine แม้จะรับรู้ว่าแท้จริงแล้วเธอมาตามหาอดีตคนรัก Dr. John Henry ‘Doc’ Holliday (รับบทโดย Victor Mature) แต่ก็ขอโอกาสสักครั้ง ‘ดอกฟ้ากับหมาวัด’ หวีผม ใส่น้ำหอม จูงมือออกเดท เต้นรำร่วมกับเธอ จะเป็นความทรงจำอันทรงคุณค่ามิรู้ลืมเลือน

เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจทีเดียวของผู้กำกับ Ford ไม่ได้เลือกใช้บริการขาประจำอย่าง John Wayne คงเพราะใบหน้าดวงตาของ Fonda มีความอ่อนโยน นุ่มนวล สุภาพบุรุษปรากฎอยู่มากกว่า ซึ่งถ้าเป็น Wayne คงมีแต่ความหยาบกระด้างก้าวร้าว ในสไตล์ของ Old Western เสียมากกว่า

หมวกทรงสูงของ Fonda เป็นอะไรที่ไม่รับเข้ากับใบหน้าเขาเลย ด้วยความเรียวยาวที่พอสวมแล้วทำให้เหมือนแท่งอะไรสักอย่าง แต่พอถอดออกเห็นทรงผมหวีอย่างเนี๊ยบเท่ห์ แทบจะกลายเป็นอีกคนหนึ่ง ดูดีมีชาติตระกูลขึ้นมา แม้คำพูดสำเนียงพยายามสุภาพอย่างที่สุด แต่รับรู้ได้ว่าเป็นคนบ้านนอกคอกนาไร้การศึกษา

“Ma’am, I sure like that name… Clementine.”

นี่เป็นบทบาทแรกของ Fonda หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เช่นกัน สร้างเอกลักษณ์ให้กับตัวละครได้อย่างน่าจดจำจนกลายเป็นอมตะ โดยเฉพาะขณะโยกเก้าอี้เหยียดเท้าเล่นเหมือนเด็ก และพอเห็นหญิงสาวสวย ก็ตกตะลึงทำตัวไม่ถูก ลุกขึ้นยืนถอดหมวกกลายเป็นสุภาพบุรุษโดยทันที นี่เป็นสิ่งที่หนัง Western ยุคสมัยก่อนหน้านี้ไม่เคยปรากฎพบเห็น ถือเป็นครั้งแรกที่ปรับเปลี่ยนทัศนะแนวคิดของผู้สร้างภาพยนตร์แนวนี้ไปโดยสิ้นเชิง

Victor John Mature (1913 – 1999) นักแสดงสัญชาติอเมริกา เกิดที่ Louisville, Kentuck ครอบครัวสืบเชื้อสาย Italian โตขึ้นเข้าเรียน Spencerian Business School ตั้งใจเป็นนักธุรกิจเปิดกิจการร้านอาหาร แต่ด้วยความหลงใหลในการแสดง เข้าเรียนที่ Pasadena Community Playhouse เซ็นสัญญากับ Hal Roach Production รับบทนำครั้งแรก One Million B.C. (1940), โด่งดังกับ My Darling Clementine (1946), Kiss of Death (1947), Samson and Delilah (1949), The Robe (1953) ฯ

รับบท Dr. John Henry ‘Doc’ Holliday อดีตเป็นหมอศัลยกรรม แต่เมื่อตรวจพบตัวเองเป็นวัณโรค (Tuberculosis) ทอดทิ้งทุกสิ่งอย่าง ออกเดินทางเร่ร่อนกลายเป็นคนนอกกฎหมาย ปักหลักชั่วคราวอยู่ที่ Tombstone จนได้พบเจอกับ Wyatt Earp ท้าดวลปืนแต่เจ้าตัวกลับไม่พก สะดุ้งโหยงเมื่อรับรู้ว่าถูกพี่น้องอีกสองคนถือปืนจ่ออยู่ข้างหลัง เกิดความชื่นชอบประทับใจจนแทบกลายเป็นเพื่อนสนิท

ด้านอ่อนไหวของ Doc Holliday สะท้อนจากการขับสำนวน Hamlet ของ Shakespeare สะท้อนอารมณ์ความรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าว เศร้าสลดเสียใจ ก็ไม่ได้อยากจากบ้านหรือคนรักมา แต่ชีวิตใกล้ตายของตนมันช่างไร้อนาคตสิ้นดี, ความล้มเหลวในการผ่าตัดรักษา Chihuahua (รับบทโดย Linda Darnell) ทำให้เขาขอต่อสู้ล้างแค้น ทวงคืนความยุติธรรมเฉกเช่นเดียวกับ Wyatt Earp

ในชีวิตจริง Holliday ไม่ได้ถูกฆ่าที่ O.K. Corral และไม่ได้เป็นหมอศัลยกรรม (เป็นแค่หมอฟัน) แต่การตายในหนังมีนัยยะเพื่อให้ Clementine ถอดใจจากตนเอง และปักหลักสร้างฐานอยู่ที่ Tombstone เปิดโรงเรียนสอนหนังสือ นำ’อารยธรรม’ เข้าสู่โลกที่เต็มไปด้วยความป่าเถื่อนรุนแรง

บทนี้ในตอนแรกโปรดิวเซอร์ Zanuck ผลักดันอย่างมากให้ James Stewart แต่ Ford เบือนหน้าหนี ไม่เชื่อว่าจะแสดงได้ เคยเล็งอย่าง Vincent Price, Tyrone Power, Douglas Fairbanks Jr. แต่สุดท้ายก็เลือก Victor Mature ที่ตอนนั้นสังกัด Fox อยู่ด้วยแต่ยังไม่โด่งดังประสบความสำเร็จเท่าไหร่

การแสดงของ Mature สะท้อนหลากหลายอารมณ์ความรู้สึกออกมาได้อย่างสมจริง ทั้งด้านอ่อนไหว เกรี้ยวกราด แข็งกระด้าง ภายนอกทำตัวโอหังอวดเก่ง แต่ภายในทนทุกข์ทรมานรวดร้าวแสนสาหัส,

ซึ่งความสำเร็จของหนังเรื่องนี้ โปรดิวเซอร์ Zanuck ก็รีบเร่งส่งเสริมผลักดัน Mature เป็นอย่างยิ่ง

“Personally, I think the guy has been one of the most under-rated performers in Hollywood. The public is crazy about him and strangely enough every picture that he has been in has been a big box-office hit.”

Linda Darnell ชื่อจริง Monetta Eloyse Darnell (1923 – 1965) โมเดล นักแสดงหญิงสัญชาติอเมริกา เกิดที่ Dallas, Texas ตอนเด็กเป็นคนขี้อาย แต่แม่เห็นแววเลยผลักดันให้กลายเป็นนักแสดง โตขึ้นได้เป็นนักแสดงที่ Dallas Little Theater เซ็นสัญญากับสตูดิโอ Fox แจ้งเกิดกับ Brigham Young (1940), The Mark of Zorro (1940), Anna and the King of Siam (1946), My Darling Clementine (1946) กลายเป็นตำนานกับ Forever Amber (1947), Unfaithfully Yours (1948), A Letter to Three Wives (1949) ฯ

รับบท Chihuahua หญิงสาวโสเภณีขี้อิจฉา สัญชาติ Mexican อ้างว่าเป็นแฟนของ Doc Holliday แต่กลับถูกทิ้งๆขว้างๆไม่ค่อยสนใจใยดี พอพบเจอ Clementine ก็ยิ่งร้ายใหญ่ พูดจาขับไล่ไสส่งอย่างหน้าด้านไร้ยางอาย ครั้งหนึ่งลักลอบมีชู้กับ Billy Clanton ถูกจับได้จึงโดนยิงปางตาย

เกร็ด: Chihuahua ไม่ใช่แค่ชื่อสายพันธุ์หมาเท่านั้น แต่ยังคือชื่อรัฐหนึ่งของประเทศ Mexico

ภาพลักษณ์ของ Darnell เหมือนหญิงสาวโสเภณี แรดร่านเป็นอย่างยิ่ง ทั้งสีหน้า สายตา ท่าทาง คำพูด การแสดงออก สะท้อนความแพศยามาดร้ายออกมาได้อย่างสมจริงจัง ในตอนแรกผู้ชมจะรู้สึกสมน้ำหน้า แต่ภายหลังก็จะสงสารเห็นใจ (จริงๆกลายเป็นแบบนั้น เพราะทำตัวเองล้วนๆ)

Cathy Downs (1924 – 1976) นักแสดงหญิงสัญชาติอเมริกา เกิดที่ Port Jefferson, New York เริ่มจากเป็นโมเดลปกนิตยสาร Vogue ถูกแมวมองของ Fox พาตัวมาคัดเลือกนักแสดง บทเล็กๆใน State Fair (1945), The Dolly Sisters (1945) แจ้งเกิดกับ My Darling Clementine (1946), The Dark Corner (1946) ฯ

รับบท Clementine Carter เดินทางจาก Boston เพื่อตามหาอดีตคนรัก Dr. John Holliday อย่างไร้จุดหมายด้วยรถม้า Stagecoach ก็ไม่รู้ยาวนานเท่าไหร่ถึงมีโอกาสได้พบที่ Tombstone ได้รับการปฏิบัติอย่างดีจาก Wyatt Earp ตรงกันข้ามกับ Doc Holliday ตวาดขับไล่ไสส่งไร้ซึ่งเยื่อใย แม้สุดท้ายจะไม่มีบทบาทอะไรมาก สุดท้ายตัดสินใจปักหลักลงฐานอยู่ที่เมืองแห่งนี้

เกร็ด: Clementine/Tangerines คือชื่อส้มสายพันธุ์หนึ่ง ขึ้นในบริเวณ Mediterranean

Anne Baxter กับ Jeanne Crain คือตัวเต็งที่จะได้รับบทนี้ แต่ผู้กำกับ Ford เหมือนเลือกประชด Zanuck เอานักแสดงไร้ชื่อขึ้นมารับบทตัวละครที่เป็นถึงชื่อหนัง

แม้การแสดงจะไม่มีอะไรให้น่าพูดถึงนัก แต่ภาพลักษณ์ของ Downs ช่างดูดีมีสง่าราศี สูงส่งเสียเหลือเกิน เมื่อต้องมาอยู่ในสถานที่ราวกับหุบเหวขุมนรก ราวกับนางฟ้าในหมู่มาร ทำให้โลกของใครหลายๆคนดูสว่างสดใสมากขึ้นทีเดียว

ในชีวิตจริง Wyatt Earp แต่งงานถูกต้องตามกฎหมายกับ Josephine Sarah ‘Sadie’ Earp ขณะที่ Doc Holliday แต่งงานกับ Mary Katherine Horony-Cummings หรือ Big Nose Kate โสเภณีสาวพบเจอกันที่ Fort Griffin, Texas ก่อนตามไปที่ Tombstone ทั้งสองมีบทบาทในนิยายของ Stuart Lake แต่ถูกตัดออกจากบทภาพยนตร์ เพราะถือว่าอยู่นอกประเด็นความสนใจ

Walter Andrew Brennan (1894 – 1974) นักแสดงสัญชาติอเมริกันยอดฝีมือ เกิดที่ Lynn, Massachusetts มีความสนใจด้านการแสดงตั้งแต่เด็ก ออกทัวร์ทั่วประเทศ (Vaudeville) ตั้งแต่อายุ 15 เข้าสู่วงการภาพยนตร์จากเป็นตัวประกอบในสตูดิโอ Universal พร้อมด้วยผลงานกว่าร้อยเรื่อง เป็นเจ้าของสถิติคว้า Oscar: Best Supporting Actor มากสุดถึง 3 ครั้ง จากเรื่อง Come and Get It (1936), Kentucky (1938), The Westerner (1940)

รับบท Newman Haynes Clanton หรือ Old Man Clanton เป็นเจ้าของฟาร์มปศุสัตว์ มีลูกชายทึ่มๆสี่คน ปกครองด้วยความเผด็จการรุนแรง ใช้ไม้เรียวคอยเสี้ยมสั่งสอนออกคำสั่ง จิตใจโหดโฉดชั่วร้าย ไม่สนความดีงามถูกต้องอะไรทั้งนั้น

“When ya pull a gun, kill a man.”

Brennan คือโคตรของโคตรตัวประกอบที่กลายเป็นตำนานของ Hollywood ซึ่งหนังเรื่องนี้แม้จะไม่ได้ปรากฎตัวบ่อยครั้งนัก แต่ได้สร้างเอกลักษณ์ตัวร้ายที่โหดเหี้ยม โฉดชั่ว อันตรายสุดๆตัวหนึ่ง

Ford เป็นผู้กำกับที่มีหมาอยู่เต็มปาก ไม่เว้นแม้แต่ Brennan ครั้งหนึ่งถูกต่อว่าเรื่องไม่สามารถควบคุมม้าที่ขี่อยู่ได้ ‘Can’t you even mount a horse?’ ถูกสวนกลับว่า ‘No, but I got three Oscars for acting!’ ประกาศกร้าวว่าจะไม่ร่วมงานกันอีก

Joseph MacDonald (1906 – 1968) ตากล้องสัญชาติ Mexican สังกัดสตูดิโอ Fox ตั้งแต่ทศวรรษ 40s ผลงานเด่น อาทิ Viva Zapata! (1952), What Price Glory (1952), The Young Lions (1958), Pepe (1960), The Sand Pebbles (1966) ฯ

หลังจากภาพยนตร์เรื่อง Stagecoach (1939) ที่ Ford มีโอกาสเดินทางมาถ่ายทำยัง Monument Valley, Arizona-Utah ก็เกิดความหลงใหลคลั่งไคล้สถานที่นี้เป็นอย่างยิ่ง และเพราะไม่อยากถูกควบคุมชี้นิ้วสั่งโดยโปรดิวเซอร์ Zanuck ถ้าเลือกถ่ายทำใกล้ๆกับ Los Angeles ตัดสินใจผลาญเงิน $250,000 เหรียญ ในการสร้างทั้งเมือง Tombstone ขึ้นมา ถ่ายทำเสร็จแล้วอนุญาตให้ชาวพื้นเมืองอินเดียนแดง Navajo ทุบทำลายทิ้ง

นอกจากทัศนียภาพทิวทัศน์ ท้องฟ้าก้อนเมฆสวยๆแล้ว การจัดแสงเงา ทิศทางมุมกล้อง และควันบุหรี่ ล้วนมีนัยยะสำคัญแอบแฝงซ่อนเร้นอยู่เสมอ

ขอเริ่มที่ควันก่อนแล้วกัน ในบาร์แห่งนี้เห็นไม่กี่คนที่สูดซิการ์ แต่มันช่างฟุ้งโขมงเสียเหลือเกิน นัยยะสื่อถึงความคลุมเครือไม่รู้ชัด เพราะ Wyatt Earp เพิ่งได้เป็นนายอำเภอคนใหม่ ยังมิได้รับรู้จักทุกสิ่งอย่าง กับชายคนที่เดินเข้ามา Doc Holliday หมอนี่เป็นใครกัน?

สังเกต: ลักษณะของควันจากฉากภายใน มีนัยยะสื่อความหมายคล้ายกับ ลักษณะก้อนเมฆของฉากภายนอก

การจัดแสงเงาโดยเฉพาะตอนกลางคืน น่าจะถือว่าเป็นเอกลักษณ์ลายเซ็นหนึ่งของผู้กำกับ Ford ไปแล้ว มักมีความเข้ม Low Key สะท้อนด้านมืดที่อยู่ภายในจิตใจตัวละคร

ตอนที่ Doc Holliday หวนกลับมาพบเจอ Clementine ลากเธออกมาสนทนาภายนอก ด้านที่หันเข้าจอภาพอาบด้วยความมืดมิด สะท้อนถึงสิ่งไม่มีทางเป็นไปได้ระหว่างพวกเขาทั้งสอง

เห็นช็อตนี้ชวนให้หวนระลึกถึง Casablanca (1942) เรื่องราวก็มีความคล้ายคลึงกันเล็กๆ อดีตที่เคยตกหลุมรักหวนกลับมาพบเจอ พอถึงฉากนี้เป็นฝ่ายชายร้องขอให้ฝ่ายหญิงตัดใจไปจากเขา

ถึงจะมองเห็นเป็นภาพสะท้อน แต่ผมคิดว่าน่าจะเป็นการซ้อนภาพมากกว่า (เพราะมันชัดเกินไปนิด), ใบหน้าของ Doc Holliday จับจ้องมองที่กรอบใบประกอบวิชาชีพหมอ เห็นภาพสะท้อนของตัวเองจากอดีต แต่เพราะป่วยเป็นวัณโรค (คงกลัวติดต่อสู่ผู้ป่วย เลยต้องเลิกอาชีพนี้) ปัจจุบันยินยอมรับสภาพของตัวเองไม่ได้ เขวี้ยงแก้วเหล้ากระแทกใส่กระจกแตก นัยยะคือ ความพยายามละทิ้งทำลายอดีต/ตัวตนของตนเอง

สำหรับมุมกล้อง หลายครั้งทีเดียวที่เงยขึ้นเห็นท้องฟ้า/ก้อนเมฆ ราวกับสรวงสวรรค์แห่งปลื้มปีติเป็นสุขใจ, อย่างช็อตนี้ที่ Wyatt Earp ได้เต็มรำกับนางฟ้า Clementine มุมกล้องช็อตหนึ่งจะเงยขึ้นถ่ายจากด้านล่าง เห็นชัดเลยว่าเขากำลังมีความสุขยิ้มร่า

หรือตอนที่สามารถจัดการกับ Old Man Clanton สำเร็จแล้ว มีช็อตหนึ่งที่ถ่ายติดท้องฟ้า ก้อนเมฆ แต่มีลักษณะม่วนๆ อึมครึมอยู่เต็มไปหมด หาได้ปลอดโปร่งโล่ง เพราะ Wyatt ได้รับรู้ว่า ใครบางคนได้สูญสิ้นเสียชีวิตจากการปะทะต่อสู้ครั้งนี้

สำหรับฉากสุดท้ายของหนัง เดิมผู้กำกับ Ford ต้องการให้แค่ Wyatt กับ Clementine จับมือจากกันโดยไม่มีคำพูดคุยใดๆ แต่ Zanuck ยืนกรานต้องมีสนทนากล่าวลา ซึ่งก็ได้ถ่ายทำเพิ่มช็อตจุมพิตข้างแก้ม ให้ผู้ชมเกิดความรู้สึกเสียดายกับความรักครั้งนี้

ผมเห็นถนนสายนี้ ชวนให้นึกถึง The Wizard of Oz (1939) ภูเขาลูกนั้นมองได้เป็นเมืองมรกต (Emerald City) สะท้อนนัยยะถึง การออกเดินทางสู่ ‘โลกยุคสมัยใหม่’ (หนังออกฉายช่วงปีหลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 พอดี นัยยะนี้ถือว่าตรงเผงๆ)

ตัดต่อโดย Dorothy Spencer ขาประจำในหนัง Western ของผู้กำกับ Ford, เล่าเรื่องราวในมุมมองของ Wyatt Earp ตั้งแต่เดินทางมาก่อนถึงเมือง Tombstone หลังจากแก้แค้นทวงคืนความยุติธรรมให้กับน้องชาย เสร็จสิ้นแล้วก็ออกเดินทางจากไป

ต้นฉบับที่ Ford ตัดต่อเสร็จสิ้น ‘pre-release’ ความยาว 103 นาที แต่เมื่อ Zanuck รับชมแล้วส่ายหัว รู้สึกว่ายาวเกินไปและมีหลายฉากใช้ไม่ค่อยได้ กล่าวกับผู้กำกับ

“You have a certain Western magnificence and a number of character touches that rival your best work, but to me the picture as a whole in its present state is a disappointment,”

มอบหมายให้ Lloyd Bacon ตัดหลายฉากของหนังออกไปประมาณ 30 นาที แล้วถ่ายทำซ่อมใหม่ ได้ความยาวออกฉาย 97 นาที, เนื่องจากหนังทั้งเรื่องถ่ายทำยังสถานที่จริง ฉากไหนสังเกตเห็นว่าพื้นหลังดูเบลอๆ ไม่เนียน เหมือนภาพวาด หรือเป็น Rear Projection นั่นแหละฉากถ่ายซ่อมใหม่ เท่าที่ผมสังเกตได้ อาทิ
– ทั้ง Sequence แรกของหนัง ที่มีน้องชาย James Earp จนถึงต่อหน้าหลุมฝังศพ
– บ้านของ Old Man Clanton และ Virgil Earp ถูกยิงเข้าข้างหลัง
ฯลฯ

คงเพราะตอน The Grapes of Wrath (1940) กับ How Green Was My Valley (1941) ผู้กำกับ Ford ยินยอมปล่อยอิสระให้ Zanuck ทำอะไรกับหนังก็ได้ตามสบาย แต่มาครั้งนี้กลับไม่พึงพอใจอย่างรุนแรง ถึงขนาดปฏิเสธต่อสัญญากับสตูดิโอ Fox กลายเป็นผู้กำกับอิสระไร้สังกัดโดยทันที

กาลเวลาทำให้ใครๆคงคิดว่าฉบับ ‘pre-release’ ของหนังคงสูญหายไปแล้ว โคตรโชคดีบังเอิญพบเจอมีจัดเก็บอยู่ที่ Archive ของ University of California, Los Angeles (UCLA) จึงได้มีการนำทั้งสองฉบับมารวบรวมเข้าด้วยกันโดยนักอนุรักษ์ภาพยนตร์ Robert Gitt จุดเด่นอยู่ที่ตอนจบ เลือกใส่ต้นฉบับที่ Wyatt Earp แค่จับมือบอกลา Clementine เท่านั้น ไม่มีการจุมพิตข้างแก้ม

เพลงประกอบโดย Alfred Newman ขาประจำของ Ford ส่วนใหญ่เป็นบทเพลงแนว Western ที่มีชื่อเสียงผู้คนสมัยนั้นคุ้นหูกันอยู่แล้ว นำมารวบรวมเรียบเรียงใส่ประกอบหนัง

Oh My Darling, Clementine บทเพลง Western แนว Folk Ballad ว่ากันว่าแต่งโดย Percy Montrose เมื่อปี 1884 แรกเริ่มได้รับความนิยมในกลุ่มนักขุดทองสัญชาติ Mexican ในทศวรรษแห่งการขุดทอง (California Gold Rush), ในอเมริกามีการบันทึกลงแผ่นเสียงครั้งแรกโดย Bing Crosby เมื่อปี 1941 ไต่ขึ้นถึงอันดับ 20 ชาร์ม Billboard Hot 100

สองบทเพลงที่ Linda Darnell ขับร้อง มีชื่อว่า
– Ten Thousand Cattle เรียบเรียงโดย Fred K. Huffer (ขณะก่อกวน Wyatt Earp กำลังเล่นไพ่โป๊กเกอร์)
– The First Kiss Is Always the Sweetest, from Under a Broad Sombrero (ขณะกำลังยั่ว Doc Holliday)

บทเพลง Soundtrack มักไม่ใช่ส่วนที่โดดเด่นนักในหนังของ Ford ซึ่งการขาดหายเงียบไปเลยในฉากไคลน์แม็กซ์ที่ O.K. Corral สร้างความสมจริง ตึงเครียด เป็นไดเรคชั่นมีความทรงพลังอย่างยิ่งยวด (ฉากไคลน์แม็กซ์ Stagecoach ทุกอย่างก็เงียบสงัดเหมือนกันนะครับ)

My Darling Clementine เป็นชื่อหนังที่มีความโรแมนติกอย่างยิ่ง ตอนผมได้ยินครั้งแรกก็หลงคิดไปว่าคงประมาณจดหมายรัก ส่งถึงหญิงสาวชื่อ Clementine แต่ที่ไหนได้กลับกลายเป็น Cowboy Western เต็มไปด้วยความเหี้ยมโหดโฉดชั่วร้ายรุนแรง ตรงกันข้ามกับความคาดหวังโดยสิ้นเชิง (นึกว่าดูหนังผิดเรื่อง)

เรื่องราวของหนังก็ไม่เชิงว่า Clementine เป็นจุดศูนย์กลางด้วยนะ (Wyatt Earp คือจุดศูนย์กลางของหนัง) แต่เธอมีลักษณะผู้ดีชั้นสูง ราวกับนางฟ้าอาศัยอยู่บนสรวงสวรรค์ เดินทางมาถึง Tombstone ดินแดนของคนชั้นต่ำ เพื่อให้เหล่าหมาวัดได้จับจ้องมองเห่าหอน

มองในมุมของ Wyatt Earp การได้พบเจอ Clementine ทำให้ชีวิตของเขามีความสว่างสดใส ราวกับได้รับสัมผัสจากพระเจ้า อิ่มเอิบเป็นสุขล้น แต่เพราะตนเองเป็นคนบาป จำเป็นต้องเข่นฆ่าล้างแค้น จัดการศัตรูผู้ฆาตกรรมพี่น้องของเขา แม้จะด้วยข้ออ้างหลักกฎหมาย แต่นั่นหาใช่สิ่งถูกต้องตามหลักศีลธรรมศาสนา ควรค่าเหมาะสมกับตนเองจะมีความสุขขึ้นสู่สรวงสวรรค์ หรือได้รับการให้อภัยจากพระผู้เป็นเจ้า

ไม่ต้องมองไกลถึงขนาดนั้นก็ได้ แค่ว่านี่คือเรื่องราวของชายคนหนึ่ง ตกหลุมรักแรกพบหญิงสาว รับรู้ตัวเองว่าต่ำต้อยมิควรค่า แต่แค่การได้รับความสุขในช่วงเวลาเล็กๆ ก็พึงเพียงพอใจที่มีโอกาสนั้น

ผู้กำกับ Ford คงมีความต้องการเปรียบเทียบเรื่องราวของชาว Western นี้ เข้ากับเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่สอง, ความขัดแย้งของตระกูล Earp กับตระกูล Clanton เกิดจากความโลภละโมบเห็นแก่ตัวของฝ่ายหนึ่ง ต้องการครอบครองเป็นเจ้าของฝูงปศุสัตว์ แต่กลับใช้วิธีการเข่นฆ่าลักขโมย ทำให้ไม่ได้รับการยอมรับจากสังคม (เปรียบได้กับฝ่ายอักษะ เยอรมัน, อิตาลี, ญี่ปุ่น) ขณะที่ตระกูล Earp ตอนแรกอยู่เฉยๆผ่านทางมา ไม่ได้ต้องการมีส่วนร่วมใดๆทั้งนั้น แต่เมื่อเรื่องเกิดขึ้นกับคนใกล้ตัว เลยต้องกลายเป็นนายอำเภอเมือง Tombstone ผู้พิทักษ์กฎหมาย (นี่อเมริกาอย่างแน่นอน)

แม้จะเป็น 4 รุม 3 ฝ่ายผู้ร้ายได้เปรียบปริมาณและสถานที่ ส่วนฝ่ายพระเอกสามารถเลือกเวลาสู้รบ
– ลูกชายคนโต หลังจากรถม้า Stagecoach ขับควบผ่าน ออกเดินประจันหน้าเข้าหา แต่เพราะฝุ่นตลบอบอวลมองอะไรไม่เห็น ยิงบอดแล้วถูกสวนกลับอย่างแม่นยำ
– อีกสองคนพบเจอความวุ่นวายอลม่านของฝูงม้า วิ่งวนไปมา ถูกยิงตายโดยไม่รู้ตัว
– ขณะที่ Old Man Clanton แม้จะยกธงขาวยอมแพ้ ได้รับการให้อภัยปล่อยตัว ขณะอยู่บนหลังม้ากำลังจะควบจากไป ไร้สำนึกหยิบปืนหันกลับมา แต่ถูกยิงสวนตกลงมาเสียชีวิต

ชัยชนะของตระกูล Earp ล้วนมาจากการ ‘ฉวยโอกาส’ ในจังหวะชุลมุนวุ่นวาย ไม่ใช่การต่อสู้ประจันหน้า ดวลปืนตัวต่อตัวอย่างจริงๆจังๆ นี่สะท้อนถึง ชัยชนะของอเมริกาต่อสงครามนี้ หาใช่เรื่องน่าภาคภูมิใจสักนิด (ผู้กำกับ Ford แม้จะเป็นทหารเรือ เคยทำหนังชวนเชื่อในช่วงสงครามหลายเรื่อง แต่ก็คงเริ่มคิดได้ว่ามันไม่ใช่เรื่องน่ายกย่องสรรเสริญแต่ประการใด)

หลังจากการต่อสู้นี้สิ้นสุดลง ถือเป็นจุดเริ่มต้น/จุดเปลี่ยนของยุคสมัย เมือง Tombstone กำลังได้รับโอกาสจากการเข้าถึงของโลกอารยะ เริ่มต้นด้วยศาสนามาถึงตั้งแต่ก่อนสงคราม จากนั้นคือความรู้การศึกษา ขณะที่คนรุ่นเก่าก็ถึงเวลาต้องร่ำลาออกเดินทางจากไป

เอาจริงๆหนังจบลงที่ Wyatt Earp นำพา Clementine ร่วมออกเดินทางกลับบ้านด้วยกัน หรือแต่งงานอยู่กินเลยก็ยังได้ แต่ที่เลือกจบไม่เชิง Happy Ending นี้ น่าจะต้องการสะท้อนถึง ในโลกยุคใหม่ที่กำลังมาถึงนี้ บุคคลที่เป็นตัวแทนของความรุนแรงทั้งหลาย ควรหมดสิ้นสูญจากโลกนี้ไปได้แล้ว

โดยไม่รู้ตัว และเชื่อว่าใครๆคงคิดไม่ถึงแน่ หนังมีใจความต่อต้านสงครามแฝงอยู่เล็กๆด้วย

ทิ้งท้ายในมุมมองเรื่องราวของ Doc Holliday ชายผู้พยายามหลงลืมละทิ้งอดีต แต่มันกลับหวนคืนมาหลอกหลอนอยู่เรื่อยๆ จนจับต้องได้เมื่อ Clementine เดินทางมาถึง นี่ทำให้เขาต้องตัดสินใจกระทำอะไรบาง พยายามขับควบรถม้าวิ่งหนี แต่ก็ยังถูกลากตัวกลับมา ผ่าตัดรักษา Chihuahua เสร็จสิ้นแต่กลับล้มเหลว ก็ไม่หลงเหลือแรงกายใจทำอะไรต่อไปแล้ว ได้รับโอกาสล้างแค้นเอาคืน พลาดพลั้งถูกยิงสาหัสเพราะเสียงไอ หรือมองได้ว่าโรคร้ายจากอดีตเป็นผู้คร่าชีวิตชายผู้นี้, นัยยะของตัวละครนี้คงเพื่อเป็นการแนะนำสอนบอกว่า ‘เราไม่ควรที่จะหลงลืมอดีตของตนเอง’ เพราะมันจะคือพลัง แรงขับเคลื่อน ให้สามารถต่อสู้มีชีวิตต่อไปได้ ใครก็ตามปฏิเสธไม่ยินยอมรับอดีต สักวันหนึ่งความทรงจำ เรื่องราว เหตุการณ์ต่างๆเหล่านั้น ก็มักย้อนกลับมาทวงคืนคุณค่า ตอกย้ำความสำคัญของมันเอง

แม้ตอนออกฉายจะได้เสียงตอบรับดีล้นหลาม แต่ด้วยทุนสร้างสูงถึง $2 ล้านเหรียญ ทำเงินได้เพียง $2.75 ล้านเหรียญ ขาดทุนพอสมควรทีเดียว ด้วยเหตุนี้เลยพลาดโอกาสไม่ได้เข้าชิงรางวัลปลายปีใดๆทั้งนั้น

ส่วนตัวค่อนข้างชื่นชอบหนังเรื่องนี้มากๆ ในอารมณ์ของเรื่องราวที่ค่อนข้างแตกต่างจาก Western เรื่องอื่นๆ ไดเรคชั่นของผู้กำกับ Ford ยังคงตราตรึง และการแสดงของ Henry Fonda มีความน่ารักมากทีเดียว (กว่านางเอก Cathy Downs เสียอีก)

เกร็ด: My Darling Clementine คือหนังเรื่องโปรดของผู้กำกับ Sam Peckinpah มีฉากเคารพคารวะพบเห็นได้ใน Major Dundee (1965) กับ The Wild Bunch (1969)

“ต้องดูให้ได้ก่อนตาย” ขนาดว่าในดินแดนอันป่าเถื่อน รกร้าง ไร้ซึ่งอารยธรรม ยังพบเจอบุคคลที่สามารถแสดงออกถึงความเป็นสุภาพชน ให้เกียรติ อ่อนหวาน นี่เป็นสิ่งน่าทึ่งสวยงามไม่น้อยทีเดียวเลยนะ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งคอหนัง Cowboy Western, ชื่นชอบนายอำเภอผู้ผดุงความยุติธรรม Wyatt Earp, หลงใหลในภาพถ่ายสวยๆของ Monument Valley, แฟนๆผู้กำกับ John Ford และนักแสดงนำ Henry Fonda ไม่ควรพลาด

จัดเรต 13+ กับความดิบ เถื่อน รุนแรง ของโลกตะวันตก

TAGLINE | “My Darling Clementine คือภาพยนตร์ Western ที่มีความสุภาพอ่อนหวานที่สุดของ John Ford และ Henry Fonda”
QUALITY | RARE-GENDARY
MY SCORE | LIKE

Leave a Reply

avatar

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

  Subscribe  
Notify of
%d bloggers like this: